วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหลังบ้าน 007 : ตระกูลจักรกาลี SS 07

( เรื่องหลังบ้าน 007 : ตระกูลจักรกาลี และ  เรื่องหลังบ้าน 007/2 : ตัวตนของลุงสมชาย ใช้ไฟล์เสียงอันเดียวกัน )
..........
ตระกูลจักรกาลี

กำเนิดต้นตระกูลจักรกาลี

ตระกูลจักรกาลี มีกำเนิดจากนายทองลี รับราชการอยู่สมัยอยุธยาตอนปลาย พอกรุงแตกนายทองลีหนีไปรับราชการอยู่กับพระยาพิษณุโลกที่เป็นขุนนางเก่า ส่วนลูกของทองลี คือ ทองด้วน กับ บุญลา 2 คนมาอยู่กับเจ้าตาก พอเจ้าตากชนะ ลูกทั้ง 2 คนจึงไปรับพ่อกลับมาอยู่กับเจ้าตาก


นายทองด้วน เกิดในราวปี 2279 เป็นขุนนาง รับราชการได้เป็นเจ้าเมืองราชบุรี
ในปี 2310 กองทัพพม่าได้บุกเข้ายึดและเผาทำลายกรุงศรีอยุธยา หลังจากกองทัพใหญ่ของพม่าถอนกำลังจากกรุงศรีอยุธยาโดยทิ้งกองกำลังรักษาการณ์ไว้จำนวนหนึ่ง ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน เจ้าตากก็ตีกองกำลังพม่าที่เหลืออยู่จนแตกพ่าย ในปี 2311 ด้วยอายุเพียง 34 ปี ก็ขึ้นเป็นเจ้า มีโทนบุรีเป็นเมืองหลวง บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตรงข้ามกับศูนย์กลางการค้าขายบางกอก
น้องของนายทองด้วนคือนายบุญลา ตอนที่กรุงแตกได้หนีไปเป็นทหารของเจ้าตาก ต่อมาเมื่อเจ้าตากรบชนะและตั้งตนเป็นเจ้า บุญลาจึงได้พานายทองด้วนพี่ชายของตนมาเป็นพวก ต่อมาบุญลาได้เลื่อนยศ เป็นพระยาสุรเสือ ทองด้วนก็ได้เป็นพระยายมราชแทน และเลื่อนเป็นเจ้าพระยาจักรกาลีแทนคนเดิมที่ถึงแก่กรรม ทองด้วนได้ยกลูกสาวให้เจ้าตาก ทำให้ตนมีสถานะที่ใหญ่โตขึ้น ต่อมาทหารเอกคือพระยาสังคโลกขอลูกสาวของเจ้าตาก จึงโดนสั่งประหารเพราะถูกมองว่ามีความบังอาจ ทำให้ 2 คนพี่น้อง คือ พระยาสุรเสือ และพระยาจักรกาลี มีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ และยิ่งตอนหลังเจ้าตากหันไปนั่งสมาธิวิปัสนากรรมฐานมากขึ้นอำนาจทางการเมืองก็ตกอยู่ในมือสองพี่น้องมากขึ้นทุกที


ในปี 2324 เกิดการจลาจลในเขมร โดยที่พระยาจักรกาลีวางแผนสมคบกับเวียตนามและเขมรสร้างสถานการณ์ ให้เจ้าตากได้ส่งกองทัพไปปราบจลาจล โดยแต่งตั้งเจ้าชายจุ้ยลูกชายคนโต เป็นทัพหลวง และให้สองพี่น้องกำกับทัพไปด้วย หลังจากที่เจ้าชายจุ้ยยกกองทัพออกจากกรุงโทนบุรี ได้ 2 เดือน ก็เกิดการจลาจล เจ้าฟ้าจุ้ยโดนทัพญวนและทัพเขมร ล้อมไว้ สองพี่น้องให้พรรคพวกสร้างสถานการณ์กบฏในเมืองหลวง ขณะที่เจ้าตากไม่มีกำลังเหลืออยู่เลย พวกกบฏจับเจ้าตากขังไว้ พระยาจักรกาลีและพระยาสุรเสือก็ยกทัพกลับมาทันทีพร้อมกำลังทหารจากหลายเมือง พอมาถึงเมืองหลวงก็ยกตนเองเป็นเจ้า และสั่งตัดหัวพระเจ้าตากทั้งจีวร รวมทั้งประหารชีวิตขุนนางและครอบครัวที่เป็นพวกพ้องของเจ้าตากอีกหลายสิบชีวิต รวมทั้งเจ้าฟ้าจุ้ยที่กลับมาถึง แล้วก็ตั้งวงศ์จักรกาลีย้ายเมืองมาอยู่ฝั่งตะวันออก ในปี 2325 วงศ์จักรกาลีได้เขียนประวัติของวงศ์จักรกาลีขึ้นใหม่ และได้เริ่มประเพณีและพิธีรีตรองมากมาย นายบุญลาได้เป็นเบอร์สอง รองจากทองด้วนที่ขึ้นเป็นเจ้ารามาหนึ่ง แต่สองพี่น้องก็ยังคงแข่งบารมีกัน เพราะบุญลารบเก่งกว่าและเคยมีตำแหน่งสูงกว่าทองด้วนผู้เป็นพี่ พอบุญลาเสียชีวิต ทองด้วนก็จับเอาลูกชายของบุญลามาประหารชีวิตข้อหาเตรียมการกบฏ

พอนายทองด้วนตาย นายฉิมลูกชายคนโตก็ขึ้นเป็นเจ้าและหาเรื่องเอาเจ้าชายเหม็นลูกชายของเจ้าตากมาประหารโดยอ้างว่ามีอีกานำรายชื่อกบฏมาทิ้งไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งเจ้าหญิงสำลี และเชื้อสายเจ้าตากที่ยังอายุน้อย ให้จับลงเรือกลางแม่น้ำเจ้าพระยาแล้วล่มเรือเสีย อ้างว่าเป็นเสี้ยนหนามที่ปล่อยไว้ไม่ได้
เจ้าฉิม มีเมีย 44 คน โดยเมียคนแรกเป็นพี่สาวพ่อเดียวกันชื่อบุญรอดได้เสียกันในวังวัดพระแก้วและท้องขึ้นมา เจ้าฉิมได้นั่งบัลลังก์เป็นพระรามาสองเมื่อปี 2352 อีก 8 ปีต่อมาไปขอแต่งงานกับเจ้ากษัตรีน้องสาวร่วมพ่อเดียวกัน แต่เจ้ากษัตรีไม่ยอม และยังด่าว่าทำไมจะเอาน้องเป็นเมีย เจ้าฉิมโกรธมาก จึงสั่งประหารชีวิต
ตอนเจ้าฉิมรามาสองอายุ 49 ปีได้ขอเจ้ากุณฑลอายุ18 ปี ซึ่งเป็นน้องสาวร่วมพ่อแต่งงาน เจ้ากุณฑลต้องยอมเป็นเมีย ทั้งๆที่มีอายุอ่อนกว่าถึง 31 ปี ได้เป็นเมียหลวง ทำให้เจ้าบุญรอดโกรธมากจึงออกจากบ้านใหญ่ไปอยู่กับลูกชายที่อยู่ฝั่งศิริราชคือเจ้าปิ่นเก้า
หลังจากที่เจ้าบุญรอดออกจากบ้านใหญ่ ทำให้อำนาจในบ้านใหญ่ตกไปอยู่กับ เจ้าเรียมซึ่งมีลูกชายชื่อ เจ้าชายทับ เจ้าฉิมไม่ชอบงานปกครองบ้านเมือง แต่ชอบแต่งวรรณคดีอิเหนา ใน 3 ปีสุดท้ายได้ให้เจ้าชายทับลูกเมียน้อยว่าราชการแทน ตอนนั้นเจ้าชายมังคุดลูกเมียหลวงยังเด็ก พออายุ 20 ปี เจ้าชายมังคุดบวชตามประเพณี พอบวชได้ 7 วัน เจ้าฉิมป่วยหนักและตายแบบกระทันหัน ว่ากันว่า ถูกนางเรียมเมียน้อยวางยาเพื่อให้เจ้าชายทับลูกชายได้สืบบัลลังก์ พอเจ้าชายมังคุดจะมาเยี่ยมพ่อที่บ้านใหญ่ในวัดพระแก้วก็ถูกปิดประตูขังอยู่ 7 วันก็มีคนมาเปิดประตู บอกว่าพ่อตายแล้ว ขอให้ไปเคารพศพได้ เจ้าชายมังคุดเข้าไปบ้านใหญ่ไหว้ศพพ่อ เห็นเจ้าชายทับนั่งอยู่บนที่สูง มีสมัครพรรคพวกยืนอยู่ข้างๆเต็มไปหมด จึงตกใจมากคิดว่าตัวเองไม่รอดแน่จนปัสสาวะราดจีวรเปียก เมื่อเจ้าชายทับเห็นดังนั้น จึงพูดปลอบใจว่าไม่เป็นไรเราพี่น้องกัน ทำให้เจ้าฟ้ามงกุฎรอดตาย ตอนนี้พ่อของเราก็ตายไปแล้ว น้องจะว่าอย่างไร เจ้าชายมังคุดรีบตอบว่า น้องก็ไม่อยากได้สมบัติ แค่อยากบวชเป็นพระอย่างเดียว ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว เจ้าชายทับก็เลยบอกว่า ถ้าอย่างนั้นดีแล้ว พี่จะรักษาบัลลังก์ไปพลางก่อน เจ้าชายทับก็ได้ครองบัลลังก์เป็นเจ้ารามาสาม
ในปี 2371 เจ้ารามาสามยกทัพไปตีนครเวียงจันทน์ได้รื้อทำลายกำแพงเมือง เอาไฟเผาราบทั้งเมือง ทรัพย์สินถูกปล้นสะดม ผู้คนถูกกวาดต้อน วัดในนครเวียงจันทน์ถูกเผาราบเรียบเหลืออยู่เพียงวัดเดียวคือ วัดสีสะเกด เพราะสร้างตามแบบวัดที่บางกอก
ในปี 2374 เจ้ารามาสามได้รวบรวมพลกว่า 300,000 คนไปยึดครองภาคใต้ บุกเข้าตีภาคใต้อย่างป่าเถื่อน เมืองท่าปัตตานีถูกทำลายราบเรียบ จับเชลยจากปัตตานีกว่า 4,000 คน ผูกเอ็นร้อยหวายแล้วให้เดินทางเป็นระยะทางร่วมพันกิโลเมตรมายังบางกอก

เจ้าชายมังคุดพยายามที่จะสร้างตัวขึ้นมา โดยโฆษณาบารมีหลายอย่าง มีการตั้งนิกายใหม่เรียกว่าธรรมยึก ขึ้นมาเป็นของตนเอง โดยอวดอ้างว่าบริสุทธิ์เข้มข้นกว่าพระทั่วไป เริ่มสอนลูกศิษย์และสร้างเครือข่ายพรรคพวกอย่างรวดเร็ว มีการยกเมฆทำศิลาจารึกปลอมที่อ้างว่าเป็นหลักศิลาพ่อขุนรามคำแหง พบพระปฐมเจดีย์ที่นครปฐม อ้างว่าเป็นเจดีย์แห่งแรกในสยาม ทั้งๆที่น่าจะเป็นที่นครศรีธรรมราชมากกว่า โหมโฆษณาสารพัดทำให้ภิกษุเจ้าชายมังคุดโดดเด่นมากจนคนคิดว่าท่านคงไม่สึกแล้ว
เมื่อเจ้ารามาสามป่วยหนัก พวกบุนนาคได้ยกกำลังทหารเข้าล้อมบ้านใหญ่ และเชิญเจ้าชายมังคุดรีบสึกทันทีแล้วนุ่งขาวหัวโล้นเข้าบ้านใหญ่ในวัดพระแก้วได้นั่งบัลลังก์เป็นเจ้ารามาสี่ แทนที่จะเคร่งในพระธรรม ไม่ยุ่งกับกิเลสตัณหา เพราะบวชมานานถึง 27 ปี ตอนนั้นอายุ 47 ปี กลับเอาแต่หมกหมุ่นในเรื่องสตรี มีคนแต่งกลอนว่า เข้าแต่หอล่อกามา มีเมียถึง 50 คน มีลูก 82 คน เป็นแชมป์ลูกดกประจำวงศ์จักรกาลี มีการบอกด้วยว่าใครเอาลูกสาวมาให้เป็นเมีย ถือว่าได้บุญเหมือนขนทรายเข้าวัด แม้ว่าจะไปฉุดลูกสาวใครมา ก็ถือว่าเป็นการให้ความเมตตาแก่เด็ก
เจ้ารามาสี่ ได้เริ่มจัดกองทัพตามแบบตะวันตก แต่ก็ยังถูกมหาอำนาจตะวันตกบีบให้ทำข้อตกลงการค้ารวมทั้งสัมปทานป่าไม้และสินค้าเกษตร เจ้ารามาสี่เป็นไข้จับสั่นตายเพราะอวดเก่งไปดูสุริยุปราคาที่ประจวบคีรีขันธ์

เจ้าชายจุฬาลูกชายคนโตขึ้นเป็นเจ้ารามาห้า เมื่ออายุ 15 ปี มีลูกทั้งหมด 77 คน มีเมียอีกมากมาย มีนโยบายให้อำนาจทั้งหมดรวมศูนย์อยู่ที่ตนเพียงผู้เดียว โดยการส่งลูกหลานของตนไปควบคุมเมืองต่างๆ ที่ในอดีตเคยปกครองกันเองคล้ายระบบสาธารณรัฐ ที่มีหลายรัฐหลายแคว้นปกครองตนเองแต่ต้องส่งบรรณาการให้เมืองหลวงทุกปี การรวมศูนย์อำนาจของเจ้ารามาห้าเป็นการเพิ่มระดับของการรีดนาทาเร้น ใครขัดขวางหรือแข็งข้อก็จะโดนปราบปรามอย่างเหี้ยมโหด เช่น ใช้กำลังทหารและความรุนแรงเพื่อบีบบังคับให้ชาวปัตตานีต้องปฎิบัติตาม และประชาชนชาวอิสานที่ต้องลุกขึ้นสู้ในปี 2444 ที่ผู้กล้าชาวอิสานหลายร้อยคนต้องถูกสังหาร เช่นชาวร้อยเอ็ด ที่มีแกนนำหลายคนถูกตัดหัวและเสียบประจานที่ทุ่งศรีเมือง จังหวัดอุบลราชธานี

สมัยเจ้ารามาห้า ถือได้ว่าประเทศไทยกับญี่ปุ่นเริ่มพัฒนาพร้อมกัน แต่ประเทศญี่ปุ่นนำเงินไปพัฒนาประเทศ พัฒนาเทคโนโลยี พัฒนาอู่ต่อเรือ ญี่ปุ่นส่งคนไปเรียนต่างประเทศเพื่อพัฒนาความรู้ด้านต่างๆ ให้เก่ง แต่เจ้ารามาห้าต้องการให้ลูกของตนทุกคนเมื่ออายุครบ 18 ต้องมีคฤหาสน์ใหญ่โตของแต่ละคนจึงทุ่มเทงบประมาณประเทศจำนวนมหาศาลไปกับการสร้างคฤหาสน์เป็นจำนวนมาก ย้ายจากคฤหาสน์วัดพระแก้วมาอยู่คฤหาสน์สวนดุสิต และลูกหลานของเจ้ารามาห้าทุกคนต้องมีเบี้ยหวัดเงินปี เป็นเงินก้อนใหญ่ที่ใช้จ่ายได้อย่างสบาย ร่ำรวยกันทุกๆคน แทบไม่มีเงินเหลือไปพัฒนาประเทศ เพราะฉะนั้นในสมัยเจ้ารามา 6 และ 7 จะเห็นว่าในบางกอกมีคฤหาสน์ของลูกท่านหลานเธอทุกหัวถนนเต็มไปหมด ทั้งที่สนามหลวง ถนนราชสีมา ถนนสุโขทัย บ้านหม้อ พญาไท วังบูรพา ปากคลองตลาด ทุกหัวถนน เป็นเหตุให้ต้องมีการปฏิวัติ 2475 เพราะประชาชนลำบากยากแค้นมาก ชาวนาต้องถูกยึดที่ทำกินเพราะไม่มีเงินเสียภาษี แต่บรรดาคฤหาสน์เหล่านี้มีแต่การจัดงานรื่นเริงสนุกสนาน เช่น คฤหาสน์บางขุนพรม ของเจ้าชายบริพัตรนครสวรรค์ที่ร่ำรวยมาก มีวงดนตรีส่วนตัว มีทั้งวงดนตรีไทย วงดนตรีสากล จะกินอาหารก็ต้องมีดนตรีบรรเลง จะนอนก็ต้องมีวงดนตรีกล่อม

เรื่องที่ประกาศเลิกทาสแล้วยกย่องว่าเป็นความดีที่ยิ่งใหญ่ของเจ้ารามาห้าจนได้เป็นมหาราชา แต่เป็นการเลิกทาสเป็นอันดับสุดท้ายของโลก เพราะประเทศจีน ประเทศอินเดีย ประเทศญี่ปุ่น ประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส อเมริกา เนเธอร์แลนด์ ทุกประเทศเลิกทาสก่อนบางกอกหมด ซึ่งการเลิกทาสมันต้องเลิกอยู่แล้ว แต่เจ้ารามาห้าออกกฎหมายให้ลูกทาสในปี 2417 ที่เกิดตั้งแต่ปีที่ตนครองบัลลังก์ ยังต้องเป็นทาสต่อไปจนอายุครบ 21 ปี ถึงจะเลิกเป็นทาส และค่อยออกกฎหมายเลิกทาสในปี 2448 หรืออีก 31 ปีต่อมาเพราะว่าเกรงใจขุนนาง ขณะที่ทั่วโลกเขาเลิกทาสกันไปหมดแล้ว เพราะเริ่มมีเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่แล้ว มีการปลูกข้าวเพื่อส่งออก มีโรงเลื่อยไม้ โรงสีข้าว แต่ประชาชนกลับถูกรีดภาษีอย่างหนักและภาษีกว่า 80% ถูกดูดเข้ามายังคลังหลวงเพื่อหล่อเลี้ยงบางกอกเท่านั้น ทำให้มีการต่อต้านการรวมศูนย์อำนาจและการปราบปรามอย่างรุนแรงต่อประชาชนในเมืองที่ห่างไกล

พวกตระกูลจักรกาลีเก่งในการปราบปรามประชาชนแต่ไม่เคยคิดสู้กับฝรั่งต่างชาติเลย และบางกอกก็เป็นเมืองเดียวในโลกนี้ที่ยอมเสียดินแดนให้พวกฝรั่งโดยไม่ต้องมีการรบเลย บ้านเมืองอื่นฝรั่งอยากได้ดินแดนต้องรบเอาอย่างเดียวเท่านั้นเพราะไม่มีใครเขายอม แต่เจ้ารามาของตระกูลจักรกาลียินดียกให้เลย แล้วยังอ้างว่าเป็นความเก่งกล้าสามารถไม่ต้องตกเป็นเมืองขึ้น ซึ่งที่จริงแล้วนี่เป็นนโยบายที่โง่ที่สุด บางดินแดนฝรั่งไม่ได้ขอแต่เจ้ารามากลับยกให้เอง เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะริด ทั้ง 4 แคว้นนี้ ฝรั่งไม่ได้ขอ แต่เจ้ารามาห้า ยกให้ฝรั่งเอง เนื่องจากในราวปี 2440 เจ้ารามาห้าได้ทำสัญญาลับกับอังกฤษ ยอมให้อังกฤษได้สัมปทานแร่ดีบุกของภาคใต้เพียงผู้เดียวและสัมปทานป่าไม้ภาคเหนือ โดยห้ามยกสัมปทานนี้ให้ประเทศอื่น หลังจากนั้นเยอรมันมาขอสัมปทานการรถไฟในภาคใต้ เจ้ารามาห้าต้องไปขอเจรจาแก้สัญญากับอังกฤษ แต่อังกฤษไม่ยอม จึงต้องยกดินแดน เช่น ไทรบุรี กลันตัน ตรังกานู ปะริด ให้อังกฤษอีก อังกฤษจึงยอมแก้สัญญา โดยเจ้ารามาห้าแก้ตัวว่า ขืนเอาดินแดนไว้ก็รักษามิได้ ซึ่งเป็นคำอธิบายที่ไม่มีเหตุผล
เมื่อฝรั่งยึดเมืองจันทบุรีไว้เจ้ารามาห้าเข้าไปเจรจาขอให้ถอนกำลังจากเมืองจันทบุรี แล้วจะยกพระตะบอง เสียมราฐ ศรีโสภณให้ ซึ่งเป็นการแลกที่เสียเปรียบ และยังเอาจำปาศักดิ์ไปแลกกับเมืองตราด ทั้งๆที่จำปาศักดิ์เป็นเมืองเอก แต่เมืองตราดมีพื้นที่เพียงนิดเดียว ทำให้ต้องเสียดินแดนเป็นพึ้นที่มากมายมหาศาลโดยไม่จำเป็นและไม่เคยคิดต่อสู้ หวังเพียงแต่รักษาบัลลังก์ของตนเองเท่านั้น ทางรถไฟที่สร้างเป็นสายแรก คือสายปากน้ำ เพื่อให้เจ้านายที่เดินเรือจากต่างประเทศได้นั่งรถไฟเข้ามาบางกอกเท่านั้น ส่วนทางรถไฟที่สร้างไปหัวหินเพราะเจ้านายที่กลับมาจากต่างประเทศจะได้ไปตากอากาศที่ชายทะเล ที่จริงแล้วทางรถไฟส่วนใหญ่มาสร้างสมัยจอมพล ป. ส่วนโรงพยาบาลก็สร้างเพราะลูกของตนเองป่วย
เจ้าชายสีหราชป่วยและตายตั้งแต่เด็กๆ เจ้ารามาห้าเสียใจมากจึงสร้างโรงพยาบาลสีหราชริมแม่น้ำเจ้าพระยาตามชื่อลูกชายที่ตายไป สร้างโรงเรียนกุหลาบ โดยเก็บเงินค่าการศึกษา 24 บาทซึ่งแพงมากสำหรับคนทั่วไปในสมัยนั้น โดยอ้างว่าต้องการให้เป็นโรงเรียนของพวกผู้ดีมีสกุลเท่านั้น เจ้าหญิงสุวภาอยากเปิดโรงเรียนสุวภาให้ผู้หญิงเข้ามาเรียนเพื่อจะได้เป็นเมียที่ดีของพวกขุนนาง ต่อมาจึงพัฒนามาเป็นสถานสุวภากากบาทไทย มหาวิทยาลัยจุฬาไม่ได้เกี่ยวข้องกับเจ้ารามาห้าเลย แต่ตั้งขึ้นในสมัยเจ้ารามาหกโดยเอาเงินที่เหลือจากการสร้างรูปปั้นรามาห้าขี่ม้าไปสร้างจุฬา โดยสุรศักดิ์มนตรี อาจารย์ของเจ้ารามาหกเป็นคนเสนอ ด้วยความเกรงใจเพราะสุรศักดิ์มนตรีช่วยดูแลและเป็นอาจารย์ของเจ้ารามาหกตั้งแต่ตอนอยู่อังกฤษก็เลยต้องยอม เจ้ารามาหกต้องการสร้างโรงเรียนพชิราวุธให้เป็นโรงเรียนของคนชั้นสูง แต่กระเบื้องที่มุงหลังคาของโรงเรียนพชิราวุธมีไม่พอ จึงสั่งให้เอากระเบื้องจากจุฬาไปมุงแทน และให้จุฬาใช้หลังคามุงจากไปก่อน
เจ้ารามาหก ไม่มีเมีย คนรับใช้ใกล้ชิดส่วนใหญ่จะเป็นผู้ชายทั้งนั้น ที่เป็นที่โปรดปราณ ก็คือ 2 คนพี่น้อง คนพี่ชื่อ ฟื้น พึ่งใบบุญ คนน้องชื่อ เฟื้อ พึ่งใบบุญ ในตระกูลของหลวงรักษ์รณเรศ(ลูกชายเจ้ารามาหนึ่ง รักษ์รณเรศมีประวัติเป็นพวกรักร่วมเพศ ต่อมาถูกเจ้ารามาสามสั่งประหารฐานซ่องสุมผู้คนเพราะไม่ไว้ใจเจ้าชายมังคุดที่บวชเป็นพระในตอนนั้น) เจ้ารามาหกชอบพี่น้อง 2 คนนี้มาก เป็นพระเอกละครที่หล่อมาก คนพี่เล่นเป็นเป็นพระราม จึงได้ชื่อว่ารามมานพ คนน้องเล่นเป็นพระอนุชา จึงตั้งชื่อเป็นอนิรุธเมธา จึงได้เป็นพระยาทั้งสองคน เจ้ารามาหกรักใคร่ชอบพอพระยารามมานพมากเป็นพิเศษถึงกับให้เข้านอกออกในถึงในห้องนอนได้ตลอดเวลา และมักให้ให้พระยารามมานพสั่งการและเซ็นหนังสือแทน โดยเจ้ารามาหกชอบเขียนหนังสือและแต่งนิยายมากกว่า บางวันเจ้ารามาหกออกว่าราชการ ใส่เสื้อสีแดง นุ่งโจงกระเบนเสื้อลายดอก ประแป้ง จูงมือออกมากับพระยารามมานพที่ชอบแต่งชุดทหาร จึงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ ครหามากว่าคงเป็นพวกรักร่วมเพศ ต่อมาจึงต้องตัดสินใจที่จะมีแฟนเป็นผู้หญิง โดยมีภรรยา 4 คน แต่มีลูกเพียงแค่คนเดียว ชื่อ เจ้าหญิงเพชรราช
เจ้ารามาหกขัดแย้งกับพี่ๆน้องๆเป็นประจำ ชอบกลั่นแกล้งกันเองเหมือนไม่อยากให้ใครเด่นกว่าตน เช่น หลวงราชบุรีจบกฎหมายจากนอก ถูกย้ายจากกระทรวงยุติธรรม ไปอยู่กระทรวงเกษตร จึงต้องลาออกจากราชการเพราะทำงานไม่ได้ ย้ายดำรงอานุภาพซึ่งจากกระทรวงมหาดไทย ไปอยู่กระทรวงศึกษาธิการที่เล็กกว่ามาก แล้วย้ายนายปั้นที่เคยเป็นเสมียนเก่าของดำรงอานุภาพมาคุมกระทรวงมหาดไทยแทน แถมยังให้ดำรงอานุภาพเป็นผู้อำนวยการหอสมุดที่ต่ำชั้นมากๆ
การที่เจ้ารามาหกได้นั่งบัลลังก์ก็เพราะเจ้าชายวชิรุณลูกชายของพระนางสว่างเสียชีวิต เจ้าชายวชิราอาวุธสูกชายของแม่เล็กหรือสุวภาที่ต่อมาเลื่อนเป็นวัชรินทราจึงขึ้นมาแทนตามลำดับอายุ แต่เจ้ารามาห้ารักเจ้าชายจักรพันธุ์มากกว่า เพราะเป็นคนที่มีบุคลิกดี หน้าตาดี เอาใจพ่อ ขณะที่เจ้าชายวชิราอาวุธเป็นคนอ้วนเตี้ย หัวล้าน ไม่น่ารัก เอาแต่ใจตนเอง ซึ่งเจ้ารามาห้าไม่ชอบเลย แต่เป็นคนโปรดของแม่เล็กเมียคนเล็กของพี่น้องสามสาวที่มีพ่อคนเดียวกันคือเจ้ารามาสี่หรือเจ้ามังคุด เจ้ารามาหกไม่ได้สนใจเรื่องการบ้านการเมือง แต่สนใจเรื่องงานเขียนและวรรณกรรมมากกว่า
เจ้ารามาห้าส่งเจ้าชายจักรพันธุ์ลูกคนโปรดไปเรียนการทหารที่รัสเซีย แต่ไปได้เมียแหม่มสาวคือคัทลินกลับมาด้วย พอเจ้าชายวชิราอาวุธขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นเจ้ารามาหก จึงให้ เจ้าชายจักรพันธุ์ เป็นเสนาธิการทหาร แต่ในปี 2460 ได้ออกกฎหมายกีดกันเจ้าชายจักรพันธุ์ที่เป็นน้องชายพ่อแม่เดียวกันแท้ๆ โดยตัดสิทธิ์เจ้าชายที่มีเมียเป็นคนต่างชาติ เจ้าชายจักรพันธุ์จึงหย่ากับหม่อมคัทลินทันที แล้วก็จะแต่งงานใหม่กับหม่อมชลิตาลูกสาวของหลวงราชบุรี แต่เจ้ารามาหกไม่อนุญาตให้แต่งงาน จึงต้องร่วมชีวิตกันเองโดยไม่มีงานแต่งงาน และได้ขอลาออกจากราชการแต่เจ้ารามาหกก็ไม่อนุญาต ต่อมาจึงขอลาไปพักผ่อนหลังและเสียชีวิตด้วยโรคปอดบวมระหว่างเดินทางไปพักผ่อน โดยมีข่าวว่าถูกวางยา และทำให้พระนางสุวภาหรือวัชรินทราแม่ของตนเองโกรธมาก ไม่ยอมพูดกับเจ้ารามาหกอีกเลย

ได้เกิดการพยายามลุกขึ้นเรียกร้องรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยครั้งแรกของสยามเริ่มต้นโดยกลุ่มทหารหนุ่มเมื่อปี 2455 ที่เรียกว่ากบฏร.ศ.130 ซึ่งเป็นช่วงแรกแห่งการขึ้นครองบัลลังก์ของเจ้ารามาหก ทางการได้จับกุมกลุ่มนายทหารหนุ่มประมาณ 150 คน ข้อหาวางแผนปลงพระชนม์ แกนนำ 25 คน ถูกตัดสินจำคุก 12 ปี
เจ้ารามาหกไม่ค่อยถูกกับเจ้านายในตระกูลจักรกาลีด้วยกัน โดยส่วนใหญ่จะถูกปลดจากราชการ หรือลาออกจากราชการ พอไม่มีอะไรทำก็ไปรวมตัวกันที่หัวหิน ทำให้เจ้ารามาหกไม่ค่อยชอบไปหัวหิน จึงสร้างหาดส่วนตัวขึ้นมา คือ หาดมฤคทายวัน หรือหาดเจ้าสำราญ หรือหาดขี้เหล้า โดยมีบ้านของพระยารามมานพอยู่ใกล้ๆกัน ต่อมาในสมัยเจ้ารามาแปด ต้องขายให้รัฐบาลเพราะดูแลไม่ไหว ซึ่งกลายเป็นทำเนียบรัฐบาล ตึกไทยคู่ฟ้า บ้านพระยาอนิรุธเมธาก็คือบ้านพิษณุโลก แต่ละบ้านแต่ละหลังสร้างให้พวกขุนนางโปรดปรานทั้งนั้น เจ้ารามาหกไม่มีลูกชายเลย โดยมีลูกสาวเพียงคนเดียวที่เกิดตอนที่เจ้ารามาหกป่วยหนักก่อนเสียชีวิต
พอเจ้ารามาหกสิ้นชีวิตเจ้าประชาธิปักน้องชายคนสุดท้องก็ขึ้นเป็นเจ้ารามาเจ็ด คนที่มีอำนาจมากที่สุดในตอนนั้นคือ เจ้าชายบริพัตรแม่ทัพเรือลูกของพระนางสุขุมาลลูกหลานของบุนนาคโดยมีการตกลงกัน ถ้าเจ้ารามาเจ็ดไม่มีลูก ก็จะยอมให้เจ้าชายจุมภฏลูกชายคนโตของบริพัตรขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นลำดับต่อไป เนื่องจากเจ้ารามาเจ็ดมีภรรยาคนเดียว โดยเป็นน้องคนสุดท้อง ไม่มีทีท่าว่าจะได้ขึ้นนั่งบัลลังก์ แต่เป็นเพราะคนที่มีสิทธิ์ก่อนได้เสียชีวิตไปหมด พวกพี่ๆจึงเสนอให้ไปบวชและเอาดีทางศาสนา แต่ท่านอ้างว่ามีคู่รักแล้ว จึงแต่งงานกับเจ้าหญิงรำไพโดยไม่มีแนวโน้มว่าจะมีลูกสืบบัลลังก์ เจ้ารามาเจ็ดพยายามเอาใจพวกพี่ๆโดยฟื้นอำนาจพวกเจ้านาย เพราะท่านไม่ได้เตรียมตัวมานั่งบัลลังก์จึงไม่มีความรู้ทางด้านการทหารเลย เขียนภาษาไทยก็ไม่ได้ พูดได้อย่างเดียว เพราะตอนนั้นนิยมแต่ภาษาอังกฤษ บริหารราชการแบบไม่มีหลักการ และเชื่อฟังพวกญาติๆมากไป
จนนำมาสู่การปฏิวัติ 2475 ที่ยิ่งทำให้เกิดความขัดแย้งกันมาก จนต้องสละบัลลังก์ถึงกับสละราชสมบัติ มีสาเหตุจากหลายเรื่อง เช่น เรื่องกบฏบวรเดช พวกคณะราษฎรต้องการที่จะประหารพวกกบฏแต่เจ้ารามาเจ็ดไม่เห็นด้วย เรื่องสำคัญ คือ คณะราษฎรเสนอเก็บภาษีมรดก แต่เจ้ารามาเจ็ดขอให้ยกเลิกกฎหมายนี้ ให้ยกเว้นทรัพย์สินของเจ้า และขอแต่งตั้งผู้แทนประเภทสองเอง แต่คณะราษฎรไม่ยอม ทำให้เจ้ารามาเจ็ดน้อยใจเลยสละบัลลังก์ รัฐบาลของคณะราษฎรยังได้ฟ้องร้องให้ยึดทรัพย์เจ้ารามาเจ็ดและพระนางรำไพ ข้อหาแอบโอนทรัพย์สินไปต่างประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมายเพราะเจ้าถูกยึดอำนาจจึงไม่มีสิทธิ์ในทรัพย์สิน ศาลได้สั่งให้ยึดทรัพย์ของเจ้ารามาเจ็ดและพระนางรำไพ
คณะราษฎรจึงเลือกเจ้าชายอานนท์ขี้นครองบัลลังก์เป็นเจ้ารามาแปด เพราะเห็นว่ายังเป็นเด็ก ควบคุมง่าย และ ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้ารามาเจ็ด จึงเป็นเจ้าองค์แรกที่เลือกจากสภา
หลังจากที่ครองบัลลังก์มาได้สิบกว่าปี ส่วนใหญ่เจ้ารามาแปดอยู่ต่างประเทศ เพราะเกิดสงครามโลกพอดี ส่วนใหญ่พวกเจ้าทั้งหลายจะลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากที่สงครามสงบ จึงได้เชิญเจ้ารามาแปดกลับมาอยู่ในประเทศ ในปี 2488 จนถึง 2489 ก็เกิดคดียิงเจ้าเสียชีวิตคาที่นอนและคนที่น่าสงสัยมากที่สุด ก็คือนายเล็กหรือลุงสมชายน้องชายของเจ้าชายอานนท์เจ้ารามาแปด อาจเป็นเรื่องการแย่งชิงบัลลังก์ เพราะเก้าอี้มีแค่ตัวเดียว การที่เป็นเจ้ากับน้องเจ้ามันแตกต่างกันมาก เพราะขณะที่เจ้ารามาแปดเสด็จไปตามที่ต่างๆ น้องชายเจ้าเป็นได้แค่คนถือกล้องตามถ่ายรูปเท่านั้น แม้จะมีหลักฐานพยานแวดล้อมมากมายแต่ก็ไม่มีความหมาย เพราะนายเล็กได้เป็นเจ้าแทนพี่ชายไปแล้วในคืนวันที่พี่ชายถูกยิงเสียชีวิต
โดยมีบุคคลที่ไม่ได้ถูกแตะต้อง ไม่ได้ถูกสอบถามมีเพียง 2 คน เท่านั้น คือ น้องชาย กับ แม่ โดยหลักฐานทั้งหมดถูกทำลายตั้งแต่ในที่เกิดเหตุที่เจ้ารามาแปดถูกยิงตอน 09.20 น.ในช่วงเช้าตอนที่หมอนิด หัวหน้ากรมแพทย์ถึงห้องนอน เมื่อตอน 10.00 น. ปรากฏว่าศพถูกล้างทำความสะอาดหมดแล้ว ท่าทางถูกจัดใหม่ ปืนถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ห้องนอนถูกเช็ด กระบวนการทั้งหมดนี้ทำโดยแม่หรือพระนางสังวอน ซึ่งเป็นพยาบาลและมีความรู้ทางพยาบาล ทั้งๆที่รู้ดีว่า ในกรณีเช่นนี้ต้องคงหลักฐานให้มากที่สุด เพื่อการชันสูตร แต่พระนางสังวอนทำตรงกันข้าม เพราะฉะนั้นเมื่อหัวหน้ากรมแพทย์ไปถึง ปรากฏว่า ทุกอย่างสะอาดเอี่ยม ผ้าปูที่นอนเปลี่ยนใหม่หมด ผ้าปูที่นอนชุดเดิมถูกเอาไปฝังหมด ซึ่งพระนางสังวอนอ้างว่าสงสารลูกเพราะภาพมันอุจจาดมาก
และวันนั้น ไม่มีการชันสูตรศพเลย หมอได้แต่ยืนดูเฉยๆ เพราะเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ไม่ยอม คือขุนชัยนาทรังสิตบอกว่าจะเป็นการลบหลู่เกียรติยศเจ้า ห้ามแตะต้องศพเป็นอันขาด ทั้งยังสั่งนายปรีดานายกรัฐมนตรีให้แถลงว่าเป็นอุบัติเหตุทำปืนลั่นเอง แล้วก็พลิกเรื่องกลายเป็นว่านายปรีดาเป็นคนวางแผนฆ่าเจ้ารามาแปด เพื่อเป็นการป้ายความผิดให้กับศัตรูเก่าที่ได้โค่นล้มระบอบเจ้าโบราณ พวกเจ้าตระกูลจักรกาลีหลีกเลี่ยงไม่พูดถึงคดียิงเจ้ารามาแปด พยายามทำให้เป็นคดีที่ลึกลับ โดยทำลายหลักฐานทุกอย่างตั้งแต่ต้น พยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ถูกยิงเป้าหมดรวมทั้งคนที่เคยทำงานเป็นเลขาของเจ้ารามาแปดที่รู้เรื่องภายในแลเป็นลูกน้องของนายปรีดา คนที่อยู่ในคฤหาสน์ชั้นสองก็มีไม่กี่คน คนร้ายไม่มีทางหนีลอยนวลไปไหนได้เลย การเดินเข้าไปยิงเจ้ารามาแปด แล้วเดินออกมา อย่างน้อยยามที่เฝ้าหน้าห้องนอนสองคนก็ต้องเห็น
แต่ศาลของเจ้าตัดสินประหารชีวิตยามทั้งสองคนเพื่อเป็นการปิดปากทำลายพยานที่รู้เห็นโดยศาลอ้างว่ายามทั้งสองคนไม่ยอมบอกว่าใครเข้าไปยิง เพราะบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อ และมีกฎหมายห้ามฟ้องร้องกล่าวโทษเจ้าโดยเด็ดขาด จึงต้องหาทางทำลายพยานและหลักฐานทั้งหมดเพื่อรักษาระบอบเจ้าแบบโบราณเอาไว้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด ได้ยินเสียงปืนทุกคนยกเว้นน้องชายของเจ้าที่ให้การว่าไม่ได้ยินเสียงปืน ไม่รู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้น พอเห็นคนวิ่ง จึงวิ่งตาม ทั้งๆที่คนอื่นๆได้ยินเสียงปืนกันทุกคนและทุกคนที่อยู่บนคฤหาสน์ชั้นสองสามารถระบุได้ว่าตอนนั้นตนเองอยู่ตรงไหน
มีคนเดียวที่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน คือน้องชายเจ้า ซึ่งให้การว่าตนอยู่ในห้องนั่งเล่นคนเดียว
เรื่องที่ว่าเรื่องน้องชายทำปืนลั่นโดนพี่ตาย ก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะใครจะเล่นเอาปืนจี้หัวกัน จ่อกลางหน้าผากในวันที่เจ้ารามาแปดก็ไม่สบายนอนป่วยอยู่ คงไม่น่าจะลุกขึ้นมาเล่นปืนกับน้อง กรณีที่มีคนสงสัยว่าแม่เป็นคนยิงก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนที่เกิดเหตุก็มีคนเห็นแม่อยู่ที่อื่น แต่แม่อาจจะร่วมในการทำลายหลักฐาน เพื่อให้คดีนี้มันสอบสวนหาหลักฐานไม่ได้ เพราะเมื่อเกิดเรื่องขึ้นแล้ว ก็ต้องเอาลูกไว้คนหนึ่ง จะให้เสียทั้งไปทั้งคู่ก็คงไม่ได้ ตอนนั้นคนพี่อายุ 21 คนน้องอายุ 19 จะยอมรับความจริงว่าน้องฆ่าพี่ พี่ก็ตาย น้องชายก็ต้องถูกประหาร ก็คงไม่เป็นผลดีต่อตระกูลจักรกาลีอย่างแน่นอน ตอนนั้นคนน้องสนิทกับแม่มากกว่า เพราะคนพี่นั้นเอาแต่ใจตนเอง และเคยทะเลาะกับแม่ เพราะแม่เป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว จึงมีความสัมพันธ์กับชายอื่น ซึ่งคนพี่รับไม่ได้ จึงมีปัญหากันเสมอ แต่คนน้องไม่ขัดขวางแม่เพราะเห็นใจแม่ มีผู้ชายหลายคนที่มีข่าวว่ามีความสัมพันธ์กับพระนางสังวอนรวมทั้งนายเฉลียวที่ถูกประหาร เวลากินเหล้ามักชอบเอาไปพูดกับคนอื่นๆกับพระนางสังวอน นายชิต กับนายบุศย์ ก็ต้องถูกประหารเพื่อปิดปากเพราะเป็นคนเห็นน้องชายอยู่ในห้องนอนของพี่ชายตอนที่มีเสียงปืนดัง
คดีสังหารเจ้ารามาแปดเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ไม่ยาก พยานแวดล้อม


ค่อนข้างชี้ชัดว่าใครเป็นคนยิง
คนในยุคนั้นเชื่อกันว่าน้องชายเจ้าคงไม่รอดแน่ ถึงกับมีข่าวว่าฝ่ายเจ้าเตรียมให้เจ้าชายจุมภฏลูกชายคนโตของเจ้าบริพัตรขึ้นนั่งบัลลังก์เป็นเจ้ารามาองค์ใหม่
น้องชายกับแม่จึงต้องรีบออกจากประเทศ เพื่อหลบคดี จนกระทั่ง เครือข่ายเจ้าได้ชำระสะสางปิดคดีด้วยการพิพากษาประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์สามคน
จึงได้มีการเดินทางกลับเข้าประเทศในอีกสี่ปีต่อมา

.........

ไม่มีความคิดเห็น: