วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

112 สยองพระเกียรติ ตอนที่ 7 : คนไทยไม่ได้กินหญ้า Section 112 07




112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่
7 : คนไทยไม่ได้กินหญ้า  
  
จดหมายเปิดผนึกเรื่องความยุติธรรม

เรียน ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์

31 มีนาคม 2554
พระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์ออกทีวีในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยตามที่มีรายงานข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ มีตอนหนึ่งว่า



ใจจริงของฉัน อยากจะขอเวลาจากรายการทีวีช่วงสั้นๆ แค่ 5 นาที 10 นาที ฉายพระราชกรณียกิจที่ท่านทำ สงสารท่านเถอะ ท่านทุ่มเทเต็มที่ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดทุกงานที่ทำทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความสามัคคีของคนไทย อยากให้กลมเกลียว คนไทยต้องเข้มแข็ง ชาติจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไป ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรจะได้รับ
เรื่องที่ทรงเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถนี้ ได้เป็นประเด็นหลักที่หนังสือพิมพ์ที่รายงานเรื่องการพระราชทานสัมภาษณ์นี้ นำไปพาดหัว
ปัญหามีอยู่ว่าการให้สัมภาษณ์ที่ทรงเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับ 2 พระองค์ นี้ โดยการให้สัมภาษณ์เอง เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม หรือพูดง่ายๆคือไม่แฟร์ ในขณะที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็จริง แต่โดยประเพณีของการตีความกฎหมายนี้ในลักษณะครอบจักรวาลที่ผ่านๆมา และในสภาพที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบการประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยพลเมืองตั้งแต่เด็กๆแบบด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ไม่ว่าระดับใด รวมทั้งฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ โดยที่การประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยดังกล่าว ไม่เคยเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ โต้แย้งได้

ผลก็คือ แม้แต่การให้สัมภาษณ์ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เช่นนี้ ก็ยากที่จะมีใครกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อเนื้อหาของการให้สัมภาษณ์นี้ เกี่ยวพันถึงในหลวงและพระราชินี ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอาญามาตรา 112 การจะวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพาดพิงถึง 2 พระองค์ด้วย เช่น ทรงไม่ได้รับความยุติธรรมหรือไม่อย่างไร เป็นต้น

ตามหลักการที่ทั่วโลกอารยะถือกันในปัจจุบันว่า การที่บุคคลสาธารณะ แสดงความเห็นต่อสาธารณะในเรื่องที่เป็นสาธารณะ เช่นที่ทรงให้สัมภาษณ์นี้ จะต้องเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความไม่เห็นด้วย หรือกระทั่งโต้แย้งได้ มีความพร้อมให้ตรวจสอบ การไม่เปิดโอกาสเช่นนั้น ย่อมถือเป็นการไม่แฟร์ หรือไม่ยุติธรรม ในสภาพสังคมไทยทั้งทางกฎหมายและการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยดังกล่าว ทำให้การพระราชสัมภาษณ์ที่ทรงเรียกร้องความยุติธรรมนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการประชาสัมพันธ์ด้านเดียว และการอบรมบ่มนิสัยด้านเดียว เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระราชวงศ์ ที่ตรวจสอบไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งไม่ได้ ซึ่งไม่ยุติธรรมไปโดยปริยาย

ผู้นิยมเจ้าจำนวนไม่น้อยมักโต้แย้งว่า การมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และการห้ามการวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้ง ตรวจสอบการประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยแบบด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ เป็นเพราะพระราชวงศ์ไม่อยู่ในฐานะที่จะมาโต้แย้งหรือตอบโต้การตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยมักจะพูดในทำนองว่าพระองค์ท่านไม่สามารถตอบโต้ได้ จึงต้องให้รัฐทำการตอบโต้ด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่รุนแรงในระดับที่ไม่มีประเทศอารยะที่ไหนอนุญาตให้มี
ความจริงเหตุผลหรือข้อโต้แย้งนี้ เป็นการให้เหตุผลแบบกลับหัวหลับหาง โดยเอาผลมาอ้างเป็นต้นเหตุ เพราะการที่มีผู้เรียกร้องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบเกี่ยวกับพระราชวงศ์นั้น เริ่มมาจากการที่พระราชวงศ์ได้เข้ามามีบทบาททางสาธารณะในทุกด้านอย่างมหาศาล โดยมีระบบการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวและการอบรมบ่มนิสัยด้านเดียว เป็นตัวส่งเสริมบทบาทเหล่านั้น ซึ่งตามบรรทัดฐานที่ยอมรับกันทั่วไปในโลกอารยะ รวมทั้งในประเทศไทยในกรณีอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ บทบาทสาธารณะทุกอย่างของบุคคลสาธารณะและการประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยที่เป็นสาธารณะในลักษณะนี้ จะต้องได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบโต้แย้งกระทั่งเสนอให้เอาผิดได้แต่แรก

ถ้าไม่มีบทบาทและระบบการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยด้านเดียว เกี่ยวกับพระราชวงศ์แต่แรก ก็ไม่มีความจำเป็นหรือการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์หรือเสนอเอาผิดแต่แรก
พูดง่ายๆคือ ถ้าไม่ต้องการให้มีการเรียกร้องเรื่องความพร้อมให้ตรวจสอบของสาธารณะ ไม่ต้องการให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบพระราชวงศ์ ก็ต้องไม่มีบทบาทอันมหาศาลและระบบการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชวงศ์ตั้งแต่แรก
การมีสิ่งเหล่านี้แต่แรก แล้วเมื่อมีคนเรียกร้องเรื่องความพร้อมให้ตรวจสอบต่อสิ่งเหล่านี้ แล้วฝ่ายนิยมเจ้ากลับมาอ้างว่าห้ามไม่ให้ทำ เพราะพระราชวงศ์ไม่สามารถออกมาตอบโต้เองได้ จึงเป็นการอ้างที่ปลายเหตุ ที่เกิดจากการทำผิดหลักการเรื่องนี้แต่แรก

การที่ประเทศ ประชา ธิปไตย ทุกประเทศที่ยังมีกษัตริย์เป็นประมุข ไม่อนุญาตให้มีบทบาทสาธารณะของพระราชวงศ์และไม่อนุญาตให้มีระบบการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยพลเมืองด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชวงศ์ ในลักษณะที่ประเทศไทยมีนับแต่สมัยเผด็จการสฤษดิ์ ก็เพราะถือกันว่า การมีบทบาทสาธารณะและระบบประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยพลเมืองเกี่ยวกับเรื่องใดๆก็ตามนั้น จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบเอาผิดของสาธารณะได้ตั้งแต่ต้น
พวกนิยมเจ้าของไทยยอมให้มีการทำผิดหลักการเรื่องการมีบทบาทสาธารณะอย่างมหาศาลและประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยด้านเดียวซึ่งเป็นเรื่องสาธารณะเกี่ยวกับพระราชวงศ์ โดยไม่มีความพร้อมให้ตรวจสอบแต่ต้น ซึ่งการยอมให้มีการปฏิบัติเช่นนี้ต้องถือเป็นความไม่ยุติธรรม แต่เมื่อมีคนเรียกร้องให้ปฏิบัติให้ถูกตามหลักการนี้ ให้ยุติภาวะไม่ยุติธรรมนี้ พวกเขาก็มาอ้างเรื่องพระราชวงศ์ตอบโต้ไม่ได้ ซึ่งเป็นการอ้างในลักษณะที่ต้องการรักษาความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นก่อน จึงไม่สามารถเอาเรื่องความยุติธรรมมาอ้างได้

ถามฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เรื่องเผาบ้านเผาเมือง
5 เมษายน 255


จากการให้สัมภาษณ์ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ในรายการ วู้ดดี้ เกิดมาคุยที่เผยแพร่เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ว่า จะเล่าไป ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่อยากพูดถึงใครว่าใครดีใครเลว ไม่รู้ เพราะไม่เคยคบนักการเมือง แต่ว่า รู้แต่ว่า เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯเหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวนี่ จากที่ทรงหัดเดินได้น่ะ ตอนนั้นน่ะ ทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือ นอนแบ่บเลย สมเด็จฯก็เสียพระทัยมากเหลือเกิน ท่านรับสั่งว่า 'คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้ สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง'
แม้ฟ้าหญิงจะออกตัวว่าไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่คำสัมภาษณ์นี้ มีลักษณะการเมืองอย่างชัดเจนและมากด้วย การที่พระราชทานสัมภาษณ์หรือมีพระดำรัสทางการเมืองแบบนี้ ในสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและสังคมปัจจุบัน เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเลย  ไม่มีหนังสือพิมพ์หรือทีวีใด จะกล้าแสดงความเห็นโต้แย้งหรือเผยแพร่ความเห็นโต้แย้ง



ประการต่อมาฟ้าหญิงจุฬาภรณ์อ้างอิงถึงพระสุขภาพกายและใจของทั้งในหลวงและพระราชินี ว่าทรุดโทรมลงอย่างหนัก จากการที่มีการเผาบ้านเผาเมือง เกิดขึ้นเมื่อปีกลาย ในกรณีในหลวงนั้น เนื่องจากมีส่วนเกียวข้องกับพลานามัยในแง่ธรรมชาติของคนสูงอายุที่เป็นอยู่หลายโรค จึงยากจะประเมินว่า การที่ทรงทรุดถึงขั้นนอนหมดสภาพนั้น เกิดจากที่ทรงเห็นการ เผาบ้านเผาเมือง หรือเกิดจากโรคาพยาธิอื่น และต้องถือว่าเรื่องที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงเล่าในส่วนนี้ เป็นการตีความเชิงการเมือง หรือแสดงความเห็นทางการเมืองของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์



พูดง่ายๆคือ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เองทรงเห็นว่า การเผาบ้านเผาเมือง ทำให้ในหลวงทรงทรุดถึงขั้นเป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือ นอนหมดสภาพเลย ในกรณีพระราชินีนั้น แม้คงเชื่อได้ว่า ทรงเสียพระทัย และทรงมีรับสั่งเปรียบเทียบการเผาบ้านเผาเมืองปีกลาย กับการเสียกรุงจริงดังที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงเล่า เพราะพระราชินีเคยมีพระราชหัตถเลขาสนับสนุนคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่เขียนจดหมายถึง CNN โจมตีการชุมนุมของเสื้อแดง

ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็เคยแสดงทัศนะต่อเหตุการณ์ เดือนพฤษภาคม 2553 ในลักษณะนี้ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2553 ทรงมีพระราชดำรัสต่อคนไทยในนิวยอร์คว่า เรื่องการเมือง ข้าพเจ้าไม่รู้ด้วยหรอก ว่า ใครจะเกลียดใคร ใครอยากจะชิงดีชิงเด่นกับใคร แต่ว่า ทำไปนี่ อย่างน้อยน่าจะมีจรรยาบรรณซักนิดนึง สงสารประชาชนตาดำๆ ซักนิดนึงว่าจะเดือดร้อนกันแค่ไหน อันนี้ที่ผ่านมา นอกจากจะเดือดร้อนเรื่องความเจ็บ ความป่วยแล้ว ก็ยังเดือดร้อนทางด้านธุรกิจ คือว่าการที่มีประท้วงนานๆ มีความรุนแรงเกิดขึ้นทำให้ภาคธุรกิจของเราเดือดร้อน ซึ่งก็กระทบเศรษฐกิจของประเทศไทย




จะเห็นว่าเนื้อหาของพระราชดำรัสที่นิวยอร์คกับพระราชดำรัสในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เป็นไปในทางเดียวกัน คือทรงวิจารณ์การชุมนุมของเสื้อแดง โดยเฉพาะในส่วนที่เกียวกับผลกระทบต่อภาคธุรกิจ แม้แต่เรื่องการเผาบ้านเผาเมือง นั้น ความจริงก็ดังที่รู้กันว่า ไม่ใช่บ้านเมืองของประชาชนธรรมดาจริงๆ แต่คือศูนย์การค้าย่านธุรกิจระดับสูง แน่นอนเป็นสิทธิของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ที่จะหยิบยกเอาประเด็นผลกระทบต่อภาคธุรกิจ หรือการเผาศูนย์การค้าย่านธุรกิจระดับสูงขึ้นมาวิจารณ์ แต่ที่น่าจะสะดุดใจก็คือ เหตุใดในระหว่างหรือหลังการประท้วงนานๆ ในกรณีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในปี 2551 ซึ่งรวมถึงการยึดครองสถานที่ราชการสำคัญที่สุดคือทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ที่เป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งยวดของภาคธุรกิจของประเทศ และมากยิ่งกว่าศูนย์การค้า คือสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ทำไมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จึงไม่ได้มีพระราชดำรัสในลักษณะเดียวกัน

อันที่จริง เราทราบกันดีว่า ทรงโดยเสด็จพระราชินีในงานพระราชทานเพลิงศพของผู้ประท้วงชาวพันธมิตรคนหนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 ในระหว่างที่การชุมนุมของพันธมิตรยังไม่ยุติด้วย  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ทั้งในพระราชดำรัสที่นิวยอร์คและการสัมภาษณ์วู้ดดี้เกิดมาคุย เหตุใดจึงไม่ทรงเอ่ยถึงการที่มีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามของรัฐบาลถึงเกือบ 100 คน และพิการบาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน ถ้าอะไรจะน่าสะเทือนใจที่สุดจากเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2553  ก็ควรจะเป็นเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ยิ่งกว่าเรื่องที่มีการเผาย่านธุรกิจระดับสูง ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าฝีมือใคร แต่ต่อให้สมมุติว่าเป็นฝีมือของผู้ชุมนุมก็ตาม การที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงแสดงออกซึ่งความสะเทือนใจกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมพันธมิตร 1 คนในปี 2551 ถึงกับโดยเสด็จในงานพระราชทานเพลิงศพ เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่  แต่กับผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน ที่ไม่ทรงเอ่ยถึงเลย แต่กลับทรงเอ่ยเฉพาะเรื่องการเผาตึกอาคารที่ไม่ใช่บ้านเรือนด้วยซ้ำ แต่เป็นศูนย์การค้าชั้นสูง ออกจะเป็นอะไรที่เข้าใจยากอยู่สักหน่อย


ปล. ในระหว่างเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 สมเด็จพระเทพ ได้ทรงให้สัมภาษณ์ว่า การฆ่าฟันหรือทำรุนแรงเป็นเรื่องไม่ดี การเสียทรัพย์สินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคน อยากให้เลิกฆ่าฟัน เลิกรุนแรงเพราะว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน ในขณะที่บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในส่วนที่เกี่ยวกับวิกฤติเดือนพฤษภาคม 2535 มีความซับซ้อนมากกว่าที่มักจะนำมาโฆษณาประชาสัมพันธ์กัน เฉพาะข้อความพระราชดำรัสของพระเทพที่ว่า การเสียทรัพย์สินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคน นี้ ต้องถือว่าถูกต้องและเหมาะสมกว่าการยกประเด็น เผาบ้านเผาเมือง ขึ้นมาเป็นจุดเด่น แน่นอนในระหว่างเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553  ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายว่า สมเด็จพระเทพเองก็ไม่ได้ทรงให้สัมภาษณ์ในลักษณะเดียวกันนี้อีก


ต่อมาอ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ได้รับหมายเรียกเนื่องจากสำนักงานพระธรรมนูญทหารบกแจ้งความ ตามความผิดมาตรา 112  โดยไปรายงานตัวเมื่อวันที่ 11พฤษภาคม 2554 จากกรณีที่ได้เขียนบทความภาษาไทยเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ 2 ชิ้น ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ต่างๆ ราวปลายเดือนมีนาคม-เมษายน 2554 โดยในชั้นนี้ยังไม่ต้องมีการประกันตัว เบื้องต้นได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและพร้อมต่อสู้ในชั้นต่อไป

จดหมายถึงพระมหากษัตริย์
เนื่องในวันที่
5 ธันวาคม 2553

จากปรวยหัวเข็ม





วิกฤติการเมืองไทย 5 ปีมานี้ บานปลายมาจนทหารไล่ยิงประชาชนกลางกรุงเทพตายไปมากกว่า 90 คน มีนักโทษการเมืองถูกจับกุมมากกว่า 200 คน ศูนย์การค้ากลางกรุงถูกเผาทำลาย มันเริ่มต้นเมื่อปลายปี 2548 และเริ่มเข้าสู่วิกฤติเมื่อทหารเข้ายึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549  ประเทศไทยจะไม่มีวันมาถึงจุดนี้ได้เลย ถ้าต้นเหตุส่วนหนึ่งไม่ได้เริ่มมาจากที่สถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง


ในประเทศไทย ความศรัทธาความจงรักภักดี ที่ประชาชน มอบให้สถาบันกษัตริย์ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ทำให้กษัตริย์ในประเทศไทยมีสถานะดั่งสมมุติเทพ สูงส่งจนไม่มีใครกล้าแตะต้อง เป็นยิ่งกว่าพระเจ้า แต่ความศรัทธา ความจงรักภักดีที่ประชาชนมอบให้สถาบันกษัตริย์นั้น ก็ไม่ได้มอบไว้เพื่อให้สถาบันกษัตริย์ลงมาสั่งการและจัดการการเมือง โดยไม่ฟังเสียงประชาชน


แต่ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ตัวกษัตริย์และราชินีเองกลับลงมายุ่งกับการเมืองหลายครั้งหลายคราว รวมทั้งไม่มีการว่ากล่าวห้ามปรามคนใกล้ชิด เช่นองคมนตรีและทหารที่ลงมาจัดการทางการเมือง โดยเอาสถาบันกษัตริย์มาอ้างเพื่อบังคับให้คนทั่วไปทำตามความต้องการของตน ทำให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่กล้าทักท้วงคัดค้าน องค์กรที่มีหน้าที่รักษาความถูกต้องของกฏหมาย ก็พลอยเอนเอียงเข้าข้างกลุ่มคนที่อ้างสถาบันกษัตริย์ กฏระเบียบและเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเลยถูกบิดเบือน
แต่พอมีประชาชนลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านี้ พวกท่านกลับปิดปากประชาชนฝ่ายที่เห็นตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์และพรรคพวก ด้วยการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าจับกุม ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการใช้อำนาจที่มาจากความศรัทธาความจงรักภักดี ที่ประชาชนมอบให้สถาบันกษัตริย์ ย้อนกลับมาเป็นอำนาจเผด็จการเพื่อปิดปากประชาชนเสียเอง



ถ้าท่านเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ขอให้ท่านตักเตือนห้ามปรามคนใกล้ชิด คนแวดล้อมของท่าน ไม่ให้ใช้สถาบันกษัตริย์และกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน เพื่อคืนความยุติธรรมและเสรีภาพในการแสดงออกให้กลับสู่ประเทศไทย เพื่อที่ประเทศไทยจะได้เดินหน้าต่อไปตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิไตยในสากลโลกพึงจะมี และให้สมกับที่พระมหากษัตริย์ของไทยได้เคยตรัสประโยคที่ยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ท่านได้สวมมงกุฏเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม หาไม่แล้ว มงกุฏที่ท่านสวมเมื่อวันขึ้นครองราชย์ คงไม่ต่างอะไรกับกรงกักขังความคิด สิทธิ และเสรีภาพของประชาชน

จดหมายถึง นิติพงษ์ ห่อนาค
เรื่อง เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัย

และงบประมาณสำหรับสถาบันกษัตริย์

1 สิงหาคม 2555
สวัสดีครับ พี่ดี้

เห็นพี่ดี้บ่นเรื่องว่า ไม่อยากจ่ายภาษีเพื่อเป็นเงินเดือนให้อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ชอบตั้งคำถามกับสถาบันกษัตริย์ จากเฟซบุ๊ค Nitipong Honark ตามนี้


ของขึ้นยามดึก ...กราบเรียนปรึกษาท่านผู้รู้นะครับ..ถ้าหากกระผมเป็นคนไทยผู้เสียภาษีถูกต้อง...และโดยหลักการเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้กับข้าราชการ...ถ้าหากกระผมไม่ยินดีจะจ่ายเงินเดือนให้อาจารย์หอกหักในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มักจะกล่าวว่ามีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว...อันดูหมิ่นสถาบันอื่นโดยใช้เหตุ...เพื่อจะได้มาถามคำถามว่า”ในหลวงทำงานหนักตรงไหน”...กระผมควรจะไปร้องเรียนที่ใดครับ

ผมคิดว่าพี่ดี้ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ ผมไม่ทราบว่านะครับปีนึงพี่ดี้จ่ายภาษีปีละเท่าไหร่แต่เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยและงบประมาณสถาบันกษัตริย์เราประชาชนธรรมดาๆไม่ได้เป็นนักวิชาการอะไร เราก็พอเสิร์ชหาได้ในอินเตอร์เนต พี่ดี้อาจจะไม่มีเวลา ผมเลยลองไปเสิร์ชช่วยหาดูครับ  เว็บไซต์ที่ชาวบ้านๆทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายๆเลยครับ พันทิพ กดครั้งแรกก็เจอ ผมคิดว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่เชื่อถือได้ พี่ลองกวาดตาดูตัวเลขคร่าวๆก็ได้ครับถ้าไม่มีเวลา

เงินเดือนอาจารย์จบปริญญาโทบางแห่งไม่ถึง
1 หมื่นบาท สูงสุดไม่เกิน 3 หมื่นบาท
(เงินเดือนอ.ปริญญาโท ราชภัฏพระนคร
9,700 บาท สำหรับม.ธรรมศาตร์ เงินเดือนอาจารย์ปริญญาโท 13,450 บาท ปริญญาเอก 19,230 บาท)

เอาละเราพักตรงนี้ไว้ก่อนที่นี้มาดูงบประมาณสถาบันกษัตริย์ สถาบันที่พี่เทิดทูนบูชา
 ใครตั้งคำถามใครแตะต้องไม่ได้ ลองเสิร์ชจากคำว่า งบประมาณสถาบันกษัตริย์ ในกูเกิ้ลเลยนะ กดโป๊ะไปมันก็โผล่มาเลย
ไม่เกินลำดับที่
3 ที่ 4 เราก็เจอเลยพี่ดี้ ผมดูแล้วอันนี้น่าเชื่อถือสุด มีเชิงอรรถให้ค้นต่อได้ด้วยถ้ามีเวลาจากลิงค์ของวิกิลิกส์
http://www.wikileaks-forum.com/index.php?topic=9373.0
สำรวจตาม พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555  งบประมาณสำหรับรักษาพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ มีรายการดังต่อไปนี้





ในเรื่องแผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ กระจายไปตามหน่วยงานต่างๆ คือ
สำนักราชเลขาธิการ
525,512,600 บาท
สำนักพระราชวังมาตรา 
2,794,957,000 บาท
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
603,516,900 บาท
ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
2,300,000,000 บาท
เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ
600,000,000 บาท
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
42,606,875 บาท
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
1,558,064,400 บาท
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
65,018,200 บาท
กรมราชองครักษ์
615,359,100 บาท
กองบัญชาการกองทัพไทย
260,000,000 บาท
กองทัพบก
320,000,000 บาท
กองทัพเรือ
12,246,100 บาท
กองทัพอากาศ
21,000,000 บาท
สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
30,200,000 บาท
กรมโยธาธิการและผังเมือง
1,010,092,000 บาท
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
450,227,800 บาท
รวมจำนวนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี
2555 สำหรับรักษาพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งสิ้น 11,208,800,975 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยแปดล้านแปดแสนเก้าร้อยเจ็ดสิบห้าบาท)




พี่คิดว่ายังไงครับ เราจ่ายงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์ปีละ หมื่นกว่าล้านบาท แต่เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จบปริญญาโทคนที่ต่ำสุดอยู่ที่ไม่ถึง หนึ่งหมื่นบาท
ผมถึงบอกว่าพี่ไม่ต้องกังวลไงครับ เพราะถ้าดูจากข้อมูลนี้ เงินภาษีที่พี่จ่ายนั้นเจือจานไปถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยต่อคนนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับงบประมาณที่ประเทศนี้ทุ่มเทให้สถาบันกษัตริย์
ที่ผมบอกว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยนั้นน้อยนิด ผมไม่ได้พูดเองนะครับ เขาก็มีคนลองทำโพลในอินเตอร์เนตนี่แหละครับ ถามกันซื่อๆเลยว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยประเทศนี้น้อยไปหรือเปล่า พี่ลองเข้าไปดูที่เว็บพันทิพนี้ได้
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2012/02/B11764323/B11764323.html คนส่วนมากจากโพลบอกว่าน้อยไป ที่จริงไม่ต้องทำโพลก็น่าจะรู้ๆอยู่ว่าเงินเดือนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยประเทศนี้น้อยไปจริงๆ ที่สำคัญพี่ว่า เราจะสามารถทำโพลเพื่อถามประชาชนบ้างได้หรือเปล่าว่า งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ในแต่ละปีมันมากไปหรือเปล่า พี่ว่าเราจะทำโพลแบบนี้ได้ไหมครับ หรือว่าเพราะเป็นสถาบันกษัตริย์เราจึงไม่ควรตั้งคำถามแบบนี้
หวังว่าพี่อ่านจดหมายฉบับนี้แล้วพี่คงสบายใจได้ว่า ภาษีที่พี่จ่ายไปๆทุกปีนั้น มันถึงมืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่พี่ไม่ชอบน้อยมากๆ น้อยกว่าไปถึงมือสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว
รักษาสุขภาพด้วยนะครับพี่ดี้

จากน้องคนหนึ่ง
ปรวยหัวเข็ม
Pruay Salty Head

ปล. เอ้อลืมถามพี่ไปอีกนิด พี่ว่าประเทศที่ให้เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยมากๆ กับประเทศที่ทุ่มเทงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์มากๆ พี่ว่าสองประเทศนี้ ประเทศแบบไหนที่เราจะสามารถฝากอนาคตประเทศชาติและอนาคตลูกหลานของเราไว้ได้ มากกว่ากัน
หมายเหตุ นิติพงษ์ ห่อนาค (เกิด 2503 ชื่อเล่น: ดี้) นักแต่งเพลงชาวไทยที่มีชื่อเสียงของแกรมมี่ เป็นรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจดนตรี ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อยู่ 27 ปี ปัจจุบัน นิติพงษ์ก่อตั้ง บริษัท สหภาพดนตรี จำกัด ร่วมกับ อัสนี โชติกุล, ชาตรี คงสุวรรณ, จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี และ วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี




สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ในแง่ความสัมพันธ์ของกษัตริย์ต่อรัฐธรรมนูญของไทย นับว่ายังมีความคลุมเครืออยู่มาก ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มาตรา 32 ให้กษัตริย์ต้องสาบานตนต่อสาธารณะว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือประเทศนอร์เวย์ มาตรา 19 กษัตริย์ต้องสาบานต่อรัฐสภาว่าจะปฏิบัติตามธรรมนูญของ ประเทศ ในขณะที่ในประเทศไทย ยังไม่มีการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ในยุโรปมีการทำโพลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ทำขึ้นอย่างแพร่หลาย และเป็นเรื่องปรกติ ในระยะสองปีเดนมาร์คได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อสถาบันกษัตริย์ของตนเองอย่างน้อยสิบครั้ง โดยมีคำถามเช่น ราชินีควรสละราชบัลลังค์หรือไม่ เมื่อไร ทรงงานดีเพียงใด ส่วนในสวีเดนก็มีการทำโพลเช่นกัน และถามคำถามที่หลากหลาย เช่น กษัตริย์ควรสละราชบัลลังค์ให้กับฟ้าชายเมื่อใด ใครในราชวงศ์ที่ชื่นชอบมากที่สุด ไปจนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ 

โดยในครั้งนั้นแบบสำรวจพบว่ามีชาวสวีเดนแสดงความไม่เชื่อมันในสถาบันกษัตริย์ถึงร้อยละ
35 ในขณะที่มีผู้เชื่อมันร้อยละ 39 ประเทศในยุโรปที่มีสถาบันกษัตริย์ล้วนเคยทำโพลสำรวจความนิยมของประชาชนต่อสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเบลเยี่ยม สเปน เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ สวีเดน อังกฤษ รวมทั้งญี่ปุ่น การทำแบบสำรวจเช่นนี้ ช่วยให้สถาบันกษัตริย์ได้ทราบว่าตนเองอยู่ตรงไหนในสังคม และทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนในประเทศไทย การทำสำรวจเช่นนี้ ยังคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์



ในเรื่องความโปร่งใสด้านงบประมาณในระยะที่ผ่านมา สถาบันกษัตริย์ในยุโรปก็มีแนวโน้มเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเร็วๆ นี้ โฆษกของพระราชวังบักกิงแฮมก็ได้ออกมากล่าวว่า ราชวงศ์ของอังกฤษนั้นนับว่ามีราคาถูก โดยมีภาระด้านการเงินต่อประชาชนคิดเป็นหัวละ 66 เพนซ์หรือราว 30 บาทเท่านั้น จักรพรรดิญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายที่ 60 บาทต่อประชากรหนึ่งคน ในขณะที่ไทย จะมีค่าเลี้ยงดูกษัตริย์ในปี 2555 ราว 11,208 ล้านบาท หรือต่อประชากรหัวละราว 170 บาทและยังมีงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยส่วนมากที่ยังไม่ถูกเปิดเผย และอยู่กระจัดกระจายในหลายกระทรวงและหน่วยงาน อีกทั้งสถานะของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของในหลวงก็ยังมีความคลุมเครือในตัวเองด้วย


สำหรับการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางประเทศในยุโรป ได้บรรจุกฎหมายนี้อยู่ในส่วนของความมั่นคงของรัฐ เช่น ในรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ ระบุว่า พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ จะถูกฟ้องร้องมิได้ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศ การวิพากษ์วิจารณ์สามารถเป็นไปได้อย่างอิสระ เช่น ประเทศนอร์เวย์ สเปน เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ซึ่งมีบทลงโทษระหว่าง 2-5 ปี ในขณะที่ประเทศเดนมาร์คและสวีเดน ให้เป็นกฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดา และมีการยกเว้นความผิดหากพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ หรือหากการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งนี้ กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ในยุโรปก็ไม่ค่อยได้ถูกใช้แล้ว โดยในเดนมาร์คไม่ได้ใช้แล้วตั้งแต่ปี 2477 หรือหากว่ามีการใช้ ก็เป็นแค่การปรับหรือจำคุกเป็นระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เมื่อเทียบกับการใช้กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ของประเทศไทย จะเห็นว่านอกจากสถิติการใช้จะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมากตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ยังมีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกด้วย ปี 2554 มีคดีหมิ่นฯ 85 คดี  ปี 2553 มี 478 คดี แต่ก่อนปี 2549 ที่มีเพียง 2-3 คดีต่อปี


การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย กับกฎหมายหมิ่นศาสนา ไม่ต่างกันนัก เนื่องจากเป็นเรื่องของการดูหมิ่นศรัทธา หรือความเชื่อ โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและ พิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยอ้างเรื่องศรัทธา หรือ ความรู้สึกของประชาชน เปรียบได้กับการหมิ่นศาสนาเพราะคุณไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ซึ่งขัดแย้งกับหลักสากลที่คุ้มครองเรื่องสิทธิการแสดงออกของพลเมืองตามกฎบัตรของสหประชาชาติ และเป็นการโจมตีคนที่ไม่ยอมรับคนที่เห็นต่างจากอุดมการณ์ของรัฐ
ในประเทศสวีเดน รัฐมองว่า การที่ประชาชนนิยมการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยและเป็นความใฝ่ฝันทางการเมืองมากกว่า รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ได้
ข้อสังเกตที่แสดงให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง ยาวนาน ก็คือ การไม่ทำอะไรที่ผิดเกินไป ควรทำให้สถาบันโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเอื้อให้เกิดเสรีภาพในการแสดงออก ดังจะเห็นจากหลายประเทศในยุโรปที่ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ ติดลำดับประเทศที่มีเสรีภาพสื่อสูงมากที่สุดในโลก เช่น ในประเทศนอร์เวย์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์


ความยุติธรรมอยู่ที่อื่น
ไม่ใช่ที่นี่
รัฐธรรมนูญไทยน่าจะใส่บทบัญญัติตามที่หลวงวิจิตรวาทการเคยเสนอไว้ว่า สยามจะต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงราชย์และปกครองชั่วนิรันดร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการรักษาจารีตประเพณีของเราที่บังคับว่าเราจะเป็นสาธารณรัฐไม่ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาถามว่าเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า


แต่ถึงไม่มีบทบัญญัติ เราก็ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่เกิดว่า ความเชื่อมั่นจงรักภักดีเป็นทั้งคุณธรรมและคู่มือการเอาชีวิตรอดในสังคมที่ยึดมั่นในระบอบที่ให้ประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องเตรียมตัวไปอยู่ในนรกที่สงวนไว้สำหรับคนที่พร้อมจะตายแบบไร้เมรุและไม่ขอเกิดใหม่ในประเทศไทยอีกแล้วเท่านั้น คำถามที่น่าถกเถียงมากกว่าเรื่องเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า ก็คือ ระบอบกษัตริย์แบบไทยๆเป็นความน่าภาคภูมิใจหรือน่าอายกันแน่ พวกนิยมกษัตริย์ล้นเกินแบบไทยเป็นเอกลักษณ์ไทยที่ควรอนุรักษ์หรือเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั่วโลก เราจะต้องเป็นพสกนิกรกันทุกคนเลยหรือไม่ การขอเป็นรองพระบาททุกชาติไปเป็นสิ่งที่คนไทยปรารถนาจริงหรือเป็นแค่อุปาทานหมู่ที่ห้ามโต้แย้ง เราจะเป็นคนไทยและเป็นคนมีเหตุผลพร้อมกันไปได้อย่างไร กฎหมายห้ามหมิ่นกษัตริย์มาตรา 112 มีหลักคิดเดียวกับพวกคลั่งลัทธิทางศาสนาหรือไม่ เราจะพูดถึงสถาบันกษัตริย์โดยไม่ต้องราชาศัพท์และมีชีวิตร่วมกับระบอบที่มีกษัตริย์โดยไม่ต้องใช้วัฒนธรรมหมอบคลานได้หรือไม่ ระหว่างคำว่าแม่งกับคำว่าทรง คำไหนที่มันลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนเรามากกว่ากัน




สำหรับประเทศที่มีระดับความเจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจสูงกว่าไทย โดยไม่ได้ต้องสมาทานพุทธศาสนา พวกเขาทั้งหลายต่างตะลึงพรึงเพริดกันว่า ประเทศที่ลงทัณฑ์คนคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความส่วนตัวไปถึงคนอีกคนหนึ่ง ด้วยการจำคุกยี่สิบปีนั้นมันเป็นประเทศชนิดใดกัน ประเทศเยี่ยงนี้ไม่ใช่ประเทศเสรีประชาธิปไตย ประเทศเยี่ยงนี้เป็นประเทศป่าเถื่อนไม่ศิวิไลซ์ ประเทศเยี่ยงนี้ไม่ใช่ประเทศที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามแล้วมันเป็นประเทศเอี้ยอะไรวะ มันเป็นความเหลืออดต่อความอยุติธรรม สุดทนกับความต่ำช้าสามานย์ ความตลบแตลง ความงี่เง่าปัญญาอ่อน และมันเป็นความจริงที่เห็นกันตำตากันในประเทศนี้ได้ทุกวัน ทุกชั่วโมง จะเจ็ดแปดโมงเช้าที ห้าหกโมงเย็นที ทุ่มสองทุ่มก็อีกที มีถ่ายทอดฟรีทีวีทุกช่อง

ผลสะเทือนของความเคลื่อนไหวเรื่องมาตรา 112 ทำให้พวกนิยมกษัตริย์ที่เป็นชนชั้นนำที่ไม่ใช่กลุ่มล่าแม่มดกระหายเลือดหรือสื่ออัปรีย์พอได้สติบ้าง ไม่ได้สติบ้างต่อไป สติที่ได้ก็อยู่ภายใต้เพดานของความเป็นพวกคลั่งเจ้าแบบไทย คือเป็นสติที่ไม่สมประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เสแสร้งตบตา หรือหลอกตัวเอง สติที่ไม่สมประกอบนั้นก็คือการยอมรับเฉพาะประเด็นว่าสถาบันกษัตริย์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างความไขว้เขวแก่สาธารณชนว่านี่เป็นจุดเดียว ของประเด็นปัญหาสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งเป็นการดึงปัญหาออกนอกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

ปัญหาใหญ่ที่ถูกกลบเกลื่อนคือความจริงที่ว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ถูกใช้ทางการเมืองฝ่ายเดียว และการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์และอุตสาหกรรมวัฒนธรรมโฆษณาชวนเชื่อดังที่เป็นอยู่มีความไม่ถูกต้องตามหลักการของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและหลักเสรีประชาธิปไตยอยู่อย่างมากล้น ไม่น่าแปลกใจที่ฝ่ายนิยมเจ้าระดับหัวแถวจะยอมรับว่า 112 มีปัญหา แม้จะสร้างความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและดูน่าเลื่อมใสกว่าพวกนักเทศน์ที่ไม่ลืมหูลืมตาและพวกอันธพาลที่เชื่อว่าการไล่คนออกนอกประเทศเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ แต่การยอมรับนี้ก็เป็นยุทธศาสตร์ช่วงชิงการกำหนดเนื้อหาและทิศทางเพื่อการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้น้อยที่สุดและรักษาอุดมการณ์ สถานะ อำนาจ บารมีเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วจึงยกเป็นข้ออ้างว่าได้ ปรับปรุง ให้เหมาะสมดีงามทุกประการแล้ว พวกเรียกร้องเสรีภาพจงหุบปากแล้วกลับบ้านไปสำนึกในบุญคุณที่ได้รับเสรีภาพ ปริมาณเท่าเดิมแต่ติดคุกน้อยลง
แต่ถ้าฝ่ายนิยมกษัตริย์จะมีความซื่อสัตย์ต่อความเชื่อตนเอง ก็ควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาและไม่กะล่อนว่า พวกเขาต้องการให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจล้นเกิน แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ถูกตรวจสอบ ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต้องรับผิด และไม่ถูกจำกัดอำนาจด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตามครรลองประชาธิปไตย การยอมรับง่ายๆ เช่นนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยสะดวกและปลอดภัย เพราะจะไม่ถูกกระบวนการยุติธรรมมาตอแยเพื่อจัดสรรปันส่วนความอยุติธรรมให้

ในบรรดาข้อโต้แย้งต่างๆ ของฝ่ายนิยมเจ้าที่ต้องการจะบอกเพียงแค่ว่าทุกอย่างที่เป็นอยู่นั้น ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว พวกที่ไม่เข้าใจประเพณีวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้งอย่ามาสะเออะ ไม่มีอะไรจะน่าทึ่งไปกว่าการอ้างหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม หลักความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน ศีลธรรม คุณธรรม มนุษยธรรม ผสมปนเปกับความเป็นไทยอันมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ประวัติศาสตร์ไทยอันเก่าแก่โบราณ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยอันล้ำเลิศประเสริฐศรี เมื่อฟังหรืออ่านจนหายเคลิ้มแล้ว อรรถาธิบายอันไพเราะเพราะพริ้งเหล่านี้กลับทำให้อีกฝ่ายหมดกำลังใจจะโต้ เถียง อับจนถ้อยคำจะชี้แจง และได้แต่แจ้งให้ทราบเพื่อพิจารณาว่า ความวิกลจริตเชิงตรรกะหรือการงดเว้นการใช้หลักเหตุผลในเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ในฐานะบุคคลและสถาบันเป็น ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมการเมืองของฝ่ายกษัตริย์นิยมไทยในปัจจุบันโดยแท้



กฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงกฎหมายอาญามาตราหนึ่ง แต่กำลังยึดครองสถานะเป็นป้อมปราการแห่งชาติและศาสตราวุธแห่งจารีตประเพณี ที่ต้องปกปักรักษายิ่งชีพ เมื่อโต้แย้งหักล้างกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ฝ่ายนิยมเจ้าจะยกข้ออ้างจารีตประเพณี มาเป็นไม้ตายเพื่อยุติการถกเถียง ทั้งๆที่การเลิกกฎหมายหมิ่น ที่มีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกก็คล้ายการเลิกทาส เลิกประเพณีหมอบคลาน เลิกการทรมานนักโทษ เลิกวิธีการลงโทษแบบโหดร้ายทารุณ และเลิกจารีตประเพณีที่ไม่ดีงามต่างๆในอดีตนั่นเอง

ต้องยกเลิกกฎหมาย
ที่หมิ่นมนุษยชาติและความจริง


ประกาศคณะราษฎรที่ประกาศเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  รัฐธรรมนูญมาตรา 8 และวัฒนธรรมหรืออุดมการณ์กษัตริย์นิยม แต่เมื่อมีมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ความจริงย่อมไม่อาจปรากฏ หากต้องการให้ความจริงปรากฏ ก็ต้องไม่มีมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญมาตรา 8 เพราะการดำรงอยู่ของมาตรา 112 และมาตรา 8 ซึ่งหมายถึงตัวบทกฎหมายและวัฒนธรรมการตีความ-บังคับใช้ ก็ยังคงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพและการปิดกั้นความจริงที่ไม่ยอมให้เปิดเผย ขุดคุ้ยและ อภิปรายต่อสาธารณะ มาตรา 112 คือเพชรฆาตด่านแรกในการปกปิดความจริง หรือรักษาความลับและความลวงต่างๆไว้ตลอดไป ความจริงรวมทั้งข้อเท็จจริงและการวิพากษณ์วิจารณ์ หลายต่อหลายเรื่องมิใช่ความลับส่วนตัวของใคร ในสังคมอารยะถือได้ว่าเป็นความจริงที่สาธารณะชนต้องมีสิทธิรับรู้ เป็นความจริงที่เกี่ยวพันกับความเป็นไปของบ้านเมือง เป็นความจริงที่ให้คุณให้โทษกับสังคม และเป็นความจริงที่จำเป็นต้องปรากฏเพื่อขับไล่ความหลอกลวงและไถ่โทษผลอันเกิดจากการปกปิดความจริง กฎหมายเป็นเครื่องมือที่ทรงอานุภาพ  แถมมีจารีตประเพณีที่ถูกฝังอยู่ในหัวคนไทย ที่ต้องเปลี่ยนไปพร้อมๆกับกฎหมาย ในสภาวการณ์เช่นที่เป็นอยู่นี้ แม้ว่าการสร้างความตื่นรู้และตื่นตัวในระดับกว้างจะมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ความคาดหวังที่เป็นไปได้จริงในการรณรงค์เรื่องมาตรา 112 คือการบรรเทาความบ้าคลั่งหรือลดจำนวนคดีเท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็ขยับเพดานขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มิใช่การได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพในความเป็นมนุษย์ ในการแสดงความคิดเห็น ยังเป็นสิ่งที่ไกลเกินหวัง



บางทีโอกาสเดียวที่ความจริงอย่างถึงที่สุด จะถูกประกาศออกมาได้ คือโอกาสแบบประกาศของคณะราษฎร ราษฎรทั้งหลาย เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่า กษัตริย์องค์ใหม่นี้คงจะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจเหนือกฎหมายอยู่ตามเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้าง ซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชชา... ...รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่า ไพร่ บ้าง ข้า บ้าง) เป็นสัตว์เดรฉานไม่นึกว่าเป็นมนุษย์...ถึงคราวเสียภาษีราชการหรือภาษีส่วน ตัว ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ใช้ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นราชบัลลังก์เสียแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่า หลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไปหาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวคำหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่า ราษฎรยังมีเสียงการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรยังโง่ คำพูดของพวกรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่ เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้เท่าไม่ถึงเจ้านั้นไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษาก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้ทำนาบนหลังคน ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง...น่าสนใจอย่างยิ่งว่า คณะราษฎรตระหนักอย่างแม่นมั่นในหลักการว่า การให้ดำรงค์ตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร นั้นอันที่จริงแล้วยังไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังปรากฏในเนื้อความว่าถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจ ลงมา ก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตยเพราะการปกครองอย่างประชาธิปไตย โดยแท้จริงนั้น ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา 
ความผิดพลาดบกพร่องของคณะราษฎร จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่มรดกของคณะราษฎรได้ถูกกลบเกลื่อน ลบเลือน และกำจัดเรื่อยมา ในขณะที่มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับอยู่ยงคงกะพันในจิตวิญญาณและวัฒนธรรมการเมืองไทย ในความรู้สึกนึกคิดและภูมิปัญญาไทยร่วมสมัยที่สอนให้เชื่อกันว่า คณะราษฎรไม่ใช่ผู้หาญกล้านำความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่และประกาศความจริงอัน ยิ่งใหญ่กลุ่มแรกของสยาม แต่เป็นกลุ่มบุคคลที่เอาเยี่ยงอย่างวัฒนธรรมตะวันตกจนเลยเถิด ชิงสุกก่อนห่าม และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังได้



มาบัดนี้คณะข้ารองพระบาทในประเทศสุกๆ ดิบๆ ที่เต็มไปด้วยพยาธิหลากชนิด เป็นพสกนิกรกลุ่มมหึมากลุ่มเดียวที่สามารถประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อยู่ทุกเวลานาทีว่า ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของกษัตริย์ ไม่ใช่ของราษฎรตามที่เขาหลอกลวง  บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่โคจรตามแรงโน้มถ่วงในระบบสุริยะซึ่งอยู่ภายในดาราจักรทางช้างเผือก ท่ามกลางความเวิ้งว้างของจักรวาลที่ประกอบไปด้วยดวงดาวนับล้านกับมวลสาร ระหว่างดาวที่นับไม่ได้ ทว่าไม่ปรากฏมีเขาพระสุเมรุสถิตย์อยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ที่พึงรอดพ้นจากการวิจารณ์ โดยเฉพาะหากการวิจารณ์นั้นมีข้อเท็จจริงหรือหลักการรองรับอย่างหนักแน่น ในสังคมที่คนคนหนึ่งถูกลงทัณฑ์สถานหนักเพียงเพราะคำพูดหรือการกระทำในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ หรือกระทั่งไม่ได้ทำอะไรผิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กำลังถูกหมิ่น และความป่าเถื่อนกำลังถูกอาเศียรวาทสดุดี ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่สามารถพัฒนาจิตสำนึกทางวัฒนธรรมไปสู่ความเป็นมนุษยนิยมที่เคารพคุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซากวัฒนธรรม อำนาจศักดิ์สิทธิ์นิยม แบบด้อยพัฒนาที่ถูกปลุกเสกจนแผ่อิทธิฤทธิ์แห่งมนต์ดำร่วมสมัยได้วิปลาสยิ่งกว่าในอดีตกาล จะนำไปสู่ความอุบาทว์และเสื่อมทรามอย่างไม่รู้จบ แม้ในภาวะร่มเย็นสงบสุขสามัคคีสมานฉันท์ ความจริงและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ไม่เคยได้รับการเคารพ



ความสำเร็จสูงสุดของระบอบโฆษณาชวนเชื่อ คือการทำให้ทุกคนอิ่มเอิบใจว่า บนผืนแผ่นดินไทย ความจริงไม่สำคัญ และอย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองก็หามีความสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญกว่าความจริงคือความเชื่อ และสิ่งที่สำคัญกว่าศักด์ศรีความเป็นมนุษย์คือความเป็นข้ารองพระบาท สังคมไทยไม่มีวันจะถกเถียง ไต่สวน และเปิดเผยข้อเท็จจริง/ความจริงจนถึงที่สุดทั้งเพื่อจรรโลงเสรีภาพ เพื่อธำรงความยุติธรรม และเพื่อยกระดับสติปัญญาของสังคมเองได้
เพราะความรู้ ความเชื่อ ความศรัทธาในสังคมไทยทั้งมวลล้วนตั้งอยู่บนความเท็จ การโกหกหลอกลวง และการปิดบังอำพราง โดยมีจารีตและกฎหมายเป็นเครื่องมือแห่งการทารุณกรรม กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่เพียงเป็นกฎหมายของรัฐเจ้าขุนมูลนายเผด็จการภายใต้หน้ากากประชาธิปไตยที่วางอยู่บนอุดมการณ์ที่ย่ำยีบีฑาหลักการสมัยใหม่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง แต่ยังมีความคล้ายคลึงกับอุดมการณ์ทางลัทธิแบบดักดาน หวนคืนสู่จารีตดั้งเดิม ที่ต่อต้านความคิดสมัยใหม่และการวิพากษ์วิจารณ์ที่คุกคามความเชื่อ การดำรงอยู่และการปฏิบัติของเหล่าสาวกลัทธิดักดาน ที่อ้างความเคร่งครัดสูงสุดต่อจารีตดั้งเดิม
ซึ่งในความจริงแล้วอาจเป็น ประเพณีประดิษฐ์ หรือจารีตใหม่ ที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของขบวนการลัทธิดักดาน ที่เห็นว่าหลักการเสรีภาพ - ความเสมอภาค - ประชาธิปไตย - สิทธิมนุษยชนแบบตะวันตกถือเป็นภัยคุกคามที่ต้องต้านทานมิให้รุกล้ำเข้ามาถอดถอนหรือลดทอนความศักดิ์สิทธิ์และสภาวะเทพ เป็นสิ่งที่สั่นคลอนลัทธิดักดานที่เทิดทูนและทรนงในความพิเศษไม่เหมือนใครในโลก ที่อนุญาตให้มีได้ คือการเคารพสักการะเทิดทูนบูชาโดยศิโรราบ ที่ทรงพลานุภาพสูงสุดอันล่วงละเมิดมิได้ โดยมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงทั้งทางรูปธรรมและทางสัญลักษณ์ เช่น การฟ้องข้อหาหมิ่นฯ, การขับไล่ออกนอกประเทศ, การล่าแม่มด - เสียบประจานทางอินเตอร์เน็ท, การแสดงความอาฆาตมาดร้าย กฎหมายหมิ่นฯและผู้สนับสนุนกฎหมายหมิ่นฯ ก็มีความเชื่อความงมงายที่ดักดาน

มีสาวก คือพวกรักในหลวง ทำดีเพื่อพ่อ พวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ ที่ถือว่าศีรษะนี้มอบแด่พระเจ้าแผ่นดิน, มีบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ คือรัฐธรรมนูญมาตรา 8 กฎหมายอาญามาตรา 112 มีพงศาวดาร คือพระราชกรณียกิจ พระมหากรุณาธิคุณ พระอัจฉริยภาพ และหน่วยงานเผยแพร่คำสอน-เฝ้าระวังความจงรักภักดี - ลงทัณฑ์พวกนอกรีต คือ กระทรวงทบวงกรม กองทัพ ศาล สื่อฯลฯ โดยมีความเชื่อเป็นพื้นฐานในลัทธิเทวราชและกฤษฎาภินิหารฉบับราชการว่าจริงแท้แน่นอนทุกถ้อยกระทงความอย่างมิอาจปฏิเสธและหักล้างด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงใดๆ เป็นความเชื่อตามตำนานศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นความจริงที่อยู่เหนือการพิสูจน์และตรวจสอบ โดยมีการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวซึ่งเปี่ยมล้นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ดุจกัน
ลักษณะสำคัญของพวกคลั่งเจ้าคือ การไม่ยอมรับฟังหรือปรับเปลี่ยนความคิด ต่อให้มีหลักฐานข้อเท็จจริงมาหักล้างก็ตาม แม้ว่าในเวลาปกติพวกคลั่งเจ้ามีความโน้มเอียงจะถือตนเป็นชาวพุทธที่คิดดี - ทำดี แต่ยามใดที่รู้สึกถูกท้าทายหรือยั่วแหย่แม้เพียงแผ่วเบาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ พวกเขาจะละทิ้งหลักธรรมของพระพุทธองค์จนหมดสิ้น และหันไปใช้ความรุนแรงเป็นคบไฟนำทางแทน ใช้บทลงโทษที่โหดเหี้ยมเพื่อขจัดผู้ไม่สวามิภักดิ์ด้วยอัตราโทษสูงซึ่งเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบความเป็นสมัยใหม่และการวิพากษ์วิจารณ์ที่คุกคามอุดมการณ์ความเชื่อของตน ทั้งยังต้องการเพิ่มโทษให้สาหัสยิ่งขึ้น ตามความปรารถนาเร้นลึกของฝ่ายจารีตอำนาจนิยม ด้วยกระบวนการดำเนินคดีแบบไร้ขื่อ แป ไร้มนุษยธรรมและไร้ยางอาย เช่น ตั้งข้อหากับการกระทำที่ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 112 , ตีความและบังคับใช้มาตรา 112 ตามอำเภอใจไร้ขอบเขต, เอื้อประโยชน์และให้ท้ายการใส่ร้ายป้ายสี, ออกหมายจับทันทีโดยไม่ออกหมายเรียก, จู่โจมจับกุมแบบไม่ให้รู้ตัว, จับขังโดยยังไม่มีการตั้งข้อหา, จับผิดตัวแต่ไม่ปล่อย, ขังลืม-ขังเลว, ไม่ให้สิทธิประกันตัว, ไม่ให้การรักษาพยาบาล, สืบพยานพิสูจน์หลักฐานแบบมาเฟีย, พิจารณาคดีแบบปิดลับ เป็นต้น จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรจะต้องถูกลงทัณฑ์สถานหนักก็คือกระบวนการยุติธรรมอันเหลวแหลกของไทยเอง
แต่การอ้างการปกป้องสถาบันฯ และกุคำอธิบายใส่ร้ายผู้ตกเป็นจำเลยเสียเองเป็นเสาค้ำจุนการใช้อำนาจโดยมิชอบเหล่านั้นให้ลอยนวลต่อไป ถ้ายึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์หรือแม้แต่กษัตริย์ - ราชินี ก็ไม่ถือเป็นความผิดในประเทศที่เจริญแล้ว แต่ในประเทศด้อยพัฒนาที่อุดมการณ์ศักดินาอยู่เหนือทุกสิ่ง ศาลจะตัดสินจำคุกหลายปี
การล้อเลียน - เสียดสีบุคคลลำดับสูงในสถาบันกษัตริย์ที่สร้างความเสื่อมเสียเกินขอบเขต ศาลในประเทศพัฒนาแล้วอาจลงโทษสถานเบาให้ปรับเงินจำนวนเล็กๆ น้อยๆ แต่ในประเทศที่ไม่ยอมพัฒนา ศาลยังคงตัดสินให้จำคุกหลายปี โดยเปิดช่องให้กับการแสดงพระราชอำนาจและพระราชบารมีในการพระราชทานอภัยโทษ


 
ใครจะปฏิเสธอย่างมีเหตุผลได้ว่า วิทยาศาสตร์อธิบายจักรวาลได้ดีกว่าศาสนา หากพระเจ้าไม่ได้สร้างโลก พระราชาย่อมไม่ได้ถูกพระเจ้าส่งมาปกครองหมู่มวลมนุษย์ ต้นกำเนิดความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงคือสิ่งที่มนุษยชาติสร้างขึ้นเพื่อครอบงำ และควบคุมตัวเอง คติเกี่ยวกับกษัตริย์ในทุกวัฒนธรรมเป็นนิทานปรัมปราของชนชั้นปกครอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชนชั้นปกครองย่อมเป็นผู้สร้างและอ้างความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเพื่อกำราบและล่อลวงชนชั้นใต้ปกครองในสังคมโบราณ แทบทุกเรื่องราวล้วนมีมิติทางศาสนาและไม่ได้แบ่งแยกปริมณฑลเป็นเอกเทศแบบสังคมสมัยใหม่ ถึงกระนั้นในประเทศที่ตกอยู่ใต้มนต์ดำคำสาป ศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหลายต่างพ่ายแพ้ไสยศาสตร์และการโฆษณาชวนเชื่อ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายด้วยความสูญเสียอันไม่อาจประเมินค่าได้ของสังคมที่ยังไม่มีการแตกหักอย่างเด็ดขาดจากอุดมการณ์ของระบอบเก่า มิหนำซ้ำอุดมการณ์ของระบอบใหม่ยังถูกป้ายสีใส่ไคร้และบิดเบือนแก่นสารที่แท้จริง ในสภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกิดการปะทะทางอุดมการณ์ระดับทั้งแผ่นดินเป็น ครั้งแรก อำนาจเก่าที่ไม่ยอมเสียอะไรเลยในที่สุดแล้วจะเสียมากกว่าที่คิด



ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีปรีดาและน่าอิจฉาหรอกหรือที่จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต (Hirohito) จำเป็น ต้องออกมาบอกความจริงกับประชาชนชาวญี่ปุ่นว่า เขาไม่ได้สืบสายมาจากเทพแห่งดวงอาทิตย์ จักรพรรดิ์ไม่ใช่เทพเจ้า ในศตวรรษนี้ไม่มีกษัตริย์ ราชินี และพระราชวงศ์คนใดในราชสำนักยุโรปกล้าคิดหรือหลงเชื่อว่าตัวเองรับโองการสวรรค์มาจากพระผู้เป็นเจ้า เหล่าคิง ควีน ปริ๊นซ์ ปริ๊นเซส ดยุค และดัชเชสล้วนตระหนักดีว่า ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมชนิดหนึ่ง พวกเขาเป็นเพียงชนชั้นอภิสิทธิ์ชนจากอดีตที่ประชาชนในปัจจุบันอนุญาตให้ดำรงอยู่ได้ในกฎเกณฑ์และขอบเขตอันเหมาะสม จะมีหรือไม่มีสถาบันกษัตริย์ แต่ละประเทศในยุโรปตะวันตก รวมทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ต่างออกแบบระบอบการปกครองที่เอาประชาธิปไตยและหลักสิทธิเสรีภาพเป็นตัวตั้ง เอาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยและหลักสิทธิเสรีภาพเป็นตัวรอง เพราะประชาธิปไตยแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ มีข้อบกพร่องมาก มีความไม่น่าไว้วางใจไม่น้อย แต่ก็เป็นอุดมการณ์ที่เปิดกว้างมากกว่ากดขี่ ส่งเสริมความเป็นมนุษย์มากกว่าเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ประชาธิปไตย หลักแห่งเสรีภาพ และความเสมอภาคย่อมเป็นที่ชิงชังรังเกียจและถูกสร้างให้เป็นสิ่งชั่วร้ายในสังคมที่มรดกทางวัฒนธรรมศักดินาและเผด็จการหยั่งรากลึก


สถาบันกษัตริย์ไม่เป็นประเด็นในประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว ก็เพราะประเทศเหล่านั้นมีสถาบันกษัตริย์ภายใต้วัฒนธรรมประชาธิปไตย ส่วนที่เป็นประเด็นในประเทศที่ยังไม่ศิวิไลซ์ ก็เพราะประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์ภายใต้วัฒนธรรมศักดินา - สมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า กฎหมายหมิ่นฯ รวมทั้งอุดมการณ์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และกฎหมายอื่นๆ ที่แวดล้อมนั้น ไม่ได้อิงกับหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนมาตั้งแต่ต้น ความคิดเบื้องหลังบทลงโทษและวัฒนธรรมการบังคับใช้มาตรา 112 จึงไม่ได้อยู่ในครรลองของหลักการตรากฎหมายสมัยใหม่ที่วางอยู่บนดุลยพินิจอันมีอารยะ แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของกฎหมายโบราณภายใต้อุดมการณ์วัฒนธรรมโบราณที่ไม่อารยะ โดยยังไม่ต้องพูดในแง่หลักการอุดมการณ์อะไรเลยด้วยซ้ำ


ในนามของการปกป้องสถาบันฯ กฎหมายหมิ่นฯ กำลังถูกใช้อย่างสะเปะสะปะ โฉดเขลา และวิปริตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสนับสนุนจากพวกล้าหลังคลั่งเจ้าที่ต่อให้เห็นความหน้ามืดตามัวและ ความไม่เป็นธรรมของการใช้มาตรา 112 ในกรณีนับไม่ถ้วน ก็ยินดีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือมิฉะนั้นก็ยินยอมสนับสนุนความฉ้อฉลของเครือข่ายอำนาจดังกล่าวอย่างออกหน้าออกตา แต่เอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมที่พอมีสติเอง ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจดีว่าไม่อาจควานหาข้ออ้างใดมาปกป้องหรือแก้ต่างความอัปยศของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง 112: ปรากฏการณ์ผีบ้าอาละวาดเขย่าโลกันต์ได้ กฎหมายอย่าง 112 เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อผดุงความอยุติธรรมให้คงสถานะเป็นธรรมชาติ ปัญหาขั้นมูลฐานของตัวมาตรา 112 คือ -ลักษณะการกระทำที่ถือเป็นความผิด ซึ่งไม่ควรผิด หรือควรมีเหตุยกเว้นความผิด -ขอบเขตการครอบคลุมซึ่งไม่ควรครอบคลุม อัตราโทษซึ่งไม่ควรมีโทษขั้นต่ำ และโทษขั้นสูงก็ต้องต่ำ -และที่สำคัญที่สุดคือ อุดมการณ์ที่ให้กำเนิดและจรรโลงตัวบทกฎหมายนี้ ซึ่งไม่ควรมี  ความดักดานบ้าคลั่งของเมืองไทยนั้นตกอยู่ในอาการโคม่าในระดับที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์อนุรักษ์นิยมยังต้องกระเถิบห่างแม้จะเคยแอบให้ท้ายเพื่อใช้ประโยชน์มาก่อน


แม้ว่าการจะฝ่าด่านพลังกษัตริย์นิยมสุดขั้วก็นับว่ายากเข็ญปางตายแล้ว แต่ความซับซ้อนยอกย้อนสถิตย์อยู่ในทุกเรื่องราว การปฏิรูปหรือแก้ไขเพียงผิวเผิน เช่น การลดอัตราโทษลงเล็กๆ น้อยๆ ดังที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์บางคนเสนอเอง อาจกลายเป็นการให้ความชอบธรรมกับกฎหมายละเมิดสิทธิมนุษยชน-หมิ่นมนุษยชาติฉบับนี้ให้ดำรงอยู่ต่อไป ด้วยข้ออ้างจากฝ่ายนิยมกษัตริย์ ที่ฉลาดพอที่จะไม่ไปเกลือกกลั้วกับพวกคลั่งเจ้าในขณะนี้ ว่าได้ทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องยกเลิกมาตรา 112  ไม่ต้องปล่อยตัวจำเลยคดีหมิ่นฯทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องถอนหมายจับคดีหมิ่นฯทั้งหมด ไม่ต้องเรียกร้องความรับผิดชอบจากสื่อมวลชน ถ้อยคำอันสละสลวยสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส และผู้มีอำนาจบารมีในบ้านเมืองนี้อาจเป็นบุคคลที่จำเป็นในสังคมชนเผ่า แต่ไม่จำเป็นและอาจถึงกระทั่งเป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องการจากพวกเขาไม่ใช่คำเทศนาสั่งสอนโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความรู้จักละอายแก่ใจ มิใช่แค่เพียงปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ดังเช่นที่มักถูกกล่าวอ้างเพื่อทำให้กฎหมายนี้ถูกปรับเปลี่ยนน้อยที่สุด
แต่มาตรา 112 โดยตัวมันเองคือ หัวใจของปัญหา ทั้งปัญหาในแง่เนื้อหาและปัญหาที่ตัวบทมาตรานี้ถูกทำให้แตะต้องไม่ได้และ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง การยกเลิกทั้งมาตราอันเป็นเพียงก้าวแรกของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และวัฒนธรรมอุดมการณ์กษัตริย์นิยม จึงเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุ เนื่องจากเหตุอันเร่งด่วนคือการหยุดมิให้มีการใช้มาตรา 112 เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอีกต่อไป ทั้งนี้แน่นอนที่สุดว่า การยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 จะดำเนินไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างแท้จริง ก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ไปด้วยพร้อมกัน และนั่นเป็นแค่เพียงรุ่งอรุณแห่งอารยธรรมเท่านั้น

........................

ไม่มีความคิดเห็น: