วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

รู้ทันชั้น 16/3 นิทานเซน C2 1603


ฟังเสียงได้ที่ : http://www.4shared.com/mp3/KP-K1HaT/See_Thru_Floor_16_-1603_.html
หรือที่ :  http://www.mediafire.com/?qe2v9tfnjclmn10

ปรดทราบ :
mediafire ใช้ดนตรีไทยเดิมแทน
ไฟล์เสียงที่เคย
downloadไม่ได้ บัดนี้ได้แก้ไขแล้ว
โปรดลองเข้าที่
link
ใหม่

..........



เรื่อง น้ำชาล้นถ้วย
ศาสตราจารย์ที่มีชื่อเสียงไปหา อาจารย์น่ำอิน เพื่อขอศึกษาพุทธศาสนาอย่างเซน ในการต้อนรับ อาจารย์น่ำอินได้รินน้ำชาลงในถ้วย รินจนล้นแล้วล้นอีก ศาสตราจารย์มองดูด้วยความฉงน ทนดูไม่ได้ จึงพูดออกไปว่าท่านจะใส่มัน ลงไปได้อย่างไร อาจารย์ น่ำอิน จึงตอบว่า ถึงท่านก็เหมือนกัน อาตมาจะใส่อะไรลงไปได้อย่างไร เพราะท่านเต็มอยู่ด้วยความคิดเห็นและทัศนะของท่านเอง ตามความยึดมั่นถือมั่นของท่านเอง และมีวิธีคิดนึก คำนวณ ตามแบบ ของท่านเอง สองอย่างนี้แหละ มันทำให้เข้าใจพุทธศาสนาอย่างเซนไม่ได้ เรียกว่า ถ้วยชามันล้น
ในพระไตรปิฎก ก็ได้เคยเปรียบพวกพราหมณ์ ที่เป็นทิศาปาโมกข์หรืออาจารย์ผู้มีความรู้และชื่อเสียงโด่งดัง ต้องเอาเหล็กมาตี เป็นเข็มขัดคาดท้องไว้ เนื่องด้วยกลัวท้องจะแตก เพราะวิชาล้นอัดอยู่ในท้อง จนใส่อะไร ลงไปอีกไม่ได้ ความล้นนั้น มันออกมาอาละวาด เอาบุคคลอื่นอยู่บ่อยๆ ธรรมะแท้ๆนั้น ล้นไม่ได้ สิ่งที่ล้นนั้น มันไม่ใช่ธรรมะ จิตแท้ๆ ไม่มีวันล้น อ้ายที่ล้นนั้น มันเป็นของปรุงแต่ง ไม่ใช่ตัวจิตแท้

เรื่อง แบกไว้ทำไม
พระภิกษุผู้อาวุโส ผู้ทรงศีลอันเคร่งครัด มีชื่อเสียงเป็นที่เคารพนับถือทั่วไป เดินทางผ่านป่าโดยมีพระหนุ่มผู้มุ่งมั่นไฟแรงเป็นผู้ร่วมเดินทาง ทั้งสองเดินมาถึงลำธารกว้างแต่ไม่ลึก พอจะเดินข้ามได้ ตรงนั้นมีหญิงท้องแก่จะเดินข้ามลำธารตามลำพัง แต่เกรงกระแสน้ำจะพัดล้ม จึงหยุดลังเลอยู่
พระผู้อาวุโสเห็นดังนั้นจึงเข้าไปช่วยประคองกึ่งอุ้มพาหญิงผู้ต้องการความช่วยเหลือนั้นเดินข้ามลำธาร พระหนุ่มเห็นเช่นนั้นก็โกรธที่พระผู้ซึ่งถือว่าทรงศีลอันเคร่งครัดกลับแตะต้องตัวหญิง อันเป็นการละเมิดศีล จึงหน้าบึ้งไม่พูดไม่จา เดินกันมาอีกค่อนวันจนใกล้ค่ำ ได้เวลาที่จะต้องพักค้างแรม พระหนุ่มก็ยังหน้าตาบึ้งตึงหมกมุ่น

ท่านผู้อาวุโสจึงถามทักว่าเป็นอะไรหรือ พระหนุ่มตอบว่าผมผิดหวังที่ท่านผู้มีชื่อเสียงว่าทรงศีลอันเคร่งครัดกลับมาละเมิดศีลอย่างร้ายแรง ท่านผู้อาวุโสจึงตอบว่า ดูก่อน อันหญิงผู้นั้นเราวางลงไปตั้งนานแล้ว.. แต่ดูท่านสิ ยังไม่ยอมปล่อยวางอีก



เรื่อง สิริมงคล
มีชายผู้หนึ่งอายุ 60 ปีแล้ว อุตสาหะประกอบอาชีพสร้างครอบครัวจนมีฐานะเป็นเศรษฐี มีบุตรหลานพร้อมหน้า ต่อมาไม่แน่ใจว่า เมื่อสิ้นแกแล้ว ลูกหลานจะสามารถรักษาครองความเป็นเศรษฐีเช่นนี้ได้ตลอดไปหรือไม่ ทางเดียวที่จะพึ่งได้ก็คือพระ แกจึงไปหาหลวงพ่อซินก่าย พระเซนซึ่งเป็นที่นับถือทั่วไปในเวลานั้น โดยเล่าความในใจให้ฟังแล้วนิมนต์ท่านไปฉันอาหารที่บ้าน และขอให้ช่วยเขียนคำอวยพรเพื่อเป็นสิริมงคลด้วย ในวันพิธี ท่านเศรษฐีได้เชิญแขกและญาติมิตรมามากมาย

หลังฉันอาหารแล้ว ท่านเศรษฐีก็ส่งม้วนกระดาษแดงและพู่กันให้หลวงพ่อซินก่าย หลวงพ่อจุ่มหมึกป้ายพู่กันอย่างรวดเร็ว เป็นอักษรสามประโยค
"ให้พ่อตายก่อน แล้วลูกตาย และหลานตาย" ทุกคนตกตลึงไปหมด โดยเฉพาะท่านเศรษฐี หลุดปากออกมา "โอย ไม่ไหวแล้ว หลวงพ่อ "
หลวงพ่อซินก่ายเห็นเป็นโอกาส จึงสอนว่า"ลูกเอ๋ย พ่อไม่ได้เขียนเล่นๆ คำว่า 'ตาย' นั้น ทุกคนจะต้องพบมิใช่หรือ ฉะนั้นถ้าหากว่าต้องตายแล้ว ก็ขอให้ตายเรียงกันก่อนหลังจะมิดีกว่าหรือความทุกข์ที่คนเราต้องรับกันอยู่ทุกวันนี้ก็หนักพออยู่แล้ว พวกเจ้าจึงไม่ควรจะต้องมาเสียน้ำตาที่ลูกหลานต้องมาด่วนจากไปก่อนเจ้า พ่อจึงถือว่าเป็นพร และเป็นสิริมงคลของวงศ์ตระกูล"
แล้วหลวงพ่อก็ได้แสดงธรรมให้ทุกคนรู้จักว่าเงินนั้นคืออะไร เราควรจะจัดการกับมันอย่างไร จึงจะได้ประโยชน์สูงสุดโดยไม่ต้องไปเป็นทุกข์กับเงินนั้น


เรื่อง อย่างนั้นหรือ

ณ สำนักเซนของอาจารย์เฮ็กกูอิน เป็นวัดที่เลื่องลือมาก เป็นที่พึ่งของคนในหมู่บ้าน ที่ร้านชำใกล้ๆวัดนั้น มีหญิงสาวสวยคนหนึ่ง เป็นลูกเจ้าของร้าน ปรากฏว่าเธอท้องขึ้นมา พ่อแม่พยายาม คาดคั้นถาม ลูกสาวก็ไม่บอก แต่เมื่อถูกบีบคั้นหนักเข้า ก็บอกชื่อท่านอาจารย์เฮ็กกูอินว่าเป็นพ่อของเด็กที่อยู่ในครรภ์ พ่อแม่โกรธจัดไปที่วัด แล้วก็ไปก่นด่าท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ท่านอาจารย์ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากว่า "อย่างนั้นหรือ" สองคนผัวเมียด่าจนเหนื่อย ก็พากันกลับไปบ้านเอง พวกชาวบ้าน ที่เคยเคารพนับถือ ก็พากันไปด่า ว่าเสียทีที่เคยนับถือ อย่างนั้น อย่างนี้ ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากว่า "อย่างนั้นหรือ" พวกเด็กๆ ก็ยังพากันไปด่าว่า พระบ้า พระอะไร สุดแท้แต่ที่จะด่าได้ตามภาษาเด็ก ท่านก็ว่า "อย่างนั้นหรือ" ไม่มีอะไรมากกว่านั้น

ต่อมา เมื่อเด็กคลอด พ่อแม่ที่เป็นตายายของเด็ก ก็เอาเด็กไปทิ้งไว้ให้ท่านอาจารย์เฮ็กกูอินเป็นการประชด ว่า "แกต้องเลี้ยงเด็กคนนี้" ท่านอาจารย์ เฮ็กกูอิน ก็มีแต่พูดว่า "อย่างนั้นหรือ" ตามเคย ท่านรับเด็กไว้ และต้องหานม หาอาหารของเด็กอ่อนจากคนที่ยังเห็นอกเห็นใจท่านอยู่ เพื่อเลี้ยงเด็กให้รอดชีวิต เติบโตอยู่ได้ ต่อมานานเข้า หญิงคนที่เป็นแม่ของเด็ก เหลือที่จะทนได้ มันเหมือนกับไฟนรกเข้าไปสุมอยู่ในใจ เพราะไม่ได้พูดความจริง วันหนึ่งจึงไปสารภาพ บอกพ่อแม่ของตนว่า พ่อที่แท้จริงของเด็กคือเจ้าหนุ่มร้านขายปลา สองผัวเมียตายายก็มีใจเหมือนกับไฟนรกเผาอยู่ข้างใน รีบวิ่งไปที่วัด ไปขอโทษขอโพยท่านอาจารย์เฮ็กกูอิน ท่านก็ไม่มีอะไร นอกจากพูดว่า อย่างนั้นหรือ แล้วตายายก็ขอหลานคนนั้นคืนไป ต่อมาพวกชาวบ้าน ที่เคยไปด่า ท่านอาจารย์ ก็แห่กันไปขอโทษอีก ท่านก็ไม่มีอะไรจะพูด นอกจากพูดว่า อย่างนั้นหรือ อีกนั่นเอง

เรื่อง ตกปลา
มีเศรษฐีคนหนึ่ง เห็นยาจกคนหนึ่งตกปลาอยู่ริมทะเล จึงเดินเข้าไปแล้วพูดว่า
เศรษฐี : เจ้าทำไมไม่คิดหาวิธีที่จะตกปลาให้ได้มากกว่านี้ เช่นว่าซื้อเรือมาสักลำ
ยาจก : ข้าจะต้องทำอย่างนั้นทำไม
เศรษฐี : ถ้าหากเจ้าซื้อเรือ เจ้าก็จะออกไปตกปลาได้ไกลกว่านี้ ที่นั่นย่อมมีปลามากกว่านี้
ยาจก : หลังจากนั้นล่ะ
เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็นำเงินที่ได้จากการตกปลา ไปซื้อ เรือที่ใหญ่กว่านี้
ไปตกในที่ลึกกว่านี้ ย่อมจะได้ปลามากกว่านี้
ยาจก : หลังจากนั้นล่ะ
เศรษฐี : หลังจากนั้นเจ้าก็จะตกปลาที่นี่อย่างหมดความกังวลใดๆ
ยาจก : ตอนนี้ข้าก็ตกปลาอยู่ที่นี่อย่างไม่มีความกังวลใดอยู่แล้ว

เรื่อง ขอเว้นสักคน


ชาวนาคนหนึ่ง ภรรยาถึงแก่กรรมลง เขาเศร้าโศก คิดถึงภรรยาเขามาก จึงตกลงใจประกอบพิธีทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาได้นิมนต์พระภิกษุนิกายเท็นได มาประกอบพิธีที่บ้านหลังจากพระทำพิธีสวดมนต์จบลงแล้ว ชาวนาได้ถามพระว่า
"ท่านคิดว่าภรรยาของผม จะได้รับส่วนบุญจากการทำพิธีสวดครั้งนี้ไหม?"
"ไม่เพียงแต่ภรรยาของท่านเท่านั้น ที่จะได้รับส่วนบุญจากการสวดครั้งนี้ แม้แต่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ก็ย่อมมีส่วนได้รับผลบุญครั้งนี้ด้วยเช่นกัน" พระภิกษุตอบข้อข้องใจ
"ถ้าเช่นนั้น" ชาวนาแย้งขึ้นด้วยความไม่สบายใจ "ภรรยาของผม ก็คงได้รับผลบุญไม่เต็มที่ซิครับ"
พระภิกษุพยายามอธิบายให้ชาวนาเข้าใจ ว่าเป็นพุทธประสงค์ที่จะแผ่เมตตา โดยให้ผลบุญเหล่านั้นตกไปถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายโดยไม่เลือกหน้า เมื่อพระภิกษุอธิบายจบลงแล้ว ชายชาวนาก็กล่าวขึ้นว่า
"กระผมก็คิดว่าเป็นคำสอนที่ดีอยู่หรอก แต่จะกรุณายกเว้นสักคนจะได้ไหมครับ คือกระผมมีเพื่อนบ้านอยู่คนหนึ่ง มันหยาบคายและชอบเอาเปรียบผมมาก ถ้าท่านจะกรุณายกเว้น อย่าเอาเจ้าหมอนั่นเข้าไปไว้ในหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายนั้นได้ก็คงจะดี"

เรื่อง ผลของคำพูด


มีพระเซนรูปหนึ่ง มีศิษย์เกียจคร้านเอาแต่นอนหลับทั้งวัน วันหนึ่งศิษย์ผู้นี้นอนจนสายก็ยังไม่ตื่น ทำให้พระเซนไม่พอใจ จึงต่อว่าลูกศิษย์ว่า "เวลาสายขนาดนี้ ตะวันส่องจนแม้แต่ฝูงเต่ายังพากันคลานออกนอกบึงบัวมารับแสงแดดกันหมดแล้ว เหตุใดตัวเจ้ากลับมัวแต่นอนอยู่ได้"

เวลาเดียวกันนั้นเอง ใกล้วัดมีชายคนหนึ่งกำลังต้องการจับเต่าไปแกงเป็นยาให้มารดาซึ่งกำลังป่วยรับประทาน เมื่อได้ฟังพระเซนบอกว่ามีเต่าออกมาจากบึง จึงรีบไปจับเต่ามาเชือด นำเนื้อมาปรุงเป็นแกงเต่า ทั้งยังแบ่งแกงเต่ามาให้พระเซนเพื่อแสดงความขอบคุณที่ชี้ทางให้

ฝ่ายพระเซน เมื่อทราบว่าการพูดจาโดยไม่ได้ตั้งใจของตน เป็นต้นเหตุแห่งการตายของบรรดาเต่าก็เกิดความรู้สึกผิดอย่างยิ่ง เพราะหากตนไม่เอ่ยปากพูดไปเช่นนั้นเต่าก็คงไม่โดนจับไปฆ่า พระเซนจึงได้ให้คำมั่นต่อตนเองว่าต่อไปจะไม่เอ่ยปากพูดจาอีกเลยตลอดชีวิต เพื่อเป็นการชดใช้บาปที่ทำไว้ ทั้งยังเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดความผิดพลาดเช่นนี้ขึ้นอีกในภายหน้า

เวลาผ่านไปไม่นาน ขณะที่พระเซนนั่งอยู่หน้าวัด ก็พบชายตาบอดผู้หนึ่งกำลังเดินหลงทิศ มุ่งหน้าลงไปยังบึงบัวนั้น แต่พระเซนได้ให้สัญญาต่อตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่เปิดปากพูด จึงไม่สามารถร้องเตือนชายตาบอดได้ แต่หากไม่เอ่ยปากตักเตือน ชายตาบอดคงต้องตกลงไปในบึงบัวเป็นแน่
พระเซนเอาแต่ลังเลว่าจะทำเช่นไรดี ปล่อยเวลาผ่านไป ในที่สุดชายตาบอดก็เดินตกลงไปในบึงบัว จมน้ำหายไปต่อหน้าต่อตา
เรื่อง หัวหรือก้อย


ในการสู้รบที่สำคัญครั้งหนึ่ง แม่ทัพญี่ปุ่นได้ตัดสินใจบุกโจมตีทัพข้าศึกซึ่งมีจำนวนมากมายมหาศาลกว่า แม้ว่าท่านแม่ทัพจะมีความมั่นใจในชัยชนะแต่บรรดาพลทหารของเขาก็รู้ดีว่าพวกตนมีกำลังน้อยกว่าข้าศึกมาก ระหว่างทางเดินทัพพวกเขาได้หยุดทัพที่ศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่ง หลังจากที่ทหารได้สวดมนต์ขอพรกันแล้ว ท่านแม่ทัพได้หยิบเหรียญขึ้นมาแล้วประกาศว่าจะโยนเหรียญเสี่ยงทายโชคชะตา ถ้าออกหัวก็แสดงว่าจะได้รับชัยชนะ ถ้าออกก้อยก็แสดงว่าจะพ่ายแพ้ เหล่าทหารต่างพากันจ้องดูด้วยใจจดจ่อ ท่านแม่ทัพดีดเหรียญให้หมุนขึ้นไปในอากาศสะท้อนแสงแวววาวและตกสู่พื้น ออกหัว ทำให้บรรดาทหารพากันดีใจโห่ร้อง และเคลื่อนทัพเข้าสู้รบตีศัตรูแตกพ่ายจนได้รับชัยชนะ ต่อมาท่านรองแม่ทัพเกิดความสงสัยและได้ถามท่านแม่ทัพว่าคนเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงโชคชะตาใช่หรือไม่ ท่านแม่ทัพก็ตอบว่า มันไม่ใช่อย่างนั้นดอก แล้วก็เอาเหรียญที่มีหัวทั้งสองด้านให้ท่านรองแม่ทัพได้ดู และกล่าวว่า ศรัทธาสามารถเอาชนะความกลัว

เรื่อง จิตใจงดงาม

ดึกสงัด ขโมยคนหนึ่ง ถือมีดย่องเข้าไปในอาราม ข่มขู่อาจารย์ชีหลี่ว่า
"เอาเงินออกมาเสียดี ๆ ไม่อย่างนั้นจะฆ่าเสีย"
อาจารย์ชีหลี่กล่าวว่า "อย่ามารบกวนอาตมาทำสมาธิภาวนา เงินอยู่ในลิ้นชัก
ไปหยิบเอง"
ขโมยคนนั้นรีบไปค้นที่ลิ้นชัก เก็บเอาเงินไปหมด
ขณะที่จะจากไปอาจารย์ชีหลี่กล่าวว่า "อย่าเอาไปหมดนะ
เหลือไว้หน่อยให้อาตมาซื้อดอกไม้ไหว้พระพรุ่งนี้"
ขโมยจึงทิ้งเงินเล็กน้อยไว้ในลิ้นชัก
พอหันหลังจะจากไปอาจารย์ชีหลี่ก็กล่าวอีกว่า "ไม่ขอบคุณสักคำหรือ"
ขโมยจึงกล่าวขอบคุณก่อนสาวเท้าจากไป
หลังจากนั้น ขโมยผู้นี้ได้ก่อคดีขึ้นอีก กระทั่งถูกมือปราบจับตัวได้
ขโมยให้การว่าเคยปล้นเงินของอาจารย์ชีหลี่

ขณะที่มือปราบเรียกตัวอาจารย์ชีหลี่ไปให้การชี้ตัวจำเลย
อาจารย์ชีหลี่กลับให้การว่า "เขาไม่ใช่ขโมย เขาไม่ได้ปล้นอาตมา
อาตมาให้เงินเขาเอง เขาขอบคุณอาตมาแล้ว"
คำให้การของอาจารย์ชีหลี่ช่วยให้ขโมยผู้นี้ได้ลดหย่อนผ่อนโทษ
เมื่อขโมยผู้นี้พ้นโทษจึงปลงผมออกบวชขอเป็นศิษย์จากอาจารย์ชีหลี่อย่างซาบซึ้งตื้นตันและยินยอมพร้อมใจ



เรื่อง ถูก ถูก ถูก

จีนสมัยโบราณ มีวัดพุทธใหญ่อยู่วัดหนึ่ง มีระเบียบให้คนในวัดมาทำวัตรสวดมนต์กันทุกเช้า ตอนตีสี่ ครั้งนั้น มีภิกษุรูปหนึ่ง ทุกๆ วัน ท่านจะขมีขมันตื่นก่อนเวลาจุดไฟเดินส่องไปตามทางที่ปูด้วยหินก่อนใครๆ เพื่อจับหอยทากที่คลานอยู่ตามทางเท้าไปปล่อยไกลๆ จะได้ไม่ถูกเหยียบตาย ท่านทำอย่างนี้ทุกวันจนภิกษุรูปอื่นสังเกตเห็น เลยสอบถาม ภิกษุรูปนั้นก็ตอบว่า
ผมมีชีวิตอยู่ทุกวันนี้ ก็เพื่อประกอบความดี สร้างบารมีเรื่อยไป
ภิกษุอีกรูปหนึ่งก็ค้านขึ้นว่าท่านทราบไหม ที่ทำอย่างนี้เหมือนกับก่อกรรมทำเข็ญ ทำให้ชาวสวนต้องเดือดร้อนจากหอยทาก ข้างนอกเขากำจัดสัตว์ชนิดนี้กันหมดแล้ว เหลือแต่ในวัดนี่แหละ ที่ยังแพร่พันธุ์อยู่
ภิกษุอีกรูปก็พูดว่า ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านมิได้มีเจตนาให้เป็นภัยแก่คนทั้งหลาย ตรงกันข้ามท่านกำลังบำเพ็ญหน้าที่ของโพธิสัตว์ ทำการปลดปล่อยสัตว์แปดหมื่นสี่พันจากภัยพิบัติ และยังช่วยปลดปล่อยทำความปลอดภัยให้พวกเราในวัดนี้ ได้บำเพ็ญความบริสุทธิ์ ไม่ต้องทำชีวิตให้ตกล่วงไปอีกด้วย

เมื่อไม่สามารถตกลงกันได้ ทั้งหมดก็พากันไปหาหลวงพ่อโตกุซัน เจ้าอาวาส ท่านอาจารย์ผู้เฒ่านิ่งฟังการชี้แจงของแต่ละราย ด้วยความกรุณาและเห็นใจเป็นที่สุด ท่านได้แต่จ้องหน้าตั้งใจฟังคนนั้นที คนนี้ที
ภิกษุรูปแรกชี้แจงว่า ผมก็มีอายุมากแล้ว มาบวชเรียนในพุทธศาสนานี้ก็เพื่อทำความดี แม้แต่ความดีน้อยหนึ่งก็หมั่นประกอบกระทำทั้งกลางวันกลางคืน ย่อมจะเต็มได้เหมือนหยาดน้ำทีละหยด ก็อาจเต็มตุ่มได้ อย่างนี้จะว่าเป็นโทษบาปได้อย่างไรครับ หลวงพ่อ
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า ถูก ถูก ถูกแล้ว
ภิกษุรูปที่สอง ชี้แจงว่า ถ้าว่าโดยเจตนากันแล้ว หากมีคนใดไปเหยียบหอยทาก เวลาเดินไปสวดมนต์ตอนมืดๆ นั่นก็มิใช่เจตนาฆ่า เมื่อไม่มีเจตนา ก็มิใช่เป็นกรรมอันใด ผลยังทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเดือดร้อนกับหอยทากอันเป็นสัตว์ทำลายพืชผล ทั้งคนในวัดยังปลอดภัยจากโรคที่มันเป็นพาหะอีกด้วย เป็นผลดีทั้งตัวเองและผู้อื่น มิใช่หรือครับหลวงพ่อ
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า ถูก ถูก ถูกแล้ว
ภิกษุรูปที่สาม ชี้แจงว่า การบำเพ็ญธรรมให้ความปลอดภัยแก่คนส่วนใหญ่ โดยมีใครคนใดคนหนึ่งเสียสละ รับเป็นภาระไปเสีย เป็นการเปิดโอกาสให้ทุกๆ คนเขาได้ประกอบกระทำความหลุดรอดไปตามทางของเขา ตลอดถึงสัตว์ใดๆ แม้จะอยู่ในร่างที่ต่ำต้อย ธรรมชาติแห่งความตรัสรู้ก็มิได้น้อยไปหรือมากขึ้น เพียงปัญญาญาณโพลงวาบเดียว ผลกรรมใดๆ แม้มากน้อยเท่าใด ย่อมถูกยกเลิกเสียหมดสิ้น ดูแต่มหาโจรใจร้าย บาปกรรมเกรอะกรังก็ยังเปลื้องกรรมอันหนักหนานั้นได้เพียงชั่วอึดใจเดียว อย่างนี้จะมิเป็นการถูกต้องหรือครับหลวงพ่อ

ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจว่า ถูก ถูก ถูกแล้ว
ขณะนั้น สามเณรอุปัฏฐาก กำลังนั่งพัดอยู่ข้างหลังอาจารย์ผู้เฒ่า ได้ฟังพวกเขาชี้แจงทีละคนๆ และหลวงพ่อก็ยอมรับว่าแต่ละรายล้วนถูก ถูก ถูก เณรอดทนฟังต่อไปไม่ได้ ก็เอ่ยขัดขึ้น เพื่อขอโอกาสแสดงความคิดเห็น หลวงพ่อโตกุซัน ทราบดังนั้นก็หันมาฟังสามเณรอีกอย่างตั้งใจ
….สามเณรน้อยติงว่า หลวงพ่อได้แต่ร้องว่า ถูก ถูก ถูก มันจะมีถูกกันไปหมดทุกฝ่ายได้อย่างไร ถ้ามีอันใดถูก อันอื่นก็ต้องผิดซิหลวงพ่อ
ท่านอาจารย์พอฟังจบแล้วก็ตอบแสดงความชอบใจอีกว่า อ๊ะ เธอนี่ก็ ถูก ถูก ถูกแล้ว

เรื่อง มันก็ไม่แน่ดอกนะ


ม้าของชาวนาแก่คนหนึ่งหนีเตลิดหายไปในป่า เพื่อนบ้านต่างมาแสดงความเสียใจที่ม้าของแกหายไป ชาวนาเฒ่าบอกว่า "มันก็ไม่แน่ดอกนะ"
พอวันต่อมาม้าของแกก็กลับมาพร้อมพาม้าป่ามาด้วย เพื่อนบ้านต่างมาแสดงความยินดี
เขาก็บอกกับเพื่อนบ้านว่า "มันก็ไม่แน่ดอกนะ"
ต่อมาลูกชายของชาวนาเอาม้าป่าไปขี่ แต่ม้าพยศและสลัดตกจากหลังม้าทำให้ลูกชายของเขาขาหัก
เพื่อนบ้านต่างมาแสดงความเสียใจ แต่ชาวนาชราก็ยังคงพูดว่า "มันก็ไม่แน่ดอกนะ"
ไม่กี่วันต่อมา มีกองทหารเข้ามาสำรวจในหมู่บ้านเพื่อเกณฑ์ชายหนุ่มไปเป็นทหารออกรบ ลูกชายของชาวนาได้รับการยกเว้นไม่ต้องถูกเกณฑ์ไปรบเพราะขาหัก เพื่อนบ้านต่างก็มาแสดงความยินดี
แต่ชาวนาเฒ่าก็ยังคงพูดว่า "มันก็ไม่แน่ดอกนะ"

เรื่อง ตาบอดตามไฟ

มีคนตาบอดคนหนึ่ง.... ไปมาหาสู่ท่านอาจารย์บันเกอิ เสมอๆ
วันหนึ่ง อาจารย์ เห็นว่าคนผู้นี้ควรจะได้ดวงตาเห็นธรรมเสียที คืนนั้นเมื่อคนตาบอดมาคุยอยู่ที่วัดจนดึก บังเอิญเป็นคืนเดือนมืด ตอนลากลับบ้านท่านอาจารย์ก็ให้คนช่วยหาเทียนไขจุดใส่โคมกระดาษ ให้เดินถือกลับบ้าน
คนตาบอดก็บอกอาจารย์ว่า ไม่ต้องหรอกครับ กลางคืนหรือกลางวัน สำหรับผมก็เหมือนกัน ผมสามารถกลับเองได้ ไม่ว่ามืดหรือสว่างก็มีค่าเท่ากัน ผมชินเสียแล้ว
อาจารย์จึงว่า เอาไฟไปเถอะ คนอื่นเขาจะได้ไม่ชนเอา
แล้วคนตาบอดคนนั้น ก็ถือโคมเดินกลับบ้าน
พอมาถึงที่แห่งหนึ่งก็มีคนวิ่งสวนมา กำลังจะชน คนตาบอดจึงตะโกนขึ้นว่า จะรีบไปไหนกันพ่อคุณ เธอกำลังจะชนฉันน่ะ มีไฟไว้ให้แล้วมองไม่เห็นรึไง
ก็มีเสียงตอบมาว่า ไฟดับแล้ว เทียนของท่านไหม้หมดแล้ว
ทันทีที่ได้ยินว่า หมดเชื้อไฟไปแล้ว คนตาบอดก็เข้าถึงสัจจธรรมทันที

เรื่อง นรก สวรรค์ มีจริงหรือ


มีทหารญี่ปุ่นแต่งเครื่องแบบครบเครื่องพร้อมดาบซามูไรขึ้นเขาไปหาอาจารย์ฮากูอิน ต้องการจะไปคุยกับพระ เพื่อแก้ข้อข้องใจที่มีมานาน แต่ไม่กล้าถามผู้อื่น กลัวถูกหาว่าเป็นคนไม่มีศาสนา
เมื่อมาถึงก็ถามท่านฮากูอินว่า
ท่านอาจารย์ขอรับ ถ้าเราจะมาว่ากันตามเป็นจริงแล้ว นรก สวรรค์ เป็นของมีจริงหรือไม่
ท่านฮากูอินหันมาจ้องหน้าทหารคนนั้น แล้วย้อนถามว่า เธอเป็นใคร
กระผมเป็นซามูไร ครับ ทหารคนนั้นตอบ

ท่านฮากูอินกลับขึ้นเสียงถามอีกว่า อะไรกัน อย่างเธอนี่นะ เป็นทหาร เจ้านายคนไหนนะช่างไปเอาคนอย่างเธอมาเป็นลิ่วล้อพลไพร่ หน้าอย่างกะขอทาน
เมื่อโดนหลู่เกียรติอย่างนี้ นายทหารก็โกรธมาก ลุกขึ้นทันที มือกุมที่ดาบ

แต่ท่านฮากูอิน ( Hakuin ) ยังกล่าวสำทับอีกว่า ฮึ มีดาบด้วยหรือ คมหรือเปล่านะ ตัดหัวฉันได้ไหม
เหมือนเอาน้ำมันราดบนกองไฟ นายทหารผู้นั้นชักดาบออกมาทันที ทันใดก็ได้ยินน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยเมตตาของท่านฮากูอินว่า นี่ไงลูกเอ๋ย ประตูนรกล่ะ ที่เธอกำลังเป็นอยู่ กำลังเหยียบประตูนรกอยู่ล่ะ ถ้ามีประตูแล้ว นรกจะมีหรือไม่ล่ะ
นายทหารก็ได้สำนึกตัวทันที รีบทรุดตัวก้มลงกราบท่านฮากูอิน แล้วขอขมาและฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านก็เลยกล่าวต่อไปว่า นี่ไง ลูกเอ๋ย ประตูสวรรค์ล่ะ ที่เธอกำลังเป็นอยู่ กำลังเหยียบประตูสวรรค์อยู่ล่ะ ถ้ามีประตูแล้ว สวรรค์จะมีหรือไม่ล่ะ

สวรรค์ หรือ นรก
มีคนๆหนึ่งเมื่อตายแล้ว วิญญาณล่องลอยไปในที่แห่งหนึ่ง ขณะที่กำลังจะเข้าประตู คนเฝ้าประตูถามว่า
“เจ้าชอบกินหรือเปล่า? ที่นี่มีแต่ของกินที่วิเศษสุด
เจ้าชอบนอนหรือเปล่า? ที่นี่จะนอนนานแค่ไหนก็ไม่มีใครรบกวน
เจ้าชอบเล่นสนุกไหม? ที่นี่มีของเล่นทุกอย่างให้เลือก
เจ้าเบื่อทำงานใช่ไหม? ที่นี่รับรองว่าไม่ต้องทำอะไร และไม่มีใครบังคับเจ้า ”

วิญญาณนั้นรู้สึกดีใจที่ได้อยู่ที่นี่ อิ่มแล้วก็นอน นอนพอแล้วก็เล่น เล่นไปกินไป พอผ่านไป 3 เดือน รู้สึกเริ่มจะเบื่อ จึงไปหาคนเฝ้าประตูนั้น
“ใช้ชีวิตทุกวันอย่างนี้ ไม่เห็นจะดีตรงไหน เล่นมากจนเกินไป ก็ไม่เห็นจะสนุกอะไร กินอิ่มเกินไป ก็ทำให้อ้วนขึ้นเรื่อยๆ นอนมากเกินไป ก็ทำให้ความรู้สึกเฉื่อยชา ของานให้ข้าทำหน่อยได้มั้ย?” วิญญาณนั้นถาม

“ ขอโทษ ที่นี่ไม่มีงานให้ทำ ” ยามเฝ้าประตูตอบ

ผ่านไปอีก 3 เดือน วิญญาณนั้นทนไม่ได้แล้วจริงๆ พูดกับยามอีกว่า“ข้าทนอยู่อย่างนี้ไม่ไหวอีกแล้ว ถ้าหากไม่ให้งานข้าทำ ข้ายอมตกนรกดีกว่า”

ยามตอบว่า “เจ้านึกว่าที่นี่เป็นสวรรค์หรือ? ตรงนี้คือนรกต่างหาก มันทำให้เจ้าไม่ต้องใช้ความคิด ไม่ต้องสร้างสรรค์ ไม่มีอนาคต ความคิดและสติปัญญาค่อยๆเสื่อมถอยลงไปเรื่อยๆ"


เรื่อง พระเซ็นกับขอทาน


ขอทานพิการเหลือแขนข้างเดียวผู้หนึ่ง เดินทางเข้าไปยังวัดเซนที่พระฟังจั้งพำนักอยู่ เพื่อขอรับทาน ทว่าเมื่อเอ่ยปาก พระฟังจั้งกลับชี้มือไปยังกองอิฐและบอกกับขอทานแขนเดียวว่า “ท่านช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหลังวัดก่อนเถอะ”
ขอทานแขนเดียวได้ยินครั้งแรกก็ไม่พอใจ กล่าวว่า “ข้าเหลือแขนเพียงข้างเดียวจะย้ายอิฐได้อย่างไร ข้ามาขอทาน หากท่านไม่อยากให้ทานก็ไม่เป็นไร ไฉนต้องล้อเลียนผู้อื่นถึงเพียงนี้”
พระเซนไม่เอ่ยโต้ตอบ เพียงแต่เดินไปยกก้อนอิฐโดยใช้แขนเพียงข้างเดียว จากนั้นค่อยกล่าวเรียบๆ ว่า”งานประเภทนี้ แม้มีแขนข้างเดียวก็สามารถทำได้”
เมื่อเห็นดังนั้น ขอทานจึงได้แต่ทำตาม โดยค่อยๆ ย้ายก้อนอิฐไปยังหลังวัด ทีละก้อน ทีละก้อน ใช้เวลาพักใหญ่จึงย้ายก้อนหินได้หมดกอง จากนั้นพระเซนจึงมอบเงินค่าตอบแทนให้กับขอทานจำนวนหนึ่ง ขอทานเห็นดังนั้นก็ดีใจมากพลางกล่าวคำ “ขอบคุณท่าน ขอบคุณท่าน” ไม่หยุด
พระฟังจั้งจึงตอบว่า “ไม่ต้องขอบคุณเรา เพราะเงินนี้มาจากน้ำพักน้ำแรงของท่านเอง”
ขอทานจึงเอ่ยด้วยความสำนึกว่า “ข้าจะจดจำวันนี้เอาไว้” จากนั้นจึงก้มตัวค้อมคำนับด้วยความตื้นตันก่อนเดินทางจากไป

ผ่านไปหลายวัน มีขอทานอีกคนหนึ่งมาขอทานที่วัดนี้ พระฟังจั้งพาขอทานผู้นี้เดินมาที่หลังวัดจากนั้นชี้ไปยังกองอิฐและกล่าวว่า “ท่านช่วยย้ายอิฐกองนั้นไปยังหน้าวัดก่อนเถอะ” ทว่าขอทานผู้มีแขนขาครบผู้นี้กลับไม่สนใจคำกล่าวของพระเซน ได้แต่หันกายจากไปโดยพลัน
บรรดาลูกศิษย์ในวัดเห็นดังนั้นจึงเอ่ยถามพระฟังจั้งว่า “คราวก่อนท่านอาจารย์ให้ขอทานย้ายอิฐมายังหลังวัด ไฉนวันนี้กลับประสงค์ให้ขอทานอีกผู้หนึ่งย้ายอิฐกลับไปหน้าวัด ที่แท้แล้วท่านอาจารย์อยากให้นำก้อนอิฐไปไว้ที่ใดกันแน่?”
พระฟังจั้งตอบศิษย์เพียงสั้นๆ ว่า “อิฐวางไว้หน้าวัดหรือหลังวัดล้วนไม่ต่างกัน ทว่าจะย้ายหรือไม่ย้ายต่างหากที่สำคัญสำหรับขอทานเหล่านั้น”
วันเวลาผ่านไปหลายปี วันหนึ่งปรากฏคนผู้หนึ่งท่าทางภูมิฐานเดินทางมาที่วัด คนผู้นี้มีแขนเพียงข้างเดียว ที่แท้แล้วคือขอทานแขนเดียวเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งนับตั้งแต่วันที่เขาพบพระฟังจั้งในครั้งนั้น เขาจึงค่อยได้รู้ถึงคุณค่าในตัวเอง จากนั้นจึงหาทางประกอบสัมมาอาชีพที่เหมาะสมกับสภาพร่างกาย จนในที่สุดได้พบกับความสุข สำเร็จในชีวิต…ส่วนขอทานอีกผู้หนึ่งนั้น ยังคงเป็นขอทานอยู่เรื่อยมา


เรื่อง หลักการใช้ชีวิต
ชายหนุ่มผู้หนึ่งสวมเสื้อผ้าเก่าขาด ท่าทางเฉื่อยชา เอาแต่นั่งทอดหุ่ยรับแสงแดดอย่างสบายสลับกับการหาวหวอดๆ เป็นระยะ
เมื่ออาจารย์เซนเดินผ่านมาพบเข้า จึงเอ่ยถามว่า “พ่อหนุ่ม อากาศดีๆในฤดูกาลที่นานๆ จะเวียนมาถึงเช่นนี้ เหตุใดเอาแต่มานั่งเปล่าประโยชน์ ใยไม่ไปลงมือทำสิ่งต่างๆ ที่ควรทำ เจ้าไม่เสียดายช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้หรอกหรือ?”
ชายหนุ่มถอนใจครั้งหนึ่ง พลางตอบว่า “บนโลกใบนี้ นอกจากร่างกายแล้ว ไม่มีสิ่งใดเป็นของข้าสักอย่าง เช่นนั้นใยต้องสิ้นเปลืองแรงกายแรงใจไปกระทำสิ่งต่างๆ ด้วยเล่า?”
“เจ้าไม่มีบ้านหรือ?” อาจารย์เซนถาม
“ไม่มี หากมีบ้านก็ต้องเป็นภาระคอยดูแล เช่นนั้นไม่ต้องมีเสียเลยดีกว่า” ชายหนุ่มตอบ
“เจ้าไม่มีคนที่เจ้ารักหรือ?” อาจารย์เซนถามต่อ
“ไม่มี หากมีคนรัก เมื่อหมดรักก็กลายเป็นความเกลียดชัง สู้ไม่มีเสียเลยดีกว่า” ชายหนุ่มว่า
“แล้วมิตรสหายเล่า มีหรือไม่?” อาจารย์เซนไม่ละความพยายาม
“ไม่มี เมื่อมีเพื่อน สักวันก็ต้องสูญเสียเพื่อน แล้วจะมีไปทำไม” ชายหนุ่มท้วง
“เจ้าไม่คิดจะทำงานหาเงินบ้างหรือ?” อาจารย์เซนยังคงถามต่อไป
“ไม่คิด ได้เงินมาสุดท้ายก็ต้องจับจ่ายออกไป เช่นนั้นใยต้องไปสิ้นเปลืองพลังงานหามาตั้งแต่ต้น” ชายหนุ่มกล่าวแย้ง

“อ้อ” สุดท้ายอาจารย์เซนพยักหน้ารับรู้ แต่ยังคงกล่าวว่า “ท่าทางข้าต้องรีบไปหาเชือกมามอบให้เจ้าสักเส้นหนึ่งแล้ว”
“เหตุใดต้องมอบเชือกให้ข้า?” ชายหนุ่มถามด้วยความสงสัยใจ
“ให้เจ้าผูกคอตาย” อาจารย์เซนตอบ
ชายหนุ่มได้ยินก็ถามกลับไปด้วยความโมโหว่า “ท่านอยากให้ข้าตายหรือไง?”
อาจารย์เซนจึงตอบว่า “ถูกแล้ว เพราะคนเราทุกคนล้วนต้องตาย หากคิดตามตรรกกะของเจ้า ในเมื่อสุดท้ายต้องตายแล้ว
คนเราจะเกิดมาทำไม และหากเป็นเช่นนั้นก็แปลว่าการมีชีวิตมีตัวตนของเจ้าในวันนี้นับเป็นสิ่งที่ เปล่าประโยชน์ด้วยเช่นกัน ก็ในเมื่อเปล่าประโยชน์แล้ว ใยไม่รีบผูกคอตายไปเสียเลยเล่า?”

เรื่อง พระกับมาร


มีนักวาดภาพที่มีชื่อเสียงมากคนหนึ่ง ต้องการจะวาดภาพของพระและของมาร แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออกว่า ลักษณะของพระและมารควรจะเป็นอย่างไรและก็ไม่สามารถหาของจริงที่มาเป็นแบบอย่างได้ จึงยังลงมือวาดไม่ได้สักที

วันหนึ่งขณะที่กำลังไหว้พระอยู่ที่วัดแห่งหนึ่ง บังเอิญเห็นภิกษุรูปหนึ่งมีรูปหน้าและจริยาวัตรที่งดงามยิ่งนัก ลักษณะและท่าทางช่างดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง เขาจึงไปหาพระรูปนั้น และจ้างให้มาเป็นแบบด้วยจำนวนเงินที่สูงมาก

หลังจากเมื่อวาดภาพนั้นเสร็จ ภาพนั้นก็ได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่ว นักวาดภาพนั้นกล่าวว่า “ตั้งแต่ที่ได้วาดภาพเป็นต้นมา ภาพนี้เป็นภาพที่ตนเองพอใจมากเป็นที่สุด เพราะใครๆที่มาเห็นภาพนี้ จะต้องนึกทันทีว่า นี่คือภาพพระพุทธที่แท้จริง รูปร่างหน้าตา และลักษณะที่เปี่ยมล้นด้วยความสงบและมีเมตตา ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นเกิดความพึงพอใจ และศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม ทำให้เขาได้รับฉายาใหม่ว่า “ปรมาจารย์แห่งนักวาด”
ผ่านไปอีกระยะหนึ่ง เขาจึงคิดจะวาดรูปมารขึ้นมา แต่ก็เกิดปัญหาที่ว่าไม่รู้จะหาลักษณะที่เป็นมารมาเป็นแบบได้จากที่ไหน? เขาเดินไปหาอยู่หลายที่ เพื่อจะหาคนที่มีลักษณะดุร้ายโหดเหี้ยม แต่หาอย่างไรก็ไม่ถูกใจสักคน สุดท้ายก็ไปหาเจอในคุกแห่งหนึ่ง นักวาดนั้นดีใจยิ่งนัก เพราะการจะไปหาคนๆหนึ่งที่หน้าเหมือนมารจริงๆนั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลย

เมื่อเขาเข้าไปเจรจากับนักโทษนั้น นักโทษนั้นร้องไห้คร่ำครวญออกมาว่า“ทำไมเมื่อตอนที่จะวาดรูปพระ คนที่ท่านหาก็คือข้า ตอนที่จะวาดภาพมาร คนที่ท่านหาก็ยังคงเป็นข้า เป็นเพราะเจ้าที่ทำให้ข้าจากพระกลายเป็นมาร”

“เป็นไปได้อย่างไร? คนที่เป็นแบบให้ข้าวาดภาพพระ ลักษณะดีเลิศผิดผู้อื่น แต่เจ้าดูทีเดียวก็รู้แล้วว่า เหมือนลักษณะของมารอย่างแท้จริง แล้วจะเป็นคนๆเดียวกันได้อย่างไร?”

คนคนนั้นพูดอย่างปวดร้าวใจ “ตั้งแต่ได้เงินก้อนใหญ่จากเจ้า ได้แต่ไปหาความรื่นเริงบันเทิงใจทุกวัน ใช้เงินอย่างสุรุ่ยสุร่ายจนเงินหมด แต่ความหลง อยู่ในความมัวเมาเมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ย่อมจะหยุดลงได้ยาก ดังนั้นข้าจึงไปปล้นและฆ่าเจ้าทรัพย์ ขอเพียงให้ได้เงิน ไม่ว่าเรื่องที่ทำจะเลวร้ายอย่างไรข้าก็ทำ ที่สุดก็กลายมาเป็นสภาพอย่างที่ท่านเห็น”

เรื่อง บุรุษหัวใจสิงห์


มีหนุ่มน้อยหน้ามนคนหนึ่ง ชื่อ ซีนก่าย ( Zenkai )  สืบเชื้อสายของซามูไร แต่ไปเกิดอยู่ถิ่นบ้านนอก พอเข้าวัยหนุ่มพ่อแม่จึงส่งเข้าไปอาศัยอยู่กับขุนนางผู้ใหญ่คนหนึ่ง ในกรุงเอโดะ คือโตเกียวในปัจจุบัน ในฐานะเป็นเด็กรับใช้อยู่ในคฤหาสน์
ต่อมาหนุ่มซีนก่ายเป็นเด็กหน้าตาดี ทำงานเก่ง เฉลียวฉลาดว่องไว จึงได้เข้าไปรับใช้ใกล้ชิดประจำตัวท่านขุนนาง อยู่มาไม่นานภรรยาของขุนนางได้ลอบเป็นชู้กับซีนก่าย
จนคืนหนึ่งขุนนางผู้นั้นจับได้ จึงกระชากดาบซามูไรที่แขวนไขว้อยู่ที่ฝา หมายจะสังหารซีนก่าย ซีนก่ายเห็นจวนตัว ก็เอาเก้าอี้ และสิ่งที่ใกล้ตัว ป้องปัดรับดาบไว้ พลางถอยไปรอบๆห้อง พอดี คุณนายผู้เป็นตัวการได้ตัดสินใจชักดาบที่แขวนข้างฝาอีกเล่มหนึ่งมาแทงขุนนาง เมื่อเห็นท่านขุนนางตายแล้ว คุณนายก็สั่งให้ซีนก่าย รีบหนีออกจากบ้านไปพร้อมกันในตอนดึกคืนนั้นเองหลังจากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว ซีนก่ายที่หมายมั่นจะมาสร้างความเจริญก้าวหน้า แต่ได้มาอยู่ในฐานะสามีของคุณนายที่ต้องอยู่กันอย่างหลบๆซ่อนๆ ทีแรกก็พอจะมีสิ่งของ แลกเปลี่ยนซื้ออาหารการกินบ้าง แต่ในที่สุดก็ไม่มีอะไรจะจับจ่าย จะไปทำงานทำการก็ไม่สามารถแสดงตัวต่อสังคมได้ ต้องจำใจลักขโมยเขากิน ตอนต้นก็นึกว่าพอทนทำไปได้ เพราะเห็นแก่ความสุขในการได้เป็นผัวเป็นเมียกัน พอนานวันเข้า ซีนก่ายเกิดมีความคิดขึ้นว่า แม้ตนจะตั้งความปรารถนาดีมาตั้งแต่บ้านว่าจะเข้ากรุงเพื่อหาความเจริญก้าวหน้าให้แก่ชีวิต แต่เป็นเพราะตนทนต่อสิ่งยั่วยวนไม่ได้ วิถีชีวิตจึงต้องพังทลายเพราะตนตกอยู่ในอำนาจของกิเลส มีทางเดียวคือต้องรีบเปลี่ยนแปลงตนเอง พอคิดได้ดังนั้นก็จึงหลบหนีภรรยา เดินทางจากไปให้ไกลที่สุด สู่อำเภอบ้านนอกแห่งหนึ่ง ในจังหวัดบูเส็น หัวเมืองทางฝ่ายใต้ โดยได้เข้าอาศัยเป็นลูกศิษย์พระในวัดแห่งหนึ่ง ไม่นานก็ขอบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา

เมื่อมาได้ความเป็นอิสระแล้วก็ทำให้พระซีนก่ายอยากทำความดีเพื่อไถ่ถอนกรรมในอดีต ในถิ่นที่ท่านบวชอยู่นั้นชาวบ้านยากจนข้นแค้น เป็นอำเภอเล็กๆ ไปมาติดต่อกับตัวจังหวัดเพียงทางเท้าเล็กๆ ที่ต้องค่อยเดินเรียงหนึ่ง เลียบหน้าผาของภูเขาสูง ที่ขวางกั้นอำเภอกับตัวจังหวัด ถ้าวันไหนฝนตก ฟ้าร้อง หิมะตก หรือลมแรง ก็ไปมาไม่ได้ แต่ละปีมีคนข้ามคนพลัดลื่น หล่นจากชะง่อนผาสูงลงไปตายแล้วหลายคน โดยไม่มีใครคิดแก้ไขแต่ประการใด หากใครอยู่ทางกิ่งอำเภอหลังเขานี้แล้ว ก็จะต้องอดอยากลำเค็ญ ชาวบ้านเพาะปลูกอะไร เพื่อเอามาแลกเปลี่ยนซื้อขายในเมืองไม่สะดวก เพราะนำไปนำมาไม่ได้มาก แม้มีใครเจ็บป่วยลง บางทีก็ต้องปล่อยให้ตายไป เพราะไม่สามารถจะพากันหามคนไข้คนเจ็บไต่ไหล่เขาข้ามไปยังตัวจังหวัดได้ พระซีนก่ายเห็นว่ามีทางเดียว คือเจาะอุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ เพราะไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ครั้นจะพูดเรื่องนี้กับใครก็คงไม่มีใครเขาเห็นด้วย ความคิดอย่างนี้ มันคิดได้ แต่ใครจะทำ ฉะนั้นท่านจึงตัดสินใจเริ่มสกัดหิน เริ่มงานมันคนเดียวโดยไม่คำนึงว่าภูเขาที่เขาไปนั่งสกัดทีละสะเก็ดๆอยู่นั้น มันตระหง่านสูงค้ำฟ้าเพียงไร

พระซีนก่าย ใช้เวลาตอนเช้าออกบิณฑบาต เวลานอกนั้น อุทิศให้แก่การเจาะหินที่ภูเขานั้นทั้งหมด เมื่อมันเหนื่อยก็พัก มีเรี่ยวแรงคืนมาก็ทำต่อ เป็นอย่างนี้ไม่ว่าจะค่ำจะมืด นานๆครั้งจะมีคนผ่านมาทางนั้น คนพวกนั้นก็ได้แต่หัวเราะ ถามว่าท่านจะสร้างถ้ำหรือจะสร้างวัด แล้วต่างก็มองตากันอย่างไม่ไว้ใจว่า พระรูปนี้ สติยังบริบูรณ์อยู่หรือ ดูไม่มีความหมายอะไรมากไปกว่าท่านทำเพราะไม่มีอะไรจะทำนั่นเอง

วันเวลาได้ผ่านไปนานถึง 30 ปี พระซีนก่ายที่เคยนั่งสกัดหินมาตั้งแต่ยังหนุ่ม บัดนี้ก็ยังคงนั่งสกัดเอา สกัดเอา ไม่ลดละ แม้ท่านจะมีอายุห้าสิบแล้ว ร่างกายของท่านก็ยังรับใช้จิตใจที่บึกบึนแข็งกว่าหินได้เป็นอย่างดี ไม่มีใครรู้ว่าท่านเอาน้ำอดน้ำทนมาจากไหน เอาเรี่ยวแรง เอากำลังใจมาจากไหน นอกจากตัวท่านเอง เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้จึงทำให้จังหวัดบูเส็น( Buzen ) ที่ท่านเลือกเอาเป็นถิ่นปฏิบัติธรรมของท่านได้มีอุโมงค์เจาะลอดภูเขาใหญ่เชื่อมการคมนาคมติดต่อระหว่างกิ่งอำเภอ ที่ครั้งหนึ่งแสนจะทุรกันดารให้เปิดมาสู่ความเจริญในเมืองได้ ในปัจจุบันนี้ ใครได้ไปญี่ปุ่น ไปเมืองบูเส็น ก็ยังพบอุโมงค์อันมีประวัติ ที่เจาะด้วยแรงคน และเป็นแรงคนที่เกิดจากพลังธรรมะ อุโมงค์นี้สมัยแรก มีแนวคดไม่เกลี้ยงเกลาอยู่บ้าง บัดนี้เป็นอุโมงค์ที่มีขนาด กว้าง10 เมตร สูง 6 เมตร ทะลุภูเขายาวกว่า 750 เมตร

ก่อนที่อุโมงค์จะสำเร็จใช้เดินถึงกันได้ สัก 2 ปีนั้นได้มีชายคนหนึ่งร่อนเร่มาจากเมืองกรุง ปรากฏภายหลังว่าเป็นบุตรชายของท่านขุนนางเจ้านายเก่าที่ตายไป ชายหนุ่มคนนี้ขณะบิดาถูกฆ่าเขายังเล็กอยู่ พอโตขึ้นก็ผูกใจเจ็บ เที่ยวถามติดตามมาหลายปี พร้อมกับหัดเป็นนักดาบมาอย่างช่ำชอง พอเก่งแล้ว ก็จะเข้าเอาชีวิตเพื่อล้างแค้นให้พ่อ แต่ยังมีติดขัดอยู่ว่า มาเห็นคนฆ่าพ่อของเขา บัดนี้ห่มจีวรพระแล้ว เพื่อไม่ให้เป็นการฆ่าผิดตัว จึงถามเอาตรงๆ พอพระซีนก่ายถูกถามเช่นนั้น ก็รับว่าเป็นนายซีนก่ายที่เขาต้องการพบและต้องการฆ่า ท่านไม่มีอาการผิดปกติแต่อย่างไร แต่พูดจาชี้แจงให้ชายหนุ่มคนนั้นฟังว่า ท่านกำลังทำงานที่จะเป็นประโยชน์ต่อมหาชนมากหลาย และจะสำเร็จอยู่แล้ว ขอผ่อนผันให้ท่านได้สกัดหินต่อไป เท่าที่ชายหนุ่มนั้นก็เห็นอยู่แล้วว่าเหลือเพียงเล็กน้อย เมื่อเสร็จงานในวันใด ท่านยอมใช้กรรม ให้ตัดศีรษะในวันนั้นทีเดียว ชายหนุ่มคนนั้นก็ตกลง เพราะมองเห็นจริงๆ ว่าถ้าท่านไม่ทำต่อ งานชิ้นสำคัญต่อสังคมส่วนใหญ่นี้ ก็จะต้องเป็นอันถูกยกเลิกไปเสีย

ทีแรกหนุ่มชาวกรุงก็ยังไม่วางใจนัก ว่าคนที่เคยฆ่าพ่อของตนจะไม่เป็นคนลอบทำร้ายตนก่อน จึงต้องเหน็บดาบและมีดระแวดระวังตัวอยู่เสมอ และคอยเวียนไปที่อุโมงค์นั้นเสมอๆ เพื่อจะรู้ว่าท่านชิงหนีไปก่อน หรือท่านจะคอยถ่วงเวลา สกัดหินช้าๆ ให้เวลาเนิ่นนานไป เมื่อมีการไปพบหลายหนหลายครั้ง และเคยยืนดูท่านกำลังทำงานอยู่อย่างสม่ำเสมอ ไม่ลดละทั้งคืนทั้งวัน ก็ทำให้รู้สึกแปลกใจ นานเข้าก็มีการชวนท่านคุย และถามนั่นถามนี่ เป็นอยู่อย่างนี้หลายเดือน หินของภูเขาก็ถูกสกัดกร่อนบางไปเรื่อยๆ หนุ่มลูกชายท่านขุนนาง เมื่อยืนเฝ้าดู จนเมื่อยแล้วก็เริ่มนั่งคุย การได้สนทนากันจึงแน่ใจว่าท่านรู้สึกนึกคิด เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ว่าอย่างไร เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่รู้จะทำอะไร ก็ลองสกัดหินช่วยพระซีนก่ายไปพลาง เรื่องเลยกลายเป็นได้ร่วมงาน ร่วมกิน ร่วมนอนด้วยกัน ในอุโมงค์นั้นเอง ในที่สุดก็กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักทำงานโดยตั้งจิตไว้ในธรรมปฏิบัติ ตามแบบที่พระซีนก่ายแนะให้ ทำไปทำไปโดยไม่หยุดยั้งเหมือนกัน จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปกว่าขวบปีอย่างไม่รู้สึกว่านาน ตลอดเวลา ชายหนุ่มได้เลียนลอกแบบเอาคุณธรรมที่ตนได้เห็น ได้ค้นพบ ที่เนื้อที่ตัวของพระซีนก่ายนั้นเอง ว่าพระรูปนี้ช่างเต็มไปด้วยบุคลิกภาพพิเศษและความเป็นผู้มีหัวใจสิงห์เหลือเกิน

ในที่สุด อุโมงค์ลอดภูเขาใหญ่ก็สำเร็จลุล่วง ผู้คนพากันมาดู และได้ใช้เป็นหนทางติดต่อกับตัวเมือง ไม่ได้รับความยากลำบากที่จะต้องไต่ไปตามไหล่เขาชันอีกต่อไป พอเสร็จในวันนั้น พระซีนก่ายก็เหลียวมายังชายหนุ่ม ที่ยืนอยู่ข้างหลังกำลังมองดูความสำเร็จที่ตนมีส่วนร่วมอยู่ด้วย ท่านได้พูดขึ้นว่า เราตัดภูเขาแท่งทึบ เชื่อมให้คนติดต่อถึงกันได้แล้ว ทีนี้ก็ถึงตอนที่ คอที่ต่อศีรษะติดกับร่างของฉัน ได้เวลาขาดออกจากกันตามสัญญาแล้ว พูดแล้วก็น้อมกายยื่นไปให้ชายหนุ่มลูกศิษย์ของท่านโดยดี ชายหนุ่ม น้ำตานองหน้า ทรุดตัวลงคุกเข่า มือทั้งสองพนมไหว้ พลางกล่าวว่า หลวงพ่อจะให้ผมตัดศีรษะของบุคคลที่เป็นอาจารย์ของผมได้อย่างไร

เรื่อง ผู้ให้ หรือ ผู้รับ
ซิบิ เป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งแห่งเมืองเอโด ทราบว่าท่านอาจารย์เซตสุ มีความประสงค์จะขยายศาลาโรงธรรม เพราะที่มีอยู่เดิมคับแคบไม่พอกับผู้ที่มาฟังธรรม ซิบิ จึงตกลงใจที่จะเป็นผู้บริจาคปัจจัย เพื่อเป็นค่าก่อสร้างเสียเอง เป็นจำนวนเงินถึง 500 เหรียญทอง ซึ่งในสมัยนั้นนับว่ามากที่สุดแล้ว เพราะว่าเงินเพียง 3 เหรียญทอง ก็สามารถใช้สอยอยู่กินได้ตลอดปีแล้ว ท่านพ่อค้าได้หิ้วถุงเงินเข้าไปหาท่านอาจารย์ แล้วน้อมถวายบอกความประสงค์ให้ทราบ ท่านอาจารย์ ก็กล่าวแต่เพียงว่า ดีแล้ว อาตมาจะรับไว้ แล้วก็นั่งนิ่งเงียบ

ซิบินั่งรอด้วยหวังว่าท่านอาจารย์คงจะกล่าวอนุโมทนาและอวยพรให้ตนโชคดีทำมาค้าขึ้นต่อๆ ไป แต่เห็นท่านอาจารย์ก็ยังคงนั่งนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น จึงนั่งกระสับกระส่ายฟุ้งซ่านต่างๆ นานา แหมเงินตั้ง 500 เหรียญทองเชียวนะ ท่านอาจารย์ไม่เห็นกล่าวอนุโมทนาเลยสักนิด คิดแล้วก็ทำใจกล้ากราบเรียนว่า หลวงพ่อครับ เงินในถุงใส่ไว้ครบ 500 เหรียญเลยครับ
เมื่อตะกี้ เธอบอกแล้วไม่ใช่หรือ หลวงพ่อตอบ
ท่านพ่อค้ายิ่งตีสีหน้าไม่ถูก นั่งนิ่งกันไปอีกพักใหญ่ ท่านพ่อค้าก็เลยตัดสินใจอีกครั้ง กล่าวเลียบเคียงให้หลวงพ่อโมทนาให้พร
หลวงพ่อครับ เงิน 500 เหรียญทองนี่ แม้ผมจะค้าขายใหญ่โต ก็ยังรู้สึกว่ามันมากอยู่นะครับ
เธออยากให้ฉันขอบใจเธอใช่หรือเปล่าล่ะ หลวงพ่อเดาใจ
ครับ นิดหนึ่งก็ยังดีครับ พ่อค้าตอบอย่างดีใจ
ทำไมต้องให้ฉันขอบใจด้วยล่ะ ผู้ใดเป็นผู้ให้ทาน ผู้นั้นต่างหากที่ควรจะขอบใจ
ท่านอาจารย์เซอิเสตสุตอบ แล้วนิ่งเงียบอืก เพราะการให้หรือการทำบุญนั้น เป็นอุบายอย่างหนึ่งในการทำลายความยึดมั่นว่าเป็นตัวตนเป็นของตน แต่จะมองเห็นกันหรือไม่เท่านั้น

เรื่อง คนตระหนี่กับทองคำของเขา
ชายคนหนึ่งเป็นคนตระหนี่ถี่เหนียว เขามักจะเอาสมบัติฝังดินไว้รอบๆ บ้านไม่ยอมนำมาใช้จ่ายให้เกิดประโยชน์
ต่อมาเขากลัวว่าจะไม่ปลอดภัย ถ้าฝังเงินทองไว้หลายแห่ง เขาจึงขายสมบัติทั้งหมด แล้วซื้อทองคำแท่งหนึ่ง มาฝังไว้ที่หลังบ้าน แล้วหมั่นไปดูทุกวัน
คนรับใช้ผู้หนึ่ง สงสัยจึงแอบตามไปดูที่หลังบ้าน แล้วก็ขุดเอาทองแท่งไป

ชายตระหนี่มาพบหลุมว่างเปล่าในวันต่อมา ก็เสียใจ ร้องห่มร้องไห้ไปบอกเพื่อนบ้านคนหนึ่ง เพื่อนบ้านจึงแนะนำประชดประชันว่า
"ท่านก็เอาก้อนอิฐใส่ในหลุม แล้วคิดว่าเป็นทองคำสิ เพราะถึงอย่างไรท่านก็ไม่เอามาใช้อยู่แล้ว "
เรื่อง ทองคำที่น่ากลัว

 
มีนักพรตผู้หนึ่งวิ่งตาลีตาเหลือกออกมาจากป่า ชายสองคนซื่งเป็นเพื่อนสนิทกันพบเห็นเข้า จึงเอ่ยถามนักพรตรูปนั้นว่าเกิดอะไรขึ้น และเขาหลบหนีสิ่งใดมา
นักพรตตอบว่า “ข้าพเจ้าบังเอิญขุดเจอทองคำฝังอยู่ที่โคนต้นไม้ในป่า เป็นที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก!”
เมื่อคนทั้งสองได้ยินก็ตื่นเต้นสุดระงับ แอบกระซิบกันว่า “คนผู้นี้ช่างโง่เขลาปัญญาอ่อนเสียจริง ขุดเจอทองนับเป็นโชคแท้ๆ แต่กลับกลัวจนตัวสั่น” จากนั้นจึงตะล่อมถามนักพรตต่อไปว่า “ท่านขุดเจอทอง ณ ที่ใด สามารถบอกพวกเราได้หรือไม่?”
นักพรตจึงตอบว่า “ของที่อันตรายเช่นนี้พวกท่านไม่กลัวหรืออย่างไร ไม่ทราบหรือว่าทองคำพวกนั้นมันสามารถกินคนได้ ! ”

คนทั้งสองจึงรีบเอ่ยว่า “พวกเราไม่กลัวหรอก ท่านรีบบอกมาเถิดว่าทองคำอยู่ที่ใด?” สุดท้ายนักพรตจึงบอกว่า “ทองคำอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นริมสุดทางทิศตะวันตกของป่า” เมื่อได้ยินดังนั้นคนทั้งสองก็รีบผละจากนักพรตมุ่งหน้าไปยังจุดที่พบทองคำทันที
ระหว่างนั้น สหายผู้หนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “นักพรตรูปนั้นทึ่มจริงๆ ทองคำที่ทุกผู้ทุกคนต่างเฝ้าใฝ่ฝันถึงมากองอยู่ตรงหน้า กลับวิ่งหนีไปเสียได้” ซึ่งสหายอีกผู้หนึ่งก็พยักเพยิดเห็นด้วย
จากนั้นทั้งสองจึงปรึกษากันว่าจะนำทองคำกลับไปได้อย่างไร สหายผู้หนึ่งจึงเสนอว่า “หากขนทองคำกลับไปในตอนฟ้าสว่างเห็นจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ เราควรขนไปตอนฟ้ามืดจะดีกว่า เดี๋ยวข้าจะเฝ้าทองคำอยู่ที่นี้ ส่วนท่านเดินทางเข้าเมืองไปเสาะหาอาหารและน้ำดื่มมารับประทานร่วมกัน เมื่อรับประทานเรียบร้อยรอให้ค่ำมืด ค่อยลงมือขนทองคำ”
ดังนั้นสหายผู้หนึ่งจึงเดินทางกลับเข้าเมืองเพื่อไปหาข้าวปลาอาหาร ส่วนสหายอีกผู้หนึ่งที่อยู่เฝ้าทองคำก็ขบคิดวางแผนว่า “หากทองคำทั้งหมดตกเป็นของข้าเพียงผู้เดียวก็คงจะดีไม่น้อย เช่นนี้ดีกว่า หากเพื่อนของข้ากลับมาก็ใช้ท่อนไม้ทุบตีมันให้ตาย เท่านี้ก็ไม่ต้องแบ่งส่วนแบ่งทองคำให้กับผู้ใด ”

ส่วนสหายที่เดินทางเข้าเมืองก็ครุ่นคิดว่า “ข้าจะเข้าเมืองไปรับประทานอาหารให้อิ่มเสียก่อน จากนั้นนำยาพิษใส่ในอาหารกลับไปให้สหายข้า เท่านี้ทองคำก็จะเป็นของข้าแต่เพียงผู้เดียว”
ชายที่เดินทางเข้าเมืองดำเนินการตามแผนเรียบร้อย จากนั้นนำอาหารกลับมายังชายป่าที่ซ่อนทองคำ แต่ยังไม่ทันระวังตัว เขากลับถูกสหายรักใช้ท่อนไม้ฟาดจากทางด้านหลัง จนเสียชีวิตทันที จากนั้นมือสังหารจึงแก้ห่อข้าวที่เพื่อนผู้ล่วงลับนำมาให้ รับประทานด้วยความหิวโหย แต่ไม่ทันไรก็ต้องล้มลงดิ้นทุรนทุรายเนื่องเพราะได้รับพิษที่อยู่ในอาหาร
ในชั่ววินาทีก่อนที่ชายผู้ถูกพิษจะสิ้นใจ เขาพลันนึกถึงคำที่นักพรตได้เตือนเอาไว้ จึงได้แต่รำพึงว่า”จริงดั่งคำที่นักพรตว่าไว้ ทองคำนั้นน่ากลัวยิ่ง เพราะมันสามารถกลืนกินมนุษย์ที่เต็มไปด้วยความโลภอย่างเรา” จากนั้นจึงลาโลกไปในลักษณะนั้น

เรื่อง 18 อรหันต์ทองคำ
มีชายหาฟืนและครอบครัวอาศัยเลี้ยงชีพด้วยการหาฟืนมาหลายชั่วคนแล้ว ทุกๆเช้า ชายคนนี้จะออกไปหาฟืนแต่เช้า กว่าจะกลับก็ค่ำมืด ใช้ชีวิตด้วยความยากลำบาก หากินมาไม่พอเลี้ยงปากท้อง ภรรยาของเขาเมื่อไปวัด จึงมักจะวิงวอนขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เมตตา ช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากความทุกข์ยาก

วันหนึ่งโชคลาภก็มาถึง ชายหาฟืนคนนั้น ขุดพบรูปปั้นอรหันต์ทองคำมา 1 องค์ ชั่วพริบตานั้นเขาก็กลายเป็นเศรษฐีขึ้นมาทันที เลยไปซื้อบ้านและไร่นา พร้อมกับจัดงานเลี้ยงฉลองกินกับญาติสนิทมิตรสหายกันอย่างครึกครื้น

แต่เขาก็อิ่มอกอิ่มใจได้ไม่นาน ความทุกข์กังวล ก็เริ่มมาแล้ว ถึงกับกินไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ผุดลุกผุดนั่งทั้งวัน

ภรรยาของเขาจึงเตือนว่า "ตอนนี้บ้านเราเรื่องกินเรื่องอยู่ก็ไม่ขาด อะไร ทั้งยังมีเรือกสวนไร่นา บ้านหลังงาม เจ้ายังจะทุกข์กังวลอะไรอีก ? แม้จะมีขโมย ชั่วเวลาประเดี๋ยวประด๋าว ก็คงจะขโมยอะไรได้ไม่หมด เจ้าคนโง่ เจ้าเกิดมาเพื่อจะทุกข์ตรมตลอดชีวิตหรืออย่างไร "

ชายหาฟืนได้ยินภรรยาพูดอย่างนั้น จึงพูดอย่างรำคาญว่า "แม่บ้านอย่างเจ้าจะรู้อะไร ? กลัวคนขโมยนั้นเรื่องเล็ก แต่เรื่องของ 18 อรหันต์ทองคำนี่ซี ข้าเพิ่งจะได้มาองค์เดียว อีก 17 องค์ ข้ายังไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ? แล้วข้าจะสบายใจได้อย่างไร ?" ในที่สุดชายตัดฟืนซึ่งคิดกังวลแต่เรื่องอยากได้ 17 อรหันต์ทองคำที่เหลือ ก็ล้มป่วยลง ป่วยได้ไม่นานก็ตายจากไป

เรื่อง ความกังวลของหญิงชรา


ในระหว่างที่อาจารย์เซนออกจาริกธรรม ได้รับนิมนต์ไปพำนักยังบ้านของหญิงชราผู้หนึ่ง เมื่อไปถึงพบว่าหญิงชราหน้าตาอมทุกข์ ทั้งยังร้องไห้ไม่หยุด อาจารย์เซนจึงกล่าวกับนางว่า “ท่านมีความทุกข์ใจอันใดจึงร้องไห้ติดต่อกันไม่หยุดเช่นนี้?”
หญิงชราตอบว่า “ข้ามีบุตรสาวอยู่สองคน คนโตแต่งออกไปให้กับพ่อค้าขายรองเท้าผ้า ส่วนคนเล็กแต่งให้กับพ่อค้าขายร่ม วันใดท้องฟ้าปลอดโปร่ง แดดจ้า ข้าก็เฝ้าแต่กังวลว่าร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กต้องขายไม่ได้เป็นแน่ จึงอดไม่ได้ที่จะทุกข์เศร้าแทนนาง แต่หากวันใดฟ้าครื้ม ฝนพรำ ข้าก็กังวลว่ากิจการร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตย่อมไม่ดีเป็นแน่ เพราะผู้คนไม่อยากใส่รองเท้าที่เปียกน้ำแฉะชื้น เมื่อทุกวันผ่านไปในลักษณะนี้ ข้าจึงได้แต่กังวลจนหลั่งน้ำตาออกมา”
เมื่ออาจารย์เซนได้ฟังจึงกล่าวว่า “ที่แท้เป็นเช่นนี้ ท่านคิดแบบนี้ย่อมไม่ถูกต้องแล้ว”
หญิงชราสงสัยจึงถามว่า “มารดาวิตกกังวลแทนบุตร มีอันใดไม่ถูกต้อง? ข้ารู้ว่ากังวลไปก็แก้ไขอะไรมิได้ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดเป็นห่วงพวกนาง”

ยามนี้ อาจารย์เซนจึงกล่าวว่า “มารดาวิตกกังวลเพราะบุตรมิใช่เรื่องผิด แต่มารดาเบิกบานใจเพราะบุตรย่อมดีกว่า ท่านลองคิดดู เมื่อวันแดดจ้าฟ้าใส ร้านรองเท้าผ้าของบุตรสาวคนโตของท่านย่อมขายดิบขายดีเป็นพิเศษ และเมื่อถึงวันฝนตก กิจการร้านขายร่มของบุตรสาวคนเล็กก็ย่อมไปได้สวยเช่นกัน หากคิดเช่นนี้ท่านก็สามารถเบิกบานใจไปกับบุตรสาวทั้งสองได้ในทุกๆ วัน ไม่ต้องทุกข์เศร้าแล้ว”
เมื่อหญิงชราได้ฟังคำแนะนำของอาจารย์เซน ก็กระจ่างแจ้ง จากนั้นเมื่อคิดได้จึงรู้สึกสบายใจ ทุกครั้งที่นึกถึงบุตรสาวทั้งสอง นางล้วนมีรอบยิ้มแห่งความสุขประดับบนใบหน้าเสมอ


เรื่อง ใจกว้างหรือใจแคบ


อาจารย์เซนผู้หนึ่งมีศิษย์ที่ชอบร้องทุกข์คร่ำครวญอยู่คนหนึ่ง และเนื่องจากทัศนะคติที่คับแคบนี้เอง ทำให้ศิษย์ผู้นี้มักจะมีแต่ความทุกข์กังวล จิตใจไม่เป็นสุข
วันหนึ่ง อาจารย์เซนสั่งให้ศิษย์คนดังกล่าวไปตลาดซื้อเกลือมาถุงหนึ่ง เมื่อศิษย์กลับมาจึงสั่งให้นำเกลือมาหยิบมือหนึ่ง โปรยลงไปในแก้วบรรจุน้ำ แล้วให้ศิษย์ดื่มลงไป พลางกล่าวถามว่า “รสชาติของน้ำเป็นอย่างไร?”
“เค็มจนขม” ศิษย์ตอบด้วยใบหน้าเหยเก
จากนั้น อาจารย์เซนได้พาศิษย์ไปยังริมทะเลสาบ สั่งให้นำเกลือที่เหลือโปรยลงไปในทะเลสาบจนหมดสิ้น แล้วกล่าวว่า “ลองดื่มน้ำจากทะเลสาบดูสิ” ศิษย์จึงก้มตัวลงไปวักน้ำจากทะเลสาบขึ้นมาดื่ม
อาจารย์เซนถามอีกว่า “คราวนี้รสชาติเป็นอย่างไรบ้าง?”
ศิษย์ตอบว่า “รสชาติหวานสะอาด บริสุทธิ์ยิ่ง”
“ยังมีรสเค็มหรือไม่?” อาจารย์ถามต่อ
“ไม่มี” ศิษย์ตอบ
อาจารย์เซนได้ฟัจึงผงกศีรษะเล็กน้อย ยิ้มพลางเอ่ยสืบไปว่า “ความทุกข์ในชีวิตคนเราก็เป็นดั่งเกลือ มันจะมีรสเค็มหรือรสจืด ล้วนขึ้นอยู่กับภาชนะที่รองรับ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะเป็นน้ำหนึ่งแก้ว หรือเป็นลำน้ำสายหนึ่ง”
เรื่อง เด็กตั้งคำถามขงจื๊อ


สมัยที่ปราชญ์ขงจื๊อได้ชื่อว่ารู้ทุกสิ่งทุกอย่างในโลก วันหนึ่งขงจื๊อเดินเที่ยวเล่นในสวน เจอเด็กน้อยคนหนึ่งเข้ามาทักทายเขา “คุณตาคือขงจื๊อที่ใคร ๆ ต่างพากันกล่าวขวัญถึงใช่ไหมครับ?” เด็กน้อยถาม
ขงจื๊อพยักหน้าตอบรับและกล่าวว่า “เจ้าหนูน้อย เจ้าอยากรู้สิ่งใดเล่า?”
เด็กน้อยไร้เดียงสาตอบว่า “ข้าได้ยินมาว่าท่านรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ใช่แล้ว ข้ารู้ทุกอย่าง ทุกสิ่งในธรรมชาติล้วนเกิดจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เราย่อมรู้ดี เจ้าอยากรู้อะไรก็เร่งถามมาได้” เด็กน้อยได้ยินดังนั้นจึงถามว่า “ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นมีกี่ดวงกันครับ?”
ขงจื๊อนิ่งอึ้ง ก่อนจะตอบว่า “พ่อหนูเอ๋ย ดวงดาวบนท้องฟ้านั้นมีมากมาย ล้วนเป็นเรื่องไกลหูไกลตา ทำไมเจ้าไม่ถามเรื่องใกล้ตัวหน่อยเล่า”
“ถ้าอย่างนั้น ท่านบอกข้าได้หรือไม่ว่าขนคิ้วของท่านตานั้นมีกี่เส้น?”
ขงจื๊อหัวเราะ “จริงสินะ ที่จริงเข้าไม่ได้รู้ทุกอย่างหรอก ข้าไม่ได้รู้ทุกอย่างจริง ๆ แม้จะเป็นเรื่องใกล้หูใกล้ตาก็ตาม…”

เรื่อง อาจารย์เซนทำนายฝัน
บัณฑิตผู้หนึ่ง เดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อหวังเข้าร่วมการสอบจอหงวนหรือสอบเป็นขุนนาง ซึ่งครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว โดยในระหว่างที่รอเวลาสอบ ได้ขออาศัยอยู่ที่วัดเซนแห่งหนึ่ง
ในคืนก่อนสอบ เขาได้ฝันถึงเรื่องสามเรื่อง ความฝันที่หนึ่งคือ เขาปีนขึ้นไปปลูกผักกาดขาวอยู่บนกำแพง ความฝันที่สองคือฝนตก ส่วนเขาก็สวมงอบทั้งยังกางร่มอีกหนึ่งคัน ความฝันสุดท้ายเขานอนอยู่คู่กับหญิงสาวที่แอบรัก ทั้งสองเปลือยเปล่าแต่กลับนอนหันหลังชนกัน

เมื่อตื่นขึ้นมา ความฝันทั้งสามเรื่องรบกวนจิตใจ จนบัณฑิตหนุ่มต้องรีบไปหาหมอดูเพื่อให้ช่วยทำนายความฝัน ไขปริศนาให้กระจ่าง เมื่อหมอดูได้ทราบความฝันทั้งหมดก็กล่าวอย่างมั่นใจว่า "พ่อหนุ่มจงเดินทางกลับบ้านไปเถิด การสอบครั้งนี้คงไม่ราบรื่น เจ้าลองคิดดูว่าการปลูกผักบนกำแพงย่อมไม่เห็นผล มิใช่เสียแรงเปล่าดอกหรือ? ส่วนการใส่งอบแล้วยังกางร่มก็เป็นการทำสิ่งที่เกินความจำเป็น และการได้นอนคู่กับหญิงสาวที่รักแต่กลับหันหลังให้กันนั่นก็หมายถึงอยากกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดแต่กลับไร้ซึ่งความหวังนั่นเอง" เมื่อฟังคำทำนายจบ บัณฑิตหนุ่มหมดอาลัยตายอยาก เชื่อว่าความฝันทั้งสามเรื่องคงเป็นลางบอกเหตุล่วงหน้าถึงผลการสอบจอหงวนของตน สุดท้ายจึงเดินทางกลับวัดเซน เพื่อเก็บข้าวของเตรียมตัวกลับบ้าน

เมื่อมาถึงวัด บัณฑิตหนุ่มได้พบกับอาจารย์เซน จึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง และกราบลาอาจารย์เซน แต่อาจารย์เซนกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "ข้าเองก็ทำนายฝันได้เช่นกัน แต่เห็นว่าความฝันของเจ้าต้องตีความดังนี้ ความฝันแรก การได้ปีนขึ้นไปปลูกผักบนกำแพงสูง ย่อมหมายถึงเจ้าจะสอบติดในตำแหน่งสูง ความฝันต่อมาการสวมงอบกางร่มก็หมายถึง การสอบครั้งนี้เจ้าได้เตรียมตัวมาอย่างดีไม่มีทางพลาด และความฝันสุดท้าย การนอนเปลื้องผ้าหันหลังชนกับหญิงที่แอบรัก มิใช่แปลว่า เพียงแค่พลิกตัวความสำเร็จก็อยู่แค่เอื้อมหรอกหรือ"



บัณฑิตหนุ่มได้ฟังก็เห็นว่าการทำนายฝันของอาจารย์เซนก็มีเหตุผล สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่ที่วัดต่อเพื่อเข้าร่วมการสอบ และผลออกมาปรากฏว่าเขาทำสำเร็จ สอบติดได้รับราชการในลำดับที่ 3 ของประเทศ



เรื่องของผี
มีสามีภรรยาคู่หนึ่งรักกันมาก ต่อมาภรรยาเกิดล้มป่วยหนักจะไม่รอดแล้ว จึงได้ขอร้องสามีว่า ถ้านางตายจากไปแล้วขออย่าได้ไปมีหญิงอื่นอีก ถ้าไม่เชื่อนางก็จะเป็นผีมารบกวนไม่หยุด หลังจากภรรยาตายไปแล้ว ชายผู้นั้นก็ได้ปฏิบัติตามคำขอร้องด้วยดี จนเวลาล่วงเลยไปกว่า 3 เดือน ก็ได้พบรักกับหญิงคนใหม่จนถึงกับทำการหมั้นหมายกัน เมื่อเป็นเช่นนั้น พอตกกลางคืนผีภรรยาเดิม ก็มาตัดพ้อต่อว่าต่างๆ นานา แม้ชายผู้นั้นจะชี้แจงอย่างไร ผีภรรยาเดิมก็ไม่ยอม เขาไปทำอะไรๆ มาแม้จะลับอย่างไรผีภรรยาก็รู้หมด เป็นเช่นนี้ทุกคืน เขาจึงกินไม่ได้นอนไม่หลับร่างกายซูบผอม ญาติมิตรก็ได้แต่ปลอบโยน แต่ก็ไม่มีใครสามารถช่วยเขาได้

