วันอาทิตย์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2551

พงศาวดารรัตนโกสินทร์ Bangkok Chronicle

ฟังเสียงhttp://www.4shared.com/mp3/eAgSMBnI/Bangkok_History__.html
หรือที่ :  http://www.mediafire.com/?2plhtre9t7h99cm

.........
พงศาวดารรัตนโกสินทร์
ระบอบศักดินา

และชะตากรรมของพระเจ้าตากสิน
ประเทศไทยปกครองด้วยระบบศักดินามานานหลายร้อยปี พวกเจ้าศักดินาจะครองบ้านครองเมืองตั้งตนเป็นเจ้าของที่ดินทั้งที่ตนไม่เคยออกแรงถางป่าพันไร่ มีอำนาจเป็นเจ้าเหนือหัวเหนือชีวิตผู้คนในบ้านเมือง ดังที่พวกเรารู้จักกันในนามพระมหากษัตริย์ พระราชา พระเจ้าแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งชื่อของเขาได้บ่งถึงความยิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่ในตัว

ไม่มีใครเป็นอิสระ ต้องเป็นไพร่ติดที่ดินสังกัดเจ้าศักดินาคนใดคนหนึ่ง ปีหนึ่งๆไพร่ชายที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปต้องถูกเกณฑ์แรงงานถึง6 เดือน คือเข้าเดือนเว้นเดือนโดยไม่มีค่าตอบแทนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ซ้ำยังต้องนำข้าวไปกินเองทุกคนต้องเป็นข้ารับใช้แรงงาน ไปรบ ไปทำอะไรต่อมิอะไร แม้แต่ไปตาย ตามที่เจ้าศักดินาสั่ง ต้องทำเช่นนี้จนถึงอายุ 60 ปีจึงจะเป็นไท หากเจ้าศักดินายกที่ดินให้ใครไพร่ติดที่ดินนั้นก็ต้องไปขึ้นกับเจ้าศักดินาคนใหม่ทันที ใครที่ทนไม่ได้ก็จะหนีไปอยู่ป่าอยู่ดงไปให้ไกลๆพ้นจากเงื้อมมือการปกครองของพวกเขา คนประเภทนี้เจ้าศักดินาจะไม่รับรองความเป็นคน จะไม่มีสิทธิฟ้องร้อง ร้องเรียนต่อบ้านเมือง หากคนพวกนี้ถูกค้นพบจะถูกสักข้อมือกลายเป็นไพร่หลวง คือข้ารับใช้ของเจ้าแผ่นดินทันที

ชีวิตของพวกศักดินาจำนวนหยิบมือหนึ่งนี้ อยู่กันอย่างฟุ้งเฟ้อหรูหรากินทิ้งกินขว้าง เสพสุขโดยไม่ออกแรงทำงานใดๆทั้งสิ้น ซ้ำยังดูถูกการใช้แรงงานเป็นสิ่งต่ำต้อยหยาบช้า ขณะที่พวกเขาเฝ้าเสพเมถุนเช้ายันค่ำ โดยไม่ใยดีว่าเป็นลูกเต้าและเมียใคร แล้วกลับยกย่องสรรเสริญหญิงนั้นว่ามีบุญวาสนาสูงส่งจึงได้บำเรอเจ้าศักดินา หลายยุคหลายแผ่นดินที่ผ่านมา พวกเขายังคงเสวยสุขบนน้ำตา เลือดเนื้อและความขมขื่นของไพร่ฟ้าชาวไทยทั้งหลาย การที่ระบบศักดินายืนยงอยู่ได้ยาวนานสาเหตุที่สำคัญอันหนึ่ง คือการสร้างความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้น โดยอาศัยบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งที่ผู้คนศรัทธาเชื่อถืออยู่แล้ว
เช่น แอบอิงพระพุทธศาสนด้วยการโอ้อวด ว่า กษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อหลอกลวงผู้อื่น ให้เข้าใจว่า การปกครองของกษัตริย์นั้นชอบธรรมและทั้งๆที่ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์จะรับรองว่ากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์เลย

พวกเขาก็ยังยืนยันเรียกกษัตริย์ว่า"พระพุทธเจ้าอยู่หัว” ซึ่งเป็นพระนามอันมีไว้เฉพาะพระพุทธองค์และเรียกลูกกษัตริย์ว่า “ หน่อพุทธางกูร ” อันหมายถึงผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้าซึ่งเป็นการนำเอาพระนามของพระศาสดาอันประเสริฐที่สุดองค์หนึ่งมาใช้โดยปราศจากความเคารพ
นอกจากแอบอิงพระพุทธศาสนาแล้วยังแอบอิงความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือกันมานาน ได้อย่างวิจิตรพิสดารนั่นก็คือ การที่พวกศักดินาถือว่ากษัตริย์เป็นเทวดาตั้งแต่ขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงสร้างราชาศัพท์ซึ่งมีไว้ใช้เฉพาะกับกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลาย และมีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ อันทำให้แลดูว่า"กษัตริย์สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไป เช่น ห้ามมองดูกษัตริย์ โดยอ้างว่าถ้ามนุษย์มองดูพระเจ้าก็เหมือนมองพระอาทิตย์ กษัตริย์จะไม่ยอมให้เท้าเหยียบแผ่นดินโดยไม่ใส่รองเท้า โดยอ้างว่าเท้าของเทวดาย่อมร้อน ถ้าเหยียบแผ่นดินแล้วไฟจะไหม้โลก และห้ามแตะต้องกษัตริย์ ผู้ที่มีสิทธิ์ถูกต้องตัวกษัตริย์ได้จึงมีแต่ช่างตัดผมและนางบำเรอของกษัตริย์เท่านั้น

เจ้าศักดินายังแต่งตำนานโกหกพกลมโดยอ้างกฎแห่งกรรมมาบิดเบือนว่า พวกตนมีบุญญาธิการสูงส่งหาผู้ใดเปรียบเปรยมิได้ ชาตินี้จึงเกิดมาได้เป็นเจ้าแผ่นดิน ลูกท่านหลานเธอ จึงได้เสวยสุขบรมสุข มีอำนาจเหนือหัวผู้คนทั้งหลาย แท้ที่จริงพระพุทธองค์ไม่เคยตรัสเช่นนั้นเลย ดังจะเห็นได้จากการที่พระพุทธองค์ทรงย้ำว่า คนเราแตกต่างกันเพราะการกระทำหาใช่ชาติกำเนิด
และพระพุทธองค์ไม่เคยยอมรับเลยว่า กษัตริย์นั้นมีบุญมากกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด ประวัติศาสตร์ไทยที่เราท่านเล่าเรียนและรับฟังกันมามิได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพของคนไทยและความเป็นจริงของเหตุการณ์ในแผ่นดินอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นตำนานของการสืบสันตติวงศ์ ์เป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา

ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่า กษัตริย์คือเทพเจ้าอยู่เหนือคำตำหนิใดๆของมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงกษัตริย์จะมีแต่ส่วนดีงามและการยกย่องสรรเสริญเท่านั้น ทั้งๆที่กิจวัตรของกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลายก็เฉกเช่นคนสามัญที่ประกอบคละเคล้ากันไปด้วยส่วนที่ดีงามควรแก่การสรรเสริญกับส่วนที่เลวร้ายควรแก่การตำหนิวิจารณ์ ฉะนั้นการที่มีแต่สรรเสริญถ่ายเดียวและห้ามเอ่ยถึงส่วนที่เสียแม้แต่น้อยเพื่อการประจบสอพลอโฆษณาชวนเชื่อ จึงเป็นหนทางแห่งการเสื่อมถอยมากกว่าเป็นเรื่องดี จากการศึกษาค้นคว้า ทำให้เราทราบข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และเป็นหน้าที่ของนักประวัติศาสตร์ที่จะได้เปิดให้เห็นโฉมหน้าอันแท้จริงของเจ้าศักดินาไทยให้ประจักษ์ชัดต่อประชาชนไทย ยกตัวอย่าง การสมคบกันวางแผนปล้นราชบัลลังก์และสั่งปลงพระชนม์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช องค์พระมหากษัตริย์ผู้ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทยจากพม่า

พระเจ้าตากสินมหาราช
พระราชปณิธาน พระเจ้าตากสินมหาราช
อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน ฯ
(จากจารึกในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอรุณราชวราราม เดิมชื่อวัดมะกอกใหญ่ พระเจ้าตากสินเสด็จกรีฑาทัพล่องมาทางน้ำ จนถึงวัดนี้ตอนรุ่งอรุณจึงให้ชื่อว่าวัดแจ้ง หรือวัดอรุณ)


หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินได้รวบรวมผู้คนและนักรบต่อสู้ขับไล่พม่าอย่างเด็ดเดี่ยวจนกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 15 ปี กรำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวก็ต้องทำศึกใหญ่กับพม่าหลายครั้ง จนสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมือง พร้อมกับทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่


ต่อมาในปี พ.ศ.2324 ทางเมืองเขมรเกิดกบฏขึ้นโดยการยุยง แทรกแซงของญวนฝ่าย องเชียงสือ Nguyen Anh เป็นการหากำลังและเสบียงขององเชียงสือเพื่อทำสงครามแย่งชิงความเป็นใหญ่กับญวนฝ่ายราชวงศ์ไต้เชิง (เล้) Tay Son ขณะเดียวกันในกรุงธนบุรีเอง องเชียงชุนหรือพระยาราชาเศรษฐี ซึ่งเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าตาก ได้ก่อกบฏขึ้นในเดือนอ้าย พ.ศ.2324


หลังจากทำการปราบปรามกบฏสำเร็จในเดือนยี่พระเจ้าตากได้พิจารณาเหตุการณ์ต่างๆ และทรงตัดสินพระทัยให้กองทัพไทยยกไปตีเมืองเขมรและไปรับมือญวนให้เด็ดขาดลงไป จึงทรงแต่งตั้งสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ พระมหาอุปราชองค์รัชทายาทเป็นแม่ทัพใหญ่ และเจ้าพระยาจักรี (ด้วง) และให้เจ้าพระยานครสวรรค์เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา น้องชายเจ้าพระยาจักรี) เป็นแม่ทัพรองๆลงมา ในครั้งนั้นแม่ทัพใหญ่พยายามรุดหน้าไปตามพระราชโองการ แต่ติดขัดที่แม่ทัพรองบางนายพยายามยับยั้ง เพื่อคอยฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี
ส่วนทางญวนซึ่งไม่ต้องการเผชิญศึก 2 ด้าน ทั้งไทยและญวนราชวงศ์เล้ (Le Dynasty) ได้แต่งทูตมาเจรจาลับกับแม่ทัพรองฝ่ายไทย ทางแม่ทัพรองตกลงจะช่วยเหลือองเชียงสือในอนาคตหากงานที่เตรียมไว้สำเร็จ ทางญวนได้ทำตามสัญญาด้วยการล้อมกองทัพมหาอุปราชองค์รัชทายาทอย่างหนาแน่น เปิดโอกาสให้แม่ทัพรองฝ่ายไทยยกกำลังกลับกรุงธนบุรี เหตุการณ์ในกรุงธนบุรี เกิดมีผู้ยุยงชาวกรุงเก่าให้เกิดความเข้าใจผิดในพระเจ้าตากและชักชวนกบฏย่อยๆขึ้น จากนั้นก็ยกพลมาล้อมยิงพระนคร

ขณะเดียวกันภายในกรุงธนบุรีเอง ก็มีคนก่อจลาจลขึ้นรับกับกบฏพระเจ้าตากทรงบัญชาการรบจนถึงรุ่งเช้า จึงทราบว่าพวกกบฏเป็นคนไทยด้วยกันทั้งสิ้นก็สลดสังเวชใจเพราะพระทัยทรงตั้งอยู่ในธรรมปฏิบัติมุ่งโพธิญาณเป็นสำคัญ และทรงเห็นว่าหากการเปลี่ยนแปลงอำนาจนั้นไม่ก่อความเดือดร้อนแก่ชาวไทยพระองค์จะทรงหลีกทางให้ พวกกบฏจึงทูลให้ออกบวชสะเดาะเคราะห์สัก 3 เดือน แล้วค่อยกลับสู่ราชบัลลังก์ ขณะนั้นพระยาสรรคบุรี พระยารามัญวงศ์ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่ยังอยู่ในกรุงและมีความภักดีต่อพระเจ้าตากเห็นเป็นการคับขัน จำต้องผ่อนคลายไปตามสถานการณ์ ในการเสด็จออกทรงผนวชนี้หาได้ขาดจากพระราชตำแหน่งไม่เพราะมีกำหนดแน่นอน ว่าจะเสด็จนิวัติกลับสู่ราชบัลลังก์ภายหลังเมื่อทรงผนวชแล้ว 3 เดือน ส่วนราชการบ้านเมืองก็มีข้าหลวงรักษาพระนครตามธรรมเนียม
พระเจ้าตากสินทรงผนวชแล้ว 12 วัน พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) หลานเจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ซึ่งโปรดให้ออกไปเป็นเจ้าเมืองนครราชสีมายกทัพมาจากนครราชสีมาโดยมิได้รับพระบรมราชานุญาต แต่เจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ให้รีบยกเข้ามาฟังเหตุการณ์ในกรุงก่อน พวกกบฏมีนายบุนนาค หลวงสุระเป็นต้น เข้าสมทบกับพระยาสุริยอภัย (ทองอิน) เมื่อกรมขุนอนุรักษ์สงครามถูกจับแล้ว 3 วัน พอเช้าวันที่ 6 เมษายน เจ้าพระยาจักรี (ด้วง) ก็รีบเดินกองทัพใหญ่มาถึงพระนคร ได้มีการสอบถามความเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เป็นจำนวนมากว่าเมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้แล้วจะควรทำอย่างไรต่อไป บรรดาข้าราชการที่ยังจงรักภักดีในพระองค์สมเด็จพระเจ้าตากสินและเชื่อในพระราชปรีชาสามารถของพระองค์ก็ยืนคำว่าควรไปกราบทูลอัญเชิญเสด็จขอให้ทรงลาผนวชออกมาครองราชสมบัติบริหารการแผ่นดินโดยด่วน ในเรื่องนี้ได้ความตามคำบอกเล่าจากเจ้านายบางองค์ในราชวงศ์จักรว่า ข้าราชการพวกที่กล้าพูดเช่นนั้น ในที่สุดก็ถูกคุมตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด

ส่วนสมเด็จพระเจ้าตากก็ถูกปลงพระชนม์ในวันนั้นเอง ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (คือวัดอรุณราชวราราม ปัจจุบันนี้)รวมวันตั้งแต่เสด็จออกทรงผนวชจนถึงวันถูกปลงพระชนม์ เป็น 28 วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ ไม่ใช้คำว่าสิ้นพระชนม์หรือสวรรคต ก็เพื่อยืนยันว่า พระองค์ท่านถูกปลงพระชนม์ทั้งที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ จึงใช้คำว่าดับขันธ์เพื่อให้เข้าใจว่ามิได้สวรรคต เมื่อลาผนวชออกมา เมื่อการปลงพระชนม์เสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือใกล้ตลาดพลู คลองบางหลวง (เวลานั้นยังเรียกวัดบางยี่เรือ) บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ มีเจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (บรรพบุรุษสกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (ต้นสกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) เป็นต้น จำนวนมากกว่า 50 นายก็ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพสมเด็จพระเจ้าตากสินนั้น
ฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายชั้นทรงพระเจริญวัยก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ทรงพระเยาว์ และเจ้าหญิง ถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อมเหมือนกันทุกพระองค์ แม้จนกระทั่งสมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง เป็นการถอดอย่างที่ไม่เคยมีมา ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศา อัครมหาเสนาธิบดีฝ่ายกลาโหมขณะนั้นตั้งวังปราบบัญชาการทัพอยู่ที่ปากพระ ใกล้เมืองถลาง ทราบว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินฯถูกปลงพระชนม์แล้วก็ฆ่าตัวตายตามเสด็จ เพราะไม่ยอมเป็นข้าคนอื่น

พระราชประวัติของสมเด็จพระเจ้าตากสิน มหาราช นั้น หากอ่านหลาย ๆ เล่ม ก็ไม่ค่อยจะตรงกันนักยิ่งตอนสุดท้ายว่าถูกประหารชีวิตหรือไม่ยิ่งแตกต่างกันออกไป เพราะที่นครศรีธรรมราชที่วัดเขาขุนพนม ที่บอกว่าประทับอยู่ที่วัดนี้ส่วนคนที่ถูกประหารชีวิตนั้น เพียงแต่เป็นคนที่ยอมสละชีพเพื่อท่าน ส่วนท่านถูกพาหนีไปนครศรีธรรมราช บางเล่มก็ว่าพระเจ้าตากสินไม่ได้ตายแต่เพราะเป็นพระราชประสงค์ของพระเจ้าตากสินที่สร้างเรื่องเพราะไปกู้ยืมเงินจากจีนมาทำสงครามกู้ชาติ จึงไม่ต้องการใช้หนี้จีน โดยทำเป็นว่าเสียสติแล้วให้พระยาจักรีแสร้งทำเรื่องแย่งราชบัลลังค์ แต่ทำไมพระยาจักรีจึงต้องสั่งประหารชีวิตแม่ทัพนายกองอีกเป็นจำนวนมาก รวมทั้งลูกหลานและพระญาติพระวงศ์ของพระเจ้าตากจะเหลือไว้แต่เพียงเด็กๆไม่กี่คน ซึ่งก็ต้องถูกประหารจนหมดในสมัยรัชกาลที่สองเป็นการฆ่าล้างโคตร หรือที่เรียกว่า ตัดหวายอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก

กรณี หาเรื่องสั่งประหารเจ้าฟ้าเหม็น
รัชทายาทพระเจ้าตาก


เจ้าฟ้าเหม็น หรือ สมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตากสินพระมารดาคือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ พระราชธิดาองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯเท่ากับว่าทรงเป็น หลานตาองค์โตของรัชกาลที่ 1 ประสูติในสมัยกรุงธนบุรี ในวันศุกร์ ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 10 จุลศักราช 1141 (17 กันยายน 2322) ศัตรูทางการเมืองโดยเฉพาะกับเชื้อสายในพระราชวงศ์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและขุนนางสำคัญ จำนวนมากถูกกำจัดในต้นรัชกาลที่ 1 แต่มีพระราชโอรสบางพระองค์ในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีที่ยังเล็กก็มิได้ถูกกำจัดไปในคราวนั้น พระราชโอรสพระองค์หนึ่งที่ถูกเว้นโทษประหารคือเจ้าฟ้าเหม็น เนื่องจากยังทรงพระเยาว์อยู่มาก และทรงเป็นหลานตาของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ นอกจากจะทรงเว้นโทษแล้วยังทรงเลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด เนื่องจากพระเจ้าหลานเธอพระองค์นี้ทรงเป็นกำพร้าทั้งพ่อและแม่ และยังทรงเป็นพระเจ้าหลานเธอพระองค์แรกของพระองค์โปรดพระราชทานที่วังให้อยู่ใกล้กับวังหลวงมากที่สุด คือวังท่าช้าง

คดีกบฏเจ้าฟ้าเหม็น..เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฯ เสด็จสวรรคตได้เพียง 3 วัน ก็เกิดคดีเจ้าฟ้าเหม็นเป็นกบฏ เหตุเกิดจากมีบัตรสนเท่ห์กล่าวโทษพระองค์คบคิดกับขุนนางจำนวนหนึ่งคิดแย่งชิงราชสมบัติ มีกาคาบหนังสือทิ้งที่ต้นแจง หน้าพระมหาปราสาท พระยาอนุชิตราชาเป็นผู้เก็บได้ อ่านดูใจความว่า พระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ซึ่งเป็นกรมขุนกระษัตรานุชิต เป็นบุตรเจ้ากรุงธนบุรี กับพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันอีกสองคนคือ นายหนูดำหนึ่ง จอมมารดาสำลีในพระบัณฑูรน้อยหนึ่ง คบคิดกับขุนนางเป็นหลายนายจะแย่งชิงเอาราชสมบัติ จึงนำความขึ้นกราบทูลแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โปรดให้ไต่สวนได้ความจริงแล้ว รุ่งขึ้นวันจันทร์ เดือน 10 ขึ้น 3 ค่ำ จึงให้นายเวรกรมพระตำรวจวังไปหากรมขุนกระษัตรานุชิตเข้ามาที่ประตูพิมานไชยศรีสองชั้นแล้วจับ..."
"ในวันจันทร์ วันเดียวกันนั้น เจ้าจอมมารดาสำลี พระองค์ชายพงศ์อิศเรศร์ ชันษา 9 ปี พระองค์หญิงนฤมล ชันษา 6 ปี สามคนแม่ลูกนั่งเล่นกันอยู่ที่พระตำหนักในพระนิเวศนเดิม(ราชนาวิกสภา)

สมเด็จฯ กรมหลวงเสนานุรักษ์เสด็จกลับจากพระบรมมหาราชวัง รับสั่งถามเจ้าจอมมารดาสำลีว่า กรมขุนกษัตรานุชิตเป็นขบถ เขาว่าเจ้ารู้เห็นเป็นใจด้วยจริงหรือ คุณสำลีตอบเป็นทำนองว่า จะหาว่าเป็นขบถก็ตามใจ พ่อเขาก็ฆ่า พี่น้องเขาจะเอาไปฆ่า ตัวเองจะอยู่ไปทำไม รับสั่งให้เรียกตำรวจเข้ามาคุมตัวไป คุณสำลีก็ผลักหลังลูกสองคนว่า นี่ลูกเสือลูกจระเข้ แล้วก็ลุกขึ้นตามตำรวจออกไป" นอกจากนี้ยังมีพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกพระองค์หนึ่งที่ถูกกล่าวหาในคดีนี้คือนายหนูดำ หรือพระองค์เจ้าชายอรนิภาอีกพระองค์หนึ่ง ในคดีนี้โปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ (หรือพระองค์เจ้าชายทับ) ชำระความ ซึ่งพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์นี้ต่อมาคือพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสอบสวนทวนความได้ว่า มีขุนนางผู้ใหญ่เข้าร่วมด้วย นอกนั้นเป็นชั้นผู้น้อย รวมผู้ต้องหาในคดีนี้ 40 คน กับพระราชวงศ์อีก 3 พระองค์รวมกับข้าในกรมเจ้าฟ้าเหม็นอีก 30 คน ถูกสั่งประหารทั้งสิ้น รวมเวลาปราบกบฏตั้งแต่กาคาบข่าวจนถึงสั่งประหารเสร็จสิ้นใน 4 วันนี่คือความคิดความเชื่อและความเหี้ยมโหดของพวกศักดินาต้นราชวงศ์ในการฆ่าล้างโคตรเพื่อกำจัดบุคคลที่คิดว่าเป็นศัตรูของตนทั้งๆที่คนเหล่านั้นไม่ได้มีความผิดและไม่ได้ร่วมรู้เห็นเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต หรือที่เรียกว่า ตัดหวายอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก

พงศาวดารตำนานรัตนโกสินทร์
พระยาจักรีผู้สถาปนาราชวงศ์
ด้วยชีวิตของกษัตริย์ผู้กู้ชาติ


จุดบอดที่รัชกาลที่ 1 เห็นว่าสร้างความอัปยศให้แก่ตนเองมากคือ ความปราชัยในการรบกับอะแซหวุ่นกี้ที่พิษณุโลก ในรัชกาลพระเจ้าตากสิน แม้อะแซหวุ่นกี้รบชนะเมืองพิษณุโลกที่มีพระยาจักรี เป็นแม่ทัพฝ่ายไทย แต่ก็ถูกกองทัพของพระเจ้าตากสินหนุนเนื่องขึ้นมาโจมตีจนแตกพ่ายยับเยิน
พระองค์จึงใช้เล่ห์เพทุบายบังคับให้อาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ บิดเบือนว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับพระเจ้าตากสิน แต่ต้องถอยทัพไปเพราะกษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับบ้าน
ทำนองเดียวกับเหตุการณ์ที่อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรีนั้นก็กล่าวได้ว่าเป็นความเท็จอีกเช่นกัน เพราะจะมีแม่ทัพชาติไหนกันที่จะขอดูตัวแม่ทัพอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อสรรเสริญว่าเก่งกาจสามารถเป็นเยี่ยม เนื่องจากการทำเช่นนี้ย่อมทำลายขวัญสู้รบของทหารฝ่ายตนให้พังพินาศไป และน่าจะมีความผิดถึงขั้นขบถเลยทีเดียวทั้งนี้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาล
รัชกาลที่ 1 ยังกล้าใช้ให้อาลักษณ์แต่งพงศาวดารกลับดำให้เป็นขาวดังนั้นสิ่งที่เป็นเรื่องส่วนตัวไม่มีผู้อื่นรู้เห็นด้วย เช่น เรื่องของซินแสหัวร่อทำนายว่า พระยาจักรีกับพระยาตากสินจะได้เป็นกษัตริย์นั้นเพราะรัชกาลที่1เองนั่นแหละที่เป็นผู้ออกปากเล่าความให้เจ้าเวียงจันทร์กับพระยานครศรีธรรมราชฟังในวัดพระแก้ว จนกระทั่งมีผู้ได้ยินได้ฟังด้วยกันหลายคน ก็เพราะพระองค์ได้โค่นล้มวีรกษัตริย์พระองค์ก่อน จึงต้องพยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ มีปัญญาอภินิหารกว่าผู้อื่นในแผ่นดินรวมทั้งพระเจ้าตากสินด้วยนี่เป็นการพยายามสร้างเหตุผลเพื่อรับรองว่า การปราบดาภิเษกเป็นกษัตริย์องค์ใหม ่เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดแล้ว

รัชกาลที่ 1 ได้หันมากำกับควบคุมพุทธศาสนาครั้งใหญ่ ด้วยการกล่าวหาคณะสงฆ์ไทยอย่างร้ายแรง เช่น หาว่าทั้งสมณะและสมเณรมิได้รักษาสุทธิศีลบ้าง มิได้กระทำตามพระวินัยบ้าง มิได้ระวังตักเตือนสั่งสอนกำกับว่ากล่าวกันบ้างทั้งๆที่สมัยพระเจ้าตากสิน เพิ่งมีการฟื้นฟูพุทธศาสนาหลังภาวะสงครามครั้งใหญ่ และพระองค์ทรงส่งเสริมการปฏิบัติธรรม อย่างกว้างขวาง เพราะการสร้างเรื่องเพื่อหาช่องทางเข้าไปควบคุมศาสนจักร เพื่อเสริมอำนาจการครองราชย์ของพระองค์ให้เข้มแข็งขึ้นถึงกับให้ตำรวจวังไปเอาสมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่) วัดบางหว้าใหญ่ (ชื่อเดิมของวัดระฆัง) ซึ่งเป็นพระอาจารย์วิปัสสนาธุระของพระเจ้าตากสินและเป็นพระอาจารย์ของลูกคือฟ้าฉิม (รัชกาลที่ 2) ให้สึกออกแล้วลงพระราชอาญาเฆี่ยน 100 ที และมีดำรัสให้ประหารชีวิตเสีย ในที่สุดคณะสงฆ์ไทยก็ต้องตกอยู่ภายใต้ภาวะที่ถูกครอบงำโดยพวกศักดินา อันเป็นฆราวาสซึ่งมีเพศที่ต่ำทรามกว่า
พอถึงปี 2344 วังหน้าป่วยหนักด้วยโรคนิ่ว อาการกำเริบ จึงให้คนหามเสลี่ยงเดินรอบวังหน้าแล้วสาปแช่งว่า ของใหญ่ของโตก็ดี ของกูสร้าง นานไป ใครไม่ใช่ลูกกูถ้ามาเป็นเจ้าของเข้าครอบครอง ขอผีสางเทวดาจงดลบันดาล อย่าให้มีความสุข สมบัติครั้งนี้ ข้าได้ทำสงครามกู้แผ่นดินขึ้นมาได้ก็เพราะข้านี่แหละ ไม่ควรให้สมบัติตกไปได้แก่ลูกหลานวังหลวง ใครมีสติปัญญาก็ให้เร่งคิดเอาเถิด พอวังหน้าสวรรคต พวกวังหน้าจึงตั้งกองเกลี้ยกล่อมหาคนที่มีวิชาความรู้ฝึกปรืออาวุธกัน ทำนองจะเป็นกบฏ โดยมีพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตเป็นหัวหน้า แต่เป็นคราวเคราะห์ดีของรัชกาลที่ 1 ที่ความแตกก่อน จึงสามารถจับคนเหล่านี้ซึ่งเป็นหลานของตนไปฆ่าจนหมดสิ้น

เจ้าฟ้าฉิม
กษัตริย์นักกวี
จอมเจ้าชู้ผู้อื้อฉาว

เจ้าฟ้าฉิมได้เป็นกษัตริย์องค์ต่อมา และแต่งตั้งเจ้าฟ้าบุญรอดให้เป็นราชินีของพระองค์ พอรัชกาลที่ 2 ขึ้นนั่งเมืองได้เพียง 3 วัน พระองค์ก็ทรงบัญชาให้จับเจ้าฟ้าสุพันธวงศ์โอรสพระเจ้าตากสิน และเป็นหลานตาของรัชกาลที่ 1 และพรรคพวกไปฆ่าร้อยกว่าคน โดยกล่าวโทษว่าพวกนี้คิดจะกบฏ พวกศักดินายังได้แต่งนิยายหลอกเด็กว่า รัชกาลที่ 2 รู้ว่าเจ้าฟ้าสุพันธวงศ์จะเป็นกบฏนั้นก็เพราะมีกาดำคาบหนังสือแจ้งรายชื่อพวกคิดร้ายต่อกษัตริย์ มาทิ้งในวังหลวง ทำนองสร้างเรื่องให้คนเชื่อว่า กษัตริย์มีบุญญาธิการเป็นล้นพ้น กระทั่งกาดำสัตว์ชั้นต่ำก็ยังจงรักภักดี คาบข่าวมาทูลให้ทราบเหตุเภทภัย
รัชกาลที่ 2 ไปเห็นเจ้าฟ้ากุณฑล น้องสาวคนละแม่ของตนเอง ซึ่งมีอายุเพียง 18-19 ปีเข้า ก็มีจิตพิศวาส จึงยกขึ้นเป็นมเหสีข้างซ้าย เคียงคู่เจ้าฟ้าบุญรอด มเหสีข้างขวา เจ้าฟ้ากุณฑลมีอายุอ่อนกว่าเจ้าฟ้าบุญรอดถึง 30 ปี รัชกาลที่ 2 จึงลุ่มหลงเป็นนักหนา ในที่สุดเจ้าฟ้าบุญรอดก็ทนเห็นภาพบาดใจต่อไปมิได้ จึงหนีออกจากวังหลวงไปอยู่ที่พระราชวังเดิมธนบุรีไม่ยอมเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 2 อีก


กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์

กษัตริย์ผู้ถูกกล่าวหา
ว่าฆ่าพระราชบิดา


กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นเพียงโอรสของเจ้าจอมมารดาเรียมและประสูตินอกเศวตฉัตร มีความทะยานอยากเป็นกษัตริย์แทนเจ้าฟ้ามงกุฎมานานแล้ว
ประจวบกับปลายรัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่กับการกวีและกามารมณ์ จึงปล่อยให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทำงานแทนพระเนตรพระกรรณร่วม 20 ปี จึงใกล้ชิดรัชกาลที่ 2 มากกว่าโอรสองค์อื่นๆ

ความจริงรัชกาลที่ 2 ไม่ได้ประชวรมากนัก แต่เพราะเสวยพระโอสถ(ยา)ที่จัดถวายโดยเจ้าจอมมารดาเรียม พระอาการจึงทรุดหนักและสวรรคตโดยปัจจุบันทันด่วน ก่อนหน้านี้ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์สั่งให้ทหารล้อมวัง ห้ามเข้าออก รัชกาลที่ 2 จึงหมดโอกาสมอบบัลลังก์ให้เจ้าฟ้ามงกุฎ ส่วนเจ้าฟ้ามงกุฎเองต้องรีบร้อนออกบวชก่อนหน้านี้เพียง 2 เดือน และก็ต้องบวชต่อไปเป็นเวลานาน เพราะไม่สามารถสะสมกำลังอย่างเต็มที่
กรมหลวงรักษ์รณเรศ โอรสรัชกาลที่ 1 เริ่มสะสมไพร่พลมากขึ้นๆทุกที จนรัชกาลที่ 3 ทนไม่ได้ จึงให้จับกรมฯรักษ์รณเรศ ยัดเข้าถุงแดงและให้ใช้ไม้ทุบจนตาย มีข้อน่าสังเกตว่า การที่รัชกาลที่ 3 ทรงอุปการะพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ อีกทั้งสร้างวัดวาอารามและเจดีย์ที่มีชื่อเสียงไว้มากมายนั้น เหตุผลสำคัญที่น่าสนใจคืออาจเป็นเพราะพระองค์ทรงมีส่วนในการสวรรคตของพระราชบิดาจึงสร้างไว้เพื่อไถ่บาป

จ้าฟ้ามงกุฎ
อดีตสมภารผู้มากภรรยา


รัชกาลที่ 4 เป็นผู้ที่มีประวัติโลดโผนมาก ก่อนเป็นกษัตริย์เคยบวชมานานและมีสาวกมาก เพราะเป็นผู้ริเริ่มเทศน์แบบปาฐกถา ซึ่งเร้าอารมณ์ ไม่ใช้การแสดงธรรมตามธรรมเนียมแบบเก่าตามคัมภีร์ซึ่งไม่มีชีวิตชีวา และยังเป็นผู้ที่รู้จักหาเสียงด้วยวิธีที่แหวกแนว โดยมีบรรดาสาวกคอยช่วยเหลือ
เผยแพร่การโฆษณาชวนเชื่อ กระพือข่าว ทำให้ประชาชนศรัทธาตนด้วยวิธีการแปลกๆ พระองค์ถึงกับลวงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็น ภิกษุยิ่งกว่าภิกษุอื่น ด้วยการบวชซ้ำบวชซากถึง 6 ครั้ง รัชกาลที่ 2 นั้นประกาศตั้งแต่ยังไม่สวรรคตว่า จะให้เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นกษัตริย์ แต่เจ้าฟ้ามงกุฎเองก็รู้ว่า
ถ้าตนสึกเมื่อใด ก็หัวขาดเมื่อนั้น จึงทนอดเปรี้ยวไว้กินหวานเพื่อสะสม และก่อตั้งนิกายใหม่คือธรรมยุติ ทั้งๆที่ธรรมยุติและมหานิกายมีวัตรปฏิบัติต่างกันเพียงเล็กน้อย
แต่ที่ทรงตั้งธรรมยุติกะขึ้นมา ก็เพื่อการเมือง คือเอาพระพุทธศาสนามาเป็นโล่ เป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อชิงเอาราชสมบัติ และได้สมคบหากับขุนนางตระกูลบุนนาคขณะที่ยังอยู่ในสมณเพศ
เพื่อสร้างหนทางทอดไปสู่ความเป็นกษัตริย์ เมื่อจวนสิ้นรัชกาลที่ 3 นั้นพวกบุนนาคอยากให้ภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นกษัตริย์ จึงปฏิสังขรณ์วัดบุปผารามเป็นวัดธรรมยุติ พอถึงปลายรัชกาลที่ 3
ภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎก็กำลังกล้าแข็งมาก เมื่อรัชกาลที่ 3 มีอาการทรุดหนัก เจ้าพระยาพระคลัง หัวหน้าพวกบุนนาคจึงเชิญภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นเป็นกษัตริย์ ทั้งที่รัชกาลที่ 3 ยังไม่สวรรคต โดยที่พระองค์ยินยอมตกลงตามข้อเสนอของเจ้าพระยาพระคลังด้วยความยินดี โดยไม่ได้อาลัยอาวรณ์ผ้ากาสาวพัสตร์และตำแหน่งประมุขแห่งธรรมยุตินิกายแม้แต่น้อย




สำหรับภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎนั้นพอเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ก็หลงใหลปลาบปลื้มหมกมุ่นอยู่กับกามารมณ์ พวกขุนนางที่รู้ว่ากษัตริย์พอใจในเรื่องพรรค์นี้ ได้กวาดต้อนเอาผู้หญิงมาบำรุงบำเรอเจ้าชีวิตของตนเต็มที่ การที่รัชกาลที่ 4 สะสมนางในไว้ในวังมากมายนั้น ถึงกับทำให้ข้าราชการฝ่ายในกับวังมีจำนวนมาก จนแทบไม่มีที่อยู่ที่กิน พระองค์เองก็หลงๆลืมๆจำชื่อคนเหล่านั้นไม่ได้หมด

ภายในระยะเวลาเพียงสิบกว่าปี แม้ว่าพระองค์จะแก่ชราเต็มที ก็ยังสามารถมีลูกได้ถึง 82 คน ซึ่งนับว่าไม่มีกษัตริย์อื่นใดในกรุงรัตนโกสินทร์จะสู้ได้ เพราะแม้แต่รัชกาลที่ 5 ก็ยังมีลูกเพียง 76 คน ชีวิตของบรรดาเจ้าจอมหม่อมห้ามของกษัตริย์นั้นน่าเวทนาเพียงใด เพราะนางสนมทั้งหมดเพิ่งจะพ้นจากวัยเด็ก ไม่ทันพบกับความสดชื่นของชีวิตในวัยสาว ก็ต้องตกไปอยู่ในมือของกษัตริย์ผู้ชรา ผู้ที่น่าสงสารที่สุดคือ เจ้าจอมทับทิม เด็กสาวที่มีอายุเพียง 15 ปี ถูกพ่อ “กราบ” เป็นนางบำเรอรัชกาลที่ 4 อายุ 60 ปี ฟันฟางหักหมดปากตั้งแต่ขณะที่เป็นพระสงฆ์
เจ้าจอมทับทิมนั้นไม่ยอมทนอยู่กับตาเฒ่าฟันฟางหักหมดปาก จึงหนีไปกับคู่รัก แต่หนีไม่พ้น ถูกรัชกาลที่ 4จับฆ่าทั้งคู่

แม้แต่สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) แห่งวัดระฆังยอดสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ในรัชกาลที่ 4 ที่มีชื่อเสียงในเรื่องความมักน้อยสมถะก็ยังเคยเดินถือไต้ดวงใหญ่ เข้าวังหลวงในเวลาเที่ยงวัน ปากก็บ่นว่า ..มืดนัก....ในนี้มืดนัก มืดนัก...
รัชกาลที่ 4 กับพระปิ่นเกล้าผู้เป็นน้องชายไม่ค่อยจะถูกกัน เพราะพระองค์ระแวงที่พระปิ่นเกล้ามีผู้นิยมมาก ทั้งพระปิ่นเกล้าเองก็มักจะกระทำการที่มองดูเกินเลยมาก

ส่วนรัชกาลที่ 4 เองแม้ไม่อยากยกน้องชายขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง แต่ก็จำเป็นต้องทำ ทั้งนี้เพราะรู้ดีว่า มีผู้ยำเกรงพระปิ่นเกล้ากันมาก ว่าเป็นผู้มีวิชา และยังมีทหารในกำมือมาก และพระองค์รู้ดีว่า น้องชายก็อยากเป็นกษัตริย์ พระองค์จึงตั้งพระปิ่นเกล้าเป็นกษัตริย์องค์ที่สอง เพื่อระงับความทะเยอทะยานของน้องชาย
ข้อที่สร้างความชอกช้ำระกำใจให้กับพระองค์ที่สุดคือการที่พระปิ่นเกล้าไปไหนก็ ได้ลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองแลกรมการมาทุกที แต่พระองค์มิเป็นเช่นนั้นเลย ต่อมาพระปิ่นเกล้าก็สวรรคต แต่การสวรรคตของพระปิ่นเกล้ามีเบื้องหลังมากโดยนางแอนนาเลียวโนเวนส์เลขานุการของรัชกาลที่ 4 ได้เขียนหนังสือว่าที่พระปิ่นเกล้าทรงสวรรคตด้วยยาพิษโดยพระเจ้ากรุงสยาม (รัชกาลที่ 4) ทรงจ้างหมอให้ทำ และนางใช้คำว่า พระเจ้ากรุงสยามเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายชั่วช้ามาก และที่ร้ายแรงกว่าความชั่วช้าคือ ความผูกอาฆาต พยาบาทอย่างรุนแรง และทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระนิสัยอิจฉาริษยาอย่างมาก
และหลังจากที่พระปิ่นเกล้าสวรรคต รัชกาลที่ 4 ก็ได้แก้แค้นคนทั้งปวงที่นิยมพระปิ่นเกล้า ด้วยการบังคับให้พระนางสุนาถวิสมิตรา มเหสีของพระปิ่นเกล้าให้มาเป็นเจ้าจอมหรือภรรยาน้อยของตน แต่พระนางสุนาถวิสมิตราไม่ยอม จึงถูกจับกุมขังไว้ในวังหลวง แต่โชคดีที่หนีไปเมืองพม่าได้ในภายหลัง

จุฬาลงกรณ์
ผู้สถาปนาระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ขนานแท้

พอถึงปี 2411 เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ก็สืบราชสมบัติเป็นกษัตริย์ขณะที่เยาว์วัยอยู่ อำนาจทั้งปวงจึงตกอยู่ในมือขุนนางเก่า ภายหลังจึงพยายามรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่ตนเอง ด้วยการดึงเอาอำนาจในการเก็บภาษีอากร มาไว้ที่หอรัษฎากรพิพัฒน์ ซึ่งพระองค์เป็นผู้ควบคุมอยู่ นอกจากนี้ยังพยายามสร้างทางรถไฟเพื่อให้สามารถส่งกองทัพไปควบคุมขุนนางตามข้างเมืองและรวบอำนาจในการเก็บภาษีอากรตามข้างเมืองมาไว้ในมือของตน หลังจากที่พระองค์สร้างทางรถไฟและลิดรอนอำนาจของขุนนางเก่าแล้ว ก็มีภาษีอากรหลั่งไหลเข้าท้องพระคลังมากมายกว่าเดิม ทำให้พระองค์เป็นผู้เดียวที่ได้ประโยชน์จากภาษี ในขณะที่ผู้อื่นต่างสูญเสียผลประโยชน์

การเลิกทาสในปี 2417 และยกเลิกการเกณฑ์แรงงานไพร่ในปี 2421 เป้าหมายสำคัญเป็นไปเพื่อลดการซ่องสุมไพร่พลของบรรดาขุนนางใหญ่ในกรุงและหัวเมือง โดยเฉพาะขุนนางตระกูลบุนนาค (ที่มีสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เป็นแกนนำ) นโยบายที่เห็นแก่ได้ ทำให้ส่วนพระองค์ได้รับรายได้จากภาษีอากรมากกว่าเดิมมากมาย ภาษีอากรที่ได้เพิ่มขึ้นนี้ถูกนำไปใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย

วังหลวงสมัยนั้นมีแต่ความฟุ่มเฟือย พวกเจ้ามีชีวิตที่เหลวไหล อยู่ท่ามกลางงานสังสรรค์ และการแต่งแฟนซี มีการสร้างปราสาทราชวัง เพื่อใช้ประดับเกียรติยศของกษัตริย์มากที่สุด พระที่นั่งจักรีแบบวิกตอเรียขนาดใหญ่ ยอดปราสาทไทยก็ดี พระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งเป็นหินอ่อนอิตาลีทั้งหลังก็ดี ล้วนสร้างขึ้นในรัชสมัยนี้ทั้งสิ้น ส่วนบุคคลอื่นที่ใกล้ชิดกับพระองค์นั้น ก็นำเอาภาษีอากรของประชาชนมาบำรุงบำเรอความสุขของตนเช่นกัน
พระมเหสีมีเงินทองใช้สอยอย่างสุรุ่ยสุร่าย ทรงเป็นเจ้าของเครื่องราชอาภรณ์ ที่เป็นเพชรนิลจินดาค่าควรเมืองที่งดงามหลากสี หลายตระกูล ขนาดต่างๆ นานาชนิดมูลค่ามหาศาลมากมายกว่าราชินีองค์ใด หลังปี 2475 ได้มีผู้พยายามนำเอาเครื่องเพชรเหล่านี้มาเก็บไว้เป็นของแผ่นดิน หรือทำให้กลายเป็นสมบัติของประชาชนทั้งชาติ แต่ถูกพวกศักดินาคัดค้านอย่างหนัก จนถึงรัชสมัยปัจจุบันพวกศักดินาที่เป็นทายาท จึงได้รับการจัดสรรปันส่วนทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไปจนหมด ขณะที่กษัตริย์ และเหล่าราชนิกุลเสพย์สุขอยู่ในวัง และทะเลาะเบาะแว้งไร้สาระนั้น ประชาชนส่วนใหญ่กลับมีสภาพยากจน อดมื้อกินมื้อ แต่พระองค์กลับมิได้เหลียวแลเลย ในปี 2433 และ 2452 ชาวนาที่ขัดสน ถึงกับรวมตัวกันยื่นฎีกา ขอกู้เงินหลวงเพื่อนำไปซื้ออาหารรับประทาน แต่พระองค์กลับปฏิเสธ ทั้งๆที่พระองค์มักจะยอมปล่อยเงินกู้ให้แก่พ่อค้าจีน เพราะได้ดอกเบี้ยคุ้มเงินที่เสียไป และได้ทำให้เศรษฐกิจโดยส่วนรวมเสื่อมทรามลงเรื่อยๆ การค้าขายและการเพาะปลูกในเมืองไทยนั้น ตกต่ำ ทรุดโทรมมาแต่ปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 ราษฎรได้รับความคับแค้น อับจนต่างๆ

วชิราวุธ
ผู้หลงไหล
อยู่กับวรรณกรรมและการละคร

เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตและเจ้าฟ้าวชิราวุธได้ครองราชย์ สถานการณ์ทางเศรษฐกิจก็มิได้ดีขึ้น เพราะรัฐศักดินาแทบจะไม่ได้พัฒนาชลประทานของประเทศเลย สิ่งนั้นทำให้ผู้คนซึ่งอดอยาก แต่พระองค์ไม่นำพารายงานดังกล่าว กลับใช้จ่ายเงินฟุ่มเฟือยมากขึ้นเรื่อยๆ ในเรื่องโขนละคร โดยไม่ยอมเจียดเงินไปพัฒนาประเทศชาติเลย งบประมาณส่วนที่ประชาชนได้รับประโยชน์ยังคงมีน้อยนิดเดียวไม่ผิดกับในสมัยรัชกาลที่แล้ว พระองค์ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย จนมีหนี้สินหลายล้านบาท ทั้งที่กษัตริย์เพียงคนเดียวได้รับงบประมาณมากกว่างบสร้างเขื่อนให้ประชาชนไม่รู้กี่เท่าตัว ซึ่งสถานทูตอังกฤษบันทึกว่า หนี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการซื้อเพชรพลอย อัญมณีแจกจ่ายข้าราชบริพารคนโปรด กษัตริย์บีบบังคับให้กระทรวงพระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินแผ่นดิน อันเป็นภาษีอากรของประชาชนใช้หนี้ให้แก่ตน นอกเหนือจากงบประมาณสำหรับกษัตริย์ถึง 3 ล้านบาท
มหาดเล็กคนโปรดของพระองค์ คือเจ้าพระยารามราฆพ (มล.เฟื้อ พึ่งบุญ) และพระยาอนิรุทธเทวา (มล.ฟื้น พึ่งบุญ) สองคนพี่น้องนั้น เป็นผู้ได้ประโยชน์มากที่สุด คนพี่ได้บ้านไทยคู่ฟ้า คือทำเนียบรัฐบาลปัจจุบันเป็นของขวัญ ส่วนเจ้าคุณอนิรุทธิ์เทวาได้บ้านพิษณุโลก และข้าราชบริพารคนโปรดอีกคนหนึ่งได้บ้านมนังคสิลา คฤหาสน์ยักษ์ทั้ง 3 หลัง ซึ่งมีบ้านไทยคู่ฟ้าใหญ่ที่สุดที่พระองค์สร้างขึ้น เพื่อมอบให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่คนโปรดนี้มีราคาแพงมหาศาล ถ้าปัจจุบันนี้ใช้เงินถึง 10-20 ล้านบาทก็ยังสร้างไม่ได้ เพราะเพียงบ้านพิษณุโลกหลังเดียวที่รัฐบาลจอมพล ป. บังคับซื้อจากเจ้าคุณอนิรุทธิ์เทวาในราคาถูกนั้น รัฐบาลจะซ่อมแซม สำหรับใช้เป็นที่พักอาศัยของนายกรัฐมนตรี ก็ยังตั้งงบประมาณนับสิบล้านบาททีเดียว


ในที่สุดก็มีข่าวลือตลอดรัชกาลนี้ว่าจะมีรัฐประหาร โดยพวกเจ้า เช่น เมื่อต้นปี รศ.130 มีข่าวลือว่ากรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์จะรัฐประหาร แล้วเชิญเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ขึ้นเป็นกษัตริย์ โชคดีที่พระองค์ไม่ถูกพวกเจ้าถอดจากราชบัลลังก์ เพราะสวรรคตไปเสียก่อน





ประชาธิปก
กษัตริย์
ผู้ไม่อาจรั้งประชาธิปไตย

กษัตริย์ทั้งสองพระองค์ก่อน คือรัชกาลที่ห้าและรัชกาลที่หกทรงต่อต้านประชาธิปไตยมาก โดยรัชกาลที่ห้าได้ทรงกล่าวหาว่าพวกที่สนับสนุนระบบรัฐสภานั้น พูดไปโดยรู้ งูๆ ปลาๆ และทรงหลงว่าถึงจะมีสส. คนก็คงเชื่อกษัตริย์มากกว่าสส. ส่วนรัชกาลที่หก ก็ได้ทรงแสดงความเห็นไว้ว่าการปกครองแบบเก่าสมบูรณ์ที่สุด เพราะว่า มีราชาเป็นสง่าแห่งแคว้น และพยายามต่อต้านระบบประชาธิปไตยอย่างรุนแรง โดยพยายามโยงเอาระบบประชาธิปไตยไปพัวพันกับความจลาจลวุ่นวาย เพื่อปกป้องสถานภาพที่ได้เปรียบของพระองค์ไว้

สำหรับรัชกาลที่ 7 นั้นมีความทันสมัยกว่าพี่ชายและพ่อ (รัชกาลที่หกและรัชกาลที่ห้า) คือเห็นว่า ฐานะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นสิ่งที่ตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ระยะเวลาของระบบเอกาธิปไตย(อำนาจเป็นของคนๆเดียว)เหลือน้อยเต็มที แต่ถึงพระองค์จะรู้เช่นนี้และมีโอกาสเป็นกษัตริย์อยู่หลายปี ก็มิได้ผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆให้เกิดขึ้นในเวลาอันสมควร จนทำให้สถานการณ์ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมืองเลวร้ายลงทุกที แต่พวกเจ้าก็ยังแสดงทีท่าว่าเป็นพระอิฐพระปูน
สิ่งนี้ทำให้เกิดกรณีการเปลี่ยนแปลงในปี 2475 อันเป็นฝันร้ายของพวกศักดินา พวกอนุรักษ์นิยมที่จะต้องจดจำไปตลอดชีวิต และก็เพราะเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้รัชกาลที่ 7 ต้องสละราชสมบัติ

อานันทมหิดล กษัตริย์หนุ่ม
ผู้เป็นเหยื่อของความทะเยอทะยาน

เนื่องจากรัชกาลที่ 7 ไม่มีพระอนุชา ไม่มีพระโอรสและธิดา ตามกฎมณเฑียรบาลการสืบราชสันตติวงศ์ จะต้องกระทำโดยการสืบเชื้อพระวงศ์จากวงในสุดออกมา ซึ่งท่านแรกคือ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ แต่เนื่องจากท่านมีแม่เป็นชาวรัสเซีย มีพระชายา(ภรรยา)เป็นชาวอังกฤษ เป็นการผิดกฎมณเฑียรบาล จึงไม่สามารถขึ้นมาเป็นกษัตริย์ได้ องค์ถัดมาคือ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช แต่เนื่องจากมีพระชายา(ภรรยา)เป็นชาวตะวันตก จึงไม่ได้รับเลือกอีกเช่นกัน
ตำแหน่งจึงตกมาอยู่กับพระองค์เจ้าอานันทมหิดลในที่สุดอันที่จริงพระองค์เจ้าอานันทมหิดล และพระองค์เจ้าภูมิพล มีพ่อคือกรมหลวงสงขลานครินทร์กับนางสาวสังวาลย์ ตะละภัฏ ซึ่งเป็นหญิงสามัญชน ลูกจีน ลูกที่เกิดมาจึงมีศักดิ์เป็นเพียงหม่อมเจ้าเท่านั้น แต่เนื่องจากกรมหลวงสงขลาฯเป็นบิดาทางการแพทย์ สร้างคุณงามความดีไว้มาก รัชกาลที่ 7 จึงโปรดเกล้าฯให้ลูกของกรมหลวงสงขลาเลื่อนฐานันดรศักดิ์เป็นพระองค์เจ้า เพื่อตอบแทนที่กรมหลวงสงขลาฯต้องสิ้นพระชนม์ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ในการบุกเบิกการแพทย์ไทย เมื่อครั้งที่พระองค์เจ้าอานันทมหิดลเป็นกษัตริย์ พระองค์มีอายุเพียง 9 พรรษาเท่านั้นและกำลังศึกษาอยู่ที่สวิสเซอร์แลนด์ รัชกาลที่ 8 เมื่อทรงพระเจริญวัยขึ้น ได้รับอิทธิพลจากตะวันตกมามาก โดยเฉพาะความรู้ทางด้านการปกครอง ถึงแม้พระองค์จะได้ชื่อว่ามีเชื้อสายกษัตริย์ แต่ก็มีพระราชประสงค์ให้ประชาชนอยู่ดีกินดี มีการปกครองตนเอง อีกทั้งได้รับอิทธิพลจากการสละราชบัลลังก์ของรัชกาลที่ 7 จึงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติและเลิกล้มระบบกษัตริย์ เพราะเห็นว่ายุคนี้การเป็นกษัตริย์นั้น เป็นการเอาเปรียบประชาชน และผู้ปกครองประเทศควรมาจากการเลือกตั้ง โดยพระองค์จะลงเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตยด้วยตนเอง

เรื่องนี้อาจทำให้ราชวงศ์ไม่สบายพระทัยมาก ทำให้เกิดความขัดแย้งกันขึ้นได้ เหตุการณ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ รัชกาลที่ 8 ทรงเห็นด้วยกับความคิดในการปรับปรุงประเทศของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์อยู่ระยะหนึ่ง โดยเฉพาะเค้าโครงเศรษฐกิจของชาติที่มีเนื้อหาการจัดระบบสหกรณ์ และการปฏิรูปที่ดินอย่างขนานใหญ่ทั่วประเทศ และเรื่องนี้กระทบกระเทือนผลประโยชน์ของพวกศักดินาอย่างรุนแรง เพราะพวกศักดินาเป็นเจ้าของที่ดินส่วนใหญ่ของประเทศไทย พวกศักดินาจึงใส่ร้ายหาว่า ดร.ปรีดี เป็นคอมมิวนิสต์

เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์หนุ่มที่เลือดรักชาติแรงกล้าและเห็นใจประชาชนเป็นพื้น จึงทรงออกนั่งตุลาการด้วยตนเอง ทั้งยังออกเยี่ยมประชาชน อยู่เนืองๆ เช่น คนจีนที่สำเพ็ง ซึ่งปรากฏว่าชาวจีนถวายความนับถือและจงรักภักดีมาก การออกเยี่ยมตามที่ต่างๆทำให้พระองค์ได้สัมผัสกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างแท้จริง ทำให้ความคิดของพระองค์ ยิ่งขัดแย้งกับพวกศักดินามากขึ้นเป็นลำดับ
ราชวงศ์จึงมีความหวาดประหวั่นและยอมไม่ได้ที่พระองค์มีแนวโน้มว่าอาจจะลาออกหรือยกเลิกสถาบันพระมหากษัตริย์ อันหมายถึงเกียรติยศชื่อเสียงและผลประโยชน์จำนวนมหาศาล ที่จะดลบันดาลความสุขสบายแก่ตนเองและวงศ์ตระกูลไปตลอดชาติต้องอันตรธานในพริบตา นอกจากนี้ยังมีข่าวลือความขัดแย้งอื่นๆ ข่าวลือเรื่องการคิดจะแต่งงานใหม่ของราชวงศ์ชั้นสูงที่เป็นหม้ายเมื่อยังสาว รวมถึงข่าวลือเรื่องชู้สาว จนนำไปสู่ความขัดแย้งภายในราชวงศ์ที่เริ่มประทุมากขึ้น และการชิงดีชิงเด่นเพื่ออำนาจและผลประโยชน์อันมหาศาลซึ่งเป็นปกตินิสัยของพวกศักดินาที่มีมาโดยตลอดหลายชั่วอายุคน


โดยปกติวิสัยของรัชกาลที่ 8 ชอบสะสมปืนมาก และมีปืนของรัชกาลที่ 8 อยู่กระบอกหนึ่งซึ่งไกปืนอ่อนมาก และราชวงศ์บางท่านชอบเอาปืนไปจี้คนนั้นคนนี้ บางครั้งเอาปืนมาจ่อรัชกาลที่ 8 ทำท่ายิงเล่นๆ จนผู้คนในวังเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น


เมื่อเวลา 8.30 น. ของวันที่ 9 มิถุนายน 2489...... เสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จากห้องบรรทม ชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมาน ต่อจากนั้นอีกไม่กี่นาที นายชิต ยามมหาดเล็ก วิ่งหน้าตื่นไปทูลพระราชชนนีว่า “ ในหลวงทรงยิงพระองค์ ” การสิ้นพระชนม์ของรัชกาลที่ 8 นั้น ศาลอาญา ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา สรุปตรงกันว่า เกิดโดยการลอบปลงพระชนม์ มิใช่การปลงพระชนม์เอง เพราะว่าแผลที่ทำให้พระองค์สวรรคตอยู่ที่หน้าผาก กระสุนทะลุออกทางท้ายทอย ซึ่งแสดงว่าไม่ใช่การฆ่าตัวตาย เพราะผู้ที่อัตวินิบาตกรรม ส่วนมากจะยิงขมับและหัวใจเท่านั้น นอกจากนี้ นายแพทย์ใช้ ยูนิพันธ์ ยังให้ความเห็นว่า แผลของพระองค์เกิดจากการอัตวินิบาตกรรมไม่ได้ เพราะวิถีกระสุนเฉียงลง ผู้ที่ยิงตนเอง ต้องยกด้ามปืน หันปากกระบอกปืนลง เป็นของทำได้ยาก

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสังเกตดังนี้

1. ผู้ที่ฆ่า คงมิใช่บุคคลอื่นที่อยู่นอกพระที่นั่งบรมพิมาน เพราะว่าได้มีการจัดทหาร ตำรวจวัง ล้อมรอบพระที่นั่งอย่างเข้มงวด รัชกาลที่ 8 สิ้นพระชนม์ในเวลา 9โมงเศษ ซึ่งในเวลานั้นจะมีผู้คนพลุกพล่านบนพระที่นั่ง


แล้ว
หลังจากที่ถูกยิงแล้ว คณะแพทย์ส่วนใหญ่ได้ตรวจพระศพ และวินิจฉัยว่าแผลที่เกิดจากการยิงห่างจากหน้าผากไม่เกิน 5 ซม. แสดงว่าผู้ที่ยิงต้องเอาปืนกระชับยิงลงไปที่หน้าผาก ทั้งนี้เมื่อตรวจมุ้งของรัชกาลที่ 8 แล้ว ไม่ปรากฏว่ามีรอยทะลุ แสดงว่าผู้ร้ายต้องเลิกมุ้งออก แล้วจึงเอาปืนจ่อยิงในหลวง โดยที่ “ผู้ที่ยิงต้องเป็นคนรูปร่างสูง แขนยาว” จึงจะทำได้สะดวก เพราะจากขอบเตียงถึงบาดแผลมีระยะห่างกันถึง 66 ซม. ถ้ารูปร่างเล็กแขนสั้นจะทำไม่ได้ จะเห็นว่าถ้าผู้ร้ายเป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่สนิทสนมกับรัชกาลที่ 8 มากๆแล้ว จะกระทำการดังกล่าวไม่ได้เลย เพราะเป็นการเสี่ยงภัยและไม่มีทางสำเร็จ เพราะพระองค์นอนตั้งแต่เวลา3ทุ่มของคืนวันที่ 8 มิ.ย. จนตื่นขึ้นมาในเวลาเช้าตรู่ของวันที่ 9 มิ.ย. และเข้านอนถึงสองระยะย่อมหลับไม่สนิท เพราะปกติในหลวงไม่เคยตื่นสายกว่า 8.30 น. เลย ดังนั้นถ้ามีคนเลิกมุ้งย่อมมีเสียง เพราะมุ้งมีเหล็กทับอยู่ ทำให้พระองค์ต้องรู้ตัวก่อนที่ผู้ร้ายจะทำการได้
นอกจากนี้ถ้ามีผู้ร้ายภายนอกแอบเข้าไปในห้องบรรทม ก็ต้องเข้าไปในเวลากลางคืนและยิงในเวลานั้นเลย เพราะปลอดคน ทั้งหนีสะดวก มิใช่รอจนเวลาเช้าจึงยิง อันจะทำให้ต้องแอบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยมากกว่า และหากมีผู้ร้ายซ่อนตัวอยู่จริง ย่อมไม่อาจรอดสายตาพระชนนี และมหาดเล็กที่เข้าไปถวายน้ำมันละหุ่งให้รัชกาลที่ 8 ได้

2. ตามธรรมดานั้น ปรากฏในประวัติศาสตร์เสมอมาว่า มีการปลงพระชนม์เพื่อชิงราชสมบัติ ประโยชน์จากการตายของรัชกาลที่ 8 ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดก็คือ ผู้ที่ได้รับประโยชน์มากที่สุดจากกรณีสวรรคต ทั้งในด้านลาภยศและทรัพย์ศฤงคาร

3. คำให้การ มีพิรุธมากเพราะ
-ทุกคนที่อยู่ในพระที่นั่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่พระอนุชา (รัชกาลที่9) และพระชนนีเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน

เนื่อง จินตะดุลย์ และสังวาลย์ ตะละภัฏ

-พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ (ภายหลังได้เป็นท้าวอินทรสุริยา) นักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับพระชนนี ให้การว่า ตนอยู่ในห้องพระอนุชา (รัชกาลที่ 9 ) 20 นาที ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบพระอนุชา(รัชกาลที่9) ในห้องนั้นเลย
-พระอนุชา(รัชกาลที่ 9)บอกให้กรมขุนชัยนาทฯ ฟังว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืนนั้น ตนเองอยู่ในห้องของตน ขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ซึ่งอยู่ในห้องของพระองค์ในขณะนั้น
- นายเวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องพระอนุชา (รัชกาลที่ 9)ให้การว่า แม้ห้องนอนของพระอนุชา มีประตูติดกับห้องเครื่องเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้าพระอนุชา ต้องการจะเข้าห้องเครื่องเล่น จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าของห้องเครื่อง มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของพระอนุชา
การที่พระอนุชา (รัชกาลที่ 9) ให้การว่าตนเข้าๆ ออกๆ ระหว่างห้องเครื่องเล่นกับห้องนอนตนเองนั้นน่าจะเป็นพิรุธ โดยปกติเมื่อ กินข้าวเช้าอิ่ม ท่านอาจจะเดินไปถึงหน้าห้องบรรทมของในหลวง(รัชกาลที่ 8) ก่อนเสียงปืนไม่นานนักและเข้าไปในห้องนั้น โดยที่นายชิตและบุศย์มิได้ห้ามปราม เพราะตามคำให้การของพระพี่เลี้ยงเนื่องนั้น ปรากฏว่าพี่น้องคู่นี้นั้น ถ้าผู้ใดตื่นก่อน มักจะเข้าไปยั่วเย้าอีกคนหนึ่งให้ตื่น ฉะนั้นนายชิตและบุศย์ ย่อมไม่สงสัยว่าเหตุใดพระอนุชาจึงเข้าไปในห้องในหลวง

ปัญหาสุดท้ายก็คือ จะเป็นเรื่องอุบัติเหตุได้หรือไม่ ไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุ เพราะถ้าเป็นการเอาปืนล้อกันเล่น ก็ไม่น่าจะถึงกับเอาปืนจ่อกระชับเข้าไปที่หน้าผากเป็นอันขาด ( ตามการตรวจแผลของนายแพทย์สุด แสงวิเชียร ) เพราะน่าจะย่อมรู้เหมือนกับคนอื่นทั่วไปว่า ปืนกระบอกนั้นไกอ่อน ถ้ากระชับปืนเข้าที่หน้าผากขนาดนั้น ย่อมเป็นการเสี่ยงภัยจนเกินไป สำหรับคำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจ ที่เฝ้าเครื่องเสวยอยู่มุขหน้านั้น เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการโกหกของตนเอง นายฉลาดยอมรับในศาลว่า ตั้งแต่ถูกเรียกตัวไปสอบสวน ก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากสันติบาลวันละ 3 บาท นอกจากนี้หลังจากที่ถูกปลดจากสำนักราชวัง ฐานหย่อนความสามารถเมื่อเดือน ม.ค. 2491 ก็ยังได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของพนักงานสอบสวน ข้อที่ชี้ชัดได้ว่านายฉลาดโกหกก็คือ การที่นายฉลาด บอกว่าไม่เห็นผู้ร้ายวิ่งออกจากห้องบรรทมเลย นี่เป็นการโกหกชัดๆ เพราะเมื่อมีการปลงพระชนม์เกิดขึ้นแล้ว ผู้ร้ายที่ไหนจะยอมอยู่เป็นเหยื่อในห้องบรรทม จะต้องวิ่งหนีออกจากห้องนั้น

ชิต สิงหเสนี
ส่วนนายชิตกับนายบุศย์นั้น ตกอยู่ในฐานะน้ำท่วมปาก พูดมากไม่ได้ เพราะการฟ้องร้องคดีสวรรคตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกทหารก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง ผลจากรัฐประหารทำให้พระพินิจชนคดี ซึ่งเป็นพวกของฝ่ายศักดินาได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และดำเนินการสอบสวน นายชิตเองถูกฉีดยาให้เคลิบเคลิ้ม ถูกขู่เข็ญสารพัด ทั้งคู่รู้ดีว่า พวกศักดินาและพระพินิจฯ จะต้องเล่นงานพวกนายปรีดี พนมยงค์ให้ได้ โดยใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นถึงตนพูดความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำจะเป็นอันตรายถึงครอบครัว จึงยอมสงบปาก หวังที่จะได้รับความเมตตาของศาล และอย่างน้อยที่สุด ทั้งคู่น่าจะได้รับคำรับรองจากศักดินาว่า ถ้าศาลตัดสินประหารชีวิต น่าจะได้รับการอภัยโทษ แต่เป็นที่น่าเสียใจที่ นายชิตและนายบุศย์ไม่ได้รับความปรานีแต่อย่างใด หลังจากที่เขาถูกตัดสินประหารชีวิต แม้จะถวายฎีกา ก็ไม่ได้รับการพิจารณา
จอมพล ป. เล่าว่าตนเอง ได้ขอพระราชทานอภัยโทษขึ้นไปถึง 3 ครั้ง แต่ท่าน ( รัชกาลที่ 9 ) ไม่ทรงโปรด อย่างไรก็ดี พวกศักดินาก็ฉลาดพอที่จะส่งเงินอุดหนุนจุนเจือ ครอบครัวผู้ถูกประหารชีวิตเสมอมา เพื่อป้องกันมิให้ครอบครัวผู้สิ้นชีวิตโวยวาย ซึ่งเรื่องนี้ นายปรีดี พนมยงค์ได้เปิดโปงไว้ในคำฟ้องคดีที่นายชาลี เอี่ยมกระสินธ์ หมิ่นประมาทนายปรีดีว่าครอบครัวผู้ตายได้รับการช่วยเหลือทางการเงินจากพระราชวงศ์องค์หนึ่ง ซึ่งพวกศักดินาก็ไม่กล้าโต้ตอบแต่อย่างใด

4. อำนาจมืดอันเกิดจากการรัฐประหารด้วยปืนของผิน ชุณหะวัณ แผ่ซ่านไปทั่ว มีความพยายามที่จะปกป้องพวกเดียวกัน และโยนบาปไปให้พวกของนายปรีดี พนมยงศ์ โดยการใช้วิธีการทุกอย่าง เช่น
-มีการสร้างพยานเท็จว่า ดร.ปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะฆ่ารัชกาลที่ 8 ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยมีนายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ล่วงรู้ความลับนี้
ในภายหลัง นายตี๋ ศรีสุวรรณ ยอมรับกับท่านปัญญานันทะ ภิกขุว่าตนให้การเท็จ นอกจากนี้ยังมีนายวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินนายปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้นายปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ทั้งๆที่นายวงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนายปรีดี พอที่นายปรีดีจะพูดความลับ อันเป็นความเป็นความตายด้วย
-มีการทำลายหลักฐานต่างๆที่จะผูกมัดฆาตกร ในภายหลัง เช่น การสั่งให้พระพี่เลี้ยงเนื่อง ทำความสะอาดพระศพ แล้วยังให้หมอนิตย์ เวชวิศิษฐ์ เย็บบาดแผล เท่ากับเป็นการทำลายหลักฐาน นอกจากนี้ยังมีการผลัดเสื้อผ้าพระศพ โดยเฉพาะหมอนนั้นถูกนำไปฝัง หลังรัชกาลที่ 8 สวรรคตไปแล้ว 10 วัน ซึ่งพระยาชาติเดชอุดม เลขาธิการพระราชวังให้การว่าจะทำเช่นนี้ได้ต้องมี ผู้ใหญ่สั่ง มีการเคลื่อนย้ายพระศพรัชกาลที่ 8 ออกไปและมีผู้ยกเอาพระศพไปไว้


บนเก้าอี้โซฟาแทน
การแตะต้องพระบรมศพนั้น มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านายผู้ใหญ่ก่อนเท่านั้น
เมื่อรัฐบาลพลเรือนชุดก่อนที่จะถูกรัฐประหาร จะชันสูตรพระศพรัชกาลที่ 8 กลับถูกคัดค้านจาก
กรมขุนชัยนาทและพระชนนีจนกระทำไม่ได้ แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือผู้ต้องสงสัย
และโยนความผิดให้ผู้อื่น ดังจะเห็นได้ว่า


-มีเพียงสองคนเท่านั้นในคดีนี้ ที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ เมื่อปรากฏว่ามีนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้ทำการพิสูจน์ด้วย ผลต่อมาปรากฏว่านายตำรวจผู้นั้นถูกสั่งปลดออกจากราชการ (พระอนุชาหรือรัชกาลที่ 9 และพระชนนีที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ)
-ศาลหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามประมวลวิธีความอาญาซึ่งกำหนดว่า การซักค้านพยาน อันจะเกิดความเสียหายต่อจำเลย ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลกลับเดินเผชิญสืบผู้ต้องสงสัยบางรายที่สวิสเซอร์แลนด์ (พระอนุชาหรือรัชกาลที่ 9 และพระชนนี) ในวันที่ 12 และ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 โดยไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้านด้วย แม้ผู้ต้องสงสัย ให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้

นอกจากนี้ศาลฎีกายังหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามประมวลวิธีความอาญา เพราะว่าตามปกตินั้น คดีสำคัญๆจะต้องนำไปให้ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาวินิจฉัย แต่คดีสวรรคตเป็นคดีที่สำคัญกว่าคดีทั้งปวงในประวัติศาสตร์ ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกากลับไม่ได้วินิจฉัย มีเพียงผู้พิพากษา 5 คนเท่านั้น ที่เป็นผู้ตัดสินคดี ที่คณะศาลฎีกาไม่ยอมเอาคดีนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ ก็เพราะไม่อยากให้มีผู้ที่จับได้ไล่ทัน และทำการคัดค้านนั่นเอง
- เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวผู้ต้องสงสัยบางราย ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่าง นายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งคนผู้นี้ ศาลฎีกาไม่สามารถกล่าวออกมาได้ว่า เกี่ยวข้องกับคดีสวรรคตอย่างไร นอกจากอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มีความใกล้ชิดกับนายปรีดี กระทั่งฆาตกรศาลก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ศาลกลับให้ฆ่านายเฉลียวเพียงเพราะนายเฉลียวใกล้ชิดกับนายปรีดี

เมื่อการสะสางคดีนี้จบลง โดยการมีแพะรับบาป ต้องคำพิพากษาประหารชีวิต 3 คนคือ นายชิต สิงหเสนี นายบุศย์ ปัทมศริน นายเฉลียว ปทุมรส ผู้ต้องสงสัยก็ได้หลบไปอยู่ต่างประเทศชั่วคราวระยะหนึ่งจึงกลับ เพื่อเป็นการหนีเสียงครหานินทาของประชาชน ก่อนที่คนทั้ง 3 จะถูกประหารชีวิต คนหนึ่งได้ขอพบเผ่า ศรียานนท์เป็นการส่วนตัว เผ่าก็คงจะบอกความลับนี้แก่ แปลก(จอมพลป.พิบูลสงคราม)และประภาส จารุเสถียร

การกำจัดรัชกาลที่ 8 นั้น นับว่าเป็นการยิงทีเดียวได้นก 2 ตัว คือ นอกจากจัดการกับรัชกาลที่ 8 ได้แล้ว ยังได้กำจัด ดร.ปรีดีซึ่งเป็นต้นตอทำลายผลประโยชน์ของพวกกลุ่มศักดินาอีกด้วย ปรีดีต้องลี้ภัยทางการเมืองไป ตั้งแต่ปี และได้ถึงแก่กรรมในต่างประเทศในที่สุด ส่วนเมียของ ร.ท.สิทธิชัย ชัยสิทธิเวชผู้ถูกระบุว่าเป็นมือปืน แล้วหนีตาม ดร.ปรีดีไปอยู่เมืองนอก ชื่อชะอุ่ม กลับได้รับตำแหน่งหัวหน้าแม่ครัวในวังสวนจิตรลดา ลูกทุกคนได้รับการส่งเสียให้เงินทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ และตัว ร.ท.สิทธิชัยเองก็กลับมาอยู่อาศัยที่ลาดพร้าว ซอย 101อย่างสุขสบาย โดยที่เจ้าตัวไม่ต้องทำมาหากินแต่อย่างใด หากเขาเป็นฆาตกรจริง ทำไมจึงยังทรงไว้วางพระทัยในตัวแม่ครัวปัจจุบัน และเหตุใดจึงไม่ให้มีการลงโทษตามตัวบทกฎหมาย เช่นเดียวกับที่เคยเล่นงานนายชิตและนายบุศย์ หลักฐานจากผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์สวรรคตที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ได้ชี้อย่างเด่นชัดว่า ใครคือผู้ต้องสงสัยที่สุดกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8

กษัตริย์นักบุญ ?


แม้พระอนุชาจะได้เป็นกษัตริย์แล้วแต่ก็ไม่ได้รับการยอมรับจากจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจมากที่สุดในช่วงก่อนหน้าปี 2500 ยิ่งเป็นพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ด้วยแล้ว ถึงกับขู่ว่าจะเปิดโปง กรณีสวรรคต โดยการจ้างนายสง่า เนื่องนิยม นักไฮปาร์ก สมญา ช้างงาแดง ป่าวประกาศกึกก้องกลางสนามหลวงหน้าพระบรมมหาราชวังที่ประดิษฐานของพระเศวตฉัตรว่า จะเปิดเผยตัวผู้ฆ่ารัชกาลที่ 8 ส่วนจอมพล ป.มีมาดที่สุขุมกว่าพล.ต.อ.เผ่า โดยต่อหน้าประชาชนแล้ว จอมพล ป.จะย้ำว่าตนจงรักภักดีต่อกษัตริย์ แต่ในที่ลับนั้น จอมพลป.ได้เตรียมการที่เปิดโปง รื้อฟื้นการพิจารณาคดีสวรรคตขึ้นมาใหม่


ซึ่งสิ่งนี้ทำให้พระองค์ท่านทนไม่ได้ จึงเปิดตัวออกมาเล่นการเมืองอย่างเปิดเผย ในวันที่ 25ม.ค.2498ทรงเริ่มปราศรัยในวันกองทัพบกว่า"ทหารไม่ควรเล่นการเมือง รัฐบาลจึงได้นำเอาบทความ ของ ดร.หยุด แสงอุทัย ออกอากาศทางวิทยุ แสดงความเห็นตอบโต้กษัตริย์ว่า องค์พระมหากษัตริย์ไม่พึงตรัสสิ่งใดที่เป็นปัญหา หรือเรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจการเมืองหรือทางสังคมของประเทศ โดยไม่มีรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลเป็นผู้สนองพระบรมราชโองการ



กษัตริย์ได้ฉวยโอกาสที่มีประชาชนไม่พอใจนโยบายเผด็จการ ของจอมพล ป.กันมาก โดยไม่ยอมลงพระปรมาภิไธย แต่งตั้งสส.ประเภทสอง ตามที่รัฐบาลจอมพล ป.เสนอไป ในขณะเดียวกันก็พยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กับพระองค์กระชับมากขึ้น และแล้ว สฤษดิ์ก็ร่วมมือกับกษัตริย์ ด้วยการพาเอาพรรคพวกลาออกจากการเป็น ส.ส.และไม่ยอมสนับสนุนจอมพล ป.อีกต่อไป จนกระทั่งทำการรัฐประหารในปี 2500 จอมพลสฤษดิ์ ได้ยกย่องกษัตริย์ให้ได้รับเกียรติยศมากขึ้น ฟื้นฟูพระราชพิธีที่ล้าหลัง เช่น แรกนาขวัญอันถูกยกเลิกไปในระยะหลังปี 2475 กษัตริย์เองก็ได้พยายามสนับสนุนการปกครองที่บีบคั้นเสรีภาพของประชาชนของสฤษดิ์ และได้กล่าวสุนทรพจน์สนับสนุนสฤษดิ์อยู่เนืองๆ โดยไม่คำนึงถึงว่า ผู้ที่ตนสนับสนุนนั้นเป็นจอมเผด็จการที่คอรัปชั่นทรัพย์ของแผ่นดินไปนับพันล้านบาท
เจ้าฟ้าภูมิพลทรงพระราชสมภพที่เมืองเคมบริดจ์ มลรัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ทรงได้รับการศึกษาที่สวิสเซอร์แลนด์ โดยเริ่มจากวิชาการแพทย์แล้วทรงเปลี่ยนเป็นรัฐศาสตร์ เมื่อพระองค์ได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์องค์ใหม่ของราชวงศ์จักรี
การดำเนินชีวิตของพระองค์ในต่างประเทศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทรงโปรดทั้งดนตรี งานสังคม และทรงโปรดการขับรถเร็วเป็นพิเศษ ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในวัยหนุ่มและชอบการขับรถ มรว.สิริกิต กิติยากรธิดาของกรมหมื่นจันทบุรี ซึ่งเป็นทูตไทยในอังกฤษขณะนั้น ได้ไปช่วยรักษาพยาบาลรัชกาลที่ 9 อย่างใกล้ชิดที่สวิสเซอร์แลนด์ ภายหลังที่พระองค์ทรงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ กระจกทิ่มเอาพระเนตรบอดสนิทไปข้างหนึ่ง ทรงประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา และได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสในปี 2493 ขณะทรงมีพระชนมายุ 22 พรรษา, มรว.สิริกิตมีอายุ 17 ปี
ในช่วงที่รัฐบาลถนอม ประภาสเรืองอำนาจอยู่นั้น ประภาสไม่ลงรอยกับกษัตริย์มาตลอด เป็นเพราะต่างก็ต้องการเป็นใหญ่เหนือผู้อื่นในแผ่นดิน อีกทั้งประภาสกำความลับกรณีสวรรคตอยู่ด้วย จึงเห็นได้ว่าการกระทำของกลุ่มถนอม ประภาสมีลักษณะแข่งขัน และไม่ไว้หน้ากษัตริย์มากขึ้นเป็นลำดับ ณรงค์ กิตติขจรเอง ถึงกับประกาศก้องในหมู่เพื่อนทหารขณะมึนสุราอย่างน้อยสองครั้งว่า
กูนี่แหละ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์หรือพระราชินี พบว่าไม่มีชื่อของประภาส-ไสว ณรงค์ กิติขจรและภรรยา เข้าไปถวายพระพรเลย ในช่วงนั้นฝ่ายศักดินาพยายามปล่อยข่าวว่า ประภาสส่งคนไปยิงฟ้าชายที่ออสเตรเลีย ขณะที่กลุ่มถนอม ประภาสมีอำนาจและมีกำลังทหารในมือพร้อมที่จะโค่นศักดินาใหญ่ได้ ฝ่ายศักดินาใหญ่ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนด้วยความงมงายตามประเพณีนิยม
ในภาวะขณะนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่แม้จะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจสร้างกำลังใดๆได้เลย นอกจากตำรวจชายแดนจำนวนไม่มากที่ทรงให้ความสนิทสนมโดยส่วนพระองค์ของพระชนนีและกษัตริย์ กำลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทำลายล้างกันได้ในทันทีเช่นกัน ปัญหาของทั้งสองฝ่ายคือ การคอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพื่อทำลายอีกฝ่ายลงไปให้ได้แล้วโอกาสก็มาถึง


ในวันที่ 14 ตุลาคม 2516 ในช่วงนั้นอดีตผู้นำนักศึกษาและอาจารย์กลุ่มหนึ่งทำการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐบาลถนอมร่างมา 10 ปียังไม่เสร็จ ประภาสสั่งจับคนเหล่านี้ โดยตั้งข้อหาฉกรรจ์ว่าเป็นกบฏและคอมมิวนิสต์ ทำให้นักเรียน นักศึกษา ประชาชนลุกขึ้นต่อสู้ทั่วประเทศนับล้านคน เพื่อเรียกร้องให้ปล่อยคนทั้ง 13 คน และให้มีรัฐธรรมนูญโดยเร็ว

ศักดินาใหญ่ได้ฉวยโอกาสในตอนใกล้รุ่งของวันที่ 14 ตุลาคม ได้มีวิทยุลับสั่งให้พล.ต.ท. มนต์ชัย พันธ์คงชื่น ซึ่งเผชิญหน้าฝูงชนอยู่ที่รอบสวนจิตรลดาให้ตะลุมบอนตีนักศึกษา เพื่อหวังก่อคลื่นการต่อสู้ในหมู่ประชาชนที่มีต่อสามทรราชขึ้นมาใหม่ ทำให้มีการจลาจลกันทั่วไปในกรุงเทพฯ ผู้คนเสียชีวิตเกือบร้อยคน ขณะเดียวกันตำรวจตระเวนชายแดนนอกเครื่องแบบก็ถูกศักดินาใหญ่ส่งตัวออกไปปลุกความเกลียดชัง และรวมทั้งก่อวินาศกรรมเผาตึกหลายแห่ง พร้อมกับให้เปิดประตูวังต้อนรับนักศึกษาและประชาชนเพื่อคุ้มภัยให้ โดยแอบร่วมมือกับพลเอก กฤษณ์ สีวะรา ใช้อำนาจทางทหารบีบให้สามทรราชต้องบินออกนอกประเทศ โดยหน้าฉากได้ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าสามทรราชว่าจะไม่ยึดสมบัติอันมหาศาลของพวกเขา และจะให้กลับเข้าประเทศอย่างแน่นอนเมื่อเรื่องสงบลง แต่หลังจากเหตุการณ์ไม่นาน ศักดินาได้กลับคำและสนับสนุนให้ยึดสมบัติของพวกเขา รวมทั้งได้แสดงท่าทีเมินเฉยต่อการขอกลับประเทศในระยะ สองปีแรก
หลัง 14ตุลา 2516 อำนาจการปกครองจึงได้หวนกลับมาสู่อ้อมอกของกลุ่มศักดินาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่เมื่อ 2475 และต้องอยู่เบื้องล่างกลุ่มทหารมาตลอด นายสัญญา ธรรมศักดิ์ องคมนตรีเป็นคนที่ท่านไว้วางพระทัยมากที่สุดคนหนึ่ง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังเหตุการณ์นองเลือด ได้โยกย้ายนายทหาร ตำรวจที่เป็นเส้นสายของสามทรราชออกจากตำแหน่งสำคัญๆ ในช่วงนี้อิทธิพลของกษัตริย์ได้ค่อยๆเข้าแทนที่อิทธิพลของกลุ่มทหาร โดยสรรหาบุคคลที่จงรักภักดี ไม่ว่าจะจริงใจหรือด้วยความทะเยอทะยานเข้ามามีบทบาททางการเมือง เช่น พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธ์คงชื่น อธิบดีกรมตำรวจในช่วงนั้น

พร้อมกับการปรับปรุงตำรวจตระเวณชายแดน ฐานกำลังสำคัญของตนให้มีอาวุธทันสมัยขึ้น และยังพยายามหาฐานกำลังสนับสนุนจากชาวบ้านด้วยการตั้งกลุ่มลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดง โดยอาศัยกิจกรรมความบันเทิง ความเชื่องมงาย เพื่อดำรงความภักดีของพวกเขาต่อไปด้วยการพระราชทานผ้าพันคอ ให้เข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด ให้สายสะพายเหรียญตรา รวมทั้งสนับสนุนด้านเงินทอง นับวันกำลังของศักดินาก็เข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
ในช่วงที่มรว.คึกฤทธิ์ ปราโมชได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานสภาสนามม้า ซึ่งเป็นสภาชุดพระราชทาน แต่งตั้งโดยกษัตริย์ ก็ได้มอบให้มรว.คึกฤทธิ์แก้กฎมณเฑียรบาลเสียใหม่ โดยให้สตรีมีสิทธิ์ที่จะเป็นกษัตริย์ได้เช่นกัน ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้หนุนฟ้าหญิงพระธิดาองค์โปรดของพระองค์ให้มีโอกาสเป็นกษัตริย์ได้และจะได้เป็นตัวแทนของราชวงศ์สายในหลวง ขณะที่พระราชินีพยายามจะทรงดันพระราชโอรสขึ้นเป็นกษัตริย์ เพื่อตนจะได้เข้ากุมบังเหียน


การพยายามสร้างชื่อเสียงและปลูกฝังความจงรักภักดีในหมู่นักศึกษาของศักดินา กลับไม่เป็นไปตามที่กษัตริย์คาดการณ์นักศึกษาไม่ได้หลงติดยึดกับสถาบันกษัตริย์ซึ่งสวยหรูแต่ภายนอก แต่พวกเขากลับลุกขึ้นเพื่อต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม เพื่อสิทธิเสรีภาพ เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของผู้คนโดยเฉพาะชาวนา กรรมกรอย่างขนานใหญ่ และส่งผลกระทบกระเทือนผลประโยชน์กลุ่มศักดินาอย่างใหญ่หลวง ศักดินาจึงหันมาวางแผนเพื่อกำจัดคนรุ่นหนุ่มสาวมิให้เป็นเสี้ยนหนามของตนอีกต่อไป หลังวันที่ 12 สิงหาคมไม่นานก็เริ่มมีการปฏิบัติการตามแผนการลับขั้นที่ 1 โดยให้ส่งจอมพลประภาสบินกลับประเทศไทย เพื่อทดสอบพลังต่อต้านของประชาชน ทั้งสองพระองค์ได้แสดงออกอย่างเด่นชัดในการคัดค้านการต่อต้านของนักศึกษาและประชาชนด้วยการอนุญาตให้ประภาสเข้าเฝ้า มอบช่อดอกไม้และออกค่าใช้จ่ายจำนวนห้าแสนบาทเพื่อเป็นค่าเที่ยวบินพิเศษในการนำจอมพลประภาสกลับไทเป ก่อนจากไปได้มีการอนุญาตให้จอมพลประภาสปรากฏตัวทางโทรทัศน์ เพื่อแสดงบทขอความเห็นใจจากประชาชนโดยอ้างว่าตนเองนั้นนัยตากำลังใกล้บอดต้องการมารักษาในประเทศไทย
เมื่อกษัตริย์ต้องการสร้างสถานการณ์ปราบนักศึกษาก็แต่งคนไปเชื้อเชิญสามทรราชและให้การต้อนรับเป็นอย่างดี โดยได้รับการคุ้มครองอย่างเข้มแข็งจากนายพลทหารบกคนหนึ่งชื่อพล.ท. ยศ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ซึ่งเป็นหลานของจอมพลประภาส แผนร้ายในลำดับต่อมาได้เริ่มขึ้นด้วยการปลุกปั่นลูกเสือชาวบ้าน นวพล กระทิงแดงให้จงเกลียดจงชังนักศึกษามากเป็นพิเศษ และใช้กลไกราชการขัดขวาง ประณามและใส่ร้าย หาว่านักศึกษาไม่หวังดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็นพวกคอมมิวนิสต์

แผนลับขั้นที่สอง ได้เริ่มขึ้นเมื่อ 19 กันยายน 2519 มีการส่งพระถนอมเข้ามาเมืองไทยในรูปของสามเณร เพื่อมาบวชเป็นพระที่วัดบวรนิเวศน์อันเป็นวัดหลวงที่กษัตริย์เคยบวช
สามเณรถนอมเข้ามาทั้งๆที่คณะรัฐมนตรีมีมติห้ามเข้ามา พระถนอมได้รับความคุ้มครองจากตำรวจรอบวัด รวมทั้งการอารักขาจากพล.ท.ยศ เทพหัสดินทร์แม่ทัพภาคหนึ่ง ในช่วงนี้เองที่ฝ่ายสนับสนุนกษัตริย์ได้เผยโฉมออกมาอย่างชัดเจน ทั้งกษัตริย์และราชินีได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ 23 กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เช่นเดียวกับฟ้าชายซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ 3 ตุลาคม 2519 แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติ

การแสดงท่าทีเช่นนี้เป็นการประกาศสนับสนุนพระถนอม และคัดค้านการต่อสู้ของนักศึกษาและประชาชนที่ให้จับฆาตกรสามทรราชมาลงโทษอย่างตรงไปตรงมา และเมื่อนักศึกษากลุ่มหนึ่งได้จัดแสดงละครเลียนแบบการแขวนคอช่างไฟฟ้า สองคนที่ออกติดโปสเตอร์ต่อต้านพระถนอม แต่พวกศักดินาได้ฉวยโอกาสตกแต่งฟิล์มที่ถ่ายรูปตัวละครนั้นเสียใหม่ให้เหมือนเจ้าฟ้าชาย จากนั้นก็ใช้วิธีการที่พวกตนถนัด ในการโหมปลุกระดมความจงรักภักดีทั้งทางหน้าหนังสือพิมพ์และวิทยุอย่างขนานใหญ่ โดยกล่าวหานักศึกษาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพด้วยการแสดงละครแขวนคอฟ้าชาย เรื่องนี้สร้างความประหลาดใจแก่ชาวบ้านที่ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุในต่างจังหวัดมาก พวกเขาหลงเชื่อคำโฆษณา โดยเฉพาะลูกเสือชาวบ้านถึงกับถูกหลอกให้มาเที่ยวกรุงเทพฯ
ขณะเดียวกันพวกศักดินาได้ร่วมกับทหารบางกลุ่ม ตระเตรียมพวกอันธพาล กระทิงแดง ตำรวจชายแดน รวมทั้งทหารพลร่มป่าหวายติดอาวุธร้ายแรงครบครัน ล้อมทางเข้าออกมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ทุกด้าน จนเกิดการนองเลือดเมื่อเช้าตรู่วันที่ 6 ตุลาคม หนุ่มสาวผู้มีแต่สองมือเปล่าถูกระเบิด กระสุนซัดดังห่าฝน ตายและบาดเจ็บอย่างน่าอเนจอนาถ บางคนถูกจับแขวนคอ
เผาทั้งเป็นอย่างสยดสยอง ผู้หญิงบางคนถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี บางคนถูกทรมานเอาไม้ตอกทั้งเป็น เอาไม้แทงเข้าช่องคลอด
ในตอนเย็นวันที่ 6 ตุลาคม 2519 กลุ่มทหารก็ประกาศยึดอำนาจโดยมีพลเรือเอกสงัด ชลออยู่ (รัฐมนตรีกลาโหมในขณะนั้น) เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ ก่อนหน้ามีการประกาศยึดอำนาจในเย็นวันนั้น มีการพบปะระหว่างกษัตริย์และพล.อ.อรุณ ทวาทสิน เพื่อไปทาบทามพลเรือเอกสงัด ชะลออยู่ให้เป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติ เมื่อพลเรือเอกสงัดทราบว่ากษัตริย์ทรงสนับสนุนการปฏิวัติครั้งนี้อย่างยิ่งจึงได้ยอมรับ หลังจากนั้นได้มีการจัดตั้งรัฐบาลโดยนายธานินทร์ กรัยวิเชียรผู้มีความคิดคับแคบและใช้อำนาจเผด็จการในการบริหารประเทศตามอำเภอใจ

บทบาททางการเมืองทั้งลับและเปิดเผยด้วยลูกไม้อันแพรวพราวของสมเด็จ เป็นที่ลือเลื่องกันไปทั่วในหมู่ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือนชั้นผู้ใหญ่ วงการนักการเมืองและนักธุรกิจชั้นสูงต่างยกย่องสมเด็จในสมญานามต่างๆ และใช้กันอย่างกว้างขวาง บ่อยครั้งที่หนังสือพิมพ์มีการเขียนค่อนแคะ ด้วยพระสมญานามอย่างครื้นเครง เช่น “พระนางอสรพิษ” “ซูสีไทเฮา” “ผู้บัญชาการผบ.ทบ.” “คำสั่งเบื้องบน” เป็นต้น จนรู้กันทั่ว เดี๋ยวนี้ข้าราชการคนใดอยากเป็นใหญ่เป็นโตในพริบตาก็ต้องผ่านเส้นสมเด็จ เพียงแค่กราบใต้เบื้องพระบาทงามๆ และปฏิบัติตามคำบัญชาของพระองค์จนมีผลงานให้ดูเสมือนหนึ่งจงรักภักดี และจะพยายามถวายชีวิตนี้ให้พระองค์เท่านั้น ความยิ่งใหญ่นั้นก็จะมาได้อย่างง่ายดาย จนถึงกับมีนายทหารพูดว่า “อยากเป็นผู้การ ก็ให้ไปกราบท่าน” นี่จึงเปิดช่องให้พวกมักใหญ่ใฝ่สูงแต่ด้อยฝีมือต้องเข้ามาซบอกเกาะขอบชายกระโปรงตามๆกันเนื่องจากสมเด็จไม่ได้ทรงศึกษาในมหาวิทยาลัยหรือการศึกษาขั้นสูง ประกอบกับไม่ค่อยเข้าใจกฎเกณฑ์ทางวิทยาศาสตร์ สมเด็จจึงเป็นผู้ที่เชื่อคนง่าย ชอบการยกยอปอปั้น คำหวานหอม ตลอดจนเชื่อผีสางโชคลางเป็นอย่างยิ่ง ความใฝ่ฝันที่จะให้ราชบัลลังก์ตกอยู่กับตระกูลของตนและญาติวงศ์ที่ใกล้ชิด เป็นความฝันที่ใกล้จริง

เมื่อพระองค์ทรงกะเกณฑ์ให้ฟ้าชายแต่งงานกับโสมสวลี กิติยากร หลานแท้ๆของพระองค์ เมื่อวันที่ 3 มกราคม 2520 ฟ้าชายเป็นโอรสที่สนิทสนมและรักทูลกระหม่อมแม่มากกว่าพ่อ ทรงรักและเชื่อฟังแม่มาก ถึงกับเขียนกลอนสดุดีสมเด็จขณะที่ยังเรียนอยู่ที่ออสเตรเลีย ฟ้าชายนั้นเรียนไม่เก่ง เมื่อครั้งไปเรียนที่อังกฤษ ปรากฏว่าทรงสอบได้วิชาภาษาไทยเพียงวิชาเดียว ต้องย้ายโรงเรียนถึง 3 ครั้ง ในที่สุดย้ายมาเรียนวิทยาลัยดันทรูนในออสเตรเลีย ทรงชอบใส่ชุดทหารและติดอาวุธตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทั้งๆที่พระองค์รับราชการฝ่ายข่าวของกองทัพ นอกจากทรงพยายามแสดงออกถึงความสามารถสูงส่งอย่างเบาปัญญา

สำหรับโสมสวลีทรงเรียนหนังสือครั้งแรกที่โรงเรียนจิตรลดา การเรียนอยู่ในระดับต่ำ จนต้องสอบประถม 3 ตก 1ครั้ง เมื่อย้ายมาเรียนที่โรงเรียนราชินีล่าง(ปากคลองตลาด) การเรียนก็ไม่ดีขึ้น ครูถึงกับเอ่ยปากหนักใจแทน เพราะโสมสวลีของเราสอบ ม.ศ. 2 ตกซ้ำ 2 ปีติดต่อกันจึงลาออก สมเด็จทรงรับมาชุบเลี้ยงในราชวัง ฝึกทำของคาวหวานจนเก่งงานครัว ทั้งฟ้าชายและโสมสวลีต่างมีสายโลหิตที่ใกล้ชิดกันมาก มีคนเกรงว่าหากแต่งงานกันเช่นนี้ จะทำให้โอรสและธิดาที่ทรงประสูติมาจะมีโอกาสปัญญาอ่อนมาก เพราะเพียงแค่ลำพังสองพระองค์ ก็ทรงมีลักษณะอับเฉาทางปัญญามากพออยู่แล้ว เรื่องนี้มีผู้ท้วงติงมาก แม้แต่กษัตริย์เอง แต่เพราะเป็นความต้องการของฟ้าชายที่ถูกแม่ขอร้องให้แต่งงาน เรื่องจึงต้องว่ากันไปตามเพลง ผลมาปรากฏตอนท้ายมีผู้ที่เสียพระทัยมากที่สุดสองคน คือ โสมสวลีและสมเด็จ เพราะฟ้าชายทรงหนีไปมีนางสนมมากมาย และไม่คิดจะใยดีโสมสวลีต่อไป เพราะโสมสวลีคือลูกสะใภ้ที่แม่ต้องการ ส่วนเมียสุดที่รักของท่านคือ ยุวธิดา

ภาคผนวก
ความมั่งคั่ง
ร่ำรวยของกษัตริย์


การแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกษัตริย์นั้น ส่วนใหญ่จะกระทำผ่านสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามพรบ.จัดทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ พ.ศ. 2491 ได้แยกทรัพย์สินของกษัตริย์ดังนี้

1. ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือทรัพย์สินของกษัตริย์ก่อนครองราชย์ กฎหมายระบุให้การจัดการหาผลประโยชน์ตาม พระราชอัธยาศัย
2. ทรัพย์สินสาธารณะสมบัติส่วนแผ่นดินเช่นพระราชวัง กฎหมายให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ดูแล
3. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของกษัตริย์ นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว กฎหมายให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา

กษัตริย์เป็นผู้ดูแล ผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริงในสำนักงานนี้ก็คือกษัตริย์ แม้ว่ากฎหมายจะให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นประธานกรรมการ แต่กรรมการอื่นอีกอย่างน้อย4คน ก็มาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ ซึ่งในจำนวน 4 คนนี้ ผู้ที่ทำหน้าที่บริหารงานโดยตรง ก็คือผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สิน ซึ่งแต่งตั้งโดยกษัตริย์
และรายได้จากสำนักงานทรัพย์สินจะนำไปใช้ทางใดทางหนึ่งได้ ก็เมื่อได้รับคำอนุญาตจากกษัตริย์แล้ว และยังชี้อีกว่ากษัตริย์เท่านั้นที่มีอำนาจนำรายได้นี้ไปใช้จ่าย ทางใดก็ได้ตามใจชอบ พวกศักดินาเองพยายามปกปิดผู้อื่นตลอดมา เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้ว่ากษัตริย์เป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในสำนักงานทรัพย์สินกระทั่งทรัพย์สินส่วนพระองค์โดยตรงก็ยังมีกฎหมายกำหนดว่า ให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ขึ้นมาดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์และเมื่อใดมีความจำเป็นที่ต้องสัมพันธ์กับผู้อื่นในเรื่องของทรัพย์สินส่วนพระองค์ห้ามมิให้ระบุชื่อกษัตริย์ หรือข้อความใดที่อนุมานได้ว่ากษัตริย์เป็นคู่ความ ให้อ้างเพียงชื่อผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์เท่านั้น นี่แหละคือความพยายามหลบหลีกปกปิดทรัพย์ที่มีอยู่
สรุปลักษณะพิเศษของสำนักงานทรัพย์สิน ก็คือ
1. เป็นหน่วยงานที่ไม่ต้องเสียภาษี
2. ผลกำไร/รายงานผลการดำเนินงานทูลเกล้าถวายฯ พระเจ้าอยู่หัว
3. คณะกรรมการบริหารทั้งหมดโปรดเกล้าแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัว ยกเว้น 1 คน คือ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โดยตำแหน่ง
4. อยู่นอกเหนืออำนาจการปกครองของรัฐ
อาจกล่าวได้ว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสะสมทุนในปี 2503-2540 และนับเป็นกลุ่มทุนที่ทรงพลังและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง
นายโรเบิร์ต ฮอร์น (Robert Horn) นักวิเคราะห์การเมือง ได้ประมาณว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ ในฐานะหน่วยงานดูแลทรัพย์สินของ พระมหากษัตริย์มีสินทรัพย์ประมาณ 2,000 – 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐอเมริกา หรือไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้าน ถึง 3 แสนล้านบาท ในรูปของที่ดินและ หุ้น และมีการประมาณว่า สำนักงาน ทรัพย์สินฯ มีสินทรัพย์ที่ลงทุนในบริษัทในเครือเท่ากับ 34,912 ล้านบาทในปี 2538 และเพิ่มขึ้นเป็น 474,759 ล้านบาท ในปี 2540 หรือเพิ่มขึ้นประมาณ 13 เท่า ในช่วงเวลาเพียง 18 ปีเท่านั้นเอง และหากนับรวมมูลค่าของที่ดินและอสังหาริมทรัพย์อื่น ๆ แล้ว สินทรัพย์อาจมีสูงถึง 600,000 ล้านบาท ในปี 2540 จึงกล่าวได้ว่าสำนักงานทรัพย์สินฯ เป็นสถาบัน การลงทุนทางธุรกิจและมีสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของสังคมไทยนั่นเอง

ในหลวงของไทยครองตำแหน่ง
นักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศ

นายวิลเลียม เมลเลอร์ ( William Mellor) สำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) กล่าวว่าในหลวงของไทยครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศและพบว่าการถือครองสิริราชย์สมบัติผ่านทางสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กว่า 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวสองแสนล้านบาท ซึ่งเรืองนี้นั้นไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนใดๆในประเทศไทย พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ที่สุดกว่า 30% ในหุ้นเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย มีพนักงานในเครือกว่า 24,000 คน ผลิตสินค้านับตั้งแต่เคมีภัณฑ์ ไปยันวัสดุก่อสร้างสารพัด ส่วนหุ้นธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 3 ของไทย และในหลวงทรงถือหุ้นอยู่ 21% ส่วนเทเวศน์ประกันภัย ซึ่งสำนักงานทรัพย์สินฯถืออยู่ 87% หากนับหุ้นที่ถือผ่านสำนักงานทรัพย์สินฯแล้ว ก็จะคิดเป็น 7.5%ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทย

นักลงทุนซึ่งตกใจกลัวจากเหตุการณ์รัฐประหารก็กำลังเฝ้าจังหวะที่จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นไทยอยู่ แต่ระหว่างนั้นก็เข้าไปลงทุนในหุ้นที่ในหลวงทรงถือหุ้นใหญ่อยู่ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นว่าพระองค์ทรงอยู่ในพระราชบัลลังก์มาอย่างมั่นคงกว่า 61 ปี แล้ว ก็นับว่าเป็นหุ้นที่ปลอดภัยที่สุดของประเทศไทย รวมทั้งเป็นประเทศเกษตรและอุตสาหกรรมที่มีความน่าเชื่อถือ โดยเป็นทั้งประเทศที่ส่งออกข้าวใหญ่ที่สุดของโลก และเป็นศูนย์หกลางการผลิตยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียน
ตามตัวเลขเดิมนั้น กษัตริย์มีที่นาที่ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี สระบุรี นครนายก อยุธยา ปทุมธานี ตามที่รัฐบาลเปิดเผย 53,683 ไร่ โดยแจกเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินแก่ราษฎร 43,143ไร่ ส่วนที่ดินในกรุงเทพฯนั้นกษัตริย์มีที่ดินอยู่เกือบครึ่งเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณศูนย์การค้า เช่น ท่าพระจันทร์ สองข้างถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง หัวลำโพง ราชเทวี ประตูน้ำ สำเพ็ง ราชวงศ์ เยาวราช สีลม สี่พระยา บางรัก วงเวียนใหญ่
และที่สำคัญคือเป็นเจ้าของที่ดินอันเป็นที่ตั้งของสนามม้าหลายร้อยไร่ แหล่งการพนันที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองกรุงเทพฯ กษัตริย์จะได้ค่าเช่าจากสนามม้า ปีละมหาศาล และที่แน่ๆ ก็คือทรงสนับสนุนการแข่งม้า มีการประทานถ้วยให้ม้าแข่งชนะเลิศ
นอกจากนี้ คนยากจนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ก็ยังอาศัยในที่ดินของ คนกรุงเทพฯอยู่ในสลัมถึง 8 แสนคน เกือบทั้งหมดต้องเช่าที่ดินอยู่ และกว่าครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินของทางราชการและสำนักงานทรัพย์สิน กษัตริย์จึงเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสลัมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ เป็นทรัพย์สินก้อนใหญ่ที่ทำประโยชน์อย่างมหาศาล และไม่มีใครกล้าแตะต้องยุ่งเกี่ยวด้วยโดยเฉพาะการเสนอกฎหมายจำกัดการถือกรรมสิทธิ์ที่ดินในปัจจุบันพระเจ้าอยู่หัวทรงมีที่ดิน 32,500 ไร่
ในนั้นกว่า 7,500 ไร่ อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทย โดยพื้นที่บางแห่งมีมูลค่าตารางวาละหลายแสนบาท จากการประเมินของบริษัทซีพีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก

พื้นที่บางส่วนถูกนำไปพัฒนาเป็นศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งเป็นช็อปปิ้งมอลล์ใหญ่ที่สุดของประเทศ, สวนลุมไนต์บาร์ซ่า พื้นที่ยอดนิยมของนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศ, พื้นที่ถนนราชดำเนินอันเต็มไปด้วยตึกสวยงามและสถานที่ตั้งสำนักงานทรัพย์สินฯ และโรงแรมโฟร์ซีซั่น และโรงแรมดุสิตธานี
พระเจ้าอยู่หัวยังทรงถือหุ้น 87% ในโรงแรม เคมเพน สกี้ Kem penski ซึ่งมีฐานมาจากมิวนิค ประเทศเยอรมันนีด้วย ผ่านทางบริษัท CPB EQUITY ทั้งนี้รายงานในปี 2548 ระบุว่าเคมเพนสกี้ในไทยมีมูลค่ากว่า 716 ล้านเหรียญ (กว่า23,000 ล้านบาท)

คริส เบเกอร์ นักประวัติศาสตร์ผู้เขียนเรื่อง " ประวัติศาสตร์ไทย ” ร่วมกับดร.สุก พงษ์ไพจิตร ถึงกับกล่าวว่า“ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงรื้อฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นมาได้อย่างน่าทึ่ง โดยชี้ว่า "สำนักงานทรัพย์สินฯคือองค์กรธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ในเรื่องงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรอุดหนุนสถาบันกษัตริย์นั้น ทุกประเทศในยุโรปและประเทศที่พัฒนาแล้ว เงินปีที่ประชาชนถวายให้ในฐานะประมุขของประเทศที่พัฒนาแล้ว มีค่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับเงินปีที่ประชาชนถวายให้กับสถาบันกษัตริย์ และสมาชิกราชวงศ์ของประเทศไทย ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีคนจนมากมาย อีกทั้งทุกพระองค์ได้รับอภิสิทธิ์ในการยกเว้นภาษีเงินได้ ในขณะที่สถาบันกษัตริย์และสมาชิกในราชวงศ์ในประเทศพัฒนาแล้วต้องเสียภาษีเงินได้มากกว่า 40 เปอร์เซนต์

นอกจากนี้ประชาชนในประเทศไทยยังต้องถวายเงินเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ ของสมาชิกในราชวงศ์ เพื่อแสดงความจงรักภักดี อาทิ โครงการในพระราชดำริทุกโครงการ ซึ่งเป็นโครงการที่ไม่มีใครสามารถเข้าไปตรวจสอบและประเมินผลได้ โครงการประชาสัมพันธ์พระราชกรณียกิจ และพระกรณียกิจของทุกพระองค์ เป็นต้น อีกทั้งสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นนิติบุคคลที่ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีเงินได้ ข้อมูลจากนิตยสารเอลสิเวียร์ Elsevierซึ่งเป็นนิตยสารด้านการเงินของประเทศเนเธอร์แลนด์บอกว่า ควีนเบียทริกซ์ มีเงินปีที่ได้รับการถวายในการดำรงตำแหน่ง 762000 ยูโรต่อปี หรือราวปีละ 40 ล้านบาทซึ่งต้องเสียภาษีมากกว่า 40 เปอร์เซนต์ แตกต่างจากงบประมาณที่ประชาชนในประเทศไทยถวายให้กับสำนักพระราชวังสำหรับสำหรับทุกพระองค์ ดังตัวเลขเงินงบประมาณที่รัฐบาลจัดสรรให้แก่สำนักพระราชวังดังนี้

งบประมาณของสำนักพระราชวัง



ปี 2545 -1,136,536,600 บาท

ปี 2546 -1,209,861,700 บาท
ปี 2547-1,275,948,400 บาท
ปี 2548 -1,501,472,900 บาท
ปี 2549 -1,676,888,800 บาท
ปี 2550 -1,945,122,400 บาท
แยกรายจ่ายเฉพาะปี 2550 เฉพาะที่น่าสนใจ
1. งบบุคลากร 835,701,700 บาท
1.1 เงินเดือนและค่าจ้างประจำ 833,201,700 บาท
1.2 ค่าจ้างชั่วคราว 2,500,000 บาท

2. งบดำเนินงาน 339,869,300 บาท
2.1 ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ156,432,500 บาท
(1) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 24 คัน4,635,200 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น23,176,000 บาท
(2) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 23 คัน5,110,700 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น25,553,500 บาท
3. งบลงทุน 9,162,200 บาท
3.1 ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง9,162,200 บาท
3.1.1 ค่าครุภัณฑ์5,979,700 บาท
4. งบเงินอุดหนุน 756,889,200 บาท
4.1 เงินอุดหนุนทั่วไป756,889,200 บาท

1. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย
ในพระราชฐานที่ประทับ 280,000,000 บาท
2. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานที่ประทับ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร 180,000,000 บาท
3. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระองค์ 65,625,000 บาท
4. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ 57,856,000 บาท

5. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานต่างจังหวัด 100,000, 000 บาท
6. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินเบี้ยหวัดข้าราชการฝ่ายใน 8,908, 200 บาท
7. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินพระราชกุศลตามพระราชอัธาศัย 9,000, 000 บาท
8. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 19,000, 000 บาท
9. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมากจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 6,500,000 บาท
10. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระราชฐานและซ่อมเครื่องตกแต่ง 10,000,000 บาท
11. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพร้อมจัดหาซ่อม ทำเครื่องใช้เครื่องตกแต่ง 15,000,000 บาท
12. เงินอุดหนุนโครงการบูรณาการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 5,000,000 บาท
ยังมีงบแยกเป็นของสำนักเลขาธิการพระราชวังอีก 400 กว่าล้านบาท

ประเทศไทยนอกจาก จะมีราชวงศ์ที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บโดยมีทรัพย์สินล่าสุดรวมกันไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านล้านบาทแล้ว ประชาชาวไทยยังมีภาระเลี้ยงดูราชวงศ์ที่แพงที่สุด มากกว่าราชวงศ์ในประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
กษัตริย์ของประเทศอังกฤษและยุโรปเขาจนกว่ากษัตริย์ของเรามาก และกษัตริย์ของเขาต้องเสียภาษีแต่กษัตริย์ของไทยเรารวยกว่าเขามาก แถมยังไม่ต้องเสียภาษีและมีงบประมาณสนับสนุนอย่างเหลือเฟือ รวมทั้งได้รับเงินบริจาคที่มีจากหลายๆแหล่งตลอดทั้งปี

................