ฟังเสียง :
http://www.mediafire.com/?id9jyh0pm6o2832
http://www.4shared.com/audio/JlFFmAgB/stream_Stable_Story_005_.html
http://www.mediafire.com/?id9jyh0pm6o2832
http://www.4shared.com/audio/JlFFmAgB/stream_Stable_Story_005_.html
.... .........
ภาคสี่ ว่าด้วยวาทกรรมซ้ำซาก
ระบอบการปกครองของไทยที่มีลุงสมชายครอบครองอำนาจมาได้อย่างยาวนานที่สุดในโลก ก็โดยอาศัยการสร้างความเชื่อ ที่เรียกว่าศรัทธาในตัวลุงสมชาย ที่ทำกันเป็นประจำอย่างต่อเนื่องยาวนาน พร้อมทั้งการออกกฎหมายให้ทุกคนต้องเคารพเชื่อฟัง ห้ามวิจารณ์หรือฟ้องร้องใดๆทั้งสิ้น จนลุงสมชายกลายเป็นสิ่งสักการะสูงสุดเหนือกว่าสิ่งใดๆ แม้แต่ความถูกต้องชอบธรรม
ราษฎรมีความซาบซึ้งจริงๆหรือ
มีการโฆษณาเป็นประจำ ว่าลุงสมชายเหนื่อยยากเพื่อราษฎรมามากแล้ว เป็นเจ้านายที่เสียสละที่สุด เป็นเจ้าของเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้วิเศษที่ราษฎรจะต้องซาบซึ้งให้มากที่สุด
ที่แท้ เรื่องทั้งหมด เป็นเรื่องของ การบังคับ
โดยมีกฎหมายสูงสุดห้ามราษฎรดูหมิ่นหรือไม่เคารพกราบไหว้ลุงสมชาย โดยถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษจำคุกถึง 15 ปี ตามด้วยการโฆษณายกย่องสรรเสริญทุกค่ำเช้า และห้ามการวิจารณ์โดยเด็ดขาด ให้สดุดีและซาบซึ้งได้อย่างเดียวเท่านั้น
แม้บางเรื่องจะเห็นกันชัดๆ ว่าลุงเข้าข้างฝ่ายที่ไม่ชอบธรรมไม่ถูกต้อง เช่น ให้ท้ายพวกพันธมิตรเสื้อเหลือง ขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สนับสนุน และรับรองให้ทหารปล้นอำนาจของประชาชน สั่งการพวกผู้พิพากษาให้เล่นงานลงโทษพวกของรักสิน และคนเสื้อแดงอย่างไม่มีความเป็นธรรมที่เรียกกันว่า สองมาตรฐาน
ความดีและความเหนื่อยยากของลุงเป็นเรื่องที่พูดเอาเองข้างเดียว เพราะห้ามโต้แย้ง ห้ามพิสูจน์ ห้ามซักถาม ทั้งๆที่ราษฎรส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานหนักแทบตลอดชีวิต ไม่ได้มีขบวนรถหรือ คนรับใช้คอยปรนนิบัติรายล้อม นายกรักสินที่ทำงานหนักและได้ผลงานมากกว่าลุง แต่ก็ยังมีคนกล่าวหาว่าเป็นการเอาหน้า เป็นประชานิยมที่ต้องการสร้างภาพและหาเสียง
ผู้ทรงความรู้และนักวิชาการทั้งหลาย ก็ไม่มีใครกล้าทักท้วงหรือวิจารณ์ลุง เพราะกลัวจะมีภัย ทุกคนต้องก้มหน้าสรรเสริญสดุดีลุง โดยไม่ต้องไปพิจารณาไตร่ตรองหรือใช้สติปัญญาใดๆทั้งสิ้น ลุงสมชายจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด โดยห้ามตั้งข้อสงสัยเด็ดขาด
การที่ประชาชนไทยแสดงความซาบซึ้งต่อลุงสมชาย จึงเป็นเรื่องที่ถูกบังคับทั้งทางกฎหมายและสังคมวัฒนธรรม โดยมีสื่อที่โหมโฆษณาแต่ความดีของลุงสมชาย เพื่อสร้างรูปการจิตสำนึกมารองรับ มิได้เกิดขึ้นเองอย่างที่มีการกล่าวอ้างกันแต่อย่างใด
ลุงสมชายไม่ใช่คนที่คนยากไร้ แต่เป็นเจ้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านล้านบาท แถมด้วยเงินที่เบิกจากงบประมาณไว้ใช้จ่ายอีกปีละกว่า 2,400 ล้านบาท
แม้ว่าลุงจะมีงานสงเคราะห์คนอนาถามากมาย แต่ลุงสมชายก็เบิกเอาจากงบประมาณแผ่นดินทั้งนั้น ขณะลุงสมชายมีกำไรจากธุรกิจและหุ้นจำนวนมหาศาลปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ลุงและครอบครัวก็ยังคงเดินสายออกรับบริจาคเงินเอาเข้ากระเป๋าแล้วเบิกงบประมาณมาใช้ คือ ได้ทั้งเงินได้ทั้งชื่อเสียง แถมยังโฆษณาทวงบุญคุณแบบไม่มีวันจบสิ้น ทั้งๆที่ร่ำรวยมหาศาล แต่ยังใช้เงินภาษีของราษฎรมากที่สุดกว่าเจ้านายของประเทศใดๆ
ปี 2553 เบิกค่าเฮลิคอปเตอร์สามลำ 814 ล้านบาท ค่าโครงการของลุง 2300 ล้านบาท ค่าเดินทางต่างประเทศ และรับแขกต่างประเทศ 500 ล้านบาท ทั้งๆที่ลุงไม่ได้มีหน้าที่ทำงานให้ประชาชน เพราะประชาชนไม่ได้เลือกลุงให้มาทำงาน แต่ลุงก็เอาเงินงบประมาณมาใช้ สร้างชื่อเสียงบารมีให้ตนเอง
25 กันยายน 2550 การไฟฟ้าฝ่ายผลิตได้มอบหลอดตะเกียบ 10,500 หลอด ให้ลุงไปเปลี่ยนหลอดไฟที่บ้านหลังใหญ่ที่เขตดุสิต เพื่อลดค่าไฟฟ้าลงปีละ 7,500,000 บาท แสดงว่าลุงใช้ไฟฟ้าเพียงแค่หลอดไฟส่องสว่างปีละร่วมสิบล้านบาท แม้แต่การให้ทุนเรียนเมืองนอกที่ใช้ชื่อของพี่ชายลุงที่ถูกยิงตาย ก็ยังใช้เงินงบประมาณจากภาษีของประชาชนเป็นส่วนใหญ่
สำนักงานทรัพย์สมบัติของลุงได้ออกประกาศชี้แจงเรื่องความร่ำรวยมั่งคั่งและการหนุนหลังพวกก่อการกบฏที่มีนายพลบังเละเป็นหัวหน้า ดังนี้ เนื่องจากนิตยสารระดับโลก ฟอร์บ ลงข่าววันที่ 12 สิงหาคม 2551 ว่าท่านสมชายมั่งคั่งร่ำรวยกว่าราชวงศ์ทุกประเทศ สำนักงานทรัพย์สมบัติของลุงขอชี้แจงว่าทรัพย์สมบัติทั้งหมดมิได้เป็นของลุงสมชายแต่อย่างใด แต่เป็นของราษฎรทุกๆคนร่วมกัน
สำหรับที่ดินที่มีมากมายมหาศาลในกรุงเทพนั้น ส่วนใหญ่ให้หน่วยงานราชการและราษฎรยากจนอาศัยเช่าในราคาถูก ทั้งนี้ไม่นับบางแห่งที่ต้องไล่รื้อเพื่อเอาไปเปิดห้างหรือสร้างโรงแรมทันสมัย เพื่อจะได้มีเงินมาช่วยเหลือราษฎรได้มากขึ้น และที่มีการพาดพิงถึงลุงสมชาย ว่าท่านเกี่ยวข้องกับการก่อการกบฏเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ซึ่งเป็นเรื่องไม่จริง การที่ลุงสมชายต้องเซ็นอนุมัติรับรองการก่อกบฏนั้น ก็เพราะเป็นการทำตามระเบียบเท่านั้นเอง
นายสุเม่น เลขามูลนิธิกังหันพัฒนา ก็ออกมาช่วยแก้ตัวแทนลุงเมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554 ว่าทรัพย์สินของลุงนั้นเป็นของหลวงหรือของรัฐและข่าวที่บอกว่าลุงรวยที่สุดก็ไม่จริง เพราะลุงประหยัดมาก ก็คงจะจริง เพราะลุงมักจะไม่ควักกระเป๋าจ่ายเงินเอง แถมยังชอบเรี่ยไรมาตลอด
ข้อเท็จจริงก็คือ กฎหมายที่พวกของลุงสมชายเขียนขึ้นมา ได้ให้อำนาจลุงสมชายแต่งตั้ง ดูแลและสั่งการเรื่องค่าใช้จ่ายของสำนักงานทรัพย์สมบัติทั้งหมด คนที่สั่งจ่ายได้ ก็คือลุงสมชายคนเดียวเท่านั้น ก็เหมือนกับรัฐธรรมนูญที่กำหนดว่าอำนาจเป็นของราษฎร แต่ลุงสมชายเป็นคนที่ใช้อำนาจสูงสุดได้เพียงผู้เดียว ดังนั้นผู้ถืออำนาจที่แท้จริง ก็คือลุงสมชายหาใช่ราษฎรไม่
ส่วนเรื่องที่ลุงสมชายแอบหนุนหลังพวกกบฏนั้น ก็ได้มีการเปิดเผยโทรเลขของทูตสหรัฐ ที่ได้พูดคุยกับพลเอกบังเละ เมื่อบ่ายวันที่ 20 กันยายน 2549 โดยนายพลบังเละยืนยันว่าลุงเป็นฝ่ายเรียกพวกตนเข้าพบ และออกข่าวทางทีวี โดยที่พวกตนไม่ได้เป็นฝ่ายขอเข้าพบลุงแต่อย่างใดและลุงก็มีอารมณ์ดี มีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงอาการสบายใจโล่งอก เท่ากับเป็นการประกาศให้ราษฎรได้รู้ว่า ลุงสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลรักสินที่มาจากการเลือกของราษฎรส่วนใหญ่ มาตั้งแต่ต้น และก็ทำให้พวกทหารรักษาพระองค์ที่ก่อการกบฏเกิดความมั่นใจ ไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะมีความผิด เพราะลุงสมชายออกหน้าสนับสนุนเต็มที่
ในขณะที่รักสินก็ได้รับข่าวยืนยันจากสุรากึก ที่เป็นหลานเขยของป้าสมจิตว่า ลุงสมชายและป้าสมจิตสนับสนุนการก่อกบฏ และขอให้รักสินยอมแพ้โดยจะมีการออมชอมกันในภายหลัง จะไม่มีการตามล่าตามล้างกันแต่อย่างใด ซึ่งรักสินก็ต้องยอมแต่โดยดี เพราะลุงสมชายได้รับรองการยึดอำนาจไปแล้ว
ประชาชนทุกคนก็ได้เห็นการถ่ายทอดทีวี ที่มีภาพของลุงสมชายและป้าสมจิต พร้อมทั้งเปรมิกาและผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อแสดงการรับรองการก่อกบฏยึดอำนาจของประชาชน แต่ไม่ใครกล้าพูดความจริงเพราะมีกฎหมายปิดปาก ห้ามวิจารณ์ลุงสมชายโดยเด็ดขาด จะเห็นได้จากจำนวนคดีไม่ซาบซึ้ง ระหว่างปี 2548-2552 ศาลได้พิจารณาคดีถึง 430 คดี และตัดสิน 231 คดี มี จำนวนคดีไม่ซาบซึ้งได้เพิ่มขึ้นรวดเร็วอย่างไม่เคยมีมาก่อน ปี 2552 ศาลรับฟ้องถึง 164 คดี มีการตั้งข้อหาคนอย่างรุนแรง ทั้งๆที่เป็นกฎหมายในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยและความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
............
เปรียบเทียบความซาบซึ้ง
ของประเทศไทยกับเกาหลีเหนือ
ประเทศเกาหลีเหนือมีการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องความซาบซึ้งพอๆกับประเทศไทย มีคำสรรเสริญเยินยอท่านผู้นำทุกถนนหนทาง ราษฎรทุกคนติดเข็มกลัดของท่านผู้นำ ประชาชนทุกคนต้องรักท่านผู้นำและห้ามผู้ใดวิจารณ์เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ต้องเข้าคุกหรือโดนอุ้ม
ท่านผู้นำคุมอำนาจเบ็ดเสร็จ โดยเฉพาะกำลังทหารเหมือนเป็นกองกำลังส่วนตัว แต่ใช้เงินจากงบประมาณของประเทศ ท่านผู้นำคุมศาลทั้งหมด สามารถเรียกผู้พิพากษาเข้าพบให้โอวาท และใช้ศาลกำจัดฝ่ายตรงข้ามอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะผิดจริงหรือไม่ก็ตาม แต่ถ้าเป็นพวกเดียวกัน ถึงมีพยานหลักฐานชัดเจนแค่ไหนก็จะไม่มีความผิด อย่างมากก็แค่ว่ากล่าวตักเตือนรอลงอาญา สื่อทุกสื่อจะโฆษณาสดุดีท่านผู้นำ ว่าสุดวิเศษ ยอดอัฉริยะทั้งๆที่เรียนอะไรก็ไม่จบ ที่ได้เป็นใหญ่เป็นโตก็เพราะด้วยการสืบสายโลหิต
ทุกวันที่ 16 กุมภาพันธ์ของทุกปี ชาวเกาหลีเหนือจะเฉลิมฉลองวันเกิดท่านผู้นำคิมจองอิล ( Kim Jong-il ) ที่ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รัก ผู้มีอัจริยภาพทุกด้าน ผู้สืบสานปรัชญาเศรษฐกิจจูเชจากคิมอิลซุง (Kim Il-sung) บิดาผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ ที่เน้นความพอเพียงพึ่งพาตนเอง ไม่พึ่งต่างประเทศ ปี 2553
ท่านผู้นำสวมบทนักบุญ แจกตั้งแต่ข้าวสาร ถุงยังชีพ ไปจนถึงนาฬิกาโรเล็กซ์แก่ชาวเกาหลีเหนือผู้จงรักภักดี ปี 2554 เขาอายุ 69 ปีสุขภาพไม่ดี แต่ก็ยังไม่ตาย ในเกาหลีเหนือการตั้งคำถามพื้นๆว่า หากท่านผู้นำตายแล้ว จะเกิดอะไรขึ้น ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
มีการจัดพิมพ์สแตมป์ดวงตราไปรษณีย์ของเกาหลีเหนือ ที่มีข้อความว่า ท่านสหายผู้นำที่ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รักเทิดทูนยิ่ง จัดทำขึ้นในโอกาสเฉลิมฉลองคล้ายวันเกิดปีที่ 69 ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2554 ของนายคิมจองอิล
ชาวเกาหลีเหนือได้เข้าร่วมพิธีเฉลิมฉลองวันเกิดครบรอบปีที่ 69 ของคิมจองอิล ในวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นรัฐพิธีและวันหยุด ที่ทรงความสำคัญอย่างยิ่งของประเทศเกาหลีเหนือ
นักว่ายน้ำสาวชาวเกาหลีเหนือพากันแปรอักษรเป็นรูป 2.16 หรือวันที่ 16 เดือนกุมภาพันธ์ อันเป็นวันเกิดของคิมจองอิลอย่างตระการตา นักว่ายน้ำประกอบเพลง พากันร้องเพลงสรรเสริญบารมีของคิมจองอิลในกรุงเปียงยางอย่างยิ่งใหญ่ ประชาชนผู้จงรักภักดีชาวเกาหลีเหนือเข้าเยี่ยมชมนิทรรศการแสดงดอกไม้เทิดเกียรติคิมจองอิล โดยเฉพาะพันธุ์ไม้ที่ตั้งตามชื่อของท่านผู้นำได้รับการสนใจเป็นพิเศษ
พลเมืองเกาหลีเหนือจะพากันถ่ายภาพที่ระลึกใต้อนุสาวรีย์คิมอิลซุง บิดาของคิมจองอิล และบิดาของประเทศเกาหลีเหนือ คิมอิลซุงเป็นเจ้าของปรัชญาเศรษฐกิจจูเช เน้นความพอเพียง พออยู่พอกิน ไม่พึ่งพาต่างประเทศ ซึ่งยังผลให้ชาวเกาหลีเหนืออดตายเป็นจำนวนมาก
พนักงานโรงแรมสาวในนครเปียงยางในชุดประจำชาติพากันเต้นรำเฉลิมฉลองวันเกิดท่านผู้นำคิมจองอิล คนเกาหลีเหนือถูกสอนมาตั้งแต่เกิดว่าโชคดีที่ได้เกิดมาใต้ร่มบารมีของผู้นำที่ยิ่งใหญ่ มีอัจฉริยภาพ และทำงานเพื่อประชาชน เกาหลีเหนือเป็นโลกเดียวที่พวกเขารู้จัก
มีการจุดพลุไฟเทิดเกียรติคิมจองอิล ผู้นำที่ยิ่งใหญ่และเต็มไปด้วยอัจฉริยภาพ
คิมอิลซุง คิมจองอิลและคิมจองอุล ผู้สืบทอดอำนาจสามชั่วคน |
คิมจองอุน (Kim Jong-un) บุตรชายของคิมจองอิล เป็นคิมรุ่นที่สามที่จะสืบทอดเป็นทายาทปกครองเกาหลีเหนือให้อยู่เย็นเป็นสุขอย่างพอเพียงด้วยปรัชญาเศรษฐกิจชูเจ พวกเขาได้ปรบมือให้กับการร้องประสานเสียงของอนุชนของชาติที่กำลังร้องเพลงสรรเสริญท่านผู้นำที่ยิ่งใหญ่
ถ้าผู้นำเกาหลีเหนือตาย
จะเกิดอะไรขึ้น
-เป็นคำถามต้องห้าม
ชาร์ลส์ เจนกิ้นส์ ( Sgt Charles Jenkins ) ทหารอเมริกันที่หนีทหารจากเกาหลีใต้เข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเกาหลีเหนือนาน 40 ปี (2507 - 2547) เขียนในหนังสือคำสารภาพ (To tell the truth) หลังจากหนีออกจากเกาหลีเหนือมาได้ ว่าตอนแรกที่เขาอยู่ในเกาหลีเหนือในราวปี 2508 ถูกล้างสมองให้รับรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ และความอัจฉริยะของคิมอิลซุง บิดาผู้ก่อตั้งเกาหลีเหนือ
ทางการบังคับให้เรียนเกี่ยวกับปรัชญาจูเช (Juche platform) ที่ยกย่องการพึ่งตัวเอง เกาหลีเหนือต้องพึ่งตัวเอง ดีกว่าการพึ่งการค้ากับประเทศลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น เช่น จีน โซเวียต ต้องเรียนวันละ 10 -11 ชั่วโมง ถ้าท่องจำไม่ได้ ต้องเรียนซ้ำ 16 ชั่วโมงในวันอาทิตย์
ดังนั้นเขาจึงจำปรัชญานี้ได้ดี แม้แต่ในความฝัน ยิ่งเรียนก็ยิ่งรู้สึกว่ามันไร้เหตุผล และชวนให้สงสัยว่าเหตุใดคนทั้งประเทศเกาหลีเหนือจึงเชื่อทฤษฎีไม่สมประกอบนี้ เพราะใครก็รู้ว่าเกาหลีเหนือล้มแน่ถ้าขาดการค้า หรือการหวังพึ่งแต่การบริจาคจากประเทศอื่นเพื่อปากท้องของคนเกาหลีเหนือ
แต่โลกในเกาหลีเหนือก็เป็นโลกเดียวเท่านั้น ที่ประชาชนโดยเฉพะเด็กๆในเกาหลีเหนือได้รับรู้ ชาวเกาหลีเหนือที่เติบโตในสภาพนี้ มีแนวโน้มที่จะเชื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาถูกสั่งสอน ลัทธิบูชาบุคคลในเกาหลีเหนือห้ามถามห้ามตั้งข้อสงสัยว่า ถ้าท่านผู้นำตาย จะเกิดอะไรขึ้น ใครพูดขึ้นมาก็ต้องโดนลงโทษหนัก จึงไม่มีใครกล้าพูดว่าท่านผู้นำก็เป็นแค่มนุษย์เดินดินที่ต้องตายในที่สุด
ท่านผู้นำเกาหลีเหนือ และครอบครัว พร้อมทั้งบริวารอยู่อย่างร่ำรวยมั่งคั่ง สมบูรณ์พูนสุขด้วยเงินภาษีของราษฎร และการล้างผลาญเงินของแผ่นดิน ในขณะที่ชาวบ้านแทบจะอดตาย ปากกัดตีนถีบหาเช้ากินค่ำ
สำนักข่าวเคซีเอ็นเอของทางการเกาหลีเหนือรายงานว่า ชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากเสี่ยงชีวิตหรือแม้กระทั่งยอมจมน้ำตาย เพื่อรักษารูปภาพของท่านผู้นำในอดีตและปัจจุบัน ในระหว่างที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ในเกาหลีเหนือ ชาวบ้านที่บ้านเรือนถูกพัดหายไปกับกระแสน้ำเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2553 ต้องรักษารูปภาพของท่านผู้นำ คนงานและนักเรียนในหลายพื้นที่ได้รับการยกย่อง เพราะสามารถรักษารูปปั้นท่านผู้นำไม่ให้ถูกทำลายเพราะฝนตกหนัก
ประชาชนบางคนต้องเสียชีวิตเพราะรักษารูปภาพของสองผู้นำพ่อลูกไม่ให้เสียหาย โดยพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากน้ำท่วมนอนกอดรูปภาพของสองผู้นำ ที่ถูกใส่ไว้ในถุงพลาสติกปิดผนึกอย่างแน่นหนา ทั้งนี้ภาพของท่านผู้นำจะปรากฏอยู่ในทุกหนทุกแห่งทั่วประเทศมานานแล้ว ทั้งที่บ้าน ที่ทำงานและอาคารสาธารณะ โดยจะแขวนไว้อย่างถาวรเคียงข้างรูปของท่านผู้นำคนก่อนที่เป็นบิดาของท่านผู้นำคนปัจจุบัน
ราษฎรที่ทำลายรูปของท่านผู้นำ จะถูกลงโทษอย่างรุนแรง แม้ว่าเกิดขึ้นจากอุบัติเหตุก็ตาม ทางการเกาหลีเหนือได้ทำการสดุดีและมอบเครื่องอิสริยาภรณ์ให้กัปตันและวิศวกรพร้อม 3 กะลาสีเรือ ผู้ยอมสละชีพเก็บกู้รักษารูปภาพของท่านผู้นำ มิให้จมน้ำขณะเกิดเหตุเรือล่มนอกชายฝั่งของจีนเมื่อปี 2552 ส่วนลูกเรือผู้รอดชีวิตอีก 15 คนได้รับเครื่องอิสริยาภรณ์ขั้นต่ำมาลง เรื่องราวการปกป้องรูปภาพท่านผู้นำได้ถูกนำออกเผยแพร่เสมอเพื่อเป็นแบบอย่างการเคารพท่านผู้นำของประเทศ
ลองเปรียบเทียบดูว่าระหว่างเกาหลีเหนือกับไทย ใครจะมีความซาบซึ้งได้หนักหนาสาหัสกว่ากัน
.........
ซาบซึ้งลุงสมชาย
ย้อนอดีต
นอกจากการเฉลิมฉลองให้ลุงสมชายในปัจจุบันและล่วงหน้าแล้ว ยังมีการเฉลิมฉลองย้อนยุค โดยให้หน่วยงานราชการไปติดตามคนในรูปภาพเก่า 9 คน แต่พบว่าเสียชีวิตแล้ว 4 คน
ภาพขุนอุปถัมภ์นรากรที่ไปรำโนรา ที่บ้านใหญ่จิตรลาลาเมื่อปี 2504 ซึ่งแก่ตายไปแล้ว ลูกสาวอายุ 72 ปีเข้ารับเป็นตัวแทน
ภาพลุงเล่นดนตรีปี 2511 คนที่นั่งข้างลุง ตอนนี้อายุ 75ปี เป็นผู้จัดการดูแลสำนักงานทรัพย์สมบัติส่วนตัวของลุง
ภาพนางละครรำต้อนรับพระเจ้าชาห์แห่งอิหร่านและมเหสี ปี 2508 ตอนนี้อายุ 70 ปีแล้ว
ภาพชาวเขาผูกข้อมือลุง ปี 2521 ตอนนี้ตายแล้ว เมียอายุ 95 ปี ยังพูดภาษาไทยไม่ได้ ต้องตามหาทายาทคนอื่นไปอวยพรให้ลุงภาพสาวรำวงขณะลุงพาลูกไปปลุกลูกเสือชาวบ้านช่วงไล่ฆ่านักศึกษาปี 2519 ตอนนี้สาวคนนั้นอายุ 66 ปีแล้ว
ภาพลุงกับป้าๆไปดูละครเมื่อปี 2510 ตอนนี้ยังตามตัวนางเอกละครคนนั้นไม่เจอ
ภาพลุงและป้าไปหัวเมืองทางใต้ปี 2519 มีเด็กหนุ่มกำลังนั่งจักสาน แต่เสียชีวิตไป 20 กว่าปีแล้ว
ภาพลุงเดินดูนักเรียนปั้นหุ่นดินเหนียวเมื่อปี 2506 ตอนนี้เด็กหนุ่มคนนั้นเป็นข้าราชการปลดเกษียณแล้ว อายุ 70 ปี
ภาพลุงนั่งเรือเล่นในคลองรังสิตเมื่อปี 2497 คนที่เล่นดนตรีในเรือกับลุงส่วนใหญ่ก็ตายหมดแล้ว ต้องส่งลูกชายที่อายุ 63 ปีไปร่วมงานฉลองของลุง
เกณฑ์ทุกศาสนา
สวดภวนาให้ลุงคนเดียว
วันเกิดของลุงปี 2553 มีตัวแทนทุกศาสนาและหน่วยงานกว่า 1,000 คน นำพระสงฆ์จาก 9 วัด 84 รูป รวมทั้งพระญวน และพระจีน สวดอวยพรให้ลุง ตัวแทนอิสลามนำชาวมุสลิม 84 คน สวดขอพรจากอัลลอฮ์พระผู้เป็นเจ้า อวยพรให้ลุง ต่อด้วยศาสนาคริสต์ นำศาสนิกชน 84 คน ภาวนาวอนขอพรจากพระเจ้า จากนั้น ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู นำสวดเทวบูชาขอพรจากพระเจ้า พระพิฆเณศ พระวิษณุ และพระศิวะ เพื่อประทานพรให้ลุงสมชาย คือ จัดให้ผู้นำทุกศาสนามาร่วมกันอวยชัยให้พรลุง เกณฑ์ตัวแทนศาสนาทุกศาสนามาเสริมอำนาจบารมีให้ลุงคนเดียว
ห้ามประเมินผล
โครงการของลุง
มีการประชาสัมพันธ์ว่าลุงสมชายมีโครงการเพื่อราษฎรมากกว่าสามพันโครงการ เป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ ประชาชนชาวไทยทุกคนล้วนเป็นหนี้บุญคุณลุง ที่อุตส่าห์เหนื่อยยากทำงานเพื่อราษฎรมาตลอดระยะเวลากว่าหกสิบปี แต่ไม่มีการตรวจสอบหรือประเมินผลตามที่ควรจะเป็น เหมือนที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป เพราะมีกฎหมายห้ามวิจารณ์ ห้ามตั้งคำถามและห้ามพูดในทางที่อาจไม่เป็นผลดีต่อลุงสมชายและครอบครัวเป็นอันขาด ลองพิจารณาโครงการของลุงสมชายบางโครงการดังต่อไปนี้
โครงการฝนเทียม เมื่อคำนวณต้นทุนในการผลิตฝนเทียมต่อ 1 ลูกบาศเมตร นับว่าแพงมากและกำหนดพื้นที่ไม่ได้ แต่มีการโฆษณาว่าเป็นเรื่องความฉลาดปราดเปรื่อง ขณะโครงการสมัยรัฐบาลรักสินน อย่างเช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองเงินหมู่บ้าน แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อราษฎรมาก และก็ยังถูกวิจารณ์ จากทุกๆ ฝ่าย ว่าดีบ้างเลวบ้าง แต่ถ้าเป็นโครงการของลุง ใครจะกล้าวิจารณ์ แค่คิดว่าโครงการไม่ดี ยังไม่กล้าจะคิดกันเลย
โครงการของลุงมีระบบการตรวจสอบต่ำ หรือแทบไม่มีใครกล้าตรวจสอบ เบิกเงินงบประมาณได้เต็มที่ ไม่มีใครกล้าตัด เพราะมีแต่คนอยากได้หน้า อยากได้ลาภยศตำแหน่ง จึงต้องเอาใจลุง ไม่ว่าจะสิ้นเปลืองงบประมาณเท่าใดก็ตาม ต้องให้ผลงานออกมาดีที่สุด ไม่ว่าจะคุ้มหรือไม่ก็ตาม
การทำงาน บริหารราชการแผ่นดินเป็นหน้าที่ของราษฎรที่จะเลือกคนไปทำงาน ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่หน้าที่ของลุง
โครงการของลุงอย่างมากเป็นแค่โครงการตัวอย่าง ที่ไม่ได้ขยายไปทั่วทั้งประเทศ ทำเหมือนผักชีโรยหน้า ที่ต้องทุ่มเทงบประมาณเพื่อเอาใจลุง โดยไม่มีใครกล้าตรวจสอบหรือประเมินผลตามความเป็นจริง ถ้าเป็นโครงการที่คนอื่นทำโดยใช้เงินงบประมาณ ก็ต้องมีการตรวจสอบว่าได้ผลแค่ไหน มีรั่วไหลหรือไม่ คุ้มค่าคุ้มราคาไหม แต่โครงการของลุงส่วนใหญ่ก็แค่การประโคมข่าว ให้ดูเอิกเกริกในช่วงที่ลุงไปเปิดโครงการ เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ พอลุงกลับมาแล้วก็มักจะเงียบๆลงไป หรือไม่มีการพัฒนาต่อเนื่อง บางที่ก็ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าไม่มีใครเหลียวแล
เรื่องฝนเทียมก็เป็นเรื่องที่ฝรั่งเข้ารู้จักกันมาก่อนร่วมหกสิบกว่าปีแล้ว แต่เขาไม่นิยมเพราะมันไม่คุ้ม ผลไม่แน่นอน บังคับเจาะจงไม่ได้ และการใช้สารเคมีที่อาจมีผลตกค้าง แต่กลับมีการอ้างผลงานที่เกินความจริง กษัตริย์ของอังกฤษ ญี่ปุ่น สวีเดน นอรเวย์ เขาก็ปล่อยให้ราษฎรของเขาเลือกคนไปทำงานบริหารบ้านเมืองให้ราษฎรกันทั้งนั้น แล้วเขาก็เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าประเทศไทยที่ยังย่ำอยู่กับที่ โดยมีหลายครั้งที่ลุงสมชายพาประเทศไทยถอยหลังเข้าคลอง มีสภาพไม่ได้ดีไปกว่าสุขภาพของลุงที่อาศัยโรงหมอเป็นที่พักอาศัยถาวร
เหตุที่กษัตริย์ประเทศอื่นเขาไม่มายุ่งเรื่องการพัฒนา เพราะเขามีรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่ราษฎรเลือกขึ้นมา เขาไม่มีการจัดงบประมาณให้กษัตริย์มาใช้พัฒนาตามใจชอบและถ้าใครใช้เงินภาษีของราษฎรก็ต้องมีกรรมการตรวจสอบการใช้จ่าย แต่ลุงสมชายกลับคุมอำนาจทั้งหมด เหมาทำเองทั้งหมด จะเบิกเท่าไรก็ได้ไม่มีใครกล้าถามกล้าตรวจสอบ โครงการหลายอย่าง เช่น ฝนเทียม หรือแก้มลิง ก็เป็นความคิดของเจ้าหน้าที่ แต่ลุงก็อ้างว่าเป็นความคิดของตน พอลุงสมชายเอามาทำ ได้ผลหรือไม่ ใช้เงินทองไปเท่าไร คุ้มค่าหรือไม่ ไม่มีใครกล้าประเมินกล้าตรวจสอบ
การอ้างว่าลุงสมชายทำงานหนักเพื่อราษฎรน่าจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ และผลที่ได้ก็ไม่มีให้เห็นเป็นเครื่องยืนยัน เพราะถ้าลุงสมชายทำงานหนักกว่ากษัตริย์ประเทศอื่นๆ ประเทศไทยก็น่าจะเจริญมากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะเจริญเหมือนประเทศอื่นๆ ที่กษัตริย์ของเขาไม่ต้องกุลีกุจอขวนขวายขนาดลุงสมชาย
กษัตริย์ประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นไม่ต้องทำงานหนักเพื่อราษฎร ไม่มีกษัตริย์ประเทศอื่นใดที่มีโครงการนับร้อยนับพันและมีการมาโฆษณาทางสื่ออย่างต่อเนื่องทุกวัน แต่ประเทศของเขากลับยิ่งใหญ่มั่งคั่งสมบูรณ์พัฒนาอย่างรวดเร็วไม่เหมือนประเทศไทยที่ลุงสมชายได้ปกครองมานานมากกว่าประเทศอื่นใด
ประชาชนได้รู้เรื่องลุงสมชายและครอบครัวโดยผ่านการโฆษณาทางสื่อ และมีกฎหมายบังคับให้ต้องซาบซึ้ง จนทำให้เกิดความคิดความเชื่อว่าการโฆษณานั้นเป็นความจริง เพราะถูกบังคับให้ต้องยอมรับ ทั้งๆที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยที่จะมาเป็นข้อพิสูจน์ผลงานของลุงสมชายแต่อย่างใดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าถือเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการพัฒนาจริงๆ ไม่ใช่แค่การโฆษณาอวดอ้างเท่านั้น
แม้แต่โครงการสร้างเขื่อนและการชลประทานที่โฆษณาว่าลุงสมชายเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ จนได้รางวัลจากสหประชาชาติ ก็ต้องมีการตรวจสอบ การที่มีน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัดในช่วงปลายปี 2553 ทั้งๆที่มีเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างจากปูนซิเมนต์ของลุง
ที่น้ำท่วมใหญ่และท่วมนาน ก็เพราะคลองระบายน้ำ ทั้งตื้นและตัน ทั้งๆที่มีการใช้งบประมาณขุดลอกคลองทุกปี โดยมีผู้รับเหมาผูกขาดขาประจำ ก็คือทหารองครักษ์ของลุงสมชายที่เรียกกันว่าหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทยทำหน้าที่สร้างคูคลอง ฝายเก็บน้ำโดยเบิกงบประมาณไปทำทุกปี แบบไม่รู้จักพอ ยิ่งสร้างมาก งานยิ่งมีอีกมาก จากงานก่อสร้างเป็นงานซ่อมแซม งานขุดลอก ที่ใช้เงินมากกว่าการก่อสร้างอีก สร้างกันทั้งปีทั้งชาติ แบบไม่มีวันหมด
โดยเบิกเป็นค่าน้ำมัน คิดตามขนาดเนื้องาน ใช้รถบรรทุกกี่คัน ใช้กระบุงปุ้งกี๋กี่หาบ จอบเสียมกี่อัน คิดเฉลี่ยแล้ว ราคาคิวละประมาณ 50 บาท แถมมีค่าแรงพิเศษ ค่าโอที ค่าเบี้ยเลี้ยง เป็นเงินเบิกประจำแต่ละเดือนมากกว่า 10 ล้านบาท
พอถึงเวลาทำงานจริงๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรเลย เพียงแค่เอางานทั้งหมดไปให้ผู้รับเหมาท้องถิ่นรับช่วง ราคาเฉลี่ยคิวละ 8 บาท โดยไม่มีการตรวจงานว่าทำได้จริงแค่ไหน คือ เป็นการกินกันสองทอด ทอดแรกทหารพัฒนาของลุงกินเนื้อชิ้นใหญ่คิวละ 42 บาท โดยไม่ต้องทำอะไร แค่แบ่งเศษเนื้อให้ผู้รับเหมาท้องถิ่นรับไปคิวละ 8 บาท เพื่อหาคนหาจอบเสียมมาขุดมาทำพอเป็นพิธี
แล้วตั้งโครงการขุดลอกคลอง ซ่อมถนน อีก 3 ปีตั้งงบประมาณขึ้นมาเพื่อเบิกเงิน เรียกผู้รับเหมาท้องถิ่นเจ้าเดิมมาเจรจา อ้างว่าถูกตรวจสอบว่าขุดคลองความลึกไม่ได้ตามกำหนด ให้ช่วยมาขุดเพิ่ม โดยเหมาจ่ายแบบช่วยค่าแรงค่าน้ำมัน โดยจ่ายเงินไม่ถึง10เปอร์เซ็นต์ของเงินที่เบิกออกมา
ในแต่ละปี ทหารพัฒนาของลุงในแต่ละท้องจะได้เงินเข้ากระเป๋าคนละกว่า 20 ล้านบาท โดยใช้เงินของกระทรวงคมนาคม กรมชลประทาน กรมผังเมือง กรมโยธาธิการ โดยหน่วยทหารพัฒนาของลุงเป็นคนเบิกเงินมาดำเนินการเอง ฉ้อราษฎร์บังหลวง กินกันหลายต่อหลายรอบ จึงไม่มีคลองระบายน้ำที่ดี หรือมีแต่คลองตื้นๆ ระบายน้ำไม่ได้ พอฝนตกก็เอ่อล้น เกิดน้ำท่วมขังแบบไม่มีทางระบาย
พวกหน่วยงานอื่นๆก็ทำเป็นเงียบ เพื่อจะได้รองบช่วยเหลือ งบภัยแล้ง ที่เตรียมไว้อยู่แล้ว โวยไปก็มีเรื่อง นิ่งดีกว่า เพราะจะได้ร่ำรวยมีเงินใช้อีกด้วย คนที่เดือดร้อน ก็คือราษฎรในท้องที่ ตอนที่นายกรักสินได้บริหารบ้านเมืองเกิดน้ำท่วมใหญ่ในท้องที่หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จากน้ำฝนที่ตกมากจนระบายน้ำไม่ทัน น้ำจึงเอ่อล้นท่วมตัวเมืองอยู่หลายวัน
นายกรักสินตรวจพบว่าคลองหอยโข่ง ที่เรียกว่าคลอง ร.1 และคลองอู่ตะเภาของลุงสมชาย ที่ขุดเพื่อระบายน้ำ กลายเป็นแค่ลำราง ทำแบบขอไปทีโดยหน่วยทหารพัฒนาพื้นที่ 4
ใช้เงินไปร่วมหมื่นล้านบาท ระยะทำงานเกือบ 5 ปี ตั้งแต่สมัยนายจวนเชื่องช้า คุมกระทรวงกลาโหม มีหัวหน้าทหาร ชื่อพลโทปานเทพ ภูวนารถนุรักษ์เป็นแม่ทัพ
มีรองหัวหน้าวางแผนเป็นนักรบผิวเนียนชื่อปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ ที่ต่อมาเป็นกำลังสำคัญของเสื้อเหลือง แต่ทำไปแล้วใช้ไม่ได้ คลองกว้างไม่ถึง 6 เมตรทั้งที่ในแบบต้องกว้าง 15 เมตร ทำให้ทุกคลองซอยตีบตันหมด บางคลองมีความกว้างเฉลี่ยไม่ถึงเมตร น้ำจึงไมไหล ราษฎรไม่ได้ใช้น้ำ แถมทางระบายน้ำก็กลายเป็นคันดินกั้นน้ำ
นายกรักสินจึงตั้งงบเร่งด่วน ใช้เงินไม่ถึงพันล้านบาท ใช้เวลาขุดลอกแค่ปีเดียว โดยให้พี่ชายที่ชื่อพลเอกชัยสิทธิ์ ชินวัตร ลงไปทำไม่ถึงปีก็เสร็จเรียบร้อย ทำให้ท้องที่หาดใหญ่สามารถระบายน้ำได้เร็วน้ำ จนนายอภิเสกเอามาอวดอ้างว่าเป็นเพราะคลองของลุงสมชายที่ระบายน้ำได้เร็ว
ที่จริงแล้ว ทหารองครักษ์และพัฒนาของลุงสมชายนั่นแหละ ที่เป็นตัวการทำให้น้ำท่วม แล้วยังอาศัยการทำมาหากิน เบิกเงินมาทำเรื่องการช่วยเหลือน้ำท่วมและฝนแล้งอีกต่างหาก คือ ทำมาหากินกันตลอดทาง ตั้งแต่หัวจรดท้าย แถมยังคอยล้มล้างรัฐบาลที่ทำงานแก้ปัญหาให้ราษฎร และยังเข่นฆ่าราษฎรผู้เรียกร้องประชาธิปไตยอีกด้วย
ที่จริงกษัตริย์ของประเทศอื่น เขาก็ทำงานเหมือนกัน แต่เขาไม่ออกมาโฆษณาป่าวร้องแบบหนักหนาสาหัสเหมือนประเทศไทย และราษฎรประเทศอื่นเขาก็ถือว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา
และถือเป็นหน้าที่ของกษัตริย์ที่ต้องทำงานตอบแทนราษฎรผู้จ่ายภาษีเลี้ยงดู ไม่ใช่เรื่องที่จะต้องยกย่องอะไรกันมากมายใหญ่โต มันเป็นเรื่องปกติที่มนุษย์ทุกคนต้องทำงานทำหน้าที่ของตน ราษฎรไทยส่วนใหญ่ก็ทำงานหนัก มาตั้งแต่เด็กจนแก่ และทำแทบทุกวัน โดยไม่มีใครไปคอยถ่ายภาพถ่ายหนังเพื่อนำมาโฆษณา
จึงไม่ควรเบียดบังการใช้เวลาของสาธารณะเพียงเพื่อการโฆษณาตนเองจนเกินไป เพราะยังมีเรื่องอื่นๆที่มีสาระประโยชน์ ที่ต้องทำอีกมาก ที่ว่าทำงานหนัก ก็เป็นภาพเก่าๆหลายปีก่อน ที่เป็นเพียงการเดินทางไปเยี่ยมราษฎรแล้วก็กลับ ส่วนภาพในระยะหลังก็มีแต่การออกมารับเงินบริจาคเงิน
ประเทศญี่ปุ่นตอนแพ้สงคราม อยู่ในจุดที่แย่กว่าประเทศไทยมาก แถมยังถูกสหรัฐเข้ามาบีบบังคับการปกครอง จนต้องผลักดันตัวเองขึ้นไปอยู่จุดสูงสุด แสดงให้เห็นว่าจักรพรรดิของญี่ปุ่นมีความสามารถเหนือกว่าลุงสมชายมาก โดยมีความเจริญก้าวหน้าเป็นหลักฐานยืนยันแก่สายตาชาวโลกได้เป็นอย่างดี แตกต่างจากประเทศไทยที่มีลุงสมชายที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อราษฎรอย่างแท้จริง พอมีรัฐบาลของราษฎรที่เข้ามาทำงานได้ดี ก็จะถูกลุงสมชายแอบสั่งการให้ทหารขับไล่ แล้วก็ยึดอำนาจแล้วกอบโกยโกงกินและแก้รัฐธรรมนูญเพิ่มอำนาจเพิ่มความมั่งคั่งให้แก่ลุงและบริวาร โดยมีลุงสมชายคอยสนับสนุน และประทับตราลงชื่อรับรองให้ทุกครั้ง
ราษฎรชาวญี่ปุ่นเขาสามารถควบคุมพระจักรพรรดิของเขาให้อยู่ภายใต้กฎหมาย ต่างกับราษฎรไทยที่ลุงสมชายกลายเป็นคนที่ควบคุมราษฎรไว้ทั้งหมด และลุงสมชายก็ไม่ต้องอยู่ใต้กฎหมายใดๆ ราษฎรไทยทุกคนต้องทำตามคำสั่งของลุงคนเดียวเท่านั้น จึงเป็นเหตุให้ประเทศไทยด้อยพัฒนากว่าญี่ปุ่นในทุกๆด้าน เป็นเวลาหลายสิบปี มีสิ่งเดียวที่ประเทศไทยเหนือกว่า คือ ขณะที่ลุงสมชายร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในโลก แต่จักรพรรดิญี่ปุ่นไม่เคยติดอันดับความร่ำรวยเลย
ขณะที่ขบวนการเสื้อเหลืองและนักวิชาการฝ่ายเจ้าพยายามเรียกร้อง ให้มีการคืนอำนาจการปกครองบ้านเมืองให้ลุงสมชาย เหมือนในสมัยโบราณ โดยอ้างว่าประเทศไทยไม่เหมาะกับการปกครองที่ให้ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจ เพราะราษฎรส่วนใหญ่ชอบที่จะทำตามใจตนเอง ไม่ค่อยมีระเบียบวินัย และด้อยการศึกษา ไม่มีจริยธรรมหรือคุณธรรม ถ้าปล่อยให้ราษฎรปกครองบ้านเมืองก็เท่ากับเปิดโอกาสให้พวกนักการเมือง เข้ามากอบโกยโกงกิน ระบอบที่ลุงสมชายเป็นใหญ่จึงย่อมดีกว่าระบอบที่ราษฎรเป็นใหญ่
แต่ที่ผ่านมา ระบอบของลุงสมชายก็มีแต่พรรคพวกของลุงสมชายเท่านั้นที่มีสิทธิพิเศษเหนือราษฎร มีการทุจริตเบียดบังไม่น้อยไปกว่าคนอื่นๆและทำอะไรก็ได้โดยมีการจรวจสอบ ราษฎรยังต้องยกมือไหว้ทั้งๆที่พวกเขาใช้เงินภาษีของราษฎร พยายามโฆษณาแต่เพียงด้านดีของระบอบเจ้า โดยไม่ยอมรับความเป็นจริงที่ว่าระบอบเจ้านั้นได้นำความเสียหายมาสู่บ้านเมืองไม่น้อย จนต้องเสียดินแดน เสียบ้ืาน เสียเมืองก็เพราะเรามีเจ้าที่ไร้ความสามารถ เป็นทรราช
จนหลายๆประเทศพากันล้มล้างระบอบเจ้าแล้วเปลี่ยนระบอบการปกครองประเทศให้สามัญชนเป็นผู้นำ โดยมีกำหนดวาระ มีการตรวจสอบเป็นระบอบสาธารณรัฐ แม้แต่สหรัฐซึ่งเป็นลูกพี่ใหญ่ของลุงสมชาย ก็ใช้ระบอบสาธารณรัฐ จนได้เป็นประเทศมหาอำนาจของโลกมาอย่างยาวนาน
ขณะที่นักการเมืองต้องถูกตรวจสอบต้องตอบข้อข้องใจ มีทั้งการกล่าวหาและการพิสูจน์หรือชี้แจงกันได้ตลอดเวลา จึงดูเหมือนกับว่านักการเมืองเลวกว่าระบอบเจ้า เพราะราษฎรไม่มีสิทธิ์ตรวจสอบหรือวิจารณ์เจ้า ราษฎรจึงไม่ทางรู้ว่าลุงสมชายและป้าสมจิตดีชั่วอย่างไรตามความเป็นจริง เพราะมีแต่การบังคับให้ราษฎรต้องยกย่องสรรเสริญแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น กลายเป็นว่าการปกครองของประเทศไทยนั้น ส่งเสริมแต่เผด็จการระบอบเจ้า แต่บ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย และสร้างเครื่องมือทำลายระบอบการเลือกตั้งของราษฎรโดยใช้ศาลที่ขึ้นกับเจ้า
ขณะที่ห้ามการตรวจสอบหรือวิจารณ์ระบอบเผด็จการเจ้า ผู้ปกครองของไทยทุกสมัยต้องสนับสนุนเชิดชูการปกครองระบอบเจ้าอย่างออกนอกหน้า แทนที่จะสนับสนุนการปกครองโดยตัวแทนราษฎร มีการทุ่มเทงบประมาณจำนวนมากเพื่อการเฉลิมฉลองและโฆษณาสดุดีสรรเสริญระบอบเจ้า แทนที่จะเน้นเรื่องของราษฎรที่อ้างกันว่าเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด
บ้านเมืองที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยจะปลูกฝังให้ราษฎรหวงแหนสิทธิเสรีภาพและผลประโยชน์ของตน ไม่ยอมให้ใครมาปล้นอำนาจของตนไปได้ง่ายๆ แต่ผู้ปกครองของไทยกลับสนับสนุนระบอบเจ้า ออกนโยบายที่เน้นย้ำและบังคับให้ราษฎรต้องภักดีต่อเจ้า ทั้งๆที่มันขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง
เช่น การนำเงินงบประมาณจำนวนมาก มาจัดงานถ่ายทอดสดคุณความงามดีต่างๆ ของระบอบเจ้า ให้เจ้าหน้าที่บ้านเมืองปลุกกระแสจงรักภักดี สร้างค่านิยมว่าใครไม่จงรักภักดีเป็นคนไม่ดี การจัดสร้างป้ายภาพต่างๆตามถนนหนทางเพื่อโฆษณาเจ้าและการประชาสัมพันธ์อื่นๆ การจ่ายงบประมาณปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของเจ้า ซึ่งร่ำรวยมั่งคั่งอยู่แล้ว และยังมีการปลูกฝังให้รักและภักดีต่อเจ้าและครอบครัว ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียน รวมทั้งโรงเรียนตำรวจและทหารทั่วประเทศ แต่แทบไม่มีพื้นที่สำหรับระบอบประชาธิปไตยเลย
ทำไมต้อง ใช้งบประมาณในงานศพถึง 300 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องสิ้นเปลืองไม่เกิดประโยชน์ต่อราษฎร ระบอบประชาธิปไตยต้องปลูกฝังการทำงานเพื่อประชาชน มิใช่ปลูกฝังความจงรักภักดีต่อเจ้า ซึ่งเป็นการปกครองแบบโบราณที่ถูกยกเลิกไปแล้ว ประชาชนจึงไม่มีหน้าที่ต้องปกป้องเจ้าอีกต่อไป แต่มีหน้าที่ต้องปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชนเอง และต้องไม่ยอมให้ทหารของเจ้ามาปล้นอำนาจของประชาชนโดยเด็ดขาด
ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะประเทศไทยยังคงปกครองด้วยระบอบสมบูรณาสิทธิราชย์ในทางปฏิบัติ เพียงแต่ใช้รูปแบบของการเลือกตั้ง เพื่ออำพรางเนื้อหาที่แท้จริงที่อำนาจยังคงเป็นของเจ้าแบบในสมัยโบราณ กลไกอำนาจรัฐที่แท้จริงจึงขึ้นต่อเจ้า และมีหน้าที่ต้องสนับสนุนระบอบเจ้า ทำทุกอย่างเพื่อสร้างรูปการและจิตสำนึก ให้สอดคล้องกับการปกครองที่เจ้าเป็นใหญ่
ในขณะที่ต้องบั่นทอนบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตย ซึ่งถือเป็นระบอบตรงข้าม เช่น การกล่าวหาให้ร้ายการเลือกตั้ง และการอ้างความไม่พร้อมของราษฎร แต่กลับละเลยการตรวจสอบบุคคลในระบอบเจ้า
ในเมื่อราษฎรสามารถตั้งคำถามกับนักการเมืองได้ ก็ต้องตั้งคำถามกับระบอบเจ้าได้เหมือนกันเพราะเป็นบุคคลที่กินเงินภาษีของราษฎรเหมือนกัน แต่ราษฎรถูกสอนมาตลอด ว่าพวกเจ้าสมบูรณ์แบบสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ จะตั้งคำถามจะสงสัยไม่ได้เด็ดขาด ทั้งๆที่เป็นคนเหมือนราษฎร ถ้าเป็นนักการเมืองก็ยังถูกคู่แข่งหรือประชาชนวิจารณ์ได้ ทำไมประชาชนจะต้องเชื่อว่าพวกเจ้าเป็นคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งๆที่พวกเจ้าไม่เคยผ่านกระบวนการตรวจสอบมาก่อนเลย
ข้ออ้างที่ว่าพวกเจ้าดีกว่านักการเมือง พวกนักการเมืองมีแต่พวกทุจริตโกงกิน ก็คงใช้อ้างไม่ได้ เพราะนักการเมืองนั้นถูกวิจารณ์มาตลอด ถึงจะเป็นคนดีก็ยังมีคำถามตามมาว่าทำงานคุ้มค่าภาษีอากรไหม แต่ฝ่ายเจ้าไม่เคยมีใครวิจารณ์ และนักการเมืองของประเทศอื่นๆ ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าประเทศไทย เพียงแต่ประเทศอื่นไม่มีทหารของเจ้าคอยล้มล้างผู้บริหารบ้านเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแบบประเทศไทย
บางคนอ้างว่าลุงสมชายเป็นศูนย์รวมของจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ทั้งๆที่ มีกฎหมายบังคับให้ทุกคนต่างต้องเคารพเทิดทูนต้องกราบไหว้ลุงสมชายอยู่แล้ว จึงเป็นการบังคับกันล้วนๆ มิได้เกิดจากความคิดความรักและความเข้าใจที่แท้จริง ยิ่งในระยะหลัง คนไทยได้เห็นความจริงมากขึ้น ที่เรียกว่าตาสว่างกันทั้งแผ่นดิน ได้มองเห็นถึงการที่ลุงแอบบงการความชั่วร้ายต่างๆในแผ่นดิน
ในสมัยของนายอภิเสกซึ่งเป็นเด็กสร้างของลุง ได้มีความพยายามจัดงานฉลองให้ลุงสมชายอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา คือ ปี 2552 ฉลองการเข้าสู่ปีที่ 60 แห่งการฉลองนั่งเก้าอี้
ปี 2553 ฉลอง 60 ปี การนั่งเก้าอี้เต็มยศและฉลองแต่งงาน
ปี 2554 ฉลองลุงสมชายอายุครบ 7 รอบ, หญิงใหญ่จูลี่ครบ 5 รอบ
ปี 2555 ฉลองป้าสมจิตอายุครบ 80 เสี่ยอูครบ 5 รอบ
นายอภิเสกสั่งอนุมัติงบประมาณ ปี 2553-2554 500 ล้านบาท เพื่อจัดงานฉลองให้ลุงสมชาย โดยปี 2553 จ่าย 200 ล้านบาท และปี 2554 อีก 300 ล้านบาท ถ้านับรวมทั่วประเทศที่ต้องระดมจัดทุกตำบล ก็ต้องใช้เงินจัดงานฉลองให้ลุงสมชายถึงปีละ 12,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาลที่น่าจะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากกว่าการนำมาทุ่มโฆษณาที่ไม่มีประโยชน์ ทั้งยังเป็นการส่งเสริมระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ตรงกันข้ามกับความคิดประชาธิปไตย
บางคนแย้งว่าเงินหมื่นกว่าล้านบาท ที่ใช้สดุดีลุงสมชายเป็นเงินไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับการทุจริตของนักการเมือง โดยเฉพาะในสมัยของนายกอภิเสกที่มีข่าวว่ามีการโกงถึงปีละสองแสนล้านบาทหรือหักคอไว้ก่อนร้อยละ 30 ก็ต้องถามว่า การทุจริตคอรัปชั่นมีต้นตอมาจากไหน
ใคร คือ ต้นทางของการส่งส่วยรับสินบน ลองไล่ลำดับว่าการทุจริตกินสินบนไปจบที่ตรงไหน ต้องมีเส้นใหญ่แค่ไหนจึงจะทำเรื่องเลวๆได้บ่อยๆ โดยไม่มีความผิด ใครที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ที่สามารถทำผิดให้เป็นถูก และทำให้ใครกลายเป็นคนผิดเมื่อใดก็ได้ มีสักกี่ครั้งที่มีการลงโทษเรื่องการรับสินบน ใครที่คุมอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ต้องซื้อขายตำแหน่งกันในราคาที่แพงแสนแพง บางปีก็ยังแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจไม่ได้เพราะคนในครอบครัวของลุงไม่ยอมตกลงกัน
แต่ถ้าอ้างว่า ลุงและครอบครัวไม่รู้ไม่เห็น ก็แสดงว่าลุงเองไ่ม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้บ้านเมืองเลยเพราะราษฎรเขารู้กันไปทั่ว แต่ว่าลุงกลับปล่อยให้เปรมิกาและพวกลูกน้องของลุง เอาชื่อไปอ้างโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วย
ตอนนี้ เลยกลายเป็นประเพณีใหม่ไปแล้ว ว่า ลุงให้เริ่มจัดงานฉลองตั้งแต่ปีก่อนครบ จนถึงปีที่ครบจริง และเมื่อเคยจัดงานแบบยิ่งใหญ่แล้ว งานใหม่ก็ต้องให้ใหญ่กว่าเดิมเสมอ กลายเป็นหาเรื่องหากิจกรรมอะไรก็ได้ มาเฉลิมฉลองให้ลุง ทุกๆรูปแบบ คงเหมือนสมัยโรมันช่วงที่อาณาจักรใกล้จะล่ม มีการฉลองสารพัดขนาดสร้างสนามกีฬาโคลีเซียมให้คนต่อสู้กันถึงตาย แบบในหนังเรื่องแกลดิเอเตอร์ ในขณะที่ราษฎรส่วนใหญ่ก็ยังเจอปัญหาปากท้องและความไม่เป็นธรรมสารพัด
ส่วนผู้มีอำนาจ ก็เพียงแต่ต้องทำหน้าที่เอาใจลุงสมชายให้ดีที่สุด เพราะลุงเป็นเจ้าของประเทศ และควบคุมประเทศไทยไว้ทั้งประเทศ ลุงสมชายเป็นเจ้าชีวิตของทุกคน มีอำนาจสารพัด จะทำจะพูดจะสั่งอะไรก็ได้ โดยไม่มีใครกล้าโต้แย้งและต้องนำไปปฏิบัติโดยไม่มีการยกเว้น ขณะที่ลุงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ทหารที่ลุงรักมากที่สุด คือจอมพลสฤษดิ์ ซึ่งเป็นคนเขียนกฎหมาย บังคับให้ประชาชนต้องเคารพบูชาลุงอย่างเข้มงวด และประชาชนไม่สามารถยกย่องใครให้ดีกว่าหรือเทียบเท่าลุงสมชายได้เป็นอันขาด อาจจะโดนข้อหาว่าตีตนเสมอท่าน
ขณะที่ลุงสมชายเป็นเจ้าที่ร่ำรวยล่ำซำที่สุดในเจ็ดคาบสมุมุทร มีคฤหาสน์ใหญ่โตมโหฬารหลายแห่ง ลูกๆหลานๆ ต่างใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือย ได้เล่าเรียน เที่ยวเตร่ต่างประเทศโดยใช้เงินของประชาชนมากมายกว่ากษัตริย์ทุกประเทศที่เจริญรุ่งเรืองกว่าประเทศหลายช่วงตัว ทั้งยังมีกิจการโรงแรมระดับหรูที่มีสาขามากกว่า 50 แห่งทั่วโลก รวมทั้งสวนน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่สเปน
ขณะที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ยังต้องปากกัดตีนถีบ แต่เครือข่ายของลุงสมชายก็ยังกล้าโฆษณาว่าเป็นความโชคดีของชาวไทย ที่จะต้องรับใช้เป็นไพร่ทาสตอบแทนลุงสมชายและครอบครัวต่อไปอย่างไม่จบสิ้น
วันที่ 28 กรกฎาคม 2553 รัฐมนตรีวัฒนธรรมให้หอภาพยนตร์ จัดทำโครงการหนังสั้นเกี่ยวกับการทำงานของลุงสมชาย เพื่อฉายในโรงภาพยนตร์ก่อนที่จะมีการฉายภาพยนตร์ทุกเรื่อง เพื่อให้คนไทยรักและเทิดทูนลุงสมชายมากขึ้น คงเนื่องมาจากประชาชนชาวไทยเริ่มเห็นความจริงและเสื่อมศรัทธาลุงสมชายมากขึ้นทุกที ถึงกับต้องบังคับให้ดู จะได้ซาบซึ้ง ซึ่งก็คงไม่ได้ผลอะไรนัก
ลองเปรียบเทียบกับประเทศเกาหลีใต้ ที่เคยมีระบอบเจ้าตามที่เห็นในละครทีวีที่อยู่กันอย่างหรูหราใหญ่โต ต่อมาต้องเป็นเมืองขึ้น และแตกออกเป็นเกาหลีใต้และเกาหลีเหนือ ที่คอยจ้องขย้ำกันตลอดมา แต่ทำไมเกาหลีใต้ถึงได้ผงาดเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่เศรษฐกิจของโลก มีความเจริญก้าวหน้าสมบูรณ์มั่งคั่ง ประชาชนเกาหลีใต้ยังรักชาติ รักครอบครัว ยังรักษาธรรมเนียมของตัวเอง ทั้งภาษาพูด ภาษาเขียนทั้งดนตรีหนังละคร โดยที่ไม่ระบอบเจ้ากับขี้ข้าแบบประเทศไทย
ปิดถนนราชดำเนิน
ให้ซิ่งรถแข่งเอาใจลุงสมชาย
เครื่องดื่มบำรุงกำลังกระทิงแดงร่วมกับเบียร์สิงห์และกรุงเทพ นำรถแข่งแชมป์โลกขับโชว์บนถนนราชดำเนิน ในวันเสาร์ที่ 18 ธันวาคม 2553 เวลาบ่ายสอง เพื่อเป็นการร่วมฉลองลุงสมชายอายุ 84 ในปี 2554
เวลาหกโมงเย็น วันที่ 17 ธันวาคม 2553 ลุงสมชายสวมสูทสีดำนั่งรถเข็น เพื่อลงมาดูรถแข่ง และนักขับรถแข่งเป็นเวลาเกือบชั่วโมงโดยมีราษฎรมาเฝ้ารอโห่ร้อง และก้มลงกราบเป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ผู้จัดงานทราบดีว่าลุงสมชายชอบรถแข่งมากตั้งแต่สมัยยังหนุ่มๆ จนประสบอุบัติเหตุทำให้บาดเจ็บสาหัสเสียตาข้างขวา แต่ลุงก็ยังติดตามการแข่งรถมาตลอด ขนาดว่าป่วยหนักเดินไม่ได้ ก็ยังถ่อสังขารลงมาดูเกือบชั่วโมง และยังพูดภาษาอังกฤษกับนักแข่ง เรื่องรายละเอียดการแข่งและชุดเสื้อผ้าของนักแข่ง รวมทั้งเรื่องพวงมาลัยรถ
ทางบริษัทยังได้ให้เงินลุงสิบล้านบาทเอาไว้ใช้ตามใจชอบ และถ่ายรูปร่วมกับแชมป์นักแข่งรถ ซึ่งคงคุ้มมากๆกับการได้โฆษณาสินค้า และเครื่องหมายกระทิงแดง เพราะได้ปิดถนนใหญ่ซิ่งรถแข่งฉลองให้ลุงมีอายุครบเจ็ดรอบในปีหน้า
มีการขับรถซิ่งไล่บี้กันอย่างหวาดเสียวรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ที่เรียกว่าโชว์ถลาลมโดยนักขับชาวไทยด้วยความเร็วสูง ควันขาวตลบและรอยล้อเสียดสีกับพื้นถนน
ปิดท้ายด้วยการขับรถแข่งโชว์ ของแชมป์โลกความเร็วสุดๆทั้งหมด 4 รอบ โชคดีที่ไม่มีการแหกโค้ง งานนี้บางคนคงนึกไม่ออกว่าประชาชนไทยจะได้ประโยชน์อะไรบ้าง นอกจากการเอาใจลุงสมชายเจ้าของประเทศเจ้าของถนนและเจ้าของชีวิตของราษฎร ที่จะสั่งให้ใครทำอะไรหรือเป็นอะไรก็ได้
.........
จุดพลุนานาชาติยิ่งใหญ่
เฉลิมเกียรติลุงสมชาย
และป้าสมจิตผู้มีบุญคุณแก่แผ่นดิน
ในโอกาสที่ลุงมีอายุ 83 ปี ในปี 2553 และ 84 ปี ในปี 2554 และป้าอายุ 79 ปี ในปี 2554 กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการท่องเที่ยวกับจังหวัดเชียงใหม่และพ่อค้าได้จัดงานใหญ่ให้ลุงและป้าด้วยการจุดพลุครั้งยิ่งใหญ่จากนานาชาติที่เชียงใหม่ ต้อนรับปีกระต่าย เฉลิมฉลองยาวนานข้ามปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จาก 5 ประเทศเป็นการแสดงพลุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยจัดแสดงในเอเซีย ประกอบดนตรีเพื่อแสดงความรักภักดี
โดยแบ่งออกเป็น 7 ตอน จากเจ้าภาพประเทศไทยสว่างทั่วฟ้า จากออสเตรเลีย พร้อมดนตรีร็อกแอนด์โรล สิบทิศอวยชัย จากประเทศจีนด้วยพลุสารพัดแบบและพลุขนาดใหญ่ 12 นิ้ว จากสหรัฐด้วยพลุที่น่าตื่นตาตื่นใจและแปลกใหม่ จากเดนมาร์คแสดงพลุยุโรปในบรรยากาศดิสโก้ ตามด้วยพลุฉลองปีใหม่2554 และพลุอวยพรจาก 5 ประเทศ
ภริยาคณะรัฐมนตรีชวนบริจาคเงิน
บวชพระ 999 รูป ให้ลุงสมชาย
รัฐบาลได้จัดโครงการบวชพระ 999 รูป เนื่องในโอกาสฉลองลุงสมชายอายุ 7 รอบ หรือ 84 ปี ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 โดยจะประกอบพิธีบวชระหว่างวันที่ 9 – 23 มกราคม 2554 และขอรับบริจาคเงิน โดยผู้บริจาคสามารถนำนำไปหักลดหย่อนภาษีได้ เพื่อเป็นการทำบุญให้ลุงสมชาย โดยให้แต่ละจังหวัดนั้น ส่งคนมาบวชได้ 11 คน กรุงเทพมหานคร เขตละ 1 คน กระทรวงต่างๆ กระทรวงละ 2 คน เหล่าทัพ 12 คน หน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวกับการกิจกรรม 7 คนและมีภาคเอกชนอีก 65 คน จะมีผู้แทนของภาคประชาชน ภาคเอกชน ทั้งนักกีฬา ศิลปิน นักศึกษา หรือบุคคลที่ทำชื่อเสียงให้กับประเทศชาติ อีก 65 คน วันที่ 21 มกราคม 2554 พระสงฆ์ทั้ง 999 รูป จะมาที่วัดพระแก้ว เพื่อสวดมนต์ให้พรลุงสมชาย โดยมีการถ่ายทอดสดทางทีวี
เชิดสิงโตฉลองตรุษจีน
ในโรงหมอ
2 กุมภาพันธ์ 2554 คณะแพทย์และพยาบาลโรงหมอสีหราชและสมาคมชาวไทยเชื้อสายจีนร่วมกันจัดเชิดสิงโต 21 ตัว มีผู้แสดงกว่า 80 คน บริเวณสนามหญ้าโรงหมอสีหราช โดยลุงสมชายแง้มหน้าต่างชั้น 16 ดูการเชิดสิงโต พร้อมทั้งมีการมอบเงินและกล้องถ่ายรูปให้ลุงสมชาย ปกติจะมีการเชิดสิงโตในเทศกาลตรุษจีนตามคฤหาสน์ของคหบดีหรือร้านค้าเพื่อให้เกิดความสุขความเจริญและโชคลาภ
แต่การเชิดสิงโตในโรงหมอ รวมทั้งการแสดงดนตรี หรือการบันเทิงต่างๆ เป็นสิ่งที่ต้องห้ามในบริเวณโรงหมอ แม้แต่รถยนต์ก็ยังห้ามบีบแตรเพราะจะเป็นการรบกวนผู้ป่วย แต่ลุงสมชายก็ชอบให้มีการแสดงบันเทิงต่างๆ ในบริเวณโรงหมอเป็นประจำ ไม่เคยห้ามปราม ทำให้มีคนพยายามจัดแสดงการบันเทิงเพื่อเอาใจลุงโดยไม่สนใจว่าจะเป็นการรบกวนผู้ป่วยคนอื่นๆ ลุงสมชายเองก็ยังเอาสุนัขเข้าไปเป็นเพื่อนซึ่งเป็นเรื่องขัดกับระเบียบของโรงหมอ แต่สุนัขของลุงถือว่ามีศักดิ์สูงกว่าราษฎรทั่วไปอยู่แล้ว
การที่ลุงเปิดโอกาสตั้งรูปภาพของตนเองให้ราษฎรกราบไหว้นั้น ก็เป็นเรื่องที่อาจผิดประเพณี เพราะการตั้งรูปให้ผู้คนมากราบไหว้นั้น เขาใช้สำหรับคนที่เสียชีวิตแล้วเท่านั้น เรื่องนี้คนไทย คนจีน คนลาวและกัมพูชา ล้วนมีความสงสัยข้องใจกันมาก ว่าทำไมลุงสมชายจึงทำเช่นนั้น
สร้างเรื่องซาบซึ้ง
โกหกระดับโลก
ต้นเดือนมิถุนายน 2553 เครือข่ายเนชั่นของสุทธิชัย หยุ่นได้แพร่ข่าวว่ามีนักข่าวไปสัมภาษณ์ท่านดาไลลามะ(Dalai Lama) ผู้นำทางจิตวิญญาณของธิเบตว่า ท่านคิดว่าผู้นำหรือใครที่เป็นตัวแทนเพื่อการอุทิศตัวเพื่อผู้อื่น ดาไลลามะตอบว่า ถ้าเอาข้าพเจ้าเทียบกับคนผู้นี้ ข้าพเจ้าจะกลายเป็นแค่เด็กหัดเดินไปเลย กับสิ่งที่คนผู้นี้ทำให้กับคนของเขาด้วยความรักและศรัทธาในสิ่งนี้อย่างเต็มเปี่ยม นักข่าวถามต่อว่าคนผู้นี้คือใคร ดาไลลามะตอบเพียงสั้นๆว่า ลุงสมชาย แห่งประเทศไทยไง
แต่ต่อมา สำนักเลขาธิการขององค์ดาไลลามะได้ออกหนังสือปฏิเสธเรื่องดังกล่าว ว่าไม่ได้มีการสัมภาษณ์ในลักษณะดังกล่าวโดยนักข่าวไทยแต่อย่างใด จึงไม่เคยมีการเปรียบเทียบถึงลุงสมชายแห่งประเทศไทยตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด
พวกนักข่าวหวังเยินยอสอพลอลุงสมชาย โดยอ้างชื่อบุคคลที่มีชื่อเสียงระดับโลก ทั้งๆที่ไม่มีมูลความจริงแม้แต่น้อย เพื่อให้เกิดความซาบซึ้งที่ไม่เป็นความจริง ก็คงเหมือนกับเรื่องซาบซึ้งที่พยายามสร้างกันอยู่ทุกวัน อาศัยเพียงการโฆษณาด้านเดียวโดยไม่มีการตรวจสอบ
..............
..............
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น