หรือที่ : http://www.mediafire.com/?hvkccqc5t05qk4i
ตำนานๆ : 009008 เจ้า หรือ โจร
ในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินเคยมีพระราชปณิธานแน่วแน่ว่า " บุคคลผู้ใด เป็นอาทิ คือ เทวดา บุคคลผู้มีฤทธิ์มาประสิทธิ์ มากระทำ ให้ข้าวปลาอาหารสมบูรณ์ขึ้น ให้สัตว์โลกเป็นสุขได้ แม้ผู้นั้นจะปรารถนาพระพาหาแห่งเราข้างหนึ่ง ก็อาจตัดบริจาคให้แก่ผู้นั้นได้ ความกรุณาเป็นสัตย์ฉะนี้ " กล่าวคือพระเจ้าตากสินมีความมุ่งมั่นตั้งพระทัยว่าใครก็ตามที่สามารถทำให้ประเทศชาติและประชาชนมีความสมบูรณ์พูนสุข ถ้าบุคคลผู้นั้นต้องการแขนของพระองค์ข้างหนึ่ง พระองค์ก็จะทรงยินดีตัดแขนให้
ดังนั้นในช่วงใกล้วาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพ แม้ทหารที่จงรักภักดีจะพร้อมพลีชีพเพื่อพระองค์ เพื่อต่อสู้กับการการปล้นราชบัลลังก์โดยพระยาจักรี แต่ก็มีพระราชดำรัสว่า “สิ้นบุญพ่อแล้ว อย่าให้ยากแก่ไพร่เลย” พระองค์จึงถูกสำเร็จโทษเมื่อวันที่ 6 เมษายน 2325 พร้อมกับเชื้อพระวงศ์และขุนนางกว่า 150 คน รวมถึง พระยาพิชัยดาบหัก
ถือเป็นการกวาดล้างทางการเมืองแบบนองเลือดมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย
ในการปราบดาภิเษกของสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าขึ้นเป็นรัชกาลที่ 1 แห่งพระราชจักรีวงศ์นั้น สมเด็จพระอนุชาในรัชกาลที่ 1 หรือ กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (วังหน้าพระยาเสือ) ทรงกราบทูลความตอนหนึ่งดังมีบันทึกไว้พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า "บรรดาบุตรชายน้อยๆ ของเจ้าตากสิน จะรับพระราชทานเอาไปใส่เรือล่มน้ำเสียให้สิ้น คำบุราณกล่าวไว้ ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ซึ่งจะเลี้ยงไว้นั้นหาประโยชน์ไม่ จะเป็นเสี้ยนหนามไปภายหน้า"อย่างไรก็ดีโอรสของพระเจ้าตากสินพระองค์หนึ่งเหลือรอดมาได้ คือเจ้าฟ้าเหม็น เพราะเป็นหลานของรัชกาลที่ 1 ซึ่งได้ขอเว้นชีวิตไว้ และโปรดสร้างวังท่าพระให้อยู่ ปัจจุบันเป็นที่ตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรตรงข้ามวัดพระแก้ว แต่พอรัชกาลที่ 1 สวรรคตได้เพียง 7 วัน และผลัดแผ่นดินมาสู่รัชกาลที่ 2 พระราโชบายที่เคยมีมาแต่ต้นรัชกาลก็มาประสบผลโดยหาเหตุที่พิลึกพิลั่นว่า อีกาได้คาบข่าวมาบอกว่าเจ้าฟ้าเหม็นจะก่อการกบฎแย่งชิงราชบัลลังก์ ในที่สุดก็มีการตั้งตุลาการขึ้นชำระความ ซึ่งตุลาการสมัยโน้นก็คงจะพอๆกับตุลาการภิวัฒน์ในสมัยรัชกาลที่ 9 คือหาพยานหลักฐานไม่พบแต่ก็หาเรื่องสำเร็จโทษจนได้ โดยมีความตอนหนึ่งว่าไว้ดังนี้
มีรับสั่งโปรดเกล้าฯ ว่า อ้ายเมืองให้การถึงหม่อมเหม็น ทั้งนี้ยังเลื่อนลอยอยู่เห็นหาจริงไม่ แต่ทะว่าเป็นความแผ่นดิน จึงให้ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย ตริตรองชำระเอาความจริง ตุลาการศาลยุติธรรมในเวลานั้นตริตรองแล้วก็ชำระความออกมา ด้วยการที่เจ้าฟ้าเหม็นทรงถูกถอดยศเป็น "หม่อมเหม็น" นำไปสำเร็จโทษที่วัดปทุมคงคา
ส่วนพระโอรส 6 พระองค์ของเจ้าฟ้าเหม็นก็ต้องโทษ " ตัดหวายอย่า่ไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก " คือ หม่อมเจ้าชายใหญ่ หม่อมเจ้าชายสุวรรณ หม่อมเจ้าชายหนูเผือก หม่อมเจ้าชายสวัสดิ์ หม่อมเจ้าชายเล็ก และ หม่อมเจ้าชายแดง ทรงถูกนำไป "ถ่วงน้ำ" ที่ปากอ่าว ก็เป็นอันว่าพระราโชบายที่กำหนดไว้นับแต่ปราบดาภิเษกสถาปนาพระราชจักรีวงศ์ ก็มาบรรลุผลในตอนหลังรัชกาลที่ 1 สวรรคตลงเพียง 7 วันนั่นแล ส่วนเรื่องที่นักประวัติศาสตร์บางส่วนเชื่อว่าสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้ถูกสำเร็จโทษ แต่ทรงจงใจสละราชบัลลังก์เพื่อจะได้มิต้องชำระเงินกู้จากประเทศจีน เมื่อทรงได้รับการปล่อยตัวอย่างลับ ๆ แล้วจึงเสด็จลงเรือสำเภาไปประทับที่เขาขุนพนม จังหวัดนครศรีธรรมราช และเสด็จสวรรคตที่นั่นในปี พ.ศ.2368 ก็คงเป็นไปได้ยาก เพราะขนาดลูกหลานพระเจ้าตากทั้งตัวเล็กตัวน้อยก็ถูกสำเร็จโทษไม่มีเหลือ
แต่เหตุการณ์ปัจจุบันในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลแห่งราชวงศ์จักรี ไม่ใช่ว่าทำลายล้างฆ่าให้ตายหมดทั้งโคตรแบบที่พระยาจักรีได้กระทำต่อพระเจ้าตากและรัชทายาท คือไม่ได้ฆ่าพ่อคือคุณทักษิณ แล้วจะตามไปล้างลูกๆ ของคุณทักษิณ เช่น คุณโอ๊ก คุณเอม คุณอุ๊งอิ๊ง แต่เป็นการเปรียบเปรยว่า ต้องกำจัดหน่อแนวแถวพันธุ์ที่ยังสนับสนุนคุณทักษิณให้ราบเรียบ ชนิดขุดรากถอนโคนแบบเดียวกัน
เรื่องมีอยู่ว่า ก่อนจะมีการตัดสินคดียุบพรรคไทยรักไทยนั้น ได้มีข้อยุติตามความประสงค์ของเบื้องบนว่า ตัดหวายอย่าไว้หนามหน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก ในที่นี้พ่อก็คือรัฐบาลทักษิณที่ถูกทหารของพระราชาทำรัฐประหารล้มล้างไป ลูกคือพรรคไทยรักไทยจะต้องโดนยุบ และเมื่อไทยรักไทยโดนยุบก็คงเหลือหลาน(ซึ่งตอนนั้นยังไม่มีพรรคพลังประชาชน)ก็ต้องตามไปฆ่าหลานอีกที และก็ต้องกวาดล้างไปถึงชั้นเหลนคือพรรคเพื่อไทย หรือประหารจนหมด 7 ชั่วโคตร หรือจนกว่าจะหมดเผ่าหมดพันธุ์ แต่แผนทำลายล้างคุณทักษิณอย่างขุดรากถอนโคนคงไม่จบลงง่ายๆเหมือนการฆ่าลูกหลานพระเจ้าตากสินอย่างที่พวกเจ้าราชวงศ์จักรีคาดคิดไว้ก็ได้
ขณะที่พระเจ้าตากสินทรงยินดีที่จะตัดแขนของพระองค์ ให้คนที่สามารถทำให้ประชาชนมีความสมบูรณ์พูนสุข แต่กษัตริย์ราชวงศ์จักรีกลับจ้องคิดทำลายนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดคนหนึ่ง ทั้งๆที่ท่านนายกรัฐมนตรีท่านนี้ไม่เคยคิดที่จะต่อสู้เพราะไม่อยากให้เกิดการเสียเลือดเนื้อของคนไทยด้วยกัน ....จะกล่าวได้ไหมว่าคุณทักษิณสืบทอดเจตนารมณ์ของพระเจ้าตากสินกษัตริย์ผู้กู้เอกราช ในขณะที่พระเจ้าอยู่หัวก็ทรงสืบทอดความคิดของพระยาจักรีหัวหน้ากบฏผู้วางแผนโค่นล้มแย่งชิงราชบัลลังก์จากพระเจ้าตากสิน
มือที่มองไม่เห็น
คงไม่ใช่พลเอกเปรม
มือที่มองไม่เห็นหมายถึง ผู้ที่มีอำนาจคอยบงการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งมีมานานแล้วตั้งแต่สมัยที่พระยาจักรีทำรัฐประหารแย่งชิงพระราชบัลลังก์จากพระเจ้าตากสินโดยอาศัยขุนนางจากสมัยกรุงศรีอยูธยาเป็นฐานอำนาจสำคัญ พอมาถึงสมัยรัชกาลที่ 3 ถึงรัชกาลที่ 5 เป็นยุคที่ขุนนางโดยเฉพาะตระกูลบุนนาคได้กุมอำนาจที่แท้จริง มาสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากที่ทรงบรรลุนิติภาวะแล้วจึงได้รวมศูนย์อำนาจอยู่ที่พระเจ้าอยู่หัวที่เรียกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่สร้างความร่ำรวยมั่งคั่งมหาศาลแก่กษัตริย์ไทยที่ใช้จ่ายอย่างไม่อั้นชนิดล้างผลาญจนนำไปสู่ภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจในสมัยรัชกาลที่ 7 จนนำไปสู่การยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยคณะราษฎรเมือ่ปี 2475
แต่เครือข่ายเจ้าก็พยายามฟื้นฟูอำนาจโดยส่งกำลังทหารของพระองค์เจ้าบวรเดชเข้ายึดอำนาจคืนแต่ถูกปราบราบคาบ ต่อมาได้เกิดกรณีสวรรคตรัชกาลที่ 8 กลายเป็นจุดหักเห ที่ระบอบเจ้าใช้ฟื้นความนิยมและใช้ทำลายนายปรีดีโดยอาศัยความแตกแยกของคณะราษฎร ตามด้วยการใช้จอมพลสฤษดิ์โค่นล้มจอมพลป.คนไม่เอาเจ้า ระบอบเจ้าและเผด็จการสฤษดิ์ได้จับมือประสานกันอย่างเหนียวแน่น ปลูกฝังความคิดคลั่งเจ้านิยมกษัตริย์อย่างกว้างขวางและลึกซึ้ง
ความเป็นมาของพลเอกเปรม
จากความตื่นตัวของประชาชน รวมทั้งการที่วังไม่ไว้วางใจจอมพลประภาสและพันเอกณรงค์ ได้ก่อให้เกิดเหตุการณ์นองเลือด 14 ตุลาคม 2516 เมื่อหน่วยปราบจลาจล ซึ่งมีทั้งตำรวจกองปราบและนครบาลที่อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของ พล.ต.ท.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลที่สกัดห้ามผู้ชุมนุมประท้วงเดินผ่านถนนพระรามห้าไปแยกดุสิต โดยอ้างพล.ต.ท.ประจวบ สุนทรางกูร รองอธิบดีกรมตำรวจ ออกคำสั่งให้ตำรวจเข้าสลายกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อจุดชนวนการนองเลือดให้จอมพลถนอม-ประภาสต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ ต่อมาในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุ์คงชื่น เป็นอธิบดีกรมตำรวจ มีหน้าที่กวาดล้างภายใต้นโยบายขวาพิฆาตซ้าย จนรัฐบาลเสนีย์ ปราโมชไม่สามารถควบคุมสถาณการณ์จนถูกยึดอำนาจเมื่อ 16.00 น.ของวันที่ 6 ตุลาคม 2519 โดยใช้กำลังตำรวจตระเวณชายแดนของวังเข้าปราบปรามและฝึกฝนการสังหารประชาชนให้แก่พวกกระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้าน โดยมีพตอ.สล้าง บุนนาค เป็นตัวประสานงานกำลังตำรวจปราบจลาจลร่วมสร้างสถานการณ์ปราบนักศึกษาและยึดอำนาจรัฐบาล การก้าวหน้าในตำแหน่งของ พล.ต.อ.มนต์ชัย เป็นผลต่างตอบแทนจากการช่วยโค่นล้มอำนาจของจอมพลถนอม
พอพลเอกเปรมได้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็แต่งตั้งพล.อ.ประจวบ สุนทรางกูร ซึ่งออกคำสั่งจนนำไปสู่การนองเลือดเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2516 เป็นรองนายกรัฐมนตรีควบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ในขณะที่หัวขบวน พล.อ. กฤษณ์ สีวะรา และเจ้าของคำสั่งในฐานะผู้อำนวยการกองกำลังรักษาพระนคร ก็เสียชีวิตไปอย่างเป็นปริศนาพร้อมกับหลักฐานต่างๆ ตอนนั้นคุณเปรมเพิ่งเลื่อนจากตำแหน่งนายทหารพิเศษประจำ กรมมหาดเล็กที่ 1 รักษาพระองค์ขึ้นเป็นรองแม่ทัพ ภาคที่ 2 ดูแลพื้นที่ภาคอีสาน มียศพลตรีเท่านั้นยังไม่ได้มีอำนาจบารมีแต่อย่างใด
ปี 2517 เปรมก็ได้เลื่อนเป็นแม่ทัพภาคที่ 2 และเป็นผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ยศพลเอกในปี 2520 เพียงปีเดียว พอขึ้น ปี2521 ก็ได้เป็นผู้บัญชาการทหารบก โดยย้ายพล.อ.เสริมไปเป็นผู้บัญชาการทหารสูงสุด เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2521 การขึ้นสู่อำนาจของเปรมจากทหารต่างจังหวัดที่ไม่มีชื่อเสียง แล้วก้าวพรวดขึ้นมาอยู่ส่วนหัวของกองทัพ โดยใช้เวลาแค่สองปี ทั้งๆที่เป็นคนหน้าใหม่ในกองทัพ เพราะการโค่นล้มจอมพลถนอมนั้นไม่ได้มีแผนการรองรับล่วงหน้า จึงไม่มีการเตรียมการสำหรับผู้ที่จะมาสืบต่ออำนาจอย่างเป็นระบบ กองทัพจึงขาดผู้นำที่จะทดแทนเพราะส่วนใหญ่เติบโตขึ้นมาจากยุคจอมพลถนอมเรืองอำนาจ จึงจำเป็นที่ต้องสร้างนายทหารรุ่นใหม่ และหน้าใหม่
ปี 2522 พลเอกเปรมควบเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ควบตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกซึ่งเป็นข้าราชการประจำ พร้อมกับการสร้างฐานกำลังใหม่ด้วยการดึง พล.ต. อาทิตย์ กำลังเอกจากผู้บัญชาการกองพลที่ 3 มาเป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ คุมพื้นที่กรุงเทพ บวกกับกลุ่มนายทหารยังเติร์ก จปร.รุ่น 7 ฐานกำลังสำคัญของพลเอกเปรม ที่ทรงอิทธิพลคุมกำลังหลักถึง 79 กองพล ทำให้อำนาจของพลเอกเปรมกล้าแข็งมาก
ในปี 2523 พลเอกเปรมจึงกล้าโค่นพล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้วตนเองขึ้นแทน แล้วมีการโค่นล้มคู่แข่งอีกหลายคนทั้งเพื่อนสนิทอย่างพล.อ.สัณห์ จิตรปฏิมา เมื่อปี 2524 ในกรณีกบฏเมษาฮาวาย และกลุ่มนายทหารเก่าจากยุคสมัยที่จอมพลถนอม เช่น พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ อดีตนายก พล.อ.เสริม ณ นคร อดีตรองนายก พล.อ.ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พล.อ.กระแส อินทรัตน์ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด พลอากาศเอกอรุณ พร้อมเทพ รองผู้บัญชาการทหารสูงสุด การปลดพล.อ.อาทิตย์ กำลังเอก การโค่นพล.อ.สุจินดา คราประยูรในสมัยพฤษถาทมิฬ จนกระทั่งการสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายจนนำไปสู่การยึดอำนาจล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในยุคคมช. ก็เป็นผลงานที่ผ่านพลเอกเปรมโดยมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่หนุนหลังมาตลอด จนพลเอกเปรมได้รับฉายาว่า นักฆ่าแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา
การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ทำให้มองเห็นภาพของพลเอกเปรมชัดเจนเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนอำนาจนอกระบบ ไม่ว่าจะเป็นกรณีนำคณะนายทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวฯกลางดึก หรือเข้าไปบงการจัดตั้งรัฐบาลโดยมีแม่ทัพนายกองมุ่งหน้าไปบ้านสี่เสาเป็นประจำ มีการออกมารับประกันพล.อ.สุรยุทธ จุลานนท์ว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดของประเทศไทย การครอบงำกระบวนการยุติธรรมด้วยการโทรศัพท์ตรงไปสั่งการเอง จนส่งผลให้มีคำสั่งตัดสินจำคุกสามกกต.ชุดพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภโดยไม่รอลงอาญาและการยุบพรรคไทยรักไทยพร้อมการเพิกถอนสิทธิ์นักการเมือง 111 คนที่เป็นกรรมการบริหารพรรค โดยคณะตุลาการโจรที่ได้รับการแต่งตั้งจากคณะรัฐประหาร ซึ่งปรากฏหลักฐานเป็นเทปเสียงที่ผู้แอบดักฟังและอัดบันทึกไว้ แล้วถูกคุณจักรภพ เพ็ญแขนำไปเปิดเผยกลางสนามหลวง
กลุ่มทหารโจรที่ของพลเอกเปรมก็ได้รวบรวมกลุ่มบุคคลที่เป็นศัตรูกับคุณทักษิณเข้าไปทำงานตามองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อรองรับรัฐบาลเถื่อนที่จัดตั้งขึ้น ทำหน้าที่ในการไล่ล่าคุณทักษิณและพลพรรคให้หลุดพ้นจากเส้นทางการเมืองอย่างถาวรตลอดไป ทำให้ประชาชนได้เห็นพวกทรชนที่แฝงเข้ามาในหลากหลายสาขาอาชีพ และแยกย้ายไปทำหน้าที่ต่างๆกัน ไม่ว่าจะเป็นตุลาการโจรที่ทำให้ตาชั่งเอียง โจรรัฐธรรมนูญที่เขียนร่างบัญญัติข้อบังคับโจร นักวิชาการและคณาจารย์โจรที่สอนและวิจารณ์นอกตำราอันตรงข้ามกับหลักการประชาธิปไตย สื่อโจรที่คอยบิดเบือนและปลุกกระแสฝักใฝ่เผด็จการ โดยมีองค์กรอิสระโจรเป็นผู้ชี้เป้าหาเหตุ โดยมีความต้องการล้มล้างระบอบประชาธิปไตย
ต่อต้านนโยบายประชานิยม ซึ่งก็คงมีประเทศไทยประเทศเดียวที่ต่อต้านในสิ่งที่เป็นความต้องการของคนส่วนใหญ่ในประเทศ และขับไล่และทำลายผู้นำที่มีผลงานมากที่สุดและเป็นที่ชื่นชอบได้รับความนิยมสูงสุดจากประชาชนทั่วประเทศ เป็นการจงใจกำจัดคนดีมีความสามารถให้พ้นทาง
พลเอกเปรมเป็นเพียงผู้กำกับอยู่หน้าเวที ทำหน้าที่ล่อเป้าไม่ให้ผู้คนจับได้ว่ามีผู้ชักรอกอยู่ข้างหลัง กลุ่มพันธมิตรอาศัยอิทธิพลของวังทำการเคลื่อนไหวเพื่อในหลวงอย่างเปิดเผย ด้วยสัญลักษณ์เสื้อเหลือง พระบรมฉายาลักษณ์ เขียนข้อความติดข้างรถนำฝูงชนเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล หน้ารถขบวนมีการติดธง สก.ของพระราชินี โดยไม่มีการคัดค้านจากฝ่ายเจ้า ทำให้ประชาชนจำนวนมากสามารถเห็นความเชื่อมโยงและผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
การเพิ่มสิทธิ์และอำนาจให้สถาบันพระมหากษัตริย์กลายเป็นอภิสิทธิ์ชนที่อยู่เหนือรัฐธรรมนูญ และอภิสิทธิ์ที่พระเจ้าอยู่หัวได้รับต้องได้ครอบคลุมและเผื่อแผ่ไปถึงคนอื่นๆ ที่ยึดสถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องฟอกขาวให้กับตัวเองและพวกพ้องให้หลุดพ้นจากการกระทำผิดกฎหมายของบ้านเมือง เช่น การออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มทหารโจรที่ทำการยึดอำนาจซึ่งมีความผิดในข้อหากบฏ หรือการแต่งตั้งรัฐบาลเถื่อนที่มาจากอำนาจนอกระบบล้วนแต่เป็นการฉุดให้พระมหากษัตริย์เข้าไปมีส่วนร่วมในการทำความผิดด้วยความจงใจทั้งนั้น
ขบวนการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณได้มีการนำร่องโดยนายเอกยุทธ อัญชันบุตร โผล่ขึ้นมาโหมโรงกลางท้องสนามหลวงโดยมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เจ้าพ่อทีพีไอซึ่งถูกหลอกว่าจะได้บริษัทคืนถ้าล้มรัฐบาลทักษิณสำเร็จ ได้เกณฑ์พนักงานมาเป็นกองเชียร์นับพันคน
แล้วทั้งสองก็จูงมือไปพรรคประชาธิปัตย์ หานายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคในเวลานั้น เพื่อเสนอเงินช่วยเหลือพรรคเป็นเงินถึงหนึ่งพันล้านบาท จากนั้นประธานองคมนตรีพลเอกเปรม รับเป็นหัวขบวนเดินทางไปยังองค์กรและสถาบันต่างๆเพื่อทำการรณรงค์ต่อต้านรัฐบาลทักษิณเป็นการเรียกน้ำย่อย โดยได้รับการขานรับกันอย่างเต็มที่ในแวดวงนักวิชาการและคณาจารย์ตามสถาบันต่างๆ รวมทั้งเจ้าพ่อสื่อและนักจัดรายการชื่อดังนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เคยสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ แต่กลับเปลี่ยนมาโจมตีรัฐบาลไทยรักไทย โดยมีคุณทักษิณเป็นเป้าใหญ่ในการทำลาย เมื่อการต่อสู้ยิ่งยาวนานออกไป ก็มีตัวแสดงถูกชักรอกออกมาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ขณะที่นายสนธิก็ยิ่งแข็งกล้าขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คุณทักษิณเริ่มเฉลียวใจ จึงเปลี่ยนท่าทีจากที่เคยเชื่อมั่นในตัวเองมาเป็นเข้าเฝ้าฯสลับกับเข้าบ้านสี่เสาเพื่อขอคำแนะนำ จากที่เคยมีบุคลิกเป็นผู้นำที่แข็งกร้าวฉับไวมาเป็นสุภาพและอ่อนโยนพร้อมกับเรียกหาความสมานฉันท์ สุดท้ายต้องยินยอมถอยถึงขั้นยุบสภาและประกาศเว้นวรรคทางการเมืองตามคำแนะนำของใครบางคนด้วยความจงรักภักดี หรือแม้แต่คดีความที่ฟ้องร้องนายสนธิ คุณทักษิณก็มอบหมายให้ทนายความทำการถอนฟ้อง ในขณะที่คุณทักษิณมีอาการถอยร่นแต่นายสนธิกลับปฏิบัติการรุกไล่อย่างเมามันชนิดที่ฝ่ายรัฐบาลตั้งรับไม่ทัน
หลังจากที่คุณทักษิณพอตั้งหลักได้ก็เลยหวนกลับคืนสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง นายสนธิก็ไม่อาจเอาชนะได้ ทั้งๆที่มีกลุ่มบุคคลหลากหลายสาขาอาชีพร่วมด้วย รวมทั้งการอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์โดยปราศจากการท้วงติงจากบุคคลที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้สึกถึงความผิดปกติว่าคงเป็นการสมยอม แต่ก็ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ด้วยติดเงื่อนไขทางกฎหมาย
สำหรับประชาธิปไตยแบบไทยๆที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขนั้น รัฐบาลแม้จะมาจากการเลือกตั้ง แต่ยังจะต้องรอให้พระมหากษัตริย์ลงนามแต่งตั้ง เช่น กรณีคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา ที่นายสุชน ชาลีเครือ ประธานวุฒิสภาเสนอชื่อ นายวิสุทธิ์ มนตริวัตรขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อเป็นผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินคนใหม่แทนคุณหญิงจารุวรรณ แต่ก็ไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯลงมา หลังจากเวลาผ่านไปกว่า 100 วัน นายวิสุทธิ์ต้องขอถอนตัวเพื่อหลีกทางให้คุณหญิงจารุวรรณคงอยู่ในตำแหน่งต่อไปตามพระราชประสงค์ การแต่งตั้งผู้บัญชาการทหารอากาศก็เช่นเดียวกันเมื่อนายกทักษิณลงนามเห็นชอบแล้วส่งเรื่องทูลเกล้าฯก็ไม่ยอมลงพระปรมาภิไธย จนต้องขอเรื่องกลับคืนมาแก้ไขเป็นพล.อ.อ.ชลิต ผุกผาสุข แล้วส่งขึ้นไปใหม่ในหลวงถึงยอมลงพระปรมาภิไธยให้ประกาศใช้ เป็นการสะท้อนถึงธรรมเนียมปฏิบัติ ที่ปล่อยให้พระมหากษัตริย์แทรกแซงมาโดยตลอดตั้งแต่การยึดอำนาจของจอมพลสฤษดิ์เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2500 เป็นต้นมา เห็นชัดว่า อำนาจทั้งสามองค์กรคือบริหาร,นิติบัญญัติและตุลาการตกอยู่ภายใต้อำนาจของพระมหากษัตริย์อย่างเบ็ดเสร็จเป็นอุปสรรคต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยและเป็นการทำลายโครงสร้างทั้งระบบเลยที่เดียว
นับตั้งแต่รัฐบาลคุณทักษิณเป็นต้นมาต่อเนื่องถึงนายสมัคร จนกระทั่งมาถึงยุคนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ล้วนถูกอำนาจของพระเจ้าอยู่หัวกลั่นแกล้งและทำลายด้วยการใช้องค์กรต่างๆเป็นเครื่องมือ ทำให้การบริหารประเทศของรัฐบาลไม่อาจที่จะขับเคลื่อนต่อไปได้ เนื่องจากข้าราชการในเกือบทุกหน่วยงานโดย เฉพาะอย่างยิ่งกองทัพไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล และยังยอมเป็นเครื่องมือของสถาบันกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ทรงเป็นผู้แต่งตั้งตำแหน่งสำคัญๆทางราชการ รวมทั้งองค์กรเอกชนและองค์กรศาสนาก็ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของพระมหากษัตริย์ด้วย
การเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลทักษิณ มีจุดเริ่มต้นจากกลุ่มคนที่มีฐานะและชื่อเสียงของสังคมเป็นส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นคุณหญิงคุณนาย หรือกลุ่มราชนิกูล ล้วนแต่เป็นบุคคลชั้นสูงซึ่งได้อาศัยบารมีของพระมหากษัตริย์ทั้งนั้น ตำแหน่งคุณหญิง ท่านผู้หญิง จนถึงพระราชาคณะ ล้วนแต่เป็นมาจากการแต่งตั้งโดยกษัตริย์ทั้งนั้น แม้กระทั่งการแจกปริญญาบัตรและกะบี่ให้กับนักศึกษา นักเรียนนายร้อยทั้งสี่เหล่าก็ต้องผูกขาดโดยสถาบันพระมหากษัตริย์
ในทุกๆช่วงชีวิตของกษัตริย์ สามารถบันดาลผู้คนในทุกสาขาอาชีพให้เป็นบุคคลชั้นสูงได้เสมอ ตั้งแต่ช่างทำผม ช่างตัดเย็บ ช่างทำกระเป๋าและรองเท้า ล้วนมีสิทธิได้ครอบครองตำแหน่งคุณหญิงทั้งสิ้น ครั้นในหลวงและราชินีเข้าสู่วัยชราโรคภัยเริ่มถามหา ชีวิตเริ่มมีความจำเป็นต้องใกล้ชิดหมอ ตำแหน่งคุณหญิงก็เลยถูกกลุ่มบุคคลที่มีอาชีพเป็นหมอยึดไปครองเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นหมอตา หมอหัวใจเป็นต้น หมอที่เป็นแพทย์หญิงก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นคุณหญิง ส่วนหมอผู้ชาย เมียของหมอก็เป็นคุณหญิง หมอที่ได้รับการแต่งตั้งล้วนแต่เป็นหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรค ซึ่งมักจะเป็นอาจารย์หมอที่มีอิทธิพลในวงการหมอด้วยกัน ดังนั้นหมอจำนวนมากในโรงพยาบาลจุฬาฯจึงมีบทบาทในการเคลื่อนไหวปกป้องระบอบเจ้า
กระแสพระราชดำรัสก็เป็นที่มาของความวุ่นวายโดยตลอด ก่อให้เกิดการแตกแยกเนื่องจากการตีความ คือ ภาษาพูดของพระเจ้าอยู่หัวทำให้คนเข้าใจไม่ตรงกันในทุกครั้ง ต้องมีการนำไปตีความและในบางกระแสพระราชดำรัสมีการตีความกันข้ามภพข้ามชาติก็ยังคงไม่เป็นที่เข้าใจกันอยู่ดี เช่น ในหลวงพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง เมื่อปี 2540 พอจับใจความได้ว่าให้ประชาชนจับจ่ายใช้สอยให้เพียงพอกับรายได้ที่หามา แต่ในปีถัดไป ในหลวงก็ต้องมาพูดซ้ำอีกหนโดยให้ความหมายว่า “ให้พอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ถ้ามีพอมีพอกินทั้งประเทศก็ยิ่งดี” พอปี 2550 ทรงกลับมาพูดว่าหลักเศรษฐกิจพอเพียงก็คือ เมื่อมีเงินต้องนำออกมาใช้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ท่านสนับสนุนให้กองทัพบกและกองทัพอากาศจัดซื้ออาวุธ
ยังมีกระแสพระราชดำรัสหลายครั้ง ที่สื่อความหมายแบบเลือกข้าง สนับสนุนกันอย่างออกหน้า เช่น ทรงชมรัฐบาลขิงแก่ที่มาจากการยึดอำนาจว่าเป็นคนดี ในขณะที่สังคมกำลังตั้งคำถามในกรณีเขายายเที่ยง การออกมาชมรัฐบาลสุรยุทธ์ได้ถูกพลเอกเปรมนำมาขยายผลว่า คนที่จะมาเป็นนายกไม่จำเป็นต้องเก่ง ขอเพียงเป็นคนดีก็พอ เพราะเรื่องเก่งนั้นเรียนได้ แต่ความดีนั้นเรียนไม่ได้ นอกจากนี้แล้วก็ยังมีพระแสพระราชดำรัสที่สื่อความหมายไปในทางชี้นำ เช่น
กรณีในหลวงฯ ทรงย้ำ
ให้ตุลาการปกครองสูงสุด
ร่วมรับผิดชอบแก่ไขวิกฤติบ้านเมือง
เมื่อ 25 เมษายน พ.ศ. 2549
“ ที่ ได้ปฏิญาณนั้นมีความสำคัญมาก เพราะว่ากว้างขวาง หน้าที่ของผู้พิพากษา หน้าที่ของผู้ที่เกี่ยวข้องกับการปกครอง มีหน้าที่กว้างขวางมาก ซึ่งเกรงว่า ท่านอาจจะนึกว่า หน้าที่ของผู้ที่เป็นศาลปกครอง มีขอบข่ายที่ไม่กว้างขวาง ที่จริงกว้างขวางมาก ในเวลานี้อาจจะไม่ควรพูด แต่อย่างเมื่อเช้านี้เอง ได้ยินเขาพูดเกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง และโดยเฉพาะเรื่องเลือกตั้งของผู้ที่ได้คะแนน ได้แต้มไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แล้ว ก็เขาเลือกตั้งอยู่คนเดียว ซึ่งมีความสำคัญ เพราะว่าถ้าไม่ถึง ๒๐ เปอร์เซ็นต์ แล้วก็เขาคนเดียว ในที่สุดการเลือกตั้งไม่ครบสมบูรณ์ ไม่ทราบว่า เกี่ยวข้องกับท่านหรือเปล่า แต่ความจริงน่าจะเกี่ยวข้องเหมือนกัน เพราะว่าถ้าไม่มีจำนวนผู้ที่ได้รับเลือกตั้งพอ ก็กลายเป็นว่า การปกครองแบบประชาธิปไตย ดำเนินการไม่ได้แล้ว ถ้าดำเนินการไม่ได้ ที่ท่านได้ปฏิญาณเมื่อตะกี้นี้ ก็เป็นหมัน ถึงบอกว่าจะต้องทำทุกอย่าง เพื่อให้การปกครองแบบประชาธิปไตย ต้องดำเนินการไปได้ ท่านก็เลยทำงานไม่ได้ และถ้าท่านทำงานไม่ได้ ก็มีทางหนึ่ง ท่านอาจจะต้องลาออก เพราะไม่ได้มีการแก้ไขปัญหา ไม่ได้แก้ปัญหาที่มีอยู่ ต้องหาทางแก้ไขได้ เขาอาจจะบอกว่า ต้องไปถามศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลรัฐธรรมนูญก็บอก ไม่ใช่เรื่องของตัว ศาลรัฐธรรมนูญว่า เป็นการร่างรัฐธรรมนูญ ร่างเสร็จแล้วก็ไม่เกี่ยวข้อง เลย ขอร้องว่า ท่านอย่าไปทอดทิ้งความปกครองแบบประชาธิปไตย การปกครองแบบที่ จะทำให้บ้านเมืองดำเนินการผ่านออกไปได้ แล้วก็อีกข้อหนึ่ง การที่จะ ที่บอกว่า มีการยุบสภา และต้อง ต้องเลือกตั้งภายใน 30 วัน ถูกต้องหรือไม่ ไม่พูดเลย ไม่พูดกันเลย ถ้าไม่ถูก ก็จะต้องแก้ไข แต่ก็อาจจะให้การเลือกตั้งนี้ เป็นโมฆะหรือเป็นอะไร ซึ่งท่านจะมี จะมีสิทธิ ที่จะบอกว่า อะไรที่ควร ที่ไม่ควร ”
...สรุปก็คือทรงเห็นว่าการเลือกตั้งไม่ถูกต้อง ท่านย้ำให้ศาลปกครองยกเลิกการเลือกตั้ง ท่านเข้าข้างพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่ยอมลงเลือกตั้งเพราะรู้ตัวว่าแพ้แน่ๆ
กระแสพระราชดำรัส
เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2550
ต่อตุลาการรัฐธรรมนูญ
“ ท่านเองท่านก็รับผิดชอบและท่านก็มีหน้าที่ที่จะวิจารณ์ว่าเขาทำถูกหรือไม่ถูก ข้าพเจ้าเองไม่มีสิทธิใด ๆ ที่จะบอกว่าเขาทำถูกหรือไม่ถูก ซึ่งในใจก็ต้องรู้ได้ว่าเขาทำถูกหรือไม่ถูก ถ้าเขาทำไม่ถูกตัดสินว่าจะเป็นพรรคการเมือง จะมีอยู่หรือไม่มีก็เดือดร้อนทั้งนั้น ข้าพเจ้าเองก็ในใจมีคำตัดสินอยู่ แต่บอกท่านไม่ได้ เพราะไม่มีสิทธิที่จะบอก ท่านเองก็ไม่มีสิทธิ แต่ท่านต้องมีการตัดสินในใจ ว่าที่ศาลรัฐธรรมนูญเขาจะตัดสินถูกหรือไม่ ตรงนี้อยู่ในใจ แต่เขาจะตัดสินอย่างไรเดือดร้อนทั้งนั้น เสียหายทั้งนั้น คำตัดสินของเขาเดือดร้อน เสียหายสำหรับท่านเองทั้งนั้น ข้าพเจ้าก็เดือดร้อน ไม่มีสิทธิที่จะมาบอกว่าเขาทำถูก หรือไม่ถูก แต่รู้ในใจว่าเขาจะตัดสินอย่างไรก็ตาม รู้ในใจว่าเขาทำถูกหรือผิด ส่วนใหญ่ก็นึกว่าเขาทำผิดแน่ ” ..สรุปคือทรงสนับสนุนศาลรัฐธรรมนูญให้ยุบพรรคไปเลยไม่ว่าใครจะเสียหายก็ช่าง
ถ้าจะฟังให้เกิดความเข้าใจต้องถอดรหัสพระราชดำรัสได้ คืออย่าฟังทั้งหมด ใจความหลักมีเนื้อหาเพียงนิดเดียว และจะรู้และเข้าใจเฉพาะกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดฯที่เกี่ยวข้องไม่กี่คน นอกนั้นเป็นน้ำ เมื่อพูดเสร็จต้องมีการถอดรหัสจากกลุ่มบุคคลรับใช้ใกล้ชิดไปสู่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอีกที ดังเช่นเทปบันทึกเสียงสั่งการของพลเอกเปรมไปยังตุลาการ ที่ถูกนำมาเปิดเผย ผลก็คือ บรรดาหัวหน้าตุลาการทั้งหลายที่น้อมรับพระราชดำรัสไปปฏิบัติเพื่อทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งและล้มล้างหลักการของระบอบประชาธิปไตยต่างก็ได้ดิบดีได้ลาภยศได้ตำแหน่งกันถ้วนหน้า
รวมถึงกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองในพระบรมราชูปถัมถ์ ที่นำโดยนายสนธิและพลตรีจำลองกับพวกที่เป็นแกนนำจะไม่สามารถสร้างความปั่นป่วนได้อย่างเลวร้ายมหาศาล โดยที่กฎหมายไม่สามารถจัดการคนกลุ่มนี้ได้ ขณะที่มีผู้สนับสนุนปรากฏตัวให้เห็นชัดทั้งนายทหารหรือนักการเมือง ที่พากันเปิดตัวด้วยความมั่นใจในชัยชนะแม้แต่รถขนน้ำดื่มสนับสนุนกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองก็ไม่ต้องมีการปกปิดอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นรถติดป้ายพรรคประชาธิปัตย์หรือน้ำดื่มจิตรลดา ก็โชว์ป้ายหราเต็มที่
พระราชินีได้ทรงช่วยยืนยันให้สาธารณชนได้เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นผู้สนับสนุนและอยู่เบี้องหลังกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง โดยเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 มีการเสด็จไปเป็นประธานในพิธี พระราชทานเพลิงศพ น.ส.อังคนา ระดับปัญญาวุฒิ หนึ่งในสมาชิกที่กลุ่มกบฏเสื้อเหลืองที่เสียชีวิต จากการปิดล้อมตึกรัฐสภาเพื่อขัดขวางการแถลงนโยบายของรัฐบาลก่อนบริหารประเทศ
ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้นไม่กี่วัน คือวันที่ 1 ตุลาคม มีการปะทะกันระหว่างกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลืองและกลุ่มผู้ต่อต้าน นายณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง ถูกกลุ้มรุมทำร้ายจนเสียชีวิต และสื่อมวลชนได้แพร่ภาพว่าเป็นฝีมือของกลุ่มพันธมิตรเสื้อเหลือง แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแลและดำเนินการแต่อย่างใด ซึ่งแตกต่างกับการเสียชีวิตของน.ส.อังคณา ที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่จากพระราชวัง และยังเล่นงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นจำเลย ก่อนหน้านี้พระราชินีได้พระราชทานกระเช้าดอกไม้ไปให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับบาดเจ็บจากการปราบประชาชนที่ไปชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาที่เรียกร้องพลเอกเปรมให้ลาออกจากองคมนตรีเนื่องจากมีพฤติกรรมสนับสนุนการยึดอำนาจ
การที่พระราชินีเสด็จไปงานพระราชทานเพลิงศพ ทำให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดและผู้บัญชาการทั้งสามเหล่าทัพรวมทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ตลอดจนคณะองค์มนตรีและบุคคลสำคัญของประเทศต้องไปร่วมในงานนี้ด้วยอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทหารและข้าราชการ จึงทำให้กระบวนการยุติธรรมของไทยต้องผิดเพี้ยนโดยไม่มีหลักนิติธรรมเพราะศาลต้องตัดสินตามคำบัญชาของผู้มีบารมีหรือมือที่มองไม่เห็นนั่นเอง
ทำให้ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบกต้องพาผู้บัญชาการทหารทั้งสี่เหล่าตบเท้าออกอากาศทางโทรทัศน์ช่อง 3 เรียกร้องให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์นายกรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่งโดยมีพล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ผู้บัญชาการทหารสูงสุดร่วมอยู่ด้วย
การโค่นล้มรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 นั้นยังไม่บรรลุเป้าหมายของกลุ่มผู้ก่อการ ทั้งๆที่มีการใช้สถาบันและองค์กร ตลอดจนเครือข่ายต่างๆสนับสนุนอย่างเต็มที่ ถึงขั้นเปิดหน้าเล่นกันเต็มที่ แต่เกมการต่อสู้ก็ดูเหมือนไม่ประสบความสำเร็จและยังมีแนวโน้มว่ามีคนต่อต้านเพิ่มมากขึ้นและขยายไปสู่วงกว้างออกไปอีก การใช้อำนาจทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องน่ากลัวสำหรับผู้คนในเบื้องต้นเท่านั้น แต่เมื่อใช้อำนาจนั้นบ่อยเข้า ความกลัวของผู้คนก็จะหมดลงทุกที จนไม่มีใครกลัวอีกต่อไปแล้ว และไม่มีใครโง่ให้หลอกได้อีกต่อไปเช่นกัน
ระบอบอำมาตยาธิปไตย
อำมาตยาธิปไตย มีความหมายว่า อำมาตย์หรือข้าราชการเป็นใหญ่มีอำนาจสูงสุด
แต่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้ง และรัฐมนตรีที่เป็นนักการเมือง สามารถควบคุมข้าราชการได้ด้วยการโยกย้าย แต่งตั้ง ระบอบอำมาตยาธิปไตยจึงไม่น่าจะมีอยู่ได้ แต่ประเทศไทยยังมีโยงใยของอิทธิพลที่ยังตกค้างอยู่ของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยหมายถึง สถาบันพระมหากษัตริย์ และคณะองคมนตรีนั่นเองโดยทำให้คนเห็นว่าพล.อ.เปรม เป็นตัวแทนหรือผู้นำของระบอบนี้ แม้ว่าในหลวงได้แสดงท่าทีว่าทรงยึดมั่นในรัฐธรรมนูญ และไม่ทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้มีการใช้มาตรา 7 แตการที่พระองค์กลับให้การรับรองการยึดอำนาจโดยการนำของพล.อ.เปรม ทำให้กระทบถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย เพราะพล.อ.เปรมฯ เป็นประธานองคมนตรี
นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้พูดที่นิวยอร์ก ถึงความเป็นมาของผ้าพันคอสีฟ้า ที่เห็นในการชุมนุมของพันธมิตรเสื้อเหลืองก่อนการยึดอำนาจว่า
"เราสามารถที่จะรวมคนได้เป็นหมื่น หลายครั้งเป็นแสน พวกนี้ก้อ เห็นแล้วสิ เฮ้ย ไอ้เจ๊กแซ่ลิ้ม มันใช้ได้เว้ย ก็เข้ามาอยู่ข้างหลัง ตอนนี้ก็เริ่มแล้วสิ พลเอกสุรยุทธโทรมา พลเอกสนธิให้คนใกล้ชิดโทรมา ในวัง ในวังนี่มีเยอะ เส้นสายในวัง ทุกคนสนิทหมด แม่งสนิทกันชิบหายเลย 'ผมนี่ถึงเลยนะ ผมนี่คุณไม่ต้องพูดเลยว่าถึงไม่ถึง คุณมีอะไรคุณพูดมา รับรองถึงหู พระกรรณ ' ผมไม่สนใจหรอก เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เลยเริ่มมาหนุนหลังขบวนการเรา..."
"จนกระทั่ง มีสัญญาณบางสัญญาณมาถึงผม จู่ๆ ผมสู้อยู่ ก็มีของขวัญชิ้นหนึ่ง มาจากราชสำนัก ผ่านมาทางท่านผู้หญิงบุษบา ซึ่งเป็นน้องสาวพระราชินี ปรากฏว่าผมแค่ได้รับวันเดียว ผมเข้าไปรับด้วยตัวเองกับท่านผู้หญิงบุษบา โทรศัพท์มาหาผมเต็มเลย ป๋าเปรมให้คนสนิทโทรมา พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ทุกคนโทรมาหมด ถามว่า จริงหรือเปล่า .."
นายสนธิอ้างความสนิทสนมกับเจ้าและพระราชวังโดยที่ไม่เคยมีการชี้แจงหรือโต้แย้งจากทางสำนักพระราชวังและสำนักองคมนตรี โดยอวดอ้างว่าสามารถต่อสายตรงถึงพระเนตรพระกรรณไม่ต้องผ่านใครทั้งนั้น ทำให้คนฟังเข้าใจได้ว่าพระราชินีสั่งเองโดยที่พระเจ้าอยู่หัวก็น่าจะรู้แต่ทรงทำเป็นเฉยไม่ได้อบรมสั่งสอนว่ากล่าวตักเตือนพระราชินีเหมือนอย่างที่เที่ยวให้โอวาทสั่งสอนประชาชนอยู่เป็นประจำ สิ่งที่นายสนธิอ้างคงไม่ใช่เรื่องเลื่อนลอยเพราะไม่มีใครแย้งและทุกอย่างก็ดำเนินไปตามพระราชดำริและพระราชประสงค์ตามที่นายสนธิกล่าวอ้างทุกประการ
มาดูคำปราศัยของนายสนธิหลังจาก รอดชีวิตอย่างปาฏิหารย์จากโดนกระหน่ำยิงกลางถนน จนต้องผ่าตัดเอากระสุนออกจากกระโหลกศีรษะ....
นายสนธิย้ำว่า สังคมไทยยังมีความจำเป็นต้องมีสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนในอนาคตสถาบันกษัตริย์จะมีการปฏิรูปหรือพัฒนาให้ทันกับการหรือแปลงของโลกอย่างไรนั้นก็เป็นเรื่องที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ใช่มีขบวนการมาทำลายล้าง โดยการสร้างความคิดที่ผิดๆ ให้กับประชาชน.....ความจริงก็คือสถาบันกษัตริย์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเป็นตัวส่งเสริมหรือทำลายความสุขความเจริญของประเทศและประชาชนไทยกันแน่ ในหลวงทรงประพฤติปฏิบัติตนเพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยามจริงตามปฐมบรมพระราชดำรัสหรือ ทำไมทรงปล่อยปละละเลยไม่แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิดต่อการยึดอำนาจล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถ้าพระเจ้าอยู่หัวดำรงพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยเฉกเช่นประเทศที่เจริญแล้วก็จะเป็นสิ่งประชาชนไทยทั้งชาติจะได้สดุดีสรรเสริญพระบารมีโดยพร้อมเพรียงกันเหมือนที่นายกทักษิณได้เคยทำอย่างดีที่สุดมาแล้ว
นายสนธิพูดว่า..การเป็นพระมหากษัตริย์นั้น พระองค์ต้องรักประชาชนเท่ากัน พระองค์ท่านไม่แบ่งเสื้อเหลืองเสื้อแดงเพราะทุกคนต่างเป็นพสกนิกร แต่คนที่มาแบ่ง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่เอาประชานิยมไปซื้อชาวบ้าน โดยแอบแฝงให้เห็นว่าตัวเองรักประชาชน และทำให้ประชาชนเข้าใจผิด คิดว่านักการเมืองมีบุญคุณมากกว่าพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งกระบวนการนี้มีตั้งแต่ปี 2544 พอ พ.ต.ท.ทักษิณมีเสียงมากขึ้น ก็เลยเถิดไปทำอะไรที่ละเมิดประเพณีมากขึ้น เช่น ไปนั่งทำพิธีในวัดพระแก้วในจุดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเคยประทับ มีการเอาธงทรงพระเจริญไปโบกต้อนรับ พ.ต.ท.ทักษิณ จัดประชุม ครม.ที่ปราสาทพนมรุ้ง ตลอดจนมีคำพูดจาบจ้วงต่างๆ ตั้งแต่เรื่องการแต่งตั้งทหาร การตั้งสมเด็จเกี่ยว วัดสระเกศ เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ทั้งที่สมเด็จฯ ญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยังมีพระชนม์อยู่.......
ข้อเท็จจริงก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นผู้ริเริ่มขบวนการเสื้อเหลือง ตั้งแต่การรณรงค์เต้นแอโรบิคที่ท้องสนามหลวงกว่า 47,000 คน สวมเสื้อเหลือง เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2545 ที่ท้องสนามหลวง เป็นสถิติโลก เพื่อเฉลิมฉลองการครองราชย์60 ปี รวมทั้งการชุมนุมประชาชนเสื้อเหลืองครั้งมโหฬารเพื่อถวายพระพรพระเจ้าอยู่หัวขณะเสด็จออกสีหบัญชร ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเมื่อ 9 มิถุนายน 2549 แต่นายสนธิก็เปลี่ยนประชาชนเสื้อเหลืองให้เป็นขวนการเสื้อเหลืองทำลายประชาธิปไตยที่สู้เพื่อในหลวง เพื่อปล้นอำนาจของปวงชนถวายคืนพระเจ้าอยู่หัว โดยที่ทางวังก็แบ่งรับแบ่งสู้ แถมแสดงการสนับสนุนเป็นระยะๆตลอดเวลา จนทุกคนไม่อาจปฏิเสธได้ว่าทั้งในหลวงและพระราชินีนั่นแหละที่สนับสนุนให้ท้ายขบวนการเสื้อเหลืองของนายสนธิรวมทั้งเครือข่ายนิยมเจ้าในแวดวงต่างๆแม้แต่ในวงการตุลาการและนักวิชาการในการไล่ล่าทำลายขบวนการประชาธิปไตยให้ดับสูญสิ้นสลายไปจากประเทศนี้.....นายสนธิพูดราวกับว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสถิตเหนือมนุษย์เหนือประชาชนเหนือกฎหมายและความถูกต้องชอบธรรมทั้งปวง ซึ่งนายกทักษิณไม่ควรบังอาจไปเทียบเคียงพระบุญญาบารมีกรณีวัดพระแก้วโดยไม่พูดถึงข้อเท็จจริงของสาระประโยชน์ที่จะเกิดต่อประเทศชาติและประชาชนซึ่งเป็นสิ่งสูงสุด...
การไปนั่งทำพิธีในวัดพระแก้วของในหลวงหรือของคุณทักษิณ มีสาระประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมอย่างไร วัดพระแก้วเป็นของประเทศและประชาชนไทย สร้างขึ้นสมัยรัชกาลที่หนึ่งที่แย่งราชสมบัติมาจากพระเจ้าตากสินมหาราชผู้กอบกู้ชาติไทย...การโบกธงทรงพระเจริญทำให้ประชาชนเดือดร้อนทุกข์ยากอย่างไรและคำว่าทรงพระเจริญก็หมายถึงในหลวงเท่านั้นไม่ว่าจะไปโบกที่ไหน ...การแต่งตั้งทหารก็เป็นอำนาจของฝ่ายบริหารหรือรัฐบาล ไม่ใช่อำนาจหน้าที่ของพระมหากษัตริย์แต่อย่างใดเพราะรัฐบาลได้รับมอบอำนาจจากปวงชนและต้องรับผิดชอบต่อการบริหารประเทศ ....ส่วนการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชก็ไม่ควรให้ในหลวงไปครอบงำควบคุมคณะสงฆ์อยู่แล้ว แต่ควรให้คณะสงฆ์ปกครองกันเองเหมือนที่เคยเป็นมาแต่ก่อน
นายสนธิกล่าวต่อว่า..ปลายปี 48 ตนทนไม่ได้ เพราะเห็นว่าพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงไม่อยู่อยู่ในสถานะที่จะออกมาแสดงความรู้สึกได้ คนพวกนี้ก็ถือโอกาสกระทำการรุกคืบไปตลอด ประกอบกับ พ.ต.ท.ทักษิณมีที่ปรึกษาเป็นพวกฝ่ายซ้ายที่เคยอยู่ในป่า ที่ต้องการล้มสถาบันกษัตริย์มาโดยตลอด ทิศทางการปฏิบัติของ พ.ต.ท.ทักษิณจึงเป็นทิศทางที่จะลบหลู่พระราชอำนาจทั้งทางตรง และทางอ้อมมาโดยตลอด และมีความพยายามที่จะโค่นล้มสถาบันให้ได้ จนไม่มียุคไหนที่มีเว็บไซต์และวิทยุชุมชนที่จาบจ้วงสถาบันเกิดขึ้นมากมายเท่ายุคนี้
ข้อเท็จจริงก็คือ ทั้งในหลวงและพระราชินีได้ทรงแสดงท่าทีทั้งโดยตรงและโดยอ้อมมาตลอด ในการสนับสนุนฝ่ายฝักใฝ่เผด็จการทหารและอำมาตย์รวมทั้งขบวนการเสื้อเหลืองทำลายระบอบประชาธิปไตย โดยมิได้เกรงใจราษฎรอยู่แล้ว นายสนธิเองก็อ้างมาตลอด จนต้องถูกระดมยิงกลางถนนคงเพื่อต้องการฆ่าปิดปาก เพื่อดับความโอหังของนายสนธิ...ฝ่ายซ้ายที่เคยอยู่ป่าก็มีจำนวนไม่น้อยที่ร่วมอยู่ในขบวนเสื้อเหลืองที่ฝักใฝ่ระบอบเผด็จการที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้า ในขณะที่ฝ่ายซ้ายเก่าที่อยู่กับนายกทักษิณไม่ได้มีบทบาทต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยที่แท้จริงแต่อย่างใด สิ่งที่ประชาชนต่อสู้เรียกร้องก็เพื่อพิทักษ์รักษาระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจเพื่อให้ประเทศชาติได้พัฒนาไปตามครรลองประชาธิปไตย ซึ่งมิใช่ระบอบเผด็จการทหารและอำมาตย์ที่มีกษัตริย์เป็นประมุข..การหลบลู่พระราชอำนาจของกษัตริย์ที่นายสนธิกล่าวอ้างเป็นเพียงการแอบอ้างถึงระบอบเผด็จการโบราณที่มีพระเจ้าแผ่นดินเป็นเจ้าของอำนาจซึ่งขัดกับหลักการของประชาธิปไตย..ทุกคนย่อมทราบดีรวมทั้งนายสนธิว่าคุณทักษิณไม่เคยคิดโค่นล้มพระเจ้าอยู่หัว มีแต่พระเจ้าอยู่หัวนั่นแหละที่จ้องทำลายคุณทักษิณอย่างชนิดที่ไม่ยอมเลิกรา
นายสนธิกล่าวอีกว่า แทนที่ข้าราชการ ทหาร ตำรวจจะมีความจริงใจในการปกป้องสถาบันกษัตริย์แต่กลับเป็นอาซิ้ม อาซ้อ ที่ออกมาต่อสู้ เราคงไม่ต้องพูดว่าสถาบันกษัตริย์สำคัญแค่ไหน แม้แต่รัสเซีย หลังจากพรรคบอลเชวิกล้มพระเจ้าซาร์นิโคลัสไปแล้ว มาวันนี้คนรัสเซียกำลังหันไปเทิดทูน ทั้งที่เขาเป็นคนฆ่ากษัตริย์ แต่วันนี้เขากำลังจะมีห้องพิเศษที่จะเล่าถึงพระเจ้าซาร์ แม้แต่พระรัสเซียตอนนี้ก็ตั้งเป็นเซนต์ นิโคลัส เพราะฉะนั้น เรามีของดีที่ทั่วโลกอิจฉา แต่คนระยำบางคนเอาเงินไปจ้างขบวนการทำลายสถาบัน หลอกประชาชนที่เป็นพสกนิกรที่รักพระองค์ท่าน โดยการบิดเบือนกล่าวหาว่า พระองค์ท่านไม่รักทักษิณ
ความจริงก็ คือ คนรัสเซียส่วนใหญ่เลิกเทิดทูนพระเจ้าซาร์มานานแล้ว เหมือนคนจีนที่ไม่มีใครยกย่องฮ่องเต้อีกแล้ว ชาวเวียตนามก็ไม่ต้องการฟื้นจักรพรรดิเบาได๋ขึ้นมาอีก และคนไทยก็คงไม่ต้องการกษัตริย์ที่แอบยึดอำนาจของปวงชนไปไว้ในมือของตน และคอยจ้องทำลายโอกาสและความหวังของประชาชน.....ความเสื่อมของสถาบันกษัตริย์เกิดจากการกระทำของพระเจ้าอยู่หัวเอง ไม่ว่าพระองค์จะทำเองหรือสั่งผ่านใคร ไม่ว่าใครจะอ้างว่าเป็นเพราะพระราชินีหรือพลเอกเปรม ก็ล้วนแล้วแต่เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบของพระองค์ ไม่อย่างนั้นเราจะมีพระประมุขของประเทศไว้ทำไม แล้วเราจะร้องเพลงความฝันอันสูงสุดให้ใครฟัง...แล้วที่พระองค์มีพระราชดำรัสว่าจะปกครองแผ่นดินโดยธรรมจะยังมีความหมายอะไรอีก
นายสนธิได้ย้ำอีกว่า“ ผมไม่กลัวตายหรอกครับ เพราะผมทำในสิ่งที่ผมเชื่อว่าทำถูกต้อง เพราะผมเอาธรรมนำหน้า และผมเชื่อว่าพวกเราต้องลุกขึ้นมาช่วยกันปกป้องกษัตริย์ที่มีทศพิธราชธรรมอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระองค์นี้ และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เราต้องช่วยกันดูแลปกป้องรักษาให้ราชวงศ์จักรีมีต่อไป ส่วนใครจะเป็นกษัตริย์ต่อไป และอีกต่อไปนั้น ก็เป็นเรื่องของส่วนบุคคลที่จะต้องมีทศพิธราชธรรม ”
" สมเด็จพระนางเจ้าฯ ไม่ใช่อีเมลดา มาร์กอส ที่จะไปโกงชาติโกงบ้านโกงเมือง พระเจ้าอยู่หัว ก็ไม่ใช่ เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ที่โกงประเทศอย่างร่ำรวย...ผมถูกยิงยังมีการไปปล่อยข่าวพี่น้อง ว่าสถาบันกษัตริย์สั่งให้ยิงผม..."
ประเด็นก็คือนายสนธิเชื่อจริงๆหรือว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงมีทศพิธราชธรรมที่เที่ยงธรรมและยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยจริงๆอย่างนั้นหรือ นายสนธิอ้างเองว่าสนิทกับในวังเป็นอย่างยิ่งและท่านสั่งให้ล้มรัฐบาลทักษิณให้ได้ จนนายทหารและพลเอกเปรมยังต้องสอบถามความแน่ใจจากนายสนธิ...นายสนธิน่าจะรู้ว่าในหลวงของไทยเป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกและร่ำรวยกว่าอดีตประธานาธิบดีมาร์กอสหลายเท่า ส่วนการที่ในหลวงจะโกงหรือไม่ก็คงไม่มีความจำเป็นที่พระองค์จะต้องไปดิ้นรนขนาดนั้นเพราะทรงมีอำนาจสูงสุดที่ไม่มีใครกล้าวิจารณ์หรือตรวจสอบอยู่แล้ว หรือว่านายสนธิแค่ต้องการพูดประชดในหลวงและพระราชินี....นายสนธิเคยยืนยันว่าการยิงตนไม่ได้มาจากเสื้อแดงและตนก็ทราบดีว่าสีเขียวเป็นคนจัดการแต่การที่นายสนธิออกมาป่าวประกาศว่ามีคนปล่อยข่าวว่าสถาบันกษัตริย์สั่งยิงนายสนธิโดยที่นายสนธิก็ทราบเป็นอย่างดี ว่าทหารจะกล้าระดมยิงนายสนธิได้อย่างไรถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากวัง นายสนธิรู้มาตลอดเวลาว่าใครไปคนอนุมัติการยึดอำนาจและสั่งการพิพากษาคดีการเมืองในประเทศนี้...และที่นายสนธิยังปีกกล้าขาแข็งอยู่ได้เพราะใคร...ภายหลังการถูกสั่งฆ่ากลางเมือง ทำไมนายสนธิจึงเก็บเนื้อเก็บตัวระมัดระวังตัวมากขนาดสั่งขึงตาข่ายล้อมบ้านท่าพระอาทิตย์เพราะกลัวจะถูกตามเก็บระลอกสอง
ทำไมเจ้าไทยจึงกลัว
ศาลอาญาระหว่างประเทศ
ศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court หรือ ICC ไอซีซี ) เป็นศาลถาวรระหว่างประเทศ ตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจัดตั้งคณะตุลาการถาวรมาดำเนินคดีแก่อาชญากรผู้ล้างชาติ ผิดต่อมนุษยชาติ ละเมิดอาญาศึก หรือรุกรานอธิปไตย โดยสามารถดำเนินกระบวนยุติธรรมได้ทุกแห่งทั่วโลก โดยหมายเอาแต่ตัวบุคคลเท่านั้น เพื่อแก้ปัญหาของกระบวนยุติธรรมภายในประเทศ ศาลนี้จึงสามารถบริหารเขตอำนาจของตนได้เมื่อศาลในประเทศไม่ประสงค์หรือไม่สามารถดำเนินกระบวนยุติธรรมสำหรับคดีนั้นๆแล้ว มีรัฐภาคีแห่งธรรมนูญกรุงโรมฯ จำนวนหนึ่งร้อยแปดรัฐเข้าเป็นสมาชิกแห่งศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว และยังมีอีกกว่าสี่สิบประเทศที่ได้ลงนามในธรรมนูญกรุงโรมฯ แต่ยังมิได้ให้สัตยาบันซึ่งรวมทั้งประเทศไทย
โดยมีความเห็นจากเบื้องบนว่าประเทศไทยไม่ควรให้สัตยาบันเพราะศาลอาญาระหว่างประเทศหรือที่เรียกกันว่าศาลโลกนั้นสามารถดำเนินคดีกับทุกคนโดยไม่มีข้อยกเว้นซึ่งรวมทั้งในหลวงและพระราชินี ซึ่งจะทำให้ไม่สบายพระทัยเป็นอย่างยิ่งโดยเฉพาะคดีสวรรคตรัชกาลที่ 8 หรือการสั่งฆ่านักศึกษาเมื่อ6 ตุลาคม 2519 รวมถึงการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 และการปิดยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิซึ่งเข้าข่ายการก่อการร้ายสากล รวมถึงกรณีการสั่งทหารสังหารหมู่ประชาชนที่ถนนราชดำเนินและบริเวณสี่แยกราชประสงค์ช่วงระหว่างเดือนเมษายนและพฤศภาคม 2553
ใครสั่งโค่นนายกทักษิณ
และนายกทักษิณคิดอย่างไร
เป็นที่เข้าใจกันดีว่าข้าราชการทั้งทหารและพลเรือน ศาลหรือผู้พิพากษา รวมทั้งบรรดาองค์กรอิสระจะทำอะไรไม่เป็นทั้งนั้นหากไม่มี"นายสั่ง"
เพราะการทำ"นอกสั่ง"ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายทีเดียว
ปัญหาก็คือ นายคนไหนสั่ง เป็นนายผู้ชายหรือนายหญิง
ความรับรู้ของคนเสื้อแดงในระยะต้นก็ตัดตอนไว้ที่ "หัวหน้าคนรับใช้ประจำครอบครัวเทวดา"ที่อาศัยอยู่บ้านสี่เสามานานแล้ว ต่อมาก็พัฒนามาเป็นว่า"นายหญิง"สั่ง หลังพากันตาสว่างเรื่องงานศพ หลังๆพวกแดงแท้ๆ เข้าใจว่าก็คงทั้งนายผู้ชายและนายหญิง
แล้วคุณทักษิณซึ่งเป็นเหยื่อตัวสำคัญที่สุดรู้หรือไม่และคิดอย่างไร
ที่ผ่านมานายกทักษิณคิดและเชื่อเอาจริงๆว่า นายหญิงกับหัวหน้าคนรับใช้ประจำครอบครัวเทวดาเป็นคนทำทั้งหมด นายผู้ชายท่านไม่ได้รู้เห็นด้วยแต่อย่างใด
เป็นเพราะความเชื่อและทัศนคติจากการที่คุณทักษิณเรียนเตรียมทหารเตรียมนายร้อยตำรวจที่กินนอนในรั้วโรงเรียนหลายปีติดต่อกันในสมัยสงครามเย็นที่มีการปลูกฝังอย่างมากเรื่องความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว คุณทักษิณจึงไม่ใช่วีรบุรุษประชาธิปไตยที่ปลดแอกจากระบอบราชาธิปไตยอย่างที่บางคนคาดหวังอย่างง่ายๆ
..ถึงแม้คุณทักษิณจะคิดใหม่ทำใหม่ในเรื่องการเมืองและการบริหารประเทศ แต่เรื่องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ได้ฝังลงลึกลงไปในจิตใต้สำนึกและยากที่ถ่ายถอนโดยง่าย
แม้ว่าคุณทักษิณจะมีข้อมูลมากมายมหาศาลโดยเฉพาะจากสันติบาลและหน่วยข่าวกรอง
แต่แหล่งข่าวต่างๆก็มักจะรายงานว่านายผู้ชายกับครอบครัวรักและพอใจคุณทักษิณ เพียงแต่นายหญิงนั้นหูเบาจับมือกับหัวหน้าคนรับใช้ประจำตระกูล คอยเล่นงานคุณทักษิณโดยที่นายผู้ชายท่านไม่ได้รู้เห็นด้วย แม้แต่คืนที่ยึดอำนาจยังส่งคนมาหลอกคุณทักษิณว่านายผู้ชายไม่พอใจหัวหน้าคนรับใช้ ที่ไปปลุกท่านกลางดึกในคืนที่ปล้นอำนาจ และท่านไม่ยอมให้หัวหน้าคนรับใช้มาเสนอหน้าอีกเลย โดยที่คุณทักษิณไม่รู้ตัวว่ากำลังทำตัวเป็นคู่แข่งแย่งความรักความศรัทธาไปจากทั้งนายผู้ชายและนายผู้หญิง และยังไปวางใจนายสุรเกียรติหลานเขยของนายผู้หญิงที่หลอกว่านายผู้ชายขอให้ใจเย็นยอมแพ้ไปก่อนเดี๋ยวท่านจะหาทางออกให้ แต่กลายเป็นการไล่ล่าชนิดขุดรากถอนโคนไม่ให้เหลือเชื้ออีกต่อไป
แต่คุณทักษิณก็ยังพยายามเชื่อข้อมูล ที่มันสอดคล้องตอบสนองทัศนคติความเชื่อของตนเท่านั้น ซึ่งมันช่วยหล่อเลี้ยงความเชื่อและความหวังลมๆแล้งๆของเขาที่จะได้กลับมารับใช้นายผู้ชาย ช่วยงานปัดเป่าทุกข์สุขราษฎรช่วยเป็นที่รองมือรองเท้าให้ และได้รับความเอ็นดูจากท่านบ้าง และยังมีความหวังลึกๆ ว่าจะจบแบบพฤษภาทมิฬ คือ เรียกคู่กรณีไปหมอบกราบ ให้นายผู้ชายอบรมสั่งสอนดุด่าตักเตือนคนละคำสองคำแล้วบอกเลิกแล้วต่อกัน ทีหลังอย่าทำ แล้วบ้านเมืองก็มีความสุขสืบไปแบบที่เคยๆเป็นมา
..หรือว่านี่เป็นแค่ยุทธวิธีของคุณทักษิณ เป็นเพียงการผ่อนสั้นผ่อนยาวในจังหวะที่ไม่พร้อมรบขั้นแตกหัก ก็อาจเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ แต่ไม่รู้ว่าถึงเวลาที่คุณทักษิณคิดได้แล้วหรือยัง..
..........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น