ชายผู้นั้นจึงได้ไปหารือกับอาจารย์เซน ซึ่งอยู่วัดใกล้ๆบนเขา ท่านอาจารย์นั่งฟังอย่างเห็นใจ ท่านรู้อยู่เต็มอกว่าผี ภรรยาที่มาหาเขาทุกคืนนั้นคืออะไร แต่จะอธิบายให้เขาฟังคงยาก
โอ ผีเมียเจ้านี่ช่างรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเลยรึ ตอนนี้ถ้ามันมาอีกเจ้าลองให้มันทายปัญหาดู และสัญญาไว้เลยว่า ถ้าหากผีตอบปัญหาได้ เจ้าจะยอมถอนหมั้นและอยู่เป็นโสดไปตลอดชีวิต หลวงพ่อแนะ
จะให้ผมถามอะไรล่ะครับ ชายผู้นั้นสงสัย
เจ้าจงหาเมล็ดถั่วไว้กำมือใหญ่ แล้วให้ผีทายว่ามีกี่เมล็ด หากผีทายไม่ได้ เจ้าจะได้รู้เสียที ว่าผีที่เจ้ารู้เห็นนั้นคืออะไร
ตกคืนนั้นผีก็มาอีก ชายผู้นั้นก็กล่าวยกย่องว่าผีฉลาด รู้อะไรไปเสียหมดทุกอย่าง
แน่ละซี วันนี้เธอไปหาอาจารย์บนเขาฉันยังรู้เลย ผีรับคำ


ชายผู้นั้นจึงรีบถามคำถามที่หลวงพ่อแนะนำมา
เธอรู้ดีอย่างนั้น ลองบอกมาซิว่า ถั่วในกำมือนี้มีกี่เมล็ด
ในที่สุด ชายผู้นั้นก็ทราบว่า ผี ที่มาหลอกทุกคืนนั้นคืออะไร ผีตอบไม่ได้ เพราะตัวเขาเองไม่ได้นับถั่วไว้ก่อนนั่นเอง




เรื่อง ต้องช่วยคน
ที่มีกำลังมีปัญหาก่อน


อาจารย์บันไก ได้เปิดสอนวิปัสสนากรรมฐาน ขึ้นที่วัดของท่าน เนื่องจากท่านเป็นอาจารย์เซนที่มีชื่อเสียง จึงมีนักศึกษามาจากทั่วสารทิศในประเทศญี่ปุ่น เข้ามารับการศึกษาเป็นจำนวนมาก ในจำนวนนักศึกษาที่มาศึกษานั้น มีผู้หนึ่งชอบประพฤติตัวเป็นขโมย ชอบขโมยทรัพย์สินของนักศึกษาด้วยกัน วันหนึ่งถูกจับได้ พวกนักศึกษาโกรธแค้นมาก จึงนำเรื่องไปฟ้องร้องท่านอาจารย์บันไก แต่ท่านก็กลับนิ่งเฉย ต่อมา นักศึกษาผู้นั้นก็ทำการขโมยของ และถูกจับได้อีก พวกนักศึกษาจึงพากันไปกล่าวโทษอีก แต่ท่านอาจารย์กลับทำเป็นไม่สนใจ คราวนี้พวกนักศึกษาโกรธมาก จึงยื่นคำขาดกับท่านอาจารย์บันไกว่า หากท่านอาจารย์ยังไม่ยอมชำระโทษหัวขโมยให้อีก พวกตนจะพากันออกจากสำนักทั้งหมด เมื่อท่านอาจารย์บันไกได้อ่านคำฟ้องแล้ว ท่านก็ให้เรียกประชุมบรรดานักศึกษาทั้งหลาย และกล่าวว่า

พวกเธอทั้งหลายที่ลงชื่อในหนังสือฟ้องร้องนี้ นับว่าเป็นคนฉลาดมาก เพราะเธอต่างก็รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทำอะไรควรละเว้น หากพวกเธอประสงค์จะออกจากสำนักฉันไปศึกษาต่อที่อื่นฉันก็ยินดี ให้เธอไปได้ตามแต่ใจปรารถนา แต่เจ้าเพื่อนขี้ขโมยที่น่าสงสารของเธอคนนี้ เขายังโง่เขลามาก ยังไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด ถ้าหากฉันไม่สอนเขาแล้ว ใครล่ะจะเป็นผู้สอน เธอทั้งหลายจงเห็นใจเถิดที่ฉันต้องให้เขาอยู่กับฉันต่อไป"
พอท่านอาจารย์กล่าวจบลง นักศึกษาหัวขโมยก็ร้องไห้ออกมาด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ก็กลับตัวเป็นคนดีไม่มีนิสัยชอบขโมยของอีกเลย ท่านอาจารย์คงได้พิจารณาดูแล้วว่า นักศึกษาหัวขโมยยังคงพอจะโปรดได้


เรื่อง มาคนเดียว
ไปคนเดียวจริงหรือ


ท่านอาจารย์นินากาวะ เป็นอาจารย์ของท่านอิคกุยุ ในวาระที่ท่านอาจารย์นินากาวะใกล้จะสิ้นลมหายใจ ท่านอาจารย์อิคกุยุ ก็ได้ไปเยี่ยม และถามท่านนินากาวะว่า"ท่านอาจารย์ต้องการให้ผมนำทางให้ไหม"



ท่านอาจารย์นินากาวะ ตอบว่า ท่านจะช่วยอะไรผมได้ เวลามาผมมาตัวคนเดียว เวลาผมจะไป ผมก็ต้องไปคนเดียว
ท่านอิคกุยุได้ยินดังนั้นจึงตอบว่า ถ้าท่านอาจารย์ยังคิดว่า ท่านมาคนเดียว และไปคนเดียวอยู่ละก้อ แสดงว่าท่านหลงทางแล้ว ให้ผมนำทางท่านดีกว่า เพราะความจริงแล้ว ไม่มีการมาและการไปเลยต่างหาก ด้วยคำแนะนำของท่านอิคกุยุ เพียงเท่านี้ ท่านนินากาวะ ก็ถึงซึ่งความหลุดพ้น และมรณภาพไปด้วยความสงบ
สำหรับคำสอนของพระพุทธศาสนา ความเชื่อที่ว่าตายแล้วเกิดแบบมีวิญญาณออกจากร่าง แล้วไปแสวงหาที่เกิดใหม่ ถือว่าเป็นมิจฉาทิฐิ และความเชื่อที่ว่าตายแล้วดับสูญ ก็เป็นมิจฉาทิฐิเช่นกัน ความจริงคนเราเป็นเพียงปัจจัยต่างๆ ที่รวมตัวกัน เมื่อคงอยู่ไม่ได้ก็สลายตัวไปรวมกับปัจจัยตัวอื่นๆ ซึ่งเมื่อรวมตัวครบก็เกิดเป็นคนใหม่ขึ้นมาอีก คนใหม่ก็ไม่ใช่คนเก่าเพราะปัจจัยไม่เหมือนกัน เปรียบเหมือนตอนเป็นเด็ก ปัจจัยที่รวมตัวกันเป็นเด็กก็อย่างหนึ่ง เมื่อแก่ ปัจจัยที่รวมตัวกันเข้าก็ไม่เหมือนกับตอนเป็นเด็ก แม้จะไม่ใช่ชุดเดียวกัน แต่ก็เป็นส่วนสืบเนื่องมาจากปัจจัยเมื่อตอนเป็นเด็กเพราะความยึดติดฝังแน่นเป็นปัจจัยสืบทอดตลอดมา จึงคิดว่าเป็นตัวตนของเราอย่างไม่ยอมเปลี่ยนแปลง

เรื่อง ผิดบาปอยู่ที่ใคร
ศิษย์และอาจารย์เดินผ่านท่าน้ำริมทะเล เห็นชาวเรือกำลังจะนำเรือออกจากท่าเพื่อที่จะไปส่งผู้โดยสาร หลังจากเรือลงน้ำไปแล้ว ที่ชายหาดมี กุ้ง หอย ปู ปลา โดนทับตายเป็นจำนวนมาก ทำให้เห็นแล้ว รู้สึกน่าสงสารยิ่งนัก
ลูกศิษย์กล่าวว่า : ขณะที่ชาวเรือนำเรือออกไปนั้น ทำให้ กุ้ง หอย ปู ปลาแถวนั้นตายไปไม่น้อย ขอถามหน่อยว่า เป็นความผิดบาปของชาวเรือหรือผู้โดยสาร
พระอาจารย์ตอบว่า : ไม่ได้เป็นบาปของชาวเรือ และไม่ได้เป็นบาปของผู้โดยสาร
ลูกศิษย์ถามต่อ ว่า : ถ้าไม่ได้เป็นบาปของทั้งสองฝ่าย แล้วจะเป็นบาปของใคร
พระอาจารย์ตอบกลับ ว่า : ก็เป็นของเจ้านะซี
พระอาจารย์พูดต่อว่า : ชาวเรือประกอบอาชีพนี้เพื่อหาเงินเลี้ยงปากท้อง ผู้โดยสารจำเป็นต้องขึ้นเรือ เพราะต้องเดินทาง กุ้ง ปู โดนเรือกดทับ เพราะซ่อนตัวอยู่ในทราย นี่เป็นความผิดใคร
กรรมเกิดจากจิต จิตไม่มี กรรมก็ไม่มี
จิตไม่มี จะสร้างกรรมได้อย่างไร
แม้จะมีบาปกรรม ก็เป็นบาปที่เกิดจากความไม่ตั้งใจ
แต่สำหรับตัวเจ้าเอง สิ่งที่ไม่มีกลับสร้างให้มี สร้างผิดถูกขึ้นมาเอง
แล้วนี่จะไม่ใช่ผิดบาปที่เจ้าหรอกหรือ

เรื่อง ตะแกรงสามอัน
ชายคนหนึ่งกระหืดกระหอบไปหาหลวงพ่อท่านหนึ่ง แล้วพูดว่า "ผมมีข่าวจะมาบอกท่าน"
หลวงพ่อชิงพูดขึ้นก่อนว่า"เรื่องที่เธอจะเล่าผ่านตะแกรงมาสามครั้งแล้วหรือยัง?
ชายคนนั้นไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร? จึงถามขึ้นว่า"ตะแกรงสามอัน ตะแกรงสามอันไหนครับ"
หลวงพ่ออธิบายว่า "ตะแกรงอันแรกคือ ความจริง ข่าวที่ท่านจะเล่าเป็นความจริงหรือเปล่า?"
ชายคนนั้นตอบว่า "ไม่รู้เหมือนกัน ผมฟังมาจากที่เขาเล่า"

หลวงพ่อพูดต่อว่า "ตอนนี้เธอลองใช้ตะแกรงอันที่สองไปตรวจสอบดู ข่าวที่เธอจะบอกฉัน แม้จะไม่ใช่ความจริง แต่ก็ควรจะเป็นข่าวที่มีเจตนาดี"
ชายคนนั้นลังเลสักครู่แล้วพูดว่า "ไม่มีเจตนาดีครับ แต่เป็นเจตนาตรงข้ามกันเลย"



หลวงพ่อพูดต่อว่า "ถ้าอย่างนั้นเราใช้ตะแกรงอันที่สาม ข่าวที่ทำให้เธอเร่งรีบอย่างนี้เป็นข่าวสำคัญหรือเปล่า?"
ชายคนนั้นรู้สึกเขินนิดๆ แล้วตอบว่า "ไม่ได้สำคัญอะไร?"หลวงพ่อจึงพูดต่อว่า "เรื่องที่เธอจะเล่าให้ฉันฟัง ไม่ใช่เรื่องจริง แล้วก็ไม่ได้มีเจตนาดี แล้วก็ไม่สำคัญ งั้นก็อย่าเล่าเลย ข่าวนั้นจะได้ไม่รบกวนจิตใจทั้งของเธอและของฉัน"



.............

ไม่มีความคิดเห็น: