ฟังเสียง : http://www.mediafire.com/?vthk5t8aex2180k
หรือที่ : http://www.4shared.com/mp3/qUzLsFFe/See_Thru_Floor_16_-1604_.html
......................
รู้ทันชั้น 16
ภาคที่ 2 : กฎหมายของใคร
นิติรัฐ กับ นิติธรรม (Rule of Law)


1.) บุคคลจะถูกลงโทษก็ต่อเมื่อกระทำผิดกฎหมายที่ตราขึ้นด้วยกระบวนการปกติธรรมดา และศาลปกติธรรมดาวินิจฉัยว่ามีการกระทำที่ผิดกฎหมายนั้น
2.) ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายปกติธรรมดา และอยู่ภายใต้ระบบศาลปกติธรรมดาอย่างเท่าเทียมกัน การสร้างระบบศาลเฉพาะสำหรับใช้ต่อฝ่ายปกครองหรือนักการเมืองจึงไม่เป็นธรรม
3.) สิทธิและเสรีภาพต้องรับรองโดยกฎหมายปกติธรรมดาหรือศาลปกติธรรมดา คือใช้ได้จริงไม่ใช่เพียงแค่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญเฉยๆ

-กฎหมายต้องมีผลไปข้างหน้า ไม่มีผลย้อนหลัง
-กฎหมายต้องมีความมั่นคงและแน่นอน ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงบ่อย
-กฎเกณฑ์และกระบวนการในการตรากฎหมายต้องชัดเจนแน่นอน
-ต้องมีหลักประกันความเป็นอิสระขององค์กรตุลา
-มีหลักประกันความยุติธรรมตามธรรมชาติ มีกระบวนการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม และการฟังความจากทุกฝ่าย
-องค์กรตุลาการมิใช่มีอำนาจไม่จำกัด แต่มีอำนาจแค่ควบคุมการกระทำขององค์กรอื่นให้อยู่ในกรอบของกฎหมายเท่านั้น
-ประชาชนมีสิทธิ์เข้าถึงองค์กรตุลาการได้โดยง่าย มิใช่อ้างว่าตัดสินในพระปรมาภิไธย ห้ามผู้ใดวิจารณ์ ไม่อย่างนั้นจะถูกศาลลงโทษจำคุกฐานละเมิดอำนาจศาล

การที่วงการกฎหมายไทยและศาลไทยยอมรับคำสั่งของคณะรัฐประหารทั้งปวงว่าเป็นกฎหมายทั้งๆที่มีเนื้อหาที่ไม่ถูกต้องเป็นธรรมเท่ากับว่าประเทศไทยไม่ใช่นิติรัฐมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว เพราะนิติรัฐต้องไม่ยอมรับอำนาจที่มาจากการรัฐประหาร
หลักนิติรัฐ

-หลักความชอบด้วยกฎหมาย ฝ่ายนิติบัญญัติจะตรากฎหมายเกินกรอบที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ไม่ได้ ฝ่ายบริหารมีอำนาจเท่าที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น และตุลาการต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่ใช้บังคับจริง

เนื้อหาของนิติรัฐ

-ต้องบัญญัติสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลไว้ในรัฐธรรมนูญและต้องให้เป็นกฎหมายโดยตรงอีกด้วย เป็นการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนในทางปฏิบัติอย่างแท้จริง

บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ 2550 ไม่มีความเป็นนิติรัฐหรือนิติธรรมแม้แต่น้อย เช่น



รัฐไทยที่มีกษัตริย์ผูกขาดการใช้อำนาจ ได้นำหลักนิติรัฐมาเป็นวาทกรรมหรือข้ออ้างทางการเมือง


การแทรกแซงการเมืองในนามของกฎหมายกฎหมายได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นของการปกครองในรัฐสมัยใหม่ ในฐานะตัวแทนของความชอบธรรม ที่เรียกว่านิติธรรมแทนที่วิธีล้าสมัยแบบเดิมๆ เช่น การใช้อาวุธ การลอบฆ่า การลักพาตัว การยึดทรัพย์โดยคณะรัฐประหาร



องค์กรตุลาการกับประชาธิปไตย

-ความเป็นอิสระขององค์กรตุลาการ


-ความเป็นกลางขององค์กรตุลาการ
และคำพิพากษาที่น่าเชื่อถือ


คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ใช้กฎหมายย้อนหลังอันเป็นผลร้ายแก่บุคคลโดยไม่ได้มีการอธิบายเหตุผลทางกฎหมายเพียงพอ จึงเป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมตามที่กษัตริย์ภูมิพลต้องการนั่นเอง
-ความเชื่อถือไว้วางใจของสังคม
ต่อองค์กรตุลาการ

-การตระหนักถึงขอบเขตอำนาจของตนเอง

การพิพากษาของศาลมิใช่กระทำได้อย่างพร่ำเพรื่อหรือปราศจากกฎเกณฑ์ ต้องผ่านขั้นตอนตั้งแต่เงื่อนไขการฟ้องคดี เช่น ผู้ฟ้องคดีมีสิทธิหรือมีส่วนได้เสียในการฟ้องคดีหรือไม่ ฟ้องภายในอายุความหรือไม่ ศาลมีเขตอำนาจพิจารณาหรือไม่ จากนั้นยังต้องผ่านกระบวนพิจารณาที่เป็นธรรม คำพิพากษานั้นมีผลเป็นการทั่วไปหรือมีผลผูกพันเฉพาะคู่ความ มีผลย้อนหลังหรือมีผลไปในอนาคตหรือไม่โดยต้องคำนึงถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจและการรักษาดุลย์อำนาจ

แต่ศาลไทยที่มีมากมายหลายชื่อก็ใช้อำนาจตัดสินแบบไม่มีขอบเขต ทำตัวเป็นเครื่องมือของระบอบเผด็จการกษัตริย์อย่างเดียวโดยไม่สนใจกลักนิตรัฐหรือนิติธรรมใดๆทั้งสิ้น
-คำพิพากษาสาธารณะ
กฎหมายคือตัวกำหนดคำพิพากษาของศาล คำพิพากษาที่ดีจึงต้องสามารถให้การศึกษาแก่สังคมได้ ต้องเปิดเผยให้สาธารณชนได้รับทราบ เพื่อให้บุคคลทั่วไปได้มีโอกาสวิจารณ์
-การยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์


กฎหมายและกลไกอำนาจรัฐ

ประวัติศาสตร์ได้สอนว่า ผู้ที่สามารถถือครองอำนาจรัฐได้อย่างถาวรต้องยึดครองกลไกรัฐและครอบงำรูปการจิตสำนึกของสังคมไปพร้อมๆกัน การต่อสู้เพื่อการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงจึงจำเป็นต้องยึดทั้งกลไกอำนาจรัฐรวมไปถึงการเปลี่ยนรูปการจิตสำนึก ที่ต้องอาศัยระยะเวลาในการให้ความรู้และความเข้าใจ

กลไกรัฐทางการปราบปราม ได้แก่ รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ ค่าย คุก ที่ต้องมีเอกภาพและผูกขาดอยู่กับรัฐ















รัฐประหารคือรัฏฐาธิปัตย์ จริงหรือ







ถึงแม้ว่าคำวินิจฉัยส่วนตัวนี้จะไม่มีผลต่อคำพิพากษาเพราะเป็นเสียงข้างน้อย แต่มีผลกระทบมหาศาลต่อมุมมองของนักกฎหมายและผู้รักประชาธิปไตยทั้งหลาย

กฎหมายไม่ใช่คำสั่งของรัฎฐาธิปัตย์

1.ความหมายของกฎหมาย


2. กฎหมายกับความยุติธรรม

3. กฎหมายในสังคมไทย




ตัวอย่างคำวินิจฉัยส่วนตนของตุลาการและผู้พิพากษาเสียงข้างน้อย




คำวินิจฉัยนี้แม้จะไม่ได้ปฏิเสธผลทางกฎหมายของประกาศ หรือคำสั่งของคณะปฏิวัติ รัฐประหารทุกกรณีไป และยอมรับว่าคณะปฏิวัติดำรงอยู่ในฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ แต่ก็ไม่สามารถออกประกาศ หรือคำสั่งให้ขัดกับหลักเกณฑ์แห่งกฎของกฎหมายได้ เป็นการยืนยันว่ารัฎฐาธิปัตย์ไม่อาจออกคำสั่งใดๆตามอำเภอใจได้ นับเป็นแสงสว่างที่ยังพอมีอยู่บ้างในระบบกฎหมายไทย




ปัญหาขององค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ








1.ไม่มีความชัดเจนว่าองค์กรเหล่านี้การใช้อำนาจอธิปไตยในลักษณะใดกันแน่ ตามหลักการแบ่งแยกอำนาจในมาตรา 3








กฎหมายหรือกฎหมู่



การที่มีคนจำนวนมากไม่ยอมรับกระบวนการทางกฎหมายที่เกิดจากคณะรัฐประหาร ไม่ใช่เรื่องการเมืองมารังแกกฎหมาย ไม่ใช่เรื่องกฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย แต่เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องการโต้แย้งว่าสิ่งที่อ้างว่าเป็นกฎหมายนั้น ที่แท้มันคือกฎหมู่ที่มาในร่างของกฎหมาย

การรัฐประหารโดยคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นกฎหมู่ หรือไม่
คณะรัฐประหารฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 แล้วประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว 2549 เป็นกฎหมู่ หรือไม่

คณะรัฐประหารนิรโทษกรรมตนเองและพรรคพวกทั้งที่ผ่านมาและในอนาคตตามมาตรา 37 ของรัฐธรรมนูญ 2549 เป็น กฎหมู่ หรือไม่

กฎหมายทั้งหลายที่เกิดจากน้ำมือของคณะรัฐประหาร เป็น กฎหมู่ หรือไม่
ที่มาและเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ 2550 เป็น กฎหมู่ หรือไม่



ขบวนการตุลาการภิวัฒน์ เป็นกฎหมู่หรือไม่


-คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขแดงที่ อม.1/2553 เรื่อง ขอให้ทรัพย์สินตกเป็นของแผ่นดิน เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2553 …








หลักนิติรัฐของการนิรโทษกรรม


คดีความต่างๆที่เริ่มต้นหรือเป็นผลต่อเนื่องจากรัฐประหาร 19 กันยา 2549 เป็นสิ่งที่ขัดหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตย คดีเหล่านี้จึงไม่มีผล ความผิดในสมัยรัฐประหาร ไม่ถือเป็นความผิดในสมัยประชาธิปไตย เมื่อไม่ผิด ก็ไม่ต้องนิรโทษ



...........
...........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น