ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ : http://www.4shared.com/mp3/Ni0W4JUG/The_Royal_Legend_013_.html
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?il7dduro143rn3g
ตำนานๆ 009013: กษัตริย์ซี่ ดีที่สุด
...............
ความพยายามที่สำคัญที่สุดเพื่อดำรงความนิยมในสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่คู่บ้านคู่เมืองคือโหมการโฆษณาชวนเชื่อทางสื่อมวลชนอย่างมโหฬารติดต่อกันตลอดเวลา
โดยใช้เงินหลายร้อยหลายพันล้านบาทโฆษณายกย่องราชวงศ์จักรี ให้เข้ากับบรรยากาศสื่อยุคใหม่ที่มุ่งเน้นความบันเทิง ดึงความสนใจจากคนเมืองรุ่นอายุ 30 ปีลงมา พวกกินเงินเดือนและคนหนุ่มสาว ที่มักจะมองว่าราชวงศ์เป็นพวกโบราณที่เชยและล้าสมัย
แผนโฆษณาชวนเชื่อสร้างความศรัทธาในสถาบันกษัตริย์ด้วยรูปแบบที่แปลกใหม่ทันสมัยถูกใจคนรุ่นใหม่ตกเป็นหน้าที่ของคนมีประสบการณ์สื่อโฆษณายุคใหม่นำทีมโดยนายปีย์ มาลากุล เจ้าของบริษัทแปซิฟิค คอมมิวนิเคชั่นมีเดียกรุ๊ป ที่ผลิตนิตยสารดิฉัน ของผู้หญิงชั้นนำ รวมทั้งสถานีวิทยุข่าวสารจราจร จส.100
และผลิตรายการให้สถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ของทหาร ซึ่งมี พล.อ. แป้ง มาลากุล น้องชายของนายปีย์เป็นผู้อำนวยการสถานีช่วงปี 2538-2542 โดยทีมงานมืออาชีพพร้อมเงินสนับสนุนมากมายจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการบินไทยตลอดจนผู้คลั่งไคล้สถาบันกษัตริย์รุ่นใหม่ๆ เช่น อาจารย์นักกฎหมายและพิธีกรรายการโทรทัศน์ อาจารย์ธงทอง จันทรางศุ ที่มักทำหน้าที่โฆษก
งานพระราชพิธีต่างๆ
ทีมงานของวังได้ปรับโฉมงานโฆษณาชวนเชื่อสดุดีพระมหากษัตริย์ให้โดดเด่นด้วยรูปแบบของการนำเสนอที่ดีกว่าและทันสมัยกว่า เปลี่ยนจากต้นตำหรับเดิมที่เก่าคร่ำครึโบราณกับเสียงอู้อี้ของเพลงสรรเสริญพระบารมีให้เป็นภาพที่มีสีสันอาศัยเทคนิคแบบฮอลลีวูดของพระราชวงศ์จักรีพร้อมดนตรีที่เรียบเรียงให้หรูหราทันสมัยกว่าเดิม
ภาพยนตร์สารคดีพระราชกรณียกิจส่วนพระองค์และพระราชวงศ์ได้ถูกนำเผยแพร่ออกอากาศเป็นชุดทางโทรทัศน์ ภาพยนต์ส่วนพระองค์ที่เกี่ยวกับการทรงดนตรีขององค์คีตะราชันเข้าฉายในโรงภาพยนต์และเกณฑ์ให้เด็กนักเรียนมาดูกันเป็นคันรถบัส
จัดให้พวกศิลปินนักเรียบเรียงเสียงประสานและนักดนตรีใหม่ๆ ระดมกันปรับแต่งเพลงพระราชนิพนธ์ให้เป็นงานประสานเสียงและออเคสตราที่ยิ่งใหญ่อลังการ มีการจัดการแสดงละครหลากหลายรูปแบบเพื่อเป็นการสดุดีเทิดพระเกียรติพระราชวงศ์
อาจารย์ธงทอง จัทรางศุบรรจงแต่งละครเรื่องแผ่นดินนี้มีกำลัง แสดงโดยกองทัพเรือ มีเนื้อหายกย่องเทิดทูนพระมหากษัตริย์ของพระราชวงศ์จักรีในยุคต้นกรุงรัตนโกสินทร์
การผลิตสื่อเพื่อโฆษณาสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งหลายนี้ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล นอกจากใช้งบประมาณของรัฐบาลแล้ว บริษัทใหญ่ๆ โดยเฉพาะของพวกเศรษฐีใหม่ที่เพิ่งได้เลื่อนตัวเองเข้าไปใกล้ชิดรั้ววังได้ไม่นานก็เต็มใจที่จะจ่ายให้
คีตะราชันที่รวบรวมบรรดาศิลปินทั่วประเทศเป็นอัลบั้มสองชุดมีการจัดคอนเสิร์ตหารายได้ทูลเกล้าถวายฯได้เงินสนับสนุนจากเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี บริษัทสหศินิม่า United Cinema ผู้ผลิตภาพยนต์และเป็นเจ้าของโรงภาพยนต์ ที่เป็นของสำนักงานทรัพย์สินฯ ได้ซื้อสำนักพิมพ์สยามเพรสและร่วมธุรกิจกับสื่อใหญ่ในกลุ่มอื่นๆ
ปี 2537 บริษัทสหศินิม่าได้ซื้อกิจการสยามรัฐที่เคยมีสีสันของมรว. คึกฤทธิ์ ปราโมช และเปิดหนังสือพิมพ์การเงิน สื่อธุรกิจ กับหนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษบิวสิเนสเดย์ Business Day หม่อมหลวงตรีทศยุทธ เทวกุล(ลูกชายคนโตของมรว.เทพฤทธิ์ เทวกุลผู้เป็นเจ้าของโครงการควายเหล็กและฝนเทียม) ที่เป็นลูกน้องที่ใกล้ชิดที่สุดคนหนึ่งของพลเอกเปรมและเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับพระราชวงศ์ ก็ซื้อหนังสือพิมพ์สยามโพสต์ที่กำลังร่อแร่ มุ่งตลาดคนกรุงเทพฯที่มีการศึกษา แต่สยามโพสต์ยังคงไปไม่รอด นายปีย์ มาลากุลจึงต้องมารับช่วงต่อ
ก้าวที่เปิดเผยที่สุดของวังคือการลงทุนในสถานีโทรทัศน์แห่งใหม่หลังเหตุการณ์พฤษภา 2535 ที่กองทัพเคยครอบงำและบิดเบือนข่าวทางโทรทัศน์ รัฐบาลนายชวนได้เริ่มขยายการดำเนินการด้านโทรทัศน์โดยออกใบอนุญาตเปิดสถานีโทรทัศน์แห่งที่ห้า ซึ่งได้กลายมาเป็นไอทีวี
ผู้ชนะประมูลเมษายน 2538 คือกลุ่มนำโดยธนาคารไทยพาณิชย์และสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พร้อมด้วยบริษัทแปซิฟิคคอมมิวนิเคชั่น ของนายปีย์และเครือเนชันของนายสุทธิชัย หยุ่น
วังได้วางเส้นสายเพื่อควบคุมการแต่งตั้งคณะกรรมการ อสมท.โดยรัฐบาลบรรหารในเดือนพฤษภาคม 2539 ทำหน้าที่ดูแลโทรทัศน์สองช่องกับคลื่นวิทยุอีกหลายคลื่น รวมทั้งสำนักข่าวของรัฐบาล โดยมีประธานคือพล.อ.มงคล อัมพรพิสิษฐ์ ลูกน้องของพลเอกเปรม และมีกรรมการอีกคนหนึ่งคือ นายธงทอง จันทรางศุ
การโฆษณาชวนเชื่อวางแผนมาตั้งแต่ 2535 คือ การเฉลิมฉลองที่ยืดเยื้อยาวนาน 24เดือนเนื่องในวโรกาศที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จครองราชย์ 50 ปีในปี 2539 ที่ยิ่งใหญ่กว่างานเฉลิมพระชนมพรรษา 60 ปีในปี 2530 โดยเพิ่มความยิ่งใหญ่มโหฬารของกิจกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมเทิดทูนพระบุญญาบารมีให้สูงขึ้นไปอีก
การยกย่องเทิดพระเกียรติได้ระดมทำกันตั้งแต่เริ่มแรกด้วยงานกิจกรรมจำนวนมากที่ไม่ต้องมีการวางแผนไว้ก่อน ครั้งแรกเมื่อพระราชชนนีศรีสังวาลย์เสด็จเข้ารักษาอาการพระประชวรที่โรงพยาบาลศิริราชในเดือนธันวาคม 2537 พระราชชนนีทรงมีปัญหาที่หัวใจและท้องไม่มากนัก แต่ในวัย 94 ชันษาถือว่าต้องให้ความสนใจจะวางใจไม่ได้ สมาคมและองค์กรต่างๆทั้งเอกชนและรัฐบาลต่างจัดการสวดมนต์และทำบุญถวายเป็นพระราชกุศล
6 มีนาคม 2538 พระเจ้าอยู่หัวประชวรเฉียบพลันถึงทรุดพระองค์ขณะทรงออกกำลังกาย ทรงถูกหามเข้าโรงพยาบาลศิริราชด้วยอาการเส้นเลือดตีบ และเกิดความกังวลในแวดวงภายในว่าอาจสิ้นพระชนม์ หลังทรงรับการผ่าตัด สำนักพระราชวังได้เผยรายละเอียดการประชวร
มีข่าวลือในหมูชนชั้นนำในกรุงเทพฯว่าเป็นเรื่องน่าวิตกเกินกว่าที่วังจะรับได้ แต่ไม่มีการเปิดเผยว่าได้ทรงกำหนดตัวผู้สำเร็จราชการ หรือรัชทายาทไว้ก่อนหรือไม่และใครจะได้เป็นพระเจ้าอยู่หัวองค์ต่อไป ก่อนทรงเข้ารับการผ่าตัด ต้องทรงประทับในโรงพยาบาลหลายสัปดาห์หลังแพทย์ถวายการผ่าตัด แต่พระองค์ก็ยังทรงออกโทรทัศน์ทุกวัน เสด็จเยี่ยมพระราชชนนีและทรงมีรับสั่งเรื่องการจราจรต่อเจ้าหน้าที่ ซึ่งแสดงถึงพระอุตสาหะวิริยะเหนือมนุษย์ของพระธรรมราชา
ประชาชน 2000คนร่วมพิธีอธิษฐานหมู่ที่สนามหลวงเพื่อแสดงความสำนึกและชื่นชมยินดีที่ทั้งสองพระองค์ทรงหายจากประชวร พระสังฆราชนำพระ 999 รูป สวดมนต์ถวายพระเจ้าอยู่หัว
โดยพากันกราบไหว้บูชาพระสยามเทวาธิราชและกล่าวสรรเสริญพระบุญญาบารมีของพระองค์รวมทั้งอนุสาวรีย์สมเด็จพระราชบิดาที่หน้าตึกสยามินทร์ที่ทรงประทับรักษาการประชวร
สามสัปดาห์หลังเสด็จออกจากโรงพยาบาล ในหลวงทรงเสด็จออกโทรทัศน์พร้อมกับพระราชวงศ์ ทรงพระดำเนินไปรอบๆ ห้องโถงใหญ่โดยทีมแพทย์ตรวจวัดพระหทัยของพระองค์ต่อหน้ากล้องโทรทัศน์
ข่าวในพระราชสำนักก็รายงานละเอียดถึงเวลาเป็นนาทีของพระราชกรณียกิจ ถือเป็นฤกษ์งามยามดี เป็นเลขมงคล พระเจ้าอยู่หัวทรงประทับนั่งและทรงอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นต่อพระองค์พร้อมกระดานประกอบ
ทรงตรัสว่าอาการประชวรเป็นผลจากการติดเชื้อในปี 2525 จากการทรงพระโอสถมวน ( สูบบุหรี่ ) ซึ่งทรงเลิกไปแล้วตั้งแต่ปี 2530 และจากการเสวยน้ำจัณฑ์ ( ดื่มเหล้า )
ซึ่งตอนนี้พระองค์ทรงหันมาเสวยน้ำจัณฑ์อย่างพอเพียง(ไม่ได้เป็นแบบหัวราน้ำอย่างแต่ก่อน) ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่ไม่เคยได้รู้เรื่องหรือนึกเห็นภาพดังกล่าวมาก่อน
พระองค์ได้ตรัสว่าเป็นเพราะว่าพระองค์ทรงงานเป็นเวลาห้าถึงหกชั่วโมงในคราวเดียวโดยไม่มีการหยุดพัก พระองค์แทบไม่ได้ทรงออกกำลังกาย และทรงมีความเครียดสูงซึ่งหมายความว่าอาการประชวรของพระองค์เป็นเพราะทรงแบกรับภารกิจเพื่อความสมบูรณ์พูนสุขของพสกนิกร ซึ่งถือได้ว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้นอีกจนได้ แต่ได้มีรับสั่งว่าแพทย์ประจำพระองค์ก็ยังได้รับประกันกับพระองค์ว่าจะยังทรงมีพระชนมชีพอยู่ต่อไปได้อีก 25 ปี ซึ่งนานพอที่จะทำให้โครงการพระราชดำริต่างๆได้บรรลุเสร็จสิ้น ทรงตรัสเป็นนัยว่าไม่อย่างนั้นก็จะไม่เกิดความรุดหน้า
ส่วนพระราชชนนีศรีสังวาลย์กลับมีพระอาการทรุดลงและสิ้นพระชนม์ในวันที่ 18 กรกฎาคม 2538 แต่การโฆษณาของวัง กลับทำให้การสิ้นพระชนม์ของพระราชชนนีศรีสังวาลย์มีความสำคัญยิ่งกว่าตอนมีพระชนมชีพเสียอีก
แม้ทราบดีว่าพระราชชนนีศรีสังวาลย์มิได้ทรงมีบทบาทต่อประชาชนนัก ทรงประทับที่สวิตเซอร์แลนด์จนสิ้นทศวรรษ 2520 และหลังจากเสด็จกลับมาประทับเมืองไทยเป็นการถาวร ประชาชนแทบจะไม่เคยได้เห็นพระราชชนนีเสด็จนอกพื้นที่ดอยตุงเลย แต่นิตยสารต่างๆ มักจะแสดงภาพพระราชชนนีกำลังทรงปลูกไม้ดอกและเย็บปักถักร้อย และตีพิมพ์ความคิดของพระองค์เรื่องพระพุทธศาสนา
ในการจัดงานพระราชทานเพลิงพระศพพระราชชนนี ทางวังได้ถวายพระยศเทียบชั้นสมเด็จพระนางเจ้าผู้สืบเชื้อสายมาจากราชสกุลอีกพระองค์หนึ่งที่ได้ขึ้นสถิตย์บนหิ้งของสถาบันเจ้าเพื่อให้ประชาชนได้พากันกราบไหว้บูชา แม้จะทรงมีชาติกำเนิดเป็นสามัญชน แต่ทรงมีสายพระโลหิตที่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยพระบุญญาธิการเช่นเดียวกับพระราชวงศ์จักรีพระองค์อื่นๆ
พระเจ้าอยู่หัวทรงกำหนดให้มีการไว้ทุกข์พระบรมศพ 100 วัน ข้าราชการให้แต่งดำไว้ทุกข์ 15 วัน พระสังฆราชนำการทำบุญหมู่ที่สนามหลวง พระสรีระของพระนางได้รับการสรงชำระตามแบบพราหมณ์ในพระบรมมหาราชวัง
ในหลวงและพระราชินีทรงพรมน้ำมนต์ลงบนพระสรีระของพระราชชนนี และในหลวงทรงสวมชฎาบนพระเศียรของพระราชชนนี โกศประดับอัญมณีบรรจุพระบรมศพตั้งอยู่ในท้องพระโรงเพื่อรับการถวายความเคารพ ภายใต้พระเศวตฉัตรเจ็ดชั้น อันสงวนไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงสุด ยกเว้นองค์พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่มีเก้าชั้น ทางวังได้จัดมหกรรมสดุดีสรรเสริญพระเกียรติคุณอย่างเต็มที่ หน่วยงานราชการต่างๆ ได้จัดงานรำลึกพระมหากรุณาธิคุณ สถานีตำรวจทุกแห่งถูกสั่งให้จัดพิธีทำบุญในวันครบเจ็ดวัน ห้าสิบวันและร้อยวัน
ทางการตำรวจได้ถวายยศพลตำรวจเอกแด่พระราชชนนี ตำรวจตระเวนชายแดนได้เตรียมการสร้างอนุสาวรีย์ของพระราชชนนีในค่าย ตชด.ทุกแห่ง และ ในแต่ละวันก็มีประชาชนเดินทางมาถวายความเคารพพระบรมศพหลายร้อยคน ส่วนใหญ่เป็นหญิงสูงอายุ ที่มาสวดมนต์และมาเฝ้าชมพระบารมีของในหลวงและพระราชินีที่เสด็จมาในตอนเย็น บรรดาพระญาติพระวงศ์จะรับป็นเจ้าภาพสวดพระอภิธรรมพระศพในแต่ละวัน โดยรัฐบาลได้กระตุ้นให้กลุ่มอื่นๆ มาช่วยผลัดกันเป็นเจ้าภาพในวันหลังๆ
และต่อมาได้มีการขยายระยะเวลาการไว้ทุกข์ออกไปอีกโดยไม่มีกำหนด ทำให้หน่วยงานราชการ บริษัทหัางร้านและกลุ่มสมาคมต่างๆ ต้องผลัดกันมาเป็นเจ้าภาพ โดยคนในสังกัดมานั่งร่วมพิธีเบื้องหน้าพระโกศ
เป็นโอกาสอันหาได้ยากยิ่งสำหรับพสกนิกรที่จะได้เฝ้าชมพระบารมีของพระเจ้าอยู่หัวและพระราชินีได้อย่างใกล้ชิดและยาวนานอย่างนี้ ขณะที่ทั้งสองพระองค์ทรงกำลังสวดมนต์อยู่เหมือนกัน หรืออาจจะได้เห็นในหลวงทรงกำลังคร่ำเคร่งอยู่กับการแก้ไขปัญหาจราจร งานพระบรมศพนี้ได้ดำเนินไปตลอดทั้งปีที่เหลือ โดยข่าวในพระราชสำนักได้บรรยายว่าเป็นน้ำใจที่รินหลั่งออกมาเองจากความจงรักภักดีที่มีอย่างท่วมท้น ผู้คนแห่กันมาเป็นเจ้าภาพเนื่องจากเชื่อว่าจะได้บุญมากเป็นพิเศษ บรรยากาศก็เต็มไปด้วยความปลาบปลื้มและน่าอัศจรรย์ยิ่ง เพราะได้เกิดปาฏิหารย์ต่าง ๆ
พระชื่อดัง คือ พระพิพิธธรรมสุนทรแห่งวัดสุทัศน์ เล่าว่าท่านได้ยินมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอยู่หัวเอง ว่าห้าปีก่อนสิ้นพระชนม์ พระราชชนนีตรัสว่าทรงรู้สึกเหนื่อยและพร้อมจะจากโลกนี้ไป ทำให้ในหลวงทรงหวนนึกถึงพระพุทธเจ้าที่ได้ตรัสต่อพระสาวกว่าพระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพานภายในสามเดือน พระสงฆ์สาวกสามารถขอให้พระพุทธองค์ดำรงค์พระชนมชีพต่อไปได้ แต่ก็ไม่มีใครได้ร้องขอ ดังนั้นพระพุทธเจ้าจึงต้องเสด็จดับขันธปรินิพพาน
เมื่อพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงตระหนักดังนั้น จึงได้ทรงขอนิมนต์ให้พระราชชนนีผู้ประทับอยู่เหนือพญามัจจุราชได้ทรงพระชนมชีพต่อไปเพื่อเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรแก่พระโอรสพระธิดาและพสกนิกรชาวไทยต่อไป และสมเด็จพระราชชนนีก็ทรงพระมหากรุณาอุตส่าห์ดำรงพระชนมชีพต่อมาอีกเป็นเวลาตั้งห้าปี ในหลวงทรงเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อพระราชชนนีสิ้นพระชนม์ ในหลวงกับเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาได้ทรงจับพระหัตถ์ของพระราชชนนีไว้ เครื่องวัดหัวใจไม่ได้แสดงการเต้นของพระหทัยอีกต่อไปแล้ว แต่เมื่อพระองค์ทรงนึกถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทรงบอกกล่าวแก่พระราชชนนี เครื่องนั้นก็แสดงการเต้นของพระหทัยของพระราชชนนีอีกครั้งอย่างปาฏิหาริย์
เมื่อท่านผู้หญิงทัศนาวลัย ศรสงคราม พระธิดาของเจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาเข้ามาและจับพระหัตถ์ของพระราชชนนี ปรากฏว่าชีพจรของพระชนนีศรีสังวาลย์ก็กลับมาเต้นอีกครั้ง พระราชวงศ์ทรงเข้าใจว่าพระราชชนนีกำลังทรงกล่าวคำอำลาในที่สุด เส้นกราฟของเครื่องวัดนั้นเป็นข้อพิสูจน์ถึงปาฏิหาริย์ เป็นเรื่องปาฏิหารย์ประเภทผีสางที่พระพิพิธธรรมสุนทรอ้างว่าในหลวงทรงเล่าให้ท่านฟัง อาจจะเป็นการสดุดีว่าพระราชชนนีมิใช่คนธรรมดาสามัญ แม้ตอนสิ้นลมก็ยังทรงแสดงปาฏิหารย์
ทางวังได้โหมการโฆษณารายการรำลึกถึงพระราชชนนีอย่างถี่ยิบชนิดไม่เคยปรากฏมาก่อนเป็นเวลาหลายเดือนทั้งทางวิทยุและโทรทัศน์ถึงขนาดบางคนในแวดวงชาววังยังต้องวิจารณ์ความเกินพอดีออกมาอย่างเปิดเผย ในงานวันเฉลิมพระชนมพรรษาเดือนธันวาคมปีนั้น ในหลวงทรงตรัสว่าเป็นเพราะคนไทยมองเห็นพระมหากรุณาธิคุณของพระราชชนนีที่ได้ทรงสร้างสมพระเกียรติคุณไว้มากจนทำให้ราชอาณาจักรไทยยังคงความสงบสันติสุขไว้ได้
ทรงตรัสว่า “เมื่อพระชนนีสิ้นพระชนม์ ก็ได้เห็นความรักความนับถือที่คนทั้งชาติมีต่อพระชนนี ก็ปลื้มใจ ปลื้มใจว่ามีคนที่คนรักที่ถือว่าท่านเป็นสมเด็จย่า ซึ่งก็แปลกดีเหมือนกัน ถ้าใครต่อใครเรียกว่าสมเด็จย่า คนที่เรียกสมเด็จย่าก็เป็นหลานๆ ของเรา เป็นหลานเพราะว่าท่านเป็นแม่ และท่านเป็นย่าของคนทั่วๆ ไป และเป็นสมเด็จย่าของลูกๆ ที่อยู่ข้างหลังนี้ ฉะนั้นเราก็เป็นญาติกันทั้งหมดแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม ทุกคนก็รู้สึกว่า มีความอาลัย และทำให้ประชาชนทั้งชาติได้มีโอกาสแสดงเป็นประโยชน์จะว่าครั้งสุดท้ายของท่าน ที่จริงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะท่านยังเป็นประโยชน์ต่อไปชั่วกาลนิรันดร์ แต่ว่าเป็นประโยชน์เพราะว่าชาวต่างประเทศ ทุกชาติทุกภาษา เมื่อมาเห็นว่าเมืองไทยมีเหตุการณ์เช่นนี้แบบนี้ และการแสดง คารวะบุคคลที่ควรคารวะ ต่างประเทศแม้จะไม่ชอบเมืองไทยเขาก็ต้องชอบ เขาจะต้องบอกว่าเมืองไทยนี้มีอะไรแปลก และเมืองไทยนี้แปลกจริงๆ ที่มีสภาพอย่างนี้ ” ก็คงแปลกจริงๆอย่างที่พระองค์มีพระราชดำรัสและก็คงไม่มีชนชาติใดที่จะเข้าใจความแปลกประหลาดของพสกนิกรที่พระองค์ทรงภูมิใจเป็นนักเป็นหนานี้ได้
พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระราชชนนีได้กำหนดมีขึ้นในวันที่ 10 มีนาคม 2539 ตามฤกษ์ที่นักดาราศาสตร์ของวังได้บอกว่าดาวหางยาคูเตค Hyakutake จะปรากฏให้เห็นในหมูดาวราศีตุลย์ อันเป็นราศีเกิดของพระราชชนนี กรมการศาสนาได้รวบรวมคนมาบวชเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลได้ 34 , 604 คน เท่ากับจำนวนวันที่พระราชชนนีทรงมีพระชนมชีพ พระโอรสองค์เล็กสุดของฟ้าชายวชิราลงกรณ์ก็ทรงผนวชด้วยเช่นกัน
สำหรับพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ ทางวังกับรัฐบาลได้ออกแผ่นพับยืดยาวอธิบายความหมายในเชิงจักรวาลและต่อพระราชวงศ์จักรีของเครื่องแบบ การประดับประดา การจัดวางตำแหน่งและการเคลื่อนขบวนต่างๆ สื่อวิทยุและโทรทัศน์ได้ร่วมกันถ่ายทอดสดตลอดงานพระราชพิธี โดยมีอาจารย์ธงทอง จันทรางศุ เป็นผู้บรรยายด้วยสุ้มเสียงอันแผ่วเบา นอกจากช่างภาพของวังแล้ว ก็ไม่มีสื่อใดได้รับอนุญาตให้เข้าใกล้ยกเว้นโทรทัศน์บีบีซี ซึ่งได้รับอนุญาตพิเศษให้ถ่ายทำสารคดีที่คาดหวังว่าจะช่วยเชิดชูพระราชชนนีให้เป็นที่ศรัธทาซาบซึ้งไปทั่วโลก
หลังวันพระราชทานเพลิงพระศพ ทรงโปรดเกล้าฯให้เลื่อนพระยศเป็นระดับสมเด็จพระบรมราชชนนีเมื่อพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดให้บรรจุพระอังคาร(เถ้ากระดูก)ของพระราชชนนีไว้ในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทภายในพระบรมหาราชวังและในวัดพระแก้วที่มีพระแก้วมรกต อันเป็นเกียรติที่สงวนไว้สำหรับเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงสุดเท่านั้น
งานพระราชพิธีพระบรมศพครั้งนี้ยังเปิดโอกาสให้มีการระดมทุนหาเงินครั้งใหญ่เพื่อร่วมเสด็จพระราชกุศลอีกด้วย ยอดเงินบริจาคที่รวบรวมได้ในช่วงแปดเดือนนี้ไม่ต่ำกว่าสามร้อยล้านบาท เพื่อสร้างโรงพยาบาลในพระนามสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
รัฐบาลผลิตเหรียญกษาปณ์ที่มีพระบรมฉายาลักษณ์พระราชชนนี ซึ่งได้รับการโฆษณาประชาสัมพันธ์เป็นอย่างดีในการถ่ายทอดสดงานพระราชพิธีพระบรมศพเพื่อการระดมทุนตามเป้าไม่ต่ำ 160 ล้านบาท ในวันพระราชทานเพลิงพระศพ กล่องบริจาคที่วางรอบสนามหลวงเก็บเงินได้กว่าสี่ล้านบาท กระทรวงศึกษายังระดมเงินบริจาคเพิ่มขึ้นอีกโดยไม่มีการรายงานยอดบริจาคเพียงแต่บอกว่าจะนำไปสร้างอนุสาวรีย์ถวายแด่พระราชชนนีทั่วประเทศ
ตลอดสองสามปีถัดมา มีการผลิตหนังสือ สารคดี ซีดี และ แคสเส็ตเทปเทิดพระเกียรติสมเด็จพระราชชนนีออกจำหน่ายและจัดนิทรรศการ เพื่อสถาปนาสถานภาพระดับสูงรวมถึงการบรรลุฌานสมาบัติไม่น้อยกว่าพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งคงไปไกลเกินกว่าระดับพระอรหันต์แล้ว
หลังการโฆษณาปลุกเสกพระเกียรติยศพเกียรติคุณของพระราชชนนีเสร็จสิ้น ทางวังก็รีบขยับสู่การฉลองเสด็จครองราชสมบัติครบ 50 พรรษาทันที แทบทุกพระราชพิธีและกิจกรรมทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง24 เดือนต่อมาล้วนแล้วแต่เป็นการเทิดพระเกียรติเนื่องในวาระเฉลิมฉลองกาญจนาภิเษก
ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ รับหน้าที่ดูแลการสกัดหินสร้างพระพุทธรูปขนาดมหึมาที่หน้าผาเขาชีจันทร์ อำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรีโดยใช้แสงเลเซอร์สกัดหิน
ฟ้าหญิงสิรินธรเสด็จเป็นประธานการประชุมนานาชาติเรื่องหญู้าแฝกในพระบรมราชูปถัมถ์โดยวังอ้างว่าในหลวงภูมิพลทรงเป็นผู้ค้นพบว่าหญ้าแฝกช่วยรักษาหน้าดิน
พระสังฆราชญาณสังวรดูแลโครงการปลูกต้นโพธิ์ในวัดทั่วประเทศ 30,000 แห่ง มีการทุ่มเงินจากงบประมาณและจากภาคธุรกิจ โดยไม่ได้มีการตรวจสอบ นักธุรกิจต้องจ่ายเงินของบริษัทเพื่อแสดงความจงรักภักดี วุฒิสมาชิกถูกหักเงินเดือนๆ ละ 500 บาท รวมเป็นเงิน 8 ล้าน 7 แสนบาทเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษกและร่วมเสด็จพระราชกุศล นายกบรรหารระดมเงิน 999 ล้านบาท สำหรับโครงการควบคุมน้ำท่วมในพระราชดำริโดยยืมเงินจากธนาคารกรุงไทยของรัฐบาล
เศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่เฟื่องฟูต้นปี 2539 ทำให้เศรษฐีนักธุรกิจใหญ่ทยอยกันถวายเครื่องบรรณาการมูลค่ามากมายมหาศาล พ่อค้าเพชรรายหนึ่งได้นำบุษราคัมสีน้ำเงินขนาดยักษ์น้ำหนัก 6.3 กิโลกรัมมาเจียรนัยเป็น 950 ด้าน (หมายถึง รัชกาลที่ 9 ปีที่ 50 )ถวายพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
กองทัพไทยใช้งบสร้างคทาที่ทำจากทองคำหนัก 700 กรัมกับเพชรพลอย 518 เม็ดถวายในหลวง
ของขวัญเลิศหูรอลังการสูงสุดมาจากนักธุรกิจเชื้อสายจีนที่รวยที่สุด นำโดยนายชาตรี โสภณพานิชแห่งธนาคารกรุงเทพ จากการกำกับของพลเอกเปรม
ได้ซื้อเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกโดยไม่เปิดเผยราคา หนัก 546 กะรัตจากอัฟริกาใต้ (Golden Jubilee Diamond World’s Largest) ใหญ่กว่าเพชรคุลลินัน Cullinan Star of Africa ของราชินีอังกฤษซึ่งหนัก 530.2 กะรัต หรือ106 กรัม ถึง 15.4 กะรัตและเพื่อให้สมกับความยิ่งใหญ่สุดยอดของพระเจ้าอยู่หัว มีรายงานว่าได้นำเพชรเม็ดนี้ไปเข้าพิธีปลุกเสกโดย พระสังฆราช จุฬาราชมนตรี และสันตปาปาหรือโป๊ป จอห์น ปอลที่สองแห่งกรุงโรม
มีการใช้จ่ายราคาแพงอีกสองรายการ คือการใช้งบประมาณและเงินบริจาคราวสองร้อยล้านบาทจัดทำเสื้อคลุมทองคำประดับอัญมณีชุดใหม่ให้แก่พระแก้วมรกต และในปี 2539
รัฐบาลได้ถวายพญานาคทองคำประดับอัญมณีหนัก 2.5 กิโลกรัมแด่พระเจ้าอยู่หัวพร้อมถวายพระราชสมัญญาเป็นพระบิดาแห่งการจัดการทรัพยากรน้ำ พิมพ์หนังสือโฆษณาความสำเร็จโครงการพระราชดำริเรื่องน้ำแจกจ่ายไปตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วประเทศ สัปดาห์เฉลิมฉลองกาญจนาภิเษกเต็มไปด้วยกิจกรรมสรรเสริญสดุดีพระเกียรติคุณในหลวงรัชกาลที่ 9 โทรทัศน์อัดแน่นไปด้วยสารคดี ทอล์คโชว์ และแม้กระทั่งเกมโชว์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์
7 มิถุนายน 2539 โทรทัศน์และวิทยุทุกสถานีถ่ายทอดงานระดมทุนโครงการในพระราชดำริ โดยมีนายกบรรหารกับคุณหญิงแจ่มใสประเดิมบริจาค 10 ล้านบาท
เช้าวันที่ 9 มิถุนายน ช้างแต่งเต็มยศ 25 เชือกบรรทุกคน 50 คนมายังวัดหลวงแห่งหนึ่งเพื่อบวชถวายแด่พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัวทรงถวายราชสักการะต่อบุรพกษัตริย์และพระเชษฐาธิราชรัชกาลที่แปดซึ่งได้เสด็จสวรรคตในเช้าวันนั้นเมื่อ 50 ปีก่อนและยังคงเป็นคดีปริศนาต่อไปอีกนาน มีพิธีทำบุญทั่วประเทศ
ค่ำวันนั้น มีการจุดเทียนหนึ่งล้านเล่มที่ปลุกเสกโดยพระสังฆราช ในฤกษ์ยามเวลา 19.19 น.ก่อนการจุดพลุฉลอง การเฉลิมฉลองพระราชพิธีกาญจนาภิเษกยังดำเนินต่อไป ในเวลาที่เหลือทั้งปี
วังโหมโฆษณาสร้างบารมีตามกำหนดการเต็มแน่นทั้งงานการกุศล การเยี่ยมชนบท งานกาล่าดินเนอร์ Gala Dinner (งานการกุศลรับประทานอาหารค่ำ ) และการเสด็จประพาส รัฐบาลจัดการถวายพระเกียรติยศมากมายแด่สมเด็จพระพระราชินี ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาเดือนสิงหาคม มีงานบอลล์ (เต้นรำ) การแสดงความจงรักภักดี
เด็กนักเรียนหญิงนับพันถูกเกณฑ์มาที่ลานพระบรมรูปทรงม้านั่งสมาธิหมู่ถวายเป็นพระราชกุศล โดยแต่งชุดขาวเหมือนแม่ชีและถือเทียน มีการจัดสร้างพระเครื่องและพระพุทธรูปในนามของพระราชินีและจำหน่ายเพื่อเก็บเงินถวายโดยเสด็จพระราชกุศลเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จพระราชินีปี 2535
เศรษฐีใต้พระบรมโพธิสมภาร เช่น นายบรรยงค์ ล่ำซำ นายธนาคารกสิกรไทย นายประยุทธ มหากิจศิริ (แห่งเนสกาแฟและโรงงานผลิตเหล็กสเตนเลสไทยนอกซ์) เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าของเหล้าแม่โขง แสงโสมและเบียร์ช้าง นายธนินทร์ เจียรวนนท์ค่ายซีพี และพตท.ทักษิณ ชินวัตร เครือชินวัตรร่วมกันบริจาคเงินสร้างตึกสิริกิติ์หรือตึก ส.ก. ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยืนตระหง่านทัดเทียมกับตึกภปร.
สยามสมาคมได้ระดมเงินบริจาคสามสิบล้านบาท สร้างพระพุทธบาทขนาดใหญ่ทำจากทองคำหนัก 30 กิโลกรัม เมื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ฟ้าชายวชิราลงกรณ์ได้เสด็จเปิดงาน ในหลวงเสด็จพร้อมพระสังฆราชทำพิธีปลุกเสกในเดือนมิถุนายน 2537 โดยประดิษฐานไว้ที่วัดพระแก้ว มีพระเครื่องขนาดเล็กหนึ่งร้อยองค์ไว้แจกพระบรมวงศานุวงศ์และวัดทั่วประเทศในนามของสมเด็จพระราชินีสิริติ์
ซึ่งทรงมีพระประสงค์จะแสดงพระบุญญาบารมีที่ยิ่งใหญ่ของพระนางให้เป็นที่รับรู้ว่า พระองค์คือสมเด็จพระสุริโยทัยที่กลับชาติมาเกิด เป็นวีรกษัตรีย์พระมเหสีของสมเด็จพระมหาจักรพรรดิที่แต่งพระองค์เป็นชายออกรบบนหลังช้างสู้ศึกกับพม่าที่มารุกราน และสิ้นพระชนม์ในการสู้รบเพื่อช่วยพระชนม์พระราชสวามีไว้
ที่จริงเรื่องพระสุริโยทัยนี้แทบไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์เลย แต่นักประวัติศาสตร์สายนิยมเจ้าในสมัยรัชกาลที่ 5 และ 6 ได้แต่งเรื่องของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยให้เป็นประวัติศาสตร์มาตรฐานของประเทศไทยจนได้ ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงเออออไม่อยากขัดคอพระราชินี
ปี 2532 ในหลวงทรงพระราชทานนามโครงการอ่างเก็บน้ำและป้องกันน้ำท่วมที่อยุธยาว่าสวนศรีสุริโยทัยและได้พระราชทานแด่พระราชินีในวาระเฉลิมพระชนมพรรษาพระราชินีครบ 60 ชันษา กองทัพจัดงานสรรเสริญความงามและความกล้าหาญของสมเด็จพระศรีสุริโยทัยด้วยละครแสงสีเสียงถวายวังที่สร้างใหม่ของพระราชินีสิริกิติ์ที่อยุธยา รัฐบาลจัดสร้างพระพุทธรูปสุริโยทัย ค่ายทหารใหม่ที่หัวหินก็ใช้ชื่อเดียวกัน
ตำนานสมเด็จพระศรีสุริโยทัยได้รับการเผยแพร่ทั่วไป พระราชินีสิริกิติ์เสด็จเยือนบริเวณที่เชื่อว่าเป็นสมรภูมิเพื่อทำการบวงสรวงหวังสร้างกระแส พระเจ้าอยู่หัวทรงยกความสำเร็จของโครงการป้องกันน้ำท่วมที่อยุธยาให้เป็นความดีของพระสุริโยทัย ในปี 2538 ปีถัดมามีการตั้งอนุสาวรีย์ขนาดใหญ่ของพระสุริโยทัยบนหลังช้างและพระราชินีสิริกิติ์ได้เสด็จมาเปิด
มีการขยายแนวคิดเรื่องพระปรีชาญาณและพระบุญญาบารมีว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลคือประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ประเทศต้องการไม่ว่าพระองค์จะทรงมีพระราชดำริอย่างไร นักสดุดีกษัตริย์แบบใหม่คนแรกเป็นผู้ดูแลโครงการส่วนพระองค์คือ ดร. สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (กปร.) เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา และอดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ดร.สุเมธโฆษณาพระราชกรณียกิจที่ทรงช่วยพัฒนาชนบท บรรยายถึงความเพียรพยายาม การเสียสละอุทิศพระองค์ของพระเจ้าอยู่หัวในการเอาชนะความยากจน ในหนังสือเล่มใหญ่ชื่อ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล อดุลยเดช : ประทีปนำทางของประเทศไทย King Bhumibol Adulyadej : Thailand’s Guiding Light พิมพ์ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก 2539
บรรยายว่าในหลวงทรงตรากตรำทำงานหนักเพื่อเอาชนะ “พลังความโลภที่เป็นความร่วมมือกันระหว่างนายทุน นักการเมืองและข้าราชการ” และมีบทเทิดพระเกียรติให้ทรงเป็นนักสิ่งแวดล้อม มีพระปรีชาสามารถที่สุดยอดในการสร้างสมดุลระหว่างความต้องการของประชาชนและสิ่งแวดล้อม ทรงมีประสิทธิภาพในการทรงงานมากกว่าระบบราชการที่มองปัญหาด้านเดียวและไม่สนใจปัญหาของประชาชน เพราะพระองค์ทรงมองปัญหาทั้งระบบ...
และไม่ยอมให้เรื่องต้นทุนหรือเรื่องวิชาการมาขัดขวางความแน่วแน่ที่จะช่วยเหลือชาวบ้านที่ยากจน ความผาสุกของประชาชนจะต้องไม่ใช้เงินตราหรือหลักวิชาการเป็นตัวชี้วัดเท่านั้น แม้ว่าจะต้องยอมจำนนต่อเหตุผลของพวกนักอนุรักษ์ธรรมชาติที่ต่อต้านการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ แต่ในหลวงทรงมองการณ์ไกลกว่านักสิ่งแวดล้อมมาก
หลังเกิดน้ำท่วมใหญ่ในปี 2536 ดร.สุเมธบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวได้เสนอแนวทางแก้ไขไว้นานแล้วแต่ว่าไม่มีใครสนใจ นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและนักเคลื่อนไหวได้เรียกร้องให้มีการทำประชาพิจารณ์ในโครงการใหญ่ๆ ขณะที่ดร.สุเมธโต้แย้งว่าในหลวงได้ทรงทำประชาพิจารณ์มา 30 ปีแล้ว
จากการที่พระองค์เสด็จเยี่ยมเยือนพสกนิกรทั่วประเทศ เท่ากับมีการปรึกษาหารืออย่างไม่เป็นทางการมาก่อนแล้ว จึงเป็นเหตุผลรองรับการสร้างเขื่อนป่าสักและเขื่อนท่าด่าน ทรงใช้เวลาหลายชั่วโมงหลายครั้งหลายหนแล้วในการพูดคุยกับชาวบ้าน เป็นประชาพิจารณ์ที่บริสุทธิ์ ไม่มีการจัดตั้งและเป็นธรรมชาติ นี่คือประชาธิปไตยที่แท้จริง
อดีตนายกรัฐมนตรีนายอานันท์ ปันยารชุน ก็เป็นนักโฆษณาให้วังไปอีกทางหนึ่ง โดยย้ำว่าพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี โดยเฉพาะรัชกาลที่ 9 ทรงรักษาประเทศและทรงสร้างความเจริญรุดหน้าไปพร้อมกัน ประเพณีแห่งกษัตริย์พุทธที่ทรงธรรมและบุญบารมียังคงมีความสำคัญสูงสุดสำหรับรัชกาลปัจจุบัน
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงแสดงถึงความเข้าใจอันลึกซึ้งต่อบทบาทความเป็นกษัตริย์ที่มีรัฐธรรมนูญ ตลอดจนรากเหง้าของขนบธรรมเนียมประเพณีของพระมหากษัตริย์ไทย กระทั่งคนสมัยใหม่ที่มีเหตุผลอย่างนายอานันท์ยังต้องสยบต่อความเป็นพระมหาธรรมราชาของในหลวง
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ไม่ได้ทรงเกิดมาเป็นกษัตริย์ จึงทรงมีเวลาน้อยที่จะได้รับการอบรมดัดแปลงให้เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์เสด็จไปทั่วประเทศเพื่อทรงทำความรู้จักพระราชอาณาจักรและพสกนิกรของพระองค์ ทรงรู้จักแม่น้ำ ลำธาร ห้วยหนองคลองบึง ภูเขา เส้นทางทุกแห่ง เป็นนักอ่านแผนที่ที่เก่งฉกาจ
พระปรีชาสามารถนี้ทำให้ประเทศไทยพัฒนา คือ หลังจากเสด็จเยือนต่างประเทศ ได้ทรงชี้แจงให้รัฐบาลเริ่มจัดทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกขึ้นมา นายอานันท์คงหมายถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกปี 2504 ซึ่งที่จริงแล้วได้ร่างขึ้นตามการชี้นำของธนาคารโลกกับที่ปรึกษาจากสหรัฐฯ ก่อนที่พระเจ้าอยู่หัวจะทันได้เสด็จเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรก
แม้ว่านายอานันท์จะไม่ตื่นเต้นกับเรื่องราวเทพนิยายลี้ลับมหัศจรรย์ของพระปรีชาสามารถอันสูงสุดยอด แต่นายอานันท์ต้องยอมรับการรู้แจ้งและวินัยอันเข้มงวดของพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ทรงศึกษาธรรมอย่างลึกซึ้งตอนผนวช ทรงมีวินัยและเข้าใจความจริงของชีวิต ทรงไม่มีอัตตา ทรงไม่หลงตัวเอง ทรงปล่อยวางไม่ยึดติดโดยสิ้นเชิง
ทรงทำเพื่อประโยชน์ของชุมชนและส่วนรวมเท่านั้น เป็นวิถีที่พระองค์ทรงประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ในบรรดากษัตริย์ทั้งหลาย อาจมีแต่จักรพรรดิญี่ปุ่นเท่านั้นที่ได้รับการเทิดทูนจากประชาชนมากกว่านี้ แต่จักรพรรดิญี่ปุ่นประทับอยู่แต่ในวัง ต่างจากพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลที่ทรงใกล้ชิดกับประชาชนของพระองค์
จึงเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ว่าถึงแม้จะไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ คนก็ยังรู้ว่าเรามีพระมหากษัตริย์ที่ไม่ได้เอาแต่ประทับนั่งบนบัลลังก์และอยู่เฉยๆ เหล่านี้เป็นบุคลิกเฉพาะของพระองค์ที่ทำให้ทรงเป็นที่รักของคนทั้งชาติ...
มีคำกล่าวที่ว่าพระมหากษัตริย์ไม่มีวันทำผิดพลาด ในกรณีของประเทศไทยเรา พระเจ้าอยู่หัวไม่มีวันทำผิดพลาดอย่างแท้จริง ทรงเป็นของแท้ เพราะจากประสบการณ์ทางการเมืองที่ต่อเนื่องยาวนานทำให้พระองค์ต้องเข้ามาแทรกแซงการเมืองบ่อยครั้ง นายกรัฐมนตรีต้องถวายรายงานสรุปสัปดาห์ละครั้ง ดังนั้นพระองค์จึงทรงมีอิทธิพลต่อนโยบายและมาตรการของรัฐบาล
ในหลวงภูมิพลจึงทรงรับรู้ข้อมูลเป็นอย่างดีและทรงใช้ความรู้ของพระองค์ให้เป็นประโยชน์ การแทรกแซงของพระองค์มีฐานรองรับทางรัฐธรรมนูญ เพราะในฐานะกษัตริย์ตามรัฐธรรมนูญ ทรงมีสิทธิสามอย่าง คือสิทธิที่จะได้รับการปรึกษาจากรัฐบาล สิทธิที่จะเตือน แล้วสิทธิที่จะส่งเสริมให้กำลังใจ ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงยึดมั่นในสิทธิสามประการนี้ และพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลก็ได้ทรงรับอำนาจดังกล่าว
พร้อมทั้งอ้างการแทรกแซงของในหลวงภูมิพลในเหตุการณ์ 14 ตุลาปี 2516 และพฤษภาทมิฬ 2535 (โดยได้ข้ามเหตุการณ์นองเลือด 6 ตุลาปี 2519 ไป)
ซึ่งนายอานันท์บอกว่าด้วยการร้องขอจากประชาชน ทรงทราบจังหวะเวลาเหมาะสมและประเทศชาติไม่สามารถทนต่อสถานการณ์เช่นนั้นได้อีกต่อไปแล้ว พระองค์ก็จะ “ทรงลงมา”และในชั่ววินาทีเดียวโดยอัตโนมัติ วิกฤตการณ์ทั้งหมดก็สลายไป
นายอานันท์บอกว่าในหลวงไม่สามารถใช้อำนาจได้ตามพระทัย หากต้องปฏิบัติตามหลักการประชาสังคมสมัยใหม่ “พระองค์ยังสามารถถูกตรวจสอบได้อีกด้วย (accountable) สิ่งที่พระองค์ทรงปฏิบัติ สาธารณชนก็ได้เห็นโดยทั่วกัน แม้ไม่ได้เป็นการตรวจสอบในแง่กฎหมาย แต่เป็นความโปร่งใส (คงเป็นความโปร่งใสที่ตรวจสอบไม่ได้และห้ามตรวจสอบโดยเด็ดขาด)
นายอานันท์พยายามปรับภาพลักษณ์ของในหลวงให้สอดคล้องกับความนิยมของปัญญาชนสมัยใหม่ แต่บางทีนายอานันท์ก็เลยเถิดไปบ้างโดยบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงปฏิบัติพระภารกิจมายาวนานที่สุด ทรงเป็นนักการเมืองที่ปฏิบัติหน้าที่มายาวนานที่สุด รัฐบาลมาแล้วก็ไป ผบ.ทบ. มาแล้วก็ไป
การที่นายอานันท์เรียกพระเจ้าอยู่หัวว่าเป็นนักการเมืองอาจทำให้ทางวังตกพระทัยมาก เนื่องจากพระราชวงศ์ทรงใช้เวลาร่วมห้าสิบปีในการประณามทำลายภาพลักษณ์ของนักการเมืองว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัวและฉ้อฉล
นายอานันท์ก็เป็นแบบเดียวกับดร.สุเมธ คือลงท้ายก็กลับมาที่ประเพณีดั้งเดิมกับการสรรเสริญสดุดีที่เกินจริงที่ว่า “กิจกรรมเหล่านี้ไม่ได้อยู่ในวิสัยปกติของพระมหากษัตริย์ในรัฐธรรมนูญ แต่เนื่องจากพระองค์ได้ทรงมุ่งมั่นปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประโยชน์ของประชาชนไทย... คนไทยจึงเต็มใจมอบความเชื่อมั่นต่อพระองค์อย่างที่ไม่เคยมีพระมหากษัตริย์พระองค์ใดในประวัติศาสตร์ของเรา หรือแม้แต่พระมหากษัตริย์ของทั้งโลกที่ทรงเคยได้รับมาก่อน... พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลทรงปฏิบัติเหมือนไฟส่องนำทางสำหรับประชาชนที่ต้องคลำหาทางออกในความมืด”
ส่วนนักโฆษณารายที่สามก็คือพระเจ้าอยู่หัวเอง ทรงมีงานแปลชีวประวัติเพื่อเกลี้ยกล่อมปัญญาชนที่ยังเคลือบแคลงระบอบราชาธิปไตย พระนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ A Man Called Intrepid ของวิลเลียมสตีเวนสัน William Stevensonนักข่าวกรองชาวแคนาดาที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของฝ่ายพันธมิตร
อ้างว่าเป็นเรื่องจริงที่เขียนยกย่องตนเองเป็นวีรบุรุษเสี่ยงชีวิตปฏิบัติราชการลับเพื่อชาติช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งนักประวัติศาสตร์ไม่ให้ความเชื่อถือเพราะเป็นเรื่องที่เกินจริงและคลาดเคลื่อนมาก แต่ในหลวงก็ทรงแปลเพราะประสงค์ให้ผู้อ่านมองคนที่ทำงานหนักโดยไม่หวังผลตอบแทนหรือการยอมรับเหมือนดั่งที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติ
และยังเล่าว่าทั้งสหรัฐฯ และอังกฤษ ก็มีผู้นำที่ชาญฉลาดคือประธานาธิบดีรูสเวลท์ Roosevelt ในวอชิงตัน กับนายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล และกษัตริย์จอร์จที่หกในลอนดอน พวกเขาต้องแอบทำการปราบพวกนักการเมืองจากการเลือกตั้งที่ต่อต้านการลุกขึ้นต่อสู้กับพวกนาซี
นายกรัฐมนตรีเชอร์ชิล ( Winston Cherchill ) ขาดอำนาจสภา จึงต้องอาศัยอำนาจจากกษัตริย์ที่สูงกว่าให้เข้ามาแทรกแซงในช่วงวิกฤต จนเป็นธรรมเนียมที่สถาบันกษัตริย์ได้งบประมาณเพื่อนำไปใช้ปกป้องผู้ที่ทำงานลับเพื่อปกป้องชาติ
และพระราชนิพนธ์แปลเรื่อง ติโตของ ฟิลลิส ออตี้ Phyllis Auty เป็นเรื่อง ของติโตหรือโยชิบ โบรช (Josip Broz Tito) ผู้นำที่ต่อสู้กอบกู้ยูโกสลาเวีย ให้พ้นวิกฤตในสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาได้เป็นประธานาธิบดี มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เป็นแบบฉบับของผู้ที่กระทำความดีเพื่อชาติ ทั้งๆที่ท่านเป็นคอมมิวนิสต์และเป็นผู้ล้มเลิกระบอบกษัตริย์
ในหลวงภูมิพลทรงสนับสนุนความคิดเชิดชูบทบาทของกษัตริย์ที่กล้าหาญเด็ดเดี่ยวต่อต้านนาซี เหมือนกษัตริย์คริสเตียนที่สิบของเดนมาร์ค (King Christian X ) ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่กษัตริย์ต้องเก็บเรื่องความลับจากประชาชน และต้องมีผู้นำพิเศษที่สูงกว่าผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งที่ไม่เสียสละอุทิศตนเมื่อเกิดวิกฤติ
การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ข่าวกรองและสืบราชการลับของอังกฤษที่ต้องได้รับการเห็นชอบจากกษัตริย์ ระบบของอังกฤษนี้เป็นข้อพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องจำเป็นและสอดคล้องกับสงครามอุดมการณ์ยุคปัจจุบัน พระราชประสงค์ที่ทรงแปลหนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่สำคัญ โดยมีการตีพิมพ์ในปี 2536 ถึง 100,000 เล่ม เป็นหนังสือขายดีที่สุด ปีถัดมาทรงโปรดฯให้มีการพิมพ์งานแปลเรื่องติโต
นายแก้วขวัญ วัชโรทัยเลขาธิการสำนักพระราชวัง(คู่แฝดของขวัญแก้ว วัชโรทัย รองเลขาธิการสำนักพระราชวัง)อธิบายว่าในหลวงทรงเห็นว่าติโตทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยเพื่อความเจริญ สันติภาพและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน ทรงตรัสชื่นชมติโตที่รักษาความเป็นปึกแผ่นและเอกราชของประเทศเป็นเวลาถึง 35 ปี และต้องแตกออกเป็นเสี่ยงๆ มีการรบราฆ่าฟันล้างเผ่าพันธุ์กันหลังจากติโตเสียชีวิตจนเป็นเรื่องใหญ่โตกรณีบอสเนียเฮอร์เซโกวีน่า
งานเฉลิมพระชนมพรรษาธันวาคม 2538 ในหลวงทรงบรรยายพระอัจฉริยภาพของพระองค์ในการจัดการเรื่องน้ำ การพัฒนาเศรษฐกิจ และเรื่องอื่นๆ ทรงเป็นนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรชั้นยอด และนักบริหารที่อุทิศพระองค์ เป็นธรรมราชาผู้ปราดเปรื่องสารพัดเรื่อง
หลังจากรับถวายพระราชสดุดีอย่างท่วมท้นพร้อมการถวายพระพุทธรูปทองคำจากนายกบรรหาร ทรงเริ่มพระราชทานพระบรมราโชวาทว่าคนควรจะเห็นคุณค่าของน้ำ ทรงยกโครงการสุริโยทัยที่อยุธยา ทรงร่ายยาวจากการจดจำตัวเลขต่างๆ เช่น ปริมาณน้ำ ระดับน้ำ อัตราการไหล เหมือนว่าทรงเชี่ยวชาญมาก
ทรงโยงเข้าประเด็น ทฤษฎีใหม่ เป็นบทสรุปได้ทรงเรียนรู้มาเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ การเกษตรและความยั่งยืน คือระบบการจัดการไร่นาสวนผสมพึ่งตนเองขนาดเล็ก 15 ไร่ต่อครอบครัวจะมีผลผลิตพอเพียง เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทำให้เกษตรกรเป็นอิสระจากตลาดที่จะต้องขายพืชผลและซื้อปุ๋ย เมล็ดพันธุ์และยาฆ่าแมลง
จากแปลงเกษตรสาธิตของพระองค์หลอมรวมเป็นวิถีชนบท หม่อมหลวงพีระพงษ์ เกษมศรี ราชเลขาธิการ บอกว่าแนวคิดนี้คือ ประชาชนควรพัฒนา“วิธีคิดที่ถูกต้อง” ที่ทรงสถาปนาเป็นนโยบายแห่งชาติ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติปี 2538 มีการแจกหนังสืออธิบายทฤษฎีนี้ในการพระราชทานพระบรมราโชวาทวันเฉลิมพระชนมพรรษา
ทรงเริ่มด้วยเรื่องที่พระองค์ทรงทำนายอย่างแม่นยำถึงเรื่องพายุไต้ฝุ่นลูกหนึ่งที่อธิดีกรมอุตุฯ นายสมิท ธรรมสโรชได้บอกว่าจะเข้าไทยแต่ไม่ได้เข้า แสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงมีความสามารถในการพยากรณ์อากาศเหนือว่านักอุตุนิยมวิทยาของไทยและทั่วโลก
แต่ทรงอธิบายว่าพระองค์ได้ทรงปรึกษา “สำนักงานมณีเมขลา” “เป็นสำนักงานอุตุนิยมมีฐานที่ตั้งอยู่ที่เขาพระสุเมรุ ได้บอกให้นางมณีเมขลาไปเจรจา ก็ได้ผลดี ชาวบ้านบางคนเลยเข้าใจว่าในหลวงภูมิพลไม่เพียงแต่ทรงสามารถทำนายดินฟ้าอากาศได้ดีกว่าซีเอนเอน CNN เท่านั้น แต่พระองค์ยังสามารถบงการฟ้าฝนได้อีกด้วย
พระเจ้าอยู่หัวทรงมีโครงการสร้างแหล่งเก็บน้ำย่อยๆ ทั่วประเทศเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง ตามแบบโครงการส่วนพระองค์ที่อยุธยา ทรงเรียกชื่อว่า แก้มลิง ทรงเล่าว่าพระองค์ได้ความคิดนี้เมื่อมีพระชนมายุเพียงห้าชันษา จากการที่ทรงได้ทอดพระเนตรลิงเก็บกล้วยไว้ในกระพุ้งแก้มก่อนจะกินเข้าไป ทรงพิสูจน์ว่าพระราชดำริของพระองค์มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับอย่างแน่นหนา
พระองค์ทรงอ้างสถิติตัวเลขเรื่องน้ำของประเทศจำนวนมากมาย ตั้งแต่ปริมาณน้ำในแม่น้ำ อัตราการเกิดฝนและระดับน้ำท่วม ทรงใช้ตัวเลขเหล่านี้เพื่อพยายามพิสูจน์ให้ได้ว่าเขื่อนป่าสักมีความจำเป็น และน่าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนได้ เพราะว่าจะมีน้ำ 800 ล้านลูกบาศก์เมตรที่เก็บเอาไว้ รับสั่งเรียกผู้ว่าราชการจังหวัดจากบางจังหวัดในภาคเหนือมารายงานเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่ของตนเอง
ทรงบรรยายแผนที่ แผนภูมิและสถิติต่างๆ จากความทรงจำของพระองค์ แสดงให้เห็นว่าทรงรอบรู้สถานการณ์ในท้องถิ่นได้ดีกว่าผู้ว่าราชการจังหวัดแต่ละคน ราวกับว่าผู้ว่าฯ เหล่านั้นเป็นเจ้าหน้าที่ของพระองค์เอง รับสั่งให้ผู้ว่าฯรายงานปัญหาเฉพาะกับนายกรัฐมนตรี แม้ว่ารัฐบาลจะแย่ในเรื่องประสานงาน ทรงมีพระราชดำรัสพร้อมถอนหายใจ ทรงบรรยายสถานการณ์ไล่เลียงลงมาตามลำน้ำและแถบชานเมืองกรุงเทพฯโดยมีรายละเอียดที่น่าประทับใจ
ทรงเน้นถึงคุณค่า ของโครงการแก้มลิง ของพระองค์ถึงกับรับสั่งเสนอแนะสารพัดให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ต้องทำเป็นแท่น ในแท่นนี้มีที่พอสำหรับให้ประชาชนที่อยู่แถวนี้มาจัดเป็นหมู่บ้านจัดสรร และในแท่นนี้ ก็จะทำทฤษฎีใหม่มีสระน้ำและก็มีเขตของบ้าน พวกที่อยู่ที่นี่สามารถปรับปรุงดินได้ไม่ยากภายใน 2 ปี
โดยเอาดินขึ้นมาทำให้แห้ง เสร็จแล้วอาจจะเอาดินจากที่อื่นมาปูพื้นไว้บ้าง แล้วใช้น้ำล้างความเค็มของดินที่ตากไว้ ก็จะได้ดินที่อุดมสมบูรณ์ปลูกต้นไม้ได้ โดยเฉพาะมะพร้าว หรือชมพู่ หรือปลูกผัก เลี้ยงปศุสัตว์ ด้านสระน้ำก็ใช้เลี้ยงปลาได้ ส่วนที่เป็นแก้มลิง นานๆ ไป น้ำจะเป็นน้ำสะอาดใช้เลี้ยงสัตว์น้ำได้ น้ำจะกักเก็บไว้ ถึงเวลาน้ำขึ้นก็ปิดเวลาจะใช้น้ำก็เปิดประตูออกโดยอาศัยความลาดชันของพื้นดินในการควบคุมน้ำ
การทำแบบนี้ไม่ต้องสงเคราะห์ ไม่ทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ มีทำงาน เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม มีเงินพอใช้ ถ้าทำสำเร็จตามนี้ เมืองไทยก็จะเจริญขึ้นทันตา พระเจ้าอยู่หัภูมิพลวทรงมีวิธีการเสนอที่ค่อนข้างวกวนและมักจะทรงสอดแทรกลีลาอารมณ์ขันนอกเรื่องนอกราวอยู่เรื่อยๆ เป็นเทคนิคที่แสดงถึงพระบุญญาธิการและพระปรีชาญาณของพระองค์ที่มีทั้งวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ พสกนิกรของพระองค์ตั้งแต่ชาวนาไปจนถึงคนในเมือง รวมทั้งพวกงมงายไปจนถึงพวกบ้าหาเหตุผล ต่างก็สามารถหาข้ออ้างที่จะเชื่อถือศรัทธาในพระเจ้าอยู่หัวได้ด้วยกันทั้งสิ้น
หลังจากนั้นข้าราชการก็จะพากันรีบเร่งเพิ่มโครงการทฤษฎีใหม่ในพระราชดำริ หรือไม่ก็ติดป้ายทฤษฎีใหม่ให้กับโครงการที่มีอยู่แล้ว ไม่เว้นแม้แต่โครงการที่ริเริ่มและสนับสนุนโดยหน่วยงานพัฒนาของต่างประเทศที่ไม่เคยได้ทราบเรื่องโครงการพระราชดำริมาก่อนเลย
พระเจ้าอยู่หัวมีรับสั่งให้จัดพิมพ์หนังสือเล่มที่สามในนิทานชาดกเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับแผ่นดินของพระองค์ คือ พระมหาชนก ทรงเอามาปรับปรุงใหม่ในรูปแบบของนิทานสำหรับเด็ก วาดภาพประกอบโดยศิลปินชั้นนำของประเทศ เป็นเรื่องของเจ้าชายที่รู้ว่าราชบัลลังก์แห่งมิถิลาของพระราชบิดาได้ถูกพระเจ้าอาผู้ชั่วร้ายแย่งชิงไป พระมหาชนกปฏิญญานที่จะทวงพระราชบัลลังก์คืน ได้เสด็จออกเดินทางค้าขายเพื่อระดมทุนสร้างกองทัพ
เมื่อเรือของพระองค์อับปาง ทรงรอดพระชนม์มาได้ด้วยพละกำลังและสติปัญญา โดยที่คนอื่นตายหมด หลังจากลอยคออยู่ในทะเลถึงเจ็ดวัน พระมหาชนกก็ได้รับการช่วยเหลือจากนางมณีเมขลาที่อุ้มพระองค์ไปส่งยังสวนผลไม้ในเมืองมิถิลาขณะที่พระเจ้าอาได้สิ้นพระชนม์ไปก่อนแล้ว พระมหาชนกจึงอภิเษกสมรสกับพระธิดาของพระเจ้าอาและขึ้นครองราชสมบัติปกครองมิถิลานครตามทศพิธราชธรรมเป็นเวลาเจ็ดพันปี
อยู่มาวันหนึ่งพระมหาชนกทรงพบต้นมะม่วงสองต้น ต้นหนึ่งไร้ผลแต่เขียวงาม อีกต้นออกผลมีรสหวานอร่อย แต่ถูกดึงถูกทึ้งและโค่นลงโดยคนที่มากลุ้มรุมแย่งชิงผลมะม่วง ทำให้พระมหาชนกได้ทรงระลึกว่าการมั่งมีทรัพย์มีแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ และการไม่มีทรัพย์กลับนำมาซึ่งความสุข พระองค์จึงสละราชสมบัติและพระมเหสี ทรงปลงพระเกศาเป็นนักพรต เร้นกายหายลับเข้าป่า
พระมหาชนกฉบับของในหลวงได้เน้นถึงความเพียรพยายามของพระมหาชนก ขณะที่พระมหาชนก ทรงลอยคออยู่ในทะเล พระองค์ได้สนทนาธรรมอย่างยืดยาวกับนางมณีเมขลา ทรงเน้นถึงถึงความเพียรพยายาม โดยสรุปว่า “บุคคลเมื่อกระทำความเพียร แม้จะตายก็ได้ชื่อว่าไม่เป็นหนี้ในระหว่างหมู่ญาติ เทวดา และบิดามารดา อนึ่ง บุคคลเมื่อทำกิจอย่างลูกผู้ชาย ย่อมไม่เดือดร้อนในภายหลัง” นี่คือสัจธรรมที่ทรงโปรดปรานของพระเจ้าอยู่หัว ความสำเร็จโดยปราศจากความเพียรนั้นว่างเปล่า ความล้มเหลวแต่มีความเพียรพยายามถือว่ายิ่งใหญ่ การไม่มีความเพียรพยายามเป็นเรื่องน่าประณาม ความเพียรพยายามเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการประพฤติปฏิบัติธรรม
เมื่อพระมหาชนกได้เสวยราชย์เป็นกษัตริย์ “ก็ทรงคำนึงถึงความเพียรพยายาม ที่พระองค์ได้ทรงทำในมหาสมุทร ทรงเกิดพระปีติโสมนัสโดยได้เปล่งอุทานว่า บุรุษผู้เป็นบัณฑิตพึงหวังเข้าไว้ ไม่พึงเบื่อหน่าย เราเห็นว่าการที่เราได้เป็นพระราชาสมปรารถนานั้น ก็เพราะความเพียรพยายามอย่างเดียวโดยแท้... จากนั้นมา ก็ได้ทรงดำรงพระองค์อยู่ในทศพิธราชธรรมอย่างครบถ้วน และนิมนต์พระปัจเจกพุทธเจ้ามาฉันภัตตาหารอยู่เป็นประจำ”
ในหลวงทรงดัดแปลงตัดต่อเรื่องพระมหาชนกตอนที่ทรงเห็นต้นมะม่วงคือ แทนที่พระมหาชนกจะมี ปฏิกิริยาด้วยการออกบวชเป็นนักพรตตามต้นฉบับเดิม แต่พระมหาชนกฉบับในหลวงกลับทรงใช้ความสามารถในเทคโนโลยีการเกษตรรักษามะม่วงต้นนั้นเอาไว้ได้
ขณะเดียวกันพระมหาชนกทรงพยายามเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของคนบางคนที่ชอบการทำลายด้วยการให้การศึกษาทุกคน นับตั้งแต่อุปราช จนถึงคนเลี้ยงช้างคนเลี้ยงม้า และโดยเฉพาะเหล่าเสนาอำมาตย์ซึ่งมีแต่ความมัวเมาลุ่มหลงขาดทั้งความรู้วิชาการทั้งความรู้ทั่วไป คือความสำนึกธรรมดา ที่ไม่รู้แม้แต่ประโยชน์ส่วนตน ภาพประกอบในตอนนี้แสดงต้นมะม่วงที่กำลังถูกทึ้งโดยจักรกลสมัยใหม่ รอบๆ นั้นคือความชั่วร้ายของสังคมไทยสมัยใหม่ คอร์รัปชั่น กิเลสตัณหา การพนัน ประเพณีและการดื่มสุราเมามาย โดยมีเด็กๆที่ไร้เดียงสาคอยเฝ้ามอง
นอกจากนี้ พระมหาชนกฉบับในหลวงยังได้ทรงสร้างมหาวิทยาลัยเพื่อถ่ายทอดภูมิปัญญาของพระองค์ ในภาพประกอบ พระมหาชนกทรงนำชีวิตและความเขียวขจีกลับคืนสู่ประเทศที่รกร้างถูกทำลาย คล้ายภูมิประเทศโล่งเตียนของไทยสมัยใหม่ ทำให้คนไทยต้องนึกถึงในหลวงในบทบาทของพระมหาชนก
พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิเสธที่จะเกษียณเนื่องจากพระองค์ยังไม่บรรลุเป้าหมาย อย่างที่ทรงรับสั่งไว้ในหนังสือนิพนธ์หลายเล่ม ที่ระบุวาระการเสด็จครองราชบัลลังก์มานาน 50 ปี พระมหาชนกปฏิบัติความเพียรอย่างที่สุดโดยไม่ปรารถนาสิ่งตอบแทนซึ่งเป็นผลให้พระองค์ได้ครองราชบัลลังก์และนำความรุ่งเรืองแก่เมืองมิถิลา
อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาของพระมหาชนกที่จะละวางจากบ้านเมืองเพื่อแสวงหาความความสงบและหลุดพ้นอาจจะยังไม่สบโอกาส หรือยังไม่ถึงเวลาอันควรเนื่องจากความรุ่งเรืองของมิถิลายังไม่ได้บรรลุถึงจุดสูงสุดที่เหมาะสม..พระมหาชนกแบบของในหลวงยังต้องพัฒนาความคิดว่าจะฟื้นมะม่วงต้นนี้คืนมาได้อย่างไร...
พระมหาชนกคงจะสามารถบรรลุความหลุดพ้นอย่างง่ายดายกว่าหากพระองค์ได้ทรงบรรลุภารกิจทางโลกย์ของพระองค์โดยสมบูรณ์ก่อน รูปเล่มและการเปิดตัวหนังสือพระมหาชนกแสดงให้เห็นว่าวังถือเรื่องนี้จริงจังมาก มีการตีพิมพ์ทั้งในภาษาไทยและอังกฤษ และวังจัดงานเปิดตัวหนังสือสำหรับนักข่าวที่ไม่ค่อยได้เกิดขึ้นบ่อยนัก นักข่าวทั้งไทยและเทศต่างได้รับเชิญ
ฉบับพิมพ์ครั้งแรกเป็นฉบับนักสะสมปกแข็งเล่มใหญ่ ขายเอาเงินสมทบทุนการกุศลในราคา 2,000 เหรียญและ 200 เหรียญสหรัฐฯหรือเล่มละกว่าห้าหมื่นบาทและกว่าห้าพันบาท โดยแถมเหรียญทองคำและเหรียญเงินที่ปลุกเสกโดยพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร แต่พอทำยอดขายไม่ได้ดีอย่างสินค้าอื่นๆ ของวัง
ธนาคารแห่งชาติก็บีบให้ธนาคารของรัฐและเอกชน 15 แห่งขายทำยอดให้ได้ 15 ล้านบาท บางธนาคารต้องอาศัยวิธีแจกให้กับลูกค้าชั้นดี ซึ่งเท่ากับเป็นการควักกระเป๋าของผู้ถือหุ้นธนาคารนั่นเอง คือธนาคารไม่ได้ทำหน้าที่แค่เป็นกระจายจ่ายแจก แต่ต้องจ่ายเงินซื้อเองด้วย
ปีถัดมา หนังสือก็ออกฉบับปกอ่อนสี่สีราคา 250 บาท และถัดไปอีกปีก็เป็นหนังสือการ์ตูนราคาย่อมเยาว์สำหรับเด็กเขียนภาพโดยชัย ราชวัตร (นายสมชัย กตัญญุตานันท์)
ถึงตอนนั้น การโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ได้ทำให้ประชาชนตระหนักระลึกถึงความสำคัญของพระมหาชนกมากขึ้น บริษัทห้างร้านต่างๆ พากันเหมาซื้อไปแจก ได้ทั้งบุญได้ทั้งการลดหย่อนภาษี บางรายมอบให้วัดไปแจกต่อ กลายเป็นส่วนหนึ่งของ วงจรอัศจรรย์แห่งการทำบุญถวายเป็นพระราชกุศล
.........
วันศุกร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น