วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ตำนานๆ 009006 : เราจะปกครองแผ่นดินโดยทำ..รัฐประหาร

ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ : http://www.4shared.com/mp3/1UzspqXA/The_Royal_Legend_06__.html
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?8fpsno4ps24l3na

.........
ตำนานๆ 009006 : เราจะปกครองแผ่นดินโดยทำ..รัฐประหาร
การรัฐประหาร ตามประมวลกฎหมายอาญา ถือเป็นความผิดต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักรฐานเป็นกบฏมีโทษหนักถึงประหารชีวิต ถือว่าเป็นภัยร้ายแรงต่อระบอบประชาธิปไตย
ในอดีตศาลฎีกาได้เคยพิพากษาว่า ประกาศของคณะปฏิวัติเป็นกฎหมายที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม ทั้งๆที่เป็นคำสั่งของผู้ร้าย หรือ อาชญากร ศาลไม่มีอำนาจบัญญัติกฎหมาย และ ไม่มีอำนาจกำหนดว่า การกระทำใดเป็นประเพณีปฏิบัติ จนเป็นที่นิยมของปวงชนชาวไทย
ทหารทำรัฐประหารได้ ต้องมีเงื่อนไขการเมืองมีทั้งในระดับโครงสร้าง คือรูปแบบของรัฐและอุดมการณ์ระบอบการปกครอง และในระดับสถานการณ์

ในประเทศจำนวนมาก โดยเฉพาะในประเทศตะวันตก ไม่ใช่ไม่มีการทุจริตคอรัปชั่น หรือไม่มีเรื่องอื้อฉาวครึกโครม แต่ไม่มีใครคิดว่าทหารจะทำรัฐประหารได้ หรือควรทำรัฐประหาร เพราะทุกคนยอมรับการเลือกตั้งเป็นตัวตัดสินอำนาจรัฐสูงสุด แม้ว่าการตัดสินนั้นจะออกมาแย่อย่างไร เมื่อเลือกมาแล้ว รัฐบาลกลายเป็นพวกทุจริตคอรัปชั่น หรือ ได้รัฐบาลที่ทำสงครามที่ทำให้คนตายนับไม่ถ้วน ทุกคนก็ยอมรับการเลือกตั้ง ในฐานะเป็นวิธีเดียวที่จะตัดสินใจว่ารัฐบาลควรเป็นใครอย่างไร
แต่ประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์ที่มีอำนาจรัฐมหาศาล แต่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่ต้องขึ้นต่อกระบวนการเลือกตั้ง พระองค์ไม่ต้องเสนอนโยบาย, ไม่ต้องหาเสียง, ห้ามวิจารณ์-ห้ามเปิดโปง ทั้งเรื่องสาธารณะ และเรื่อง ส่วนตัว ทั้งเรื่องครอบครัว รายได้ การใช้จ่าย ฯลฯ

ตราบใดที่ประเทศไทยยังมีโครงสร้างการเมืองเช่นนี้ ก็คงต้องมีการรัฐประหารต่อไปอีก เพราะใน จิตใต้สำนึกหรือความเชื่อของคนไทย รู้ดีว่า ส่วนที่สำคัญมากที่สุดของรัฐบาล ไม่ใช่ต้องมาจากการเลือกตั้ง หรือกระบวนการเลือกตั้ง นี่เป็นความจริงที่ทุกคนยอมรับ เป็นเงื่อนไขทางการเมืองที่ทำให้ทหารสามารถทำรัฐประหารได้เสมอ
การที่นักวิชาการโจมตีการเลือกตั้ง จึงเป็นการปลูกฝังจิตสำนึกการยอมรับรัฐประหาร
การเลือกตั้งที่เป็นปัญหาไม่ใช่แก้ด้วยการโจมตีการเลือกตั้ง แต่ด้วยการขยายการเลือกตั้ง ให้ความสำคัญกับการเลือกตั้งมากยิ่งขึ้น และยืนยันว่า การเลือกตั้งควรต้องเป็นวิธีเดียวที่ใช้ตัดสินอำนาจรัฐ ต้องปลูกฝังให้ยอมรับโครงสร้างการเมืองแบบเลือกตั้งอย่างแท้จริง

พระมหากษัตริย์ต้องเป็น
‘ผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ

รัฐธรรมนูญของบางประเทศที่ปกครองเเบบมีพระมหากษัตริย์ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือให้พระมหากษัตริย์ต้องปฎิญาณตน ก่อนเสวยราชสมบัติว่าจะปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญ รวมถึงการเคารพ ปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน รัฐธรรมนูญของกัมพูชา และบาร์เรน บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์เป็นผู้พิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน
อาจารย์หยุด เเสงอุทัย กล่าวว่า พระมหากษัตริย์อาจใช้การปฎิเสธที่จะพระราชทานพระปรมาภิไธย ยังผลให้การกระทำนั้นเป็นอันใช้ไม่ได้
ในสมัย รัชกาลที่ 7 หลังการยึดอำนาจของคณะราษฎร พระยาพหลพลพยุหเสนา กราบบังคมทูลว่า การทรงพิทักษ์รักษารัฐธรรมนูญนั้น จะทรงทำอย่างไร พระปกเกล้าฯ รับสั่งว่า ถ้ารัฐบาลเสนอเรื่องใดที่ขัดรัฐธรรมนูญ พระองค์ก็ส่งกลับคืนไปโดยไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยให้ พระยาพหลฯ กราบทูลต่อไปว่า คณะราษฎรเป็นห่วงว่า นายทหารที่ถูกปลดออกไปจะคิดล้มล้างรัฐบาลขึ้นมาแล้วจะทูลเกล้าถวายรัฐธรรมนูญใหม่ของเขา ให้ทรงลงพระปรมาภิไธย จะโปรดเกล้าฯอย่างไร รับสั่งว่า พระองค์จะถือว่าพวกนั้นเป็นกบฏ และในฐานะจอมทัพ พระองค์ถือว่า พวกนั้นเป็นราชศัตรู ที่ขัดพระบรมราชโองการ ถ้าพวกนั้นจะบังคับให้พระองค์ทรงลงพระปรมาภิไธย พระองค์ก็จะทรงสละราชย์สมบัติ ให้พวกเขาหาเจ้านายองค์อื่นลงพระปรมาภิไธยให้

การที่กษัตริย์ปฎิเสธที่จะลงพระปรมาภิไธยหากมีการล้มล้างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการปฎิบัติหน้าที่ในฐานะเป็นผู้พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ซึ่งพระองค์ได้ให้สัตย์ปฎิญาณเเล้วว่าจะทรงรักษาหรือปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเเละปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยใช้การสละราชย์สมบัติ เป็นวิธีการจัดการกับพวกที่จะมาล้มล้างรัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญที่มีกษัตริย์มักจะบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ดำรงตำเเหน่งเป็นจอมทัพด้วย ซึ่งพระองค์สามารถใช้ตำเเหน่งนี้สั่งให้พวกรัฐประหารกลับเข้ากรมกอง
อย่างที่กษัตริย์ ฆวน คาร์ลอส Juan Carlos ของประเทศสเปนเคยทำมาเเล้วเมื่อทหารเข้ายึดอำนาจเมื่อ 23กุมภาพัธ์ 2524 หรือกรณีนาย ปรีดี พนมยงค์ ในฐานะผู้สำเร็จราชการเเทนพระองค์ก็เคยอ้างตำเเหน่งจอมทัพ ปฎิเสธ ที่จะไปรายงานตัวกับนายกรัฐมนตรีจอมพลป. พิบูลสงคราม โดยนายปรีดี อ้างตำเเหน่งจอมทัพของกษัตริย์ว่าเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของทหารทั้งสามเหล่าทัพจึงไม่ต้องไปรายงานตัวต่อใคร
หลังปฎิวัติ 24 มิถุนายน 2475 ได้ไม่นาน รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่าไม่จำเป็นที่จะบัญญัติให้พระมหากษัตริย์มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ เพราะเป็นราชประเพณีอยู่แล้ว แต่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางส่วนเห็นว่า รัฐธรรมนูญควรบัญญัติให้กษัตริย์ต้องปฎิญาณตน มีการลงมติด้วยคะแนนเสียง 48 ต่อ 7 ของสภามีมติไม่ต้องบัญญัติให้พระมหากษัตริย์ปฎิญาณว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญของไทยจึงไม่เคยมีบทบัญญัติเรื่องนี้อีกเลย
แม้ว่ารัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540 และ รัฐธรรมนูญฉบับคมช. รับรองว่าประชาชนมีสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ แต่ไม่มีประโยชน์ในทางปฏิบัติ เพราะรัฐประหาร 19 กันยายนเป็นเครื่องยืนยันว่าประชาชนไม่สามารถอ้างสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญตามมาตรา 65 แห่งรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อปกป้องรัฐธรรมนูญ 2540 ได้
คณะปฏิรูปการปกครอง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ” เป็นชื่อคณะรัฐประหารที่ทำให้มีการตีความถึงบทบาทของพระมหากษัตริย์ไทยในการรัฐประหาร

สำนักข่าวเอพีแปลว่า คณะปฏิรูปการปกครองอันมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นประมุข ส่วนหนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลเฮรัลด์ทรีบูน แปลว่าคณะปฏิรูปการปกครอง อันประกอบด้วยกองทัพ และตำรวจที่ได้ยึดอำนาจ ในพระนามของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช อีกบทความหนึ่งของหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกัน เขียนว่า คณะปฏิรูปการปกครอง ซึ่งมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นผู้นำ
ขณะที่หนังสือพิมพ์และสำนักข่าวต่างประเทศทั้งหมด พร้อมใจกันตัดคำว่า “ ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย ” ออกไปจากชื่อของ คปค. เสียเฉยๆ เพราะสื่อต่างประเทศเชื่อว่าการรัฐประหารไม่ใช่วิถีทางประชาธิปไตย การมีคำว่า “ ประชาธิปไตย ” อยู่ในชื่อของ คปค. จึงขัดแย้งในตัวเอง นักข่าวต่างชาติจึงจัดการตัดคำว่าประชาธิปไตยออกไปเองโดยอัตโนมัติ

ชื่อ “ คณะปฏิรูปการปกครอง ภายใต้ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ” หรือ คปค.ระบุชัดเจนว่า สิ่งที่คณะรัฐประหารประกาศจะเข้ามาแก้ไขคือ “ การปกครอง ” และไม่ว่าแก้ไขออกมาแบบไหนอย่างไร ประเทศไทยก็จะยังอยู่ภายใต้ “ ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ” โดยไม่มีทางเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้ แม้ภายหลัง คปค. จะเปลี่ยนคำแปลชื่อเป็นคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติหรือ ค.ม.ช. เพื่อไม่ให้สื่อต่างประเทศเข้าใจว่า คปค. กระทำการโดยได้รับการสนับสนุนจากพระเจ้าอยู่หัว แต่ไม่ว่า คปค. จะพยายามสร้างความเข้าใจ อย่างไร การรัฐประหารครั้งนี้ในสายตาของสื่อต่างชาติ มีจุดรวมศูนย์ไปที่พระเจ้าอยู่หัว กล่าวได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวถูกดึงเข้าไปพัวพันทั้งในเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องปลาย จนนำไปสู่การรัฐประหารยุคอินเตอร์เนตในที่สุด ในหลวงถูกยกมาอ้างเป็นข้อกล่าวหาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในการโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ และประเด็นการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นข้อหา 1 ใน 4 ประการที่ คปค. แถลงว่าเป็นสาเหตุของการรัฐประหาร

นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีขณะที่พักอยู่โรงแรมเดียวกับนายกทักษิณที่นิวยอร์คในตอนนั้นได้ขอเข้าไปในห้องเพื่อบอกนายกทักษิณ ว่าอย่าไปสู้เลย รัฐประหารครั้งนี้เป็นของสมเด็จซึ่งหลายคนก็ทราบดีว่าที่แท้เป็นของในหลวงนั่นเอง ซึ่งเป็นผลให้คุณทักษิณตัดสินใจไม่สู้ ไม่ตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น ทั้งๆที่มีกำลังเตรียมไว้แล้ว เหตุที่ไม่สู้ ก็เพราะเตรียมกำลังไว้สู้กับพลเอกเปรมเท่านั้น ถ้าเป็นเฉพาะพลเอกเปรมก็จบเกมไปนานแล้ว
หลังจากนั้นมีการตั้งกลุ่มเพื่อแผ่นดิน เพื่อขยายเป็นพรรคเพื่อแผ่นดิน ของนายสุรเกียรติ์ ตามคำพูดของนายเสนาะ เทียนทอง ได้ไปหารือกับท่านผู้หญิงบุษบา สธนพงศ์ (กิติยากร) น้องสาวของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ซึ่งเป็นแม่ยายของนายสุรเกียรติ์ ที่สนับสนุน และให้เงินก้อนแรก 500,000 บาท ซึ่งเรื่องนี้ท่านผู้หญิงบุษบา ได้กราบบังคมทูลให้สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถทรงทราบแล้ว และ สมเด็จพระราชินีทรงสนับสนุน




ก่อนที่จะมีการรัฐประหาร มีข่าวว่า ท่านผู้หญิงบุษบา ได้มอบกระเป๋าพร้อมบรรจุเงินจำนวนหนึ่งและผ้าพันคอสีฟ้า ให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล หัวหน้าผู้จัดการชุมนุมขับไล่นายกทักษิณโดยกระเป๋าที่ได้รับมานั้น สลักหมายเลข 902 ซึ่งเป็นรหัสของพระราชินี ซึ่งนายสนธิ แถลงว่าการได้รับมอบงิน และผ้าพันคอสีฟ้า อันเป็นสีประจำองค์พระราชินี เพื่อแสดงว่าพระราชินีสนับสนุนการขับไล่นายกทักษิณ หลังการรัฐประหารไม่กี่วัน มีข่าวแพร่ไปทั่วทั้งในและนอกประเทศ ว่า พระราชินีคือผู้สั่งการให้ทหารทำการรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองประเทศ และขับไล่นายกทักษิณ ทำให้ประชาชนในประเทศไทยจำนวนมากเสื่อมศรัทธาและไม่นิยมพระราชินีมากขึ้นไปอีก ในฐานะที่ทรงเจ้ากี้เจ้าการ ชี้นำ บงการการเมือง ทรงไม่วางตัวเป็นกลางทางการเมือง

ไม่มีรัฐประหารไหน
พิเศษกว่ารัฐประหารอื่น:

ในทันทีที่เกิดการยึดอำนาจเมื่อคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ปัญญาชนและนักวิชาการจำนวนมาก พากันยืนยันว่ารัฐประหารนี้แตกต่างจากรัฐประหารในอดีต เพราะเป็นรัฐประหารที่เกิดจากความต้องการของประชาชนจริงๆ เป็นรัฐประหารที่ให้ความสำคัญกับสิทธิเสรีภาพพลเมืองมากกว่าทุกครั้ง เป็นการยึดอำนาจโดยปราศจากการใช้ความรุนแรง เป็นรัฐประหารที่บัญญัติไว้ในธรรมนูญการปกครองว่า จะเคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิเสรีภาพของประชาชน ฯลฯ จึงไม่ควรต่อต้านหรือวิจารณ์การยึดอำนาจครั้งนี้ เพราะมีความเป็นไปได้ที่รัฐประหารนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงในสังคมไทย

แต่ข้อเท็จจริงที่เห็นก็คือ รัฐประหาร 19 กันยายน เริ่มต้นด้วยการประทุษร้ายบุคคลในรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง การปกครองประเทศด้วยกฎอัยการศึกและกำลังพลติดอาวุธ พรรคการเมืองถูกห้ามดำเนินกิจกรรม สิทธิในการเข้าถึงและกระจายข่าวสารถูกควบคุมทั้งทางตรงและทางอ้อม เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกลิดรอน เสรีภาพในการชุมนุมกลายเป็นเรื่องผิดกฎหมาย การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี สภานิติบัญญัติ และสภาร่างรัฐธรรมนูญ ล้วนกระทำไปโดยการพูดคุยและตกลงกันภายในระหว่างผู้นำรัฐประหารไม่กี่คน จากนั้นก็ตามมาด้วยการร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่มีผู้แทนปวงชนเข้าไปเกี่ยวข้อง สิทธิในการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรถูกระงับ รวมทั้งหลักการปกครองโดยกฎหมายถูกบิดเบือนถูกแทรกแซงกลายเป็นเครื่องมือกำจัดฝ่ายตรงข้ามตามใจชอบ

พื้นฐานของหลักการประชาธิปไตยถือว่าพลเมืองมีสิทธิเสรีภาพโดยธรรมชาติอยู่แล้ว รัฐธรรมนูญมีขึ้นเพื่อสร้างความสมบูรณ์ให้กับสิทธิเสรีภาพที่พลเมืองมีโดยกำเนิดอยู่แล้ว เป้าหมายของรัฐธรรมนูญคือ การสร้างหลักประกันด้านสิทธิเสรีภาพพลเมือง โดยบทบัญญัติทางกฎหมาย พลเมืองไม่ได้มีหน้าที่ต้องเชื่อฟังและปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญโดยไม่มีเงื่อนไข เพราะพลเมืองจะมีหน้าปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญก็ต่อเมื่อรัฐธรรมนูญได้ให้หลักประกันเรื่องสิทธิเสรีภาพแก่พลเมือง สิทธิเสรีภาพพลเมืองจึงเป็นเส้นแบ่งการเมืองสมัยใหม่หรือระบอบประชาธิปไตยกับการเมืองระบอบเผด็จการแบบโบราณ การปกครองโดยใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือสำหรับปกป้องสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของพลเมือง
แต่รัฐประหาร คือความรุนแรงทางการเมือง เพราะพื้นฐานของรัฐประหารคือการใช้กำลังและความรุนแรงเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองในการเข้าแทนที่ผู้ปกครองในขณะนั้น ไม่ได้หมายถึงการใช้กำลังประทุษร้ายเพียงอย่างเดียว หากยังครอบคลุมถึงการข่มขู่ว่าจะใช้กำลังและความรุนแรง การยึดอำนาจที่ปราศจากการนองเลือดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก
รัฐประหารเป็นการยึดอำนาจด้วยกำลังโดยเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่การปฏิวัติโดยสังคม ไม่เกี่ยวข้องกับการมีพลังมวลชนที่มีเป้าหมายเชิงสังคมอุดมคติอะไรทั้งนั้น หมายความว่าการยึดอำนาจโดยวิธีรัฐประหารสามารถเกิดขึ้นจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่มีเป้าหมายระยะยาวต่อสังคมเลยก็เป็นได้ ทำให้แม้การรัฐประหารโดยส่วนใหญ่มักเริ่มต้นจากกลุ่มบุคคลซึ่งมีความยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อและอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งอย่างแน่นแฟ้น แต่กระบวนการหลังรัฐประหารอาจดำเนินไปเพื่อแก้ปัญหาหรือหาผลประโยชน์โดยไม่คำนึงถึงอุดมการณ์อะไรแม้แต่น้อย

แม้ว่าคณะรัฐประหารได้ถอนตัว และถอนกำลังทหารออกไปแล้ว แต่องค์กรต่างๆที่ถูกตั้งขึ้นโดย คณะรัฐประหารซึ่งเป็นกบฏ ก็ยังปฏิบัติหน้าที่ต่อไป กฎหมาย ที่มาจากระบอบเผด็จการทหาร ที่ตราขึ้นโดยสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่คณะปฏิวัติแต่งตั้งเองยังนำมาใช้บังคับกับประชาชนต่อไป โดยที่คณะรัฐประหารไม่สามารถพิสูจน์ความผิดของรัฐบาลทักษิณได้แม้แต่ข้อหาเดียว ทั้งๆที่พวกเผด็จการทหารได้ตั้งองค์กรที่ฝ่าฝืนระบอบประชาธิปไตยขึ้นมาจัดการไล่ล่า ทุกวิถีทางแล้วก็ตาม และในที่สุด เมื่อมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ ปวงชนชาวไทย ก็ได้แสดงประชามติแล้ว ว่ายังคงมีความเชื่อมั่นว่าในตัวพ.ต.ท.ทักษิณเหมือนเดิม โดยการลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้มีเสียงข้างมาก เพื่อให้กลับมาบริหารบ้านเมืองใหม่ ตามแนวนโยบายเดิม แต่องค์กรที่มาจากระบอบเผด็จการ และองค์กรตุลาการยังคงจะใช้ กฎหมายของคณะรัฐประหาร และยังทำงานรับใช้พวกเผด็จการเหมือนเดิม

เมื่อฆวน คาร์ลอส
ปฏิเสธรัฐประหาร


ทหารสเปนกลุ่มหนึ่งที่ยังภักดีต่อระบอบทหารฟรังโกได้ก่อการรัฐประหาร วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2524 ในขณะที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่กำลังแถลงนโยบายต่อสภา โดยมีการถ่ายทอดสดออกทางโทรทัศน์ กองกำลังทหารราว 200 นาย ได้เข้ายึดสภาผู้แทนราษฎร ใช้ปืนยิงขึ้นฟ้าและสั่งให้ผู้ที่อยู่ในสภาหมอบลงกับพื้น เพื่อยึดอำนาจ และจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจเพื่อความสมานฉันท์ แม่ทัพภาคที่ 3 ได้นำกองกำลังออกมาบนท้องถนนและประกาศกฎอัยการศึก แถลงว่ากำลังจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวภายใต้การสนับสนุนของกษัตริย์
ตีหนึ่งของวันถัดไป กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ตัดสินใจแถลงผ่านโทรทัศน์และวิทยุ ไม่สนับสนุนการรัฐประหารครั้งนี้ และเรียกร้องให้กองทัพและประชาชนร่วมมือกันปกป้องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ทรงยืนยันว่าทหารมีหน้าที่ป้องกันรัฐบาลที่ชอบธรรมและชอบด้วยกฎหมายตามระบอบประชาธิปไตยอย่างไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้น เมื่อขาดแรงสนับสนุนจากกษัตริย์ฆวน คาร์ลอส การรัฐประหารก็ไม่สำเร็จ บรรดาผู้เข้าร่วมกลายเป็นกบฏโดนลงโทษจำคุก โดยเฉพาะแกนนำ ถูกศาลตัดสินจำคุก 30 ปี เป็นอันว่า กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ได้ปลดปล่อยประชาธิปไตยสเปนให้พ้นจากการครอบงำของกองทัพพร้อมกับสร้างความมั่นคงให้กับสถาบันกษัตริย์

ทำให้พวกนิยมคอมมิวนิสต์และพวกนิยมสาธารณรัฐปรองดองกับสถาบันกษัตริย์อย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน หัวหน้าพรรคคอมมิวนิสต์ ออกมายอมรับว่าฆวน คาร์ลอส เป็น “ กษัตริย์ผู้กล้าหาญ ” บรรดานักการเมืองซ้ายจัดมองว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการประชาธิปไตยแต่อย่างใด ถ้ากษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ตัดสินใจสนับสนุนรัฐประหาร แน่นอนที่สุดว่าการรัฐประหารต้องสำเร็จ กองกำลังทหารที่ออกมาต่อต้านการรัฐประหารนั้น ไม่ได้ทำไปเพราะต้องการปกป้องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ พวกเขาไม่ได้ศรัทธาสิ่งเหล่านี้ แต่ที่พวกเขาออกมาต่อต้านทหารที่ทำรัฐประหารก็เพื่อปกป้อง
กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ผู้เป็นทายาททางการเมืองของนายพลฟรังโก้ ( Francisco Franco ) ผู้เป็นนายเก่าของพวกเขาเท่านั้น การที่กษัตริย์ฆวน คาร์ลอส ตัดสินใจยับยั้งรัฐประหาร ทำให้พระองค์เป็นกษัตริย์ประชาธิปไตยที่ต้องจารึกไว้ ในประวัติศาสตร์สเปนว่า พระองค์ได้รับข้อเสนอและมีโอกาสเผด็จอำนาจหรือมีอำนาจเบ็ดเสร็จ แต่กลับทรงปฏิเสธ พระองค์ได้รับอำนาจเด็ดขาดอันเป็นมรดกจากนายพลฟรังโก้ แต่กลับไม่รับสืบทอดอำนาจและยังได้ทำลายระบอบเผด็จการฟรังโก้

กษัตริย์ฆวน คาร์ลอสรู้ดีว่าระบอบเผด็จการฟรังโก้ รวมทั้งการรัฐประหารหรือการปกครองประเทศโดยทหาร ตลอดจนการที่สถาบันกษัตริย์มีอำนาจมากมาย ล้วนไม่สอดคล้องกับประชาธิปไตยในโลกสมัยใหม่ การดื้อรั้นดันทุรังใช้แนวทางเดิมๆโดยไม่รู้จักปรับตัวเข้ากับยุคสมัยย่อมมีแต่จะล้าหลังไม่พัฒนา หากปล่อยให้มีการรัฐประหาร ก็เท่ากับว่ารัฐธรรมนูญที่ประชาชนลงมติเห็นชอบต้องถูกทำลาย และการปฏิรูปการเมือสู่ประชาธิปไตยต้องพังครืนลงทั้งหมด พระองค์จึงตัดสินใจอย่างกล้าหาญ ปฏิเสธระบอบอำนาจเบ็ดเสร็จ และปฏิเสธการรัฐประหาร

สถานะของสถาบันกษัตริย์ไทย
ในปัจจุบัน


ประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นไม่มีกฎหมายห้ามหมิ่นสถาบันกษัตริย์ และไม่มีการออกมาแสดงความคิดเห็นทางการเมืองของกษัตริย์หรือการแสดงพระราชดำรัสอย่างเป็นทางการจนเป็นประเพณีทุกปี ซึ่งต่างจากประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง สถาบันกษัตริย์ของไทยในปัจจุบันมีทั้งอำนาจบารมีและความสำคัญสูงสุดในระดับที่รัฐต้องให้การรับรองอย่างเป็นทางการโดยเฉพาะในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งเป็นช่วงที่สถานะของสถาบันกษัตริย์ถูกกู้คืนมาในลักษณะที่เป็นการสร้างประเพณีใหม่ โดยอาศัยสถาบันกษัตริย์ในการสถาปนาอำนาจและความมั่นคงของระบอบเผด็จการทหาร ในเหตุการณ์พฤษภา 2535 ได้มีการสร้างภาพให้กษัตริย์กลายเป็นหลักยึดของประชาธิปไตย และเป็นศูนย์กลางแนวคิดเรื่องชุมชน การสิ้นพระชนม์ของราชวงศ์ถูกทำให้เป็นเรื่องใหญ่โต ขณะที่สำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นแหล่งทุนของเจ้าที่มีผลกำไรมหาศาลและเป็นธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ พร้อมทั้งองคมนตรีที่มีบทบาทในทางการเมืองในกองทัพและในระบบราชการอย่างชัดเจน

เรื่อง "พระราชอำนาจ"
หนังสือเรื่อง พระราชอำนาจของนายประมวล รุจนเสรี อธิบายว่าในหลวงทรงมีอำนาจมากกว่าที่เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ไม่ต้องอยู่ใต้ แต่ทรงอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญต้องได้รับพระบรมราชานุมัติก่อน ที่จริงการให้ความเห็นชอบหรือพระบรมราชานุมัติก่อน ไม่ได้แปลว่าทรงอยู่เหนือรัฐธรรมนูญเพราะรัฐสภาก็ต้องให้ความเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญก่อนเช่นกัน และถ้ามีการลงประชามติ ให้ประชาชนเห็นชอบกับรัฐธรรมนูญก่อนก็ไม่ได้แปลว่า ประชาชนต้องอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ
แม้แต่ในพระราชหัถตเลขาสละราชสมบัติของรัชกาลที่ 7 ก็ใช้คำว่า "เมื่อพระยาพหลฯและพรรคพวก... ได้มีหนังสือขอให้ข้าพเจ้ายังคงเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้ายอมรับตามคำขอ
เงื่อนไขสำคัญในแง่กฎหมาย ที่ทำให้พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจ มากกว่าที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญมาจากข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญเองตั้งแต่ครั้งแรกในปี 2475 ซึ่งบัญญัติไว้อย่างถาวร ว่า องค์พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ และ ครั้งที่สอง ในปี 2491-92 ที่บัญญัติเพิ่มเติมว่า " ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆมิได้ "

ข้อความทั้งสองมีความหมายที่กว้างมาก คือ หากพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจใดๆนอกเหนือ หรือไม่ตรงกับที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ย่อมทำได้และต้องถือว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญทั้งสิ้น เนื่องจากไม่มีผู้ใดสามารถจะกล่าวหาได้ ว่าทรงกระทำนอกเหนือหรือผิดรัฐธรรมนูญ ไม่ว่าในกรณีใดๆทั้งสิ้น
เช่น ในการยึดอำนาจของสฤษดิ์ต่อจอมพล ป. เมื่อเดือนกันยายน 2500 ในหลวงทรงมี "พระบรมราชโองการ" ตั้งให้สฤษดิ์เป็น "ผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร" โดยไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ ซึ่งเราไม่สามารถกล่าวได้ว่า ทรงทำนอกเหนือหรือผิดรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญห้ามการกล่าวหาพระมหากษัตริย์ไม่ว่าในกรณีใดๆ

บทบัญญัติรัฐธรรมนูญลักษณะนี้ มีที่มาจากรัฐธรรมนูญสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของญี่ปุ่น บทบัญญัติในประมวลกฎหมายอาญาที่รู้จักกันในนาม " กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ " (ประมวลกฎหมายอาญา ร.ศ. 127 (พ.ศ.2452) มาตรา 98 ปัจจุบันคือมาตรา 112 ในประมวลกฎหมายอาญา 2499) แม้กระทั่งในความเข้าใจของสาธารณชนว่า เป็นกฎหมาย "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ความจริงกฎหมายนี้ไม่สามารถเรียกว่าเป็นกฎหมาย "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" อีกต่อไป เพราะคำว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" มีนัยยะว่าสถานะของพระมหากษัตริย์เป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ใช่ในระบอบที่ทรงใช้อำนาจอธิปไตยแต่เพียงในนามเท่านั้น แต่ความเข้าใจของคนทั่วไปก็คือข้อหา "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย" พระมหากษัตริย์, พระราชินี, รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็คือข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ นั่นเอง

การร่วมวางแผนของราชวงศ์


รัฐบาลทักษิณไม่เป็นที่ชื่นชอบของราชวงศ์ ด้วยลักษณะการเป็นผู้นำแบบบูรณาการ หรือซีอีโอ บวกกับการสนับสนุนของประชาชนทำให้ชนะเลือกตั้งอย่างท่วมท้นแบบไม่เคยมีมาก่อน แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการมีพิธีรีตองแบบโบราณและการอุปถัมภ์ค้ำชูของเจ้า ในหลวงได้รับการยกย่องว่าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่เปรียบมิได้ต่อคนยากคนจนโดยผ่านโครงการการพัฒนาชนบทในพระราชดำริ แต่นโยบายเศรษฐกิจแบบประชานิยมของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งอัดฉีดเงินให้ทุกหมู่บ้านโดยตรง ได้ลดพระบารมีและพระเกียรติคุณของในหลวงลงไปอย่างมาก
สำหรับคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้มีความขัดแย้งในการสนับสนุุนทั้งนายกทักษิณและในหลวง ประชาชนส่วนมากยอมรับทั้งผู้นำแบบนายกทักษิณและพระมหากรุณาธิคุณของในหลวงควบคู่กันไป คือทั้งความทันสมัยของรัฐบาลทักษิณที่ผสมกลมกลืนกับประเพณีราชวงศ์ไปพร้อมๆกัน

แต่สถาบันกษัตริย์ของไทยมีความคิดคับแคบ เพราะพวกเจ้าได้คุมอำนาจเบ็ดเสร็จมานานแล้วจึงไม่ยอมให้ใครเข้ามามีส่วนร่วม การสนับสนุนจากคะแนนเลือกตั้งที่ล้นหลาม และความชื่นชมจากคนยากจนในชนบทที่รัฐบาลทักษิณได้รับ เป็นการคุกคามต่อพระบรมเดชานุภาพอันประเสริฐยิ่งของพระเจ้าอยู่หัว และการเป็นที่นิยมเป็นที่รักของประชาชนนั้นเป็นเรื่องที่สงวนไว้สำหรับกษัตริย์เท่านั้น ไม่ใช่เรื่องของนักการเมืองที่บังอาจมาแข่งพระบุญญาบารมี ซึ่งเป็นเพียงแค่ไพร่ จึงต้องมีการจัดการอะไรสักอย่าง และการทำรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 จึงเป็นคำตอบของคนพวกนี้
ไม่มีข้อสงสัยอีกต่อไปแล้วว่าการทำรัฐประหารปี 2549 นั้นได้รับการเห็นชอบอย่างเต็มที่จากพระเจ้าอยู่หัว ผู้บงการรัฐประหารตัดสินใจที่จะผูกโบว์สีเหลืองรอบปืนติดรถถัง และเคลื่อนออกสู่ท้องถนนในกรุงเทพ สีเหลืองเป็นสีของพระเจ้าอยู่หัว การใช้โบว์เหลืองเป็นแผนระยะสั้นที่จะดึงเสียงสนับสนุนในกรุงเทพ แต่สีที่ใช้ได้ย้อนกลับคืนมาทำลายพระเจ้าอยู่หัวเอง ภาพของราชวงศ์ที่ให้การสนับสนุนต่อการทำรัฐประหาร ได้ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ทั้งในและนอกประเทศเกี่ยวกับ การนำพระราชอำนาจ พระบุญญาบารมี และสัญลักษณ์ของวังมาใช้สนับสนุนการทำรัฐประหาร 19 กันยาซึ่งเป็นรัฐประหารที่ขาดความชอบธรรม และเป็นการทำลายประชาธิปไตย
ทำให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์ได้ริเริ่ม หนุนหลัง และเป็นพลังสำคัญในการทำลายระบอบประชาธิปไตย ทำให้เกิดความไม่พอใจจากประชาชนจำนวนมาก และนำสถาบันกษัตริย์เข้าสู่วิกฤตทางการเมือง ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวไม่ได้วิจารณ์ทหารผู้ทำรัฐประหารแต่อย่างใด และไม่เคยออกมาปกป้องระบอบประชาธิปไตย หรือรัฐธรรมนูญ มีการลงพระปรมาภิไธยแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีเผด็จการ เห็นได้ชัดว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงสบายพระทัยกับพวกเผด็จการทหารมากกว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง และพระองค์ก็ทรงคุ้นเคยใกล้ชิดกับจอมเผด็จการสฤษดิ์ และถนอมในอดีตโดยที่ไม่เคยออกมาคัดค้านหรือวิจารณ์รัฐบาลที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
แม้ว่าในเดือนเมษายน 2549 ได้เคยตรัสว่าไม่เห็นด้วยกับการขอนายกพระราชทานตามมาตรา 7 แต่พอถึงเดือนกันยายนและในเดือนธันวาคม ในหลวงกลับสนับสนุนการรัฐประหารอย่างเปิดเผย ในหลวงไม่ปกป้องระบอบประชาธิปไตยจากการทำรัฐประหารที่ล้มล้างรัฐธรรมนูญ แต่มีการอ้างว่าในหลวงถูกบังคับ ทั้งๆที่มีผู้ยืนยันว่าพระองค์ทรงอนุมัติให้ทำรัฐประหารเอง และคณะรัฐประหารก็ได้อ้างความเห็นชอบจากพระเจ้าอยู่หัวมาโดยตลอด เช่นการเปิดภาพในหลวงทางจอโทรทัศน์อย่างต่อเนื่องในวันแรก การผูกโบสีเหลืองบนปืนและเครื่องแบบ และการเชิญตัวแทนของพระเจ้าอยู่หัวไปเปิดสภาเผด็จการที่ทหารแต่งตั้ง ในวันเฉลิมพระชนมพรรษายังได้เสด็จออกมาชมพลเอกสุรยุทธ์นายกรัฐมนตรีของคณะรัฐประหารซึ่งเป็นองคมนตรี

ตราบเท่าที่พระเจ้าอยู่หัว
ยังสนับสนุน
พวกพันธมิตรจะไม่มีวันเลิก

1.นายสนธิแกนนำพันธมิตรเสื้อเหลือง ได้อ้างมาตลอดว่าในหลวงให้การสนับสนุนพันธมิตรอย่างเต็มที่ และตราบเท่าที่ในหลวง ยังสนับสนุนพันธมิตรอย่างเต็มที่เช่นนี้ พันธมิตรจะไม่มีวันเลิกแน่นอน เพราะ พวกเขารู้ดีว่ากำลังอยู่ใน "ฝ่ายที่ไม่มีวันแพ้" และ ด้วยการที่ได้รับสนับสนุนนี้เอง พันธมิตรจะไม่มีวันเลิก จนกว่าเป้าหมายของตนจะบรรลุผล "ชนะ" นั่นคือ จนกว่าจะ มั่นใจว่า สามารถทำให้ในหลวง"ปลอดภัย" จาก "อำนาจที่มาจากเลือกตั้ง" ได้

2.ในหลวงสามารถสนับสนุนพันธมิตรไปเรื่อยๆ สามารถใช้สังคมเป็นเดิมพัน สร้างความชะงักงัน กระทั่ง ความถดถอยและความล่มจม ทางเศรษฐกิจและการเมือง ซึ่งไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกเขา รวมทั้งชีวิต ของบรรดาคนร่วมชุมนุมของพันธมิตรเอง เพราะโดยโครงสร้างของสังคมไทยนั้นพระเจ้าอยู่หัวและพระราชวงศ์ เป็นกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันต่อความหายนะทั้งหลายมากที่สุด เป็นพวกที่มีความใส่ใจน้อยที่สุด ว่าใครจะอดตาย เศรษฐกิจและสังคมจะพังพินาศ เพราะพวกเขามีหลักประกันที่คนอื่นไม่มี จึงสามารถหนุนหลังให้พันธมิตรเสื้อเหลืองก่อสถานการณ์ยืดเยื้อเป็นปีๆ สร้างความปั่นป่วน ความไม่เป็นปกติสุขต่อสังคม อย่างไรก็ได้ ให้มีการยึดทำเนียบรัฐบาลเป็นเดือนๆได้ หรือกระทั่งปิดยึดสนามบินนานาชาติ ถ้าเป็นนายทุนหรือนักการเมืองทั่วไปก็จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วย

3.ในที่สุด ตราบเท่าที่ในหลวงยังให้การสนับสนุนพันธมิตรเสื้อเหลือง เรื่องก็คงจะลงเอยที่การยึดอำนาจอีกครั้ง ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง อย่างเบาที่สุด คือการยึดอำนาจทางรัฐสภา โดยหาทางให้ประชาธิปัตย์กลายเป็นรัฐบาลแทน โดยผ่านกลไลรัฐสภาตามปกติคือบีบพรรคอื่นๆให้หันมาสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ เป็นต้น ลงท้าย คงต้องมีการยึดอำนาจแบบหนัก คือ ทำรัฐประหาร หรือ ยุบสภา

พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
กษัตริย์ที่น่าทึ่งของไทย


วิกฤติการณ์ปัจจุบันได้ขยายตัวออกไปจนในหลวงภูมิพลไม่สามารถทำให้สงบเหมือนดังที่พระองค์ได้ทรงทำมาในวิกฤติการณ์ทางการเมืองทุกครั้งตลอด 62 ปีแห่งการครองราชย์ ท้ายที่สุด ผู้ประท้วงรัฐบาลหลายพันคนก็ปิดสนามบินสำเร็จเป็นเวลาหลายวัน ทำให้นักท่องเที่ยว 300,000 คนติดอยู่ในประเทศ และศาลรัฐธรรมนูญก็ตัดสินยุบพรรครัฐบาลและตัดสิทธิทางการเมืองของนายกรัฐมนตรีสมชาย วงสวัสดิ์ เป็นเวลา 5 ปี นอกจากนี้ แม้ว่าอดีตนายกทักษิณ ศัตรูที่น่ากลัวของพระเจ้าอยู่หัวจะอยู่ในระหว่างการหลบหนี แต่เขาก็ยังคงได้รับความนิยมจากประชาชนไทยทั่วประเทศและยังคงมีเงินหลายหมื่นล้านบาท และมีคนอีกมากมายที่จะเป็นตัวแทนของคุณทักษิณในประเทศไทย
แม้ว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 จะเป็นพระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวในโลกสมัยใหม่ที่มีอำนาจทางการเมืองสูงที่สุด ที่พร้อมทั้งบุคลิกภาพ สติปัญญาและความสามารถของพระองค์ และภาพลักษณ์ที่ทำให้พระองค์เป็นที่เคารพรักในประเทศ และชื่นชมไปทั่วโลก แต่พระองค์ไม่เคยเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไต ยและได้ทรงเข้ามาแทรกแซงอยู่เบื้องหลังทางการเมืองตลอดเวลา พระเจ้าแผ่นดินที่อ้างกันว่าได้รับความรัก ความเคารพบูชาจากประชาชนอย่างสูงที่สุดนั้น กลับมีการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่รุนแรงมากที่สุด ในขณะที่ราชวงศ์ต่างๆทั่วโลกได้พากันยกเลิกกฎหมายนี้ หรือมิฉะนั้นก็ไม่มีการบังคับใช้กฎหมายนี้แล้ว แต่ในประเทศไทยกลับมีการเพิ่มโทษสำหรับการกระทำความให้รุนแรงยิ่งขึ้นไปจนถึงขั้นจำคุกสิบห้าปี แม้แต่การวิพากษ์วิจารณ์อย่างเบาบางก็ทำไม่ได้ และผลของกฎหมายตัวนี้ไม่ได้มีแต่เฉพาะคนไทยเท่านั้น บรรดานักการทูต นักวิชาการ สื่อมวลชนจากตะวันตกก็พากันยอมรับผลของกฎหมายฉบับนี้ด้วยความขลาดกลัว

จุดเริ่มต้นต้นของปัญหานี้เริ่มตั้งแต่สมัยสงครามเวียดนาม เมื่อสหรัฐฯพบว่าพระเจ้าแผ่นดินพระองค์นี้เป็นพันธมิตรในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ ที่จะเป็นเสมือนสัญลักษณ์ในการต่อต้านกองทัพแดง อเมริกาก็ให้เงินสนับสนุนกองทุนในการโฆษณาชวนเชื่อให้ทุกครัวเรือนของไทยมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์แม้แต่ทุกวันนี้ ในขณะที่สหรัฐไม่รอช้าที่จะโวยวายประณามกระบวนการที่ไม่เป็นประชาธิปไตยในประเทศต่างๆในเอเชีย แต่น้อยครั้งนักที่อเมริกาจะประท้วงไทยเวลาที่มีการจับกุมทั้งคนไทยและต่างชาติเพราะการวิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ สื่อมวลชนและนักวิชาการจากโลกตะวันตกนั้นต้องการวีซ่าในการเดินทางเข้าไทยเพื่อมาทำงาน ดังนั้นจึงต้องไม่วิพากษ์วิจารณ์ราชวงศ์ไทยเป็นอันขาด

พระเจ้าแผ่นดินกลายมาเป็นศูนย์กลางของสังคมไทยอีกครั้ง และสามารถฟื้นคืนพระราชอำนาจมาได้อย่างมากมาย กลายมาเป็นแนวคิดหลักของพันธมิตรเสื้อเหลืองจากพระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวตลอดหลายปีที่ผ่านมาว่า ประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเป็นสิ่งที่สกปรกชั่วร้าย และประเทศชาติจะเจริญกว่าถ้ามีการบริหารโดยคนที่พระเจ้าแผ่นดินโปรดแล้วว่าเป็นคนดี เช่นพลเอกเปรม ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งในช่วงปี 2523-2531 พลเอกเปรมมีบทบาทที่สำคัญในการสร้างเสริมความคิดที่ว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเสมือนสมมติเทพ ขณะที่กองทัพเชื่อว่าพวกเขามีสิทธิที่จะเปลี่ยนรัฐบาลที่ทำให้พวกเขาหรือพระเจ้าอยู่หัวไม่พอใจ และพวกเขาจะรับคำสั่งจากพระเจ้าอยู่หัวซึ่งให้การเห็นชอบในการทำรัฐประหารมานับครั้งไม่ถ้วน ทั้งกองทัพและพระเจ้าอยู่หัวจึงเป็นสองอุปสรรคสำคัญของการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย ที่เกี่ยวโยงกันชนิดแยกไม่ออก

พระเจ้าแผ่นดินยังเข้าไปแทรกแซงกระบวนการนิติรัฐ ด้วยการแจ้งความปรารถนาของพระองค์ให้เหล่าผู้พิพากษาทราบ อิทธิพลของพระองค์ทำให้ผู้พิพากษาต้องรับฟังประดุจเป็นคำสั่ง ไม่กี่เดือนก่อนการรัฐประหาร พระองค์ได้มีรับสั่งกับผู้พิพากษาให้แก้ไขปัญหาทางการเมือง หลังจากนั้นมีการอัดเสียงบทสนทนาของผู้พิพากษาศาลฎีกาสองคน ที่ได้มีการนำมาเปิดเผยในอินเทอร์เน็ต โดยผู้พิพากษาคนหนึ่งบอกว่า ต้องหลีกเลี่ยงการทำให้คนเข้าใจว่าเป็นรับคำสั่งของพระเจ้าอยู่หัวเพราะ “พวกคนต่างชาติไม่มีวันยอมรับ”

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การตีความพระประสงค์ของพระเจ้าแผ่นดินก็ชัดเจนขึ้นทุกที เพราะศาลได้เร่งรีบพิจารณาพิพากษาคดีหาทางลงโทษคุณทักษิณและพวกทุกวิถีทาง ในขณะที่ลดหย่อนและให้ประโยชน์แก่ฝ่ายตรงข้ามคุณทักษิณ แม้ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นการที่ศาลสั่งปลดนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวชที่สนับสนุนทักษิณเพียงเพราะการทำอาหารออกรายการโทรทัศน์ แต่ในทางกลับกัน ข้อหากบฏที่มีต่อกลุ่มพันธมิตรเพราะบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล กลับได้รับการลดหย่อน และศาลยังปล่อยตัวให้เป็นอิสระ เพื่อให้กลับมายึดครองทำเนียบรัฐบาลต่อไปได้อีก

ในการรณรงค์สนับสนุนทักษิณ เมื่อเดือนกรกฎาคม 2551 มีนักปราศัยคนหนึ่ง ชื่อดา ตอร์ปิโด ได้กล่าวโจมตีสถาบันกษัตริย์ว่า พระเจ้าอยู่หัวเป็นเสี้ยนหนามในระบอบประชาธิปไตย เพราะทรงสนับสนุนรัฐประหารหลายครั้ง และเตือนราชวงศ์ว่ามีความเสี่ยงที่จะต้องเผชิญกับเครื่องตัดศีรษะแบบกิโยติน แล้วเธอก็ถูกจับกุมขังคุกทันทีโดยไม่ยอมให้ประกันตัว สิ่งที่ทำให้พวกเจ้าตกใจไม่ใช่แค่การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันอย่างรุนแรง แต่เพราะการที่ฝูงชนพากันตะโกนโห่ร้องสนับสนุนเมื่อเธอพูด และเป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับพวกเขาที่จะยังพยายามรักษาภาพลวงตาว่าพระเจ้าอยู่หัวยังเป็นที่ชื่นชมไปทั่วโลก


พระราชินี-ฟ้าหญิงเล็ก
เสด็จพระราชทานเพลิงศพ

พันธมิตรเสื้อเหลือง


เมื่อเวลา 16.05 น. วันที่ 13 ตุลาคม 2551 สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์เสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน ยังวัดศรีประวัติ อ.บางกรวย จ.นนทบุรี เพื่อพระราชทานเพลิงศพ นางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ โดยมีองคมนตรี ประกอบด้วย พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ น.พ.เกษม วัฒนชัย นายพลากร สุวรรณรัฐ รวมทั้ง พล.อ.ทรงกิตติ จักกะบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งมาพร้อมลูกพรรค เข้าเฝ้าฯรับเสด็จ

ทรงพระราชดำเนินไปยังเมรุมาศ ทรงขึ้นถวายผ้าไตร จากนั้นเสด็จฯ ยังพลับพลาที่ประทับ โดยมีพ่อแม่ และครอบครัวของ น.ส.อังคณา เข้าเฝ้าฯรับเสด็จ โดยมีพระราชดำรัสต่อครอบครัวระดับปัญญาวุฒิ

จากนั้น เป็นการเปิดให้ประชาชนวางดอกไม้จันท์ โดยชุดแรกเป็นแกนนำพันธมิตร ประกอบด้วยนาย สนธิ ลิ้มทองกุล สุริยะใส กติศิลา นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ สมศักดิ์ โกศัยสุข สำราญ รอดเพชร พิภพ ธงไชย ดร.เจิมศักดิ ปิ่นทอง นอกจากนี้ นายศรัญยู วงศ์กระจ่าง และน.ส.ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ดารานักแสดงก็มาร่วมพิธี

นอกจากนี้ ยังมีบุคคลในสังคม อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คุณหญิงจารุวรรณ เมฆะกา น.ส.รสนา โตสิตระกูล เฝ้ารับเสด็จฯ นายจินดา ระดับปัญญาวุฒิ พ่อน้องโบว์ ให้สัมภาษณ์ว่า สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงรับสั่งและชมว่า ลูกสาวเป็นเด็กดี ช่วยชาติ ช่วยรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตนได้กราบทูลกลับไปว่า รู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ทั้งสองพระองค์เสด็จมา
"นอกจากนี้ท่านยังตรัสอีกว่า เป็นห่วงพันธมิตรทุกคน ไว้จะฝากดอกไม้ไปเยี่ยมพันธมิตร "
"พระองค์ท่านยังทรงรับสั่งว่า ขอให้กำลังใจกับครอบครัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงรับทราบแล้ว และเงินที่เป็นค่ารักษา ในหลวงเป็นผู้พระราชทานให้ "นายจินดากล่าว

ใครคือจอมบงการ การข่มเหงรังแก, กลั่นแกล้ง, ใส่ร้ายป้ายสี, ยัดเยียดความผิด, ตลอดจนการพยายามลอบสังหารพ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร จากลุ่มคนที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัว ไม่แตกต่างไปจากผู้มีอิทธิพลและมากด้วยบารมีจอมปลอมที่เลี้ยงสุนัขฝูงใหญ่ไว้เห่าหอน และไล่กัดผู้คนตามใจชอบ โดยมีพลเอกเปรมเป็นหัวหน้าสุนัขที่เรียกว่าจ่าฝูง คอยควบคุมดูแลฝูงสุนัข เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้อย่างเด็ดขาด ถ้าเจ้าของฝูงสุนัขไม่รู้เห็นเป็นใจและให้การสนับสนุน จากที่เคยแอบสนับสนุนอย่างลับๆโดยผ่านจ่าฝูง และการให้โอวาทแก่ฝูงสุนัขที่พรางตัวอยู่ตามองค์กรต่างๆ ซึ่งโดยนัยก็คือคำสั่งนั่นเอง จากนั้นฝูงสุนัขก็แยกย้ายไปทำหน้าที่ด้วยการยึดอำนาจล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ตัดสินความผิดแบบไม่ต้องอิงหลักกฏหมาย ทั้งนี้เพื่อต้องการทำลายคุณทักษิณและกลุ่มนักการเมืองคู่แข่งให้พ้นเส้นทางการเมือง
ความจริงในอดีตที่ผ่านมาการจะสั่งการหรือออกคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฏหมาย เขาจะทำกันอย่างลับๆ ไม่ประเจิดประเจ้อและโจ่งแจ้งเช่นในปัจจุบัน ทั้งนี้อาจเป็นเพราะคุณทักษิณเป็นผู้นำที่มีต้นทุนทางสังคมสูง มีผลงานมากมายประทับใจคนส่วนใหญ่ของประเทศ จึงต้องใช้คนจำนวนมากที่อยู่ภายใต้อิทธิพลตามองค์กรต่างๆให้ออกมาช่วยกัน ด้วยคิดว่าความเป็นผู้มากบารมีของตนจะสามารถทำให้มีแนวร่วมเกลียดชังคุณทักษิณเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยมีเจตนาผูกโยงให้คุณทักษิณมีความขัดแย้งกับพระเจ้าอยู่หัว และใช้กฏหมายหมิ่นฯทำลายล้างกลุ่มคนที่สนับสนุนคุณทักษิณและกดทับไม่ให้คนทั้งแผ่นดินวิพากษ์วิจารณ์ในหลวง เป็นการมัดมือชก


บางคนอ้างว่าพระเจ้าอยู่หัวซึ่งเป็นเจ้าของสุนัขไม่รู้เรื่อง
มีการกุข่าวว่ามีคนเห็นในหลวงแอบร้องไห้เพราะเสียใจที่สังคมเกิดความแตกแยก บ้างก็โยนให้เป็นความผิดของพระราชินีแต่ผู้เดียว พฤติกรรมของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สนับสนุนการป่วนเมือง ไม่ได้มีเป้าหมายหยุดอยู่เพียงแค่ทำลายคุณทักษิณให้พ้นเส้นทางการเมืองเท่านั้น หากแต่ต้องการถึงขั้นล้มล้างระบอบประชาธิปไตย เพื่อสถาปนาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์รูปแบบใหม่


ดังที่ พล.ต.อ.วิสิษฐ เดชกุญชร ที่ได้ชื่อว่ามีความจงรักภักดีและเป็นที่ไว้วางใจอย่างที่สุด กล้าออกมาประกาศว่าเวลานี้ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบราชาธิปไตย ด้วยเหตุผลที่ว่า ประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร เพื่อต้องการให้เป็นที่เข้าใจว่ากษัตริย์มีอำนาจเหนือรัฐและคนทั้งปวงในประเทศ โดยมีแนวโน้มของรัฐบาลที่จะเกิดขึ้นโดยผ่านช่องทางพิเศษในอนาคต
ประเทศไทยต้องปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอันเป็นกฏหมายสูงสุด และไม่มีใครอยู่เหนือกฏหมายได้ กษัตริย์ต้องไม่ไปเที่ยวพูดบอกใบ้ที่เรียกสวยหรูว่า พระราชทานพระบรมราโชวาท ให้กับใครหรือองค์กรใดก็ตามให้เป็นที่สับสน จนกลายเป็นประเด็นแห่งความขัดแย้งแตกแยกและเกิดการแบ่งขั้ว
กษัตริย์ต้องไม่มีอำนาจอย่างเด็ดขาด และต้องไม่ใช้สิทธิ์จอมปลอมด้วยการออกกฏหมายนิรโทษกรรม เพื่อให้พวกสมุนรับใช้พ้นผิดในข้อหากบฏ ในเวลาเดียวกันพวกสมุนรับใช้ ก็อาศัยกฏหมายหมิ่นฯกดหัวประชาชนทั้งประเทศเพื่อให้กษัตริย์สามารถครองราชย์ได้อย่างยาวนานโดยไม่มีใครกล้าต่อต้านหรือคัดค้าน
กษัตริย์ต้องไม่ไปคิดค้นโครงการใดๆมาแข่งกับโครงการของรัฐบาล เพราะโครงการของรัฐบาลมีที่มาจากนโยบายของพรรคที่เคยเสนอต่อประชาชน จนได้รับความเห็นชอบจากประชาชนและประชาชนมอบความไว้วางใจเลือกเข้ามาบริหารประเทศ โครงการที่กษัตริย์และพวกสมุนรับใช้คิดค้นขึ้นหลายโครงการเป็นโครงการผีดิบที่ไปเที่ยวสูบเลือดจากคนทั้งแผ่นดิน เห็นได้จากในแต่ละวันจะมีผู้คนเข้าแถวทูลเกล้าถวายเงินโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย

กษัตริย์ต้องรับผิดชอบพวกสมุนรับใช้ที่เลี้ยงไว้ จะปล่อยให้ไปทำร้ายไล่กัดผู้คนโดยไม่ต้องรับผิดชอบไม่ได้ และจะปฏิเสธไม่รู้เห็นก็ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าตำแหน่งประธานองคมนตรีนั้น เป็นตำแหน่งที่กษัตริย์เป็นผู้คัดเลือกขึ้นมาเองตามพระราชอัธยาศัย การปล่อยให้พลเอกเปรมไปแทรกแซงตามองค์กรต่างๆและสนับสนุนให้มีการล้มล้างรัฐบาลที่มาจากประชาชน จนประเทศชาติบอบช้ำและสร้างความเดือดร้อนให้กับพี่น้องทั่วประเทศทุกสาขาอาชีพ จนมีการรวมตัวขับไล่เปรมหลายครั้งหลายหนในรอบสามปีที่ผ่านมา ในหลวงไม่เพียงแต่จะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อนแล้ว ยังมีการเพิ่มเงินเดือนให้คณะองคมนตรี และเปลี่ยนรถประจำตำแหน่ง ให้สุดหรูยิ่งขึ้นเป็นการตอบแทน เสมือนหนึ่งเป็นการตบหน้าคนไทยทั้งแผ่นดิน

............

………………………………

ไม่มีความคิดเห็น: