ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ :
http://www.4shared.com/mp3/WQpBfWFK/The_Royal_Legend_016_.html
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?3tydnd62r3cbqtb
ตำนานๆ 009016 : ครอบครัวเทวดา


ฟ้าหญิงอุบลรัตน์พระราชธิดาองค์โต ทรงรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเลี้ยงลูกสามคนที่แคลิฟอร์เนียใต้

และถวิลหาการกลับสู่ฐานันดรในฐานะเจ้าหญิงพระองค์ใหญ่ที่เพริดแพร้วในราชตระกูล

ตลอดจนการหาแหล่งเงินทุนที่จะที่จะสานฝันให้คุณพลอยไพลินพระธิดาได้ก้าวเป็นนักเปียโนคอนเสิร์ตระดับโลก

ฟ้าหญิงอุบลรัตน์เสด็จกลับประเทศไทยบ่อยครั้งขึ้นในต้นทศวรรษ 2530 เพื่อออกงานเป็นเกียรติ ตามงานเลี้ยงต่างๆในวงชนชั้นสูง และติดตามพระราชินีไปในงานบอลล์หรืองานเต้นรำการกุศล





มูลนิธิดังกล่าวมีหน้าที่สร้างภาพลักษณ์ให้ฟ้าหญิงอุบลรัตน์ทรงเป็นพระราชวงศ์ที่ทรงบำเพ็ญสาธารณประโยชน์อีกพระองค์หนึ่ง แต่ผู้รับทุนคนแรกของมูลนิธิก็คือ คุณพลอยไพลิน ซึ่งแสดงฝีมือเปียโนในงานเลี้ยงปี 2536 ข่าวนี้สร้างความเสื่อมเสียแก่พระราชวงศ์เพราะเล่นแจกรางวัลแก่พวกพระราชวงศ์ด้วยกัน


คุณพลอยไพลินเป็นนักเปียโนฝีมือดี และเป็นนักร้องที่มีความสามารถ แต่ว่ายังห่างชั้นจากระดับโลกอยู่มาก




ฟ้าหญิงอุบลรัตน์พยายามแสดงพระองค์ให้อยู่ในเป้าสายตาของสาธารณชน โดยที่ยังทรงดูพระศิริโฉมงดงามแม้ในวัย 40 ชันษาแล้วก็ตาม

ในปี 2534 ทรงถ่ายแบบเป็นเกียรติแก่นิตยสารไทยหลายฉบับ มีชุดแฟชั่นฝรั่งเศส งานสังคมและการถ่ายแบบเฉพาะ ในเดือนกันยายน 2537 ทรงเป็นเรื่องเด่นถึง 36 หน้า


ที่โจ่งแจ้งไม่แพ้กันคือภาพเบื้องหลังการถ่ายทำ ที่เผยให้เห็นทีมงานของนิตยสารกำลังหมอบแทบพระบาทและคลานไปใส่รองพระบาท เสมือนว่าฟ้าหญิงอุบลรัตน์ยังทรงเป็นสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเต็มขั้น สาธารณชนพากันวิพากษณ์วิจารณ์ไปต่างๆนานา












เรื่องก็ได้รับการคัดค้านจาก กระทรวงกลาโหม ที่มักจะเก็บตำแหน่งนี้ไว้สำหรับทหารดาวรุ่งเท่านั้น และกระทรวงต่างประเทศที่ไม่มีงบประมาณสำหรับที่พักอาศัยในระดับของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ แต่ก็ทรงได้ดั่งใจ




ในที่สุด ก็ทรงได้แยกทางกับวีระยุทธเป็นที่ชัดเจน ต่อมาวีระยุทธ ก็ต้องไปบวชที่วัดบวรอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง

มีรายงานว่าพระธิดาทั้งสองของฟ้าหญิง คือสิริภาจุฑาภรณ์ และอทิตยาทรกิติคุณ เลือกที่จะอยู่กับพ่อ


แต่ทั้งหมดนี้เทียบไม่ได้เลยกับปัญหาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ซึ่งทำท่าจะทำตัวดีขี้นในฐานะว่าที่พระมหากษัตริย์

การที่หม่อมสุจาริณีได้รับการยอมรับอย่างไม่เป็นทางการในวัง ในปี 2534 ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ( 28 กรกฎาคม ) ครบ 39 ชันษาของพระองค์ น่าจะทำให้ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงมีความประพฤติที่ดีขึ้น

ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงเชิญสื่อมวลชนไทยมาที่วังเมืองนนท์ โดยมีหม่อมสุจาริณีคอยต้อนรับทักทายนักข่าวในฐานะภรรยาของเจ้าเต็มขั้น โดยบอกว่า “ ฟ้าชายทรงต้องการให้งานนี้ไม่เป็นทางการมากที่สุด คือให้เป็นกันเอง ไม่มีอะไรซีเรียส คือว่า ข่าวลือไม่ค่อยดีมีมาอยู่เรื่อยๆ

อาจเป็นเพราะว่าสื่อไม่เคยได้มีโอกาสได้ทำความรู้จักกับฟ้าชายวชิราลงกรณ์อย่างเป็นการส่วนตัว เราจึงคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับพวกเราทุกคน ”


พร้อมกับการลดฐานะของพระชายาโสมสวลีจาก พระวรชายา (ภรรยา) มาเป็น พระวรราชาธินัดดามาตุ (แม่ของหลานคนแรกของราชา)

ทำให้เห็นชัดว่าลูกชายทั้งสี่คนของหม่อมสุจาริณี คือผู้สืบทอดรุ่นต่อไปของพระราชวงศ์จักรี



และให้พระโอรสบวชที่วัดบวรนิเวศ ก่อนถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระราชินี









ทรงรับสั่งว่า “ ตรงกันข้าม พระราชบิดาและพระราชมารดาไม่เคยได้ทรงสั่งสอนอะไรแก่ข้าพเจ้าเลย นอกจากการรับใช้ประเทศชาติ ...เราไม่มีประสบการณ์ในเรื่องพรรค์นี้เลย ถ้าเราทำจริง ธุรกิจก็คงเจ๊งเป็นล้านๆ อาจเจ๊งหมดเลย..



ทรงย้ำว่า“ ขอบอกว่าเป็นเรื่องไม่จริงทั้งหมด ใครก็ตามที่ทำผิดควรปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจหรือเจ้าหน้าที่ และใครที่ใช้ชื่อของเรา หรืออ้างว่ามีเราคุ้มครอง หรือบอกว่าเราเกี่ยวข้องเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ก็ให้แจ้งความ ตั้งข้อหา... ต่อให้เป็นลูกน้องของเราก็ไม่เว้น ”







ในเดือนมีนาคม 2536 ทรงสั่งปลดหัวหน้ากองรักษาความปลอดภัยที่เป็นพลตรีที่ได้รับการยอมรับอย่างสูง ทรงกระจายข่าวว่าพลตรีคนนี้ได้แอบอ้างพระนามของพระองค์ไปแสวงหาประโยชน์ แต่ไม่ค่อยมีคนเชื่อพระองค์ บรรดานายทหารระดับสูงของกองทัพหลายคนได้แสดงความไม่พอใจในเรื่องนี้ออกมาให้เป็นที่รู้กัน






ปี 2535 นายประมาณ ชันซื่อ ผู้พิพากษาระดับอาวุโสที่มีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวถูกเรียกให้มาจัดการไกล่เกลี่ย เพื่อหลีกเลี่ยงการขึ้นโรงขึ้นศาลที่จะทำให้ต้องเป็นที่อับอายขายหน้าสาธารณชนประกอบกับใกล้ครบกำหนดสามปีที่ทรงแยกกันอยู่

พอได้จังหวะฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ทรงฟ้องหย่าในศาลครอบครัวและเยาวชนจังหวัดนนทบุรีที่ภรรยาของนายประมาณ ( นางอำพันศรี ชันซื่อ )เป็นผู้พิพากษาใหญ่ในเดือนมกราคม 2536



การพิจารณาคดีดำเนินไปโดยลับ แต่เอกสารในการพิจารณาคดีถูกเผยแพร่ไปทั่วกรุงเทพ เมื่อถึงกำหนดพระองค์เจ้าโสมสวลีต้องให้การ ก็ทรงให้การอะไรไม่ได้เลย ไม่สามารถให้การว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์โกหก แม้จะเป็นการให้การในศาล ก็เป็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ โสมสวลีทำได้ดีที่สุดโดยการอ้างว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เห็นด้วยกับการหย่า


งานนี้โสมสวลีพ่ายแพ้อย่างราบคาบหมดสภาพ ถึงจะยื่นอุทธรณ์ก็คงไม่มีประโยชน์ เพราะท่านผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ก็คือ นายประมาณ ชันซื่อ เจ้าเก่านั่นเอง


ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงหล่อพระพุทธรูปและเจ้าแม่กวนอิมเพื่อไปตั้งแสดงในวัดบวรนิเวศ ผู้ทำพิธีเปิดผ้าคลุมรูปหล่อเหล่านี้ไม่ใช่ญาณสังวรที่ป็นเจ้าอาวาส แต่เป็นหม่อมสุจาริณี ว่าที่พระมเหสีองค์ใหม่





กำหนดการแสดงตนอย่างเป็นทางการคือวันเฉลิมพระชนม์ครบ 42 ชันษาของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ในวันที่ 28 กรกฎาคม 2537 สื่อได้ตีพิมพ์พระฉายาลักษณ์ของฟ้าชาย หม่อมสุจาริณีและลูกๆ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลาและตักบาตร





ในส่วนที่เอ่ยถึงพระราชินีสิริกิติ์ที่ถูกเรียกในจดหมายว่า ซูซี่หว่อง “ Suzie Wong หรือหญิงหากินในโรงแรม ” ก็ได้ถูกพาดพิงถึงว่า “ เพื่อนคนไทยที่รัก 12 สิงหา...ถูกเรียกทั่วไปว่าเป็นวันแม่ของคนไทยทั้งชาติ

แต่แค่ถามตัวเองดู ว่าโสเภณีแก่ชั้นสูงคนนี้ คู่ควรที่จะได้รับการยกย่องให้เป็นแม่ของคนไทยทั้งชาติจริง ๆ หรือ... เธอแต่งตัวยังกับเป็นดารานักแสดงบนเวที... น่าอับอาย... นังปีศาจตนนี้ไม่มีหลักศีลธรรมโดยสิ้นเชิง ”









จู่ๆ โสมสวลีก็ทรงขยันออกงานสาธารณะพร้อมพระธิดา คือพระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาและฟ้าหญิงสิรินธร ส่วนฟ้าชายวชิราลงกรณ์กับหม่อมสุจาริณีก็สู้กลับด้วยการออกงานพิธีสำคัญทั้งของรัฐบาลและการกุศลพร้อมลูกๆ








ขณะที่ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจตามปกติ ในระหว่างนั้นพระองค์เจ้าโสมสวลีก็ทั้งทรงออกงานและได้รับการยกย่อง เมื่อน้ำท่วมกรุงเทพฯ ในเดือนพฤศจิกายน ยังได้เสด็จประทานถุงยังชีพแก่ผู้ประสบภัย






เข้าใจว่าฟ้าชายทรงต้องการแก้แค้นต่อการรับรองของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่ทรงกล่าวหาว่าเป็นการหมิ่นเกียรติของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จญี่ปุ่นในปี 2530 รัฐบาลไทยและคณะนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นต่างเสียหน้าเป็นอย่างมาก แต่ฝ่ายญี่ปุ่นก็ปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านเลยไปโดยไม่มีการประท้วงหรือออกความเห็นใดๆทั้งสิ้น

ขณะที่มีข่าวภายในทำนองเดียวกัน เมื่อฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จเยือนประเทศยุโรปที่เคร่งศาสนาคริสต์นิกายแคทอลิค (คงเป็นประเทศสเปน)พร้อมหม่อมสุจารณี โดยทางการสเปนจัดให้แยกกันนอนคนละห้อง เพราะยังมิได้เป็นพระชายาที่ถูกต้องตามกฎหมาย




ในระหว่างนั้น ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ ทรงทำหน้าที่ชำระความแค้นให้กับฟ้าหญิงจุฬาภรณ์พระขนิษฐาของพระองค์ ตามข่าวว่าช่วงก่อนหน้างานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จย่าไม่นาน



งานพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จย่าเป็นเครื่องยืนยันความปั่นป่วนแตกแยกในพระราชวงศ์ เพราะมีแต่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์มาร่วมงานโดยมีพระธิดาสองพระองค์ประทับเคียงข้างแต่ไม่ปรากฏตัวของน.อ.วีระยุทธ ขณะที่พระธิดาทั้งคู่ก็ดูจะหงอยเหงาไม่มีชีวิตชีวา


26 พฤษภาคม 2539 ข่าวในสำนักพระราชวังแพร่ภาพฟ้าชายวชิราลงกรณ์เสด็จลงจากเครื่องบินที่ดอนเมืองด้วยพระพักต์ที่เคร่งเครียดพร้อมด้วยพระธิดาที่เกิดกับหม่อมสุจาริณีที่ชื่อบุษย์น้ำเพชร (ต่อมาเปลี่ยนเป็นสิริวัณวรี มหิดล) ซึ่งฟ้าชายไม่เคยได้ใส่พระทัยอย่างจริงจังมาก่อน และมีการตีพิมพ์ภาพในหนังสือพิมพ์โดยไม่มีคำอธิบาย








บางทีอาจเกี่ยวข้องกับการข่มเหงรังแกบุษย์น้ำเพชร ถึงแม้ว่าฟ้าชายวชิราลงกรณ์จะไม่เคยสนใจธิดาพระองค์นี้มาก่อนเลยก็ตาม




เสด็จร่วมงานวันประสูติโสมสวลี พร้อมกับพระธิดาทั้งสองพระองค์ เมื่อ13 กรกฎาคม และโสมสวลีก็ไปร่วมงานวันพระราชสมภพของฟ้าชายในวันที่ 28 กรกฎาคม เช่นกัน





















หัตถ์ของพระองค์อย่างกระตือรือล้น ขณะที่เสด็จผ่านไปตามทาง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่คนจนที่สุดถวายมอบเงินให้กับพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงร่ำรวยที่สุด ด้วยหวังว่าจะก่อบุญกุศลให้ชะตาชีวิตของตนดีขึ้น
พระบรมราโชวาท
ในคืนวันส่งท้ายปีเก่า




พระราชบิดาและพระราชมารดาคงเอาไม่อยู่ หรืออาจเป็นแบบที่ชาวบ้านชอบด่ากันว่า เป็นลูกที่พ่อแม่ไม่สั่งสอน คือไม่สอนให้รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก จึงได้ทรงมีพระนิสัยถาวรในการประพฤติปฏิบัติแต่เรื่องเลวๆเสมอมา

.......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น