วันศุกร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปิดตำนาน ว่าด้วยสื่อสามานย์ ( Legend of Bad Media )

ฟังเสียง : http://www.4shared.com/mp3/9zZopSDm/Legend_of_Bad_Media_.ht http://www.mediafire.com/listen/8uot0tj97r1homm/Legend_of_Bad_Media_.mp3
http://www.mediafire.com/listen/8uot0tj97r1homm/Legend_of_Bad_Media_.mp3
http://www.youtube.com/watch?v=ydKnr_5tQU0&feature=youtu.be


เปิดตำนาน ว่าด้วยสื่อสามานย์

 (
Legend of Bad Media )

ค่ายเนชั่นและสื่อยุคไร้อุดมการณ์

ทีมงาน Nation Channel 24 โทรทัศน์รายงานข่าว

ในช่วงรัฐบาลชาติชาย ชุณหะวัณ  ตลาดหุ้นพุ่งทยานสุดเหวี่ยง เจ้าของบริษัทต่างก็เอากิจการเข้าไปหากำไรในตลาดหุ้น รวมทั้งพวกหนังสือพิมพ์ก็พากันเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนจากความเป็นสื่อมืออาชีพ กินอุดมการณ์ มีจุดยืนเพื่อสังคมส่วนรวม มาใส่สูทผูกไทด์โก้เป็นนักธุรกิจ เงินเดือนนักข่าวขึ้นมาเป็นหมื่นหรือหลายหมื่นในยุคนั้น


ทีมงานเนชั่นระดับหัวหน้า
นายทุนสื่อก็ต้องปรับตัวเองมาวิ่งเต้นขอคลื่นสัมปทานทีวี วิทยุ ซึ่งกองทัพและเจ้าของกองทัพเป็นผู้ผูกขาดรายใหญ่มาแต่เดิม แล้วก็ต้องหาโฆษณารายใหญ่ซึ่งบรรดาทุนใหญ่ต่างก็อาศัยการพึ่งพาบารมีเจ้าของคอกม้าเช่นเดียวกัน การที่สื่อหนังสือพิมพ์ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์ มันบังคับให้สื่อต้องทำตัวให้ใหญ่โต ต้องมีทุนมหาศาล ต้องมีตัวเลขงบการเงิน อัตราขยายตัวของกำไร ไปโชว์ให้คนเล่นหุ้นได้เห็น แล้วก็ปั่นหุ้นกันขึ้นไป หุ้นผู้จัดการขึ้นไปถึง 300-400 หุ้นวัฏจักรหนังสือพิมพ์หางานขึ้นถึง 500-600 หุ้นมติชน 400 กว่า หุ้นเนชั่น 400-500 เป็นการปั่นหุ้นกันแบบบ้าเลือด

สื่อประเทศไทยต้องทำทุกอย่างเพื่อแลกกับผลประโยชน์มหาศาล เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เมื่อสื่อต้องการได้คลื่นวิทยุ ก็ต้องแลกกับการต้องเชียร์ผู้มีอำนาจทางทหารและพลังอำนาจแฝง เมื่อจะเอาสัมปทานทีวีก็ต้องมาแลกกับการเลิกเป็นหมาเฝ้าบ้านให้ประชาชน ไปเป็นสุนัขรับใช้พวกมีอำนาจ งบโฆษณาหน่วยงานรัฐวิสาหกิจและบริษัทเอกชนที่จ่ายให้ ก็แลกกับการโจมตีศัตรูการเมืองให้พวกเขา แม้กระทั่งหันมาแว้งกัดเจ้าของบ้านคือประชาชน หนังสือพิมพ์ และสื่อ ได้ติดลัทธิเสพสุขไปนานแล้วในรอบเกือบ 20 ปีมานี้ จะให้กลับไปมีอุดมการณ์ไส้แห้งแบบเดิมคงเป็นไปไม่ได้อีกต่อไปแล้ว 

กำเนิดไอทีวี
: ชงเองตบเอง

คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์
หลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ 2535 พรรคแมลงสาบของนายชวนได้เป็นรัฐบาล คุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ ภรรยาของ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ เป็นรัฐมนตรีสำนักนายกคุมสื่อ สุทธิชัย หยุ่นก็เรียกร้องว่าที่มีคนบาดเจ็บล้มตายกันมากก็เพราะรสช.ปิดกั้นสื่อ โทรทัศน์ไม่เป็นอิสระ ไม่มีทีวีช่องไหนที่ถ่ายทอดเหตุการณ์ตอนทหารยิงประชาชน ดังนั้นจึงต้องให้มีทีวีช่องอิสระ คือ Independent Television หรือไอทีวี ITV

หยุ่นใช้วิธีชงเองตบเอง ในปี 2538 กลุ่มบริษัท สยามทีวีแอนด์คอมมิวนิเคชั่นส์ ในเครือธนาคารไทยพาณิชย์ ก็ได้รับสัมปทานให้บริหารไอทีวี  30 ปี เป็นค่าสัมปทานถึง 25,200 ล้านบาท จากราคากลาง 10,000 ล้านบาท โดยดึงเครือเนชั่นเข้าร่วมทุน และวางนโยบายให้เป็นสถานีโทรทัศน์เน้นรายการข่าว แต่รายได้จากค่าโฆษณาไม่พอเลี้ยงตนเอง เพราะติดค่าสัมปทานที่สูงมาก ทั้งๆที่ในตอนนั้น ช่อง 3 ช่อง 7 ที่มีฐานลูกค้าเดิมมากกว่าหลายเท่า แต่เสียค่าสัมปทานเพียงไม่กี่ร้อยล้านบาท ในช่วงนั้นคุณทักษิณได้ช่วยอุ้มสื่อไว้หลายคน รวมทั้งเจิมศักดิ์ ปิ่นทองและสนธิ ลิ้มทองกุล ที่เชียร์คุณทักษิณว่าเป็นอัศวินคลื่นลูกที่สาม  ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ 2540 ไอทีวีขาดทุนอย่างหนัก ในเดือนพฤศจิกายน  2543 ธนาคารไทยพาณิชย์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ได้ดึงกลุ่มชินคอร์ป เข้ามาถือหุ้นไอทีวีด้วยวงเงิน 1,600 ล้านบาท และส่งคนเข้ามาบริหารไอทีวี เป็นเวลาเดียวกับการลงสมัครรับเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรกของ พรรคไทยรักไทย ที่มีคุณทักษิณเป็นหัวหน้าพรรค แล้วเอาสุทธิชัยหยุ่นออกไป หยุ่นต้องกระเด็นจากไอทีวีไปเปิดเนชั่นแชนัล แต่มันดูได้แค่ในกรุงเทพฯ หยุ่นก็เล่นซิกแซ็กไปยิงสัญญาณเมืองนอกเข้ามา ทางยูบีซี  8  กะเผยแพร่สัญญาณทั่วประเทศ ชินคอร์ป ฟ้องว่าทำผิดสัญญาเพราะยูบีซีเป็นระบบสมาชิกที่ห้ามมีโฆษณา หยุ่นจึงออกอากาศทั่วประเทศไม่ได้ หาโฆษณาได้ไม่มาก สร้างความคับแค้นให้หยุ่นเนชั่น กับพวกเด็กๆในคาถาของหยุ่น อย่างสรยุทธ์ กนก ธีระ จอมขวัญ ถึงได้ตามจ้องล้างจ้องผลาญเครือชินวัตรอย่างชนิดกัดไม่ปล่อย
หยุ่นมีลูกน้องที่ยังอยู่ในไอทีวีกว่า 30 คน พากันแข็งข้อใช้วิธีฟาดงวงฟาดงาหาว่าทักษิณเป็นนายทุนที่เข้ามาแทรกแซงสื่อ คุกคามสื่อ สื่อต้องเป็นอิสระจากนายทุน ทักษิณเลยมาได้สำราญ รอดเพชรเข้ามาช่วยคุมไอทีวี สำราญดึงลูกน้องเก่าของตนเข้ามาแทนพวกกบฏไอทีวีที่โดนปลดออกไป 23 คน เช่น วิศาล ดิลกวณิช กรุณา บัวคำศรี และนาตยา แวววีรคุปต์

ช่วงนั้นหยุ่นส่งบก.ผู้พิมพ์และโฆษณาคือโสภณ องค์การณ์ กับกฤษณะ ไชยรัตน์มนุษย์ล้อ และแอน ดรูว์ บิ๊กส์ ไปจัดรายการรายการก๊วนกวนข่าวที่ UBCที่มักโจมตีรัฐบาลทักษิณ ทางเจ้าของยูบีซีคือเจ้าสัวซีพีที่มีหลานเขยคือวัฒนา เมืองสุขเป็นรัฐมนตรี จึงต้องตัดพวกก๊วนกวนข่าวทั้ง 3 คนออกจากยูบีซี  คนพวกนี้ก็จึงต้องอพยพเป็นครั้งที่สามไปพึ่งบารมีไกรวัฒน์ ศรีวุฒิวงศ์ ลูกน้องเก่าของทักษิณที่เคยไปบุกเบิกไอบีซีในเขมร ที่ได้สัมปทานโทรทัศน์TTV จากกรมประชาสัมพันธ์ ครอบคลุมแค่กรุงเทพฯและปริมณฑล แต่ก็ยังโดนตามไล่บี้อีก
กรณีรัฐบาลทักษิณ
ใช้ ปปง. คุกคามสื่อ
หนาท ประยูรรัตน์ กก.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน.

รัฐบาลทักษิณ ถูกโจมตีอย่างหนักเมื่อมีข่าวอ้างว่าพ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ ผอ.ศูนย์สารสนเทศ ปปง.ได้ออกคำสั่ง ลงวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2545 ถึงธนาคาร 17 แห่ง ขอตรวจสอบข้อมูลทางการเงินของบุคคลและนิติบุคคลกรณีค่าโง่ทางด่วน รวม 35 ราย  เช่น ข้าราชการ พรรคแมลงสาบ และสื่อที่สำคัญคือสุทธิชัยหยุ่นและครอบครัว  เทพชัยหย่องและครอบครัว โสภณ  องค์การณ์ โรจน์ งามแม้นหรือเปลวสีเงิน ผู้บริหารไทยโพสต์พร้อมภรรยาและบุตรสาว  นายสาธิต นงนุช และนายวารินทร์ พูนศิริวงศ์ ผู้บริหาร นสพ.แนวหน้า ทั้งนี้ตามพรบ.การฟอกเงิน 2542 ต้องเข้าข่าย  7 ความผิดมูลฐานคือยาเสพติด  เกี่ยวกับเพศ ฉ้อโกงประชาชน  การเงินการธนาคาร ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ  กรรโชก-รีดเอาทรัพย์ที่มีลักษณะซ่องโจร และเรื่องภาษีศุลกากร

ยังมีข่าวว่าเอแบคโพลล์ถูกเจ้าหน้าที่บุกไปขอตรวจสอบเอกสารการทำโพลล์ภาพพจน์รัฐมนตรี   พร้อมกับมีข่าว ปปง.- ปปส.คุกคามขอตรวจสอบบัญชีการเงินพวกแกนนำภาคประชาชน  เช่น วนิดา ตันติวิทยาพิทักษ์  บำรุง คะโยธา ชัยพันธ์ ประภาสวัติ เจริญ  วัดอักษร
พรรคแมลงสาบและสารพัดองค์กร ได้เคลื่อนไหวโจมตีว่ารัฐบาลทักษิณกดดันและคุกคามสื่อ รวมทั้งนักการเมืองฝ่ายค้าน  นักธุรกิจ นักวิชาการ เป็นการใช้อำนาจริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง
ขณะที่พ.ต.อ.สีหนาท ยอมรับว่า รายชื่อบุคคลที่ส่งมาให้ ป.ป.ง.ตรวจสอบมีจำนวนมาก  เมื่อส่งมาถึงตนก็เซ็นอนุมัติไปทุกราย  ต้นเรื่องอาจขอมาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ   กรมศุลกากร หรือ ธนาคารแห่งประเทศไทยก็ได้  ผู้ถูกตรวจสอบจะมีความผิดหรือไม่ก็ขึ้นกับพยานหลักฐาน ซึ่งเห็นว่าการตรวจสอบดังกล่าวไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร


พีระพันธุ์ เปรมภูติ เลขาธิการปปง.
พ.ต.อ.พีระพันธุ์ เปรมภูติ เลขาธิการ ป.ป.ง. ปฏิเสธว่ายังไม่ทราบเรื่อง คาดว่าคงไม่มีเรื่องเช่นนี้
และย้ำว่าการดำเนินการตามกฎหมายฟอกเงินต้องเป็นความลับ  ผู้ใดนำไปเปิดเผยมีโทษ จำคุก
5 ปี ปรับ 1 แสนบาท ถ้าเป็นเอกสารจริง เจ้าหน้าที่หรือสถาบันการเงินที่นำไปเปิดเผยก็ต้องรับผิดชอบ   
นายกทักษิณยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้สั่งปปง.และป.ป.ง.จะตรวจสอบทรัพย์สิน บุคคลใดได้ บุคคลนั้นต้องมีฐานความผิด
7 อย่างตามกฎหมาย ป.ป.ง.ระบุไว้แล้วเท่านั้น ทั้งนี้ตนได้สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน โดยให้นายวิษณุ เครืองาม เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เป็นประธาน เพื่อตรวจสอบว่ามีคำสั่งให้ตรวจสอบจริงหรือไม่ ซึ่งพ.ต.อ.พีระพันธ์ ยืนยันว่าไม่ใช่เอกสารจริง
ด้านนายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์ เลขานุการส่วนตัวนายกทักษิณยืนยันว่าตนไม่เคยรู้จักพ.ต.อ.สีหนาท  ประยูรรัตน์  แต่สื่อเขียนปรักปรำว่า เรื่องนี้ให้ถามคนเปิดประตูรถนายก นายผดุง ลิ้มเจริญรัตน์
สรุปก็คือ รัฐบาลทักษิณยืนยันว่าไม่รู้เรื่อง ถ้าเอกสารรั่วไหล ผู้เปิดเผยก็ต้องมีความผิด เพราะการสืบสวนของปปง.ถือเป็นความลับ และถ้าไม่มีความผิด ก็ไม่น่าจะต้องเดือดร้อนอะไร แต่กลายเป็นว่า ฝ่ายต่อต้านทักษิณสามารถสร้างกระแสให้เป็นประเด็นใหญ่ใช้กล่าวหาโจมตีรัฐบาลทักษิณว่าคุกคามสื่อและริดรอนสิทธิเสรีภาพ ใช้เป็นข้ออ้างในการยึดอำนาจ รวมทั้งใช้โฆษณาโจมตีต่อมาอีกนาน

ลิ้มล้มทักษิณ
แต่หยุ่นขี้นรับรางวัล
ช่วงก่อกระแสล้มรัฐบาลทักษิณระหว่างปี 2548 – 2549
สนธิลิ้มเป็นคนออกแรงมากที่สุด โดยหยุ่นก็ให้พวกลูกศิษย์อย่างกนก ธีระ คอยด่าผสมโรงตามน้ำตามไปด้วย แต่พอทำรัฐประหารเสร็จ ลิ้มกลับไม่ได้อะไรเลย ชวดหมดทั้งช่อง 11 ก็โดนรุมต้าน ได้ไปโผล่หน้าออกทีวีอยู่ทีสองที จะมายึดช่อง 9 ก็โดนมติชนก็ส่งคนไปนั่งจองไว้แล้ว  แถมสหภาพ อสมท. ก็ใส่เสื้อดำยกป้ายด่าแม่ลิ้ม


เทพชัย หย่อง ผอ.ไทยพีบีเอสคนแรก
แต่หยุ่นเก็บเกี่ยวไปได้มากกว่าเพื่อน สามารถส่งพรรคพวกเข้าไปเสียบไว้หมดทั้ง 3  5  7  9  NBT และที่สำคัญคือส่งเทพชัย หย่องเข้าไปคว้า TPBS ไว้หมดทั้งช่อง นับว่าเป็นฝีมือของหยุ่น ทั้งๆโดนไล่ออกจาก ITV เหมือนหมูเหมือนหมา แต่ก็สามารถเล่นงานไอทีวีจนพัง แล้วแจ้งเกิดใหม่ในชื่อTPBS แถมเอาเงินจากภาษีเหล้าบุหรี่ปีละ 2-3 พันล้านบาทมาใช้ฟรีๆ แล้วให้น้องหย่องเข้าไปยึด พวกกบฎไอทีวีสมัยก่อน ทั้งพวกกรุณา บัวคำศรี วิศาล ดิลกวณิช กนก รัตน์วงศ์สกุล จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ สรยุทธ สุทัศนะจินดา ธีระ ธัญไพบูลย์ กลับมากันหมดทุกคน รวมทั้งเถกิง สมทรัพย์ นายกสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ และกรรมการผู้จัดการบริษัทว็อชด็อก มือขวาของเจิมศักดิ์ที่เขียนหนังสือรู้ทันทักษิณก็มาร่วมด้วย ที่เป็นเช่นนี้ได้ ก็เพราะมีข้อตกลงกับระบอบเก่า เนื่องจากหยุ่นและเปรมิกาก็เป็นคนสงขลา ที่มีกฎอยู่แค่ 2-3 ข้อ คือ พวกสงขลา พวกสวนกุหลาบ พวกจปร. อยากได้อะไรเอาไปเลย แต่ต้องรับใช้ขายวิญญาณให้ระบอบเก่าอย่างไม่มีเงื่อนไข   สิ่งที่เห็นบนหน้า จอทีวี 3 5 7 9 11 TPBS ก็คือบรรดาเด็กของหยุ่นที่ไปจัดวางกันไว้เพียบ ต้องทำสีหน้าท่าทางกวนประสาทเวลาพูดถึงคุณทักษิณและพวกเสื้อแดง แต่ถ้าใครด่าป๋าเปรมิกา พวกเขาก็จะเดือดเป็นฟืนเป็นไฟ โต้ตอบเป็นพัลวันพัลเก ตอนเหตุการณ์สงกรานต์ทมิฬที่สามเหลี่ยมดินแดง 2552 ทหารยิงใส่และกระทืบเสื้อแดงเจ็บตายยังไม่พอ พวกเขายังไปออกข่าวด่าซ้ำเติมทางทีวีอีก

แก๊งเด็กนรกเนชั่น
สรยุทธ ธีระ กนก

:
โหดเลวเตี้ย
แก๊งเด็กนรกเนชั่น ถือหลักการเล่าข่าวด้วยความลำเอียง ยืนเคียงข้างเผด็จการ ขายวิญญาณให้ระบอบเก่า ขาดการตรวจสอบรอบด้าน พิพากษาชี้นำทำลายความเคลื่อนไหวของฝ่ายประชาธิปไตย ไร้ความเป็นสื่อมืออาชีพ

สรยุทธ สุทัศนะจินดา

สรยุทธ สุทัศนะจินดา ถึงลูกถึงคน ช่อง 9
สรยุทธ จบนิเทศน์จากม.กรุงเทพ เริ่มทำงานเป็นนักข่าวเนชั่น เมื่อปี 2531 โดยทำข่าวสายรัฐสภาเป็นเวลาสองปี และทำข่าวสายทำเนียบรัฐบาลอีกสองปี ต่อมาได้เป็นบรรณาธิการข่าว รองบรรณาธิการบริหารเนชั่น และเป็นประธานกรรมการ บริษัทไร่ส้ม ผลิตรายการโทรทัศน์ สรยุทธ์ยังพอมีพื้นฐานเป็นคนข่าว ต่างจากกนกและธีระ ที่ไม่มีพื้นฐานงานข่าวภาคสนามเลย
ปกตินักข่าวรุ่นก่อนต้องเริ่มต้นด้วยการเป็นนักข่าวตระเวณ ไปตามโรงพัก หรือที่เกิดเหตุ แล้วค่อยไปทำข่าวกระทรวง ถ้าฝีมือดีก็ได้ไปทำข่าวกรมตำรวจ ถึงสภา ทำเนียบ หรือสายทหาร
อยู่จนโชกโชนเป็นสิบปี ถึงจะได้ประจำกองบก. โดยต้องไปเริ่มที่ตรวจปรู๊ฟ เป็นรีไรเตอร์ คือเรียบเรียงข่าวที่พวกนักข่าวสนามส่งเข้ามา  ฝีมือดีหน่อยก็มาเป็นหัวหน้าข่าว ขยับขึ้นเป็นผู้ช่วยบก. เป็นบก. สุดท้ายก็ไปเป็นคอลัมนิสต์ ที่นักการเมืองต้องมาขอคารวะ กลายเป็นพวก 18 อรหันต์
แต่พอมาในยุคหลัง สื่อขยายตัวแตกหน่อกันเร็วมาก ทำทั้งหนังสือพิมพ์ วิทยุ ทีวีสารพัดที่เรียกว่า
multimedia จึงต้องเอาไอ้พวกวิ่งข่าวสนามมาเป็นมะม่วงบ่มแก๊ส คือลากมาประจำกองบก.หรือออกทีวีเลย
ตอนที่สรยุทธ์เข้ามาเนชั่น เป็นช่วงที่หยุ่นได้สัมปทาน
ITV แล้วออกหนังสือพิมพ์หัวสีคมชัดลึกมาแข่งไทยรัฐ เดลินิวส์ ใช้วิธีโฆษณาแฝง โดยไปมีรายการคมชัดลึกทางITV แรกๆหยุ่นก็ทำเอง แต่หยุ่นเป็นนายทุนมัวแต่ออกทีวีไม่ไหว เพราะต้องวิ่งเต้นงานธุรกิจหลายอย่างหลายกลุ่ม จึงให้สรยุทธ์มาช่วยจัดรายการทีวีคมชัดลึก โดยเดินแนวเดียวกับหยุ่นคือทำสีหน้าท่าทางมือไม้ให้ดูเคร่งเครียดจริงจังดราม่าพาให้คนดูตื่นเต้นตามไปด้วย  ต่อมาก็ลดโทนจากเครียดๆวิเคราะห์การเมืองแบบฮาร์ดคอร์ลงมาให้มันบันเทิงคนดูหน่อย เอาเป็นแบบnews talk หยิบข่าวมาพูดแล้วแสดงความเห็นหยอดมุกเข้าไป โดยหยุ่นไปเอากนกมาเป็นตัวชงมุกให้สรยุทธ์เป็นคนตบ เป็นที่มาของรายการเก็บตกจากเนชั่น ทางช่อง Nation channel ผ่านไททีวี TTV ที่ครอบคลุมแค่กรุงเทพฯและปริมณฑล

กนก รัตน์วงศ์สกุล


กนก รัตน์วงศ์สกุล ลูกไล่สรยุทธ์
กนกจบวารสารศาสตร์ธรรมศาสตร์ ในยุคที่เสรี วงษ์มณฑา เป็นคณบดี ก่อนมาทำงานโทรทัศน์เคยเป็นผู้จัดรายการวิทยุมาก่อน ได้จัดรายการทีวีเก็บตกจากเนชั่น ก๊วนกวนข่าว ทางช่องเนชั่น แชนแนล จนถึง คุยคุ้ยข่าว ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี  เริ่มจัดรายการข่าวครั้งแรกที่รายการเก็บตกจากเนชั่น แต่ด้วยความที่กนกไม่มีพื้นฐานเป็นนักข่าวสนามมาเลย จึงมักออกทะเล โดนสรยุทธ์ไล่ต้อนอยู่เรื่อย แต่กลายเป็นเรื่องที่คนดูกลับชอบ  ที่กนกกลายเป็นลูกไล่ให้สรยุทธ์ เลยกลายเป็นรายการบันเทิงอีกแบบหนึ่ง บังเอิญไปเข้าตามิ่งขวัญที่กำลังเข้ามาปลุกปั้นแดนสนธยาช่อง 9 ให้เป็นโมเดิร์นไนน์ทีวี มิ่งขวัญก็เลยให้สรยุทธ์ไปทำรายการคล้ายๆ คมชัดลึกเดิม ที่ช่องเก้า รอบค่ำสี่ทุ่ม

คุยคุ้ยข่าว ช่อง 9 เมย. 2547 - ธค. 2549
สรยุทธ์ก็เลยย้ายหนีจากเนชั่นไปอยู่ช่อง 9 ทำรายการถึงลูกถึงคน ใช้แนวการเล่าข่าว ผสมกับการให้ความบันเทิงคนดูไปด้วย ที่สำคัญคือการจับประเด็นที่ชาวบ้านเขาสนใจ โดยมุ่งกลุ่มเป้าหมายใหญ่แบบชาวบ้านๆ อย่างไทยรัฐ เดลินิวส์ คนที่เอามาสัมภาษณ์ต้องเป็นคนคุยสนุก มีสีสันอย่างชูวิทย์อ่าง หมอพรทิพย์พุดเดิ้ล รัตนาเจ้าของบ้านสีดำ ยายไฮพังเขื่อน หรือผู้การวิสุทธ์มือปราบน้องแน็ตอะไรประมาณนี้ สรยุทธ์ก็เลยดังระเบิด ด้วยเรื่องบ้านๆ การมงการเมืองก็นานๆที แต่จะไม่รนหาศัตรูหรือแกว่งเท้าหาเสี้ยนแบบที่หยุ่นชอบทำ

หยุ่นก็จึงต้องดันกนกขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของเก็บตกเนชั่น แล้วก็หาคู่หูที่เป็นผู้ช่วยโปรดิวเซอร์ คือพนักงานทั่วไป ที่ชื่อธีระ ธัญญไพบูลย์
แก๊งเด็กนรกเนชั่นจะมีความเหมือนๆกันอยู่ 2-3 อย่างคือ
1.ไม่ได้เป็นนักข่าวสนามมาก่อน (ยกเว้น สรยุทธ์ ที่มีประสบการณ์ข่าวสนามมาบ้าง 2-3 ปี) อย่างเช่น กนก เป็นดีเจจัดรายการเพลงอัสนี-วสันต์ อ้อมสุนิสา พี่เบิร์ดธงไชย ส่วนธีระเป็นแค่เด็กยกฉากแบกกล้องชงกาแฟ โทรติดต่อแขก จอมขวัญก็มาจากแปลข่าวต่างประเทศก๊อกๆแก๊กๆ ทำให้พื้นฐานไม่แน่น โดยเฉพาะเรื่องข่าวการบ้านการเมือง
2.ไม่ได้เป็น
activistหรือนักกิจกรรมมาก่อน ซึ่งต่างจากค่ายผู้จัดการ มติชน แนวหน้า ไทยรัฐ เดลินิวส์ INN บางกอกโพสต์ ไทยโพสต์ ที่เขาจะเลือกเด็กทำกิจกรรมมาก่อน เพราะกระฉับกระเฉงลุยงาน แต่พวกนี้จะมีชุดความคิดความเชื่อของตนเองมาก่อนแล้ว ชอบถามถึงเรื่องส่วนรวมหรือผลได้ผลเสียต่อบ้านเมือง ทำให้ปกครองยาก ล้างสมองก็ยาก แต่หยุ่นเอาเด็กนรกที่ไม่ใช่ Activist มาทำงาน เพราะว่านอนสอนง่าย ให้รักให้เกลียดใคร มันก็ทำถวายชีวิต เพราะหยุ่นไม่ต้องการคนที่มีอุดมการณ์ เนื่องจากตัวหยุ่นเองก็หักหลังคนไปทั่ว พอแก่ตัวมาก็เลยต้องหาเด็กหัวอ่อนมาไว้ใช้งาน เหมือนหุ่นยนต์พิฆาต ไม่ต้องถามว่า ที่เราทำๆไปนี่ บ้านเมืองจะเสียหายหรือไม่ และต้องเป็นคนกรุงเทพฯ สเป็คตี๋หมวยที่มีเชื้อสายจีนจึงจะถูกจริตคนกรุงเทพฯ ถึงหยุ่นจะเป็นคนสงขลาบ้าสะตอ แต่พอจะหาเด็กออกหน้าจอทีวี จะไม่มีเลยที่เป็นเด็กสะตอ ต่างจากค่ายอื่นๆ ที่มักใช้เด็กใต้ ใครที่ไปเดินเล่นใต้ถุนสภา หรือรังนกกระจอกทำเนียบรัฐบาล จะเห็นเลยว่าภาษาทองแดงปักต์ใต้ถือเป็นภาษาราชการของนักข่าวที่ใช้สื่อสารกันเอง  ส่วนภาษากลางนี่เอาไว้ใช้ถามแหล่งข่าวเท่านั้นก็พอ
นอกจากนี้ยังต้องออกสีหน้าท่าทางสีหน้าท่าทางที่ใช้ภาษากายแบบรายการทีวีฝรั่ง ต้องเอาให้คนดูเกิดอารมณ์ขึงขังตามไปด้วย

ธีระ ธัญไพบูลย์


ธีระ ธัญไพบูลย์ กับลูกชาย ที่เกิด 5 ธค.2550
ธีระกับกนกต่างก็ไม่ได้เป็นนักข่าวสนามมาก่อนเหมือนกัน จึงไม่มีความคิดความอ่านทางการเมืองอะไรเลย ก็เหมือนเด็กทั่วๆไปที่เกิดแล้วรู้ความสมัยเปรมิกาเป็นนายก คือวันๆก็โดนกรอกหูกรอกตาด้วยเรื่องซาบซึ้งน้ำตาไหลพราก ธีระเป็นพวกบ้าในหลวงที่เป็นเอามากถึงขั้นเมียจะคลอดวันที่ 14ธันวาคม  ยังอุตส่าห์พาเมียไปผ่าท้องเอาลูกคลอดวันที่ 5 ธันวาคมพอดี ธีระจึงเป็นพวกคลั่งในหลวงด้วยตัวของมันเองมาตั้งแต่เกิด โดยที่หยุ่นไม่ต้องเสียเวลาล้างสมอง
จากการที่ธีระ กนกและจอมขวัญ ไม่มีพื้นฐานงานข่าวสนามมาก่อน แล้วก็ไม่เคยผ่านการเป็นเด็กทำกิจกรรมหรือแอ๊คทิวิสต์ในมหาลัย คนพวกนี้จึงไม่มีความคิดที่จะมองสังคมในเชิงโครงสร้าง หรือเชิงอุดมการณ์เพื่อประเทศชาติบ้านเมือง เพื่อสังคมส่วนรวม หรือคนด้อยโอกาสคนยากคนจน เวลามองคนเสื้อแดงที่มาเป็นหมื่นเป็นแสนคนก็คิดแต่เพียงว่าทักษิณใช้เงินจ้างมา ไม่ได้คิดถึงความทุกข์ยากลำบากของคนที่ด้อยโอกาส การทำรายการทางเนชั่นแชนนัล ก็เลยออกมาอย่างที่เห็นๆ ไม่สามารถแสดงภูมิปัญญาเพื่อประเทศชาติบ้านเกิดได้ คงเหมือนงาช้างที่ไม่มีวันงอกจากปากสุนัข


กนกรับบทเป็นลูกไล่ให้สรยุทธ รายการคุยคุ้ยข่าว
ฝ่ายสรยุทธ์ก็ได้ยกระดับเป็นเสี่ยไปแล้วเพราะรายการถึงลูกถึงคนดังฮิตติดตลาด จนมิ่งขวัญต้องไปเปิดรายการใหม่เป็นเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ สรยุทธ์เลยต้องไปตามกนกให้มาเป็นลูกไล่ที่ช่อง9 กนกก็เลยเลยได้อาศัยบารมีของสรยุทธ์ เพราะมันทำตัวน่าเอ็นดูให้สรยุทธ์สับโขกเล่นเป็นที่บันเทิงของคนดู สรยุทธ์เองก็ได้สร้างวีรกรรมไว้ไม่น้อยที่ช่อง 9 อย่างรู้ๆกัน ทั้งการอมเงินค่าโฆษณาร้อยกว่าล้านบาท ทั้งเรื่องให้คนดูส่งSMSมาในรายการแล้วแทนที่จะแบ่งให้ช่อง9 เขา ก็อมซะเอง ไหนจะเรื่องโฆษณาแฝงเวลาเชิญแขกที่พอจะมีฐานะให้ไถได้มาออกรายการ
แต่สรยุทธ์ได้สร้างปรากฎการณ์ใหม่ให้วงการเยอะมาก แล้วก็สลัดเงาของหยุ่นได้พอสมควร คือไม่ต้องเป็นลูกสมุนหุ่นยนต์พิฆาตให้หยุ่น พวกเสื้อแดงอาจจะไม่ถูกใจ แต่พวกเสื้อเหลืองก็ด่ายับ หาว่าสรยุทธ์เป็นคนของระบอบทักษิณ บางครั้งสรยุทธ์ก็เป็นคนตรงไปตรงมา อย่างตอนที่ม้อบพันธ มารยึดสนามบิน สรยุทธ์ก็ซัดตรงๆว่ามีเครื่องบินต่างชาติโดนยึดถึง 80 ลำ ช่วยกดดันให้ม้อบพันธ มารต้องยอมปล่อยเครื่องบิน และช่วยผลักดันให้พี่น้องไทยมุสลิมได้ไปเมกกะห์  จัดได้ว่าเป็นคนที่พอจะมีหลักการอยู่บ้างไม่เหมือนพวกไร้จรรยาบรรณแบบกนกและธีระ ว่ากันตรงๆคือสรยุทธ์ตั้งหน้าทำมาหากินทางด้านสื่อล้วนๆ ไม่อยากเพาะศัตรู แสดงตนว่าเดินสายกลาง ไม่ต้องการมีเรื่องกับใคร ไม่เข้าใครออกใคร แต่บางทีก็เล่นตามกระแส โดยไม่สนใจ ว่าต้องตามสืบเสาะหาข้อเท็จจริง ทำเป็นพวกมักง่ายที่ฉวยโอกาสในบางครั้ง

หลังรัฐประหาร 19 กันยา มิ่งขวัญหลุดจากช่อง
9 สรยุทธ์ก็หลุดจากช่อง 9 ไปประจำช่อง3 แต่ก็ไม่เดือดร้อน ยังเป็นเสี่ยเหมือนเดิม แต่กนกกลับด่าไล่หลังเพื่อนว่าทำงานกับคนโกงไม่ได้  ออกลายเนรคุณเพื่อน ที่พามาได้ดีที่ช่อง 9 พอเพื่อนล้มกนกกลับกระทืบซ้ำ พอหลัง 19 กันยา พวกเนชั่นก็ดาหน้าออกมารวมทั้งหยุ่นตัวพ่อก็ได้มาโผล่ เล่นเรียงเป็นลูกระนาดทั้ง 3 5 7 9 NBT ส่วน TPBS นี่ให้หย่องกินเรียบ เพราะมันมีข้อตกลงกับระบอบเก่า

สนธิลิ้ม
:
นักแบล็กเมล์จอมหักหลัง


สนธิ ลิ้มทองกุล ปี 2526 เริ่มงานสื่อก้าวหน้า
สนธิลิ้มจบปริญญาโทประวัติศาสตร์ จากยูทาห์สเตต สหรัฐ เข้าทำงานเป็นบก. หนังสือพิมพ์ ประชาธิปไตย เมื่ออายุ 27 ปี จากนั้นได้ร่วมกับพอล สิทธิอำนวย ออกหนังสือดิฉัน แต่ขาดทุน จึงได้ขายกิจการให้ปีย์ มาลากุล  ต่อมาทำหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ปี 2526
สนธิลิ้มมาดังมากตอนออกผู้จัดการรายวันก่อนพฤษภาทมิฬไม่นาน หลังจากทำผู้จัดการรายสัปดาห์รายงานเชิงวิเคราะห์ได้ติดตลาด ได้พวกซ้ายเก่าอย่างคำนูณ สิทธิสมาน เจาะตลาดชนชั้นกลาง ซึ่งเป็นฐานกำลังซื้อที่สำคัญ ได้เข้าตลาดหลักทรัพย์เมื่อปี 2533 สนธิก็วางแผนจะเป็นเจ้าพ่อสื่อแบบครบวงจร ลงทุนซื้อกิจการหนังสือพิมพ์ฝรั่งในราคาสูง และหันเข้าหานักการเมือง ต่อมาหุ้นผู้จัดการ
MGR ถูกตลาดหลักทรัพย์แขวนป้ายระงับการซื้อขาย เนื่องจากขาดสภาพคล่องทางการเงิน   ศาลสั่งให้สนธิลิ้มเป็นบุคคลล้มละลายเมื่อ 20 พฤศจิกายน 2543

สนธิ ลิ้มทองกุล:พันธมารเพื่อเผด็จการดักดานแห่งชาติ
ช่วงรัฐบาลนายชวน สนธิลิ้มไปเชียร์ธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ให้เป็นนายก แต่ธารินทร์ช่วยอะไรลิ้มไม่ได้  สนธิลิ้มก็เลยโจมตีธารินทร์แบบไม่มีชิ้นดี แล้วก็หันมาเชียร์ทักษิณแบบสุดลิ่มทิ่มประตู โดยมีข้อแลกเปลี่ยนให้นายกทักษิณช่วยเรื่องหนี้เสียหรือ NPL 3 -4พันล้านบาท โดยให้วิโรจน์ นวลแขได้เป็นเอ็มดีแบงก์กรุงไทยนานๆ จะได้มีตังค์มาช่วยลิ้ม และให้ช่วยเอาสปอนเซอร์จากรัฐวิสาหกิจต่างๆมาให้ลิ้ม ที่สำคัญที่ลืมไม่ได้คือ ขอทีวีหนึ่งช่อง ตอนแรกก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันดี แต่มาแตกคอกันตอนที่คุณทักษิณชนะการเลือกตั้งครั้งที่สอง ในต้นปี 2548 อย่างท่วมท้นจนสามารถตั้งรัฐบาลพรรคเดียว และนายกทักษิณก็มีไอทีวีอยู่ทั้งช่อง จึงไม่ยอมให้ลิ้มขี่คอแบล็กเมล์ข่มขู่อีกต่อไปแล้ว เพราะรู้ดีว่าสนธิลิ้มเป็นคนที่ไว้ใจไม่ได้ พร้อมที่แว้งกัดได้เสมอ จึงเริ่มด้วยการปลดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากช่อง 9

สำราญ รอดเพชร : แค้นต้องชำระ

สำราญ รอดเพชร จากไอทีวี สู่เอเอสทีวี
สำราญ รอดเพชรเดิมเป็นคนประนีประนอมไม่เคยอาฆาตพยาบาทใคร  เข้าเป็นพิธีกรในรายการ ข่าวเด่นประเด็นร้อน ซึ่งเป็นรายการวิเคราะห์ข่าวทางสถานีไอทีวี แทนที่สรยุทธ สุทัศนะจินดา ที่ถูกยกเลิกไปอย่างกะทันหันในปี  2544 สำราญสามารถคุมไอทีวีได้ดีพอสมควรเพราะมีทีมงานของตนเองอยู่บ้าง แต่ต่อมาสำราญเองก็ถูกปลดจากไอทีวี เพราะสำราญเป็นคนหัวแข็งใช้งานยาก สำราญจึงตกอยู่ในสภาพหมาล่าเนื้อที่ยังไม่ทันแก่ก็ต้องโดนปลดระวาง เอาแต่กินเหล้านั่งเฉาอยู่หลายวัน  คำนูณ สิทธิสมานก็มาหาแล้วพาเข้าพบสนธิลิ้ม ตอนนั้นลิ้มยังดีอยู่กับทักษิณ ลิ้มก็ไปคุยกับทักษิณ กะว่าจะให้ช่อง11 ที่แยกออกมาเป็น 11 news 1 แล้วจะให้สัมปทานลิ้ม ลิ้มก็พาสำราญไปดูสถานที่และสารพัดอุปกรณ์ที่ซื้อมาเตรียมออนแอร์ 11 news 1 ใน UBC 9 เคเบิลทีวีสังกัด อสมท. ใช้เงินลงทุนเบื้องต้นไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท เพราะลิ้มทุ่มเต็มที่สำหรับการได้เป็นเจ้าของสถานีโทรทัศน์ โดยเฉพาะเรื่องการดึงคนที่มีความสามารถ ที่มีการเสนอเงินเดือนให้มากกว่าที่เดิม 2 - 3 เท่า ตามสไตล์นักลงทุนใจใหญ่


ASTV NEW1 จาก 11NEWS1 ที่ถูกถอดจาก UBC9
ลิ้มหารายได้จากโฆษณาของ 11News1 โดยอ้างว่าไม่มีกฎหมายห้ามโทรทัศน์ดาวเทียมโฆษณา ลิ้มใช้วิธีการสร้างสถานีข่าว 11 News 1 บนโทรทัศน์ดาวเทียม แล้วให้ UBC 9 ถ่ายทอดอีกทีหนึ่ง ซึ่งเท่ากับได้ลูกค้าของ UBC ที่มีอยู่ประมาณ 4 แสนรายในกรุงเทพฯ ทำให้ลิ้มได้ขายโฆษณาในรายการของ 11 News 1 โดยมีปตท.เป็นลูกค้าใหญ่ ทำสัญญาลงโฆษณาถึง 60 ล้านบาท ในเวลา 1 ปี แต่ทำได้ไม่นาน ก็ถูก UBC ถอดสัญญาณไม่ให้ใช้ UBC9 เพราะUBC ซึ่งเป็นผู้ถ่ายทอดสัญญาณเอง ก็ยังไม่สามารถมีโฆษณาได้    การถูก UBC ตัดสัญญาณภาพ เป็นเหตุให้สปอนเซอร์พากันบอกเลิกสัญญาณจ้างโฆษณา

ลิ้มพยายามทุกวิถีทางที่จะให้ 11
News 1 ได้กลับคืนขึ้นไปอยู่บน UBC9  แต่ก็ไม่สำเร็จ จึงต้องคิดบัญชีแค้น อันดับแรกคือ วิษณุ เครืองาม รองนายกผู้กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ และอสมท. รวมไปถึงนายกทักษิณ ในฐานะที่ไม่ให้ความช่วยเหลือเพื่อนเก่า

ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ไพศาล พืชมงคล สำราญรอดเพชร
รายการสภาท่าพระอาทิตย์
ลิ้มจึงพาสำราญมาร่วมงานกับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการและเอเอสทีวี ในเดือนตุลาคม 2546  ให้เป็นผู้วิเคราะห์ข่าวและดำเนินรายการสภาท่าพระอาทิตย์ คู่กับคำนูณ สิทธิสมาน และปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ จากฤทธิ์แค้นที่โดนทักษิณเขี่ยออกมาจากไอทีวี ทั้งๆที่ไปช่วยปราบกบฎ พอลิ้มให้สัญญาณสั่งลุยแบบตายเป็นตาย  สำราญจึงทุ่มสุดตัวรับหน้าที่เป็นพิธีกรและโฆษกของเวทีพันธมารในการขับไล่นายกทักษิณ ช่วงปี 2548-2549 หลังการรัฐประหารในปี  2549 สำราญได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ( สนช. )

วิโรจน์ นวลแข
:
ชนวนระเบิดอีกชิ้นหนึ่ง


วิโรจน์ นวลแข กก.ผู้จัดการธ.กรุงไทย
วิโรจน์หรือเฮียช้อยเป็นเจ้าของเงินทุนภัทรธนกิจ ในสมัยตลาดหุ้นเฟื่องฟู แกทำงานได้เงินมากมาย และก็เจือจานให้สุนันท์ ศรีจันทราไปทำหนังสือพิมพ์ พอฟองสบู่แตก ก็เจ๊ง เป็นเอ็นพีแอลกันหมด เงินทุนภัทรธนกิจของวิโรจน์โดนปิดพร้อมกับไฟแนนซ์ 56 แห่ง รวมทั้งธนาคารแหลมทอง สหธนาคาร มหานคร ศรีนครของเจ้าสัวอุเทน เตชะไพบูลย์โดนปิดเรียบทั้งหมด  ตอนนั้นลิ้มสนิทกับทักษิณเลยเอาวิโรจน์ไปฝากให้เป็นผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทยของรัฐบาล ให้ลิ้มได้พึ่งพาอาศัยและก็ได้เจือจานมาให้สุนันท์ด้วย


ปรีดียาธร เทวกุล ผู้ว่าการธ.แห่งประเทศไทย
ต่อมาวิโรจน์หมดวาระ ลิ้มต้องไปขอต่ออายุราชการให้วิโรจน์ แต่หม่อมอุ๋ยปรีดิยาธรพ่อของหม่อมปลื้ม ตอนนั้นเป็นผู้ว่าแบงก์ชาติกลับไม่ยอม กล่าวหาว่าวิโรจน์มีพฤติกรรมที่ไม่สุจริตทำให้ธนาคารเสียหาย มีการตั้งกรรมการสอบกันนัวเนีย นายกทักษิณก็ไม่ลงมาช่วย วิโรจน์ก็เลยหมดโอกาสบริหารธนาคารอีกต่อไป สนธิลิ้มที่กำลังสะสางหนี้เอ็นพีแอล 3 พันกว่าล้านก็เลยไม่มีใครอุ้มต้องกลายมาเป็นบริษัทล้มละลายอย่างไม่มีทางออก


สุนันท์ ศรีจันทรา นักวิเคราะห์หุ้น
ส่วนสุนันท์ก็ต้องทดแทนคุณทั้งวิโจน์และลิ้มด้วยการชำระแค้นให้ เวลาจัดรายการออกวิทยุออกทีวีหรือเขียนหนังสือ แทนที่จะพูดเรื่องหุ้นเรื่องเศรษฐกิจ กลับเอาแต่โจมตีทักษิณเป็นเรื่องหลัก แถมเชียร์ทหารเชียร์เผด็จการเชียร์พรรคแมลงสาบเต็มที่ สุนันท์มีแฟนรายการพวกที่มีเงินเล่นหุ้นมากพอสมควร ส่วนใหญ่พวกนี้อยู่กรุงเทพฯ หาดใหญ่ ชลบุรี เชียงใหม่ โคราช อุดร ขอนแก่น คนพวกนี้ได้ฟังสุนันท์เป่าหูบ่อยๆก็เชื่อ แถมยังด่าคนบ้านนอกว่าโดนซื้อเสียงและยอมให้ทักษิณหลอก


คำนูณ สิทธิสมาน
: ซ้ายย้ายข้าง


คำนูณเคยเป็นเลขาธิการศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (ศนท.) ในปี 2518 ได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 และ 6 ตุลา 2519 ได้ทำงานหนังสือพิมพ์แนวการเมืองหลายฉบับ เป็นพวกซ้ายขนานแท้ บางส่วนก็ว่าเป็นซ้ายสันติบาลที่ต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย

คำนูณ สิทธิสมาน รายการยามเฝ้าแผ่นดินทางช่อง ASTV
จนกระทั่งในปี 2533 คำนูณได้เข้าทำงานในเครือผู้จัดการเรื่อยมา โดยมีตำแหน่งเป็นบรร ณาธิการอาวุโสของเครือผู้จัดการ เป็นทั้งคอลัมนิสต์ จัดรายการวิทยุและโทรทัศน์ เป็นผู้ร่วมวางแผนทำลายรัฐบาลทักษิณด้วยการใช้คาถาชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทวงคืนประเทศไทย เราสู้เพื่อในหลวง ที่ทำให้สถาบันกษัตริย์ตกต่ำย่ำแย่ลงไปเรื่อยๆ คำนูณ ก็เช่นเดียวกับฝ่ายซ้ายหลายคนในใต้ร่มเงาของสนธิ ลิ้มทองกุล ทั้งไพศาล พืชมงคล อมร อมรรัตนานนท์ ประพันธ์ คูณมี หรือซ้ายอ่อนๆอย่างสำราญ รอดเพชร หรืออดีตนักวิชาการชื่อดังอย่างชัยอนันต์ สมุทวนิช และภูวดล ทรงประเสริฐ ที่พวกเขาได้เปลี่ยนจุดยืนได้อย่างไม่น่าเชื่อ จากฝ่ายซ้ายหรือนักวิชาการที่เคยมีจุดยืนและผลประโยชน์อยู่ข้างประชาชน ได้หันกลับมาใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายฝ่ายปฏิปักษ์ทางการเมือง แบบเหวี่ยงแห ตีคลุม ในลักษณะโฆษณาชวนเชื่อยิ่งกว่าที่ฝ่ายขวาเคยใช้ในอดีตเสียอีก


สนธิลิ้มได้ยกย่องคำนูณเป็นเสนาธิการใหญ่ ที่วางแผนและคิดคำขวัญต่างๆ ขึ้นมาในการขับไล่รัฐบาลทักษิณ คำนูณได้เป็นผู้ดำเนินรายการยามเฝ้าแผ่นดินทาง
ASTV โดยชูเรื่องมีขบวนการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ลากโยงไปถึงทักษิณ สร้างกระแสลูกเสือชาวบ้านยุคดิจิตัล และเหวี่ยงแหแบบไม่เลือกหน้า เพื่อโค่นล้มสิ่งที่พวกเขาเรียกว่าระบอบทักษิณ
หลังรัฐประหารในปี 2549 คำนูณได้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เขาได้โจมตีรัฐบาลสุรยุทธ์ว่าไม่เด็ดขาดในการจัดการผู้หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และค่ายผู้จัดการได้หันไปสนับสนุนพลเอกสพรั่ง ที่ออกแนวขวาจัดเพื่อช่วงชิงอำนาจทางทหาร แต่ว่าพลเอกสพรั่งพ่ายแพ้ เครือผู้จัดการจึงถีบหัวส่งหาว่าสพรั่งเป็นแค่เหลือบ


คำนูณ สิทธิสมาน สว.ลากตั้ง
ในการเลือกตั้งเมื่อ 23 ธันวาคม 2550 คนในขบวนการพันธมารต่างก็คิดว่าตนเป็นคนที่ประชาชนชื่นชอบ  แกนนำนักพูด อย่าง การุณ ใสงาม มาลีรัตน์ แก้วก่า อมร อมรรัตนานนท์ สมบูรณ์ ทองบุราณ ไปลงเลือกตั้งในนามพรรคมัชฌิมาธิปไตย ของอนงค์วรรณ เทพสุทิน ที่มีประชัย เลี่ยวไพรัตน์ เป็นนายทุนหนุนหลัง พอเอาเข้าจริงกลับสอบตกกันระนาว มีแต่คำนูณลอยลำเข้าสู่วุฒิสภาแบบลากตั้ง ในสัดส่วนของสื่อมวลชน ในต้นปี  2551 ในกลุ่ม 40 ส.ว.ทำหน้าที่ไล่ล่าทำลายล้างทักษิณต่อไป
ทักษิณเจอมวยรุ่นใหญ่

เปลว สีเงิน

: ปฏิบัติการแค้นฝังหุ่น

เปลว สีเงิน-เจ้าของวาทกรรม
ฆ่าเสื้อแดงอย่างไรไม่ให้มือเปื้อนเลือด
เปลว สีเงิน เป็นนามปากกาของ โรจน์ งามแม้น นักหนังสือพิมพ์อาวุโส ผู้เขียนบทความวิเคราะห์การเมือง คอลัมน์ ตีแสกหน้า ในไทยรัฐ ระหว่างปี 2523-2534 ก่อนจะลาออกมาเป็นหัวหน้ากองบก.สยามโพสต์ในเครือบางกอกโพสต์ และลาออกไปก่อตั้งไทยโพสต์ ในปี 2538
เปลวเป็นคนประเภทนักเลงโบราณ ใครดีมาก็ดีด้วย ใครร้ายก็ร้ายตอบให้เหลือแสน
เป็นพวกที่ถือคติว่าคนหนังสือพิมพ์ต้องทำตัวเป็นฝ่ายค้านกับทุกรัฐบาล ตอนทำหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ใหม่ๆ ก็ไปด่ารัฐบาลนายชวน เลยโดนพวกเสธ.ลูกน้องไตรรงค์บุกโรงพิมพ์ มีคดีฟ้องร้องกันนัวเนีย จนปิดสยามโพสต์ลง มาเปิดหัวใหม่ในชื่อไทยโพสต์


เปลว สีเงินรับรางวัลนักเขียนอมตะ 2548 จ
ากอานันท์ ปันยารชุนพร้อมเงิน 1 ล้านบาท
พอดีทักษิณมาเป็นรัฐบาล แกก็ด่าตามคติดั้งเดิมของแก เลยโดนทั้งตำรวจ และปปง.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน  ทั้งไปบีบโรงพิมพ์ของระวิ โหลทอง เจ้าของสยามกีฬาไม่ให้รับพิมพ์ไทยโพสต์ ระวิไม่อยากมีศัตรูและไทยโพสต์ก็ติดค้างเงินไว้มาก เรื่องนี้ถือเป็นความแค้นฝังใจที่ทำให้เปลวตามจองล้างจองผลาญทักษิณตลอดมาและตลอดไป จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง



ใบตองแห้ง หรือ อธึกกิต แสวงสุข
แต่ในไทยโพสต์ก็ยังมีใบตองแห้ง หรือ อธึกกิต แสวงสุข เขียนคอลัมน์ว่ายทวนน้ำ ซึ่งเขียนแนวตรงกันข้ามกับเปลว สีเงิน เป็นคนประเภทมีจุดยืนเป็นนักวิชาชีพจริง ใครมาสั่งไม่ได้ทั้งนั้น แต่เปลวแกก็นักเลงพอตัว ก็ปล่อยให้ใบตองแห้งไว้เขียนแบบเป็นตัวของตัวเอง ใครเกลียดทักษิณก็อ่านเปลว ใครรักทักษิณก็อ่านใบตองแห้ง ได้ทั้งสองอย่างในเล่มเดียว ดีกว่าเอียงไปข้างเดียวแบบผู้จัดการ กับเนชั่น ทื่ผ่านมาใบตองแห้งจึงเป็นเสมือนเครื่องสำองค์ชั้นดีที่ทำให้หนังสือพิมพ์ฝ่ายขวาแบบไทยโพสต์ดูดีขึ้นบ้าง อย่างน้อยก็เปิดกว้างให้มีความเห็นต่าง
แต่ในที่สุด เปลว สีเงิน เจ้าของและบก.ใหญ่ก็สั่งห้ามใบตองแห้งเขียนคอลัมน์การเมืองทุกคอลัมน์ในไทยโพสต์ เมื่อร่วมงานได้
3 ปี ทำให้ใบตองแห้งต้องยื่นใบลาออกจากไทยโพสต์ หลังจากนั้นไทยโพสต์ก็กลายเป็นดาวสยามสมบูรณ์แบบสมใจเปลว สีเงิน และมวลชนฝ่ายพันธมาร

เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
: เสือเจ็บ แต่ไม่ร้องเหมือนหมา


เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง
เจิมศักดิ์ จบปริญญาเอกด้านเศรษฐศาสตร์การเกษตร จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ผู้ค้นคว้าวิจัย ด้านการตลาดสินค้าเกษตร และการพัฒนาชนบท ดำเนินรายการโทรทัศน์ ประเภทการเมือง เศรษฐกิจ สังคม เช่น เวทีชาวบ้าน มองต่างมุม เหรียญสองด้าน  ตามหาแก่นธรรม  ฃอคิดด้วยฅน  ลานบ้านลานเมือง คลายปม เป็นคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์แนวหน้าและเว็บไซต์ผู้จัดการ เป็นเจ้าของสำนักพิมพ์ฃอฅิดด้วยฅน พิมพ์หนังสือรู้ทันทักษิณ 1-5 แต่งงานกับ ดร.จิตริยา เอกอัครราชทูตไทยประจำนอร์เวย์ บุตรสาวของ ศ.จิตติ ติงศภัทิย์ อดีตองคมนตรีในรัชกาลที่ 9
 

เดิมทีเจิมศักดิ์ก็นับถือแนวทางอาจารย์ป๋วย หวังเอางานวิชาการและงานวิจัยมาดัดแปลงรับใช้มวลชน แกเริ่มสร้างชื่อด้วยการเป็นผู้ค้นคว้าวิจัย ด้านการตลาดสินค้าเกษตร และการพัฒนาชนบท เชี่ยวชาญเรื่องราคาข้าว และนโยบายข้าวชนิดหาตัวจับยาก


เจิมศักดิ์ และอภิสิทธิ์ มองต่างมุมช่อง 11
ตอน รสช. รัฐประหารรัฐบาลชาติชาย แรกๆแกก็ออกมาด่าว่าการรัฐประหารทำให้ประเทศย่อยยับ แต่พอ รสช.ตั้งอานันท์เป็นนายกฯ แกก็เข้าไปพบอานันท์ และลดาวัลลิ์ วงศ์ศรีวงศ์ที่ตอนนั้นเป็นรัฐมนตรีคุมช่อง11 บอกว่าอยากจะนำเสนอปัญหาชาวนาชาวไร่สู่รายการโทรทัศน์ เพราะยังไม่มีใครเคยทำมาก่อน จะได้ช่วยเหลือดูแลเกษตรกรในชนบท อันนี้เป็นที่มาของการแจ้งเกิดทางทีวีด้วยรายการเวทีชาวบ้าน ไม่นานต่อก็เปิดรายการมองต่างมุม ซึ่งเป็นอะไรที่ใหม่มากในสมัยนั้น เพราะเป็นรายประเภทสาระแบบถามสด ให้ประชาชนในห้องส่งร่วมตั้งประเด็นคำถาม โดยเชิญ 2 ฝ่ายที่เห็นขัดแย้งกันมาโต้กันสดๆ แต่ตัวพิธีกรคือเจิมศักดิ์เองก็มักจะมีอคติเข้าข้างทางใดทางหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดทั้งสีหน้าแววตา และคำถามที่บางครั้งเท่ากับฆ่ากันทางหน้าจอทีวี อาจถือเป็นต้นแบบที่ไม่แตกต่างไปจากพวกแก๊งเด็กนรกเนชั่นที่ชอบแสดงสีหน้าท่าทางดราม่ากวนประสาท

เถกิง สมทรัพย์ คนของเจิมศักดิ์
ต่อมาได้ก่อตั้งทีวีบลูสกายให้พรรคแมลงสาบ
จากนั้นเจิมศักดิ์ก็ชักจะเริ่มสนุกกับการจัดรายการทางทีวี แกก็เลยหันหน้าเข้าสู่ธุรกิจสื่อเต็มตัว ทั้งทางทีวีและวิทยุ โดยการก่อตั้งบริษัทวอชท์ด็อก หรือหมาเฝ้าบ้าน มีเกษมสันต์ วีรกุล พิรุณ ฉัตรวนิชกุล และเถกิง สมทรัพย์ เป็นแกนหลัก เจิมศักดิ์จึงกลายเป็นคนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ เพราะออกรายการทางสื่อโทรทัศน์ และวิทยุเป็นประจำ รายได้ก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ แถมเมื่อลงสมัครส.ว.ในปี 2543 ก็ชนะเลือกตั้งได้เป็น ส.ว.
แต่แล้วก็เริ่มเกิดปัญหาถูกทุบหม้อข้าว เมื่อถูกช่อง 9 ยกเลิกสัญญาเช่ารายการทีวีขอคิดด้วยคนของเจิมศักดิ์ ซึ่งก็น่าจะทำให้เสียผลประโยชน์ก้อนโตเอาการ เพราะช่วงนั้นเป็นช่วงน้ำขึ้นของเจิมศักดิ์ ทำให้เจิมศักดิ์เข้าใจว่ารัฐบาลทักษิณน่าจะอยู่เบื้องหลังให้ยกเลิกรายการ เพราะทั้งๆที่เป็นพวกกัน ถือหุ้นบริษัทด้วยกัน ช่วยอุดหนุนโฆษณาให้ แต่กลับมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล แต่สรจักรเกษมสุวรรณ ผอ.อสมท.ในขณะนั้นได้ออกมาตอบโต้ว่าเจิมศักดิ์ทำผิดสัญญากับทางช่อง 9 เอง จึงจำเป็นต้องยกเลิกสัญญา
อย่างไรก็ตามเจิมศักดิ์ก็ปักใจเชื่อว่าว่าทักษิณสั่งเล่นงานตนแน่ เลยต้องชำระสะสางความแค้นด้วยการออกหนังสือชุดรู้ทันทักษิณ ออกมาวิพากษ์โจมตีทักษิณ และกลายเป็นหนังสือขายดีเป็นเทน้ำเทท่า เพราะทักษิณไปหลงงับเหยื่อโดยกล่าวถึงหนังสือเล่มนี้ในรายการ นายกฯทักษิณพบ ประชาชนและยังให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน เท่ากับไปช่วยกระพือให้หนังสือมันดังไปโดยปริยาย
เจิมศักดิ์จึงนับเป็นคนแรกๆที่ออกมาวิจารณ์โจมตีทักษิณ ในช่วงเวลาที่สังคมไทยกำลังชื่นชอบอยู่กับรัฐบาลทักษิณ 1 แต่ก็ไม่มีน้ำหนักพอที่จะสั่นคลอนโค่นล้มทักษิณได้  แถมทักษิณได้เปิดทางให้ สนธิลิ้ม ค่ายผู้จัดการเข้ามาจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางช่อง 9 และลิ้มก็ทำหน้าที่เชียร์ทักษิณยกใหญ่ ให้เป็นนายกรัฐมนตรีที่ดีที่สุดที่ประเทศไทยเคยมีมา แล้วก็หันไปสอนสั่งเจิมศักดิ์ที่หลุดจากจอทีวีและหน้าปัทม์วิทยุว่า "ที่ร้องแรก แหกกระเชออยู่นั้น เปรียบได้กับ ลูกหมา ที่มีนิสัยร้องเสียงดังเอ๋งๆ เมื่อถูกทำให้เจ็บ ซึ่งไม่อาจเทียบได้กับ ลูกเสือ เจ็บแค่ไหนก็ไม่มีใครได้ยินเสียงร้อง" ลิ้มย้ำอยู่หลายหนเรื่อง " เสือเจ็บไม่ร้อง แต่หมาเจ็บมันร้องดังเอ๋ง " แต่ก็เหมือนกงเกวียนกำเกวียน เพราะต่อมาไม่นานลิ้มก็มีเรื่องขัดแย้งผลประโยชน์กับทักษิณหลายเรื่อง และลิ้มก็ต้องหลุดจอช่อง 9 ต้องไปจัดเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ก่อนจะกลายเป็นพันธมาร  เจิมศักดิ์ที่เคยถูกด่าเป็นหมูเป็นหมาก็ไม่ถือโทษลิ้ม เพราะเขาอาจถือคติว่า  ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร  เจิมศักดิ์จึงไปขึ้นเวทีกู้ชาติร่วมกับลิ้ม ต่อมาก็มามีรายการ รู้ทันประเทศไทย ทาง ASTV ช่อง NEWS 1 ของสนธิ และรายการวิทยุ พูดตรงใจกับเจิมศักดิ์ ทาง F.M. 92.25 ที่มีประชัย เลี่ยวไพรัตน์เป็นนายทุนต่อต้านรัฐบาลทักษิณ


พล.อ.สะพรั่ง กัลยาณมิตร ประธานบอร์ดทอท.
หลังรัฐประหาร19 กันยา เจิมศักดิ์ ได้รับการตบรางวัลให้เป็นกรรมการ และโฆษกประจำคณะกรรมการบริษัทท่าอากาศยานไทย หรือ ทอท. ที่มีพลเอกสพรั่ง กัลยาณมิตร เป็นประธานบอร์ด แต่สุดท้ายบอร์ดชุดนี้ถูกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายสัปดาห์พาดหัวด่าอย่างไม่ไยดีว่าสพรั่งคือเหลือบหาผลประโยชน์จากรัฐวิสาหกิจเหล่านี้
เจิมศักดิ์ยังได้รับแต่งตั้งเป็นสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ  2550 และมีบทบาทสำคัญในการรณรงค์ให้ประชาชนลงมติรับร่างฉบับนี้ โดยชูคำขวัญว่า" รับไปก่อนแล้วค่อยแก้ทีหลัง" โดยเขาชี้อยู่หลายครั้งว่า
เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านมาไม่เคยมีรัฐธรรมนูญฉบับใดที่ให้ประชาชน เสนอแก้ไขได้ แต่ครั้งนี้ให้ประชาชนเข้าชื่อ 50,000 ชื่อเสนอได้ ทำให้ประชาชนไม่ใช่ผู้นั่งดูการเมืองอีกต่อไป หลังจากที่รัดทำมะนวย 2550 ผ่านการลงประชามติเพราะคนหลงเชื่อว่าให้รับๆไปก่อนแบบที่เจิมศักดิ์เคยว่าไว้ พอมีความเคลื่อนไหวจะแก้ไขให้เป็นประชาธิปไตย สลัดคราบเผด็จการทิ้งไป เจิมศักดิ์ก็ไปเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์แนวหน้า เรื่องทุกข์ของประเทศไทย ชักแม่น้ำทั้งห้า ในแบบเดียวกับพวกพันธมารว่า "ปรากฏหลักฐานทำให้เชื่อได้ว่า มีกระบวนการจ้องทำลายสถาบันสูงสุดที่คนไทยเคารพรัก "และอ้างว่าได้พระราชทานพระบรมราชานุมัติตามมติของมหาชน 
เจิมศักดิ์ที่เคยประนามการรัฐประหารของรสช. ได้กลายมาเป็นเจิมศักดิ์ที่สนับสนุนให้มีรัฐประหารในสมัยนายกทักษิณ นายกสมัคร นายกสมชาย เข้าร่วมแก๊งพันธมารเพื่อเผด็จการดักดานแห่งชาติอย่างเต็มที่ หลังการล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกเลือกตั้ง เจิมศักดิ์ส่งลูกมือคือเถกิง สมทรัพย์ไปเป็นรองผอ.ข่าว
TPBS ค่อยผลิตสารคดีแนวทำลายล้างระบอบประชาธิปไตย

ชัยอนันต์ สมุทวณิช
: ตอนหนุ่มเลือดร้อน
พอตอนแก่เลือดเย็น


ชัยอนันต์ สมุทวณิช ปี 2538
ในยุคทศวรรษ 2510 ชัยอนันต์เป็นนักเรียนนอกกลับมาเป็นอาจารย์รัฐศาสตร์จุฬา ชัยอนันต์เป็นหนุ่มเลือดร้อน หุนหัน อยากเปลี่ยนโลกตามอุดมคติ ชัยอนันต์จึงเป็นนักรัฐศาสตร์ที่มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนขบวนการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและการปฏิรูปการเมืองโดยตรง ในยุคเผด็จการถนอม - ประภาส ชัยอนันต์ทุ่มเทให้กับการเคลื่อนไหวเรียกร้องรัฐธรรมนูญ และประชาธิปไตยอย่างจริงจัง จัดประชุมนักศึกษาหัวก้าวหน้าที่บ้านย่านสะพานควายของแกหลายหน แล้วก็มีการเข้าชื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญ100 รายชื่อ โดยแกลงชื่ออยู่อันดับต้นๆ ที่แสบคือแกไปล่าชื่อพลตำรวจตรี สง่า กิตติขจรน้องชายจอมพลถนอมมาลงชื่อได้ด้วย พอล่าชื่อเสร็จก็มีพวกคนหนุ่มสมัย นั้น อย่างธีรยุทธ์ บุญมี และวิสา คัญทัพ ก็ออกแจกใบปลิวที่ท้องสนามหลวง และถูกจับกุม นำไปสู่การชุมนุมเรียกร้องให้ปล่อยตัวพวกที่ถูกจับ และบานปลายขยายวงไปเป็นเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ต่อมาในปี 2531 ชัยอนันต์ได้ร่วมกับนักวิชาการคนอื่นๆ เช่น ปราโมทย์ นาครทรรพ และ ธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รวบรวมนักวิชาการ 99 คนลงชื่อเรียกร้องให้ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และรณรงค์เรื่องนายกรัฐมนตรีต้องมาจากการเลือกตั้ง มีคนดังๆ เช่น สุขุมพันธ์ บริพัตร และเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ร่วมลงชื่อด้วย

ปราโมทย์ นาครทรรพ และชัยอนันต์ สมุทวณิช
แต่ชัยอนันต์คนเดียว กันนี้ ในต้นเดือนก.พ. 2549 ได้เรียกร้องให้ทักษิณ ชินวัตร ลาออกจากนายกรัฐมนตรี และเป็นหัวแรงแข็งขันล่ารายชื่อ 95 นักวิชาการยื่นถวายฎีกาเรียกร้องให้มีนายกรัฐมนตรีพระราชทาน หรือนายกฯมาตรา 7  มีคนเด่นร่วมลงชื่อหลายคน เช่น อมรา พงศาพิชญ์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ จุฬา สมบัติ ธำรงธัญวงศ์อธิการบดีนิด้า  วุฒิพงษ์ เพียบจริยวัฒน์ อัมรินทร์ คอมันตร์


ชัยสิริ สมุทวณิช บก.อาวุโส ผู้จัดการรายวัน
ชัยอนันต์ ได้กลายมาเป็นเด็กในคาถาของลิ้ม โดยลาออกจากศาสตรา จารย์ระดับ 11 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาไปเป็นลูกจ้างเครือผู้จัดการ ที่ทำงานตามคำบัญชาของสนธิลิ้ม ผู้เป็นนายจ้าง ไม่นานหลังจากนั้น ชัยสิริ น้องชายของชัยอนันต์ก็ลาออกจากงานการบินไทย ไปทำงานเป็นบ.ก.หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ



พชร สมุทวณิช ลูกชายของชัยอนันต์
พชร ลูกชายคนเดียวของชัยอนันต์ ก็เข้าทำงานจนเป็นผู้บริหารของเครือผู้จัดการ  ชัยอนันต์ ยังรับเป็นประธานมูลนิธิไชย้ง ลิ้มทองกุลซึ่งเป็นแม่ของลิ้มตลอดมา 
ความสัมพันธ์ระหว่าง ชัยอนันต์ กับสนธิลิ้ม จึงเป็นความสัมพันธ์ฉันญาติสนิท ที่เอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันมากยิ่งกว่าญาติพี่น้องแท้ๆ เสียอีก  ถึงแม้ว่าทักษิณจะเคยมอบตำแหน่งหน้าที่การงานที่สำคัญๆให้ชัยอนันต์ได้ใช้ความรู้ความสามารถมาช่วยเหลือ ประเทศชาติ เช่น ประธานบอร์ดการบินไทย ประธานบอร์ดกฟผ. แต่เมื่อต้องตัดสินใจครั้งสำคัญ ชัยอนันต์ก็เลือกที่จะกลับไปยืนเคียงข้างรับใช้สนธิลิ้มอย่างซื่อสัตย์
ชัยอนันต์ จึงได้ร่วมเป็นหนึ่งในหัวขบวนการเมืองนอกระบบ ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อโค่นล้มทักษิณ  ผู้มาตามระบบ และถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ เพียงเพราะว่าสนธิลิ้ม ต้องการล้มทักษิณ เพื่อชำระแค้นส่วนตัวเท่านั้นเอง เนื่องจากชัยอนันต์ได้ร่วมหัวจมท้ายจนถอนตัวไม่ขึ้น โดนลิ้มขี่คออยู่เพราะเคยต้องลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการบริษัทไออีซีซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสนธิลิ้ม เพราะถูก ก.ล.ต.ตรวจสอบพบว่ามีการทำหนังสือค้ำประกันให้เอ็มกรุ๊ป ของสนธิลิ้ม กู้เงินจากธนาคารกรุงไทย 1
,198 ล้านบาท เมื่อ 30 เมษายน 2539  แต่ไออีซีไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลแก่กลต. ในยุคที่ ประสาร ไตรรัตน์วรกุล เป็นเลขาธิการ กลต.

เสวนาปฏิญญาฟินแลนด์ หอประชุมใหญ่ ธรรมศาสตร์  25 พค. 2549
ชัยอนันต์เป็นผู้ที่เขียนฎีกาให้สนธิลิ้มอ่านในการชุมนุมของพันธมารเมื่อ 4 กุมภาพันธ์ 2549 ทั้งยังเป็นวิทยากรในการอภิปรายในเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ที่ธรรมศาสตร์ หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน  2549 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ โดยทำนายล่วงหน้าหนึ่งวันว่า พรรคประชาธิปัตย์จะไม่ถูกยุบ แต่พรรคไทยรักไทยจะถูกยุบ
2 พฤษภาคม 2551 ชัยอนันต์เขียนบทความในคอลัมน์ชีวิตที่เลือกได้ ของผู้จัดการรายวัน เรียกร้องให้ทหารทำรัฐประหารยึดอำนาจ หลังจากม็อบพันธมารชุมนุมกันมานานเริ่มเกิดอาการฝ่อ โดยกุเรื่องว่ากำลังมีขบวนการสาธารณรัฐประชาชนไทย หรือ
Republic of Thailand ที่ฟินแลนด์ ที่เห็นว่าประเทศไทยไม่จำเป็นจะต้องมีสถาบันกษัตริย์ และมีกลุ่มซ้ายเก่าชอบหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และเคลื่อนไหวโจมตีประธานองคมนตรี  แกนนำและพรรคพวกร่วมขบวนการล้มทักษิณ อย่างลิ้ม คำนูณ สิทธิสมาน ปราโมทย์ นาครทรรพ ซึ่งเคยเอียงซ้ายมาก่อน ได้สร้างเรื่องโกหกนี้ขึ้นมาหลอกให้คนกลัว เพื่อปูทางให้กับการรัฐประหารครั้งใหม่ ทั้งๆที่คนพวกนี้ได้สมคบคิดกันปูทางให้กับการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 มาแล้วโดยไร้สำนึก และไร้ยางอายต่อตัวตนในอดีตของพวกเขาเอง
ทำไมชัยอนันต์ถึงได้ยอมเปลืองตัวขนาดนี้ ทำไมแกยอมนำคุณงามความดี และคุณูปการต่อประชาธิปไตยในอดีตมาแลกชนิดที่ว่าไม่กลัวเสียคนตอนแก่ หรือเป็นเพราะมีความทะเยอทะยาน เนื่องจากก่อนการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 มีข่าวว่าทหารกำลังตั้งพรรคการเมือง และเล็งให้ชัยอนันต์เป็นหัวหน้าพรรค ในเวลานั้นชัยอนันต์ในวัย 63 เคยให้สัมภาษณ์ว่าเขาพร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรี  แต่พรรคทหารที่ว่านั้นได้เลิกล้มไปเสียก่อน

ไพศาล พืชมงคล
: เสนาธิการของคมช.

ไพศาล พืชมงคล เนติบัณฑิต
ไพศาลเป็นคนสงขลา จบนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ เคยเป็นแกนนำเดินขบวนคัดค้านการขึ้นค่ารถเมล์ในสมัยรัฐบาลถนอม ประท้วงพรบ.ควบคุมตุลาการ และเหตุการณ์ 14 ตุลา ได้แต่งเพลงศักดิ์ศรีกรรมกรมีเนื้อหาให้โค่นล้มระบอบศักดินาและนายทุน ทั้งยังเขียนบทความในหนังสือพิมพ์ฝ่ายซ้ายคือ อธิปัตย์ และ ประชาธิปไตย ไพศาลได้รับเป็นทนายความให้แก่ผู่ที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ รวมทั้งนายสุภาพ พัตรอ๋อง ผู้นำกรรมกรอ้อมน้อย
ในปี
2529
กองบัญชาการทหารสูงสุดได้มอบหมายให้ไพศาลช่วยยกร่างหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน เป็นที่ปรึกษากฎหมายของพลเอกชวลิตนักปราบคอมมิวนิสต์ เป็นที่ปรึกษาโครงการน้ำพระทัยจากในหลวง ได้รับการแต่งตั้งเป็นสมาชิกวุฒิสภา ได้ร่วมงานกับกลุ่มผู้จัดการ เขียนสามก๊ก ฉบับคนขายชาติ โดยใช้นามปากกา เรืองวิทยาคม


ไพศาล พืชมงคล สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ของคมช.
ไพศาลใช้นามปากกาว่าสิริอัญญา เขียนบทความ
โอ้ว่าพระทูลกระหม่อมแก้ว เห็นแล้วว่าประทับอยู่ข้างไหน ลงในผู้จัดการโดยอ้างกรณีราชินีสิริกิติ์ไปพระราชทานเพลิงศพน้องโบว์ เมื่อ 13 ตุลาคม 2551  ซึ่งทำให้ถูกวิจารณ์อย่างมาก แม้แต่ผู้อ่านของผู้จัดการเอง
ไพศาลยังส่งพิธาน พืชมงคลน้องชายของเขาเอง มาเป็นบอดี้การ์ดคนใกล้ชิดสนธิลิ้มผู้นำสูงสุดของพันธมาร ต่อมาในการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ไพศาลเป็นคนเขียนแถลงการณ์คณะรัฐประหารฉบับแรกๆพร้อมกับมีชัย ฤชุพันธุ์ จากการเปิดเผยของคำนูณ สิทธิสมาน และเขาได้รับรางวัลตอบแทนให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติสายของสนธิลิ้มด้วย
ไพศาลก็เช่นเดียวกับฝ่ายซ้ายเก่าจำนวนมากรอบตัวสนธิลิ้ม ไม่ว่าจะเป็นคำนูณ สิทธิสมาน สำราญ รอดเพชร ประพันธ์ คูณมี สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ พิภพ ธงชัย อมร อมรรัตนานนท์ กระทั่งแจ๊ค-วัชระ เพชรทอง และสุริยะใส กตะศิลา ที่ครั้งหนึ่งพวกเขาเคยสมาทานอุดมการณ์สังคมนิยม หรือแม้แต่ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เคยประกาศจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์มาก่อน แต่เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป พวกเขากลับเชิดสถาบันกษัตริย์ขึ้นบังหน้าแล้วนำมาเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อกำจัดศัตรูทางการเมือง รวมทั้งกำจัดอำนาจของประชาชนไทยที่ต้องการประชาธิปไตย แล้วนำบ้านเมืองถอยหลังลงคลองด้วยการเมืองโควต้าแต่งตั้ง 70: เลือกตั้ง 30


สมาคมสื่อสามานย์

ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ :สื่อเสื้อเหลืองแท้
 

ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ ต่อมาได้เป็นนายกสมาคมนักข่าว
ประดิษฐ์เป็นเลขาธิการสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นเด็กกิจกรรมรามฯ ทำค่ายชาวเขา แล้วก็เคยไปรณรงค์เรื่องนาเกลือทางภาคอีสาน พูดไทยกลางยังไม่ชัด สำเนียงออกทองแดงมาก ได้งานทำที่มติชน แล้วต่อมาอยู่บางกอกโพสต์ อาศัยความเป็นนักกิจกรรมเก่า เลยได้ผูกขาดเป็นเลขาฯสมาคมนักข่าว แต่เวลาออกแถลงการณ์มักจะเกรงใจพวกพันธมารเพราะเป็นคนปักษ์ใต้ด้วยกัน แต่ชอบจ้องเล่นงานทักษิณและเสื้อแดงเพราะไม่ใช่พวกเดียวกัน ตอนพันธมารชุมนุม ก็เชียร์อย่างออกหน้าออกตาให้ไล่รัฐบาลและให้ตั้งนายกฯมาตรา 7  พอรัฐบาลสมัคร รัฐบาลสมชายออกพรก.ฉุกเฉิน ประดิษฐ์ก็รีบออกแถลงการณ์ห้ามรัฐทำร้ายม็อบ และให้รัฐบาลรีบลาออก แต่พอม็อบยึดทำเนียบ ยึดสนามบินประดิษฐ์กลับทำเฉย  ขนาดพันธมารไปยึดโทรทัศน์
NBT ก็ออกแถลงการณ์ตำหนิแบบเสียไม่ได้ แบบขอไปที
แต่พอเสื้อแดงนปช.ชุมนุมใหญ่ให้ยุบสภา อภิสิทธิ์ประกาศพรก.ฉุกเฉิน ประดิษฐ์กลับออกแถลงการณ์ยุให้รัฐบาลพรรคแมลงสาบใช้กำลังเข้าปราบปราม พอรัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบคนเสื้อแดงนปช.เสร็จ ประดิษฐ์ก็ออกแนวรณรงค์รักสันติภาพ หยุดทำร้ายประเทศไทย ทั้งๆที่ประดิษฐ์และสมาคมนักข่าวนี่แหละที่เป็นตัวทำร้ายประเทศไทย

ภัทระ คำพิทักษ์ : สื่อยุคตกต่ำ


ภัทระ คำพิทักษ์ สนช. และต่อมาเป็นสว.ลากตั้ง
ภัทระเริ่มจากการเป็นผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์มติชน ต่อมาเป็นบรรณาธิการข่าวโพสต์ทูเดย์ และได้เป็นนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย
ภัทระ คำพิทักษ์เป็นพวกรุ่นใหม่ใจด้าน กล้าเอาความเป็นสื่อไปขายกินกับเผด็จการ ไม่เคยมียุคไหนที่สมาคมนักข่าวจะตกต่ำเท่ากับยุคที่นายภัทระเป็นนายกสมาคม แทนที่จะให้สื่อวางตัวเป็นกลาง สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยยุคภัทระเป็นนายกฯ ดันไปออกแถลงการณ์ไล่นายกทักษิณ บอกว่าหมดความชอบธรรมแล้ว ให้แต่งตั้งนายกฯใหม่ตามมาตรา 7 พอเกิดการ รัฐประหาร 19 กันยายน
2549 แทนที่จะต่อต้านหรือไม่งั้นก็นั่งอยู่เฉยๆ แต่ภัทระกลับไปแสดงความยินดี โดยอ้างว่าไปหารือกับสนธิบังเรื่องสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน ตอนนั้น สนธิบังสั่งห้ามสื่อออกข่าวทักษิณเด็ดขาด โดยขอให้ใช้วิจารณญาณกันเอง แต่หากพวกสื่อใช้วิจารณญาณไม่เป็น เดี๋ยวบังจะใช้แทน  แต่สมาคมนักข่าวก็นิ่งเฉยไม่ได้มีแถลงการณ์โต้ตอบว่าคุกคามสื่อแต่อย่างใด
พอภัทระเข้าไปหาสนธิบัง บังก็เชื้อเชิญให้มาช่วยชาติบ้านเมืองร่วมกับคมช. โดยจะตั้งให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ทั้งๆที่โดยปกติแล้วสื่อจะไม่ร่วมมือกับฝ่ายคุมอำนาจการเมือง ยิ่งเป็นตัวแทนสื่อแล้วยิ่งน่าเกลียด ถึงกับมีการเขียนในข้อกำหนดว่าห้ามนักข่าวไปดำรงตำแหน่งทางการเมือง


นางบัญญัติ ทัศนียะเวชนำนายกสมาคมสื่อ
เข้าเจรจากับคณะปฏิกูล เมื่อ 28 กย. 2549
บังเอิญภัทระเป็นพวกหน้าด้านอยากมีตำแหน่ง แต่ถ้าเป็นคนเดียวมันจะน่าเกลียด เลยทำฟอร์มว่าขอไปปรึกษาพรรคพวก ภัทระก็มาล็อบบี้นายกสมาคมนักข่าววิทยุโทรทัศน์ คือสมชาย แสวงการ และนางบัญญัติ ทัศนียะเวช ประธานสภาการหนังสือพิมพ์ ภัทระไปโน้มน้าวว่า ตอนทักษิณเป็นนายกพวกสื่อโดนคุกคามตลอด ตอนนี้คมช.มีไมตรีเชิญสื่อไปเป็น สนช. ถือเป็นโอกาสอันดีที่สื่อเราจะได้เข้าไปปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัตฺแห่งชาติ
แล้วภัทระก็กลับไปเจรจาขอตำแหน่งสนช.
3 ที่นั่ง โดยอ้างว่าสมาคมสื่อมี 3 สมาคม ไปไหนต้องไปด้วยกันทั้งหมด สนธิบังก็ยอมเพราะรู้ดีว่าสื่อมีอิทธิพลมาก ถ้าได้สื่อมาเป็นพวกแล้ว ต่อไปคมช.จะทำอะไรมันก็จะปลอดโปร่งโล่งสะดวก
พอนายกสมาคมสื่อทั้งสามได้เป็นสนช. กินเงินเดือนแสนสอง เรื่องมันก็หึ่งออกไป พวกนักข่าวภาคสนามแถวใต้ถุนสภาก็พากันไม่พอใจที่นายกสมาคมของพวกตนดันไปรับใช้ทหารที่ทำรัฐประหารด้วยการเข้าไปนั่งในสภาเสียเอง ก็เลยรวมตัวกันยื่นหนังสือแสดงความไม่เห็นด้วยที่นายกสมาคมสื่อจะไปเป็นสนช.ให้พวกยึดอำนาจ

มานิจ สุขสมจิตร บก.อาวุโส ไทยรัฐ
ภัทระจึงต้องวิ่งหาผู้ใหญ่ในวงการสื่อ คือหยุ่นเนชั่น และมานิจ สุขสมจิตร ผู้อาวุโสจากไทยรัฐ ที่ทำตัวเป็นขาใหญ่เรียกภัทระ คำพิทักษ์ สมชาย แสวงการ และนางบัญญัติ ทัศนียะเวช มาร่วมกินข้าวกับนักข่าวภาคสนามที่รอยัลพรินเซส หลานหลวง ฝ่ายนักข่าวสนามก็ยื่นคำขาดให้ถอนตัว คนเป็นกรรมการกลางอย่างหยุ่นเนชั่นซึ่งเป็นคู่อริกับทักษิณก็โน้มน้าวสารพัด พวกนักข่าวภาคสนามที่ลงชื่อในบัญชีหางว่าวหลายคนก็กินเงินเดือนหยุ่นเนชั่น จึงต้องประนีประนอมด้วยการให้นายกสมาคมทั้ง 3 คนลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมสื่อ เพื่อไม่ให้เกิดการขัดกันของผลประโยชน์
พอเข้าไปเป็นสนช. พวกคมช.ไปรื้อกฎหมายสมัยจอมพล ป. กลับมาใช้ คือก่อนออกหนังสือพิมพ์ต้องให้ส่งสันติบาลตรวจก่อน แต่ตัวแทนสื่อทั้งสามคนก็ไม่ได้ปกป้องสิทธิเสรีภาพของสื่อแต่อย่างใด
พอพวกบ้าสถาบันคลั่งในหลวงต้องการแก้กฎหมายหมิ่น ให้เพิ่มบทลงโทษให้หนักขึ้น แล้วให้คุ้มครองประธานองคมนตรีด้วย ทั้งภัทระ คำพิทักษ์และสมชาย แสวงการ ก็แถไปเซ็นก่อนเพื่อน ทั้งๆที่มันเป็นกฎหมายที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่ออย่างรุนแรง ต่อมาสมชาย แสวงการยังเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสานเรื่องนี้ต่อ หลังจากคมช.ตบรางวัลให้เป็นวุฒิสมาชิกอีกตำแหน่ง หลังจากที่สนช.หมดวาระลง

สมชาย แสวงการ
: จากสื่อมวลชนกลายเป็นสื่อมวลโจร


สมชาย แสวงการ แกนนำ 40 สว.เพือเผด็จการดักดาน
สมชายมีชื่อเล่นว่าเอ๋ จบรัฐศาสตร์รามคำแหง เป็นบก.และผู้สื่อข่าวช่อง 3 ต่อมาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มไอ.เอ็น.เอ็น.กรุ๊ปและทีนิวส์ ร่วมกับสนธิญาณ หนูแก้ว ที่ถือหุ้นใหญ่โดยสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และกลุ่มยูคอม  สนธิญาณ หนูแก้ว เป็นมือขวาของจิรายุ อิศรางกูร ผอ.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์  INN จึงได้รับสิทธิจากหน่วยบัญชาการกำลังสำรองในการเข้ามาบริหารและผลิตรายการ ร่วมด้วยช่วยกัน โดยออกอากาศทางเอฟเอ็ม 96 ของกรมรักษาดินแดน


สนธิญาณ หนูแก้ว ก่อตั้งไอเอนเอน และ ทีนิวส์
สนธิญาณ หนูแก้ว ได้ใช้สื่อวิทยุของเขาที่ได้ทุนจากสำนักงานทรัพย์สินฯในการเปิดข่าวสกัดไม่ให้ณรงค์ วงศ์วรรณ ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้บิ๊กสุต้องรับเป็นนายกฯ จนนำไปสู่การประท้วงขับไล่สุจินดา เพื่อให้อานันท์ ปันยารชุนขึ้นเป็นนายกพระราชทานรอบ 2
จึงเป็นธรรมดา ที่คนอย่างสมชาย แสวงการ และสนธิญาณ หนูแก้ว หรือ ชื่นฤทัยในธรรม ต้องทำงานรับใช้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ผู้เป็นนายจ้างของตน เพื่อล้มล้างทักษิณ รวมทั้งรับใช้คมช.ซึ่งเป็นเครือข่ายของระบอบโบราณด้วยเหมือนกัน โดยไม่ต้องสนใจว่าเป็นการรับใช้พวกเผด็จการที่ปล้นอำนาจของปวงชน ทั้งนี้ก็เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวทั้งสิ้นเท่านั้นเอง

เก็บตกสื่อแสบ

อัญชลี ไพรีรักษ์ : ชีวิตนี้เพื่ออัศวเหม

อัญชลี ไพรีรักษ์ ผู้จัดรายการวิทยุ
อัญชลี หรือปอง เป็นคนปากน้ำสมุทรปราการ พ่อของอัญชลีสนิทกับเฮียกิมเอี่ยมหรือวัฒนา อัศวเหมมาตั้งแต่ดั้งเดิม วัฒนาเคยส่งอัญชลีลง ส.จ.แต่สอบตก พอลงส.ส.พรรคเพื่อแผ่นดินของวัฒนาก็สอบตกอีก เพราะรู้กันทั้งเมืองสมุทรปราการว่าตระกูลอัศวเหมเป็นต้นตำรับโคตรโกงปากน้ำที่คนทั่วไปทั้งเกลียดทั้งกลัว สมัยรัฐบาลทักษิณ วัฒนาโดนคดีทุจริตโครงการบำบัดน้ำเสียที่คลองด่าน บางบ่อ สมุทรปราการ  ขณะเป็นรัฐมนตรีช่วยมหาดไทย ในสมัยรัฐบาลชวน 2 เป็นโครงการบำบัดน้ำเสียที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเซียอาคเนย์ ตอนนั้นวัฒนาเป็นสส.งูเห่าของพรรคประชากรไทย มีการทุจริตโดยเอาถนนสาธารณะและป่าชายเลนมาออกเอกสารสิทธิ์หลอกขายทางราชการ โครงการนี้ใช้เงิน กว่า 2.3 หมื่นล้าน

สมชาย และ สติล คุณปลื้มกับลูกๆ
ส่วนกำนันเป๊าะ สมชาย คุณปลื้ม โดนข้อหาทุจริตการซื้อขายที่ดินป่าเขาไม้แก้วซึ่งเป็นป่าสงวน
140 ไร่ กว่า 93 ล้านบาท ให้เมืองพัทยาเพื่อเป็นที่ทิ้งขยะ จากราคาปกติ ไร่ละ 50,000 บาท เป็น ไร่ละเกือบ 700,000 บาท ในระหว่างการต่อสู้คดีทุจริตป่าเขาไม้แก้วนี้ เกิดเหตุประยูร สิทธิโชติ หรือกำนันยูรถูกยิงเสียชีวิตขณะร่วมงานแต่งงาน เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2546
ทั้งแก๊งของวัฒนาและกำนันเป๊าะต่างวิ่งเต้นให้รัฐบาลทักษิณช่วยเรื่องคดี  ทั้งๆที่เป็นเรื่องทุจริตชัดเจนขนาดเอาที่สาธารณะไปหลอกขายให้รัฐบาลในราคาสูง แล้วใครจะกล้าเข้าไปช่วย โดยเฉพาะรัฐบาลทักษิณที่ถูกจ้องเล่นงานตลอดชนิดที่เอาตัวเองแทบไม่รอดอยู่แล้ว ในที่สุดศาลตัดสินเด็ดขาดต้องติดคุกยาวทั้งคู่  เจ้าพ่อทั้งสองต้องเผ่นหนีไม่ยอมติดคุกตอนแก่ แต่อัญชลีก็ไม่เคยเรียกคนทั้งสองว่าเป็น นช.เป๊าะ หรือ นช.วัฒนา และก็เรียกยังเรียกคุณพ่อเหมือนเดิม

ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก นางงามจักรวาล ปี 1988 / 2531
อัญชลีจบนิเทศน์ ม.กรุงเทพแล้วก็มาเริ่มงานเป็นนักข่าวตระเวณของเดลินิวส์ คือเสาะหาข่าวสัพเพเหระ รวมทั้งข่าวประกวดนางงาม  ช่วงนั้น ปุ๋ย ภรทิพย์ได้เป็นนางงามจักรวาล อัญชลีได้โอกาสทำหนังสือรวมเล่มปุ๋ยพรทิพย์ออกขายในจังหวะที่ผู้คนกำลังเห่อคุณปุ๋ยภรทิพย์  ต่อมาได้เป็นคนอ่านข่าวทางช่อง 7 แล้วก็มาทำรายการทางช่อง 9 อัญชลีมาแจ้งเกิดตอนจัดรายการวิทยุทาง 96.5
FM ของอสมท. อาศัยออกแนวห้าวใส่อารมณ์ ให้คนฟังสนุกไปด้วย ผสมกระแสโจมตีทักษิณ ตอนนั้นก็มีแค่ประสงค์ฟันดำในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ส่วนเจิมศักดิ์ก็ออกพ็อคเก็ตบุ๊คมาด่า ยิ่งคดีคลองด่านของวัฒนาเริ่มงวดเข้าเท่าไหร่ ในขณะที่ทักษิณไม่ยอมช่วยเคลียร์ อัญชลีก็จะยิ่งจีบปากจีบคอแผดเสียงแหบห้าวด่าทักษิณมากขึ้นเท่านั้น

เอกยุทธ อัญชัญบุตร หลบหนีคดีโกงแชร์ ตั้งแต่ปี 2528
กระทั่งไปจับมือกับเอกยุทธ แชร์ชาร์เตอร์ ออกหนังสือรวมเล่มมาด่าทักษิณ เอาเอกยุทธมาสัมภาษณ์ เอกยุทธ์ก็เริ่มไปก่อม็อบไล่ทักษิณที่สนามหลวงกับประพันธ์ คูณมี เด็กของสงค์ฟันดำ  อัญชลีเลยหลุดจากคลื่น 96.5 เลยไปรับงานจากประชัย เลี่ยวไพรัตน์ที่เพิ่งสูญเสียTPIไปเป็นของรัฐบาล โดยถูกปตท.ฮุบ เปลี่ยนเป็นไออาร์พีซี มีบิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ เด็กของเปรมิกาเข้าไปคุม ความจริงประชัยรู้ดีว่าเจ้าของคอกม้าสั่งฮุบ TPI เพราะประชัยไปทำธุรกิจแข่งกับเครือซิเมนต์ไทย ทั้งปูน เคมี กระดาษ สารพัด เลยโดนกลั่นแกล้งมาตลอด ตอนฟองสบู่แตก เครือซิเมนต์ไทยและธนาคารไทยพาณิชย์ที่ทรัพย์สินกษัตริย์ถือหุ้นใหญ่ ได้เอาเงินหลวงมาอุ้มธุรกิจตัวเองรอด ส่วนประชัยโดนบีบให้เสีย TPI
ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้สนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลทักษิณ
15 พฤษภาคม 2548 ประชัย แถลงต่อศาลขอชำระหนี้ทั้งหมด 2700 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยระบุว่าได้ตกลงร่วมทุนกับ
CITIC BANK ของจีน มีข่าวว่าทางจีนได้สอบถามความเห็นจากทักษิณแต่ทักษิณไม่กล้ารับรองหนี้สินนับแสนล้านบาทของประชัยที่เป็นคู่แข่งทางธุรกิจที่สำคัญของกษัตริย์ภูมิพล  ทำให้ประชัยแค้นที่ทักษิณไม่ช่วย เลยหันมาสนับสนุนการล้มรัฐบาลทักษิณ โดยให้เงินเอกยุทธ์ไปตั้งเวทีล้มทักษิณที่สนามหลวง แต่ปลุกไมขึ้น ต่อมาก็ให้เงินวิทยุชุมชนคลื่น 92.25 FM ตั้งเสาส่งบนยอดตึกทีพีไอทาวเวอร์สูง 37 ชั้น ที่ถนนนราธิวาสราชนครินทร์ กระจายเสียงได้ชัดเจนทั่วกรุงเทพฯ ในนามวิทยุชุมชนคนรักประชาธิปไตย เป็นคลื่นที่มีกำลังส่งเกิน 30 วัตต์ และเสาส่งสูงเกิน 30 เมตร รบกวนคลื่นวิทยุการบินและการชมโทรทัศน์ของประชาชน อีกทั้งเผยแพร่ข้อความอันเป็นเท็จ สร้างความเข้าใจผิดให้ประชาชนเกลียดชังรัฐบาล แต่รัฐบาลทักษิณก็ทำอะไรไม่ได้มาก พอส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปตักเตือน ก็จะโดนสมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ออกแถลงการณ์โจมตีว่าคุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน อัญชลีก็ใช้สถานีวิทยุชุมชนคลื่นแรงจัดไว้ถล่มรัฐบาลทักษิณ โดยออกอากาศตั้งแต่ 7 มีนาคม 2548 มีทั้งขาประจำและขาจรเรียงหน้าออกมาถล่มทักษิณ เช่น เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง  จิตรกร บุษบา  สุนันท์ ศรีจันทรา  ธรรมศักดิ์ ลมัยพันธ์ ถนอม อ่อนเกตุพล พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ วันชัย สอนศิริ  อัมรินทร์ คอมันตร์  สมาน ศรีงาม บุญยอด สุขถิ่นไทย   แต่อัญชลีเห็นว่าพวกเอกยุทธ์ ประพันธ์ ประชัยไม่ค่อยได้เรื่อง จุดม็อบไม่ติด จึงหันมาถ่ายทอดสดรายการลิ้มชุมนุมถล่มทักษิณออกทางคลื่น 92.25 ช่วงนั้นวัฒนาโดนศาลตัดสินคดีคลองด่านไปแล้ว

อัญชลี ผู้มีปากเป็นอาวุธร้าย บนเวทีพันธมาร
อัญชลีก็ได้โอกาสล้างหนี้แค้นให้วัฒนาผู้มีพระคุณ โดยโดดขึ้นเวทีพันธมารเต็มที่หลังพรรคพลังประชาชนชนะเลือกตั้ง สมัครได้เป็นนายก พันธมารเสื้อเหลืองเริ่มฟื้นชีพก่อม็อบไล่รัฐบาลสมัคร อัญชลีก็ร่วมแจม ด้วยการเอาหนังสือพิมพ์มากางอ่านให้ม้อบฟังแต่เช้า  แถมด่าไปทั่ว รวมทั้งพวกพันธมารด้วยกันที่ไม่มีน้ำใจบริจาคช่วยASTV และพวกดีแต่เฝ้าหน้าจอ ASTVหรือเอาแต่เฝ้าเวบผู้จัดการ แต่ไม่มาร่วมชุมนุมขับไล่ระบอบทักษิณ เลยกลายเป็นเจ้าแม่ประจำม็อบที่มีปากเป็นอาวุธเที่ยวระรานไปทั่ว

บุญยอด สุขถิ่นไทย : คู่หูอัญชลี
2 พค. 2555 บุญยอด ตะโกนไฮล์ฮิตเลอร์
ประท้วงการแก้ไข ม.337
บุญยอดจบนิเทศน์จุฬา มาเป็นผู้สื่อข่าวภูมิภาคช่อง 7 ต่อมาก็มาอ่านช่อง 5 แล้วก็มาทำวิทยุสไมล์เรดิโอ 5 กับอัญชลี เพราะความสนิทกับอัญชลี เลยทำให้แนวคิดการบ้านการเมืองไปทางเดียวกัน มาดังตอนโดนปลดทางวิทยุ 101 แล้วมาโดนปลดฟ้าผ่ารายการข่าววันใหม่รอบดึกทางช่อง 3 ตอนปลายปี 48 เป็นช่วงที่ลิ้มจัดม้อบไล่ถล่มทักษิณ บุญยอดเผลอใส่อารมณ์ร่วมถล่มไปด้วย จึงถูกปลดออกจากช่อง 3 ทันที ทำให้บุญยอดยิ่งแค้นทักษิณมากขึ้นไปอีก จึงย้ายวิกไปอยู่กับเอเอสทีวี ไปขึ้นเวทีพันธมารแทน ในที่สุดก็มาลงส.ส.พรรคแมลงสาบ ทำหน้าที่ประท้วงจุกๆจิกๆ เป็นแค่ตัวป่วนสภาที่ไม่ค่อยมีราคานัก

ชัย ราชวัตร

: การ์ตูนย้ายขั้ว


ชัย ราชวัตร การ์ตูนย้ายขั้ว
ชื่อจริงคือ สมชัย กตัญญุตานันท์ เริ่มมีชื่อจากการเขียนการ์ตูนการเมืองในหนังสือพิมพ์มหาราษฎร์ ชัย ราชวัตร สร้างชื่อตั้งแต่สมัย 6 ตุลา
2519  เหมือนคนหนังสือพิมพ์เอียงซ้ายทั่วไปที่เห็นอกเห็นใจคนยากจน ต่อต้านชนชั้นปกครอง พื้นเพเป็นคนอุบล จึงเข้าใจคนจนที่ถูกเอาเปรียบได้ดี โดยสร้างตัวละครไอ้บักจ่อยเป็นตัวแทนของชาวบ้านที่โง่ จน เจ็บ กับผู้ใหญ่มาที่เป็นตัวแทนของข้าราชการที่เป็นตัวประสานระหว่างทางการกับคนบ้านๆแบบไอ้บักจ่อย ตัวละครชุดนี้ดังมาก ถึงขั้นเคยเอาไปสร้างเป็นหนังของพวกที่เคยทำหนังครูบ้านนอก พอดังมากๆเข้า ชัยก็ไปเข้าตาผู้ใหญ่ เลยได้ไปวาดการ์ตูนพระมหาชนก ตอนนั้นมีปีย์ มาลากุล เป็นแม่งานใหญ่

การ์ตูนหมาทองแดงและมหาชนก ที่มียอดพิมพ์อย่างละ 3ล้านเล่ม
ชัยก็เข้าไปรับงาน แล้วก็ต้องฟังการสรุปจากเจ้าของคอกม้าผู้เขียนบทมหาชนกแบบไทยๆแบบใกล้ชิดมากในปี 2542 จนผลิตหนังสือพระราชนิพนธ์มหาชนกฉบับการ์ตูน ขึ้นเป็นเล่มแรกของประเทศไทย ก็เลยทำให้ชัยค่อยๆเคลื่อนจุดยืนมาเรื่อยๆ จนกลายเป็นแนวร่วมขบวนการโจรใส่เสื้อเหลืองอย่างที่เห็นๆกัน บางข่าวเชื่อว่าเสธหนั่นเคยสนับสนุนชัยเป็นเงินก้อนใหญ่เมื่อครั้งเป็นเลขาธิการพรรคแมลงสาบ ทำให้ชัยต้องทดแทนคุณของเสธหนั่นหูกางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หลังๆตัวละครไอ้บักจ่อยเลย ไม่ค่อยมีบทบาท อาจเพราะว่ามันโง่ ขายเสียง คลั่งทักษิณ ชัยก็สร้างตัวละครใหม่เป็นชนชั้นกลางมีอายุพอสมควร ตื่นเช้ากินกาแฟดูข่าว สายขับรถไปทำงานออฟฟิศ ไปออฟฟิศก็นั่งด่าพวกรากหญ้าว่างี่เง่า ด่าทักษิณว่าเป็นพวกขี้โกงหลอกลวงประชาชน


เซียไทยรัฐ หรือ ศักดา แซ่เอียว
นี่ถ้าหากเซียไทยรัฐเผอิญได้ร่วมงานกับปีย์ มาลากุลแล้วก็รับพระโอวาทจากท่านเจ้าของคอกม้าผู้แต่งพระมหาชนก หรือไปช่วยวาดหมาคุณทองแดง มันก็ไม่แน่ว่าเซียไทยรัฐอาจจะเขียนการ์ตูนย้ายขั้วไปทางเดียวกับชัย ราชวัตร ไปแล้วก็ได้
สื่อไทย :
ไม่พ้นแรงดูดและแรงผลัก

ที่สื่อไทยจำนวนมากทำตัวเป็นศัตรูกับทักษิณ ก็เป็นเพราะมีแรงผลักหรือแรงถีบจากทักษิณ อีกทั้งมีแรงดูดจากระบอบอำนาจที่ควบคุมเครือข่ายสื่อทั่วประเทศ
แรงผลักหรือแรงถีบจากทักษิณ มีให้เห็นในหลายกรณี เช่น
การที่ทักษิณไปเทกโอเวอร์
ITV  แบบไม่เป็นมิตร ไปขับไล่ทุบหม้อข้าวของพวกหยุ่น จนต้องวงแตกหนีหัวซุกออกจากITV แทนที่จะทำข้อตกลงว่าอยู่ร่วมกันช่วยกันทำมาหากินแบบวินวินไปด้วยกัน   พอหยุ่นหนีไปซบTTV พอมีช่องหายใจนิดๆหน่อยๆ กลับถูกทักษิณตามไปกระทืบให้จมดินเข้าไปอีก

ธีระ และ กนก รายการเก็บตกเนชั่น
หยุ่นจึงต้องเคียดแค้นเอาคืนเป็นธรรมดา มีลูกบอกลูกมีหลานบอกหลาน พอดีแก๊งเด็กนรกเนชั่น จอมขวัญ ธีระ กนก หรือสรยุทธ์ ก็เป็นพวกหัวอ่อนที่ไม่มีอุดมการณ์อะไร  คิดแต่จะแก้แก้แค้นแทนท่านพ่อหยุ่น โดยลืมไปว่าตนกำลังทำหน้าที่ของสื่อ ไม่ใช่มาแก้แค้นแทนท่านพ่อเหมือนในหนังจีนกำลังภายใน ทั้งๆที่พ่อหยุ่นของพวกมันก็ยังอยู่กินดียังไม่ตายไปไหน ทำไมจะต้องเคียดแค้นจองเวรกันไม่เลิก สนธิลิ้มก็เคยยกย่องเชิดชูว่าทักษิณเป็นนายกที่ดีที่สุดที่ไทยเคยมีมา แต่พอทักษิณไม่ต่ออายุให้วิโรจน์เป็นเอ็มดีแบงก์กรุงไทยเพื่อเคลียร์หนี้เน่าให้ ไม่ยก11
news1 ให้  แถมปลดเมืองไทยรายสัปดาห์ออกจากช่อง 9  ลงท้ายด้วยการฟ้องลิ้มว่าหมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 1500 ล้าน ฯลฯ ปัจจัยผลักหรือปัจจัยถีบเหล่านี้ทำให้ลิ้มอกหักและเคียดแค้นถึงขั้นประกาศตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง
พวกลูกน้องลิ้ม อย่างสำราญ รอดเพชรที่ไปช่วยปราบกบฎ
ITV
ให้ ต่อมาก็อยากใช้เขาเป็นกระบอกเสียง แต่เขาก็มีศักดิ์มีศรีของเขา พอเขาไม่ทำ ก็ปลดเขากลางอากาศ ทำให้เขาตกงานตอนยังไม่แก่ สำราญก็ต้องวิ่งไปหาลิ้ม แล้วเอาคืน
ระวิ โหลทอง เจ้าของสยามกีฬา
เปลว สีเงิน ก็แค้นฝังหุ่นที่รัฐบาลทักษิณให้ปปง.ไปตรวจบัญชีการเงินของเขา ไปบีบไม่ให้โรงพิมพ์ของระวิ โหลทองไม่ให้รับพิมพ์หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ไปไล่เขาให้จนตรอก เขาก็ต้องหันกลับมาสู้
ส่วนเจิมศักดิ์ก็โดนปลดออกจากช่อง 9 พอมีรายการวิทยุก็ยังถูกตามไปไล่บี้อีก แกก็ต้องไปออก
ASTV ไปออก 92.25 ของประชัย
มติชนของพี่ช้าง ขรรค์ชัย บุนปาน ก็ด่าเปิงว่าทักษิณจะไปเทกโอเวอร์ ทั้งที่มันเป็นสมบัติพระศุลีที่เขาสร้างมากับมือ แถมยังจะไปเทกโอเวอร์โพสต์ทูเดย์ เพราะไม่พอใจที่โพสต์เขียนหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ด่าทักษิณให้ฝรั่งอ่าน ประดิษฐ์ เรืองดิษฐ์ เลขาธิการสมาคมนักข่าวไทย และ ภัทระ คำพิทักษ์ นายกสมาคมนักข่าวต่างก็กินเงินเดือนอยู่ที่โพสต์ทูเดย์ คนพวกนี้ก็เลยแค้นว่าจะไปทุบหม้อข้าวของพวกเขา
ส่วนแรงดูด ก็มีตัวหลักๆ ทั้งปีย์ มาลากุลและเปรมิกาตัวแทนของระบอบกษัตริย์ ประสานกับกองทัพที่คุมทั้งทีวีและวิทยุส่วนใหญ่ รวมทั้งกลุ่มทุนที่ต้องพึ่งพระบรมโพธิสัมภาร สื่อในเครือข่ายของระบอบเก่าจึงมีอำนาจมาก สามารถกล่าวหาโจมตีทักษิณได้เต็มที่ ไม่ต้องไปกลัวคดีความอะไรทั้งนั้น ขนาดกษัตริย์ภูมิพลยังออกมาให้โอวาทนายกทักษิณให้รีบไปถอนฟ้องสนธิลิ้ม ใครที่ช่วยล้มรัฐบาลทักษิณก็จะได้ดิบได้ดีตามสัดส่วนของผลงาน ได้ออกรายการทีวีและวิทยุ ได้เป็นสนช. ส.ว.แม้แต่ได้เป็นบุคคลตัวอย่าง กวีซีไรท์ ศิลปินแห่งชาติ หรือกระทั่งได้เป็นถึงองคมนตรี รวมทั้งได้ลาภยศตำแหน่งและผลประโยชน์อีกมากมายสารพัด

14 ธค.49 รัฐบาลโจรสั่งปรับไอทีวี 97,760 ล้านบาท
แม้แต่ไอทีวีของทักษิณก็ยังต้องล้มละลายด้วยคำพิพากษา แล้วยึดเอามาหน้าตาเฉย แปลงโฉมเป็นไทยพีบีเอส แถมเอาเงินจากภาษีสรรพสามิตไปใช้ดำเนินกิจการได้อย่างสบายโดยอ้างว่าเป็นทีวีสาธารณะที่คอยทำหน้าที่รับใช้ระบอบอำนาจโบราณอย่างที่เห็นๆกัน 
จึงกล่าวได้ว่า ไม่มีอะไรเลวๆที่ระบอบกษัตริย์ไทยทำไม่ได้ ยกเว้นอย่างเดียว คือ การทำเพื่อประชาชนและเพื่อรักษาประชาธิปไตย เท่านั้นเอง

....………