วันพุธที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตำนานๆ009030 : พระทรงลนลานต้านผีคอมมิวนิสต์


ฟังเสียงและเพลงประกอบ :
http://www.4shared.com/mp3/qRrEPalV/The_Royal_Legend_030_.html  
หรือที่  :
http://www.mediafire.com/?lbgxxb9zv2i1mkx

โปรดทราบ : ไฟล์เสียงที่เคยdownloadไม่ได้ บัดนี้ได้แก้ไขแล้ว
โปรดลองเข้าที่
linkใหม่
   
 

............


กลางปี 2509 พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลและพระราชวงศ์ได้เสด็จประทับประเทศอังกฤษป็นเวลา 11 สัปดาห์ ทรงประทับที่คฤหาสน์ ชานเมืองกรุงลอนดอนของมหาราชาแห่งชัยปุระ เสด็จเยือนสโมสรแล่นเรือใบสองครั้ง ทรงแล่นเรือกับฟ้าหญิงอุบลรัตน์



ปลายเดือนกรกฎาคม เสด็จรับฟ้าชายวชิราลงกรณ์จากโรงเรียนคิงส์มีด King’s Mead Preparatory School วันที่ 28 กรกฎาคม 2509 ชาวไทยในลอนดอนได้ร่วมงาน
เลี้ยงฉลองวันพระราชสมภพ 14 ชันษาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ เสด็จเยี่ยมราชวงศ์เบลเยียม เสด็จเปิดวัดไทยที่ลอนดอน




ในฤดูร้อนปีนั้น นิตยสารไทม์ตีพิมพ์รายงานชื่นชมประเทศไทย มีพระบรมฉายาลักษณ์อยู่บนหน้าปกโดยพาดหัวว่าในดินแดนที่เกือบทุกบ้านมีรูปในหลวง และเขียนว่า ในหลวงภูมิพลทรงถือเป็นภารกิจในการหล่อหลอม เอกลักษณ์ของชาติของพระองค์ และบอกว่า ภัยคอมมิวนิสต์ ความยากจน ความทุกข์ยาก ความไม่รู้หนังสือ การกดขี่และความหวาดกลัวว่าชาติจะล่มจมเป็นความรู้สึกที่ปกคลุมเอเชียอยู่ในตอนนี้ ยกเว้นก็เพียงแต่ แผ่นดินใต้พระบรมโพธิสมภาร ของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลและพระราชินีสิริกิติ์เท่านั้น (คือราชอาณาจักรไทย)ที่ร่มเย็นเป็นสุขและมั่นคง

พระราชกรณียกิจในวันจักรีในเดือนเมษายนปี 2509 คือ ทรงรับมอบรถลิมูซีนเมอร์เซดีสเบนซ์สีเหลืองคันใหม่ พระราชทานกระบี่แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย ทรงทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์รัชกาลที่ 6 พระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา 868 คนจากสองมหาวิทยาลัย (จุฬาและธรรมศาสตร์) มีการฉลองครบรอบเพลงพระราชนิพนธ์เพลงแรก โดยมีนักดนตรีไทย 1,400 คน บรรเลงเพลงพระราชนิพนธ์ตลอดทั้งคืน ทรงเป่าแซ็กโซโฟนร่วมกับวงจนถึงตีสอง โดยมีการออกอากาศทางวิทยุ อ.ส. ถึงสัปดาห์ละสี่ครั้ง

ในหลวงมักจะเสด็จพระราชดำเนินไปต่างจังหวัด ครั้งหนึ่งทรงเสด็จพระดำเนินเป็นระยะทางกว่า 15 กม. เพื่อเสด็จเยือนหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งทั้งสองพระองค์ พระราชทานอาหารและยาแก่ชาวเขา ที่เป็นเป้าหมายของพวกคอมมิวนิสต์ ซึ่งผู้นำเผ่าชาวเขาเหล่านั้นให้คุณค่าแก่เหรียญเงินเล็กๆที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้าอยู่หัวเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด

และการกล่าวถึงงานอดิเรกต่างๆ ที่ในหลวงทรงทุ่มเท ทรงต่อเรือ และทรงแล่นเรือข้ามอ่าวไทย ซึ่งติดตามโดยเรือยนต์เจ็ทที่ทรงออกแบบขึ้นใหม่โดยพระองค์เอง แล้วยังบอกอีกว่าโครงการส่วนพระองค์ปัจจุบันคือ ทรงสร้างเฮลิค็อปเตอร์ด้วยพระองค์เอง ซึ่งที่จริงแล้วในหลวงไม่ได้ทรงประดิษฐ์เครื่องยนต์เรือเจ็ท หรือเฮลิค็อปเตอร์แต่อย่างใดทั้งสิ้น เรื่องโอ้อวดสรรเสริญพระบารมีแบบนี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดาในเมืองไทย แต่ว่าอาจจะน่าขายหน้าหากได้รับการเผยแพร่ในระดับนานาชาติ

เรื่องทั้งหมดล้วนเป็นที่ชื่นชมยินดีชื่นมื่นในพระราชอาณาจักรไทย ถึงแม้จะมีการค้าประเวณีขนาดใหญ่ ที่ได้รับการอุดหนุนโดยการตั้งฐานทัพอเมริกันในประเทศไทย และมีชาวเขาปลูกฝิ่นอยู่ถึง 250,000 คน

ที่สำคัญช้างเผือกเชือกที่สามในรัชกาลที่ 9 เพิ่งถูกค้นพบในสัปดาห์ก่อนหน้านั้นเอง ส่วนเรื่องการเมือง มีแต่คนต่างชาติเท่านั้นที่ใจร้อนสำหรับประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ สมาชิกสภาได้ทำการร่างรัฐธรรมนูญมาเป็นเวลาเจ็ดปี และอาจร่างต่อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนด และไม่มีใครรีบร้อน ความเป็นจริงก็คือ คนไทยที่ง่ายๆ สบายๆ แทบไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก คือไม่ได้คิดหรือมีปัญหาอะไร อีกทั้งเรื่องชนชั้นและสถานะ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับใครมากมายเลย แม้จะมีผู้ดีมียศถาบรรดาศักดิ์อยู่มากมายก็ตาม

แต่มีปัญหาว่า คนไทยจำนวนไม่น้อยรวมถึงพวกเจ้าบางคน ต้องการให้พระเจ้าอยู่หัวเอาจริงเอาจังกับการปกครองประเทศมิใช่แค่สวมบทบาทพระมหากษัตริย์ ที่ได้แต่ฉาบฉวยไปเรื่อยๆอย่างการเสด็จเยือนอังกฤษ และความจริงที่เกิดในประเทศไทยก็ไม่ได้สวยสดงดงาม และสมบูรณ์แบบอย่างที่นิตยสารไทม์เสนอรายงานเทิดพระเกียรติเอาไว้




อย่างน้อยพวกเขาก็กำลังเผชิญภัยคุกคามจากคอมมิวนิสต์ จะทำเล่นๆไม่ได้ จึงเริ่มมีคำวิพากษ์วิจารณ์ตรงๆ ชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนซึ่งทำให้ในหลวงภูมิพลขุ่นเคืองพระทัยและทรงต้องรับการท้าทายนี้ ทรงลดงานอดิเรกลง เลิกการเสด็จประพาส และทรงเริ่มสวมบทบาทผู้นำสูงสุดของประเทศ ทั้งๆที่ภัยจากพวกคอมมิวนิสต์ในเมืองไทยนั้นเบาบางและเล็กน้อยกว่าในประเทศๆอื่นๆ ส่วนใหญ่ในเอเชีย

แต่การกดขี่ปราบปรามที่รุนแรงของระบอบเผด็จการสฤษดิ์และถนอม-ประภาส บวกกับความล้าหลังทางเศรษฐกิจในพื้นที่ชนบทต่างหากที่กระตุ้นการเติบโตของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เพราะตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศขาดการพัฒนา

ชาวนาจำนวนมากต้องเช่าที่ทำนา พื้นที่ทำการเพาะปลูกก็ลดน้อยลง เนื่องจากการเพิ่มของจำนวนประชากร ขณะที่ตลาดแรงงานในเมืองก็ยังไม่เป็นที่น่าสนใจของประชาชน รัฐบาลในกรุงเทพฯ ก็ยังปฏิบัติต่อคนจนอย่างถืออำนาจอยู่เหมือนเดิม จังหวัดที่อยู่ห่างไกลถูกปฏิบัติเหมือนเป็นแค่เมืองขึ้นที่ถูกรัฐบาลฉกฉวยเอาทรัพยากร และเก็บแต่ภาษี แถมยังปราบปรามผู้ที่กระด้างกระเดื่อง

พื้นที่ที่มีปัญหามากที่สุด ยังคงเป็นภาคอีสาน ภาคใต้และบริเวณเทือกเขาใกล้พรมแดนในภาคเหนือและภาคตะวันตก ประชาชนในภูมิภาคเหล่านี้มักจะมองรัฐ ราชการและทหารเป็นผู้กดขี่ที่ชอบรังแกและเอาเปรียบ ในขณะที่ชนชั้นนำในกรุงเทพฯ ก็มองชาวบ้านว่าหัวแข็ง กระด้างกระเดื่อง ไม่เป็นไทย และกล่าวหาพวกเขาว่าเป็นคอมมิวนิสต์มากขึ้นเรื่อยๆ


เมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจในปี 2500 นั้นยังไม่มีขบวนการคอมมิวนิสต์ไทย แต่ไม่กี่เดือนก่อนหน้านั้น นักวิชาการหนุ่ม
จิตร ภูมิศักดิ์ ได้ตีพิมพ์หนังสือประวัติศาสตร์สังคมไทย แนวมาร์กซิสชิ้นสำคัญ คือโฉมหน้าศักดินาไทย ที่ท้าทายวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์ของพวกเจ้าโดยตรงเหมือนที่นายปรีดีทำในการปฏิวัติ 2475



จิตร ภูมิศักดิ์ได้สืบสาวย้อนรอยโครงสร้างอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจสมัยใหม่ไปจนถึงสังคมเจ้าศักดินายุคเก่า โดยกล่าวว่าระบบชนชั้นของไทยนั้นแทบไม่ต่างจากระบบศักดินาของยุโรปเลย และเสนอโดยนัยว่าพระมหากษัตริย์ก็เป็นเพียงเจ้าที่ดินรายใหญ่ที่สุด หรือเป็นศักดินาใหญ่เท่านั้นเอง เป็นคำอธิบายถึงช่องว่างอันมหาศาลระหว่างความร่ำรวยกับความยากจนในสังคมไทย

เผด็จการสฤษดิ์ได้ดำเนินการกำจัดและจับนักการเมืองฝ่ายค้าน นักหนังสือพิมพ์และปัญญาชนนับร้อยๆคน จิตร ภูมิศักดิ์ ติดคุกอยู่เป็นเวลาแปดปี การปราบปรามที่รุนแรงบวกกับอุดมการณ์ของจิตร ภูมิศักดิ์อาจมีส่วนสำคัญพอๆกันในการเกิดพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.)

ในเดือนมิถุนายน 2504 ครูครอง จันดาวงศ์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่ได้รับความนิยมคนหนึ่ง ผู้เป็นอดีตเสรีไทยและสนับสนุนคนยากคนจนและการปกครองตนเองของอีสาน ถูกจับกุมและประหารชีวิตด้วยคำสั่งนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 17 ด้วยข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้น ภรรยาและลูกสาวของครูครองพร้อมด้วยลูกศิษย์ลูกหา นักสังคมนิยม นักต่อสู้เพื่อสิทธิชาวนาและนักต่อสู้ชาตินิยมลาวจำนวนหนึ่ง ก็พากันหลบหนีเข้าป่าบริเวณเทือกเขาภูพานจังหวัดสกลนคร ติดต่อกับขบวนการปะเทดลาวและเวียตมินห์

กลายเป็นแกนนำของพคท.หรือพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย เดิมชื่อพรรคคอมมิวนิสต์สยาม เริ่มก่อตั้งโดยสหายโฮจิมินห์ (HO Chi Minh) หรือลุงโฮ วีรบุรุษนักปฏิวัติเวียดนามตัวแทนคอมมิวนิสต์สากล (Comintern) และเป็นประธานก่อตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งอินโดจีน ใช้นามแฝงว่า สหายซุง โดยประชุมครั้งแรกแบบลับๆ ที่โรงแรมตุ้นกี่หน้าสถานีรถไฟหัวลำโพง เมื่อ 20 เมษายน 2473 โดยแต่งตั้งหลี หรือ โงจิ๊งก๊วก เป็นเลขาธิการพรรคคนแรก

พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ( Communist Party of Thailand -CPT )ก่อตั้งเป็นรูปร่างเมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2485 หลังการประชุมสมัชชาพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 1 ที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยมีสมาชิกก่อตั้ง 57 คน


พคท.ขยายตัวอย่างช้าๆ เป็นหย่อมๆ ได้รับการสนับสนุนเพียงเล็กน้อยจากฮานอยและปักกิ่ง จากฐานที่มั่นบนเทือกเขาในภาคเหนือ และตะวันออกเฉียงเหนือ พวกเขาชักชวนชาวเขาและชาวนาพื้นราบ ที่รู้สึกถึงการกดขี่จากเจ้าหน้าที่รัฐและพ่อค้าท้องถิ่น

ปลายปี 2505 จีนเริ่มกระจายเสียงวิทยุ สถานีเสียงประชาชนแห่งประเทศไทย (สปท) จากมณฑลยูนนาน (1 กรกฎาคม 2505 พคท.เปิดสถานีวิทยุ ระยะแรกตั้งอยู่ในเขตลาวพรมแดนลาว-จีน ต่อมาย้ายไปอยู่ในมณฑลยูนานของจีนใช้ความถื่คลื่นสั้น /short wave รับฟังได้ชัดเจนทั่วประเทศไทย เริ่มส่งกระจายเสียงปี 2508 ถึง 2523 สมัยนายกพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ได้เจรจากับจีนให้หยุดส่งกระจายเสียง )

ในต้นปี 2507 จำนวนสมาชิกของพคท. น่าจะมีอยู่หลายร้อย แต่ไม่ถึงหลายพัน แต่สัญญาณเตือนภัยก็ดังขึ้นที่กรุงเทพฯ และวอชิงตันในเดือนมกราคม 2506 เมื่อกองกำลังของขบวนการคอมมิวนิสต์ปะเทดลาวโจมตีท่าแขก เมืองชายแดนของลาว ที่อยู่ห่างจากภูพานไปเพียง 100 กิโลเมตร


การปะทะกันครั้งแรกจริงๆ ระหว่างรัฐบาลและ พคท. เกิดขึ้น 20 เดือนหลังจากนั้น ในวันที่ 7 สิงหาคม 2508 ตำรวจบังเอิญพบการประชุมวงเล็กๆของพคท.ที่หมู่บ้านนาบัว อำเภอเรณูนคร สกลนคร เกิดการต่อสู้กันขึ้น ชาวบ้านคนหนึ่งถูกยิงเสียชีวิต ตำรวจนายหนึ่งได้รับบาดเจ็บ แปดเดือนต่อมา(5 พฤษภาคม 2509) จิตร ภูมิศักดิ์ ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวออกจากคุก ก็ถูกสังหารโดยเจ้าหน้าที่ในบริเวณใกล้ภูพาน

หลายคนมองว่าเป็นสัญญานว่าประเทศได้เผชิญการลุกฮือเต็มรูปแบบแล้ว เหมือนที่เกิดขึ้นในลาว และเวียดนาม เจ้าหน้าที่รัฐบาลบอกว่าคอมมิวนิสต์อาจยึดประเทศไทยได้ ทั้งในทางสภาหรือการจับอาวุธขึ้นต่อสู้ นักวิเคราะห์การเมืองชี้ว่าประเทศไทย จะเป็นโดมิโนหรือลูกระนาดตัวต่อไป แต่นักประวัติศาสตร์คนหนึ่งกล่าวว่า “มันแปลกพึลึกดีที่การต่อต้านคอมมิวนิสต์ไม่เพียงแต่จะเกิดก่อนที่จะมีคอมมิวนิสต์จริงๆ แต่มันยังขยายใหญ่โตกว่าคอมมิวนิสต์เป็นหลายเท่า ” ซีไอเอก็มีรายงาน (1 มิย.2509) ว่ามันเป็นข้ออ้างเพื่อสร้างสถานการณ์ของบประมาณจากสหรัฐ

กรุงเทพฯ ก็มีปฏิกิริยาตอบรับ โดยจัดตั้งกองอำนวยการปราบปรามคอมมิวนิสต์ (กอปค.) บัญชาการโดยรองนายกรัฐมนตรี พลเอกประภาส จารุเสถียร พร้อมที่ปรึกษาชาวอเมริกัน (ต่อมาเปลี่ยนเป็นกอรมน.) เบื้องหลังพวกเขาก็คือ กองทัพมหึมาที่สหรัฐฯได้สร้างขึ้นมาในไทย และยึดกุมประเทศไทยเหมือนเป็นการยึดครอง


ในต้นทศวรรษ 2500 ทหารอเมริกันและไทย มีปฏิบัติการกองโจรในลาว โจมตีลาวและเวียตนามทางอากาศ จากฐานทัพในไทย เมื่อถึงปี 2508 มีทหารและหน่วยข่าวของสหรัฐฯ อยู่ในไทยถึง 14,000 คน ปีถัดมาจำนวนเพิ่มเป็น 34,000 คนและเครื่องบินกว่า 400 ลำ กองทัพอเมริกันมีหน้าที่ขัดขวางการลุกฮือภายในประเทศไทย พร้อมไปกับการให้การสนับสนุนเวียตนามใต้สู้กับพวกคอมมิวนิสต์เวียตนามเหนือ และค้ำจุนการปกครองของเผด็จการทหารในไทย

สหรัฐฯไม่ได้เพิกเฉยต่อปัญหาความยากจน และการข่มเหงรังแกเอารัดเอาเปรียบ ที่เป็นตัวเชื้อให้พคท.เติบโต วอชิงตันได้ทุ่มเททรัพยากรเพื่อชนะใจประชาชนด้วยการพัฒนา โดยหวังว่าจะไม่ให้ซ้ำรอยเวียตนาม โครงการต่างๆ ภายใต้การกำกับของสหรัฐฯ คือการสร้างถนน ขุดบ่อเลี้ยงปลา และจัดบริการสังคมในหมู่บ้านชนบท

ภายในเวลาไม่กี่ปีงบประมาณที่สหรัฐฯใช้จ่ายในไทย แต่ละปีมีมูลค่าเท่ากับผลผลิตทางเศรษฐกิจทั้งหมดของภาคอีสานทั้งภาค ส่วนใหญ่หมดไปกับงานโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์และเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์

ความช่วยเหลือและการดำรงอยู่ของสหรัฐฯ อาจจะทำให้ปัญหาเลวร้ายลงไปอีก เพราะงบประมาณ หลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐ จากวอชิงตัน ส่วนใหญ่รั่วไหลเข้ากระเป๋าของชนชั้นนำ เจ้าที่ดิน พ่อค้าใหญ่ ข้าราชการและทหารระดับสูงของไทย รัฐบาลทหารของไทยใช้งบประมาณซื้ออาวุธ ถึงสามเท่าของงบประมาณสำหรับการศึกษา งบสาธารณสุขยิ่งน้อยกว่านั้นอีก



เศรษฐกิจเติบโตพร้อมด้วยอัตราเงินเฟ้อสูงในบริเวณใกล้ฐานทัพ ทหารจีไอพักผ่อนเมามายหาความสุขทั่วราชอาณาจักร ธุรกิจทางเพศเติบโตอย่างรวดเร็ว ระหว่างนั้น สภาพความในชนบทก็เลวร้ายลง





หลังจากเหตุการณ์เสียงปืนแตกในเดือนสิงหาคม 2508 การปะทะระหว่างพคท.หรือกลุ่มอื่นๆกับฝ่ายรัฐบาลเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 150 ครั้ง ในปี 2509 ส่วนใหญ่ในภาคใต้และตะวันออกเฉียงเหนือ ทำให้ฝ่ายรัฐบาลเสียชีวิตไป 47 คนและฝ่ายตรงข้าม 97 คน การปะทะเพิ่มจำนวนเป็นสองเท่า จำนวนผู้เสียชีวิตก็เพิ่มขึ้นประมาณนั้น บางส่วนในรัฐบาลกับที่ปรึกษาอเมริกันตื่นตระหนกว่าคอมมิวนิสต์กำลังลุกฮือ และต้องมีการปราบปราม ก่อนที่จะมีการเปิดทางให้เวียตนามบุกเข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องเกินจริงอย่างมาก และทำให้เกิดความหวาดกลัวภัยคอมมิวนิสต์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

ท่ามกลางบรรยากาศตื่นตระหนกหวาดผวากับการนำของกองทัพที่ทุจริตคอรัปชั่นและไร้ประสิทธิภาพ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเองก็ทรงถูกวิพากษ์วิจารณ์ ตอนแรกปัญญาชนอนุรักษ์นิยมกลุ่มเล็กๆ กล้าเสนอความเห็นว่า ในหลวงภูมิพลไม่ได้ทรงกระทำการที่เป็นประโยชน์อันใด พอๆกับพวกราชวงศ์มือสมัครเล่นของยุโรปที่ต้องสิ้นราชวงศ์ไปแล้ว


นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ผู้เคยเป็นลูกศิษย์ของกรมหมื่นพิทยลาภพฤฒิยากร ได้เหน็บแนมในหลวงภูมิพลให้ทรงเลิกเล่นเป็นกษัตริย์ และให้ใช้พระราชอำนาจในการนำพาประเทศอย่างจริงจังเสียที สื่อต่างประเทศก็ได้วิจารณ์บทบาทของพระเจ้าอยู่หัวในทำนองเดียวกันโดยรายงานว่าในหลวงภูมิพลทรงมีพระราชอัธยาศัยดี แต่ก็ไม่ค่อยเป็นโล้เป็นพาย หรือหาสาระไม่ค่อยได้ และประเทศไทยก็ไม่จริงจังกับการป้องกันตนเองในภาวะสงครามเย็น

นิตยสารไทม์ ปี 2509 และนักข่าวทั่วไปได้เริ่มวิจารณ์รัฐบาลทหารของไทย เรื่องการทุจริตคอรัปชั่น การมีกองกำลังทหารสหรัฐฯส่งผลเสียต่อสังคมไทย และการบริหารที่หย่อนยาน กับการขาดสถาบันที่เป็นประชาธิปไตย ยิ่งซ้ำเติมปัญหาความยากจนและเติมเชื้อให้กับภัยคอมมิวนิสต์

หลุยส์ โลแมกซ์ Louis Lomax ( นักข่าวนักเขียนและนักต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพชาวอเมริกันผิวดำที่มีชื่อ ) ได้เขียนในหนังสือที่เกี่ยวกับเมืองไทยว่าในหลวงภูมิพลไม่ได้มีความสำคัญ หรือมีบทบาทอะไรอีกแล้ว ทรงเป็นเหมือนตัวการ์ตูนฝรั่งที่ชอบเอาผ้าห่มมาคลุมตัวเองเพื่อให้ปลอดภัย แบบเต่าที่เอาแต่หดหัวอยู่แต่ในกระดอง

อย่างดีที่สุดในหลวงภูมิพลทรงทำได้ แค่จำกัดความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย หรือความน่ารังเกียจเน่าแฟะของรัฐบาลไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในขณะเดียวกัน กองทัพได้ทำลายความศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ปัญญาชนได้คลายความเชื่อถือและศรัทธาที่มีต่อพระองค์ และด้วยความแตกแยกก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ พระองค์ไม่สามารถเป็นศูนย์รวมจิตใจของประเทศได้อีกต่อไปแล้ว

คำวิจารณ์ และคำตำหนิสารพัด ว่าในหลวงภูมิพลไม่ได้ทรงอุทิศพระองค์เพื่อความกินดีอยู่ดีของพสกนิกรอย่างแท้จริง แต่ทรงใช้เวลามากมายไปกับดนตรีแจ๊ส การแล่นเรือใบ การประลองความเร็ว และพระราชพิธีรีตองต่างๆสารพัด

คำวิจารณ์ต่างๆเหล่านี้ สร้างความขุ่นเคืองพระทัยต่อพระองค์ ภายใต้พระพักต์ที่เคร่งขรึมไร้รอยยิ้ม โดยได้ทรงแสดงออกมาให้เห็นในการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นิตยสารลุ้ค Look ที่เป็นคู่แข่งของไทม์ Time ในปี 2510 ว่า: คนอเมริกัน โดยเฉพาะที่เป็นนักเขียน ดูจะชอบแต่อะไรที่เป็นกระแสนิยม

ตอนนี้คุณกำลังอยู่ในดินแดนตะวันออกไกล ที่ดูแปลกประหลาด พวกคุณเรียกกันอย่างนี้ใช่ไหม มีพระราชาที่ทรงล่าสิงโต ทรงประทับบนหลังช้าง เป็นแค่คนที่เห็นแต่อัญมณีบนหลังคาวัด พวกเขาไม่ได้ตระหนักว่าอัญมณีนั้นอยู่ในหัวใจ ไม่ใช่อยู่บนหลังคาวัด ตอนนี้พวกเขา เรียกเราว่ากษัตริย์ที่หลงใหลแจ๊ซ เราก็ต้องอดทน ความจริงก็คือ เราไม่ได้มีแซ็กโซโฟนทองคำ และไม่เคยมี และมันคงจะหนักน่าดู และกษัตริย์ “ ที่ชอบขับรถเร็ว ชอบความเร็ว ” นั้น เราก็ต้องทน เราไม่โกรธเนื่องการจัดคนเป็นแบบนั้นแบบนี้ แต่เราไม่เชื่อว่ามันเป็นการสร้างสรรค์หรือเป็นประโยชน์สำหรับประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา

ต่อข้อวิจารณ์ที่ว่าพระองค์หลุด หรือเหินห่างจากประชาชน ทรงโต้แย้งโดยอ้างว่าธรรมราชามีญาณหยั่งรู้โดยธรรมชาติ เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ประชาชนจึงบอกแก่พระองค์ในสิ่งที่จะไม่บอกแก่คนอื่น เราเชื่อว่าเราใกล้ชิดกับประชาชนและรัฐบาล ในการบริหารงานแผ่นดิน เรามีการรายงานสองประเภท แบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ หลายหน่วยงานเขียนรายงานที่ไม่เป็นทางการเกี่ยวกับหน่วยงานอื่นๆ ให้เราได้อ่าน”

แต่พระองค์ก็ทรงเข้าใจประเด็น ของนักวิจารณ์อเมริกันโลแมกซ์ Lomax ที่ว่าการฟื้นสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นมาตามแนวทางแบบเก่านั้นไม่ได้เกิดประโยชน์แก่ประชาชนมากนัก พิธีกรรมต่างๆและสัญลักษณ์ถึงโลกที่ดีงามนั้นไม่ได้ช่วยให้ชีวิตชาวบ้านดีขึ้น แต่ความด้อยพัฒนาและการที่ราชการและนายทุนเอาเปรียบชาวบ้านนั้นทำให้พคท.ขยายตัว บรรดาที่ปรึกษารุ่นเก่าโบราณคิดไม่ออกว่าจะให้พระเจ้าอยู่หัวทรงทำอะไรอื่นนอกจากการสร้างภาพและเรียกร้องความสามัคคีของชาติ แต่พระองค์ทรงมีพระชนม์ใกล้จะ 40 ชันษาแล้ว ตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ทรงครองพระราชบัลลังก์มาได้ทำให้พระองค์ทรงรับรู้คุ้นเคยกับสภาพปัญหาและการเมืองของไทยมากกว่าผู้นำคนอื่นๆ และทรงมีความเข้าใจในปัญหาความมั่นคงอย่างดีพอสมควร

พระยาศรีวิสารวาจาองคมนตรีที่ปรึกษาของพระองค์ก็เป็นเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ และพระองค์ก็ทรงพบปะผู้นำชาติต่างๆ ทรงฟังรายงานจากนักการทูต ผู้เชี่ยวชาญการข่าว ผู้นำทางทหาร นายทุน และผู้เชี่ยวชาญงานพัฒนา จากรัฐบาล จากจดหมายที่พสกนิกรเขียนมาถึงพระองค์ ทรงติดตามฟังวิทยุ อ่านรายงานข่าว รวมทั้งคำวิพากษณ์วิจารณ์ จึงส่งผลให้ทรงเกิดความมุ่งมั่นที่จะได้รับการยอมรับนับถือในฐานะผู้นำที่แท้จริง

ทรงลดงานอดิเรกลง และทรงมุ่งเข้าสู่สงคราม ต่อต้านคอมมิวนิสต์ เริ่มแรกทั้งสองพระองค์เสด็จออกงานพระราชพิธี และทรงพบปะผู้คนบ่อยครั้งขึ้นจาก 341 ครั้งในปี 2508 เป็น 553 ครั้งในปี 2512



เครื่องราชถูกแจกจ่ายมากขึ้น ให้กับผู้บริจาคในงานการกุศลของพระองค์ และถือเป็นระเบียบว่านายทหารและข้าราชการระดับสูง จะได้รับกันเกือบทุกคน มีการเน้นเรื่องความสามัคคีของคนในชาติ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามต่อชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ ทรงพาดพิงบ่อยครั้งขึ้นถึงภัยคุกคามและปัญหาต่างๆ ในประเทศเพื่อนบ้าน และตรัสถึงความสัมพันธ์ของความยากจนกับสถานการณ์ของประเทศไทยเพื่อสร้างความสามัคคีของคนในชาติรอบๆสถาบันพระมหากษัตริย์

เริ่มโครงการแจกจ่ายพระพุทธนวราชบพิตร ให้เป็นพระพุทธรูปประจำจังหวัดและกรมกองทหารเพื่อแทนตัวพระเจ้าอยู่หัว ทั่วพระราชอาณาจักร เหมือนพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 กษัตริย์เขมรโบราณได้เผยแพร่รูปเคารพของตนไปทั่วอาณาจักรเขมรโดยทำพระพุทธรูปที่มีพระพักต์ของพระองค์เองแจกจ่ายไปตามเมืองต่างๆที่คนไทยเรียกว่าท้าวพรหมทัต


ทรงพระราชทานพระพุทธนวราชบพิตรองค์แรก ให้กับ
จังหวัดหนองคายที่อยู่ตรงข้ามกับนครเวียงจันทน์เมืองหลวงของลาว ซึ่งมักถูกกล่าวหาเรื่องมีส่วนก่อความยุ่งยากในภาคอีสาน เป็นการส่งสัญญาณถึงชนชาติลาวและคอมมิวนิสต์ทั้งสองฟากฝั่งโขงว่า นี่คือพระราชอาณาจักรของพระองค์




พิธีมอบพระพุทธรูปให้แต่ละจังหวัดนั้นมีการเขียนบทให้พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล เป็นทั้งองค์พระประมุขของประเทศและเป็นผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ คือเป็นทั้งพระมหากษัตริย์และพระพุทธเจ้า หรือพระเจ้าพร้อมๆกันไป คล้ายงานเลี้ยงรับรองของอินเดียเมื่อร้อยปีที่แล้ว ที่ตัวแทนชนเผ่าต่างๆ ในแคว้นมารวมตัวกันเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชาที่อังกฤษตั้งขึ้น..( เพราะในหลายๆจังหวัด ก็ไม่เคยมีประวัติศาสตร์ที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกับราชวงศ์จักรีแต่อย่างใด ) กรมการศาสนาพยายามตั้งวัดหลวง เพื่อเป็นตัวแทนธรรมราชาของราชวงศ์จักรีในแต่ละจังหวัด แม้ว่าวัดนั้นๆ จะไม่ได้มีประวัติเชื่อมโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีมาก่อนเลย โดยพยายามสร้างเรื่องยัดเยียดว่าท้องถิ่นนั้นมีความผูกพันเชื่อมโยงกับราชวงศ์จักรีให้ได้

ในหลวงภูมิพลยังได้ทรงแสดงความเป็นชายชาติทหารนักรบในมาดใหม่ ทรงสวมบทบาทของจอมทัพไทยอย่างจริงจัง ทรงเริ่มแสดงการสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อปฏิบัติการทางทหารของกองทัพสหรัฐฯ และกองทัพไทยในการปราบปรามคอมมิวนิสต์ในภูมิภาคนี้อย่างจริงจัง ในเดือนกุมภาพันธ์ 2509 ระหว่างที่นายฮิวเบิร์ต ฮัมฟรีย์ Hubert Humphrey รองประธานาธิบดีสหรัฐฯมาเยือนไทย ได้ทรงร้องขอให้สหรัฐเพิ่มความช่วยเหลือมากขึ้น ในการรับมือกับการคุกคามของคอมมิวนิสต์ ในระหว่างการสนทนาเปรียบเทียบสถานการณ์ของเวียตนามและไทย ทรงร้องขอเครื่องมือบางอย่างสำหรับใช้ต่อสู้กับคอมมิวนิสต์โดยเฉพาะ ( คือเครื่องบินทำฝนเทียม และเครื่องบินพระที่นั่ง ) และทรงบ่นถึงความล่าช้าในการให้ความช่วยเหลือจากวอชิงตัน

ฤดูร้อนปีนั้น ระหว่างเสด็จเยือนประเทศอังกฤษ ทรงประกาศหลายครั้ง ว่าจีนและเวียตนามเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประเทศไทย ทรงบอกกับผู้สื่อข่าวว่า จุดประสงค์หนึ่งของการเสด็จเยือนอังกฤษของพระองค์ คือการซื้อเครื่องบินรบสำหรับกองทัพอากาศไทย และเสด็จเยี่ยมชมโรงงานผลิตเครื่องบินหลายแห่งในอังกฤษ และเยอรมัน และทรงเข้าร่วมงานแสดงเครื่องบินรบที่ฟาร์นโบโร่ Farnborough อันยิ่งใหญ่ (ที่โด่งดังเรื่อง การจัดนิทรรศการแสดงเครื่องบินนานาชาติระดับโลก ทุกๆ 2 ปี โดยสมาคมการค้าเครื่องบินของอังกฤษ ) ที่จริงการจัดซื้อเครื่องบินรบสำหรับกองทัพอากาศไทย ไม่ใช่หน้าที่ของพระองค์ แต่ก็ทรงพยายามเข้ามามีบทบาทเกี่ยวข้องด้วย

ได้เสด็จเยี่ยมชมผู้ผลิตเครื่องบินหลายแห่ง โดยเฉพาะโรงงานผลิตเครื่องบินบีเกิ้ล Beagle Aircraft works ของอังกฤษเพื่อหาเครื่องบินสำหรับทำฝนเทียม กับเครื่องบินพระที่นั่งด้วย ในปีเดียวกัน ทรงโน้มน้าวหรือลอบบี้ให้สหรัฐฯเร่งถล่มฮานอย กระทั่งทรงตำหนิวอชิงตันที่ชะลอการโจมตีเวียตนามเหนือทางอากาศ ทรงกำชับรัฐบาลถนอมให้ส่งกำลังทหารไปปราบปรามพคท.ในภาคอีสานให้มากขึ้น และให้รัฐบาลถนอมเรียกร้องการสนับสนุนจากสหรัฐฯมากขึ้น เนื่องจากไทยได้ตกลงยินยอมส่งกำลังทหารจำนวนมากไปสู้รบในเวียตนามตามคำขอของวอชิงตัน

พระเจ้าอยู่หัวทรงมีทัศนะต่อสงครามเย็นอย่างตรงไปตรงมา เหมือนพวกอนุรักษ์นิยมทั่วๆไปในเวลานั้น แม้พระองค์จะทรงตระหนักว่ามีสาเหตุที่เกิดจากภายใน แต่พระองค์ก็ยังทรงชี้ชัดลงไปว่ารากเหง้าของปัญหคอมมิวนิสต์ นั้นมาจากภายนอก


ในการพระราชทานสัมภาษณ์กับนิตยสารลุค Look ในปี 2510 ทรงเผยทัศนะที่ว่าราชอาณาจักรไทยกำลังตกอยู่ในอันตรายทรงกล่าวว่า... ชาวจีนมักจะเป็นภัยคุกคามต่อเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เสมอมาเพราะพากเขากระจายไปทั่ว ...ในเมืองไทยมีคนจีนอยู่เยอะและยากที่จะกลืนพวกเขา ...ในหมู่บ้านที่ภาคอีสาน พวกคอมมิวนิสต์มีทั้งคนไทยเชื้อสายจีนหรือไม่ก็เวียตนามเหนือ... โดยทั่วไปประชาชนไม่เชื่อพวกเขา แต่ในที่ชนบทห่างไกล ถ้าไม่ให้ความร่วมมือ พวกคอมมิวนิสต์ก็จะฆ่าเสีย... แน่นอนว่าเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนในพื้นที่ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างที่ควร ชาวบ้านจึงมีเหตุให้ไม่พอใจและกระด้างกระเดื่อง แต่พวกเขาไม่ได้ไม่พอใจประเทศไทย หากแต่ไม่พอใจเจ้าหน้าที่เหล่านั้น คนไทยไม่ได้เป็นคอมมิวนิสต์

ยกตัวอย่าง ถ้าพิจารณาศาสนาของเรา พิจารณากฎเกณฑ์ทั้งหมด มันเป็นประชาธิปไตย ดังนั้น พระสงฆ์ต่างมีสิทธิ์ และปฏิบัติเยี่ยงเดียวกับรัฐสภา แต่ละรูปมีสิทธิทีจะแสดงความเห็นของตน ประชาชนของเราในเมืองไทยจึงมีพื้นฐานสำหรับประชาธิปไตย และชีวิตที่ดี

คอมมิวนิสต์เป็นแนวคิดที่ทำไม่ได้จริง ชีวิตไม่สามารถเป็นไปตามที่แต่ละคนปรารถนาได้ คนที่ทำงานวันนี้ก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนและสิ่งของ ไม่ใช่คนที่ไม่ทำงาน คอมมิวนิสต์สามารถเลวร้ายได้ยิ่งกว่านาซีหรือฟาสซิสต์เสียอีก ในทางปฏิบัติมันแย่เสียยิ่งว่าเผด็จการ

เป็นที่น่าสังเกตว่า พระองค์ทรงให้สัมภาษณ์ในแนวเดียวกับที่จอมพลสฤษดิ์ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูล หลังจากใช้อำนาจตามมาตรา17 สั่งประหารครูครอง จันดาวงศ์ โดยที่พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงย้ำว่าคอมมิวนิสต์เลวร้ายกว่าเผด็จการทหาร ซึ่งก็คือเหล่านายพลของพระองค์ที่กำลังถูกกล่าวหาโดยนักเคลื่อนไหวต่อต้านสงครามในสหรัฐฯ

ทรงบอกนิตยสารลุค Look ว่า...นักศึกษาอเมริกันที่ออกมาประท้วงสงคราม เป็นพวกโง่เขลาที่ถูกคอมมิวนิสต์ปั่นหัว ประเทศไทยจะต้องระมัดระวังเล่ห์กลเช่นนี้ของคอมมิวนิสต์ และเตรียมพร้อมสำหรับ “สงครามที่พิเศษมากๆ ” นี้ ขณะที่คนจีนนับล้านกำลังอดอยาก แต่ประเทศจีนกลับมีระเบิดนิวเคลียร์ ตอนนั้นในอินเดียก็อยากได้ระเบิดแบบนั้นด้วย เมืองไทยเราเจียมตัวเกินไป แต่ไม่แน่ในอนาคต คนไทยอาจจะเจียมตัวน้อยลง ถ้าคนไทยต้องการระเบิด (ปรมาณู) พวกเขาก็จะต้องได้”...

ทรงสวมบทบาทนักต่อต้านและนักปลุกผีคอมมิวนิสต์ตัวยงเลยทีเดียว ทรงพูดจาภาษาเหยี่ยวมากขึ้นทุกทีและออกไปในทางขวาจัด หรือขวาพิฆาตซ้ายเชิงนักเลงหน่อยๆ และทรงใช้เวลามากขึ้นกับกองทัพ ผูกสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับเหล่าทหารและทรงแสดงความเป็นผู้นำในภาวะศึกสงคราม เยี่ยงพระมหากษัตริย์ยามออกศึกตามประเพณีโบราณ ราชสกุลมหิดลได้ให้ความใส่พระทัย เป็นการส่วนพระองค์มานานแล้ว ต่อทหารและตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บในหน้าที่ ทั้งได้เสด็จไปเยี่ยมพวกเขาตามโรงพยาบาล พระราชทานเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวและทรงเป็นเจ้าภาพงานศพเจ้าหน้าที่ที่เสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่

มาคราวนี้ ในหลวงภูมิพลทรงหมั่นเสด็จเยี่ยมค่ายทหาร และจุดประจำการในพื้นที่มากขึ้น ทรงสวมชุดพรางของทหาร โดยมักจะเหน็บปืนพกไว้ที่เอวข้างหนึ่ง วิทยุสื่อสารหรือวอล์คกี้ทอล์คกี้อยู่ที่เอวอีกข้างหนึ่ง สื่อมักจะลงภาพพระองค์ทรงยิงปืนคารไบน์ เอ็ม-16 และปืนกลขนาดต่างๆ จากฐานสู้รบ โดยมีพระราชินีสิริกิติ์ประทับอยู่เคียงข้างเสมอ ฉลองพระองค์ในชุดทหารเหมือนกันและทรงฉายพระฉายาลักษณ์คู่กับปืนคาร์ไบน์ ทหารชั้นนำที่ไปร่วมในสงครามเวียตนามก็ได้เป็นทหารเสือพระราชินี

ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ได้ทรงร่วมในการออกศึกไปกับพระราชวงศ์ด้วยเช่นกัน ก่อนจะถูกส่งไปเรียนที่อังกฤษในเดือนมกราคม 2509 ด้วยพระชนม์ 13 ชันษา ทรงได้รับการถวายยศชั้นร้อยตรีทั้งสามเหล่าทัพ

เมื่อเสด็จกลับประเทศไทย จะทรงสวมชุดสนามและติดตามพระบิดาไปค่าย ตชด. และค่ายทหารอื่นๆ เมื่อพระชนม์ได้ 15 ชันษา ทรงเข้าร่วมการฝึกทหารขั้นพื้นฐานและทรงหัดยิงปืน ไม่นานหลังจากนั้น ทรงขึ้นชั้นไปยิงปืนกลหนักและเครื่องยิงระเบิด มีการเผยแพร่พระฉายาลักษณ์สองพระองค์ทรงยิงปืนอยู่ด้วยกัน ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ยังได้ทรงเรียนวิธีถอดทำความสะอาด และประกอบอาวุธหลายชนิด

พระเจ้าอยู่หัวยังทรงให้การทุ่มเทมากขึ้นต่อโครงการพัฒนาต่างๆ แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงตระหนัก ถึงสาเหตุของปัญหาความไม่สงบที่เกิดจากภายใน โครงการส่วนพระองค์ที่สำคัญคือพื้นที่หุบกะพงใกล้หัวหิน แม้ว่าจะได้สร้างถนนและแหล่งเก็บน้ำขนาดเล็กต่างๆแล้ว แต่การเพาะปลูกก็ยังไม่เป็นผล

ทรงอธิบายว่าสาเหตุก็คือ ตัวชาวบ้านเองไม่มุ่งมั่นพอที่จะเอาชนะความยากจน ทรงคาดหวังว่าชาวบ้านจะสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นได้หากได้รับปัจจัยการผลิต แต่ชาวบ้านไม่ร่วมมือ กลับกลายเป็นว่า ทันทีที่สร้างถนนและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เสร็จ บางส่วนก็ขายที่ให้กับนักเก็งกำไรที่ดิน มันเป็นวงจรที่รบกวนพระทัยของพระองค์อย่างลึกซึ้งตลอดพระชนม์ชีพของพระองค์ นั่นคือ เมื่อเห็นเงินก้อนใหญ่แลกกับที่ดิน ชาวบ้านก็คว้าเงินและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหรือกลับเข้าไปบุกรุกที่ดินของรัฐอีกแล้วก็กลับมาจนเหมือนเดิม เพื่อเป็นการต่อสู้กับวงจรอุบาทว์นี้

ในปี 2510 จึงได้ทรงริเริ่มสหกรณ์เกษตรหมู่บ้านที่หุบกะพง ตามแบบคิบบุทซ์ของอิสราเอล และถ้าได้ผล พระองค์ก็จะขยายโครงการนี้ไปทั่วประเทศ เพื่อเปลี่ยนผืนดินที่แห้งแล้งไปสู่ไร่นาที่เขียวขจีพร้อมสร้างความสามัคคีและความมั่นคงของชาติไปด้วย ( คิบบุทซ์ Kibbutz เป็นลักษณะคล้ายสหกรณ์การเกษตร แต่ทุกคนมีอิสระทางความคิด และได้แบ่งปันผลประโยชน์เท่าเทียมกัน และสร้างประเทศอิสราเอลให้เป็นเอกราช และความเจริญรุ่งเรืองอยู่ในปัจจุบัน )

ทรงเริ่มด้วยการจัดหาที่ดินให้เป็นกองกลางในหุบกะพง ใช้เงินของวังและรัฐบาล ซื้อที่ดินเพิ่มเติมจากที่มีอยู่เดิม แล้วจัดสรรเป็นแปลงๆ สำหรับการเกษตรแบบรวมกลุ่ม เกษตรกร 120 ครอบครัว ร่วมเป็นเจ้าของที่ดินราว 10,000 ไร่ แต่ไม่ให้ขายที่ดิน

เจ้าหน้าที่จากวัง รัฐบาลและกองทัพภายใต้การกำกับของกษัตริย์ภูมิพล ทำหน้าที่ปรับปรุงดิน สร้างการชลประทาน ส่งเสริมพืชเศรษฐกิจ ที่ไปกันได้ดีกับการปลูกข้าว และสอนให้ชาวบ้านรู้จักการทำเกษตรวิธีใหม่ ช่วยวางระบบสินเชื่อของชุมชน การดำเนินงานสหกรณ์ และติดตั้งโครงสร้างพื้นฐานสำหรับไฟฟ้าและประปา
นักธุรกิจไทยที่ต้องการมีส่วน ร่วมเสด็จพระราชกุศล ทั้งรัฐบาลอิสราเอลก็ได้ช่วยกันบริจาควัสดุอุปกรณ์และเครื่องมือ ด้วยการระดมการสนับสนุนมากมายอย่างเต็มที่ จะไม่ให้ประสบผลสำเร็จก็คงไม่ได้

คล้ายสำนวนไทยที่ว่า ขี่ช้างจับตั๊กกระแตน เพราะระดมสรรพกำลังทุ่มเททุกอย่าง แต่ทำได้แค่ชุมชนเดียว เพียงเพื่อสร้างภาพและไม่ให้พระเจ้าอยู่หัวต้องขายหน้าเท่านั้นเอง เหมือนผักชีโรยหน้า

โครงการแรกๆ อีกโครงการหนึ่งของพระองค์คือ โครงการนมโคเดนมาร์ก ก็กลายเป็นสหกรณ์หนองโพราชบุรีในลักษณะเดียวกัน โดยวังแจกจ่ายแม่วัวแก่เกษตรกร ศูนย์รวมน้ำนม โรงงานแปรรูปและจำหน่ายถูกสร้างขึ้นด้วยเงินจากวังและการบริจาค มีการจัดการเรื่องสินเชื่อ การดำเนินงานสหกรณ์ ทั้งยังจัดการและอุดหนุนการแจกจ่ายผลิตภัณฑ์นมไปยังโรงเรียนต่างๆ ซึ่งทำได้เพียงที่เดียว เพื่อเอาไว้อวดอ้างความสำเร็จของโครงการพระราชดำริ

นอกจากนี้ทางวังยังได้เร่งโหมโครงการพัฒนาชาวเขาของตชด. โดยมีสมเด็จพระราชชนนีศรีสังวาลย์ทรงทำหน้าที่แทนพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเสด็จประทับประจำปีในประเทศไทย ทรงให้ความช่วยเหลือทางสาธารณสุขแก่หมู่บ้านชาวเขา

แต่การเสด็จของพระราชชนนีศรีสังวาลย์ก็มีลักษณะแบบทหารมากขึ้นเรื่อยๆ และมุ่งให้ความสำคัญกับความสามัคคีภายใต้พระเจ้าอยู่หัวผู้ทรงธรรม ทรงเสด็จในชุดพรางของตชด. ประทับเฮลิคอปเตอร์ของตชด. เหาะลงมายังหมู่บ้านชาวเขาจากฟากฟ้า ขนาบด้วยทหารติดอาวุธครบมือ ทรงถูกนำเสนอให้เป็นแม่ฟ้าหลวง ผู้เป็นตัวแทนของเจ้าเหนือหัวที่ปกป้องคุ้มครองประชาชน ซึ่งเหนือชั้นกว่ารัฐบาล หรือพวกคอมมิวนิสต์ ที่แทบไม่ได้ทำอะไรให้พวกเขาเลย

แพทย์ที่ติดตามเสด็จจะให้การรักษาชาวเขา และทีมงานของพระองค์ ก็จะแจกผ้าห่ม ยาและเงิน จากนั้นพระราชชนนีศรีสังวาลย์ก็จะทรงอธิบายหลักพระพุทธศาสนา และทรงแจกบทสวดมนต์ กับเครื่องรางของขลัง แล้วก็เสด็จกลับขึ้นเฮลิคอปเตอร์บินจากไป มันเป็นการนำเสนอที่ทรงพลังสำหรับชาวเขา ที่นับถือผีสางเทวดา


สมเด็จพระราชชนนีทรงได้ชื่อว่าเป็นผู้อุปถัมภ์พวกชาวเขา ทรงได้รับสมญานามว่า แม่ฟ้าหลวงผู้เหาะเหินลงมาจากฟากฟ้า (ทางเฮลิคอปเตอร์) และเป็นแม่ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน โรงเรียนในหมู่บ้านชาวเขาที่ดำเนินการโดยตชด. ถูกตั้งชื่อตามพระราชวงศ์ในราชสกุลมหิดล พระราชชนนีทรงระดมแพทย์มามากขึ้นในการบินเสด็จเยือนหมู่บ้านชาวเขา และในปี 2512 ก็ได้ทรงตั้งมูลนิธิแพทย์อาสาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (พอ.สว.) ปฏิบัติงานโดยอาสาสมัคร ประกอบด้วยแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล เจ้าหน้าที่สาธารณสุข และอาสาสมัครสายสนับสนุนออกไปให้การ รักษาพยาบาลประชาชนในท้องถิ่นทุรกันดาร

โปรดเกล้าฯให้หน่วยแพทย์เคลื่อนที่โดยเสด็จฯเสมอ ต่อมาปี 2516 ได้ทรงเริ่มนำระบบการสื่อสารทางวิทยุรับ-ส่ง มาใช้ในการให้คำปรึกษาและ รักษาผู้ป่วย ซึ่ง เรียกว่า แพทย์ทางอากาศ หรือแพทย์ทางวิทยุ ปี 2510 ทรงใช้เงินบริจาคตั้งกองทุนหนึ่งล้านบาทช่วยเหลือตชด.และครอบครัวพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงมีบทบาท เรื่องนโยบายเศรษฐกิจและความมั่นคงแห่งชาติ อย่างจริงจังมากขึ้น ในระหว่างการเสด็จเยือนอเมริกาเหนือเป็นเวลา 25 วันในเดือนมิถุนายน 2510 นอกจากการเสด็จเยือนแคนาดาอย่างเป็นทางการเป็นเวลาสามวันแล้ว ทรงใช้เวลาที่เหลืออยู่ในสหรัฐฯโดยไม่มีฮอลลีวูด ไม่มีดนตรีแจ๊ซ หรือพาเหรดโปรยริบบิ้น หากแต่เป็นพระราชกรณียกิจเรื่องความสัมพันธ์ด้านความมั่นคงระหว่างสหรัฐฯและไทยล้วนๆ

ในต้นปี 2510 สหรัฐฯ ได้ขอให้ไทยส่งกำลังทหาร 20,000 นาย ไปยังเวียตนามใต้ เพื่อสมทบกับการเคลื่อนกำลังพล 200,000 นายของสหรัฐฯเอง ไทยไม่ปฏิเสธ แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่ต้องเจรจาเช่น ความเหนียวแน่นที่สหรัฐฯมีต่อไทย

ในหลวงภูมิพลทรงเสด็จเยือนสหรัฐฯเพื่อเจรจาประเด็นเหล่านี้ด้วยพระองค์เอง พิธีกรรมไม่ได้ขาดหายไปในการเสด็จเยือน ทรงพระราชทานศาลาไทยให้กับอีสต์เวสต์เซ็นเตอร์ที่ฮอนโนลูลู และทรงเป็นประธานงานการกุศลสำหรับเด็กในลอสแองเจลิส แต่จุดประสงค์หลักคือการย้ำความต้องการของไทยต่อชาวอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นประธานาธิบดี ลินดอน บี จอห์นสัน นายเนลสัน เอ ร็อกกี้เฟลเลอร์ ผู้ว่าการรัฐนิวยอร์ค และว่าที่ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี และ นายเจมส์ ลีเนน James Linen เจ้าของนิตยสารไทม์ Time

ทรงรับปริญญากิตติมศักดิ์ที่วิทยาลัยวิลเลียม Williams College รัฐแมสสาจูเสท ตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์จัดงานเลี้ยงถวายทั้งสองพระองค์ ที่นิวยอร์ค พร้อมด้วยแขกคนสำคัญระดับกำหนดนโยบาย



ในการพระราชทานสัมภาษณ์แก่นักข่าว ทรงเน้นย้ำภัยคุกคามของคอมมิวนิสต์ทั่วทั้งโลก และทรงย้ำว่าคนอเมริกันที่ต่อต้านสงครามเวียตนามได้ตกเป็นเหยื่อของการล้างสมอง ท้ายที่สุดได้เสด็จพบ
ประธานาธิบดีจอห์นสัน ที่ทำเนียบขาวในวันที่ 27 มิถุนายน 2510






และทรงใช้เวลาส่วนใหญ่ของวันถัดมา กับรัฐมนตรีกลาโหมนายโรเบิร์ต แม็คนามารา Robert Mac Namara แล้วก็กับประธานาธิบดีจอห์นสันอีกครั้ง ก่อนหน้านี้ทรงขอให้สหรัฐฯ ยืนยันรับประกันความมั่นคงของไทยและเลิกสนับสนุนการทุจริตคอรัปชั่นในรัฐบาลไทย บันทึกการพูดคุยครั้งนั้นยังคงถูกเก็บเป็นความลับ (ทรงให้สัมภาษณ์นายสตีเวนสัน Stevensonภายหลังว่า หัวข้อหลักในการเจรจาก็คือทรงร้องขอเฮลิค็อปเตอร์หลายลำเพื่อใช้ในโครงการพัฒนาชนบทของพระองค์ และทรงบอกว่านี่คือทั้งหมดที่พระองค์ต้องการเพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ ซึ่งประธานาธิบดีจอห์นสันยอมตามคำขอ แต่ท่านนายพลแมคนามาร่าไม่เคยปฏิบัติตาม)

แต่ก็พอเดาได้ว่า คงเกี่ยวกับการจัดการกับความไม่สงบในไทยและการสนองตอบคำขอของสหรัฐฯ ที่จะให้ส่งทหารไทยไปเวียตนาม เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องแสดงว่าทรงเจรจาต่อรองเงื่อนไขในการส่งทหารไทยไปร่วมในสงครามของอเมริกัน โดยทรงตั้งข้อแม้ว่าทหารไทยจะเป็นอาสาสมัคร และได้รับการฝึกฝนเพิ่มเติม โดยได้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีขึ้น และได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้น

ยังทรงบอกด้วยว่า ทหารไทยที่ไม่ได้ไปเวียตนามก็ยังได้รับค่าตอบแทนต่ำและขาดการฝึกฝน และสมควรต้องได้รับความช่วยเหลือเพิ่มเติมจากสหรัฐฯ นอกจากนี้ ยังได้ทรงขอให้อเมริกากล่าวย้ำถึงคำมั่นสัญญาด้านความมั่นคงต่อประเทศไทย เนื่องจากท่าทีที่อ่อนลงของสหรัฐฯต่อเวียตนามใต้ และไทยก็กลัวว่าการส่งทหารไทยไปเวียตนาม จะยั่วยุให้เวียตนามเหนือบุกไทย แต่อเมริกาก็ยังสงวนท่าที ประธานาธิบดีจอห์นสันยังไม่รับปาก และในหลวงก็ทรงได้เรียนรู้ว่าการดำรงอยู่ของสหรัฐฯในอินโดจีนนั้นขึ้นอยู่กับการเมืองภายในของอเมริกาเป็นสำคัญ ประธานาธิบดีจอห์นสันได้กราบทูลพระองค์ว่า มีหนทางเดียวที่ไทยจะป้องกันตนเองได้ คือให้ทหารไทยได้มีประสบการณ์การสู้รบจริงในเวียตนาม และเตือนว่าประเทศไทยจำต้องเตรียมกำลังคนไว้ให้ได้มากที่สุดเมื่อเกิดสงครามในดินแดนของตนเอง
ในระหว่างการเสด็จทรงได้พบกับ นายเฮนรี่ เคิร์น Henry Kearns นักธุรกิจที่เป็นเจ้าของคฤหาสน์รับรองพระราชวงศ์ที่ลอสแองเจลิสในปี 2503 นาย Kearns กำลังวางแผนลงทุนในประเทศไทย โดยเฉพาะโรงงานเยื่อกระดาษ แต่มีอุปสรรคจากระบบราชการ ต่อมาได้มีการลงทุนระหว่างสำนักงานทรัพย์สินฯ กับโรงงานเยื่อกระดาษแห่งนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าได้ทรงเข้ามาช่วยให้โครงการผลิตเยื่อกระดาษนี้ได้เดินหน้าต่อไป หลังเสด็จกลับจากสหรัฐฯ

ในหลวงยังได้ลงมายึดคุมสายงานด้านความมั่นคงระดับล่างคือ ทรงเข้าไปพัวพันกับตชด. ซึ่งในตอนนั้นเป็นหน่วยงานสำคัญในการปราบปรามความไม่สงบ ตชด.สังกัดกรมตำรวจ เป็นกรมหนึ่งในกระทรวงมหาดไทย แต่มีความเป็นเอกเทศเกือบจะโดยสิ้นเชิง มีเฮลิค็อปเตอร์ราว 23 ลำที่ได้จากสหรัฐฯ ใช้สำหรับเคลื่อนย้ายกำลังไปตามจุดต่างๆ บริเวณเทือกเขาชายแดนภาคเหนือ สหรัฐฯแสดงความพอใจผลงานของตชด. ด้วยการมอบปืนเอ็ม-16 ใหม่เอี่ยมให้ในปี 2509 ขณะที่กองทัพบกของไทยยังใช้อาวุธเก่า

ส่วนกรมตำรวจที่เหลือ ก็ได้งบประมาณสนับสนุนจากหน่วยงานสหรัฐฯอีกแห่งหนึ่ง คือ สำนักงานความปลอดภัยของรัฐ Office of Public Safety ซึ่งค่อนข้างปิดลับ และทำงานด้านความมั่นคง ของ State Department ซึ่งก็คือกระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐ เป็นหน่วยงานระดับสำนักนายกรัฐมนตรีขึ้นต่อคณะรัฐมนตรีหรือประธานาธิบดี มีหน้าที่ดูแลงานต่างประเทศโดยมีเลขาธิการของรัฐคือ Secretary of State รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ เป็นผู้กำกับดูแล และเป็นตำแหน่งสำคัญมากเพราะสหรัฐมีบทบาทเป็นตำรวจโลก



ในสมัยประธานาธิบดีจอร์ชบุช จูเนียร์ มี
นางคอนโดลีซซา ไรซ์ Dr. Condoleezza Rice ดูแล






พอมาในสมัยประธานาธิบดีโอบามา มีนางฮิลลารี คลินตัน Hillary Clinton ทำหน้าที่นี้ มีเจ้าหน้าที่มากกว่า 3 หมื่นคน มีขอบเขตหน้าที่ปกป้องและช่วยเหลือชาวอเมริกันในต่างแดน ช่วยเหลือธุรกิจของสหรัฐทั่วโลก ประสานงานละสนับสนุนกิจกรรมระหว่างประเทศ ของหน่วยงานสหรัฐ แถลงชี้แจงนโยบายด้านการต่างประเทศ รวมทั้งสะท้อนความคิดเห็นของประชาชนต่อฝ่ายบริหาร ค้นคว้าวิเคราะห์งานด้านการทูต เศรษฐกิจ สังคม ความสัมพันธ์กับ 180 ประเทศทั่วโลก และองค์กรระหว่างประเทศ ฯลฯ มีเจ้าหน้าที่เทคนิคและผู้เชี่ยวชาญมากกว่า 5,000 คน ในสหรัฐคนที่ทำหน้าที่วิเคราะห์รายงานทั่วโลก และยังทำงานประสานกับกระทรวงกลาโหม กระทรวงการคลัง กระทรวงพาณิชย์และรัฐสภาหรือสภาคองเกรส

สำนักงานของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐแห่งนี้ได้สนับสนุนให้กรมตำรวจตั้งกองบินของตัวเองขึ้นมาภายใต้การบังคับบัญชาโดยตรงของอธิบดีกรมตำรวจ โดยเสนอให้เฮลิค็อปเตอร์ใหม่ 100 ลำพร้อมเชื้อเพลิง แต่มีเงื่อนไขว่าอธิบดีกรมตำรวจจะต้องรวมกองบินของตชด. เข้ามาไว้ในกองบินตำรวจเป็นหน่วยเดียว การทำเช่นนี้เท่ากับเป็นการตัดแสนยานุภาพของตชด. ทำให้ต้องหันไปใช้สัตว์พาหนะ (ล่อ) ขนสัมภาระบนภูเขาอย่างที่เคยทำในทศวรรษ 2490

อธิบดีกรมตำรวจตอบตกลง และสหรัฐฯ ก็เริ่มลำเลียงเฮลิค็อปเตอร์เข้ามาชุดแรก 22 ลำ แต่การโอนกองบินของตชด.ก็ทำไม่ได้ เพราะพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธยในพระราชกฤษฎีกายุบรวมกองบินเข้าด้วยกัน ทางวังยังได้ช่วยสนับสนุนให้ตชด.ได้รับยุทโธปกรณ์ใหม่ส่วนที่ดีที่สุดไป และอีกไม่กี่ปีต่อมาก็ได้ควบคุมการบินทั้งหมดของตำรวจ เป็นไปตามพระราชประสงค์ที่จะรักษากองกำลังส่วนพระองค์เอาไว้

พระราชดำรัสหรือพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัว ที่มีต่อสาธารณชนนับวันจะดุดันมากขึ้นทุกที พระราชกรณีกิจทางทหารและการวางพระองค์ในหมู่ทหาร การเสด็จเยือนสหรัฐฯเพื่อทรงเจรจาความด้านความมั่นคง เป็นการตอบโต้คำวิพากษ์วิจารณ์ที่ว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงหุ่นเชิดที่ใช้เวลาอยู่แต่กับดนตรีแจ๊ซและเรือใบเท่านั้น รัฐบาลวอชิงตันได้เพิ่มงบประมาณและยุทโธปกรณ์ ให้ทหารไทยตามที่ทรงร้องขอ ทหารไทย 10,000 นายแรกก็ไปถึงไซ่ง่อนเป็นการตอบแทนในเดือนกันยายน 2510 แม้ว่าวอชิงตันยังคงติดต่อธุระการงานผ่านจอมพลถนอมกับจอมพลประภาสเป็นหลัก แต่พระองค์ก็ทรงเริ่มมีบทบาทสร้างอำนาจเหนือการเมืองไทย

แม้ว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล มักจะทรงมีพระราชดำรัสที่ค่อนข้างวกวนคลุมเคลือโดยเจตนาอยู่เป็นประจำก็ตาม แต่ทรงมีพระทัยตั้งมั่นและลนลาน ในการที่จ้องทำลายล้างแนวคิดและขบวนการต่อสู้เรียกร้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยทรงร่วมปลุกปั่นสร้างภาพที่น่าหวาดกลัวแก่ขบวนการประชาธิปไตย หรือที่เรียกกันว่า การปลุกผีคอมมิวนิสต์ ในขณะที่ทรงปกป้องเกื้อหนุนเผด็จการทหารที่โหดร้ายป่าเถื่อนและทุจริตขี้ฉ้อ ในนามกองทัพของพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด
......




ไม่มีความคิดเห็น: