วันพฤหัสบดีที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554

เรื่องหลังบ้าน 006/2 : วาทะกรรม 2 SS 06/2



 
นายกรักสิน ตัวอย่างของ
ผู้ซาบซึ้งที่ไม่มีแผ่นดินอยู่



ที่จริงนายกรักสินเป็นคนที่รักลุงและซาบซึ้งไม่น้อยไปกว่าคนอื่น ตั้งแต่เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ ตอนจัดงานฉลองเก้าอี้ลุง 60 ปี ก็ทำใหญ่โตมโหฬาร รักสินเป็นพวกที่เคารพบูชาลุงและครอบครัวของลุงอย่างมากที่สุด เป็นคนริเริ่มรณรงค์เสื้อเหลืองโดยชวนราษฎรให้สวมเสื้อเหลืองออกกายบริหารที่สนามหลวงหน้าวัดพระแก้ว จนต่อมาราษฎรพากันสวมเสื้อเหลืองเพื่อแสดงการเคารพบูชาลุงสมชายอย่างถ้วนหน้า

ในช่วงที่นายกรักสินบริหารบ้านเมืองมีฝรั่งชื่อนายพอลแฮนด์ลี่ได้เขียนหนังสือชื่อ เจ้าไม่เคยยิ้ม รวบรวมประวัติ การทำหน้าที่ของลุงสมชายอย่างละเอียด ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง นายกรักสินขอให้มหาวิยาลัยเยล เลื่อนการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ออกไปจนกว่าจะเสร็จงานฉลอง 60 ปีเก้าอี้ลุง และสั่งห้ามขายหนังสือเล่มนี้ในประเทศไทย เพราะมีการเสนอข้อเท็จจริง ที่ถือว่าไม่เป็นผลดีต่อลุงสมชาย ราษฎรที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ จะรู้และเข้าใจบทบาทของลุงสมชาย ที่คอยบงการชักใยกิจการบ้านเมือง จนกลายเป็นเจ้าพ่อตัวจริง ที่คุมประเทศไทยไว้ในมือทั้งหมด

นายกรักสินได้ใช้จ่ายงบประมาณไม่ต่ำกว่าปีละหมื่นล้านบาทเพื่อจัดงานฉลองให้ลุงสมชายทั่วประเทศ เช่นเดียวกับรัฐบาลต่อๆมา และเชื้อเชิญกษัตริย์ทั่วโลกมาฉลองการนั่งเก้าอี้ครบ 60 ปีของลุง รวมทั้งการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สุขแก่ราษฎรอย่างเต็มที่ ลุงไม่เคยเห็นความดีของรักสินแต่กลับมองว่าเป็นการแข่งบารมีที่ลุงจะปล่อยไว้ไม่ได้ เมื่อรักสินยอมสละตำแหน่งหน้าที่ไปแล้ว ลุงกลับให้ลูกน้องตามล่าตามทำลายไม่เว้นแม้แต่ครอบครัวและสมัครพรรคพวก

แต่เหตุการณ์คงไม่จบลงง่ายเหมือนในอดีต หลังจากที่ลุงไฟเขียวให้ป้าและหญิงกลางไปบัญชาการ ในค่ายทหารราบ 11 เพื่อเผด็จศึกพวกเสื้อแดงบริเวณแยกราชประสงค์ กลับทำให้พวกเสื้อแดงตาสว่างและชูคำขวัญประกาศชัดเจนว่า ไอ้ตะกวดสั่งฆ่า นังอหิวาต์สั่งยิง และ กูม่ายรู้ กูป่วย ซึ่งเป็นที่รู้กันทั่วไป ว่าหมายถึงลุงสมชายและป้าสมจิตนั่นเอง โดยไม่มีการหวั่นเกรงกฎหมายปิดปากอีกต่อไป รวมทั้งข่าวต่างประเทศ กระจายไปทั่วโลกโดยพุ่งเป้าไปที่คนสั่งการตัวจริง

นายกรักสินยังได้จ้างนายอัมสเตอร์ดัม ( Robert Amsterdum ) ทนายชาวแคนาดาที่ทำคดีสิทธิมนุษชนระดับโลกให้ทำเรื่องฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศ กรณีที่รัฐบาลลูกน้องลุงสมชายสังหารหมู่ประชาชนที่บริเวณแยกราชประสงค์ อย่างน้อยก็เป็นการตีแผ่ข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ

ถ้ามีการรับพิจารณาคดี จำเลยย่อมซัดทอดไปถึงลุงสมชายรวมทั้งป้าสมจิตและหญิงกลางสิรินเทพ ดังนั้นลุงสมชายคงไม่ยอมให้ฝ่ายของรักสินขึ้นเป็นรัฐบาลเด็ดขาด เพราะรัฐบาลของรักสินอาจยื่นฟ้องศาลอาญาระหว่างประเทศในนามของรัฐบาลไทย ซึ่งจะทำให้ลุงสมชายและครอบครัวตกที่นั่งลำบาก
เครือข่ายของลุงพยายามกล่าวหานายกรักสินว่าเป็นต้นเหตุของความแตกแยกทำให้ประชาชนแบ่งเป็นเสื้อเหลือง และเสื้อแดง จนเกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองไม่จบสิ้น แต่สำนักวิกิลี้คได้เปิดเผยรายงานทูตสหรัฐที่คุยกับผู้กว้างขวางว่าแกนนำเสื้อเหลืองได้วางแผนให้มีการนองเลือดให้มีคนตายราวยี่สิบคนในวันที่เดินขบวนไล่รัฐบาลจากกลุ่มรักสินเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2551 เพื่อจะสร้างเรื่องให้ทหารของลุงออกมายึดอำนาจ

แต่มีพวกเสื้อเหลืองเสียชีวิตจากระเบิดที่เตรียมไปเพียง 2 รายคือ สารวัตรจ๊าบกับน้องโบว์ ตกเย็นวันนั้น มีรถเกราะของทหารออกมาแต่ไมได้ออกมายึดอำนาจตามแผนเพราะมีคนตายไม่มากเท่าที่วางแผนไว้ ดังนั้นคนที่พยายามสร้างสถานการณ์ให้เกิดการยึดอำนาจก็คือกลุ่มและเครือข่ายของลุงสมชายนั่นเอง

เครือข่ายของลุงสมชายกล่าวหารัฐบาลรักสินว่ามีการโกงกินกันมาก แม้จะไม่มีหลักฐานแต่อ้างว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย และมีการละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น กรณีตากใบ การฆ่าตัดตอนในสงครามยาเสพติด ทหารของลุงจึงต้องทำการยึดอำนาจเพื่อกอบกู้ประเทศชาติจากความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ทั้งๆที่เป็นเรื่องที่มีการสั่งการและมีการวางแผนล่วงหน้าเป็นเวลากว่า 8 เดือนตามข้อมูลที่เปิดเผยโดยวิกิลี้ค

การยึดอำนาจถือเป็นความผิดชัดเจนและร้ายแรงในข้อหาเป็นกบฏ แต่ไม่มีการตรวจสอบคณะบุคคลที่ร่วมกันยึดอำนาจ แต่กลับมีการตรวจสอบนักการเมืองที่มาตามระบอบประชาธิปไตยทุกขั้นตอน ตั้งแต่การแจ้งบัญชีทรัพย์สิน มีคณะกรรมการและองค์การตุลาการคอยตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ มีสมาชิกรัฐสภาคอยซักถามข้อสงสัย และอภิปรายการปฏิบัติหน้าที่ แต่กลับไม่มีการนำหลักการนี้ไปใช้กับลุงสมชายและกองทัพของลุงสมชาย

พรรคการเมืองและนักการเมืองต้องแสดงบัญชีทรัพย์สินและมีการตรวจสอบกันเป็นประจำทุกครั้งทั้งก่อนและหลังการรับตำแหน่ง รวมทั้งเงินที่พรรคการเมืองได้รับบริจาค


แต่ไม่เคยมีการตรวจสอบเงินที่บริจาคให้ครอบครัวของลุงสมชาย เงินที่มีคนมอบให้กษัตริย์นั้นเขาไม่ได้ให้เพราะรู้จักกันเป็นการส่วนตัว หลายคนให้เงินแก่กษัตริย์เพราะเป็นเรื่องของผลประโยชน์ต่างตอบแทน เท่ากับเป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่หาผลประโยชน์ เงินที่ได้ก็ต้องเป็นเงินของส่วนรวมจะให้ไปใช้จ่ายตามอัธยาศัยย่อมขัดกับหลักการประชาธิปไตย

ในทางตรงข้าม ถ้าเราออกกฎหมายห้ามวิจารณ์รักสิน ให้รักสินอยู่ในฐานะที่ทุกคนต้องเคารพเทิดทูน ถ้าใครวิจารณ์รักสินต้องติดคุก 15 ปี และให้มีการโฆษณาตลอดเวลาว่าใครๆก็รักรักสิน ใช้งบประมาณจัดตั้งกลุ่มรักรักสินทั่วประเทศ แล้วจะมีใครกล้ามาแย้งเรื่องสงครามยาเสพติด ถ้ามีทั้งออกกฎหมายมาข่มขู่ ห้ามวิจารณ์ห้ามตรวจสอบ ใช้โฆษณาประชาสัมพันธ์ด้านเดียว รักสินก็จะกลายเป็นเทวดาที่ใครก็แตะต้องไม่ได้


คุณหมักก็เป็นคนที่
มีความซาบซึ้งมากเป็นพิเศษ


เคยเป็นองครักษ์ปกป้องลุงสมชาย สมัยที่คอมมิวนิสต์มาแรง จนลุงต้องสั่งฆ่าและเผานักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และแถวสนามหลวงที่อยู่หน้าวัดพระแก้ว คุณรักสินได้ให้คุณหมักเป็นนายกเพราะเชื่อว่าลุงสมชายน่าจะสบายใจ เพราะเป็นลูกน้องเก่าของลุง พี่สาวลุงหมักก็เคยรับใช้ลุง ถึงขนาดวางยาพลเอกกฤษณ์จนเสียชีวิต แต่คุณหมักก็โดนศาลของลุง ตัดสินเก้าต่อศูนย์ให้ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะออกรายการทำอาหารทางทีวี

โดยก่อนหน้านั้นคุณหมักได้ไปขอความเห็นใจจากลุงที่หัวหิน และลุงให้พักค้างคืนกินอาหารที่ลุงให้จัดมา จนป่วยเสียชีวิตกระทันหัน มีผู้เขียนกลอนบรรยายความรู้สึกก่อนเสียชีวิตของคุณสมัครไว้ว่า สิ่งที่สูงกลับต่ำนั้นดำเนตร ใจสมัครสุนทรเวชจึงหมองใหม้ เฝ้าจงรักภักดีมิรู้คลาย ขอกัดฟันลาตาย ไม่ถวายพระพร



ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ ผู้คนถูกครอบงำในเรื่องค่านิยมทางการเมือง เหมือนเช่นเกาหลีเหนือ คิวบาและลิเบีย ทั้งๆที่ในระบอบประชาธิปไตยราษฎรต้องมีเสรีภาพที่จะมีค่านิยมทางการเมืองอย่างไรก็ได้




แต่พอมีการรัฐประหาร โดยจอมพลผิน เมื่อปี 2490 จึงเขียนรัฐธรรมนูญ 2492 ให้มีการปฏิญาณตนเพื่อให้จงรักภักดีต่อกษัตริย์ ทั้งๆที่ในระบอบประชาธิปไตย อำนาจอธิปไตยเป็นของราษฎร คนที่มารับตำแหน่ง คือกำลังใช้อำนาจของราษฎร จึงต้องซื่อสัตย์ต่อราษฎร มิใช่ซื่อสัตย์ต่อกษัตริย์



กำจัดคู่แข่งบารมี
อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้


ลุงสมชายโฆษณาว่า ทำงานหนักก็เพื่อราษฎรไทย มาตลอดชีวิตของการครองอำนาจ แต่ตอนนี้สุขภาพไม่แข็งแรงเพราะทำงานหนักมาตลอดกว่า 60 ปีที่ผ่านมา แต่นายกรักสินใช้เวลาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น ก็ทำให้ลุงต้องสั่งทหารยึดอำนาจเพราะกลัวรักสินกำลังจะแซงหน้า

เมื่อนายกรักสินเดินสายเยี่ยมราษฎร ที่อีสาน มีประชาชนไปรอรับกันเป็นแสน เพราะอยากเห็นผู้นำที่ยกระดับชีวิตให้ประชาชนได้อย่างแท้จริง



ไม่ใช่พวกที่เอาแต่โฆษณาสร้างภาพ โดยที่ประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไร เป็นแค่ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ลงทุนไปหลายพันล้าน เงินที่ลงไป ก็ละลายน้ำหมด ดีแต่กะเกณฑ์ก็ให้นักเรียน และชาวบ้าน มานั่งตากแดดกับพื้นรอรับการมาเยือน เสร็จแล้วก็กลับ

แต่นายกรักสินบริหารประเทศแบบคุ้มค่าคุ้มราคา เพราะเคยลำบากมาก่อน จึงเร่งทำงานให้ประชาชนอย่างเต็มที่ ทำให้ระบอบเจ้ากลัวว่าถ้าปล่อยให้รักสินบริหารประเทศต่อไปอีก 2 - 3 สมัย อำนาจของระบอบเจ้าก็จะหายหมด เลยสั่งทหารของตนไปยึดอำนาจ แล้วเอาเงินของราษฎร มาจ่ายแจกกันเป็นค่าเหนื่อยในการปล้นอำนาจของราษฎรนับพันล้านบาท

แล้วตั้งพรรคพวกของตนมาบริหารประเทศ หาเรื่องยึดทรัพย์รักสินและยัดเยียดความผิดให้สารพัด พยายามหาทางกำจัดกวาดล้างพรรคพวกของรักสินให้หมดสิ้นไป แต่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ก็ยังนิยมชมชอบนายกรักสินอยู่มาก แม้จะต้องตั้งพรรคขึ้นมาใหม่ ประชาชนก็ยังตามไปสนับสนุน แม้จะถูกกลั่นแกล้งรังแกสารพัดหลายครั้งหลายหน

 


ลุงสมชายใช้เงินงบประมาณมากมายมหาศาล มีโครงการมากกว่า 3000 โครงการ แต่มีผลงานจริงๆไม่มากเท่าที่ควร และเทียบไม่ได้เลยกับผลงานของนายกรักสินในช่วงเวลาเพียง 4-5 ปีเท่านั้น



เอกสารลับของกองทัพบก ลงวันที่ 26 และ 27ก.ย.2550 ระบุว่าเป็นการทำสงครามแย่งชิงประชาชน เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ โดยใช้พลังประชาชนในระดับรากหญ้าเป็นแนวร่วม โดยพรรคการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมด้วยการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ประชาชนรากหญ้าเกิดความนิยมชมชอบในตัวผู้นำ

รวมทั้งยังมีแนวความคิดต่อต้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และมีแนวความคิดที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงขอให้กองทัพซึ่งเป็นสถาบันหลักที่เคียงคู่สถาบันกษัตริย์ ได้ดำเนินการแย่งชิงประชาชนกลับมาให้อยู่กับสถาบันกษัตริย์และอยู่กับกองทัพตลอดไป โดยมีพรรคการเมืองที่ก่อกำเนิดเมื่อ 14 กรกฎาคม 2541 ( คือพรรคไทยรักไทย ซึ่งตรงกับวันปฏิวัติฝรั่งเศส )

นี่คือ จุดมุ่งหมายที่แท้จริงของการยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลรักสิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เพื่อสกัดกั้นไม่ให้นายกรักสินมีผลงานล้ำหน้าลุงสมชาย

ลุงสมชายมีทั้งเงิน มีทั้งกำลัง มีอำนาจเต็มที่ทุกคนต้องเชื่อฟังและรีบนำไปปฏิบัติ แต่ได้พิสูจน์แล้วว่า ลุงทำงานโดยไร้ประสิทธิภาพไม่มีผลงานที่ชัดเจน คือ สอบตก จึงต้องใช้ทหารกำจัดนายกรักสินที่กำลังสร้างผลงานได้ดีกว่า

ทั้งๆที่นายกรักสินก็ได้ทำทุกอย่างเพื่อลุงสมชายและครอบครัว รวมทั้งการเชิญกษัตริย์ทั่วโลกมาฉลองกการนั่งตำแหน่ง 60 ปีที่นานที่สุดในโลก




ถ้าลุงสมชายลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็นนายกบริหารประเทศมากว่า 60 ปีแล้ว ก็ต้องถือว่าสอบตก เพราะทำงานมาไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ดีแต่โฆษณาตัวเองว่าเป็นคนดี เสียสละเพื่อคนอื่น เหนื่อยยากมาตลอด


แต่ผลงานที่ได้ คือเขื่อน กังหันวิดน้ำที่ใช้งานไม่ได้ และวิถีชาวบ้านแบบพอเพียง เป็นเรื่องไม่มีสาระที่เป็นชิ้นเป็นอัน เสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยเปล่าประโยชน์และไม่คุ้มค่าจริงๆ


แทนที่จะให้ประชาชนได้ใช้อำนาจเลือกตัวแทนเข้ามาออกกฎหมาย จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ โดยมีการเสนอนโยบาย มีการตรวจสอบ มีวาระการดำรงตำแหน่ง ให้ประชาชนได้ตัดสินผลงานโดยผ่านการเลือกตั้งเหมือนประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย

แทนที่จะให้ลุงสมชายผูกขาดการแสดงบทบาท โดยส่วนราชการต้องเอาใจรับใช้ลุงเป็นหลัก ถ้าลุงอยากทำงานเพื่อสาธารณะก็ต้องใช้เงินของตนเอง อย่าได้เอาจากงบประมาณ และต้องเสียภาษีเหมือนคนทั้งประเทศ มิใช่อ้างว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐแต่ลุงสมชายเป็นคนเอาไปใช้จ่ายแต่ผู้เดียว และเลิกการเป็นอภิสิทธิ์ชนรวมทั้งภรรยาและลูกหลานของลุงด้วย
ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้บริหารที่กุมแท้จริง คือลุงสมชายซึ่งบริหารงานล้มเหลว โดยที่ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย แซงหน้าไทยไปหมดแล้ว เพราะประเทศเหล่านี้เขาจะมีแผนพัฒนาประเทศ และดำเนินการตามแผนที่วางไว้ แต่ลุงสมชายไม่มีแผนการพัฒนาประเทศ แต่กลับใช้ทหารมาทำลายการพัฒนาประเทศและเข้ามาแสวงหาประโยชน์โดยไม่มีการตรวจสอบหลายครั้ง

ราษฎรถูกหลอกว่าลุงเป็นเทวดาแต่ยังทนลำบากเพื่อราษฎร ให้ราษฎรซาบซึ้ง ทั้งๆที่ลุงก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย นั่งเครื่องบินส่วนตัว นั่งรถยนต์ มีคนรับใช้ตลอดเวลาที่ลงพื้นที่ ขณะที่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ในท้องที่ต้องลำบากกว่าลุงสมชายหลายเท่า

ลุงสมชายไม่ได้อบรมลูกหลานของตนเองให้อยู่อย่างเจียมตน เพราะประชาชนเลี้ยงดูพวกเขา จะทำอะไรต้องประหยัด อย่าถือว่ามีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ถ้าจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็ไม่ควรปิดถนนสร้างความลำบากแก่ประชาชน ต้องสอนประชาชนให้เชื่อมั่น และศรัทธาในความเป็นชาติ มิใช่หวังพึ่งแต่เจ้า เพราะเจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน ต้องสร้างความคิดให้ประชาชนคิดพึ่งตนเอง ความสำคัญของเจ้าจะต้องลดลงไปเรื่อยๆ และต้องมีการล้มเลิกไปในที่สุด

ในเรื่องของความมั่งคั่งร่ำรวย รักสินต้องถูกตรวจสอบและจ้องหาเรื่อง จากองค์กรตรวจสอบสารพัดที่แต่งตั้งมาจากฝ่ายยึดอำนาจที่เป็นคนของลุงสมชาย แต่ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้เลยว่าทรัพย์สินของรักสินเพิ่มพูนมากขึ้นผิดปรกติอย่างไร เมื่อเทียบกับก่อนที่รักสินจะมารับตำแหน่งเพราะรักสินร่ำรวยมาก่อนแล้ว

ขณะที่ลุงสมชายอยู่ในอำนาจมากว่า 60 ปี ไม่เคยมีใครมาตรวจสอบ ทั้งๆที่เมื่อก่อนก็ไม่ได้มั่งคั่งร่ำรวยเพราะเป็นแค่เจ้าปลายแถว แต่ทำไมจึงได้มีทรัพย์สินถึงกลายเป็น 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ ไปทำมาหากินอะไรมา แค่กางแผนที่ สะพายกล้องถ่ายรูป ทำไมถึงได้รวยกว่าเจ้าทุกประเทศทั่วโลก ทั้งๆที่ไม่มีบ่อน้ำมัน หรือเหมืองเพชร เหมืองทองคำ


ในยุคที่มีนายกาสิดเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ที่มีหน้าที่ตามล่ารักสิน พยายามปิดล้อมรักสิน ยังประเทศต่างๆ แต่รักสินจึงยังสามารถไปไหนมาไหน ตั้งแต่ครั้งที่รักสินไปรัสเซีย ได้มีหนังสือจากกระทรวงต่างประเทศว่า ให้ช่วยส่งตัวรักสิน ในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนเพราะมีหมายจับของตำรวจสากลแล้ว

แต่พอทางการรัสเซียตรวจสอบ กลับพบว่า ทางตำรวจสากลไม่มีเรื่องหมายจับ ข้อหาผู้ร้ายข้ามแดนแต่อย่างใด หลายๆประเทศก็แปลกใจว่า กระทรวงต่างประเทศของไทยออกหนังสือในลักษณะดังกล่าวได้อย่างไร ต่อมาจึงไม่ค่อยมีประเทศใดให้ความสนใจอีกต่อไป


ลุงสมชายแจกสคส.
ให้รักใคร่สามัคคีมีไมตรีกัน


ลุงสมชายได้ทำสคส. 2554 มีสุนัขสองตัวสวมเสื้อหมอบอยู่ทั้งสองข้าง โดยขอให้ราษฎรให้ความรักความเมตตากัน มีน้ำใจไมตรีกัน ให้อภัยกัน สงเคราะห์กัน มุ่งดีมุ่งเจริญต่อกัน ด้วยความบริสุทธิ์และจริงใจ ร่วมมือร่วมความคิดอ่าน สร้างสรรค์ความสุข ความเจริญมั่นคงให้แก่ตนเองและบ้านเมือง โดยออกหน้าจอทีวีเวลาสองทุ่มในวันสิ้นปี หลังจากที่ลุงและป้าได้สั่งการปราบปราม สังหารเข่นฆ่าและจับกุมราษฎรที่ลุกขึ้นมาทวงอำนาจการปกครอง

ตอนนี้เวลาผ่านไปแค่ครึ่งปี ลุงสมชายก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ มาเรียกหาความสมัครสมานสามัคคี ทั้งๆที่ลุงสมชายก็มักอวดอ้างตนเองว่าเป็นผู้รอบรู้ทุกเรื่อง แต่ไม่เคยสนใจแก้ปัญหาที่แท้จริง ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน แต่คอยแอบบงการเครือข่ายของตนในหลายๆสาขาอาชีพ ให้บ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จนทำให้บ้านเมืองไม่มีหลักการ ไม่มีความยุติธรรมและไม่มีอนาคต ประชาชนขาดที่พึ่ง ขณะที่ลุงสมชายแกล้งทำตัวเป็นหัวหลักหัวตอไม่มีความรับผิดชอบ

ลุงสมชายเรียกร้องให้ราษฎรสามัคคี ทั้งๆที่เหตุการณ์มันได้เลยมาไกลมากแล้ว ขณะที่ฝ่ายของลุงต้องการรักษาอำนาจที่ตนมีไว้อย่างถึงที่สุด เมื่อประชาชนไทยได้ทำการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและให้คืนอำนาจแก่ราษฎรอย่างสันติ แต่สิ่งที่ได้รับจากลุงและบริวารก็คือ การเข่นฆ่าปราบปรามอย่างทารุณโหดร้าย แล้วตอนนี้ลุงก็มาขอให้ลืมเรื่องเลวร้ายทั้งหมดแล้วยอมให้พวกของลุงครอบงำประเทศไทยต่อไป

ก่อนหน้านี้ 16 พฤษภาคม 2553 อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ นักแสดงหนุ่มรุ่นใหญ่ได้รับรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมระหว่างที่ขึ้นรับรางวัล ได้กล่าวว่า“ถ้ามีใครสักคนโกรธใครมาก็ไม่รู้ ไม่ได้ดั่งใจเรื่องอะไรมาก็ไม่รู้ แล้วก็พาลมาลงที่พ่อ เกลียดพ่อ ด่าพ่อ คิดจะไล่พ่อออกจากบ้าน ผมจะเดินไปบอกไปบอกกับคนๆ นั้นว่า ถ้าเกลียดพ่อ ไม่รักพ่อแล้ว จงออกไปจากที่นี่ซะ เพราะที่นี่คือบ้านของพ่อ...ผมรักลุงสมชายครับ...และผมเชื่อว่าทุกคนที่อยู่ในที่นี้ รักลุงสมชายเหมือนกัน พวกเราสีเดียวกันครับ ศีรษะนี้มอบให้ลุงสมชาย"

ก่อนหน้านี้อ๊อฟ พงษ์พัฒน์ ขึ้นเวทีพันธมิตร เสื้อเหลืองขับไล่นายกรักษิณ โดยมีตั้ว ศรัณยู เพื่อนนักแสดงร่วมด้วย



ถ้าอ้างว่าแผ่นดินนี้ของพ่อ ก็ต้องไม่ลืมว่าคนที่กู้ชาติไทยมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็คือพระเจ้าตากสิน แต่ถูกพระยาจักรีทรยศหักหลังสร้างเรื่องโค่นล้มแย่งชิงราชสมบัติและคนที่สร้างชาติสร้างประเทศไทยมาโดยตลอด ก็คือราษฎรไทย แผ่นดินไทยจึงเป็นของราษฎรไทยทุกคนร่วมกัน
มิใช่เป็นของลูกหลานของผู้ที่ทรยศ หักหลังพระเจ้าตากสิน อย่างที่บางคนอวดอ้าง และคนที่วางตัวเป็นเทวดาที่มั่งคั่งร่ำรวยมหาศาล และก็มิใช่พ่อแม่ของราษฎร และไม่ใช่เจ้าของประเทศแต่เป็นแค่คนที่อาศัยเงินภาษีอากรของประชาชน และมีหน้าที่ที่ต้องสำนึกในบุญคุณของประชาชนที่เลี้ยงดูพวกเขาและครอบครัวให้ได้อยู่ดีกินดี แทนที่จะมาทวงบุญคุณเอากับราษฎร


วันที่ 27 กันยายน 2553 ลุงสมชายให้เปรมิกานำคณะที่ปรึกษาและภรรยา เข้าพบที่ห้องบัญชาการชั้น 14พร้อมทั้งออกข่าวสั่งสอน ให้คนที่มีมากกว่า ควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือแบ่งปันแก่ผู้ไม่มีอย่างพอเหมาะพอสมและตนเองไม่เดือดร้อน

ส่วนผู้ที่ไม่มี ก็ควรพยายามไม่ควรรอคอยแต่ความช่วยเหลือ หากช่วยเหลือกันดังนี้แล้วบ้านเมืองก็จะสงบสุข ทั้งๆที่ลุงสมชายเป็นคนชั้นสูงที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลก และพยายามโฆษณาว่าได้ช่วยเหลือคนยากคนจน ขณะที่คอยล้มลางรัฐบาลที่จะทำให้ประชาชนหลุดพ้นจากความยากไร้และด้อยพัฒนา

ต่อมาเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2553 พลเอกปรายึดผู้บัญชาการทหารบกก็ออกมาเตือนไม่ให้ล่วงละเมิดล่วงละเมิดลุงสมชายโดยอ้างว่า ถ้าไม่มีลุงสมชาย ประเทศไทยอาจจะอยู่ได้ แต่ไม่เหมือนเดิม อยากให้คนไทยช่วยกันรักษากฎหมายและปกป้องลุงสมชายโดยไม่นำมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของการเมืองและความขัดแย้ง
ทั้งๆที่ลุงสมชายเองนั่นแหละ ที่เข้ามาก่าวก่ายทางการเมืองและสนับสนุนให้ทหารก่อการกบฏยึดอำนาจของปวงชนมาตลอด แต่ท่านผบ.ทบ.ที่มักจะเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร กลับห้ามประชาชนพูดความจริงที่สำคัญที่สุดนี้ ทั้งยังขอให้ทุกคนช่วยกันขจัดบุคคลบางกลุ่มที่จาบจ้วงลุงสมชาย ให้หยุดล่วงละเมิดและหันมาเทิดทูนเพราะหากวันนี้ไม่มีลุงสมชายเราอาจอยู่ได้ แต่ไม่เหมือนในวันนี้

ซึ่งก็คงจะมีส่วนจริง เพราะถ้าไม่มีลุงสมชายที่คอยให้สนับสนุนและรับรองการรัฐประหาร ประเทศไทยก็น่าจะมีความเจริญมากกว่านี้ และประชาชนก็น่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกว่านี้ เพราะไม่มีทหารและพรรคการเมืองที่เป็นเครือข่ายของลุงสมชายคอยทุจริตล้างผลาญงบประมาณและความมั่งคั่งของประเทศอย่างที่เป็นมาตลอดการครองอำนาจอันแสนจะยาวนานของลุงสมชาย

การที่ผบ.ทบ. ต้องออกมาพูดปกป้องลุงสมชาย ก็เท่ากับ ยอมรับแล้วว่า คนไม่เอาลุงสมชายมีมากขึ้นเรื่อยๆ การที่ชอบอ้างว่าคนไทยโชคดี ที่มีลุงสมชาย ที่แท้ก็คือคนบางคนเท่านั้นที่โชคดี เพราะได้อาศัยบารมีของลุงสมชาย ให้ได้เป็นใหญ่เป็นโต มีอำนาจมีทรัพย์สมบัติมากมาย ลุงสมชายจึงมีบุญคุณ ต่อคนพวกนี้เท่านั้น แต่ลุงสมชาย ไม่ได้มีบุญคุณต่อประชาชนไทยทั่วไป แต่อย่างใด หากไม่มีลุงสมชาย พวกทหารขี้ฉ้อและนักการเมืองที่ไร้ฝีมือเหล่านี้จะมามีอำนาจลาภยศใหญ่โตได้อย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร

การพูดว่าถ้าไม่มีลุงสมชายแล้ว ประเทศจะตกต่ำลงเป็นการพูดด้านเดียว และเป็นการมองโลกในด้านลบ ทำไมไม่คิดว่าถ้าไม่มีลุงสมชายแล้ว ประเทศไทยอาจจะเจริญขึ้น เหมือนประเทศอื่นๆ รวมทั้งอารยประเทศที่มีกษัตริย์เป็นแค่สัญญลักษณ์ แล้วทำไมไม่รู้จักคิดพัฒนาประเทศโดยไม่ต้องอาศัยลุงสมชายเหมือนอย่างประเทศที่เจริญทั้งหลาย

หลังจากการสั่งสังหารหมู่ ที่แยกราชประสงค์ ทำให้ชาวเสื้อแดงได้เห็นความจริงที่เรียกว่าเกิดอาการตาสว่าง จึงมีการนัดชุมนุมกันเป็นประจำเดือนละสองสามครั้งโดยไม่มีแกนนำ และไม่มีการเรียกร้องหรือยื่นคำขาดใดๆอีกต่อไป โดยพุ่งเป้าไปที่ลุงสมชายและป้าสมจิตซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา ด้วยการตะโกนว่า ไอ้ตะกวดสั่งฆ่า นังอหิวาต์สั่งยิง

ต่อมาในวันอาทิตย์ที่ 9 มกราคม 2554 มีการชุมนุมมดแดงหลายหมื่นคน ทำให้รถเคลื่อนตัวไม่ได้ถึงหลายสี่แยก มีป้ายที่เขียนข้อความสื่อไปถึงลุงสมชายว่า กูม่ายรู้ กูป่วย


ทำให้นายเทพทุย โฆษกประจำตัวนายอภิเสก ออกมาโวยวายตั้งคำถามพวกเสื้อแดงว่า ต้องการบ่งบอกถึงใคร และเสียดสีใคร อยากให้แกนนำเสื้อแดงออกมาแสดงความรับผิดชอบอธิบายข้อความนี้ ซึ่งทุกคนก็รู้ว่าหมายถึงลุงสมชายนั่นแหละ แต่นายเทพทุยก็เสนอหน้าปกป้อง ทั้งๆที่ลุงสมชายไม่อยากให้เป็นประเด็น เพราะมีแต่เสียกับเสีย โดยใช้วิธีไม่เผยแพร่ข่าวของพวกเสื้อแดงตาสว่าง


แต่เนื่องจากพวกเสื้อแดงมาชุมนุมกันมาก จนทำให้เกิดปัญหาจราจรขนาดหนัก ฝ่ายของลุงสมชายจึงต้องหาทางระงับหรือยุติการชุมนุมของพวกเสื้อแดงตาสว่าง โดยการสั่งให้ผู้บริหารห้างใหญ่และโรงแรมดุสิตธานีเกณฑ์พนักงานแผนกละ 3 คนมาเป็นม็อบจำเป็น และให้สื่อโหมโฆษณา ประณามการชุมนุมของพวกเสื้อแดง ทั้งนี้กระทรวงไอซีทีได้ประกาศในเดือนมิถุนายนปี 2553 ว่า ได้บล็อกเว็บไซต์ไปแล้ว 43,908 แห่ง ในข้อหาหมิ่นลุงสมชาย และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ


60 กว่าปีที่ผ่านมา
ลุงสมชายสอบได้หรือสอบตก


ลุงสมชายปกครองประเทศมา เป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก ถึง 60 กว่าปี และยังคงผูกขาดอำนาจสูงสุดไว้ที่ตนเองแต่ผู้เดียวทั้งๆที่ อยู่ในวัยชรามาก และมีอาการป่วยเรื้อรังต้องนั่งรถเข็นอาศัยโรงหมอเป็นที่พำนักถาวร มาเป็นปีแล้ว
ลุงสมชายมีผลงานอะไรที่เป็นสาระแก่นสาร ที่นอกเหนือไปจากงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่ทำมาโดยสม่ำเสมออย่างยาวนาน



มีการอบรมสั่งสอนกันมาตลอดว่าที่ประเทศไทยไม่เจริญนั้นก็เพราะมีนักการเมืองโกงกินหรือขาดผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ แต่ในความเป็นจริงคงมิใช่มีแค่นักการเมืองเท่านั้นที่ทำให้ชาติไม่เจริญ เวลาที่ผ่านมาเราก็เคยมีนักการเมืองที่ดีและมีวิสัยทัศน์เหมือนกัน


บางคนก็อ้างว่าที่เราไม่เจริญ เพราะระบบการศึกษาของเราไม่ดี สอนให้เด็กเอาแต่ท่องจำ หรือการศึกษาไม่ทั่วถึงไป แต่ที่จริงแล้วระบบการศึกษาที่สอนให้เด็กท่องจำนั้น ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียว ที่เกาหลีกับจีนก็ใช้ระบบการเรียนแบบท่องจำยิ่งกว่าประเทศไทยอีก ดังนั้นที่บ้านเมืองเราไม่เจริญเพราะระบบการศึกษาจึงมิใช่เป็นสาเหตุหลักของความไม่เจริญของประเทศ

หรือการอ้างว่าเพราะการศึกษา ไปไม่ทั่วถึง ทำให้ประเทศยังไม่พัฒนา ก็คงไม่จริงเพราะ พระราชบัญญัติการศึกษาที่ออกมาตั้งแต่สมัยนายชวน บังคับให้เด็กต้องจบการศึกษาภาคบังคับ คือมัธยม 3 แม้ในชนบทห่างไกลเด็กส่วนใหญ่ก็จบมัยม 3 หรืออย่างต่ำก็ชั้นประถม 6 ซึ่งมีพื้นฐานพอที่จะอ่านออกเขียนได้รวมถึงปัจจุบันยังมีการศึกษานอกโรงเรียนที่ราคาไม่แพงนัก ทำให้เด็ก 90% ของทั้งประเทศต้องจบม.3

แม้ว่าประเทศจะพัฒนาได้ต้องมีทรัพยากรคนที่มีคุณภาพ แต่ตอนเริ่มต้นสร้างประเทศนั้นทรัพยากรคนจะไม่สำคัญเท่ากับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งประเทศไทยก็เริ่มมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์มานานแล้ว ตั้งแต่สมัย 2475 คือ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ผู้เสนอกฎหมายมรดก กฎหมายที่ดิน ก่อตั้งมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง ซึ่งถือว่าเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์มากและเป็นนายกรัฐมนตรีอีกด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องโดนยึดอำนาจ

ต่อมาอีกนานก็มีนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้เปิดประเทศไทยคือ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ แต่ก็โดนรัฐประหาร เมื่อไม่กี่ปีมานี้ ประเทศไทยก็มีนายกรักสิน ที่มีวิสัยทัศน์โดดเด่นแต่ก็ถูกทหารของลุงสมชายยึดอำนาจอีกเหมือนเดิม กลายเป็นเรื่องอาถรรพ์ของประเทศไทย ที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์สามารถพัฒนาประเทศได้ จะต้องมีอันเป็นไปทุกราย ต้องถูกทหารยึดอำนาจทุกครั้งไป

60 ปีที่ลุงสมชายที่ครองอำนาจ ได้นานที่สุดนั้น ลุงสมชายได้สร้างคุณค่า ที่มีประสิทธิ ภาพต่อ สังคมไทย จริงๆ หรือไม่ สิ่งที่ราษฎรมักเห็นในทีวีคือ การที่ลุงสมชายเดินทางไปตรวจพื้นที่ทุรกันดาร บริจาคสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ รวมทั้งโครงการสร้างเขื่อน และสหกรณ์ต่างๆ แต่ลุงได้สร้างประโยชน์จริงๆ แก่ราษฎร และประเทศชาติมากน้อยเพียงใด

ถ้าหากลุงสมชายต้องลงมาสมัครรับเลือกตั้ง จะมีราษฎรเลือกติดต่อกัน มานานถึงหกสิบกว่าปีหรือไม่ ลุงสมชายจะชนะการเลือกตั้งทุกสมัย และสามารถอยู่ครบวาระมาโดยตลอดหรือไม่ รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ผู้มีอำนาจบริหารมากที่สุดคือนายกรัฐมนตรี
แต่ในความเป็นจริง นายกรัฐมนตรีของประเทศไทย มักจะโดนลุงสมชายขัดขวางการทำงานมาตลอด เพราะสามารถสั่งและสั่งสอนนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ศาลทุกศาล เพราะลุงสมชายเป็นคนเซ็นแต่งตั้ง และทุกคนที่ดำรงตำแหน่งสำคัญต้องสาบานตัวต่อลุงสมชาย เมื่อใดที่ลุงสมชายสั่งโครงการอะไรก็ตาม จะมีการรีบสนองเร่งทำให้ทันทีทุกครั้งไป ลุงสมชายจึงเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในการบริหารประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงมาโดยตลอด ในเมื่อลุงสมชายคุมอำนาจการบริหารประเทศไว้แล้ว ลุงได้ใช้อำนาจให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าคุ้มประโยชน์หรือไม่


ปี 2508 สิงค์โปร์ถูกนายกรัฐมนตรีตนกูอับดุลราห์มัน (Tunku Abdul Rahman) ของมาเลเซียปฎิเสธมิให้เข้าร่วมกับสหพันธรัฐมาเลเซีย โดยอ้างความแตกต่างทางเชื้อชาติและศาสนา


นายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ในขณะนั้น คือนายลีกวนยู (Lee Kuan Yew) ถึงกับประกาศเอกราช ในวันที่ 9 สิงหาปีเดียวกันทั้งน้ำตา เพราะสิงคโปร์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอะไรเลย เป็นเพียงแค่ศูนย์กลางท่าเรือและฐานทัพของอังกฤษเท่านั้น สิงค์โปร์เริ่มต้นสร้างประเทศด้วยการขอความช่วยเหลือจากอิสราเอลทั้งทางด้านการเงินและการทหาร ยกเลิกภาษีอากรทุกชนิด ห้ามคนเล่นการพนันและเปิดการลงทุนแบบปลอดภาษี

ต่อมาอีก 16 ปีต่อมา ในปี 2524 สิงค์โปร์ได้เปิดสนามบินชางฮี (Changi) ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียและทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ด้วยวิสัยทัศน์ของนายกรัฐมนตรีลีกวนยู ผู้บริหารสิงคโปร์ ติดต่อกันเป็นเวลา 25 ปี ที่ต้องการให้สิงค์โปร์เป็นศูนย์กลาง ทางการคมนาคมและธุรกิจในภูมิภาคนี้ และมีความเจริญก้าวหน้าไปมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ในช่วงปี 2530 ชีคหรือกษัตริย์ของดูไบ (Dubai) เล็งเห็นว่าน้ำมันในดูไบคงเหลือไม่มากดังนั้นจะต้องพัฒนาประเทศไปในทางอื่น และก็ได้ทุ่มเทสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ที่ช่วยพัฒนาประเทศตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยที่กษัตริย์ของดูไบหรืออาหรับเอมิเรทส์ ประกาศตัวโดยเปิดเผยว่าเป็นผู้มีอำนาจในการบริหาร และเปิดเผยความร่ำรวยมั่งคั่งตามฐานะ เพราะได้พัฒนาประเทศอย่างจริงจัง รัฐบาลของกษัตริย์รับผิดชอบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ด้วยระบบรัฐสวัสดิการเต็มที่ ทั้งเรื่องที่อยู่อาศัย การเรียน การรักษาพยาบาล และหลักประกันสารพัด

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทย คงเห็นชัดว่า ตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีที่ผ่านมาลุงสมชายไม่ได้สร้างประโยชน์ที่เป็นสาระแต่อย่างใด โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ ( Suvarnabhumi Airport ) ใช้เวลาถึง 35 ปี แต่รัฐบาลรักสินใช้เวลาในการสร้างจริงแค่ 4 ปีเพื่อให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบิน แต่ตลอดระยะเวลาก่อนหน้านั้น 31 ปี ลุงสมชายซึ่งมีอำนาจครบครัน ทำไมไม่รีบสร้างสนามบินให้เสร็จ ตั้งแต่ 20 ปีก่อนหน้าแล้ว

ตลอดเวลาที่ลุงสมชายครองอำนาจมากว่า 60 ปี ลุงสมชายได้วางแผนการสร้างประเทศ ให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศอย่างไรบ้าง ลุงสมชายรู้สึกอย่างไร ในการเป็นเจ้าพ่อของประเทศ แต่ต้องเห็นประเทศอื่นที่เคยด้อยกว่า ได้เจริญล้ำหน้าไปก่อน เช่น




ญี่ปุ่นหลังสงครามโลกที่ต้องแบ่งปันข้าวสารที่ได้รับบริจาคจากสหรัฐ และยังต้องบินมาดูงานการบริหารที่ประเทศไทยเมื่อปี 2488

เกาหลีหลังเกิดสงครามเกาหลีช่วงปี 2493 -2496 โดยจีนและสหภาพโซเวียต สนับสนุนเกาหลีเหนือ ส่วนสหประชาชาติสนับสนุนเกาหลีใต้ และแบ่งเกาหลีออกเป็นสองประเทศ โดยใช้เส้นขนานที่ 38 องศาเหนือ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2496


สิงคโปร์ สมัยก่อนปี 2496 เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ปลายสุดแหลมมลายู เป็นสถานพักสินค้าของพ่อค้าทั่วโลก เดิมชื่อว่า เทมาเส็ก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น สิงหปุระ หรือสิงคโปร์ มีความยาวจากตะวันตกไปตะวันออก 42 กิโลเมตร และความกว้างจากเหนือไปใต้ 23 กิโลเมตร แยกออกจากมาเลย์เซีย เมื่อปี 2508 จากนั้นมีนายลีกวนยูเป็นนายกอีก 25 ปี และมีพรรคกิจประชา ( People’s Action Party ) คุมอำนาจบริหารประเทศมาตลอด ด้วยจำนวนส.ส.ถึง 82 คนจากทั้งหมด 84 คน ในปี 2549 มีพลเมือง 5.08 ล้านคน(2553)



มาเลเซียก่อนสมัยมหาเธร์ (Mahathir bin Mohamed) ที่เป็นนายกรัฐมนตรี 22 ปี ระหว่าง 2524-2546 หลังรับเอกราชจากอังกฤษ ปี 2500 ใช้ชื่อสหพันธรัฐมลายู





ต่อมาเปลี่ยนเป็นมาเลเซียเมื่อ 2506 โดยรวมเอาสิงค์โปร์ ซาบาห์ ซาราวัก และบรูไนเข้าด้วยกัน ต่อมาสองปี สิงคโปร์แยกตัวออก ประกอบด้วย 13 รัฐ แบบรัฐสภา ประมุขแห่งรัฐมีตำแหน่ง เป็นพระราชาธิบดี เคยเกิดสงครามกลางเมืองเนื่องจากการกีดกันทางเชื้อชาติ ประกอบด้วยชาวมลายู จีน และอินเดีย ประชากรราว 22 ล้านคน

จีนสมัยเหมาเจ๋อตุง (Mao Zhedong) ที่นำการปลดแอกจีนเมื่อ 1 ตุลาคม 2492 ปกครอง 22 มณฑล มีพลเมืองมากทีสุดในโลกปัจจุบันกว่า 1,300 ล้านคน


ต่อมาที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรม ที่โหดร้าย และดุเดือดรุนแรง ปิดกั้นความคิดเสรีนิยมทุกชนิด ในช่วง 2509 - 2519 ในโดยแก๊งค์สี่คน ที่สร้างความยุ่งยากวุ่นวาย และเกิดการถดถอยทางเศรษฐกิจ



หลังจากนั้นก็มีเติ้งเสี่ยวผิง (Deng Xiaoping)ขึ้นเป็นผู้นำ ที่สามารถพัฒนาเศรษฐกิจของจีนได้รวดเร็วที่สุดในโลก ติดต่อกันเป็นเวลาหลายปี




ไต้หวัน หลังจากเจียงไคเช็ค (Chiang Kai-shek) พาทัพมาอยู่ที่เกาะฟอร์โมซา ตั้งรัฐบาลจีนคณะชาติในปี 2492 หลังจากที่พรรคคอมมิวนิสต์จีนเข้ายึดครองประเทศจีน







ต่อมาไต้หวันถูกถอดออกจากสมาชิกสหประชาชาติ ในปี 2514


แม้แต่เวียดนาม หลังสงครามเวียดนาม เมื่อกองทัพประชาชนเวียตนาม เข้ายึดกรุงไซ่ง่อน ได้สำเร็จ เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2518


และกัมพูชา หลังจากทหารเวียตนามกว่าหนึงแสนคน เข้าขับไล่พวกเขมรแดงสำเร็จ เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2522แต่ละประเทศที่เคยล้าหลังประเทศไทย ต่างพากันพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไป
ขณะที่ประเทศไทยยังไปไม่ถึงไหน นอกจากการโฆษณาอันมากมาย แต่สิ่งที่ประชาชนไทยได้เห็นน้อยนิด คือคุณค่าและสาระประโยชน์ที่แท้จริง ที่ประเทศชาติและประชาชนได้รับ

ลุงสมชายเคยบอกราษฎรว่า ต้องสอนให้คนหาปลา ดีกว่าเอาปลาให้เปล่าๆ แต่ที่เห็นมาตลอด ก็คือ ลุงสมชายพยายามทำให้คนไทย ต้องพึ่งพาลุงมากขึ้นทุกที

สิ่งที่ประชาชนถามหา ไม่ได้ถามว่าลุงสมชายเหนื่อยแค่ไหน เพราะทีวีโฆษณาตลอดมาว่าลุงสมชายเหนื่อยจนเหงื่อตกที่ปลายจมูก แต่สิ่งที่ประชาชนถามหา คือ ถ้าลุงสมชายเหนื่อยแล้ว ผลงานของลุงมีแค่ไหน ในเมื่อโฆษณาว่าลุงเหนื่อยมา 60 ปี แต่ทำไมจึงมีผลงานน้อยนิด เทียบไม่ได้กับจีน เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงค์โปร์ที่แซงหน้าประเทศไทยไปหมดแล้ว


ประเทศจะเจริญ รัฐบาลต้องเข้มแข็ง แต่ในยุคสมัยของลุงสมชาย ตลอดเวลา 60 กว่าปี มีการฉีกรัฐธรรมนูญ 18 ครั้ง มีการยึดอำนาจร่วม 20 ครั้ง แล้วประเทศจะเจริญได้อย่างไร ถ้าหากลุงสมชายไม่ได้มีอำนาจจริงๆ เวลาที่ทหารยึดอำนาจ ก็อย่าไปรับรอง อย่าไปเซ็นชื่อให้พวกกบฏแผ่นดินก็สิ้นเรื่อง ถ้าเซ็น ก็แปลว่าเห็นด้วย และร่วมเป็นกบฏด้วย



60 ปีในฐานะผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด ลุงมีสารพัดโครงการ มากกว่าสามพันโครงการ แต่แทบไม่ได้มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือกระจายรายได้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง เกิดการสร้างงานที่น้อยมาก และแทบจะไม่เคยนำเสนอโครงการที่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเลย


60 ปีที่ผ่านมา แค่ทำนมอัดเม็ด ปลูกผักปลอดสารพิษ สาธิตเศรษฐกิจพอเพียง การใช้เวลา 60 ปีที่ผ่านมา ในการบริหารประเทศของลุง ต้องถือว่าได้ผลน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำคนอื่นของโลก ถือว่าไม่คุ้มค่า โฆษณาว่าดีแต่ไม่มีราคา

ที่ผ่านมาประเทศไทยมีนายกมา 25 คนมันน่าจะมีอย่างน้อยหนึ่งคน ที่มีวิสัยทัศน์และบริหารประเทศได้ดี และควรจะเจริญมานานแล้วด้วยปัจจัยต่างๆไม่ว่าคน ทำเลภูมิศาสตร่ ที่เอื้ออำนวย คนไทยมีทักษะไม่น้อยกว่าคนชาติอื่น

ประเทศไทยมีทำเลที่ดีกว่าก็เพียงพอที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญได้แล้ว มาเลเซียที่มีทำเลแย่กว่า คนก็แย่กว่า มีมหาเธร์แค่คนเดียว ประเทศยังเจริญกว่าไทย แต่ทำไมไทยจึงย้ำอยู่กับที่ ทั้งๆที่ควรจะเดินไปข้างหน้านานแล้ว



ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไต้หวัน เขาเจริญไปถึงไหนแล้ว เขามีรถไฟฟ้าทั่วประเทศ สวัสดิการสังคมก็ดีกว่าไทยหลายเท่า ประชาชนก็อยู่ดีกินดี แต่ประเทศไทยที่มีทรัพยากรดีกว่า มีสถานที่ท่องเที่ยวก็ติดอันดับโลก แต่ทำไมประชาชนไทยยังจนและลำบาก อยู่เหมือนเดิม




ตลอดเวลากว่าหกสิบปีที่ลุงสมชายคุมประเทศไทย ผลที่ได้รับก็คือ ลุงสมชายร่ำรวย กว่าราชวงศ์ทุกราชวงศ์ในโลก ด้วยทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ไม่ต่ำกว่า 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือร่วม หนึ่งล้านล้านบาท มากกว่าอันดับสอง คือสุลต่านบรูไนเจ้าของบ่อน้ำมันที่มีทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ



ขณะที่ประชาชนไทย มีรายได้เฉลี่ย ปีละ 8,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ราว 280,000 บาทต่อปี เป็นอันดับที่ 95 จาก 194 ประเทศทั่วโลก โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ 70% อยู่ในเขตชนบทยากจน ขณะที่มีคนเพียง 2% ที่ควบคุมเศรษฐกิจไว้ถึง 80%

...........

ถ้าลุงสมชายไม่รับรองการยึดอำนาจ

ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ถือว่ากองทัพเป็นกลไกของรัฐ ต้องขึ้นต่อรัฐบาล ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน และมีหน้าที่ต่อประชาชน การใช้งบประมาณ หรือก่อตั้งองค์กรในกองทัพ ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนโดยผ่านรัฐสภา ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่มีการก่อการรัฐประหารอยู่เนืองๆ แต่สำหรับประเทศไทยมีการก่อรัฐประหารหรือก่อการกบฏถึง 16 ครั้ง นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารหัวหน้าคณะรัฐประหาร จะได้รับการแต่งตั้งจากลุงสมชาย ให้เป็นหัวหน้าคณะ เป็นการเกื้อกูลกัน ระหว่างกองทัพกับลุงสมชายมาตั้งแต่การยึดอำนาจ เมื่อปี 2490 คณะใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากลุงสมชาย คณะนั้นก็จะเป็นกบฏ แม้แต่แถลงการณ์ของคณะยึดอำนาจที่มีลุงสมชายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ตัวจริง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยจึงกลายเป็นกองทัพส่วนตัวของลุงสมชาย ที่ทำหน้าที่ปกป้องลุงสมชายเป็นหน้าที่หลัก เพื่อตำแหน่งหน้าที่และผลประโยชน์ของตนเอง

การยึดอำนาจหรือทำรัฐประหารในประเทศไทย จึงมักมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่มีการวางแผนมีการสั่งการและมีการขออนุมัติมาก่อนแล้ว หลักสูตรของทหารไทยจึงเน้นที่ การต้องฟังคำสั่งและคำปฏิญญาณ ที่ยึดเอาลุงสมชายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสูงสุด โดยไม่ส่งเสริมจิตสำนึกรับใช้ประชาชนผู้จ่ายเงินภาษีเลี้ยงดูพวกเขา

เห็นได้ชัดจากการที่ลุงสมชายให้พวกยึดอำนาจเข้าพบทุกครั้ง ยอมรับให้พวกยึดอำนาจแอบอ้าง แสดงความชื่นชมรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ และลงชื่อรับรองกฎหมายของคณะยึดอำนาจ ลุงสมชายไม่เคยปฏิเสธคณะยึดอำนาจ แม้แต่ครั้งเดียว ถือได้ว่าลุงสมชาย เป็นคนที่ชื่นชมชื่นชอบระบอบเผด็จการ มาโดยตลอด เป็นต้นตอและเสาหลักของพวกทหารที่หาเรื่องยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

การยึดอำนาจถือเป็นความผิดเข้าข่ายเป็นกบฏ มีโทษถึงประหารชีวิต แต่ลุงสมชายอยู่เหนือกฎหมาย และเหนือกว่าราษฎรทั้งประเทศ เพราะทุกคนต้องเคารพ ห้ามวิจารณ์ ห้ามฟ้องร้อง แค่ไม่แสดงความเคารพก็มีโทษหนักแล้ว จึงทำให้บรรดาพวกที่ใช้อาวุธยึดอำนาจ กลายเป็นคนอยู่เหนือกฎหมายและเหนือความถูกต้อง
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ทหารกล้ายึดอำนาจเพราะลุงสมชายเป็นคนรับประกัน และมีตัวอย่างให้เห็นกัน มาโดยตลอดว่า ทหารที่ยึดอำนาจ จะได้รับลาภยศผลประโยชน์อย่างมหาศาล โดยไม่มีการตรวจสอบและไม่มีความผิดแม้แต่น้อย แถมยังได้ชื่อว่าเป็นผู้รักชาติ กอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากความหายนะ และยังอ้างการปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของลุงสมชาย

แต่ทุกครั้งที่เกิดการยึดอำนาจ ประเทศก็จะตกต่ำลงทุกครั้ง ไม่เคยดีขึ้นเลย ทำให้ประเทศชาติเกิดปัญหาตามมา จากความไม่แน่นอนทางการเมืองและถูกพวกเหลือบเข้ารุมแทะกิน และทิ้งซากไว้ให้คนอื่นมาตามเก็บตามแก้ปัญหา เป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ มาหลายครั้งหลายหน

เพราะอำนาจสูงสุด อยู่ที่ลุงสมชายคนเดียวเท่านั้น ประชาชน 65 ล้านคนก็ยังมีอำนาจน้อยกว่าลุงสมชายคนเดียว ลุงจะใช้ให้ทหารองครักษ์ของลุง มาปล้นอำนาจของราษฎรเมื่อใดก็ได้ แถมยังอ้างว่าเป็นการปล้นอำนาจเพื่อชาติ

พวกทหารที่ยึดอำนาจ ก็ปกป้องลุงและครอบครัวเป็นการตอบแทน
กลายเป็นทหารส่วนตัวของลุง แต่กินเงินเดือนจากภาษีของราษฎร คนที่ลำบากคือราษฎร ประเทศอื่นมีผู้นำสูงสุดที่รักประชาชนอย่างแท้จริง และเขาไม่ยอมรับรองการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อผู้นำสูงสุดของเขาไม่ยอมรับการยึดอำนาจแล้ว ทหารก็ย่อมไม่กล้ายึดอำนาจ เพราะถือว่าเป็นการกบฏ

ทหารจะต้องปกป้องรัฐบาลของประชาชน แต่ลุงสมชาย กลับทำในทางตรงกันข้าม คือ มักจะบังคับให้ทหารยึดอำนาจ โดยมีการวางแผนสร้างสถานการณ์เพื่อนำมาอ้าง และลุงก็จะถือโอกาสแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจ และผลประโยชน์ให้กับลุงทุกครั้ง

เครือข่ายของลุงสมชาย อ้างว่าที่ประเทศไทยไม่พัฒนา เป็นเพราะนักการเมืองทุจริตคอรัปชั่น ไม่เกียวกับลุงสมชายเลย ต้องไปพัฒนาสถาบันนักการเมือง ให้เลิกโกง ให้ประชาชนไม่ขายเสียง


ทั้งๆที่ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีวิธีให้ประชาชนจัดการกับนักเมืองทุจริตอยู่แล้ว ประชาธิปไตยในทุกประเทศก็เหมือนต้นไม้ ต้องมีการเจริญเติบโต ประชาชนต้องเรียนรู้แก้ไข พัฒนากันไป


ญี่ปุ่นก็มิใช่มีนักการเมืองที่ดีกว่าไทย โดยที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยสนใจการเมือง จากการสำรวจเมื่อปี 2552 พบว่ามีผู้ลงคะแนนเสียงถึง 91% ที่ไม่พอใจการเมืองของญี่ปุ่น




และเมื่อปี 2545 พบว่าประชาชนญี่ปุ่น 82% ไม่เชื่อถือนักการเมือง โดยเชื่อว่านักการเมืองญี่ปุ่นเป็นแค่พวกผู้ปฏิบัติงานหลังบ้าน ที่มีความรับผิดชอบต่ำและไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำแต่อย่างใด ขณะที่ประชาชนเชื่อหมอดู 20% แต่เชื่อนักการเมืองเพียง 15%



เกาหลีใต้ เมื่อก่อนนักการเมืองก็โกงกินไม่ต่างจากประเทศไทย ปี 2539 อดีตประธานาธิบดีชุนดูวาน (Chun Doo-hwan คนกลาง) และโรแตวู (Roh Tae-woo คนซ้าย) ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตและจำคุก 17 ปี แต่ได้รับอภัยโทษ จากประธานาธิยดีคิมยองซัม





ต่อมา 3 สิงหาคม 2551 ประธานาธิบดีลีเมียงบัค (Lee Myung-Bak) ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริต ในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี





แต่ทหารของเขารู้หน้าที่ตนเอง ไม่ล้ำเส้น ไม่ทำรัฐประหาร ให้แก้ไขกันตามระบอบประชาธิปไตย


จักรพรรดิญี่ปุ่นอาคิฮิโต้ (Akihito) ทรงปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่แทรกแซงการเมือง ไม่เคยส่งสัญญาณให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร


กษัตริย์เสปน ฆวน คาร์ลอส (King Don Juan Carlos)ซึ่งทรงเป็นจอมทัพได้ปฏิเสธไม่เซ็นรับรองการรัฐประหารของทหารและทำให้การรัฐประหารล้มเหลว และผู้ก่อการต้องถูกลงโทษมาแล้ว บางประเทศให้กษัตริย์เป็นจอมทัพ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ และต่อต้านการรัฐประหาร


แต่ลุงสมชายกลับใช้ตำแหน่งจอมทัพ สั่งให้ทหารของตนยึดอำนาจของประชาชน เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยต้องหยุดชะงัก เป็นการกระทำที่เลวร้าย ยิ่งกว่านักการเมืองทุจริตหลายเท่า เพราะคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจการปกครองของประชาชน ไม่สามารถตรวจสอบ หรือวิพากษ์วิจารณ์ได้




แม้จะมีกฎหมาย ว่าลุงสมชายไม่ควรยุ่งการเมือง แต่ความจริงก็คือ ลุงเข้ามาคุมการเมืองโดยตลอด และเป็นผู้ที่มีอำนาจแท้จริง เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด รวมทั้งสั่งการให้ทหารยึดอำนาจ เป็นคนแต่งตั้งรัฐบาลที่มาจากการใช้อาวุธ รวมทั้งเป็นต้นตอของปัญหาความไม่เป็นธรรม



ในเมื่อลุงสมชายมีอำนาจมาก แต่ไม่สามารถพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญทัดเทียมประเทศอื่นที่เคยล้าหลังประเทศไทยมาก่อน แสดงว่าลุงสมชายไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีความสามารถอย่างที่พยายามโฆษณา ก็สมควรให้คนอื่นแสดงฝีมือ ไม่ควรขัดขวางอย่างที่ได้ทำมาโดยตลอด เพราะมันทำให้ประชาชนต้องเสียโอกาส

แทนที่จะทำเป็นสาปแช่งคนที่ทุจริตอย่างที่เคยให้ดร.สุเม่น เลขามูลนิธิกังหันพัฒนาออกมาโฆษณาว่าลุงสมชายเคยแช่งคนที่ทุจริตถึงสามครั้ง ว่า"ใครทุจริตแม้นิดเดียวขอให้มีอันเป็นไป " ทั้งๆที่ในพรรคประชาธิปัตย์ของลุงสมชาย และพรรคภูมิใจไทยที่มาร่วมกันตั้งรัฐบาล ก็มีแต่พวกที่เข้ามาทำมาหากินมีการทุจริตโกงกินจนเป็นที่รู้ๆเห็นๆกันอยู่

หรือการที่ สั่งสอนโจมตีระบบทุนนิยม ว่าเป็นต้นเหตุทำให้คนเกิดกิเลสตัณหา เกิดความอยากตลอดเวลา อ้างว่าลุงสมชายเป็นผู้ปกครองที่มีศีลธรรมที่ไม่มีกิเสสตันหา แต่ลุงสมชายก็ร่ำรวยมั่งคั่ง มีทรัพย์สินกว่า 35 พันล้านเหรียญสหรัฐมากกว่านายกรักสินเป็นสิบๆเท่า ขณะที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ก็ยังยากจน แถมยังใช้เงินจากภาษีของประชาชนมากที่สุดกว่ากษัตริย์ทุกประเทศที่มีความเจริญมากกว่าไทย

แล้วลุงสมชายยังจะใช้วิธีการแช่ง ทำเป็นแสดงความอาฆาต สะท้อนความคิดงมงาย ตื้นเขิน ไม่มีวิสัยทัศน์ เพียงแค่ต้องการการประชดกล่าวหาโจมตีผู้อื่นโดยไม่มองตนเอง และการโฆษณารณรงค์ โตไปไม่โกง สร้างภาพชวนเด็กไทยต้านคอร์รัปชั่น รวมทั้งการบรรจุหลักสูตรการศึกษา ว่าเด็กต้องเรียนวิชา T110 เกี่ยวกับลุงสมชาย คุณงามความดีของลุงสมชาย โดยนำร่องที่จุฬา และธรรมศาสตร์เป็นวิชาพื้นฐานโดยบังคับให้เรียนทุกคณะ

ลุงสมชายอยู่ในชนชั้นที่ได้เปรียบในสังคมอยู่แล้ว แต่ยังพยายามที่จะเอาเปรียบมากขึ้นไปอีก หรือพยายามที่จะรักษาสถานะที่ได้เปรียบเอาไว้ แล้วยังมีหน้ามาอบรมสั่งสอนคนอื่นให้ประหยัดอดออม



พอประเทศไทย ได้มีนายกที่ทำให้ประชาชน ได้มีความหวัง ลุงสมชายก็ทำเป็น ไม่ชอบไม่พอใจ ให้ท้ายพวกเสื้อเหลือง มาประท้วงขับไล่และลงท้ายให้ทหารมายึดอำนาจอีก นี่หรือที่เคยประกาศว่าจะปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย

ลูกน้องที่ลุงสมชายรักมาก เช่น จอมพลสฤษดิ์ที่มีเมียน้อยเต็มบ้านเต็มเมือง มีมรดกเป็นพันล้าน รวมทั้งจอมพลถนอม - ประภาส ที่ร่ำรวยจนรุ่นเหลนยังใช้ไม่หมด คนพวกนี้ก็ล้วนได้ดิบได้ดีกันทุกคน
พรรคประชาธิปัตย์ ของลุงสมชาย ก็มีหลักฐานการทุจริตชัดเจนมากที่สุด แต่ก็ไม่มีใครเอาผิดได้ แถมยังได้ดิบได้ดี ขัดสายตาประชาชนทั้งประเทศ นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์หลายคน ไม่เคยทำธุรกิจ หรือทำมาหากินอะไร เป็นแค่ข้าราชการ หรือเป็นนักการเมืองอาชีพ แต่กลับร่ำรวยมหาศาล

คนรับใช้ใกล้ชิดลุงก็มีให้เห็น เช่น พลเอกสุรายึด ที่มีบ้านตากอากาศอยู่บนเขายายเที่ยง มีบ้านพักในสนามกอล์ฟ เมียเป็นแค่นายพันแต่มีทรัพย์สินเกือบร้อยล้านบาท


ส่วนเปรมิกาหัวหน้าคนรับใช้ของลุงก็รับงานเป็นที่ปรึกษาหลายแห่ง อยู่บ้านหลวงฟรี ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องมาขอคำปรึกษา เพราะเปรมิกาเป็นตัวแทนของลุงสมชาย ที่ถือกันว่าเป็นเจ้าพ่อของประเทศ





แม้แต่ป้าสมจิตเมียของลุงสมชายเองก็ยังแอบอมเพชรสีน้ำเงินของราชวงศ์ซาอุ ทำให้ประเทศชาติและประชาชนไทยต้องสียหายมากมาย


การกระทำของลุงสมชาย ที่ยินยอมให้คณะทหารอ้างชื่อของตน เพื่อทำการกบฏล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่ การที่ลุงสมชายนิ่งเฉย ไม่ได้ว่ากล่าวหรือทัดทานคัดค้านการยึดอำนาจแต่อย่างใด ทั้งๆที่ทำได้ ขณะที่ลุงสมชาย กลับมาวิจารณ์หรือตำหนิรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งของราษฎรอยู่บ่อยๆ การกระทำอย่างนี้ถือว่า จงใจงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่

ในกรณีบุคคลมีตำแหน่งเป็นถึงจอมทัพ มีอำนาจสูงสุดแต่ไม่ต่อสู้ เพื่อระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของราษฎรเลย ย่อมถือได้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อันพึีงกระทำใช่หรือไม่
ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะให้ลุงสมชายเพียงคนเดียวไปสู้กับทหารที่มีอาวุธครบมือ ขอแต่เพียงการที่ลุงสมชายต้องแสดงท่าทีคัดค้านการปล้นอำนาจที่เป็นของราษฎรซึ่งเป็นผู้จ่ายภาษีเลี้ยงดูลุงสมชาย


แค่คำพูดง่ายๆเช่นว่า"ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนกับการยึดอำนาจของเผด็จการทหาร ข้าพเจ้าอยากให้บ้านเมืองได้ปกครองกันโดยระบอบประชาธิปไตย"


มันคงไม่เป็นการยากเลย ถ้าลุงสมชายจะต้องตอบแทนบุญคุณเงินภาษีของราษฎร เพียงแค่การแสดงจุดยืนง่ายๆ เพียงเท่านี้ เพียงเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม อย่างนี้เป็นเรื่องยากเกินความสามารถของลุงสมชายหรือ ทำไมกษัตริย์สเปนจึงทำได้ ทั้งๆที่กษัตริย์สเปนไม่เคยอวดอ้างงว่าตนเป็นมหาราช หรือราชาแห่งราชันย์แต่อย่างใด

ไม่เคยมีกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยคนใด ที่เห็นด้วยกับการปล้นอำนาจ ที่เป็นของประชาชน กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยย่อมต้องสำนึกตนเสมอว่าการกระทำใดที่ควรและไม่ควร ต้องสำนึกว่าประชาชนเลี้ยงดูตนมา กษัตริย์เป็นนักรบภายใต้ระบอบประชาธิปไตย คิอต้องไปรบกับศัตรูของประชาชน ซึ่งก็คือคนที่มาปล้นอำนาจของประชาชนนั่นเอง

กษัตริย์สเปนทรงทำง่ายๆ เพียงแค่ถ่ายทอดพระราชดำรัสออกไปว่า พระองค์ไม่เอาเผด็จการ และทรงสนับสนุนการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เท่านั้นเอง เมื่อทหารกบฏไทยเข้ายึดอำนาจการปกครองที่กรุงเทพ ในคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 ก็ต้องถือเป็นโอกาสที่ลุงสมชาย จะได้แสดงจุดยืนและความกล้าหาญ ในการรักษารัฐธรรมนูญและอำนาจสูงสุดของปวงชน มิใช่เรียกพวกกบฏเข้าไปพบ เพื่อแสดงการรับรองและสนับสนุนอย่างออกนอกหน้า เท่ากับร่วมก่อการกบฎทรยศชาติร่วมกัน

........

ความสมถะของราชวงศ์ญี่ปุ่น

ราชวงศ์ญี่ปุ่น หรือ อิมพีเรียล ที่คนไทยเรียกว่า ราชวงศ์เบญจมาศ มีการสืบทอดมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่พ.ศ. 1203

ตามตำนาน เป็นราชวงศ์ที่ปกครองประเทศนานที่สุดในโลก มากกว่า 1,350 ปี และมีการสืบสันตติวงศ์มากที่สุดในโลก รวมได้ถึง 125 รัชกาลติดต่อกันแล้ว จากต้นราชวงศ์คือ จักรพรรดิจินมู (Jinmu) ซึ่งเป็นจักรพรรดิ องค์แรกของญี่ปุ่น





ราชวงศ์ญี่ปุ่นเป็นราชวงศ์เดียวในโลกที่แม้จะพ่ายแพ้ในสงคราม แต่ก็มิได้ถูกล้มล้าง ญี่ปุ่นเรียกจักรพรรดิว่าเทนโน หมายถึงเทพเจ้าที่มาจากสวรรค์ ราชวงศ์ญี่ปุ่นเคยได้รับการเคารพในฐานะอวตารเทพ






จนกระทั่งปี 2489 สมเด็จพระจักรพรรดิโชวะเทนโน (Showa Tenno) หรือฮิโรฮิโตเดิม ได้ออกแถลงการณ์ว่าพระองค์เป็นแค่คนธรรมดา และได้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญแห่งประเทศญี่ปุ่น ที่ลดฐานะของพระจักรพรรดิให้เป็นแค่สัญญลักษณ์


ราชวงศ์ของญี่ปุ่น เป็นตัวอย่างของผู้สมถะมัธยัสถ์ ที่แท้จริง เหมือนคนญี่ปุ่นทั่วๆไป พระราชวงศ์จะเดินทางออกนอกประเทศก็เพื่อประกอบกรณียกิจเท่านั้น ไม่มีการเดินทางไปต่างประเทศเพื่อความสุขส่วนพระองค์ เจ้าหญิงซายาโกะทรงทำข้าวกล่องด้วยพระองค์เองเพื่อเสวยในที่ทำงาน และทรง ช้อปปิ้งเฉพาะช่วงสินค้าลดราคา



จักรพรรดิอากิฮิโต (Akihito) และพระจักรพรรดินีมิชิโกะ (Michiko) ทรงเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตเรียบง่ายสมถะมาตลอด เนื่องจากทรงเติบโตมาในยุคข้าวยากหมากแพง ระหว่างช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



ราชวงศ์ญี่ปุ่นนั้นเคร่งครัดในเรื่องกฏมณเทียรบาลอย่างยิ่ง การกระทำสิ่งใดที่นอกกรอบประเพณีจะถูกตำหนิ ทั้งจากสำนักพระราชวัง และจากสื่อมวลชนที่มีอิสระเสรีภาพทางความคิด ไม่ถูกปิดกั้นแม้จะตำหนิพระราชวงศ์ แต่ก็เป็นสิ่งที่สมาชิกในพระราชวงศ์ยอมรับ


จะมียกเว้นก็เพียงเจ้าหญิงมิซาโกะ (Masako) พระชายาในเจ้าฟ้าชายนารุฮิโตะ มกุฏราชกุมารญี่ปุ่น ที่ทรงโดนสื่อตำหนิว่าทรงกระทำองค์ฟุ้งเฟ้อหรูหรา หัวแข็งไม่ยอมลงให้ผู้หลักผู้ใหญ่ เรียกว่าเป็นแกะดำของราชวงศ์ ทั้งที่ความหรูหรานั้นอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดามาก ถ้าเทียบกับราชวงศ์ในยุโรปหรือในบางประเทศ


แต่ไม่ใช่สำหรับสมาชิกราชวงศ์อิมพีเรียลของญี่ปุ่นญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีฐานะการเงินการคลัง ระดับประเทศมหาเศรษฐี แต่กลับเคร่งครัดแม้แต่เรื่องเล็กน้อย และสำนักพระราชวังของญี่ปุ่น จะไม่ออกโฆษณาประชาสัมพันธ์ราชวงศ์ให้ประชาชนเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งๆที่เขาก็ประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้ว ความเรียบง่าย ประหยัดมัธยัสถ์กลายเป็นวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด



ไม่ใช่แค่การสร้างภาพ ต่างกับประเทศไทย ที่พร่ำสอนให้คนประหยัดและโดยยกตนเองเป็นแบบอย่าง แต่ชอบประดับประดาด้วยเครื่องเพชร ไข่มุก ทองหยองกันเต็มองค์ ใช้รถหรูราคาแพง วังก็หรูหรา มีกันคนละหลายหลัง พระราชพิธีต่างๆ ของราชวงศ์ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย ทั้งๆที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศร่ำรวย แต่ประเทศไทยที่ยากจน แค่กำลังพัฒนา ทำไมครอบครัวของลุงสมชายจึงมีความเป็นอยู่ หรูหรากว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นหลายเท่า และชอบช็อปปิ้ง ชอบเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยอ้างไปกรณียกิจ บางทีก็มีข่าวว่าไปดึงหน้าทำศัลยกรรมกระชับสัดส่วน

รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น มาตรา 8 ห้ามพระราชวงศ์รับทรัพย์สินจากผู้ใด หรือให้ของขวัญแก่ใครโดยมิได้รับอนุญาตจากสภา เป็นเหตุให้ราชวงศ์ญี่ปุ่น มีฐานะการเงินไม่ดีนัก เรี่ยไรไม่ได้ รับบริจาคไม่ได้ จะให้รางวัลเพื่อเอาใจใครก็ไม่ได้ โดยต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา (the Diet) ก่อน

องค์พระจักรพรรดิเอง ยังไม่มีสำนักงานทรัพย์สินไว้ถือครองที่ดิน แล้วคอยเก็บค่าเช่าจากประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่เสด็จต่างประเทศเพื่อความสุขส่วนพระองค์ แต่จะเดินทางออกนอกประเทศเฉพาะเมื่อมีพระราชภารกิจ



สื่อญี่ปุ่นมีเสรีภาพมากพอที่จะวิจารณ์สถาบันได้ โดยปลอดภัยไร้กังวล และประชาชนก็มีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลทั้งด้านดี และด้านลบของราชวงศ์ ต่างกับของไทยมากทีเดียว โดยเฉพาะเจ้าหญิงมาซาโกะ (Masako เกิด 2506)




อดีตหญิงสามัญชน (ชื่อเดิมมาซาโกะโอวาดะ Owada) จบจากฮาร์วาร์ด พูดได้ถึง 5ภาษา เคยเป็นผู้หญิงเก่งในกระทรวงการต่างประเทศ จนได้อภิเษกกับเจ้าชายนารุฮิโตะ(Naruhito เกิด 2503) มกุฎราชกุมารแห่งญี่ปุ่น ในปี 2536




แต่ชิวิตกลับพลิกผันด้วยแรงกดดันในราชวงศ์เบญจมาศ ที่ถือว่าผู้ชายต้องเป็นช้างเท้าหน้า จนเธอไม่กล้าแสดงบทบาทหรือความสามารถที่เคยมี ประกอบกับเธอต้องใช้ความพยายามถึง 8 ปี กว่าจะให้กำเนิดลูกสาว เมื่อเธออายุถึง 38 ปีแล้ว





ต้นปี 2553 หนังสือพิมพ์ญี่ปุ่นก็ตีข่าวครึกโครมเรื่องเจ้าหญิงอิโกะ (Aiko เกิด 2544 ) หลานพระจักรพรรดิที่ไม่เสด็จไปโรงเรียนเพราะเครียด อาจเป็นเพราะโดนเพื่อนนักเรียนชายบางคนรังแก ต้องเสด็จออกก่อนโรงเรียนเลิก ในวันที่ 2 มีนาคม

มีการตั้งข้อสังเกตด้วยว่า ปัญหาส่วนพระองค์ของเจ้าหญิงมาซาโกะ พระชนมายุ 46 พรรษา อาจทำให้พระธิดาทรงเปราะบางด้านอารมณ์และความรู้สึก และแสดงความเห็นไปถึงเจ้าชาย นารุฮิโตะ พระชนมายุ 50 พรรษา ว่าอาจต้องหลีกทางจากการเป็นรัชทายาท ในเมื่อชายาของพระองค์มีปัญหาทางสภาพจิตใจ ส่วนพระธิดายังไม่เสด็จไปโรงเรียนด้วยพระองค์เอง จึงเกิดคำถามว่า เจ้าชายนารุฮิโตะจะเหมาะสมกับตำแหน่งหรือไม่

ประเทศญีปุ่นร่ำรวยมหาศาล แต่จักรพรรดิของเขา ประหยัด ไม่สร้างภาพ แต่บางประเทศ ราษฎรส่วนใหญ่ยังยากจน แต่กษัตริย์ซื้อรถนั่งคันละร้อยล้าน จัดงานศพทีละหลายพันล้าน น่าเห็นใจราชวงศ์ญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากราชวงศ์ของบางประเทศ ที่มีอิสระจนแทบจะไร้ขอบเขตเลยทีเดียว

ราชวงศ์ญี่ปุ่นยังยึดมั่นในโบราณราชประเพณี มากกว่าครอบครัวลุงสมชายเสียอีก หากแต่ญี่ปุ่นได้ตีกรอบโบราณราชประเพณีไว้ใช้เฉพาะในเขตกำแพงวังเท่านั้น คนญี่ปุ่นเลยไม่รู้สึกเดือดร้อนอะไร แต่ลุงสมชายเอาโบราณราชประเพณีมาใช้นอกกำแพงวังก็เลยมีปัญหา



เมื่อสมัย จักพรรดิ องค์ก่อน การเสด็จไปไหนๆของราชวงศ์แบบไม่เป็นทางการ จะกระทำโดยการเปลี่ยนสัญญาณไฟให้เป็นสีเขียวทั้งหมด และมีรถตำรวจนำขบวนเพียงเล็กน้อย แต่เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่า ถ้าไฟฝั่งพระองค์เป็นสีเขียว อีกด้านก็จะเป็นสีแดง ทำให้ประชาชนต้องเสียเวลา ดังนั้น พระองค์จึงทรงเปลี่ยนกฎ เป็นว่าไม่ต้องเปลี่ยนสัญญาณไฟก็ได้ เรียกว่าวิ่งไปตามปกติรวมกับรถคันอื่นๆ คือ ติดก็ติดด้วยกัน

จักรพรรดิญี่ปุ่นฮิโรฮิโต (Hirohito) สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ไปเชื่อพวกขุนศึกให้ขยายวงศ์ไพบูลย์แห่งเอเซีย แต่แพ้สงครามต่ออเมริกา ก่อนหน้านั้นจักรพรรดิญี่ปุ่นเป็นที่เทิดทูนยิ่งกว่าลุงสมชายหลายเท่านัก ถึงกับมีการยอมฆ่าตัวตาย หรือฮาราคีรีหากทำให้พระจักรพรรดิเสียชื่อเสียง หรือยอมตายขับเครื่องบินชนเรือรบอเมริกันเพื่อพระจักรพรรดิ



พอพลาดท่า แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 ฐานะของจักรพรรดิจึงตกต่ำ ต้องยอมรับความพ่ายแพ้หมดรูปให้ประชาชนเห็นกันทั้งประเทศ หมดเกียรติภูมิต้องอยู่เงียบๆ ต้องยอมรับรัฐธรรมนูญที่สหรัฐร่างให้






ราชวงศ์ของญี่ปุ่นนอกจากปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างทั้งเรื่องสมถะเพียงพอ แล้วยังเคร่งครัดเรื่องความประพฤติในครอบครัว ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่มีใครแต่งงานกับต่างชาติ แต่งแล้วหย่า หย่าแล้วไม่เลี้ยงลูก แต่งแล้วแต่งอีก หรือเปลี่ยนคู่ครองไปเรื่อยๆ



ไม่มีใครในราชวงศ์ญี่ปุ่น ที่แต่งตัววับๆแวมๆ เล่นหนัง เล่นละคร ขึ้นปกนิตยสารเป็นประจำ ไม่มีใครบังคับขายเทปขายซีดีขายหนังสือ ขายเหรียญที่ระลึก ให้ข้าราชการ และพ่อค้านักธุรกิจ ไม่มีใครเลี้ยงสุนัขเป็นสิบๆ ไม่มีใครสะสมรถเก่า เรือหรู ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ เดินช้อปปิ้งห้างหรูเป็นประจำ แต่สร้างภาพประหยัดการใช้ยาสีฟัน โฆษณาใหญ่โตเกินกว่าเหตุ

ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่เคยออกมาเที่ยวอบรมสั่งสอนประชาชน แต่ประเทศญี่ปุ่นก็พัฒนาได้ดีกว่าประเทศไทยมาก เพราะคนญี่ปุ่นเขาไม่มีความคิดแบบไพร่ เขาสู้และยืดหยัดได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาเทวดาหน้าไหนที่มาอ้างเป็นศูนย์รวมใจ และคนญี่ปุ่นมีความเป็นชาตินิยมสูง คือเห็นชาติสำคัญเหนือกว่าตัวบุคคล



ไม่เหมือนประเทศไทยที่เชิดชูตัวบุคคลไว้เหนือกว่าชาติ ขณะที่บุคคลที่อยู่เหนือหัวราษฎร ก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อพัฒนาประเทศอย่างจริงใจ และถ้ามีรัฐบาลเลือกตั้งชุดใดทำท่าจะไปได้สวยก็จะคอยบ่อนทำลาย สั่งให้ทหารหาเรื่องทำรัฐประหาร ทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย




คนญี่ปุ่นก็คงสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมประเทศไทยจึงพัฒนาได้ช้ามากทั้งๆที่ลุงสมชายโฆษณาอวดอ้างตลอดมาว่ามีความอิจฉริยะในทุกด้านและทุกเรื่องอย่างหาที่เปรียบมิได้ แถมยังอุตส่าห์ทุ่มเทด้วยความเหนื่อยยากตลอดชีวิตเพื่อคอยชี้นำทางให้ราษฎรเสมอมาอยู่มิได้ว่างเว้น


ที่จริงนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจญี่ปุ่นก็มีการทุจริตไม่แพ้ของประเทศไทย เคยมีรายงานองค์กรโปร่งใสระหว่างประเทศ ( Transparency International ) เมื่อปี 2551 ว่าพรรคการเมืองในญี่ปุ่นเป็นแหล่งของการทุจริตถึง 52% เป็นรองแค่อาร์เจนติน่าที่มีถึง 58%

แต่ที่ญี่ปุ่นพัฒนาได้เร็ว เพราะเขาไม่มีพวกเผด็จการโบราณที่คับแคบแต่อวดรู้อวดฉลาด จักรพรรดิญี่ปุ่นมีอำนาจมากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และนำประเทศญี่ปุ่นสู่สงครามที่นำไปสู่ความหายนะ ทำให้คนญี่ปุ่นเข้าใจได้ว่า จักรพรรดืก็แค่คนธรรมดา ไม่ใช่เทพเจ้าที่เหาะมาจากไหนนับตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

.........

ดิ้นต่อไป เมื่อลมหายใจยังมีอยู๋

ลุงสมชายได้ใช้กลไกและเครือข่ายความมั่นคงภายในทุกชนิดทุกรูปแบบ เพื่อสร้างอำนาจและศรัทธาบารมีมาตลอดการปกครองอันยาวนานของตน แต่ในช่วงปลายสมัยที่บารมีของลุงกำลังเสื่อมลง จึงจำเป็นต้องรีบเร่งระดมกำลังทุกส่วนเพื่อประคองอำนาจและบารมีของลุงต่อไปให้ถึงที่สุด

สะท้อนถึงศรัทธาที่เสื่อมทรุดลงอย่างหนัก จำเป็นต้องจัดตั้งกลุ่มปกป้อง แบบยุวชนเยอรมันสมัยฮิตเลอร์ ขณะที่เริ่มมีการอภิปรายและวิพากษณ์ วิจารณ์อย่างกว้างขวางต่อระบอบการโฆษณาชวนเชื่อสร้างศรัทธา ที่ขัดต่อความเจริญก้าวหน้าของโลก

ปัจจุบัน จึงต้องมีการจัดตั้งอาสาสมัครอาสาสมัครปกป้องลุงสมชายในจังหวัดชลบุรี และจังหวัดอื่นๆ อีก 30 จังหวัด เรียกชือ่ย่อว่า อสป.หรืออาสมัครปกป้องสถาบัน ที่รวมข้าราชการ กึ่งราชการ และพลเรือนแบบเดียวกับลูกเสือชาวบ้าน รวมทั้งลูกเสือไซเบอร์ที่ปกป้องลุงสมชายทางอินเตอร์เนท เพื่อรักษาความมั่นคงของลุงสมชาย อีกกลุ่มหนึ่งที่ทำหน้าที่ปกป้องลุงสมชายในนามอาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย อสพป.





รวมถึงการติดต่อชักจูงพวกเสื้อแดงเวทีใหญ่ ที่มีนักการเมืองสนับสนุนให้หันกลับมาสู่สนามการเลือกตั้ง เพื่อมาเล่นในเวทีที่มีลุงสมชายและคณะเป็นเจ้าของเวทีทั้งหมด




ลัทธิบูชาตัวบุคคล ในระบอบที่กดหัวประชาชนที่ใช้กันในเกาหลีเหนือ คิวบา อดีตสหภาพโซเวียตและลิเบีย (กัดดาฟี Gaddafi) ก็มีการโฆษณาด้านเดียว มีรูปปั้นและภาพของท่านผู้นำทั่วทุกหนแห่ง พร้อมทั้งสารพัดพิธีการและการเฉลิมฉลอง แต่ไม่มีประเทศใดที่ทำได้เป็นผลสำเร็จและละเอียดประณีตเท่าประเทศไทย



อย่างไรก็ตามลัทธิบูชาตัวบุคคลก็ต้องมีวันสิ้นสุดลงเสมอไม่ว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม โดยเฉพาะเมื่อบุคคลผู้นั้นกำลังจะต้องละชีวิตไปจากโลกโดยขาดผู้สืบทอดที่มีอำนาจบารมีพอ ขณะประชาชนจำนวนมากเริ่มได้เห็นได้เข้าใจธาตุแท้ของผู้ที่หลอกลวงพวกเขามาตลอด.





............
............

ไม่มีความคิดเห็น: