หรือที่ : http://www.mediafire.com/?obc22nz6zcw2u39
..........
ตำนานๆ 009003 : กษัตริย์มาจากไหน
ศาสนาฮินดู หรือศาสนาพราหมณ์ (Hinduism or Brahma Religion) เป็นศาสนาเก่าแก่ของชาวอารยันหรืออินเดียโบราณ มีมากว่า 5,000 ปี มีพราหมณ์เป็นผู้สั่งสอนและประกอบพิธีกรรม เคารพเทพเจ้าเป็นสิ่งสูงสุดมี 3 องค์ คือ พระพรหม พระวิษณุ หรือพระนารายณ์ และพระอิศวร หรือพระศิวะ มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด เรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า ผี สาง เทวดา และจัดแบ่งคนเป็น 4 วรรณะ(Varna or Caste) ตามอวัยวะของพระพรหม คือ ปาก แขน ขา และเท้า คือ
1. พราหมณ์ (Brahmans) เกิดจากปากของพระพรหม คือเชื้อสายนักบวชและนักปราชญ์ อาจเป็นนักบวชหรือไม่ก็ได้ เป็นราชาครองเมืองก็มี เป็นแม่ทัพก็มี ทำหน้าที่ศึกษา สั่งสอนและปฏิบัติพิธีกรรม
2. กษัตริย์ (Kshatriya) เกิดจากแขนของพระพรหม คือ เชิ้อสายผู้ปกครองและนักรบ
3. แพศย์หรือไวศยะ (Vaishya) เกิดจากท้องของพระพรหมเป็นบุคคลที่อยู่ในชั้นการใช้วาจา ค้าขาย คือ เชื้อสายพ่อค้า ชาวนา ช่างฝีมือ คนเลี้ยงวัว นายทุนเงินกู้ เกษตรกร
4. ศูทร (Shudra) เกิดจากเท้าของพระพรหม คือ เชื้อสายคนรับใช้ ทำหน้าที่รับใช้วรรณะทั้งสาม เป็นคนชั้นต่ำสุดที่สังคมรังเกียจ ศูทรก็คือชาวอินเดียพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ในชมพูทวีปมาก่อนที่พวกอารยันจะอพยพเข้ามา พร้อมกับนำศาสนาพราหมณ์เข้ามาเผยแพร่
การแต่งงานข้ามวรรณะ สามีต้องอยู่ในวรรณะที่สูงกว่าภรรยาจึงจะเป็นการแต่งงานที่ดี ถ้าสามีอยู่ในวรรณะต่ำกว่าภรรยา ถือเป็นการแต่งงานที่เลว บุตรที่เกิดจากการสมสู่ในวรรณะต้องห้ามโดยเฉพาะ คือ หญิงในวรรณะพราหมณ์ กับชายในวรรณะศูทร ถือเป็นการละเมิดที่รุนแรงที่สุด สามีภรรยาทั้งสองต้องถูกขับออกจากวรรณะของตน กลายเป็นพวกไม่มีวรรณะ ลูกออกมาจะเป็นพวกจัณฑาล (Dalit) ที่แปลว่า ของสกปรก หรือ สิ่งมลทิน หรือ ความชั่วร้าย เป็นที่เหยียดหยามของสังคม แตะต้องไม่ได้แม้แต่เงา
ผู้ที่ถูกขับออกนอกวรรณะเหล่านี้ จะไม่มีสิทธิ์กลับเข้าสู่ระบบวรรณะใดๆ ทางสังคมได้อีกเลย การสืบลูกสืบหลานต่อจากนั้น ก็จะกลายเป็นวรรณะจัณฑาล ไปตลอดกาล โชคดีที่ทุกวันนี้ จัณฑาลไม่ต้องแขวนหม้อดินไว้ที่คอเพื่อรองรับน้ำลายของตนที่ไม่อาจถ่มลงพื้นดินให้แปดเปื้อนได้ไม่ต้องห้อยไม้กวาดติดไว้ที่สะโพกเพื่อคอยกวาดกลบรอยเท้าขณะเดินเหมือนในสมัยเก่า
วรรณะพราหมณ์ถือว่าเป็นวรรณะสูงสุด เพราะถือว่าพราหมณ์เกิดมาจากพรหม หลักปฏิบัติของศาสนาพราหมณ์นั้นเน้นที่การบูชาเทพเจ้าที่ตนนับถือ เชื่อว่าเทพเจ้าจะพอใจและดลบันดาลให้ความหายนะหรือโรคระบาดหายไปได้ และมีความอดทนที่จะรับความทุกข์ยากโดยไม่คิดจะปรับปรุงแก้ไข เพราะถือว่านี่เป็นกรรมของตนหรือเป็นพรหมลิขิต
ศาสนาฮินดูจะมีพราหมณ์ เป็นผู้ผูกขาดการประกอบพิธี และทำหน้าที่สั่งสอน และจะมีการเรียนพระเวทหรือศึกษาคัมภีร์พระเวท ถ้าใครเรียนจบถือว่าเก่งมาก ผู้จบพระเวทจะสามารถประกอบพิธีทำให้มีรายได้ดี ถ้าใครจะให้ญาติที่ตายไปแล้วได้ขึ้นสวรรค์จะต้องนำทรัพย์หรือของมีค่ามาให้พราหมณ์มากๆ เพื่อพราหมณ์จะได้สวดส่งวิญญาณของญาตินั้นให้ขึ้นสวรรค์ ศาสนาพราหมณ์เน้นหนักในเรื่องพิธีกรรมมาก ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตายโดยมีกำหนดแบบแผนไว้อย่างละเอียด เพราะเชื่อกันว่าถ้าทำพิธีกรรมถูกต้องครบถ้วนหน้าแล้วจะมีผลขึ้นมาโดยอัตโนมัติแม้แต่เทวดาก็ไม่สามารถขัดขวางได้
ประเทศไทยปกครองด้วยระบอบศักดินามานานหลายร้อยปี พวกเจ้าศักดินาจะครองบ้านครองเมือง ตั้งตนเป็นเจ้าของที่ดินทั้งหมดทั้งๆที่ตนไม่เคยออกแรงถางป่าฟันไร่ มีอำนาจเป็นเจ้าเหนือหัวเหนือชีวิตผู้คนในบ้านเมือง ในนามพระมหากษัตริย์, พระราชา, พระเจ้าแผ่นดิน, พระเจ้าอยู่หัว ซึ่งชื่อเหล่านี้ได้บ่งถึงความยิ่งใหญ่คับฟ้าอยู่ในตัว
ข้าราชบริพารและไพร่ฟ้าประชาราษฎรต่างต้องทำมาหากินเป็นชาวนาชาวไร่ ไม่มีใครเป็นอิสระ ต้องเป็นไพร่ติดที่ดินสังกัดเจ้าศักดินาคนใดคนหนึ่ง ปีหนึ่งๆไพร่ชายที่มีอายุ18 ปีขึ้นไปต้องถูกเกณฑ์แรงงานถึง 6 เดือน คือเข้าเดือนเว้นเดือนโดยไม่มีค่าตอบแทนแม้แต่สตางค์แดงเดียว ซ้ำยังต้องนำข้าวไปกินเอง ทุกคนต้องเป็นข้ารับใช้แรงงาน ไปรบ ไปทำอะไรต่อมิอะไร แม้แต่ไปตายตามที่เจ้าศักดินาสั่ง ต้องทำเช่นนี้จนถึงอายุ 60 ปีจึงจะเป็นไทหรือเป็นอิสระ ชีวิตไพร่จึงจะอยู่จะตายขึ้นอยู่กับคำสั่งของเจ้านาย หากเจ้าศักดินา ยกที่ดินให้ใคร ไพร่ติดที่ดินนั้นก็ต้องไปขึ้นกับเจ้าศักดินาคนใหม่ทันที
ไพร่ยังถูกเรียกเก็บภาษีและอากรในรูปของเงินและพืชผลอีกหลายประเภท ทำให้ลำบากยากแค้น ต้องทำงานหนักต้องเลี้ยงพวกเจ้าศักดินา ใครที่ทนไม่ได้ก็จะหนีไปอยู่ป่า จะไม่มีสิทธิฟ้องร้อง ร้องเรียนต่อบ้านเมือง หากถูกค้นพบจะถูกสักข้อมือกลายเป็นไพร่หลวง คือข้ารับใช้ของพระเจ้าแผ่นดินทันที
ชีวิตของพวกศักดินาจำนวนหยิบมือหนึ่งนี้อยู่กันอย่างฟุ้งเฟ้อหรูหรา กินทิ้งกินขว้าง เสพสุขโดยไม่ออกแรงทำงานใดๆทั้งสิ้น ซ้ำยังดูถูกการใช้แรงงานเป็นสิ่งต่ำต้อยหยาบช้า ว่าเป็นพวกมือหยาบกร้าน ฝ่าเท้าหนา เท้าใหญ่ ขณะที่พวกศักดินาเฝ้าเสพเมถุนโดยไม่สนใจว่าเป็นลูกเมียใคร แล้วกลับยกย่องสรรเสริญหญิงนั้นว่ามีบุญวาสนาสูงส่งจึงได้บำเรอเจ้าศักดินา พวกเจ้ายังคงเสวยสุขบนน้ำตา เลือดเนื้อและความขมขื่นของไพร่ทาสที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
การที่ระบบศักดินายืนยงอยู่ได้ยาวนาน เพราะอาศัยการสร้างความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้นโดยอาศัยบรรดาสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสิ่งที่ผู้คนศรัทธาเชื่อถืออยู่แล้ว เช่น แอบอิงพระพุทธศาสนา ด้วยการโอ้อวดว่า กษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า เพื่อหลอกลวงให้เข้าใจว่า การปกครองของกษัตริย์นั้นชอบธรรมและทั้งๆที่พระพุทธเจ้ามิได้เคยรับรองว่ากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์เลย การให้เรียกกษัตริย์ว่า “ พระพุทธเจ้าอยู่หัว ” ซึ่งเป็นพระนามอันมีไว้เฉพาะพระพุทธองค์ และเรียกลูกกษัตริย์ว่า “ หน่อพุทธางกูร ” อันหมายถึง ผู้ที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตข้างหน้า ซึ่งเป็นการแอบอ้างเอาพระนามของพระพุทธองค์อันประเสริฐมาใช้โดยปราศจากความเคารพ
และยังแอบอิงความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือกันมานานนั่นคือ การที่พวกศักดินาถือว่ากษัตริย์เป็นเทวดาตั้งแต่ขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงสร้างราชาศัพท์ ซึ่งมีไว้ใช้เฉพาะกับกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลาย และมีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ อันทำให้แลดูว่ากษัตริย์สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไป เช่น ห้ามมองดูกษัตริย์ เพราะเหมือนมองพระอาทิตย์ กษัตริย์จะไม่ยอมให้เท้าเหยียบแผ่นดิน ถ้าเหยียบแผ่นดินแล้วไฟจะไหม้โลก และห้ามแตะต้องกษัตริย์ และอ้างว่าพวกตนมีบุญญาธิการสูงส่งหาผู้ใดเปรียบเปรยมิได้ ชาตินี้จึงเกิดมาได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ลูกท่านหลานเธอ จึงได้เสวยสุขบรมสุข มีอำนาจเหนือหัวของผู้คนทั้งหลาย แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าทรงสอนว่า คนเราแตกต่างกันเพราะการกระทำหาใช่ชาติกำเนิด และพระพุทธองค์ไม่เคยยอมรับเลยว่า กษัตริย์นั้นมีบุญมากกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด
ประวัติศาสตร์ไทยที่เราได้เล่าเรียนและรับฟังกันมา มีเนื้อหาส่วนใหญ่เป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา ทำให้ผู้คนหลงเชื่อว่า กษัตริย์ คือเทพเจ้าที่อยู่เหนือคำตำหนิใดๆ ของมนุษย์ เมื่อกล่าวถึงกษัตริย์จะมีแต่ส่วนดีงามและการยกย่องสรรเสริญเท่านั้นทั้งๆที่กิจวัตรของกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลายก็เหมือนคนทั่วๆไปที่มีทั้งส่วนที่ดีงามควรแก่การสรรเสริญ กับส่วนที่เลวร้ายต้องตำหนิวิจารณ์ การที่มีแต่การสรรเสริญอย่างเดียวและห้ามเอ่ยถึงส่วนที่เสียแม้แต่น้อยเพื่อการประจบสอพลอโฆษณาชวนเชื่อ จึงเป็นหนทางแห่งความเสื่อมมากกว่าเป็นเรื่องดี โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่การศึกษา ความรับรู้ของมนุษย์ได้ก้าวไปไกลมาก ข้อปฏิบัติที่ใช้บังคับประชาชนเกี่ยวกับกษัตริย์จึงเป็นเรื่องล้าหลังอย่างยิ่ง เพราะยิ่งบิดเบือนมากเสียงซุบซิบก็จะมีมากขึ้น
สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาจากไหน
ที่มาของพิธีกรรม
ที่สร้างความยิ่งใหญ่และความงมงาย
พิธีกรรมได้สร้างความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่เป็นอันมาก ที่ไม่สามารถเพิกถอนได้ด้วย ที่แท้ก็เริ่มต้นจากมนุษย์ในสมัยโบราณ เมื่อมีคนตายลงในครอบครัว คนที่อยู่ข้างหลังก็เอาศพไปฝังและย่อมจะกลัวรูปร่างอันน่าเกลียดว่าลุกขึ้นมาหลอกหลอน ต้องทำพิธีฝังอย่างมิดชิด เช่นเอาหินมาทับทำพิธีเคารพบูชา ขออย่าให้มาปรากฏให้เป็นที่น่ากลัว ซากศพก็ได้มีความยิ่งใหญ่ขึ้นมา เกิดพิธีเคารพบูชา ขออำนาจศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองป้องกัน หรือให้ลาภผล ซากศพก็กลายเป็นเทพเจ้าที่เชื่อกันว่าสามารถจะดลบันดาลให้ผลแก่ผู้เคารพบูชา ต่อมาขยายใหญ่ขึ้น คนเคารพบูชาก็มีมากขึ้น กลายเป็นเทพเจ้าประจำเมือง ตลอดถึงประจำอาณาจักร ซากศพหรือสิ่งที่เคยเป็นของปฏิกูลเน่าเปื่อยน่าเกลี่ยดน่าชังในตอนต้นก็ได้รับการตกแต่งให้ดีวิเศษขึ้น อาจได้รับการตั้งชื่อใหม่ให้เป็นพวกชาวฟ้าพวกชาวสวรรค์ ผู้ปกครองบ้านเมืองหรือผู้มีอำนาจที่แท้จริงกลายเป็นเทพเจ้าที่ไม่มีตัวตน ซึ่งเกิดจากพิธีกรรมที่ทำให้ยิ่งใหญ่กว่ามนุษย์ซึ่งเป็นผู้ปกครองอยู่จริงๆ เสียอีก
ต่อมาเมื่อมีเทวสถานหรือศาลเจ้า ก็ต้องมีคนรักษาสถานที่คอยปัดกวาดทำความสะอาด ซ่อมแซมสิ่งชำรุด คนที่มาหน้าที่นี้ อาจเป็นพวกไม่มีทางทำมาหากินอย่างอื่น และเข้ามาอาศัยเป็นที่อยู่ อาศัยของกินของผู้ที่นำมาสังเวยเทพเจ้า หรือฉวยโอกาสขอทานในเมื่อมีคนมาสักการบูชาเทพเจ้า บางทีคนที่มาสักการะก็ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรจึงจะได้ผลศักดิ์สิทธิ์จริง จึงต้องถามคนเฝ้า คนเฝ้าก็จะต้องทำตัวให้กลายเป็นผู้รู้ขึ้นมาทันที บอกให้ทำอย่างนั้นอย่างนี้
จากคนเฝ้าคนปักกวาดคนพเนจรมานอนอาศัย จากคนขอทานก็เลื่อนฐานะสู่ความยิ่งใหญ่ กลายเป็นผู้สอนเรื่องพิธีการสักการบูชาเทพเจ้า พอจับช่องทางได้ ก็คิดวิธีสักการะให้วิจิตรพิสดารมากขึ้น ยิ่งสร้างพิธีการให้มากเพียงใดก็ยิ่งสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่เทวสถาน เทพเจ้า และ ผู้เฝ้าเทวาลัยเองซ้ำคิดมนต์คาถาซึ่งคนอื่นไม่รู้ หรือรู้ไม่ได้ ต้องรู้แต่เฉพาะพวกเขา
การทำพิธีกรรมสักการบูชาก็ต้องให้พวกนี้ทำ คนอื่นทำไม่ได้ เลื่อนฐานะเป็นผู้ผูกขาดการประกอบพิธีกรรม สามารถจะพูดกับเทพเจ้าบนสวรรค์ จนมีฐานะสูงกว่าทั่วไป ที่เรียกกันว่า “ พระ ” หรือ “ พราหมณ์ ” กลายเป็นนักปราชญ์หรือผู้รู้ ใครไม่รู้อะไรก็ต้องมาถาม และก็ต้องหาทางตอบให้ได้ มีการปรึกษาหารือกันในพวกของตน เพื่อหาคำตอบให้สมเหตุสมผล วิธีผลัดผ่อนคือขอทำพิธีถามเทพเจ้า เมื่อปรึกษาตกลงกันแล้ว ก็ต้องจำไว้ จึงมีความจำเป็นต้องเล่าเรียนศึกษา ลูกเต้าก็ต้องเล่าเรียนเป็นปราชญ์สืบตระกูลแทนต่อไป คนพวกนี้เลยกลายเป็นแหล่งความรู้ จนกลายเป็นลัทธิ
คนที่จะมาขอความช่วยเหลือจากเทพเจ้านั้น ส่วนมากที่สุดก็มักจะเป็นผู้ที่มีโรคภัยไข้เจ็บ ไม่รู้จะรักษาอย่างไร ก็ต้องมาหาเทพเจ้า และผู้เฝ้าเทวาลัยซึ่งยกฐานะเป็นพระ เป็นพราหมณ์แล้ว ซึ่งก็ต้องทำพิธีรักษาให้ ถ้าเผอิญรักษาหายเข้า ความศักดิ์สิทธิ์ก็บังเกิดขึ้น ถ้ารักษาไม่หายก็ไม่ว่ากันเพราะจะลบหลู่เทพเจ้าไม่ได้ บางทีอาจจะบอกให้เอาใบไม้รากไม้หรือเปลือกไม้ทำเป็นยารักษาโรค ถ้าเผอิญได้ผล ก็จดจำไว้ ถ้าผิดก็ตายไป ทำกันมานานๆ ผู้รักษาเทวสถานก็กลายเป็นแพทย์
ในบางประเทศ คนพวกนี้ได้กุมอำนาจทางบ้านเมืองไว้หมด เป็นผู้ติดต่อกับเทพเจ้า เป็นผู้พิพากษาที่จะให้คนตายไปสวรรค์หรือลงนรก เป็นผู้ที่สามารถทำนายพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคตได้ จากการที่พวกเขาได้จดกันมานานและได้เก็บสถิติไว้ ที่ค่อนข้างถูกต้อง แต่อ้างว่าได้ถามเทพเจ้า โดยทำเป็นพิธีใหญ่ ทำให้มีฐานะยิ่งใหญ่เป็นถึงฑูตของเทพเจ้าจากสวรรค์ มีอิทธิพลเข้าครอบงำพวกลูกบ้านลูกเมืองจนหมด เพราะพระมหากษัตริย์ซึ่งปกครองอย่างเป็นพ่อ เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา ส่วนคำของพระเป็นคำของเทพเจ้าที่ศักดิ์สิทธิ์กว่า ทำให้พระมีอิทธิพลเหนือกว่ากษัตริย์
กษัตริย์ต้องแย่งชิงเอาความยิ่งใหญ่มาจากมือพระ โดยต้องอาศัยพิธีกรรมเหมือนกัน คือล่อเอาพระที่มีอิทธิพลมากๆ มาเข้าพวกกับกษัตริย์ และสอนคนว่าได้ยินได้ฟังมาจากเทพเจ้าว่า พระมหากษัตริย์นั้นไม่ใช่คนธรรมดาแต่เป็นลูกของเทพเจ้า การโฆษณาชวนเชื่อนี้ เมื่อไปนานๆ คนก็ยอมรับว่าพระมหากษัตริย์นั้นไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา เป็นลูกของเทพเจ้า หรือเป็นตัวเทพเจ้าซึ่งจุติลงมาเกิด กษัตริย์จึงยิ่งใหญ่กว่าพระ เพราะพระเป็นแต่เพียงทูตของเทพเจ้า ส่วนพระมหากษัตริย์นั้นเป็นลูกของเทพเจ้า หรือเป็นตัวเทพเจ้าองค์หนึ่งเอง เพราะฉะนั้นพระมหากษัตริย์จึงสามารถจะทำพิธีบวงสรวงเทพเจ้าวิงวอนร้องขออะไรจากเทพเจ้าได้เอง ไม่ต้องอาศัยพระ
ฐานะของกษัตริย์ จึงเปลี่ยนจากพ่อ มาเป็นเทพเจ้า เพราะถ้ากษัตริย์ยังทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็สู้พระไม่ได้ จำเป็นที่จะต้องเลื่อนฐานะขึ้นเป็นเทพเจ้า และราษฎรก็ลดฐานลงเป็นแค่เดรัจฉาน เป็นไพร่ทาส ไม่ได้เป็นลูกเหมือนแต่ก่อน ความเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงนี้ ล้วนมาจากพิธีกรรมเท่านั้นที่สร้างความยิ่งใหญ่อย่างมหาศาล ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้ คนเฝ้าศาลเจ้า คนทำความสะอาดในเทวาลัยสถาน กลายเป็นมนุษย์พิเศษ เป็นทูตของ
เทพเจ้า
ผู้ปกครองซึ่งเป็นมนุษย์ธรรมดา กลายเป็นเทพเจ้ากลายเป็นเทวดา แล้วถือกันจริงๆ เสียด้วยและเทพเจ้าตัวปลอมเหล่านี้ ท่านไม่ชอบให้มนุษย์ธรรมดาหน้าไหนมาแสดงความเก่งกล้าเกินหน้าท่าน อย่างที่หลวงวิจิตรได้เขียนกลอนไว้ว่า...อันที่จริงคนเขาอยากเห็นเราดี แต่ถ้าเด่นขึ้นทุกทีเขาหมั่นไส้
จงทำดีแต่อย่าเด่นจะเป็นภัย ไม่มีใครเขาอยากเห็นเราเด่นเกิน
ใครกันแน่
ที่เป็นคนสร้างเมืองสร้างประเทศ
สร้างพระราชวัง
ใครสร้างประวัติศาสตร์
ประวัติศาสตร์ของพวกเจ้ามักจะแอบอ้างว่า ความรุ่งโรจน์ของเมืองของประเทศ เป็นเพราะพระปรีชาสามารถของพระมหากษัตริย์ รวมไปถึงเหล่าขุนนาง
แต่ความจริง ไพร่มีบทบาทสำคัญมากที่สุด ไพร่ คือสถานะทางสังคมของประชาชนส่วนใหญ่ของอยุธยา แบ่งเป็น ' ไพร่หลวง ' ซึ่งมีหน้าที่มาเป็นแรงงานให้ราชการขึ้นกับเจ้า และ ' ไพร่สม ' ที่เป็นแรงงานส่วนตัวของขุนนาง ส่วนไพร่ที่อยู่ห่างไกลมากหรือที่กันดาร สามารถส่งส่วยเป็นสิ่งแทนการมาใช้แรงงานได้ กลุ่มนี้เรียกว่า ' ไพร่ส่วย '
ทุกครั้งที่มีการเกณฑ์ราชการ ไพร่จะต้องนำสัตว์ เช่น ช้าง วัว หรือควาย เครื่องมือเครื่องใช้ ตลอดจนเสบียงอาหารติดตัวมาเข้าเวรด้วย มีทั้งงานโยธา การเกษตร เป็นกำลังรบ หรือทำงานตามคำสั่งเจ้านาย บางครั้งถูกเกณฑ์ราชการเพิ่มโดยไม่ได้รับค่าตอบแทน เช่น สร้างพระเมรุทำถนนหรือพลับพลารับเสด็จ และเป็นกำลังคุ้มกันให้ขุนนางข้าราชการที่ต้องเดินทางไปราชการ ไพร่สมัยอยุธยายังถูกบีบคั้นมากขึ้น จาก สงคราม ความวุ่นวายภายในและโรคระบาดสงคราม
ในสมัยอยุธยามีการทำสงครามเป็นปกติ เพราะความต้องการเป็นใหญ่เหนือราชาองค์อื่นๆ และไม่ได้รบกันเพื่อขยายเขตแดน แต่เพื่อปล้นทรัพย์สินและปล้นคน เพราะระยะทางที่ไกลมากจะเอากองทัพมายึดครองคงทำไม่ได้ การกวาดต้อนทำให้ได้กำลังคนซึ่งมีความสำคัญกว่าเงินทอง เพราะเป็นแรงงานในยามสงบและเป็นทหารในยามสงครามการรัฐประหารการแย่งยึดอำนาจ
จากการชิงอำนาจกันของชนชั้นปกครอง ระหว่างเจ้านายกับขุนนาง ขุนนางกับขุนนาง ระหว่างเจ้านายกันเอง มีบ่อยครั้งต้องใช้ความรุนแรง คนที่อยู่ในระบบไพร่ก็ต้องไปเป็นกำลังสู้รบแย่งชิงอำนาจของพวกเจ้านายโรคระบาด
เพราะสยามเป็นเมืองร้อนจัด พลเมืองจึงต้องอยู่ตามริมลำแม่น้ำ..เมื่อเวลาหน้าแล้งน้ำไหลลงงวด น้ำก็ขุ่นเป็นโคลนตม โสโครกทำให้เกิดโรคบิดและโรคอหิวาต์หรือโรคห่า ตอนต้นอยุธยามีขบวนสินค้าจากจีนแวะค้าขายตามเมืองท่าต่างๆ จนถึงยุโรป ได้นำไข้ดำ (Black Death)หรือกาฬโรคที่มีหมัดหนูเป็นตัวนำ โรคนี้ไปทำลายเลือด ทำให้ตาย
ชีวิตของไพร่อยุธยานั้น จึงได้รับความลำบากมากขึ้นไปอีก ไพร่จึงพยายามหลบเลี่ยงด้วยวิธีการต่างๆ เช่น หาทางเสี่ยงมาขึ้นทะเบียนเป็นไพร่สมหรือบวช บ้างก็ขายตัวเป็นทาส และหนีไปหลบซ่อนตามป่าดง ทำให้อยุธยาประสบปัญหาขาดแคลนกำลังคนและไม่สามารถควบคุมกำลังคนได้เต็มที่ จนสร้างความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของอาณาจักรมาก จนนำไปสู่การเสียกรุงในที่สุด...ไพร่จึงเปรียบเสมือนเลือดเนื้อที่คอยหล่อเลี้ยงรัฐจึงเป็นส่วนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังความเจริญรุ่งโรจน์ของกรุงศรีอยุธยา
ใครกอบกู้ชาติ
ใครออกรบยามศึกสงคราม
ได้มีพระไอยการส่วนที่ว่าด้วยการศึกสงครามที่ตราขึ้นในสมัยซึ่งมีการทำศึกสงครามอยู่บ่อยครั้ง เพื่อกำหนดกฏเกณฑ์ตอบแทนผู้ที่สร้างผลงาน และลงโทษผู้ที่สร้างความเสียหายแก่กองทัพ
การจะได้เป็นชนชั้นขุนนางหรือเจ้านายนั้น ต้องมีศักดินา 400 ไร่ ขึ้นไป ดังนั้นไพร่จึงมีโอกาสได้เป็นขุนนางก็โดยการต้องสร้างความชอบจากการทำสงครามเท่านั้น
คือ ถ้าโจมตีข้าศึกจนแตกพ่ายหนี จะได้เงิน 1 ตลับทองและได้เป็นขุน ถ้าคนเดียวเข้าสู้กับข้าศึกสองคนแล้วชนะกลับมา ได้ทั้ง อาวุธข้าศึกมาด้วย จะได้ขันทอง เสื้อห้า และตั้งให้เป็นขุน ถ้าช่วยช้างจนรบชนะก็จะได้เป็นขุน ได้เงินลากทองลาก ลูกหลานได้รับเลี้ยงดูสืบไป ยังมีกรณีพิเศษ คือได้เป็นเจ้าเมืองและยังได้ภรรยาพระราชทาน ถ้าจับตัวท้าวพญา (แม่ทัพนายกองสูงศักดิ์) ก็จะได้เป็นเจ้าเมือง ได้ภรรยาพระราชทานหนึ่งคน
และมีรางวัลที่จะได้รับ หากชนช้างชนะ
ไว้ถึง 3 ลักษณะด้วยกัน คือ
-ถ้าชนช้างชนะ บำเหน็จ จะได้หมวกทอง เสื้อสนอบทองปลายแขน ยกที่นา10000 (ซึ่งสูงสุดสำหรับขุนนาง) ถ้ามีนา 10000 แล้ว ให้ร่มคันทองคานหามทอง(มีคนหาม)
-ถ้าสังหารข้าศึกคาหัวช้าง จะได้พานทองหมวกร่มคันทองคานหามทองและได้รับพระราชทานภรรยาหนึ่งคน ถ้าจับตัวแม่ทัพยศสูงได้เป็นๆก็ได้รับการแต่งตั้งให้มียศสูงเท่ากัน
-ถ้าพลราบเดินเท้าได้ช่วยช้างรบได้ชัยชนะ ให้ยกขึ้นเป็นขุน ได้เงินลากทองลาก ให้เลี้ยงดูลูกหลานสืบไป ผู้ชนช้างก็ได้รางวัลแบบเดียวกัน แม้รางวัลในการชนะศึกนั้นมากมาย ตั้งแต่ได้เสื้อผ้ามีราคาจนไปถึงได้เป็นเจ้าเมือง แต่ก็มีบทลงโทษตามอาญาทัพที่หนักหนาสาหัสเช่นกัน คือ
-ถ้าใครถอยแค่ช่วงไม้หนึ่ง ให้ตัดหัวตัดเท้า แล้วนำตระเวณรอบกองทัพ ลูกหลานอย่าเลี้ยงเมื่อหน้า คือประหารทั้งโคตร -เข้าประจำกระบวนทัพแล้ว และ ยกเข้าต่อสู้ศัตรู ถ้าถอยออกมาระยะ 3 ตัวช้าง ให้ฆ่าเสีย -ถ้าเข้าชนช้างแล้วเกี่ยวช้างถอยหนี ให้คนที่อยู่กลางช้างฟันตกจากหลังช้างและตัดหัวประจาน ลูกหลานสืบไปอย่าเลี้ยง ( คือประหารทั้งโคตร ) จะเห็นได้ว่าในการออกศึกของไพร่พลนั้น ศักดินาจะมีทั้งรางวัลเป็นเครื่องล่อและมีบทลงโทษที่เด็ดขาดเหี้ยมโหดรุนแรงเพื่อบีบบังคับให้ไพร่พลไปตายแทนพวดเขาอย่างไม่มีทางเลือก
ความเหี้ยมโหดของพวกเจ้า
เวลาฆ่าพวกเดียวกัน
สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์
เบื้องหลังการได้มา และการรักษาราชบัลลังก์ โดยเฉพาะการเปลี่ยนราชวงศ์ผลัดแผ่นดิน วันทำรัฐประหารยึดอำนาจหรือก่อการกบฏ ที่มักจบลงด้วยการ “ สำเร็จโทษ ” ในสมัยโบราณที่ดุเดือดจาก ความเข้มแข็งของราชตระกูลที่ต่างฝ่ายต่างมีกำลัง และในที่สุดต้องตัดสินกันด้วยกำลัง จึงต้องให้แน่ใจว่าพระองค์จะอยู่เหนือบัลลังก์ที่เต็มไปด้วยหอกดาบได้อย่างมั่นคงตลอดไป บางครั้งมีกำลังไม่ถึงร้อยก็คิดการใหญ่กันแล้ว ดังนั้นการใช้พระราชอำนาจในการสั่งสำเร็จโทษก็เกิดขึ้นได้ง่ายโดยเป็นไปตามระเบียบแบบแผน เพื่อรักษาศักดิ์ศรีของราชตระกูลอย่างเคร่งครัด ตั้งแต่วาระแรกของชีวิต จนถึงลมหายใจสุดท้าย
กฏมณเฑียรบาล
พระราชอำนาจในการสังหาร ศัตรูทางการเมืองของกษัตริย์อยุธยา ทรงใช้ผ่านกฎหมายตราสามดวง สำหรับการประหาร อดีตกษัตริย์พระราชโอรส พระมเหสี นางสนม จะอยู่ในกฏ มณเฑียรบาล ว่าด้วยการสำเร็จโทษพระราชกุมาร รวมไปถึงอดีตพระมหากษัตริย์ ในกรณีที่ได้รับโทษสูงสุด ให้สำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ มาตรา 176 ในกฎมณเฑียรบาลว่าไว้ดังนี้
ถ้าแลโทษหนักถึงสิ้นชีวิตไซ้ ให้ส่งแก่ทลวงฟันหลังและนายแวงหลัง เอาไปมล้างในโคกพญา นายแวงนั่งทับตักขุนดาบ ขุนผู้ใหญ่ไปนั่งดู หมื่นทลวงฟันกราบ 3 คาบ ตีด้วยท่อนจันทน์แล้วเอาลงขุม นายแวงทลวงฟันผู้ใดเอาผ้าธรงแลแหวนทองโทษถึงตาย เมื่อตีนั้นเสื่อขลิบเบาะรอง พระมหากษัตริย์ หรือพระราชโอรส ที่ถูกสำเร็จโทษตามมาตรานี้ คือ แพ้พวกรัฐประหาร กษัตริย์ผู้มาใหม่จำเป็นต้องกำจัดศัตรูทางการเมือง คือกษัตริย์องค์เดิม รวมถึงการขุดรากถอนโคนพระราชวงศ์ หรือโทษฐานคิดกบฏ คือก่อการกบฏ แล้วทำไม่สำเร็จ สรุปก็คือเพื่อรักษาราชบัลลังก์ และโค่นราชบัลลังก์ เป็นหลัก
ให้ส่งแก่ทลวงฟันหลัง แลนายแวงหลัง
ทลวงฟัน เป็นนักดาบที่ทำหน้าที่ เพชฌฆาต
ส่วนนายแวงมีหน้าที่ดูแลความเรียบร้อย และรักษาความปลอดภัย หรือ เป็นผู้คุม
การสำเร็จโทษ ทำกันที่ว่างข้างวัด หรือป่าช้า เพราะต้องขุดหลุมฝังพระศพในที่เดียวกัน
ในที่ประหารนั้นนายแวงมีหน้าที่เป็นผู้คุม บรรดานายแวง และขุนดาบที่นั่งแถวล้อมวงเป็น ต่างก็มีดาบเตรียมป้องกันภัยอยู่พร้อม สามารถระวังป้องกันเหตุร้าย หรือ คุมเชิง จากอีกฝ่ายหนึ่งได้
หมื่นทลวงฟันกราบ 3 ครั้ง เพื่อขอสมาลาโทษ
ก่อนที่จะตีหรือทุบให้จับใส่ถุงแดงก่อน ป้องกันไม่ให้ผู้ใดแตะต้องหรือสัมผัสองค์พระมหากษัตริย์ พระราชกุมาร หรือพระมเหสีอันเป็นการผิดข้อห้ามตามโบราณราชประเพณี โดยป้องกันทั้งการอัญเชิญเสด็จไปยังแดนประหาร และการอัญเชิญพระศพหลังการประหาร ถุงแดงช่วยซับพระโลหิต ไม่ให้เล็ดลอดออกมาถึงพื้นดินอีกด้วย
จากนั้นใช้ท่อนไม้จันทน์สองท่อนบีบอัดเสียให้สิ้นพระชนม์ อย่าให้พระโลหิตตกต้องถึงแผ่นดินได้ ไม้ค้อนท่อนจันทน์ขนาดใหญ่ น่าจะมีลักษณะเหมือนสากตำข้าว โดยจับพระองค์นอนลงบนเสื่อ และเบาะที่รองอยู่ เพื่อป้องกันพระโลหิตตกถึงพื้น เอาท่อนจันทน์ทิ่มเขาในพระอุทรหรือท้องลักษณะเหมือนตำข้าว และห้ามแกะถุงแดงโดยเด็ดขาด
เมื่อเสร็จพิธีแล้ว ให้รีบฝังโดยเร็ว ห้ามผู้ใดขโมยทรัพย์สมบัติของผู้ตายและห้ามให้เห็นศพ เสร็จแล้วเจ้าพนักงานอัญเชิญพระศพบรรจุลงในอ่าง หรือถังใบใหญ่ พร้อมท่อนจันทร์ แล้วนำไปฝัง ให้มีคนเฝ้าหลุมพระศพอยู่ 7 วัน เพื่อให้แน่ใจว่าสิ้นพระชนม์จริง และป้องกันฝ่ายที่ยังจงรักภักดีมาขุดพระศพไปเพราะเคยมีกรณี “ ฝังทั้งเป็น ” แล้วมีการลักลอบช่วยเหลือจากผู้ที่เป็นฝ่ายเดียวกัน
สำหรับพระศพจะยังคงถูกฝังอยู่ที่เดิมนั้นตลอดไป ไม่มีการขุดขึ้นมาทำตามพิธีทางศาสนาแต่อย่างใด นอกเสียจากว่าพระราชวงศ์ของพระองค์รุ่นต่อมากลับขึ้นมามีอำนาจใหม่ จึงจะมีการขุดพระศพขึ้นมากระทำการตามราชประเพณีต่อไป ซึ่งโอกาสเช่นนี้เป็นไปได้น้อยมาก เนื่องจากว่าการสำเร็จโทษแต่ละครั้งนั้น มักจะเป็นการขุดรากถอนโคนจนสิ้นสายสกุล เพื่อป้องกันศึกสายเลือด
การแย่งชิงราชสมบัติ
เป็นนิสัยของกษัตริย์ไทย
-เมื่อพระเจ้าอู่ทองสวรรคต ในปี พ.ศ. 1912 พระราเมศวรก็ขึ้นเป็นกษัตริย์ ได้เพียงปีเดียว ขุนหลวงพะงั่วเจ้าเมืองสุพรรณบุรีซึ่งทรงเป็นพระเจ้าลุงยกกองทัพมาจากเมืองสุพรรณบุรี ประชิดกรุงศรีอยุธยา พระราเมศวรทรงสละราชสมบัติให้พระเจ้าลุงคือพระบรมราชาธิราชที่ 1 พระราเมศวร เสด็จกลับไปครองลพบุรีตามเดิม อยู่ 18 ปี เมื่อพระบรมราชาธิราชที่1(ขุนหลวงพะงั่ว) สวรรคต พระเจ้าทองลันโอรสซึ่งมีพระชนมายุได้ 15 พรรษาก็ขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ที่ 4 ของอยุธยา พระเจ้าทองลันครองราชสมบัติได้เพียง 7 วัน พระราเมศวรก็ยกทัพลงมาจากลพบุรี แล้วสำเร็จโทษพระเจ้าทองลันด้วยท่อนไม้จันทร์ แล้วพระราเมศวร ก็ครองราชสมบัติครั้งที่ 2 นี้อยู่ 7 ปี และทรงสวรรคต พระรามราธิราช โอรสของพระองค์ได้ขึ้นครองราชยสมบัติต่อเป็นกษัตริย์องค์ที่ 5 ของอยุธยา พระรามราธิราชอยู่ในราชสมบัติ 15 ปี ก็เป็นอันสิ้นสุดราชวงศ์อู่ทอง
-พ.ศ. 1967 ในสมัยของพระอินทราชา (เจ้านครอินทร์) ได้ส่งพระโอรสไปครองเมืองต่างๆรอบอาณาจักรอยุธยาคือ เจ้าอ้าย โอรสองค์โตไปครองสุพรรณบุรี เจ้ายี่ โอรสองค์รองไปครองสวรรค์บุรี และเจ้าสามพระยาไปครองชัยนาท เมื่อเจ้านครอินทร์สวรรคต โอรสทั้งสามก็แย่งราชสมบัติกัน โดยเจ้าอ้ายและเจ้ายี่ทำการชนช้างและสิ้นพระชนม์ทั้งคู่ เจ้าสามพระยาจึงได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า พระบรมราชาธิราชที่ 2
พระเทียรราชา บวชหนีราชภัย
ก่อนจะทำรัฐประหารยึดอำนาจ
พ.ศ. 2070 สมเด็จพระไชยราชาธิราช เสด็จสวรรคต ระหว่างไปรบกับเชียงใหม่ มีพระราชโอรส คือพระยอดฟ้า พระชนม์ 11 พรรษา และพระศรีศิลป์ พระชนม์ 5 พรรษา พระเทียรราชาหรือสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ต้องออกบวชเพื่อให้การผลัด เพราะเป็นพระอนุชาต่างมารดาของพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน หากอยู่ในเพศฆราวาสต่อไป ก็อาจทำให้เกิดความระแวงได้ว่าจะเป็นภัยต่อราชสมบัติของยุวกษัตริย์ คือพระยอดฟ้า ที่เป็นหลานของพระองค์
แต่ระหว่างที่พระเทียรราชาออกบวชนั้น แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ พระมารดาของพระแก้วฟ้า ได้เป็นผู้ว่าราชการหลังม่านแทนยุวกษัตริย์ เป็นผู้มีอำนาจตัวจริง
ท้าวศรีสุดาจันทร์ จากภาพยนตร์ ศรีสุโยทัย |
พงศาวดารระบุว่า แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ได้ทรงมีชู้อยู่กินกับพันบุตรศรีเทพ พนักงานเฝ้าหอพระด้านนอกวัง จนมีพระราชธิดาด้วยกัน 1 องค์ และต่อมาก็ได้ก่อเหตุปลงพระชนม์พระยอดฟ้า
แล้วยกพันบุตรศรีเทพ ชู้รักขึ้นเป็นกษัตริย์ ชื่อว่า ขุนวรวงศาธิราช
เมื่อบ้านเมืองเป็นทุรยุคบรรดาขุนนางก็ทนไม่ได้ ไปร่วมวางแผนกับพระภิกษุเทียรราชาในวัด และพากันทำการยึดอำนาจรัฐประหาร ล้มล้างราชบัลลังก์แม่อยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และขุนวรวงศาธิราชเป็นผลสำเร็จ
แล้วก็ได้ทูลขอให้พระภิกษุพระเทียรราชาลาสิกขา เป็นฆราวาส เสด็จขึ้นครองราชย์ในพระนาม สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
นักประวัติศาสตร์บางสำนักเชื่อว่า พระเทียรราชาอาศัยผ้าเหลืองหนีราชภัย แล้วสมคบคิดกับขุนนางและขุนศึกก่อการรัฐประหารยึดอำนาจแม่เจ้าอยู่หัวศรีสุดาจันทร์ และรัชทายาทตามกฎหมาย แต่เมื่อล้มล้าง"อำนาจเก่าสำเร็จแล้ว ก็แก้ประวัติศาสตร์เสียใหม่ให้พระนางเลวชาติโดยการกล่าวหาว่า"ฆ่าผัว-ฆ่าลูก-คบชู้-ยกชู้ขึ้นเป็นใหญ่" ตามทำนอง"ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร"
จากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวันวลิต ( Jeremias van Vliet ) ซึ่งนักวิชาการประวัติศาสตร์ยกย่องว่าเป็น "เอกสารชั้นต้น" เนื่องจากเป็นการจดบันทึกที่ใกล้เคียงกับเหตุการณ์มากที่สุด ได้บันทึกไว้ว่า พระองค์เชษฐราชา พระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 23 เสวยราชย์อยู่ 8 เดือน ทรงเป็นพระราชโอรสของพระอินทราชา (โอรสพระเอกาทศรถ ราชวงศ์สุโขทัย ต้นราชวงศ์คือ สมเด็จพระมหาธรรมราชา พระราชบิดาของพระนเรศวร)
ขึ้นเสวยราชย์ (โดยแย่งพระเจ้าอาซึ่งขัดต่อกฎมณเฑียรบาล ) เมื่อพระชนม์มายุได้ 15 พรรษา ทรงพระนามว่า พระองค์เชษฐราชา ทรงเป็นเจ้าชายที่มีอารมณ์ร้าย และเอาพระทัยยาก ไม่สนใจกิจการใดๆ ตัณหาจัด ไร้ความคิด เอาแต่ความความสำราญ
พระอนุชาของพระอินทราชา ( หรือพระปิตุลาหรือพระเจ้าอาของพระองค์ ) ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิในราชบัลลังก์ แต่ถูกปฎิเสธ ก็ทรงสละทางโลกหันเข้าหาร่มกาสาวพัสตร์ เพื่อรักษาชีวิตของพระองค์เองไว้ เนื่องจากพระองค์ทรงถูกขู่คุกคาม แต่พระองค์ก็ทรงเฝ้าดูความประพฤติ และพระราชกรณียกิจของพระเจ้าแผ่นดินผู้ทรงพระเยาว์อย่างใกล้ชิด ทรงเข้าพระทัยดีว่าทำไมขุนนางและประชาชนจึงเกลียดชังพระเจ้าแผ่นดิน เมื่อได้โอกาสจึงลาผนวช เสด็จไปบางกอก ( กรุงเทพฯ ) ซ่องสุมผู้คนอย่างลับ ๆ เท่าที่จะทำได้ เพื่อต่อต้านพระเจ้าแผ่นดินผู้เป็นหลานอาของตนเอง
เมื่อพระเชษฐราชาทรงทราบเรื่อง ก็ทรงรวบรวมกองทัพ ประกอบด้วยกองทัพญี่ปุ่น และส่งออกญากลาโหม และออกญาดุน ( Oya Thun ) ซึ่งเป็นพันโททหารญี่ปุ่นไปต่อสู้กับพระเจ้าอา ตีผู้คนของพระเจ้าอาแตกพ่ายไป และจับพระเจ้าอาเป็นเชลย
พระเชษฐราชาทรงโสมนัสดีพระทัยมาก เมื่อทราบข่าวว่ารบชนะ และพระเจ้าอาถูกจับเป็นเชลย หลังจากทรงไตร่ตรองแล้ว ก็ตัดสินพระทัยไม่ฆ่าพระเจ้าอา แต่ปล่อยให้สิ้นพระชนม์โดยการลดจำนวนอาหารลงทุกวันๆ ณ เมืองเพชรบุรี มีการขุดบ่อลึกเพื่อขังพระเจ้าอา ทรงได้รับอาหารโดยลดจำนวนลงทุกวันๆ จนกระทั่งทรงหมดพระกำลัง ได้แต่ทรงรอความตาย แต่พวกพระสงฆ์รักพระเจ้าอา เนื่องจากทรงมีคุณงามความดี จึงขุดหลุมห่างจากบ่อที่พระเจ้าอาถูกขัง และทำทางคล้ายอุโมงค์ใต้ดิน เมื่อถึงเวลาค่ำก็พากันมาช่วยพระเจ้าอา โดยเอาศพมาวางแทนที่และแต่งตัวศพด้วยฉลองพระองค์ของพระเจ้าอา
รุ่งเช้า เมื่อทหารมาส่องดูที่ปากบ่อ ก็นึกว่าพระเจ้าอาสิ้นพระชนม์แล้วด้วยความหิวโหย จึงช่วยกันถมบ่อ และเดินทางไปกรุงศรีอยุธยากราบทูลเรื่องราวแก่พระเชษฐราชา พระสงฆ์ก็ช่วยกันปฐมพยาบาลพระเจ้าอา จนกระทั่งมีพระอนามัยดีเหมือนเดิม ทรงให้กระจายข่าวไปว่าพระองค์ยังทรงมีพระชนม์ชีพอยู่ และได้รับความช่วยเหลือรอดชีวิตมาอย่างปาฏิหารย์ ทรงรู้สึกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่พระองค์ทรงรอดชีวิตในครั้งนี้ และเป็นโอกาสเหมาะที่พระองค์จะทรงซ่องสุมพวกพ้อง
เมื่อพระเชษฐราชาทรงทราบข่าวว่าพระเจ้าอายังมีพระชนม์ชีพอยู่และกำลังซ่องสุมผู้คน จึงให้ออกญากลาโหมและออกญาดุน ยกกองทหารไทยและญี่ปุ่นไปที่เพชรบุรีได้ชัยชนะจับตัวพระเจ้าอาลงไปกรุงศรีอยุธยา และพระเชษฐราชาได้มีรับสั่งให้ลงโทษประหารชีวิต
ก่อนถูกประหารชีวิตพระเจ้าอาได้ทูลเตือนพระเชษฐราชาไม่ควรทรงไว้ใจออกญากลาโหมมากนัก หรือให้ออกญากลาโหมมีอำนาจมากเกินไป เพราะเป็นสุนัขจิ้งจอกที่แยบยล จะแย่งมงกุฎจากพระเศียรของพระองค์ จะฆ่าพระองค์ และทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง แต่พระเชษฐราชา ก็ไม่ใส่ใจคำเตือน
ทรงมีกระแสรับสั่งให้ประหารชีวิต พระเจ้าอาถูกนำไปยังป่าช้าร้าง ถูกบังคับให้นอนบนพรมสีแดง จากนั้นถูกทุบด้วยท่อนไม้จันทน์ที่พระอุระ (อก) ทั้งพระองค์ ท่อนจันทน์ และพรมสีแดงถูกเหวี่ยงลงบ่อน้ำ สิ้นพระชนม์เมื่อพระชนมายุได้ 26 พรรษา ทรงเป็นเจ้าชายที่เข้มแข็งมาก ถ้าหากพระองค์ทรงได้ครองราชสมบัติตั้งแต่เริ่มแรกแล้วจะทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินซึ่งมีคุณงามความดีเหนือกว่าพระเชษฐราชาหลายประการ
เมื่อพระเชษฐราชาทรงได้รับชัยชนะ และประหารชีวิตพระเจ้าอาก็ยิ่งเพิ่มความประมาท หยิ่งผยอง และกดขี่บรรดาขุนนางทั้งหลาย ตรงกันข้ามกับออกญากลาโหม ซึ่งเป็นมิตรกับทุก ๆ คน เมื่อน้องชายออกญากลาโหมตาย และจะทำพิธีเผาศพอย่างใหญ่โต ออกญากลาโหมก็เชิญขุนนางหลายคนเดินทางไปกับตนเป็นเวลาหลายวัน เพื่อทำพิธีเผาศพให้สมบูรณ์
ขณะที่ออกขุนนาง พระเชษฐราชาทรงมีรับสั่งถามว่า “ ขุนนางหายกันไปไหนหมด ทำไมถึงไม่มาเข้าเฝ้าเป็นเวลาหลายวันแล้ว ” เมื่อทรงทราบ ว่าพวกขุนนางติดตามออกญากลาโหมไปในพิธีเผาศพน้องชาย ก็ทรงพิโรธ ตรัสว่า “ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าแผ่นดินสยามนั้นจะต้องมีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว และพระเจ้าแผ่นดินองค์นั้นก็คือข้า ออกญากลาโหมเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สองหรือ ข้าไม่ยักรู้ เอาเถิดปล่อยให้มันและพวกพ้องกลับมาถึงราชสำนักก่อน แล้วข้าจะให้รางวัลในการกระทำของพวกมันอย่างเต็มที่”
ขุนนางที่เฝ้าอยู่ในขณะนั้น แอบลอบออกจากพระราชวัง ไปเตือนออกญากลาโหมถึงอันตรายที่จะเกิดขึ้น ออกญากลาโหมมีทีท่าวุ่นวายใจและกล่าวว่าตนยินดีที่จะตายถ้าหากจะทำให้พระเชษฐราชาหายโกรธได้ แต่ถ้าหากตนซึ่งเป็นคนมีชื่อเสียงที่สุดต้องสิ้นชีวิต พวกขุนนางจะเป็นอย่างไร
พวกขุนนางได้พากันสาบานว่าจะสนับสนุนออกญากลาโหมทุกประการ และแต่ละคนจะเกณฑ์พรรคพวกและข้าทาสเข้าร่วมด้วย แล้วต่างก็แยกย้ายกัน พร้อมกับเริ่มดำเนินการตามแผน เย็นวันนั้น ออกญากลาโหมพร้อมกับทหารจำนวนหนึ่งและพวกขุนนางก็รวมกันบุกเข้ายึดพระราชวัง เมื่อพระเชษฐราชาทรงทราบข่าว ก็กระโดดขึ้นช้างตีนเร็ว ( fleet-footed-elephant ) หนีไปแต่ผู้เดียว เสด็จซ่อนพระองค์อยู่ในวัดร้าง ออกญากลาโหมก็ส่งทหารไปจับพระองค์เป็นเชลย นำกลับมายังกรุงศรีอยุธยา พวกขุนนางก็พิจารณาลงโทษประหารชีวิตตามข้อแนะนำของออกญากลาโหม ซึ่งกล่าวว่าเนื่องจากได้เสด็จหนีไปจากพระราชวังทรงละทิ้งมงกุฎและเกียรติยศของกษัตริย์ จึงไม่สมควรที่จะปกครองอีกต่อไป
พระองค์ก็ถูกคุมตัวไปยังป่าช้า สถานที่เดียวกับที่พระเจ้าอาถูกประหาร และพระองค์ก็สิ้นพระชนม์แบบเดียวกันกับพระเจ้าอา เสวยราชย์อยู่ได้ 8 เดือน แม้ว่าในต้นรัชสมัยของพระองค์ มีช้างเผือกเชือกหนึ่ง เกิดในกรุงศรีอยุธยา ซึ่งโหรได้ทำนายว่าเป็นพระบุญญาบารมี แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผิดไปจากคำทำนายอย่างสิ้นเชิง
ออกญากลาโหมได้เสนอให้ พระอนุชาของพระเชษฐราชาขึ้นเสวยราชสมบัติ ขณะทรงมีพระชนม์ 10 พรรษา ทรงพระนามว่า พระอาทิตยสุรวงศ์ เป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 24 ออกญากลาโหมได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ปกครองและผู้สำเร็จราชการ หลังจากพระอาทิตยสุรวงศ์ขึ้นครองราชย์ได้หลายวัน ออกญากลาโหมต้องการจะสละตำแหน่งหน้าที่ โดยอ้างว่า “เมื่อพระเจ้าแผ่นดินทรงบรรลุนิติภาวะแล้ว ตนเองก็จะไม่มีความมั่นคงเพราะอาจมีคนกล่าวร้ายป้ายสีตน จะทำให้พระเจ้าแผ่นดินพิโรธ” และอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ไม่ควรปกครองโดยพระเจ้าแผ่นดินที่เยาว์วัย จึงควรจะมีพระเจ้าแผ่นดินปกครองเป็นการชั่วคราวก่อนที่เจ้าชายองค์น้อยนี้จะบรรลุนิติภาวะ และทรงสามารถปกครองได้ด้วยพระองค์เอง เมื่อถึงเวลานั้น พระเจ้าแผ่นดินชั่วคราวจะต้องถวายราชสมบัติคืนแก่รัชทายาทที่ถูกต้อง
ในตอนนี้เจ้าชายจะต้องอยู่ในความดูแลของพระสงฆ์เพื่อจะได้เรียนรู้หลักธรรมพวกขุนนางจึงต้องสถาปนาออกญากลาโหมขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน สองสามวันหลังจากที่ได้สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงเสนอต่อขุนนาง ว่าไม่อาจยอมที่จะให้เจ้าชายปกครองพระราชอาณาจักรร่วม เพราะเมื่อเจ้าชายมีพระราชอำนาจเต็มที่แล้ว อาจจะไม่ไว้ใจออกญากลาโหมโดยการยุยงของผู้อื่น ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อออกญากลาโหม ดังนั้น ออกญากลาโหมจึงไม่ขอรับมงกุฏ หรือภาระหน้าที่การปกครอง
คณะขุนนางจึงต้องให้มีพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียว คือต้องกำจัดเจ้าชายองค์น้อยเสีย ในที่สุดก็ทรงยินยอมที่จะให้ประหารชีวิตเจ้าชาย ด้วยวิธีเดียวกับพระเชษฐาและพระเจ้าอาซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่ถูกต้องตามกฎหมาย มีรับสั่งให้นำเจ้าชายไปสู่ป่าช้าร้าง ซึ่งเจ้าชายองค์น้อย(พระอาทิตยสุรวงศ์)ก็ถูกทุบด้วยท่อนจันทน์ที่พระอุระ และโยนลงบ่อดังเช่นพระเชษฐาและพระปิตุลา พระองค์เสวยราชย์อยู่ 38 วัน
เมื่อเจ้าชายองค์น้อยสิ้นพระชนม์ ออกญากลาโหมสุริยวงศ์พระเจ้าแผ่นดินชั่วคราว ก็ได้ประกาศตนเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่ 25 แต่ผู้เดียวเมื่อพระชนม์ได้ 30 พรรษา ทรงพระนามว่าพระศรีธรรมราชาธิราช หรือพระเจ้าปราสาททอง ( ต้นราชวงศ์ปราสาททอง ) ทรงเป็นญาติที่ใกล้ชิดกับพระเจ้าแผ่นดินสองพระองค์ซึ่งถูกสำเร็จโทษ เนื่องจากย่าของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งถูกสำเร็จโทษ และพระราชบิดาของพระองค์ เป็นพี่น้องร่วมท้องกัน แต่เมื่อครองราชย์กลับมีความมักมากในกามคุณ และหยิ่งยโส ไม่มีความเห็นใจผู้อื่นอย่างที่เคยมีมาแต่เดิม ลุแก่อำนาจ ในปีที่สามแห่งรัชกาล ทรงประหารชีวิตเจ้าชายสองพระองค์ องค์หนึ่งพระชนมายุ 7 พรรษา อีกองค์หนึ่ง 5 พรรษา ทั้งสองเป็นโอรสของพระอินทราและเป็นพระอนุชาของพระเจ้าแผ่นดินซึ่งถูกปลงพระชนม์ ขุนนางที่คัดค้านการประหารนี้ ก็ถูกทำร้ายด้วยน้ำมือของพระองค์เอง และถูกริบราชบาตรคือทรัพย์สินครัวเรือน
ทรงกำจัดออกญาเสนาภิมุข ขุนศึกญี่ปุ่นที่ร่วมกันยึดอำนาจโดยอ้างว่าจะส่งไปครองเมืองนครศรี ธรรมราช แต่มีสารลับไปถึงเจ้าเมืองนครว่าให้ฆ่าเสียเมื่อออกญาเสนาภิมุขเดินทางไปถึง ในปีที่เจ็ดแห่งรัชกาล ทรงสั่งประหารชีวิตออกญาพิษณุโลกด้วยสาเหตุที่ทรงสร้างขึ้นเอง แม้ว่าออกญาพิษณุโลกเคยเป็นผู้ช่วยเหลือพระองค์ให้ได้ขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าแผ่นดิน
ทรงมีพระชนมายุอยู่จนถึง จุลศักราช 1000 (จุลศักราชคือการถือวันสงกรานต์เป็นวันขึ้นปีใหม่ +1181 หรือพ.ศ.2181 ) ซึ่งถือว่าเป็นปีที่นำโชคชัยมาให้มหาศาล ทรงจัดให้มีพิธีฉลองแบบเก่า ทรงเป็นกษัตริย์องค์แรกที่ปฎิบัติต่อขุนนางเยี่ยงทาส ขุนนางจะต้องเข้าเฝ้าทุกวัน และอนุญาตให้ไปเยี่ยมเยียนซึ่งกันและกันตามบ้านหรือที่ส่วนตัวได้ แต่ไม่อนุญาตให้พูดกัน เว้นแต่ในที่สาธารณะ ทรงเสวยน้ำจัณฑ์มาก ทรงได้พระมารดาและพระขนิษฐาของพระมเหสีเป็นพระสนมและทรงมีพระราชโอรสและธิดากับพระมเหสีพระสนมทั้งสามพระองค์ พระองค์เป็นที่เกรงกลัวของบุคคลทั่วไปมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์ก่อน ๆ ทรงโลภมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินองค์อื่น ๆ ทรงให้รื้อฐานวัดเพื่อจะขุดหาของและเงินที่ฝังไว้
แต่เดิมเมื่อขุนนางสิ้นชีวิตจะต้องจ่ายทองหนักหนึ่งบาทต่อที่ดินทุกๆ สิบไร่ และหนึ่งในสามของสมบัติที่มีจะตกเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน แต่ในสมัยพระเจ้าปราสาททองจะทรงริบเอาทั้งหมด ถ้าขุนนางสิ้นชีวิตลง ภรรยาจะถูกควบคุมตัว ทรงรวบรวมทรัพย์สมบัติเข้าท้องพระคลังได้หมด และรีดเงินจากอาณาประชาราษฎรทั้งๆที่พระองค์ทรงร่ำรวยมั่งคั่งอยู่แล้ว
พ.ศ.2198 เจ้าฟ้าชัยหรือสมเด็จพระสรรเพ็ชญ์ที่ 6 ราชโอรสของพระเจ้าปราสาททอง ขึ้นครองราชย์เมื่อปีพ.ศ.2198 ครองราชย์ได้ 3-4 วัน ถูกพระเจ้าอาคือพระศรีสุธรรมราชากับพระอนุชาต่างมารดาคือ พระนารายณ์มหาราช สมคบกันแย่งชิงราชสมบัติ จับเจ้าฟ้าชัยประหารชีวิต
พ.ศ.2199 สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา พระอนุชาของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ขึ้นครองราชย์โดยการแย่งชิงราชบัลลังก์จากเจ้าฟ้าชัย อยู่ในราชสมบัติได้ 2 เดือน 20 วัน ก็เป็นอริกับพระนารายณ์เนื่องจากทรงอยากจะได้ พระราชกัลยาณี ผู้เป็นขนิษฐาของสมเด็จพระนารายณ์มาเป็นพระชายาอันมิชอบด้วยประเพณี สมเด็จพระนารายณ์จึงพร้อมด้วยขุนนาง ยกกำลังเข้าโจมตีวังหลวง เกิดการต่อสู้ฆ่าฟันเสียชีวิตเป็นอันมาก สามารถจับสมเด็จพระศรีสุธรรมราชาผู้เป็นพระเจ้าอาไปสำเร็จโทษได้
พระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราชทรงเสด็จขึ้นครองราชย์ มีพระอนุชาต่างมารดาสองพระองค์เป็นผู้ร่วมกับขุนนางชั้นสูงเรียกว่ากบฎพระไตรภูวนาทิตย์ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
กรุงศรีอยุธยาเริ่มมีความสัมพันธ์กับฝรั่งเศสมีชาวต่างชาติผู้ คือ คอนสแตนท์ ฟอลคอน หรือออกญาวิไชยเยนทร์ Constantin Phaulkon เข้ามาในกรุงศรีอยุธยาพ.ศ. 2217 รับราชการสังกัดกรมท่า ทำให้กรุงศรีอยุธยามีรายได้ผลประโยชน์จากการค้าถึงสองเท่า สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงทรงอนุญาตให้เข้าเฝ้า ทรงพอพระทัยจนโปรดให้เข้าเฝ้าเนือง ๆ ทรงพระราชทานสัญญาบัตรเป็น"ออกพระสุระสงคราม" และ "ออกญาวิไชยเยนทร์" ตามลำดับ ในระยะตอนปลายรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชบรรดาข้าราชการในราชสำนักเกิดแตกแยก ที่สำคัญมีฝ่ายของออกญาวิไชยเยนทร์ ซึ่งมีทหารฝรั่งเศสเป็นกำลังสำคัญและคิดยกพระปีย์ โอรสบุญธรรมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชขึ้นสืบราชสมบัติ อีกฝ่ายหนึ่งมีพระเพทราชา เป็นหัวหน้าโดยมีขุนนางไทยฝ่ายปกครองเป็นพวกและคิดกำจัดออกญาวิไชยเยนทร์ พร้อมทั้งขับไล่พวกฝรั่งเศสออกจากอยุธยา
พระเพทราชา เป็นชาวบ้านพลูหลวง จังหวัดสุพรรณบุรี พระมารดาเป็นพระสนมของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระเพทราชาจึงเป็นพระสหายของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชตั้งแต่พระเยาว์วัย มีตำแหน่งเป็น สมุหพระคชบาล(ดูแลช้าง)
หลวงสรศักดิ์หรือนายมะเดื่อ เป็นโอรสของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชอันประสูติจากลูกสาวเมืองเชียงใหม่ซึ่งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชพระราชทานให้กับพระเพทราชา เจ้ากรมช้าง ขณะที่พระนางท้องได้หนึ่งเดือนคือยกให้ทั้งแม่และลูก ได้เข้าถวายตัวรับใช้พระนารายณ์ซึ่งทรงโปรดปรานเป็นพิเศษเพราะมีหน้าตาละม้ายคล้ายพระองค์ และต่อมาหลวงสรศักดิ์ก็รู้ว่าตนเองเป็นราชโอรส ส่วนพระเพทราชาเป็นแต่เพียงบิดาเลี้ยงเท่านั้น
สันนิษฐานว่าพระนารายณ์ถูกวางยาโดยขุนองค์อยู่งานใช้นิ้วกรอกยาพิษแล้วบีบพระโอษฐ์เพื่อให้เสวยยาพิษ โดยขุนหลวงสรศักดิ์วางแผนให้นายดาเนียลหมอชาวดัตช์(ชาวเนเธอร์แลนด์หรือฮอลแลนด์หรือฮอลันดา)เตรียมยาพิษโดยให้ออกหมื่นศรีหมื่นชัย ซึ่งอยู่เฝ้าใกล้ชิดพระนารายณ์มหาราชอยู่เสมอจะเป็นผู้ถวาย...จากนั้นให้นำพระราชลัญจกรมามอบให้ โดยกั้นไม่ให้รับพระโอสถจากออกพระฤทธิกำแหง และต้องกันไม่ให้เข้าเฝ้า
พระเพทราชาเริ่มมีบทบาทในการว่าราชการ พระเพทราชาและหลวงสรศักดิ์ได้เข้ายึดวัง ในวันที่ 18 พฤษภาคม พระปีย์ผู้คอยปฏิบัติพยุงพระนารยณ์ลุกนั่งอยู่ ถูกหลวงสรศักดิ์ผู้สำเร็จราชการตำแหน่งมหาอุปราชสั่งให้ขุนพิพิธรักษาชาวที่ผลักพระปีย์ตกลงไปจากประตูกำแพงแก้ว และกุมเอาตัวพระปีย์ไปประหารชีวิต ในขณะนั้นพระนารายณ์มหาราชได้ทรงฟังเรื่องพระปีย์ร้องขึ้นมาก็ตกพระทัย ความอาลัยในพระปีย์ ทำให้อาการประชวรทรุดลงและสวรรคต
ออกพระฤทธิกำแหง หรือออกญาวิชาเยนทร์ถูกจับกุมและทรมานอยู่ระยะหนึ่งแล้วจึง ถูกประหารชีวิตวันที่ 5 มิถุนายน จากนั้นสมเด็จพระนารายณ์มหาราชสิ้นพระชนม์วันที่ 11 กรกฎาคม ต่อมาพระอนุชาทั้งสองพระองค์ถูกหลอกให้ออกจากอยุธยามาละโว้และถูกจับประหาร ชีวิต เมื่อกำจัดเชื้อพระวงศ์แล้วพระเพทราชาขึ้นครองราชสมบัติ ในปีพ.ศ. 2231
-พ.ศ.2246 หลังครองราชย์ 15 ปี พระเพทราชาทรงประชวรหนัก หลวงสรศักดิ์ก็ยึดอำนาจ จับเจ้าฟ้าขวัญ ราชโอรสของพระเพทราชาองค์รัชทายาทประหารชีวิต ขณะมีพระชนม์ 13 พรรษา เมื่อพระเพทราชาเสด็จสวรรคตหลวงสรศักดิ์ก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ทรงพระนามว่าสมเด็จพระเจ้าเสือ หรือ พระพุทธเจ้าเสือ เป็นกษัตริย์องค์ที่ 30 ของอยุธยา พระองค์มีชื่อเสียงดุร้าย และมักมากในกามคุณ แต่ทรงมีความเป็นสามัญชนโปรดปรานการเสด็จออกประพาสโดยมิให้ราษฏรรู้ว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดิน
-พ.ศ.2275 เจ้าฟ้าอภัย พระราชโอรสของสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ(โอรสพระเจ้าเสือ) ขึ้นครองราชย์เมื่อปี พ.ศ.2275 ครองราชย์อยู่ได้ไม่กี่วันก็ถูกกรมพระราชวังบวร หรือสมด็เจพระบรมโกศ ซึ่งเป็นพระเจ้าอาของพระองค์แย่งชิงราชสมบัติ จับเจ้าฟ้าอภัยปลงพระชนม์ในปีที่ครองราชย์นั่นเอง
กรณี:ขุนหลวงหาวัด
-พระเจ้าเอกทัศน์
ก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาแก่พม่าครั้งที่ 2 ไม่นานนัก ในสมัยพระเจ้าบรมโกศ พระราชโอรสไม่สามัคคีกัน คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนเสนาพิทักษ์ เจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์ (เจ้าฟ้ากุ้ง) สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศน์) และสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร) และพระโอรสเกิดจากพระสนมอีก 4 พระองค์ คือ กรมหมื่นเทพพิพิธ กรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี
ต่อมาพระราชโอรสองค์ใหญ่ คือ สมเด็จเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร์(เจ้าฟ้ากุ้ง) ได้รับพระราชอาญาให้ประหารชีวิตเนื่องจากลักลอบเป็นชู้กับพระสนมของพระราชบิดา (พระเจ้าบรมโกศ)
ส่วนราชโอรสองค์กลางคือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศน์) ไม่มีความสามารถและนิสัยไม่ดีพระราชบิดาจึงโปรดให้บวชที่วัดกระโจมเพื่อหลีกทางให้พระอนุชาคือเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต(เจ้าฟ้าอุทุมพร) เป็นอุปราชแทน
ในปี พ.ศ.2300 พระเจ้าบรมโกศทรงตั้งเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (เจ้าฟ้าอุทุมพร) ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ด้วยทรงเห็นว่าทรงพระปรีชา มีพระสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าพระเชษฐาคือกรมขุนอนุรักษ์มนตรี (เจ้าฟ้าเอกทัศน์) เมื่อพระเจ้าบรมโกศสวรรคต สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต ทรงขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า พระเจ้าอุทุมพร ต่อมากรมหมื่นจิตสุนทร กรมหมื่นสุนทรเทพ และกรมหมื่นเสพย์ภักดี คบคิดกันช่วงชิงราชสมบัติแต่ไม่สำเร็จ และถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์
พระเจ้าอุทุมพรครองราชย์ได้เพียงเดือนเศษ เจ้าฟ้าเอกทัศได้ลาผนวชเสด็จเข้าไปในพระที่นั่งสุริยามรินทร์ ประทับนั่งบนพระแท่นพาดพระแสงดาบไว้บนพระเพลา(ตัก/ขา) แล้วโปรดฯให้พระเจ้าอุทุมพรเข้าเฝ้า พระอนุชาผู้ขึ้นครองราชย์ได้ไม่กี่วันก็เข้าพระทัย ยอมถวายราชบัลลังก์ให้โดยดี แล้วหลีกเลี่ยงปัญหาที่จะตามมาด้วยการไปผนวชเสียที่วัดประดู่ทรงธรรม
ในพ.ศ. 2301-2303 พระเจ้าอลองพญา กษัตริย์พม่ายกทัพมาล้อมกรุงศรีอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ ทรงเห็นเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าจะทรงสู้ศึกได้เอง จึงไปขอให้พระเจ้าอุทุมพรลาผนวชมาบัญชาการรบแทนพระองค์ พระเจ้าอุทุมพรก็ทรงยอมทำตาม พระเจ้าอลองพญาถูกกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายไทยบาดเจ็บสาหัส จำต้องถอยทัพไปสิ้นพระชนม์กลางทาง อยุธยาก็พ้นศึกกลับมาสงบตามเดิม
เมื่อศึกสงบ พระเจ้าเอกทัศน์ก็ทรงใช้ไม้เดิม คือขึ้นประทับนั่งบนพระแท่นพาดพระแสงดาบบนพระเพลา(ตัก/ขา)เพื่อทวงบัลลังก์คืน พระอนุชาก็ว่าง่าย ทูลลากลับไปผนวชอย่างเก่า จนได้สมญาว่า "ขุนหลวงหาวัด"
พม่าจัดทัพมารุกรานอีกครั้ง ในปี พ.ศ.2307 พระเจ้ามังระ โอรสพระเจ้าอลองพญา ส่งกองทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก โดยได้ล้อมกรุงศรีอยุธยายาวนาน แล้วก็เข้าตีพระนครได้ เมื่อวันที่ 13 เมษายน พ.ศ.2310 แต่ก่อนกรุงจะแตกนั้น ราษฎรหมดความหวังในตัวพระเจ้าเอกทัศน์ ก็พากันไปถวายฎีขอร้องพระเจ้าอุทุมพรให้ลาผนวชมาช่วยบ้านเมืองอีกครั้ง แต่ท่านเกรงพระทัยพระเชษฐาที่ไม่ได้มาร้องขอด้วยพระองค์เอง ท่านไม่ยอมลาผนวช ปล่อยให้พระเจ้าเอกทัศน์บัญชาการรบไปเอง
จนถึงวาระสุดท้าย ของอยุธยา พระเจ้าเอกทัศน์ทรงหนีออกจากอยุธยาไปได้ แต่อดอาหารถึง12วัน สิ้นพระชนม์ที่ค่ายโพธิ์สามต้น ส่วนพระเจ้าอุทุมพรถูกจับเป็นเชลยพร้อมเจ้านายและขุนนางอื่นๆจำนวนมาก ถูกนำตัวไปพม่า แล้วก็ทรงอยู่ในเพศบรรพชิตที่พม่าจนสิ้นพระชนม์
กษัตริย์ของไทยก็ไม่ได้ดีหรือวิเศษไปกว่าสามัญชนทั่วไป ตรงกันข้าม กลับมีการชิงดีชิงเด่น เห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ และมีจิตใจที่โหดอำมหิต เสียยิ่งกว่าคนทั่วๆไปมากมายนัก
......................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น