วันเสาร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2555

112 สยองพระเกียรติ ตอนที่ 5 : ไล่ล่าคนคิดต่าง Section 112 05



ฟัง  : http://www.mediafire.com/?7s3tjjlr9f1jv4m
หรือ :
http://www.4shared.com/mp3/0-zUATW9/Section_112_The_Royal_Threat_T.html


112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่
5 :ไล่ล่าคนคิดต่าง
จดหมายจาก ลุงบัณฑิต
ถึงเลขาธิการสหประชาชาติ


11 มกราคม 2555
เรียน ท่านเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ



ข้าพเจ้า นายบัณฑิต อานียา สัญชาติไทย อายุ 68 ปี ปัจจุบันถูกรัฐบาลไทยดำเนินคดีอาญา ในข้อหาดูหมิ่น หมิ่นประมาท แสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษตริย์ พระราชินี รัชทายาท  ซึ่งศาลชั้นต้นของไทยได้มีคำพิพากษาให้จำคุกข้าพเจ้า 4 ปีในความผิดดังกล่าวแต่ให้รอลงอาญามีกำหนด 3 ปี แต่รัฐบาลไทยได้ยื่นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์ของไทยได้พิพากษาให้จำคุกข้าพเจ้าเป็นเวลา 2 ปี 8 เดือนโดยไม่รอการลงโทษ
ข้าพเจ้าถูกดำเนินคดีในข้อหาข้างต้น เนื่องจากการเขียนหนังสือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเมืองและการปกครอง และการพูดแสดงความคิดเห็นทางการเมืองในระหว่างการสัมมนาที่จัดโดยรัฐบาลไทย ถ้อยคำแสดงความคิดเห็นในหนังสือของข้าพเจ้าที่ถูกรัฐบาลไทยดำเนินคดี และศาลอุทธรณ์ของไทยพิพากษาจำคุก 





เช่น ภายในศาลยุติธรรมของทุกประเทศในโลก ควรอย่างยิ่งที่จะมีตราชูเท่านั้นที่ติดไว้เหนือบัลลังก์ศาลเพื่อให้เป็น สัญลักษณ์แห่งความยุติธรรม นอกจากนี้แล้วก็ไม่สมควรที่จะเอารูปอื่นใด หรือรูปบุคคลใดไปติดไว้ในศาลนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ควรเป็นอย่างยิ่งที่เอารูปของผู้ปกครองที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมายไปติดไว้ในศาลยุติธรรมโดยเด็ดขาด ศาลไทยเห็นว่าเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ เพราะการพิจารณาคดีในศาลยุติธรรมจะต้องทำในพระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ และในห้องพิจารณาคดีจะมีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรูปติดอยู่เหนือบัลลังก์ศาล การที่ข้าพเจ้ากล่าวว่าควรที่จะเอาตราชูมาติดไว้ โดยไม่นำรูปของผู้ปกครองที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมายไปติดไว้ มีความหมายทำนองว่าไม่ควรนำพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปติดไว้ ถ้อยคำดังกล่าวแสดงถึงการไม่ถวายความเคารพองค์พระมหากษัตริย์

 


ข้อความ ที่ข้าพเจ้าแสดงความคิดเห็นอีกตอนหนึ่งการลดโทษหรือการอภัยโทษแก่นักโทษ พึงกระทำได้โดยเหตุผลเพียงประการเดียวเท่านั้น คือ นักโทษสำนึกในความผิดของตนและตั้งใจที่จะไม่ทำความผิดซ้ำอีก การลดโทษหรือการอภัยโทษแก่นักโทษเพื่อเป็นการสร้างบารมีแก่ผู้ลดโทษหรือแก่ผู้อภัยโทษนั้น สมควรสิ้นสุดลงได้แล้ว ศาลไทยเห็นว่า ข้าพเจ้าเขียนโดยมีความหมายทำนองว่า การลดโทษหรือการอภัยโทษเป็นการสร้างพระบารมี ซึ่งความจริงแล้วพระมหากษัตริย์ใช้พระราชอำนาจในการลดโทษหรือการอภัยโทษ โดยเป็นการพระราชทานพระเมตตา และทรงปฏิบัติตามหลักทศพิธราชธรรม ถ้อยคำดังกล่าวเป็น

การดูหมิ่นพระมหากษัตริย์
 
ข้อความอีกตอนหนึ่ง คนบางคน คนบางครอบครัว และคนบางกลุ่ม เป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือกองทัพ เป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย เป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือคนทั้งประเทศ เป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือฟ้า เป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือสวรรค์ และเป็นผู้ที่มีอำนาจอยู่เหนือพระผู้เป็นเจ้า แต่เราไม่ต้องการให้เขาเหล่านั้นมีอำนาจอยู่เหนือความเป็นธรรม ศาลไทยเห็นว่า ข้าพเจ้าต้องการสื่อความหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี รัชทายาทและพระบรมวงศานุวงศ์ เนื่องจากพระมหากษัตริย์ทรงดำรงพระองค์อยู่ในฐานะจอมทัพไทย ซึ่งมีพระราชอำนาจเหนือกองทัพ ข้าพเจ้าเขียนโดยมีความหมายทำนองว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ทรงมีพระราชอำนาจและพระอำนาจเหนือบุคคลทั้งประเทศ เหนือฟ้า เหนือสวรรค์ และเหนือความเป็นธรรม ควรจะจำกัดขอบเขตมิให้ทรงมีพระราชอำนาจ ซึ่งความเป็นจริงแล้วพระมหากษัตริย์มิได้อยู่เหนือกฎหมาย โดยพระองค์อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ และเป็นผู้ให้ความเป็นธรรมแก่บุคคลในแผ่นดิน ไม่เคยทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ข้อความอีกตอนหนึ่ง ในระหว่างการยกหมาบางตัว และหมาบางครอบครัวให้มีค่าเท่ากับคน กับการกดคนบางคนและคนบางครอบครัวให้มีค่าเท่ากับหมา (หรือการกดคนทั้งแผ่นดิน ให้มีค่าเท่ากับหมา) อย่างไหนประเสริฐล้ำเลิศมากกว่ากัน เจ้าของหมาด้วยความรักหมาย่อมสามารถยกย่องหมายให้เท่ากับคนได้ หรือในทางกลับกัน การกดคนให้เท่ากับหมา ก็มีความหมายเหมือนกัน แต่ว่าการกดคนให้เท่ากับหมาเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่พึงกระทำ ศาลไทยเห็นว่า จำเลยต้องการสื่อความหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะทองแดงคือชื่อของสุนัขที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเลี้ยง และทรงพระราชนิพนธ์เรื่องราวเกี่ยวกับทองแดงไว้ พร้อมทั้งพระราชทานให้จัดทำเสื้อยืดที่มีสัญลักษณ์รูปของทองแดงติดไว้ที่ตัวเสื้อออกจำหน่าย จำเลยเขียนข้อความโดยมีความหมายทำนองว่า คนยังมีความหมายไม่เท่ากับสุนัขของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งความจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชนิพนธ์เรื่องทองแดงโดยมีสาระสำคัญว่า สุนัขมีความกตัญญูรู้คุณ แต่มิได้ประสงค์ที่จะเปรียบเทียบระหว่างคนกับสุนัข ถ้อยคำดังกล่าวเป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์

ข้อความ อีกตอนหนึ่ง มีความจริงอันแสนปวดร้าวใจที่ว่า ในประเทศนี้มีบางคน บางครอบครัว และมีคนบางกลุ่ม มีอำนาจสูงสุดอย่างไม่มีอำนาจอื่นเทียบได้ และโดยไม่มีอำนาจอื่นคานไว้ เพราะเหตุนี้คนเหล่านั้นจึงสามารถดำรงตนอยู่เหนือกฎหมาย ดำรงตนอยู่เหนือฟ้า ดำรงตนอยู่เหนือสวรรค์ และดำรงตนอยู่เหนือพระเจ้า แต่กระผมจะพยายามอย่างสุดชีวิตจิตใจที่จะขัดขวางมิให้เขาหรือเครือญาติของเขาหรือพวกพ้องของเขาดำรงตนอยู่เหนือความเป็นธรรมเป็นอันขาด และประชาชนชาวไทยผู้รักสันติสุขคงไม่ต้องการเป็นใหญ่ในแผ่นดินหรอก แต่ประชาชนมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะเรียกร้องให้ผู้เป็นใหญ่มากที่สุดในแผ่นดิน ที่มีอำนาจอยู่เหนือความเป็นธรรม ได้โปรดมีมหากรุณาธิคุณลดความเป็นใหญ่อย่างล้นฟ้าล้นแผ่นดินของเขา หรือของครอบครัวของเขา หรือของพวกพ้องของเขาลงเสียบ้างหน่อยหนึ่งเถิด เพื่อว่าการทำเช่นนั้นจะเป็นการบรรเทาความปวดร้าวใจที่สุมอยู่ในหัวใจของปวงชนชาวไทยทั้งแผ่นดินอย่างมากล้นมาแต่เดิมลงไปได้บ้างสักเล็กน้อยก็ยังดี

ศาลได้เห็นว่า จำเลยเขียนข้อความดังกล่าวโดยมุ่งหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะมีคำว่าผู้เป็นใหญ่มากที่สุดในแผ่นดินและใช้คำราชาศัพท์ว่าได้โปรดมี มหากรุณาธิคุณ จำเลยเขียนข้อความดังกล่าวโดยมีความหมายในทำนองว่าให้พระมหากษัตริย์ลดพระราชอำนาจลง โดยเห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีพระราชอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และมีอำนาจล้นฟ้าล้นแผ่นดิน ไม่มีคุณธรรมและไม่มีความเป็นธรรม แต่ความจริงแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงปฏิบัติพระราชภารกิจตามที่รัฐธรรมนูญและตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ ข้อความดังกล่าวเป็นการลบหลู่ดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชินี รัชทายาท และพระบรมวงศานุวงศ์ และเป็นการแสดงความอาฆาตมาดร้าย โดยใช้ข้อความว่าจะพยายามอย่างสุดชีวิตที่จะขัดขวาง
ศาลไทยได้ให้เหตุผลในการลงโทษข้าพเจ้าตอนหนึ่งว่าตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด และประมวลกฎหมายอาญาดังกล่าว ย่อมเห็นได้โดยแจ้งชัดว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นทรงดำรงอยู่ในฐานะพระประมุขของประเทศ ทรงเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละเมิดหรือใช้สิทธิและเสรีภาพให้เป็นปฏิปักษ์ในทางหนึ่งทางใด มิได้ ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ดำรงคงอยู่คู่ประเทศตลอดไป ไม่เพียงแต่กฎหมาย แม้ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ให้ความเคารพสักการะและยกย่องเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมตลอดมาตั้งแต่โบราณกาล การที่จะกล่าววาจาหรือเขียนข้อความจาบจ้วงล่างเกิน เปรียบเทียบ เปรียบเปรย หรือเสียดสี ให้เป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทนั้น หามีบุคคลกล้าบังอาจไม่ กล่าวโดยสรุป ข้าพเจ้าถูกรัฐบาลไทยฟ้องร้องดำเนินคดี และศาลไทยพิพากษาลงโทษจำคุก เนื่องจากรัฐบาลไทยและศาลไทยเห็นว่า การแสดงความคิดเห็นของข้าพเจ้าเป็นการชักชวนให้คนไม่เคารพรักในพระมหากษัตริย์ไทย พระราชินี รัชทายาท และราชวงศ์
ทั้งนี้รัฐบาลไทยและศาลไทยเห็นว่า การแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์จะต้องเป็นการแสดงความเคารพรักเท่านั้น โดยสะท้อนให้เห็นจากเหตุผลที่ศาลไทยพิพากษาลงโทษจำคุกข้าพเจ้าดังกล่าวข้างต้นว่า ทั้งรัฐและประชาชนต่างมีหน้าที่ที่ต้องรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ดำรงคงอยู่คู่ประเทศตลอดไป ไม่เพียงแต่กฎหมาย แม้ในความรู้สึกนึกคิดของประชาชนชาวไทยอันมีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ให้ความเคารพสักการะและยกย่องเทิดทูนไว้เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมตลอดมาตั้งแต่โบราณกาล การที่จะกล่าววาจาหรือเขียนข้อความจาบจ้วงล่วงเกิน เปรียบเทียบ เปรียบเปรย หรือเสียดสี ให้เป็นที่ระคายเคืองต่อเบื้องพระยุคลบาทนั้น หามีบุคคลกล้าบังอาจไม่ ข้าพเจ้าขอยืนยันว่า ข้อกล่าวหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ เป็นสิ่งที่ขัดต่อสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นโดยบริสุทธิ์ใจของประชาชน เป็นการปิดกั้นมิให้ประชาชนไทยแสดงความคิดเห็นทางการเมืองใดๆที่พาดพิงถึง พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ นอกจากแสดงความเคารพ รัก เทิดทูน เท่านั้น

ข้าพเจ้า เชื่อมั่นว่า สำหรับประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชา ธิปไตย ให้ความเคารพต่อสิทธิ เสรี ภาพและ ศักดิ์ศรีความเป็นคน ย่อมเห็นพ้องต้องกันว่า ชะตากรรมที่ข้าพเจ้าได้รับและที่กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ เป็นการละเมิดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น สิ่งที่เกิดขึ้นนับเป็นอาชญากรรมที่รัฐบาลไทยทำต่อประชาชนของตนอย่างแน่นอน
นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีประชาชนและนักเคลื่อนไหวอีกจำนวนหนึ่งที่ถูกกักขังและลงโทษในความผิดเดียวกับข้าพเจ้าด้วย
ข้าพเจ้า ขอร้องเรียนมายังท่านโดยตรง ด้วยความเชื่อมั่นว่า หากท่านทราบถึงข้อเท็จจริงในชะตากรรมของข้าพเจ้าและนักโทษการเมืองอื่นๆใน ประเทศไทยแล้ว การดำเนิกการของท่าน ย่อมส่งผลต่อการปฏิบัติของรัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่ของไทยที่มีต่อนักโทษ การเมือง ท่านสามารถอธิบายและโน้มน้าวให้รัฐบาลไทยยุติการกักขังและทรมานนักโทษ การเมือง เช่นข้าพเจ้าหรือนักโทษการเมืองอื่นๆได้


ข้าพเจ้า เชื่อมั่นว่า ท่านซึ่งเป็นผู้นำของรัฐที่เป็นประชา ธิปไตย และเคารพในสิทธิ เสรีภาพ ของมนุษย ชาติ จะไม่เพิกเฉยต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองไทยดังที่ข้าพเจ้าร้องเรียนต่อท่าน ดังกล่าว ข้าพเจ้าขอวิงวอนให้ท่านได้โปรดดำเนินการโดยด่วนในทุกวิถีทางเท่าที่สามารถ ทำได้เพื่อให้รัฐบาลไทยยุติการกักขังและทรมานนักโทษทางการเมือง และคืนเสรีภาพให้กับผู้คนที่เขากักขังไว้
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ในทุกเวที ในทุกสถานที่ ท่านซึ่งเคารพในสิทธิมนุษย์ชน จะได้โปรดดำเนินตามที่ข้าพเจ้าร้องขอ

(นายบัณฑิต อานียา)
โปรดติดต่อข้าพเจ้าที่ (Contact Address)
XXX (52/1) หมู่ 6 ซอยเพชรเกษม 108 แยก 9 แขวงหนองค้างพลู
เขตหนองแขม กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย
โทร.083−(XXXXXXX) 0619237
คดี ไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี
-ปรากฏในคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1294/2521




อนุชิตถูกฟ้องมาตรา 112 อัยการฟ้องว่า ในวันเวลาเกิดเหตุมีการอภิปรายที่ท้องสนามหลวงกลุ่มศูนย์นิสิตนักศึกษา อภิปรายปัญหาเรื่องข้าวสารแพงอยู่ทางด้านทิศเหนือกลุ่มของนายผัน วิสูตรอภิปรายเรื่องการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อยู่ทางด้านทิศใต้ ด้านวัดพระแก้ว จำเลยฟังกลุ่มนายผันอภิปราย เมื่อนายผันปิดอภิปรายและเปิดแผ่นเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี ประชาชนที่ฟังการอภิปรายทุกคนได้ยืนตรง ขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมียังไม่จบ จำเลยได้กล่าวถ้อยคำว่า เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่อง และจำเลยมิได้ยืนตรง เป็นการดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ และเป็นการแสดงอาการไม่เคารพนบนอมต่อพระมหากษัตริย์ต่อหน้าประชุมชน ฯลฯ จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีเป็นเพลงที่ใช้บรรเลงในการพระราชพิธีหรือพิธีการต่างๆ เพื่อถวายพระเกียรติและถวายความเคารพแด่องค์พระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะคดีนี้ประชาชนที่ไปฟังการอภิปรายย่อมเข้าใจว่า เพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดขึ้นเป็นการถวายความเคารพแด่พระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน จึงได้ยืนตรงทุกคน จำเลยเป็นนักเรียนครูวิทยาลัยครูสวนสุนันทา ย่อมต้องรู้และเข้าใจดีกว่าประชาชนธรรมดาสามัญ การที่จำเลยมิได้ยืนตรงเช่นประชาชนคนอื่นในขณะที่เพลงสรรเสริญพระบารมีเปิด ขึ้น ทั้งยังบังอาจกล่าวถ้อยคำว่า เฮ้ย เปิดเพลงอะไรโว้ย ฟังไม่รู้เรื่องเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาที่จะดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ฯลฯ
พิพากษายืน ว่า จำเลยมีความผิดตาม ม.
112 ให้จำคุก 2 ปี


-กรณีของรัชพิณ เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 15 มิ.ย.2551 เวลากลางวัน ที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ฯ รัชโยธิน ขณะเมื่อมีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ จำเลยไม่ลุกขึ้นยืนถวายความเคารพ และได้ยกเท้าทั้งสองข้างพาดเก้าอี้ไปทางจอพอภาพยนตร์ พอเพลงจบก็ยังมีการตะโกนถ้อยคำหยาบคายออกมา

19 ต.ค.2552 ศาลชั้นต้นได้พิพากษาว่า  จำเลยมีความผิดตาม มาตรา 112 ให้จำคุก 3 ปี จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษ ลดลงกึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 1 ปี 6 เดือน รอลงอาญา 2 ปีเนื่องจากจำเลยมีประวัติมีอาการทางจิตและเคยผ่านการรักษาจากโรงพยาบาลจิตเวช


-คดีของโชติศักดิ์ อัยการไม่สั่งฟ้องโดยให้เหตุผลไว้ว่า เพียงแต่ไม่ได้ลุกขึ้นยืนตรงขณะที่มีการเปิดเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์ จำเลยพูดเพียงว่า ทำไมต้องยืนด้วยไม่มีกฎหมายบังคับ การแสดงความอาฆาตมาดร้ายจะต้องมีการกระทำแสดงให้เห็นด้วย เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะมีลักษณะความผิดในฐานแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อพระมหากษัตริย์   และว่าหากจะผิดก็เป็นความผิดจารีตประเพณีที่เป็นกฎหมายเก่า ปี 2485 และมีบทลงโทษให้จำคุก 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท ปัจจุบันยกเลิกแล้ว ตามพรบ.วัฒนธรรมแห่งชาติ  2553

กรณีของโชติศักดิ์ เขาเพียงไม่ยืนขณะมีเพลงบรรเลง หลังจากนั้นคนที่นั่งข้างๆ จึงเริ่มทักถามและถึงขั้นด่าทอ ขว้างปาข้าวของใส่โชติศักดิ์และเพื่อน เมื่อโชติศักดิ์แจ้งข้อหาทำร้ายร่างกายกับชายคนดังกล่าว เขาก็แจ้งข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกลับเช่นกัน
โชติศักดิ์เคยให้สัมภาษณ์ไว้
แม้ว่าผมจะไม่ยืนแต่ผมก็เคารพสิทธิ์ของคนที่อยากจะยืนเหมือนกัน ผมให้เกียรติพิธีกรรมของเขาด้วยการเลือกที่จะนั่งอย่างสงบแม้เขาจะไม่ผิด แต่ด้วยข้อหาเช่นนี้ก็ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
สรุปได้ในขณะนี้ว่า การไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีที่เปิดในโรงภาพยนตร์ โรงมหรสพ หรือล่าสุดได้ขยายเข้าไปถึงก่อนการแข่งขันกีฬาแล้ว หากเป็นการ
ไม่ยืนโดยสงบนั้น ในปัจจุบันยังไม่เป็นความผิดตามกฎหมายลายลักษณ์อักษร หรือ ยังไม่พอฟังว่าเป็นความผิดฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112

แต่ไม่ได้หมายความว่า ปัจจุบันการไม่ยืน จะสามารถกระทำได้โดยเสรีเสียทีเดียว เพราะอัยการก็สั่งไม่ฟ้องคนที่ทำร้ายร่างกายนายโชติศักดิ์ โดยอัยการมองว่าเป็นการ ร้องขอให้ผู้เสียหายทั้งสองแสดงความเคารพต่อองค์พระประมุขและสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมา รวมทั้งการโห่ร้องไล่ผู้เสียหายทั้งสองคนให้ออกจากโรงภาพยนตร์ไปนั้นก็เพราะไม่พอใจที่ผู้เสียหาย ไม่ยืนแสดงความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งยังไม่เป็นการแสดงออกว่าจะใช้กำลังให้เกิดอันตราย

ดังนั้น การที่เห็นคนไม่ยืนทำความเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมีแม้จะยังฟังไม่ได้ว่าเข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรา
112 แต่การกระทำดังกล่าวก็ถือเป็นกิริยาที่ไม่เหมาะสมและไม่อยู่ในบรรทัดฐานที่ประชาชนทั่วไปต้องปฏิบัติ ซึ่งเป็นตามธรรมดาของคนไทยทุกคนที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวย่อมไม่พอใจและอาจตอบโต้หรือตักเตือนได้ตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ดีงามของสังคมไทยสืบมา ที่แม้อาจจะมีพฤติกรรมอันรุนแรงไปบ้าง แต่ถ้าไม่ได้รุนแรงต่อร่างกายจนเกินไป หรือทรัพย์สินที่เสียหายเป็นทรัพย์ที่มีราคาน้อย ก็เป็นความไม่พอใจที่เข้าใจได้ เพราะเป็นเรื่องธรรมดาของคนไทยทุกคนที่พบเห็นเหตุการณ์ดังกล่าว และการตอบโต้คนไม่ยืนตามสมควรแก่กรณีหากไม่รุนแรงเกินไปนั้น กลไกกฎหมายอาญาของรัฐไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่ง




การดูหมิ่นพระมหากษัตริย์การดูหมิ่นพระมหากษัตริย์คดีนี้ยังพ่วงเอา จิตรา คชเดชผู้นำแรงงานหญิงคนสำคัญ ร่วมขบวน หมิ่นไปกับเขาด้วยจนต้องขึ้นโรงขึ้นศาลและตกงาน เพียงเพราะใส่เสื้อรณรงค์ ไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรมซึ่งทำขึ้นเพื่อระดมทุนสู้คดีให้กับโชติศักดิ์ ไปออกรายการของช่อง 11 เรื่อง ทำท้อง..ทำแท้ง


จากนั้นก็ถูกสื่อค่ายผู้จัดการและเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชา ธิปไตย ( พธม. ) นำไปขยายผล  จากเสื้อรณรงค์ผูกโยงเป็นแนวร่วม นปก. โค่นล้มสถาบัน มีผู้อ่านด่าทอและประกาศบอยคอตผลิตภัณฑ์ไทรอัมพ์ กระทั่งบริษัทขออำนาจศาลเลิกจ้างจิตรา โดยให้เหตุผลว่าสร้างหรือร่วมสร้างสถานการณ์ที่ก่อให้เกิดความแตกสามัคคี จงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย สุดท้ายศาลแรงงานพิพากษาอนุญาตให้นายจ้างเลิกจ้างได้ เชื่อว่าได้รับความเสียหายจริง พร้อมระบุถึงบางอย่างที่เป็นที่ฮือฮายิ่ง นั่นคือ การไม่มีจิตวิญญาณประชาชาติ
เพลงสรรเสริญพระบารมี เริ่มเกิดขึ้นราวสมัย ร. 5 เพื่อให้ทัดเทียมกษัตริย์อารยประเทศ แต่เริ่มเอามาใช้กันเป็นล่ำเป็นสันในสมัยรัฐนิยม ของจอมพล ป.พิบูลสงคราม ในช่วงนั้นมีประกาศออกมาหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการเปิดเพลงชาติและเพลง สรรเสริญพระบารมี โดยมีฉบับหนึ่งระบุว่าเมื่อได้เห็นผู้ใด ไม่แสดงความเคารพ....พึงช่วยกันตักเตือนชี้แจงให้เห็นความสำคัญแห่งการเคารพ ธงชาติ เพลงชาติ และเพลงสรรเสริญพระบารมี.
ประกาศมา ณ วันที่
8 กันยายน พุทธศักราช 2482   
พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี





คดีคนขายซีดีหมิ่น

นายเอกชัยถูกจับเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 ข้อหาขายก้อปปี้ CD สารคดีเรื่องอนาคตสถาบันกษัตริย์ไทยกับ ม.112 ของโทรทัศน์ออสเตรเลีย the Australian Broadcasting Corporation (ABC) พร้อมเอกสาร WikiLeaks สองชุดที่มีการอ้างคำพูดของ ประธานองคมนตรี พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ องค์มนตรี พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา อดีต นายกรัฐมนตรี นายอานันท์ ปันยารชุน และ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีในตอนนั้น  เอกชัยถูกจับแถวสนามหลวงหลังจากตำรวจนอกเครื่องแบบล่อซื้อ CD ในราคา 20 บาทแถวสนามหลวง เอกชัยถูกขังคุก 9 วันก่อนได้รับการประกันตัว และปัจจุบันอยู่ระหว่างการต่อสู้คดี เอกชัยให้การภาคเสธ โดยให้เหตุผลว่า ตนเองมีเจตนาที่จะเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่รอบด้านให้กับประชาชนเท่านั้น และหากมีข้อมูลที่ไม่เหมาะสมก็เป็นส่วนของพระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ มิใช่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช

วีซีดีดังกล่าวมีภาพเคลื่อนไหวงานเลี้ยงฉลองริมสระว่ายน้ำ โดยมีชาย-หญิง 2 คน ซึ่งผู้หญิงแต่งกายในชุดเกือบเปลือยต่อหน้าคนที่ร่วมอยู่ในงานเลี้ยงฉลองหลายราย เป็นวีซีดีสารคดี Foreign Correspondent และขายสำเนาเอกสารวิกิลีกส์ฉบับแปลภาษาไทย จึงพาตัวไปตรวจค้นที่บ้านพักย่านลาดพร้าว และพบวีซีดี รวมทั้งคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ไรท์วีซีดี จึงยึดไว้เป็นของกลาง และแจ้งข้อหาจำหน่ายวีซีดีโดยไม่มีใบอนุญาตเพิ่มอีก 1 กระทงด้วย จำเลยยอมรับว่า เป็นผู้จำหน่ายวีซีดีดังกล่าว โดยดาวน์โหลดไฟล์มาจากอินเตอร์เน็ต และไรท์/พริ้นท์ออกมาเพื่อนำไปจำหน่าย แต่ไม่เห็นว่า เนื้อหาในวีซีดีและโทรเลขดังกล่าวเข้าข่ายผิด ม.112

เอกชัยได้ติดต่อไปยังสำนักงานของสถานีโทรทัศน์ ABC ประเทศออสเตรเลีย เมื่อเดือนสิงหาคม 2554 เพื่อขอเอกสารคำแถลงจากทางสถานีเกี่ยวกับเจตนาในการจัดทำสารคดีดังกล่าว เพื่อนำมาใช้ประกอบการสืบพยานในคดีนี้ แต่ฝ่ายกฎหมายของสถานีโทรทัศน์ ABC ได้ตอบอีเมลเอกชัยกลับมาระบุว่าทาง ABC ไม่อยู่ในสถานะจะให้ความช่วยเหลือใดๆได้ สถานีฯ ผลิตสารคดีดังกล่าวนอกประเทศไทยและมุ่งหมายเผยแพร่แก่คนออสเตรเลีย อีกทั้งไม่ต้องการให้มีการกระทำใดๆ ดังเช่นที่เอกชัยดำเนินการ ซึ่งอันที่จริงก็อาจเข้าข่ายละเมิดลิขสิทธิ์ของสถานีฯ และทาง ABC ไม่สามารถจะแถลงอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ ตามวีดีโอคลิ้ป http://laksamanabukitbintang.blogspot.com/2011/01/wikileaks-thai-crown-prince-maha.html

ทนายจำเลยชี้ให้ศาลเห็นว่า ในทุกการชุมนุมของคนเสื้อแดงจะมีการจำหน่ายวีซีดีเป็นปกติ ซึ่งคนขายทั้งหมดไม่มีใครมีใบอนุญาตจำหน่ายวีซีดี แต่ตำรวจอนุโลมให้จำหน่ายได้ เนื่องจากเห็นว่า เนื้อหาในวีซีดีเหล่านั้นไม่ผิด กม. และไม่ละเมิดลิขสิทธิ์ ส่วนเนื้อหาในวีซีดีที่ระบุว่า ฟ้าชายวชิราลงกรณ์และพระวรชายาจะได้เป็นกษัตริย์และราชินีพระองค์ถัดไป ก็เป็นเรื่องจริง รวมทั้งเนื้อหาในส่วนอื่นๆก็ล้วนเป็นเรื่องจริงที่รับรู้โดยทั่วกัน


19 ก.ค.2555 นัดหมายอ่านคำสั่งการออกหมายเรียกพยานตามร้องของทนายจำเลย คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และพล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา ศาลได้สอบถามแนวทางการต่อสู้คดีจากทนายจำเลย และท้ายที่สุดมีการเลื่อนการสืบพยานไปเป็นวันที่ 20 พ.ย.2555 ศาลระบุว่าเหตุที่ต้องมาสอบถามเนื่องจากอ่านคำแถลงแนวทางการสืบพยานที่ใช้ ประกอบคำร้องเพื่อเรียกพยาน คือ พล.อ.เปรม และ พล.อ.อ.สิทธิแล้ว ยังไม่เป็นที่ชัดแจ้งว่าจำเลยจะต่อสู้ในข้อเท็จจริงของข้อความในเอกสารวิกิลีกส์ หรือจะสู้เรื่องเจตนาของจำเลย โดยผู้พิพากษาได้อธิบายว่าในคดีเช่นนี้ การสืบในข้อเท็จจริงนั้น หากสืบได้ว่าจริงก็เป็นการหมิ่น และหากสืบได้ว่าไม่จริงก็ยิ่งหมิ่นมากขึ้นอีก การมุ่งสืบเรื่องข้อเท็จจริงจึงอาจไม่เป็นประโยชน์มากนัก แต่หากฝ่ายจำเลยยังประสงค์จะต่อสู้ในเรื่องข้อเท็จจริงก็เป็นสิทธิที่กระทำได้ ศาลเปิดโอกาสให้สู้คดีเต็มที่ และยืนยันว่าพร้อมจะรับฟังทุกฝ่ายอย่างเป็นกลาง มิได้ต้องการชี้นำแต่เป็นการหารือกันเพื่อความชัดเจน เบื้องต้นทนายจำเลยพยายามยืนยันว่ายังคงต้องการให้เรียกพยานทั้งสองมาสืบ ในทางข้อเท็จจริง อย่างไรก็ตาม หลังการหารือดำเนินไปราว 20 นาที ทนายจำเลยได้ขอพักเพื่อหารือกับคณะทำงานภายนอกห้องพิจารณาอีกราว 20 นาที แล้วจึงกลับมาแถลงต่อศาลว่าพร้อมจะให้น้ำหนักในการต่อสู้เรื่องเจตนาของจำเลยเป็นหลัก แต่ก็จะต่อสู้ในเรื่องข้อเท็จจริงด้วย อย่างไรก็ดี เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงแนวทางเพิ่งเกิดขึ้นจึงขอเลื่อนการสืบพยานในนัดนี้ เพื่อยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติม ซึ่งศาลก็อนุญาตตามทนายจำเลยร้องขอ ขณะเดียวกันทนายจำเลยก็ยินยอมระงับคำ ร้องในการเรียกพยาน 2 ปากคือ พล.อ.เปรม และ พล.อ.สิทธิ ไว้ก่อน  โดยผู้พิพากษาระบุเพิ่มเติมว่า หากสืบพยานทั้งหมดแล้วเสร็จ และยังไม่เป็นที่พอใจ ทนายจำเลยยังคงมีสิทธิในการยื่นคำร้องให้ออกหมายเรียกพยานทั้งสองมาสืบได้ แต่ก็เป็นดุลยพินิจของศาลว่าจะอนุญาตหรือไม่

บทสนทนาระหว่างผู้พิพากษากับทนาย
ผู้พิพากษาอภิสิทธิ์:

ถ้า [ม.
112] ขัดรัฐธรรมนูญ ก็จบ ใช้ไม่ได้ แต่ถ้าไม่ คุณจะสู้คดีอย่างไร ยิ่งจริงยิ่งหมิ่น ฟังก่อน และถ้าไม่จริงก็โคตรหมิ่นเลย เพราะฉะนั้นการพิสูจน์ว่าจริงไม่จริง ไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณเลยให้คุณพิจารณาเอาเอง มันไม่ได้เป็นผลดีต่อตัวคุณเลย
ทนายอานนท์: ถ้า [ข้อมูลในวิดีโอและ
WikiLeaks] เป็นความจริง เราก็สู้โดยสุจริต ปัญหาคือจะเรียนเชิญทั้งสอง [พลเอกเปรม กับ องคมนตรีสิทธิ] และขอหมายเรียก [จากศาล] มา 3 ครั้งแล้ว
ผู้พิพากษา: พยานไม่เป็นประโยชน์ต่อคดี
ทนายอานนท์: ผมเชื่อว่าท่านองคมนตรีจะพูดความจริง
ผู้พิพากษา: ถ้าคุณจะอ้างว่าผมจะพูดถึงใครก็ได้ อันนั้นก็อ้างรัฐธรรมนูญมา
แต่เรื่องข้อความทางกฎหมาย ยิ่งจริงยิ่งหมิ่นเข้าใจเปล่า?... ถ้าไม่มีผลในคดีเท่าที่ควร ทำไปมันก็ไม่ได้อะไร มันได้แต่ความสะใจ
ทนายอานนท์: ท่านองคมนตรีเป็นหลักสังคม ท่านจะพูดความจริง
ผู้พิพากษา: ฝ่ายโจทก์ไม่ได้โต้เรื่อง
WikiLeaks ไม่ได้โต้เนื้อหาว่าจริงไม่จริง เขาบอกข้อความเป็นการหมิ่น ศาลก็ไม่ได้คัดค้านอะไรคุณ แต่คุณลองคิดให้ดีก่อน [ถ้า] มาดูเอ๊ะ จะสู้แนวไหนกันแน่ มันจะเป็นผลดีกับตัวคุณเอง
ทนายอานนท์:
(บอกว่ากฎหมายคุ้มครองไม่ให้วิจารณ์องค์ประมุขเท่านั้น ไม่รวมพระราชินีหรือองค์รัชทายาท)
ผู้พิพากษา: ตีความเถียงอาจารย์ ก็สอบตก ไม่ได้เกรดเอ
(A) … ศาลตีความให้ได้เลยว่าขัด [ม.112] ไม่ขัด อย่าเข้าใจผิดนะ ศาลเปิดโอกาสให้คุณสู้คดี เต็มที่เลย
ทนายอานนท์: ผมคิดว่าแนวทางการต่อสู้ค่อนข้างจะชัดเจนว่าข้อความเป็นความจริง เราก็ยืนยันว่าเราสู้แนวข้อเท็จจริง
….
ผู้พิพากษา: ไม่มีธง
พูดแบบแฟร์ๆ
หลังจากนั้นก็ศาลก็ให้พักหารือ
20 นาที และมีการถกเถียงกันในกลุ่มของเอกชัยอย่างดุเดือดว่าจะเอาอย่างไรต่อ และข้อดีข้อเสียแต่แนวทางต่อสู้คดีแต่ละแบบเป็นอย่างไร
เอกชัยบอกผู้เขียนว่า
คดีผม สำคัญที่สุดต้องเอา […] 3 คนนี้มา […] ต่อให้สู้เรื่องเจตนา ผมก็ไม่รอด
20 นาทีผ่านไป ศาลสองท่านขึ้นบัลลังก์ แล้วทนายอานนท์ก็ยังยืนยันว่าอยากจะพิสูจน์ความจริงของข้อมูลใน WikiLeaks และวิดีโอ ABC
ผู้พิพากษา: คืออย่างนี้ ศาลไม่ขัดขวาง ศาลพูดเป็นแนวทางเฉยๆ ไม่ได้บังคับ โจทก์ไม่ได้โต้เถียงเรื่องข่าว
WikiLeaks เลยว่าไม่มีหรือไม่มีการพูด อ้างพยานเพิ่มเติมถ้ามีเหตุผลศาลให้อยู่แล้ว ศาลรู้และเข้าใจความเป็นกังวลของจำเลย [แต่] ถ้าสืบเรื่องข้อเท็จจริงอย่างเดียวจะเสียต่อคดี ศาลไม่ได้แนะนำ ไม่ได้มีอะไร ไม่ได้กลัวอะไรศาลบอกว่า คุณจะสู้แนวไหน
ทนายอานนท์: ในบันทึกการจับกุม [เอกชัย] จำเลยใช้คำว่า [ข้อมูล] เป็นคำพูดไม่เหมาะสม [ซึ่งอาจต่างจากคำพูดหมิ่น]
ผู้พิพากษา: จำเลยสู้ว่าไม่มีเจตนาหมิ่น เป็นการใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิเสรีภาพก็ว่าไป เอาอย่างนี้ดีกว่า ศาลอธิบายนิดนึงนะ ศาลไม่ได้ปิดกั้นเรื่องพยาน
เรื่องนี้มันละเอียดอ่อน ศาลเป็นกลางจริงๆ ศาลไม่มีอะไรเลย ศาลก็เป็นประชาชนคนหนึ่ง
พูดตรงๆเลย บางทีแพ้ทางเทคนิคมันเจ็บใจ
ศาลไม่ได้บอกแนว [ต่อสู้คดี] นะ ศาลถามแนวทางเพื่อให้คุณมีโอกาสเตรียมตัวสู้คดีอย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องส่งศาลรัฐธรรมนูญ [ว่า ม.112 ขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่] ศาลอนุญาตให้ส่งนะ
เรื่องหมายเรียก [ให้พลเอกเปรมกับ พลอากาศเอกสิทธิ] ของดไว้ก่อน ไม่ใช่งดเลย ศาลเข้าใจว่าคุณกังวล งดไว้ก่อนไม่ใช่ไม่ออกแล้ว



คำว่ายิ่งจริงยิ่งหมิ่น เขาใช้กับเรื่องส่วนตัวของปัจเจกชนคนธรรมดา
ถ้าเป็นคน สาธารณะ คนสถานะพิเศษ ยิ่งจริงยิ่งต้องคุ้มครองคนพูดและส่งเสริมคนให้พูด
เพราะการยอมให้พูดเป็นการสร้างกรอบสถานะ ที่จะทำให้มีการดำรงตนตามกรอบ ทำให้เกิดสถานะอันเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริง
การที่ศาลบอกว่า "ฝ่ายโจทก์ไม่ได้โต้เรื่อง
WikiLeaks ไม่ได้โต้เนื้อหาว่าจริงไม่จริง" นั้นถือได้หรือไม่ว่า ศาลยกประโยชน์ให้จำเลย โดยถือว่า คดีนี้เนื้อหาที่จำเลยอัดใส่ CD จริง เพราะโจทก์ไม่ยกเป็นข้อกล่าวอ้าง ซึ่งโจทก์ไม่สามารถยกเรื่องที่ว่าเนื้อหานั้นไม่จริงมาใช้ได้อีก ดังนั้นประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลย ขณะนี้ จึงมีเพียง 2 ประเด็น คือ ข้อเท็จจริงที่พลเอกเปรมกับ พลอากาศเอกสิทธิ คุณอานันท์ ปันยารชุน และคุณสมัคร กล่าวเข้าข่ายหมิ่นตาม ม.112 หรือไม่ ประเด็นหนึ่ง และ จำเลยมีเจตนากระทำผิดตาม ม.112หรือไม่ อีกประเด็นหนึ่ง
ทีมทนายจำเลย ควรยืนยันให้ พลเอกเปรมกับ พลอากาศเอกสิทธิ และคุณอานันท์ ปันยารชุน ขึ้นให้การในฐานะพยานจำเลย เพราะมีแต่ผู้ที่กล่าวถ้อยคำหรือแสดงความเห็นดังกล่าวเท่านั้นที่ต้องพิสูจน์ว่าตนไม่เข้าข่ายหมิ่นตาม ม.
112  หรือต้องถูกดำเนินคดีหมิ่นตาม ม.112 แล้ว

ทำไมฝ่ายโจทก์ ทั้งพนักงานสอบสวนและอัยการ จึงไม่เชิญพลเอกเปรมกับ พลอากาศเอกสิทธิ และคุณอานันท์ ปันยารชุน มาสอบสวน หาข้อเท็จจริง และหากเชื่อว่ามีการกล่าวจริงและเข้าข่าย ม. 112 ทำไมจึงไม่ดำเนินคดี แต่ถ้าฝ่ายโจทก์เชื่อมั่นโดยสุจริตว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน ข้อเท็จจริงที่กล่าวไม่เข้าข่าย ม.112 แต่เหตุใดจึงมุ่งดำเนินคดีกับจำเลยเพียงผู้เดียว ถ้าจำเลยเชื่อโดยสุจริตว่า บุคคลที่เกี่ยวข้องใน CD เป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบัน คงไม่กล่าวข้อเท็จจริงที่เข้าข่ายหมิ่น ตามม.112 จึงได้กอปปี้ CD ออกขายเพื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ประชาชนสนใจ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยรู้ข้อเท็จจริงว่า ถ้อยคำใน CD มีลักษณะที่เข้าข่ายหมิ่นตาม ม.112 ดังนั้น จำเลยจึงไม่มีเจตนากระทำผิด ตาม ม.112 คดีนี้จึงมีหลักง่ายๆ ว่า
 มีการพูดจริง และเข้าข่ายหมิ่นจริง หรือ  มีการพูดจริง แต่ไม่เข้าข่ายหมิ่น
ในกรณีนี้ ถ้าผู้เอามาเผยแพร่ โดนคดีหมิ่น พลเอกเปรมกับพวก ซึ่งเป็นผู้พูดข้อความนั้นเอง ก็น่าจะโดนคดีหมิ่นด้วยเช่นกัน

รายงานลับของ WikiLeaks
เรื่องที่เปรม สิทธิ และ อานันท์
คิดยังไงกับราชวงศ์
รายงานลับจากทูตสหรัฐอีริค จอห์น Eric G. John ถึงรัฐบาลสหรัฐ เมื่อเดือนมกราคม 2553 ที่ออกมาใน Wiki Leaks หลังจากที่ทูตไปคุยกับ เปรม ติณสูลานนท์ พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา (อง
คมนตรี) และ อานันท์ ปันยารชุน มีเนื้อหาย่อๆ ดังนี้เปรม บอกว่า วชิราลงกรณ์ ไม่ไปเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลแม้แต่ครั้งเดียว และคงมีความสัมพันธ์กับทักษิณบ้าง เปรมมองว่าทักษิณคิดผิดที่จะไปมั่นใจพึ่งฟ้าชาย ด้วยเหตุที่เคยช่วยทางด้านเงินในอดีต ทั้งสามคนไม่ค่อยชอบฟ้าชายนัก แต่ทุกคนก็ยืนยันว่าฟ้าชายคงได้สืบราชบัลลังก์ แต่ทั้งสิทธิและอานันท์เสนอว่าถ้าให้คนอื่นเป็นน่าจะดีกว่า ขณะที่สิทธิชอบพระเทพมากกว่า อานันท์บอกว่ามีแต่ในหลวงเท่านั้นที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่คงมีโอกาสน้อย


ทูตถามว่าฟ้าชายอยู่ไหนเปรมตอบว่าคุณก็รู้ว่าเขาเป็นคนแบบไหนซึ่งทูตตีความว่าฟ้าชายอยู่กับเมียน้อย ที่เมืองมิวนิคเยอรมัน สิทธิ เศวตศิลายอมรับว่าฟ้าชายไปหาเมียน้อยบ่อยและบ่นว่าทูตไทยที่นั้น ต้องเสียเวลากับการต้อนรับและไม่ต้องการเสียเวลาอย่างนี้ ฟ้าชายใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเมียน้อยแอร์โฮสเตรสที่เยอรมันมากกว่าอยู่กับเมียและลูกที่กรุงเทพ อานันท์อยากให้ใครสักคนเสนอเรื่องเปลี่ยนตัวรัชทายาทต่อในหลวง แต่ก็คงยาก เพราะคงไม่มีใครกล้าเสนอเช่นนั้น สิทธิมองว่าทักษิณวาดภาพว่าในหลวงใจแคบในบทสัมภาษณ์ในนสพTimesที่ตั้งความหวังว่ารัชกาลต่อไป จะใจกว้างและทันสมัยขึ้น

สิทธิพูดต่อว่าการเปลี่ยนรัชกาลจะเป็นช่วงเวลาที่ำยากลำบาก ประชาชนเขาไม่เอาแล้ว มีประชาชนมาชุมนุมในช่วงเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ที่ผ่านมา ประชาชนเขารู้ดีว่าเปรม ในหลวงและราชินี เป็นคนสั่งการสังหารเช่นเดียวกับความร่ำรวยของกษัตริย์ ที่ชาวบ้านรู้กันหมด งานวันเกิดวันตายของพ่อแม่และพี่สาวของกษัตริย์ต้องใช้เงินภาษีของชาวบ้านหลายพันล้านบาท รวมทั้งการโฆษณาติดป้ายทั่วประเทศต้องสิ้นเปลืองเงินชาวบ้านทั้งประเทศต้องเดีอดร้อน เปรมรายงานการเมืองให้กษัตริย์และราชินีทุกวันให้ได้ทราบว่าประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ชาวบ้านมีวิทยุชุมชนเป็นพันๆแห่ง มี นปชยูเอสเอที่ชาวบ้านชอบฟังที่สุดมีแวบไชต์เป็นหมื่นๆ และ มียูทุบเป็นล้านคลิ้ป สาปแช่งพวกเขา และ ทั้งราชวงค์ทราบดีที่สุดว่า ทหารมีการแตกแยก
แต่ถ้าวชิรา ลงกรณ์สิ้น พระชนม์ พระเทพอาจเป็นกษัตริย์แทนก็ได้อานันท์ ปันยารชุน บอกว่าเชื่อมั่นมาตลอดว่าวชิราลงกรณ์จะเป็นกษัตริย์คนต่อไปตามกฎหมาย แต่ถ้าวชิรา ลงกรณ์ไม่สามารถแก้นิสัยตนเอง ยุ่งการเมืองและมีปัญหาในด้านการเงินอีก ซึ่งคนส่วนใหญ่มองว่าเขาปรับปรุงแก้ไข ตัวเองไม่ได้ อานันท์ บอกว่าควรจะมีใครสักคนไปบอกในหลวงเรื่องนี้
เพราะในหลวงเป็นคนเดียวที่จะประกาศเปลี่ยนแปลงการสืบทอดราชบัลลังก์ได้ แต่ไม่มีใครกล้าไปบอก อานันท์พูดทำนองว่าควรมีทางเลือกอื่นนอกจากเสี่ยโอ สิทธิเป็นห่วงภาพเสื่อมเสียของราชวงศ์ และแสดงความเห็นว่าเรื่องเล็กๆอย่างการปิดถนนสำหรับขบวนเสด็จ สร้างความไม่พอใจเป็นอย่างมากในหมู่ประชาชน สิทธิเองบ่นว่าประชาชนต้องรอถึง 45 นาทีเมื่อ8 ปีก่อน นายอาสา สารสินเลขาธิการพระราชวัง เคยบอกในหลวงและในหลวงก็อนุญาตให้ไปคุยกับพระราชวงศ์อื่นๆ แต่ไม่มีผลอะไรเลย สิทธิบ่นต่อ ว่าตอนนี้วชิราลงกรณสั่งให้คนปิดหน้าต่างชั้น2 ตามตึกเมื่อตนเองเดินทางผ่าน ซึ่งยี่งเพิ่มความไม่พอใจเบิ่อหน่ายราชวงค์ยิ่งขื้น

อย่าเอามาตรา 112
ไปใช้กล่าวหาฟ้องร้องใครเด็ดขาด



5 มกราคม 2554  อ.ธิดา ถาวรเศรษฐ และแกนนำรักษาการณ์ของ นปช แดงทั้งแผ่นดิน ตัดสินใจที่จะนำเนื้อหาในโทรเลขวิกิลีกส์ ฉบับลงวันที่ 25 มกราคม 2553 มาเป็นประเด็นเคลื่อนไหวทางการเมือง ด้วยการยื่นหนังสือถึงรัฐบาลให้ดำเนินการทางกฎหมายกับ เปรม ติณสูลานนท์, อานันท์ ปัญญารชุน และสิทธิ เศวตศิลา ที่ในโทรเลขวิกิลีกส์ฉบับดังกล่าว ได้พูดคุยอภิปรายเกียวกับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช และความสัมพันธ์ระหว่างพระองค์กับทักษิณ โดยแกนนำ นปช ได้อ้างว่า การพูดคุยในลักษณะดังกล่าว เป็นการหมิ่นเหม่ต่อการทำลายสถาบันเบื้องสูงของเรา ทั้งๆที่ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เป็นข้อหาที่ไม่ชอบธรรม ขัดแย้งกับหลักการประชาธิปไตยอย่างถึงราก ไม่ว่ากรณีใดไม่สมควรที่ผู้ที่อ้างว่ารักเสรีภาพประชาธิปไตย จะสนับสนุนให้ดำเนินการทางกฎหมายกับใครทั้งสิ้นในข้อหานี้ เพราะจะเท่ากับเป็นการตอกย้ำให้การใช้ข้อหาที่ผิดตั้งแต่ต้นนี้ มีความชอบธรรมยิ่งขึ้น ไม่ว่าคนที่เกี่ยวข้องจะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นสนธิ ลิ้มทองกุล หรือ เปรม ติณสูลานนท์ โดยเฉพาะ ในกรณีโทรเลขวิกิลีกส์นี้ ชี้ให้เห็นลักษณะไม่ถูกต้องของการที่บุคคลในแวดวงชนชั้นสูง อย่าง พลเอกเปรม, นายอานันท์, พล.อ.อ.สิทธิ สามารถอภิปรายปัญหาสถาบันกษัตริย์ได้อย่างตรงไปตรงมา แม้่กระทั่งกับตัวแทนรัฐบาลต่างประเทศ แต่พอแสดงต่อสาธารณะ บุคคลเหล่านี้ กลับปกป้องวาทกรรม เรื่องความจงรักภักดี และกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพื่อปิดปากประชาชน ซึ่งเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง โทรเลขวิกิลีกส์ ได้เปิดโปงให้ลักษณะปากว่าตาขยิบ หน้าไหว้หลังหลอก และความเป็นอภิสิทธิชน ของบุคคลในแวดวงชนชั้นสูงเหล่านี้
ประเด็นสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งเรื่องการสืบราชสันตติวงศ์ ความจริง เป็นประเด็นสาธารณะ ที่ประชาชนทุกคนควรต้องมีสิทธิและเสรีภาพที่จะอภิปรายได้อย่างตรงไปตรงมา นี่คือสิ่งที่ นปช ที่ต้องการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยควรนำมาชี้ให้เห็นชัดถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่ไปผลิตซ้ำข้อกล่าวหาเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งเป็นกฎหมายที่ขัดต่อหลักการในระบอบประชาธิปไตย โดยที่กฎหมายนี้ ถูกใช้เล่นงานคนเสื้อแดงอย่างหนัก แทนที่ อ.ธิดากับคณะ จะเรียกร้องให้ยุติการใช้กฎหมายนี้เล่นงานคนเสื้อแดงและประชาชนผู้รักความเป็นธรรมทั่วไป แต่กลับมาส่งเสริมการใช้กฎหมายนี้เพิ่มขึ้น อย่างคำพูดว่าหมิ่นเหม่ต่อการทำลายสถาบันเบื้องสูงของเรา ที่ อ.ธิดาและคณะใช้ในการแถลงข่าวนั้น เป็นวาทกรรม ประเภทเดียวกับที่กำลังใช้เล่นงานคนเสื้อแดงและประชาชนผู้รักความเป็นธรรมทั่วไปในตอนนี้ และจะยังคงใช้ต่อๆไปอีก เหตุใด อ.ธิดาและคณะจะมาส่งเสริมวาทกรรม ประเภทนี้อีกเล่า
ส่วนนายจตุพร ก็เคยแถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทย เมื่อ 13 มกราคม 2552   กล่าวหา นายอภิสิทธิ์ กระทำการมิบังควร ตีตนเสมอพระเจ้าแผ่นดิน โดยนั่งเก้าอี้เทียบเสมอพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในการถวายรายงานราชการ  จนโดนนายอภิสิทธิ์ ยื่นฟ้อง และ เมื่อ10 ก.ค. 2555 ศาลสั่งคุกนายจตุพร  6 เดือน พร้อมปรับเงินอีก 50,000 บาท โทษจำให้รอลงอาญา 2 ปี โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การจัดที่นั่งในการเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น เป็นหน้าที่ของสำนักพระราชวัง ที่เป็นผู้ดำเนินการว่าจะต้องมีการจัดเก้าอี้อย่างไร ที่จำเลยอ้างว่าไม่รู้ระเบียบของสำนักพระราชวังนั้น ประกอบกับไม่มีพยานปากใดยืนยันว่าการจัดการเข้าเฝ้าไม่อยู่ในความรับผิดชอบ ของรัฐบาล อีกทั้งพยานหลักฐาน อาทิ รูปถ่ายการเข้าเฝ้าของนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีและนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีที่เข้าเฝ้าถวายรายงานก็มีลักษะเดียวกัน  ขณะเดียวกันนายจตุพร เป็น ส.ส.ที่เคยเข้าเฝ้าจึงน่าจะรู้วิธีการและขั้นตอน ดังนั้นการวิพากษ์วิจารณ์ของจำเลยเกินเลยไปกว่าฐานะ ส.ส. ที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล แต่เป็นการกระทำที่ให้โจทก์เกิดความเสียหาย และมาผูกโยงกับการเมือง
นักต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยต้องกล้าที่จะยืนหยัดต่อต้านกฎหมายอาญามาตรา
112 ที่เป็นเผด็จการที่ล้าหลังป่าเถื่อนและต้องไม่นำเอาหลักกฎหมายที่ไม่ชอบธรรมนี้มาใช่เล่นงานคนอื่น



คดีเตะรูปในหลวง
หน้าหน้าศาล รธน.

ในสมัยกลางของยุโรป เมื่อคริสตศาสนายังคงเป็นความคิดอันครอบงำ ชนชั้นปกครองและพระชั้นสูงในสมัยนั้นรักษาอำนาจโดยการอ้างตนเองว่า เป็นผู้ศรัทธาต่อพระเจ้าอันแท้จริง และกล่าวหาคนที่คิดต่าง ว่าเป็นพวกแม่มด ต้องถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็น ผลจากกรณีนี้ทำให้มีประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ถูกสอบสวนและถูกลงโทษ เมื่อเวลาผ่านไป มาตราการล่าแม่มดเช่นนี้ ถือว่าเป็นมาตราการป่าเถื่อนจึงถูกยกเลิก เสรีภาพในด้านความคิดความเชื่อจึงเป็นที่ยอมรับ และชาวยุโรปก็จะเลิกบังคับให้คนคิดและศรัทธาในแบบเดียวกัน 
แต่ในกรณีของประเทศไทย การล่าแม่มดยังคงดำเนินการอยู่ กรณีเมื่อวันที่
13 กรกฎาคม 2555ซึ่งเป็นวันที่ศาลรัดทำมะนวยจะอ่านคำวินิจฉัยกรณีที่ศาลเองไปทำการละเมิดอำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการใช้คำสั่งให้รัฐสภายุติการพิจารณาการแก้ไขเพิ่มเติมรัดทำมะนวยมาตรา 291 ที่จะต้องมีการลงมติในวาระที่สาม ในวันนั้น กลุ่มประชาชนฝ่ายขวาหลายกลุ่มที่ให้การสนับสนุนศาลรัดทำมะนวย โดยเฉพาะกลุ่มที่เรียกตนเองว่า กองทัพปลดแอกประชาชน ได้ไปชุมนุมกันที่บริเวณด้านหน้าสำนักงานศาลรัดทำมะนวย ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ โดยอ้างเหตุผลว่าจะปกป้องศาล ซึ่งในที่สุด ศาลรัดทำมะนวยก็ได้เสนอข้อวินิจฉัยอันไร้สาระออกมาชุดหนึ่ง แต่ปัญหาของเหตุการณ์ไม่ได้อยู่ที่คำวินิจฉัย หากแต่อยู่เหตุการณ์หน้าศาล


ดังที่เอเอสทีวีรายงานว่า ในระหว่างที่กลุ่มกองทัพปลดแอกประชาชน จะให้สื่อมวลชนบันทึกภาพในพิธีอัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาร่วมในการบันทึกภาพ ได้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเมื่อมีหญิงสูงอายุคนหนึ่ง ทราบชื่อภายหลัง นางฐิตินันท์  อายุ 63 ปี ได้เดินฝ่าฝูงชนเข้ามาตรงไปยังผู้ที่อัญเชิญพระบรมฉายาลักษณ์ ก่อนที่จะกระทำการอันมิบังควรกับพระบรมฉายาลักษณ์ซึ่งผู้ถือได้ชูอยู่เหนือ ศีรษะ สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มผู้ชุมนุมที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างมาก
เหตุการณ์นี้เองได้กลายเป็นที่มาของการล่าแม่มดครั้งใหม่ เพราะกลุ่มพลังฝ่ายขวาทั้งหลายได้ถือโอกาสนำมาเป็นเรื่องสร้างกระแสติดตามและสำแดงพลังคุกคาม โดยส่วนหนึ่งก็ได้นำเรื่องนี้มาโจมตีกล่าวหาฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจ และโจมตีไปถึง พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวหาว่า ไม่สนใจติดตามตัวคุณฐิตินันท์มาดำเนินคดี แม้ว่าจะมีรายงานข่าวว่า คุณฐิตินันท์เป็นบุคคลไม่ปกติ มีอาการทางประสาท ทั้งเป็นผู้สูงอายุแล้ว แต่กลุ่มฝ่ายขวาก็ยังคงไม่ละเว้น ยังคงกระเหี้ยนกระหือรือที่จะเล่นงานคุณฐิตินันท์ให้เป็นเหยื่อกรณี
112 อย่างปราศจากความเมตตา และยังโจมตีไปถึงสื่อกระแสหลัก เช่น ไทยรัฐ มติชน และ โทรทัศน์ช่องต่างๆ รวมไปถึงรายการของนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา ว่ามิได้อนาทรร้อนใจต่อพฤติกรรมมิบังควรของหญิงชรารายนี้


เหตุผลในการติดตามไล่ล่าคุณฐิตินันท์ครั้งนี้ กลุ่มฝ่ายขวาก็กระทำเช่นเดิม คือโจมตีคุณฐิตินันท์ว่าเป็นคนชั่ว หนังสือพิมพ์เอเอสทีวีผู้จัดการ นำรูปมาขึ้นปกแล้วเปรียบเทียบว่าเป็น เห็บหมา พวกฝ่ายขวาพยายามอ้างตนเองเป็นผู้มีความจงรักภักดีอย่างสุดซึ้งยิ่งกว่าใคร และได้แสดงความเห็นในทางที่ไม่เชื่อว่า คุณฐิตินันท์จะเป็นผู้มีอาการป่วย แต่กล่าวหาไปว่า ทางการตำรวจใช้ข้ออ้างนี้ในทางที่จะไม่ดำเนินคดี เช่นในการชุมนุมเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม กลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายขวาได้นำหุ่นแทนตัว พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นำใส่โลงศพจำลอง มายังบริเวณหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก่อนทำการฌาปนกิจ ด้วยการฉีดสารเคมีแทนการเผาหุ่น เพื่อแสดงเชิงสัญลักษณ์ว่าไม่ต้องการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ไม่ดำเนินคดีกับกลุ่มคนที่กระทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ



ในการติดตามไล่ล่าแม่มดครั้งนี้ ได้นำเอาประวัติของคุณฐิตินันท์มาเปิดเผยว่า เป็นชาวอำเภอพล ขอนแก่น และเปิดร้านอาหารที่เมืองไครสเชิร์ส ประเทศนิวซีแลนด์ อ้างกันว่ามีเฟสบุคในโลกไซเบอร์ และมีการกดไลค์เพจของณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เป็นเพื่อนกับอดิศร เพียงเกษ และขวัญชัย ไพรพนา มีรายการดนตรีโปรดปรานคือ วิสา คัญทัพด้วย และยังคลิกไลค์เพจ รวมพลังสนับสนุนการทำงานของ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม อยู่บำรุง ทั้งที่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้เป็นพฤติกรรมอันผิดกฎหมายแต่อย่างใด


กรณีที่คุกคามอย่างมาก คือเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม กลุ่มฝ่ายขวาจำนวนหนึ่งได้ไปรวมกลุ่มกันถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อมีข่าวว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางกลับนิวซีแลนด์ ผู้ชุมนุมฝ่ายขวาอ้างว่า ต้องการไปยุติการเดินทาง เพราะทราบมาว่า คุณฐิตินันท์จะเดินทางด้วยเครื่องบินของการบินไทยกลับประเทศนิวซีแลนด์ เที่ยวบิน TG 491 ในเวลา 18.40 น. โดยมีตำรวจมาควบคุมสถานการณ์ประมาณ 1 กองร้อย แต่สุดท้าย นางฐิตินันท์ ไม่ได้ปรากฏตัวแต่อย่างใด มีเพียงสามีที่เดินทางกลับนิวซีแลนด์เพียงลำพัง  และยังมีบางกระแสข่าวระบุว่า กัปตันของการบินไทยที่ทำหน้าที่ในไฟลต์บินดังกล่าวได้ประกาศว่า เขาและลูกเรือจะไม่ทำการบิน หากนางฐิตินันท์มีรายชื่อเป็นผู้โดยสาร เพราะถือว่าเป็นบุคคลวิกลจริต ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมสถานการณ์อยู่ ได้บอกต่อประชาชนที่มาประท้วงว่า นางฐิตินันท์ ไม่ได้มาเช็กอิน แต่อยู่โรงพยาบาล ซึ่งเมื่อแน่ใจว่า นางฐิตินันท์ไม่ได้เดินทางกลับนิวซีแลนด์ ประชาชนที่ไปรวมตัวดักรอนางฐิตินันท์ จึงสลายตัวในเวลาต่อมา

ก่อนหน้านี้ นายชวนนท์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เรียกร้องให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ผบ.ตร.รีบดำเนินคดีต่อ นางฐิตินันท์ โดยเร็ว โดยกล่าวว่า ถ้ามีศักดิ์ศรี อย่าอยู่ภายใต้เงาของกลุ่มคนเสื้อแดง และอยู่ใต้เงาของน้องเขย ให้รีบดำเนินการจัดการเรื่องนี้โดยเร็ว อย่าให้เกิดเหตุการณ์ตะลุมบอนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตนไม่อยากเห็นความรุนแรง และขอให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามกฏหมาย ขณะนี้ ทางพรรคประชาธิปัตย์ ได้ให้ทีมกฎหมายดูเรื่องดังกล่าวอยู่ หากมีการปล่อยปละละเลยให้ผู้หญิงคนนี้เดินทางออกประเทศ เรื่องนี้ ทางพรรคจะดำเนินการตามกฏหมายต่อเจ้าหน้าที่ทุกระดับ ในข้อหาละเว้นการปฏิบัติตามมาตรา 157 หรือประมวลกฎหมายอื่นๆ ที่ทุจริตต่อหน้าที่ และขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติตามหน้าที่ของตนเอง อย่าปล่อยให้ผู้หญิงที่ทำเรื่องสะเทือนใจคนไทยออกนอกประเทศ
นพ.ศิริศักดิ์ ผอ.สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ กล่าวถึงการรับตัวนางฐิตินันท์ เข้ารับการรักษาตัวไว้ตั้งแต่วันที่ 14 ก.ค. 2555 โดยพนักงานสอบสวน สน.ทุ่งสองห้อง ควบคุมตัวและนำส่งที่สถาบัน เพราะว่าเข้าข่ายมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.สุขภาพจิต ซึ่งเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยต่อสังคมและตัวบุคคลนั้นเอง และจำเป็นต้องได้รับการประเมินวินิจฉัย ถ้าป่วยก็รักษาตามสิทธิผู้ป่วย

พ.ต.อ.พงษ์ สังข์มุรินทร์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลทุ่งสองห้อง ยืนยันว่า ได้มีการแจ้งข้อกล่าวหาหมิ่นสถาบัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ต่อคุณฐิตินันท์แล้ว พร้อมควบคุมตัวส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา เนื่องจากมีประวัติการรักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว ต่อมาได้นำตัวส่งสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์และอายัดตัวไว้เพื่อตรวจสอบสภาพจิต จึงไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ ประกอบกับพาสปอร์ตของคุณฐิตินันท์ยังอยู่กับพนักงานสอบสวน ส่วนตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศนิวซีแลนด์ นั้นเป็นการซื้อตั๋วแบบไป กลับ ราคาประหยัด หากไม่ได้เดินทาง ก็จะเป็นการยกเลิกไปโดยปริยาย และมีการสอบปากคำพยานที่อยู่ในเหตุการณ์ไปแล้ว 3 ปาก รวมถึงสอบปากคำสามี และบุตรชายของนางฐิตินันท์ ซึ่งระบุว่า ช่วงหลัง นางฐิตินันท์ไม่ค่อยรับประทานยา พร้อมนำตัวอย่างยามอบให้พนักงานสอบสวนด้วย

กรณีนี้คุณฐิตินันท์จึงตกเป็นเหยื่ออีกรายหนึ่งของมาตรา
112 ที่เริ่มต้นจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุล ที่อ้างเอาสีเหลืองของสถาบันกษัตริย์มาเป็นสัญลักษณ์ของกลุ่มตน เพื่ออ้างการผูกขาดความจงรักภักดี และใช้ข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นเครื่องมือในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองและใส่ร้ายบุคคลที่มีความคิดต่าง และต่อมาในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ก็มีการขานรับการดำเนินการของฝ่ายเสื้อเหลือง โดยกวาดจับประชาชนจำนวนมากในข้อหาความผิดตามมาตรา 112

พร้อมกันนั้น สื่อมวลชนของฝ่ายเสื้อเหลืองและฝ่ายพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ใช้วิธีปลุกระดมประชาชนให้เกิดความเคียดแค้นชิงชังผู้ที่มีความคิดต่าง โดยดึงเอาสถาบันกษัตริย์มาเป็นข้ออ้างตลอดเวลา ที่ผ่านมาจึงมีผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก ต้องตกเป็นเหยื่อตามข้อกล่าวหาในมาตรานี้ ปัญหาคือ การเคลื่อนไหวปลุกเร้าประชาชนลักษณะนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดสติปัญญาแต่อย่างใด และยิ่งไม่เป็นผลดีต่อสถาบันกษัตริย์ แต่กลับยิ่งทำให้เกิดความงมงายคับแคบ คิดและศรัทธาแบบเดียวตายตัว เห็นคนที่คิดต่างเป็นศัตรูที่ต้องกวาดล้างทำลาย เหมือนเมื่อปี
2519 ที่กลุ่มฝ่ายขวาในสมัยนั้นที่ดำเนินการลักษณะเดียวกันในการปลุกปั่นให้เกิดความเข้าใจผิดและความเกลียดชังต่อขบวนการนักศึกษา โดยกล่าวหาว่าเป็นพวกที่ไม่จงรักภักดี และผลจากการเคลื่อนไหวปลุกกระแสเช่นนั้น ก็นำมาสู่การฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากในกรณี 6 ตุลาคม ซึ่งเป็นรอยมลทินครั้งใหญ่ประวัติศาสตร์มาจนถึงปัจจุบัน ถ้าคิดอย่างมีสติแล้ว สังคมไทยจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าจะต้องจับผู้สูงอายุ เช่น คุณฐิตินันท์มาเป็นจำเลย หรือต้องถูกจำคุกต่อแถวอีกคนหนึ่ง ในจำนวนนักโทษการเมืองผู้บริสุทธิ์ที่ถูกดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้

นายมงคลกิตติ์ เลขาธิการภาคีเครือข่ายต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นแห่งชาติได้กล่าวใน รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ทาง ASTV ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะอ้างว่านางฐิตินันท์เคยมีอาการวิกลจริตเป็นบางช่วงเวลาไม่ได้ เพราะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยปกติแล้วจะต้องมีหนังสือยืนยันจากนิติจิตเวชของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะเป็นที่กักกันของคนที่กระทำความผิดกฎหมายและเป็นโรคจิต และช่วงที่มีอาการต้องถูกกักกันไว้ที่นิติจิตเวชก่อน เป็นสถานที่กักกันเหมือนคุก แต่เป็นคุกของคนโรคจิต เมื่อเขาสติดีแล้วเขาจะต้องมาอยู่ในคุกปกติ เพราะฉะนั้นความผิดนี้สำเร็จแล้ว คือ เจ้าหน้าที่ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ บวกด้วยคดีอีกคดีหนึ่งคือ ถือว่าสมรู้ร่วมคิดกับคนกระทำความผิดกรณีมาตรา 112 ด้วย ถ้าไม่จับถือว่าเป็นตัวการร่วมทันทีทั้ง 13 กองร้อยและผู้บังคับบัญชาต้องรับผิดชอบ รัฐธรรมนูญมาตรา 8 ให้องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เพราะฉะนั้น การแสดงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ต้องเปลี่ยนใหม่หมด ห้ามมองเฉยๆ ต้องแสดงออก ถ้าเห็นคนกระทำหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแล้วอยู่เฉยก็จะ ต้องมีความผิดด้วย เพราะถือเป็นตัวการร่วม ต้องแสดงออกทันที ไม่ว่าจะเป็นการจับกุมหรือเป็นพยาน อาจารย์วรเจตน์ จากคณะนิติราษฎร์ควรดูเป็นเยี่ยงอย่าง ว่าข้าราชการที่ดี ข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวต้องทำแบบนี้ ไม่ใช่มาป่วนบ้านป่วนเมือง ตนได้ให้เวลากับสำนักงานตำรวจแห่งชาติภายใน 3 วัน ถ้าไม่ดำเนินการภายใน 16.30 น.ของวันที่ 20 ก.ค.นี้ นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณีจะมากันทั้งหมด พร้อมกับพ่อค้าและประชาชน โดยจะมาประมาณ 20 คันรถที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมทั้งเรียกร้องให้มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีชื่อสถาบันพระมหากษัตริย์พ่วงท้ายเข้าร่วมด้วย
เปิดจดหมาย เรื่องเล่า

ชีวิตในเรือนจำ



แม้เรือนจำในประเทศไทยจะพัฒนามาตรฐานและตระหนักถึงเรื่องสิทธิมนุษยชนมาก แล้วก็ตาม แต่ภายใต้งบประมาณอันจำกัด ระบบปิด การรองรับผู้ต้องขังล้นเกิน ฯลฯ จึงยังมีเรื่องราวอีกมากที่คนนอกยังไ
ม่รู้และเป็นความยากลำบากที่คนในต้อง เผชิญเพียงลำพัง
พวกแกนนำ ปนช.ที่เคยถูกจองจำอยู่ จนกระทั่งปล่อยประกันออกไป จะได้รับการปฏิบัติดูแลที่ต่างกัน โดยที่แกนนำ นปช.จะได้รับสิทธิพิเศษมากกว่า ได้รับเกียรติมากกว่า ส่วนผู้ต้องขังคดีเสื้อแดงรายอื่นๆ ได้รับการดูแลปฏิบัติเหมือนนักโทษทั่วไป ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หลายรายถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจจากเจ้าหน้าที่ที่สนับสนุนฝ่ายตรงข้าม ถูกทำร้ายจากผู้ต้องขังด้วยกัน ทั้งจากการรู้เห็นเป็นใจของเจ้าหน้าที่ และทั้งแบบลับหลังที่เจ้าหน้าที่ไม่รู้

ชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเสื้อแดงไม่แตกต่างจากนักโทษคนอื่นๆ สิ่งที่ทำในแต่ละวัน เช่น การทำงาน
, การกินอาหาร, การหลับนอน ก็เหมือนนักโทษทั่วไปทุกอย่าง ซึ่งพอจะแยกเป็นเรื่องๆ ได้ เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมาจนตะวันตกดิน

วันปกติที่ไม่ใช่วันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ จะตื่นกันประมาณ 6 โมงเช้า ก่อนออกจากห้องนอน จะมีการตรวจนับจำนวนคนก่อน เมื่อครบแล้ว ผู้คุมก็จะเปิดประตูให้ออกไปทำภารกิจส่วนตัว เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ มีเวลาประมาณ 1 ชั่วโมงในการทำภารกิจให้เสร็จเพื่อให้ทันอาหารหลวงมื้อเช้า ซึ่งส่วนใหญ่อาหารเช้าจะเป็นแกงจืดกับข้าวสวย เมื่อกินอาหารเสร็จแล้ว เสียงออดก็ดังเพื่อเรียกรวมแถวตามห้อง เวลาประมาณ 7.30 น. เพื่อเตรียมตัวเคารพธงชาติและสวดมนต์
ภายหลังจากเข้าแถวเคารพธงชาติแล้ว ทุกคนจะแยกย้ายกันไปตามกองงานต่างๆ ที่ทุกคนจะได้รับมอบหมาย ตอนเข้ามาอยู่ในแต่ละแดน มีกองงานอยู่หลายกองงานไม่ซ้ำกัน ทุกคนจะถูกบังคับให้ทำ เช่น กองงานปั่นถ้วย เย็บรองเท้า ปลั๊กไฟ ฯลฯ ด้วยเหตุผลที่เจ้าหน้าที่อ้างว่า ต้องให้ผู้ต้องขังทำเพื่อจะได้ไม่ต้องคิดมาก
ในระหว่างวัน ผู้ต้องขังที่มียอดงานจะต้องทำให้เสร็จและในวันธรรมดาอย่างนี้


ผู้ต้องขังทุกคนมีสิ่งที่เฝ้ารอที่จะได้รับ นั่นคือการได้รับใบเยี่ยมญาติที่จะมีการประกาศชื่อผู้ที่มีญาติมาเยี่ยมอยู่ตลอดช่วงเวลาทำงาน การได้เยี่ยมญาติคือโอกาสในการได้ออกไปจากกำแพงสี่เหลี่ยมที่แสนจะอึดอัด ไปชมโลกภายนอกบ้าง และนี่คือสิ่งที่มีความสุขที่สุดของผู้ต้องขังทุกคน
เวลาประมาณ 11.00 น. จะมีพักเบรกกินข้าวต้มหรือขนม  ช่วงบ่ายก็ยังทำงานไปเรื่อยๆ ใครทำเสร็จก็สามารถพักผ่านได้ตามอัธยาศัยได้ ไม่เสร็จก็ทำกันต่อไปจนกระทั่งหมดเวลาเยี่ยมญาติ เวลา 15.00 น.โดยประมาณ ก็จะถึงเวลาอาบน้ำกันก่อนขึ้นนอนและจะมีอาหารเย็นให้กินอีกครั้งก็ประมาณ เวลา 15.00 น. มื้อนี้เป็นมื้อหนัก คนจะกินกันเยอะเพราะต้องอยู่บนห้องนอนประมาณ 14 ชั่วโมง เมื่อกินข้าวเสร็จก็ได้เวลาขึ้นเรือนนอน 15.30 น. เราจะอยู่ในเรือนนอนกันแล้วใครจะดูหนัง อ่านหนังสือ ฯลฯ ก็ทำกันไป ทีวีจะปิดตอนประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ถือเป็นอันจบสิ้นทุกอย่างในวันนั้น
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ
ทุกอย่างตามตารางเวลาจะดำเนินไปตามปกติ ตื่น 6 โมงเช้า อาบน้ำ กินข้าวเช้า กลางวัน เย็น เหมือนวันปกติทุกอย่าง ที่แตกต่างก็คือไม่มีเยี่ยมญาติ และไม่ต้องทำงานเท่านั้น จึงไม่มีใครชอบวันหยุด โดยเฉพาะนักโทษ/ผู้ต้องขังที่คดียังไม่ถึงที่สุดเพราะไม่ได้พบทนาย ประกันตัววันหยุดไม่ได้ แต่ที่ทุกคนไม่ชอบวันหยุดเลยคือไม่มีการเยี่ยมญาติ
รายละเอียดกิจกรรมประจำวันที่น่าสนใจ
1.การอาบน้ำ/แปรงฟัน และภารกิจส่วนตัว



อาบน้ำกันกลางแจ้ง จะมีบ่อน้ำกว้างประมาณ 1x4 เมตรอยู่หลายบ่อ บางแดนจะมีระบบสปริงเกอร์คือปล่อยน้ำออกจากท่อที่วางไว้สูงประมาณ 2 เมตร ในบริเวณบ่อน้ำทุกคนสามารถใช้น้ำได้อย่างเต็มที่ ไม่มีการจำกัดการใช้ ส่วนใหญ่การอาบน้ำมักจะทำควบคู่กันไปกับการซักผ้า โดยเฉพาะตอนเช้า อาบน้ำเสร็จ ซักผ้าต่อแล้วก็ตากเลยเพื่ออาศัยแดดตอนเช้าทำให้เสื้อผ้าแห้ง สำหรับใครที่มีฐานะไม่ดีสักหน่อยอาจซักด้วยตัวเอง ซักเอง ตากเอง เก็บผ้าเอง แต่ถ้าพอมีทุนอยู่บ้าง (เรียกกันว่า ญาติถึง”) ก็อาจใช้บริการซักผ้าจากผู้ต้องขังด้วยกันที่มีค่าใช้จ่ายตั้งแต่เดือนละ 100-500 บาท (จ่ายเป็นบุหรี่ก็ 2-10 ซอง) ยิ่งแพงยิ่งสะอาดมีออฟชั่นเยอะ เช่น แยกน้ำซัก ใช้แฟบมียี่ห้อ ตบท้ายด้วยปรับผ้านุ่ม ฯลฯ



การจ้างเป็นวิธีที่ดีที่สุด ดีกว่าซักเอง เพราะโอกาสที่ผ้าจะหายน้อยมาก (แต่ไม่ใช่ไม่มี) ผู้รับจ้างซักผ้าส่วนใหญ่จะพอมีบารมี มักไม่มีใครกล้าขโมยเพราะอยู่มานาน การถูกขโมยเสื้อผ้าถือเป็นเรื่องใหญ่มากในคุก เพราะเราไม่สามารถมีชุดเสื้อผ้าได้มาก เนื่องมาจากล็อกเกอร์ที่ใช้ใส่ของมีขนาดเล็ก ประมาณ 30x50x50  ซม. ที่จะต้องใส่ของใช้ส่วนตัวทั้งหมด เช่น เสื้อผ้า ขัน กล่องสบู่ แปรงสีฟัน รวมถึงของฝากที่คนข้างนอกซื้อเข้ามา ดังนั้นล็อกเกอร์ของแต่ละคนในวันที่ญาติมาเยี่ยมและซื้อของมาให้จะถูกยัดเข้าไปจนแน่น


การอาบน้ำจะอาบรวมกัน ไม่มีการแยกระหว่างคนปกติกับคนป่วย ซึ่งทุกแดนเราอาศัยรวมอยู่กับผู้ต้องขังที่ป่วยสารพัดโรค เช่น วัณโรค หรือโรคทีบี (TB) โรคเอดส์ โรคผิวหนังต่างๆ ที่ฮิตที่สุดคือโรคหิด ที่ภาษาคุกเรียกว่า ตะมอยโรคเหล่านี้สามารถแพร่กันได้ผ่านทางน้ำที่ใช้ ทุกคนจึงมีโอกาสที่เสี่ยงติดโรคเหล่านี้ได้ทุกคนและทุกเวลา และสามารถติดได้ง่ายมากๆ ด้วย สิ่งที่เราจะทำได้นั่นคือ จะต้องหาทางป้องกันตัวเอง เช่น ใช้สบู่ฆ่าเชื้อโรคแทนสบู่ธรรมดา และยาสระผมที่มีตัวยาป้องกันเชื้อราแทนยาสระผมธรรมดา และพยายามอยู่ให้ห่างผู้ป่วยที่เป็นโรคเหล่านี้ที่เดินกันปะปนกับคนทั่วไป โดยไม่มีการแยก นับเป็นความตื่นเต้นอีกอย่างหนึ่งที่ต้องเผชิญกัน
บ่อยครั้งที่ตักน้ำขึ้นอาบ จะเกิดอาการคันขึ้นมาในทันที และถ้าคันแล้วไม่ฟอกสบู่ด้วยสบู่ยาหรือล้างอีกทีให้สะอาด หลังอาบน้ำเสร็จจะเกิดตุ่มขึ้นมาทันที เป็นเรื่องที่แย่มากๆ เลยจริงๆ

ส้วมในเรือนจำเป็นแบบเปิดที่ไม่มีประตู แต่ทำกำแพงล้อมซ้ายขวาและด้านหลังสูงประมาณ 80  ซม.  ด้านบนโล่งไม่มีหลังคา ด้านหน้าเป็นทางเข้า เป็นกำแพงสูงประมาณ 40  ซม.  สำหรับเดินข้ามเข้าไปนั่ง เป็นส้วมแบบนั่งยอง วางต่อๆ กันไป โดยใช้กำแพงร่วมกัน มีอีกชื่อหนึ่งที่ใช้เรียกแทนส้วมคือคำว่าบ๊อก ที่แปลว่ากล่องสี่เหลี่ยม ส้วมที่ใช้ในห้องนอนก็จะแบบเดียวกันห้องน้ำของนักโทษมีเพียงสองห้อง ต่อจำนวนนักโทษราว 50 กว่าคนต่อหนึ่งแดน
ในเรื่องของการรักษาพยาบาล โรงพยาบาลประจำที่เรือนจำ มีแพทย์ประจำเพียงสองคน โดยแต่ละคนมีเวรการรักษาเพียงรอบละสองชั่วโมงต่อสัปดาห์เท่านั้น ประกอบกับคุณภาพอาหารในเรือนจำมีคุณภาพต่ำ ทำให้นักโทษไม่ได้รับคุณค่าโภชนาการอย่างเพียงพอ เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักโทษเจ็บป่วยมากขึ้น
 2.การกินอาหาร

มีอาหารให้กินวันละ 3 มื้อ คือ ข้าวเช้า ประมาณ 7.00 – 7.30 น. มื้อเที่ยงเป็นข้าวต้ม ขนมหวาน เวลา 11.00 – 11.30 น. มื้อเย็นก็ประมาณ 15.00 น. เป็นแบบนี้ทุกวัน อาหารก็ถือว่าใช้ได้ ไม่ถึงกับว่าดีหรืออร่อย แต่สำหรับผู้ต้องขังที่ไม่เคยติดคุกมาก่อน รับรองกินไม่ลงแน่ๆ มีข้าวสวยให้กิน ใครที่ไม่ชอบแกงหลวงสามารถซื้อกับข้าวจากร้านค้าสงเคราะห์ที่อยู่ภายในเรือน จำต่างหากได้ โดยมื้อกลางวันจะเปิดให้กินเวลา 13.00 น. มื้อนี้เป็นมื้อสำหรับผู้ที่พอมีเงินซื้อ ซึ่งจะต้องใช้ถ้วยชามของตัวเอง มื้อเช้าส่วนใหญ่จะเป็นแกงจืด ต้มจับฉ่าย ประเภทอาหารที่ไม่เผ็ด มื้อกลางวันหลักๆ จะเป็นข้าวต้มกับกับข้าว เช่น ยำผักกาดดอง กระเทียมดอง หัวไชโป๊วผัดไข่ ปลาเค็ม (ที่ไม่ค่อยน่ากินนัก) บางมื้อ บางวัน จะมีพ่วงขนมหวาน เช่น ต้มถั่วแดง ต้มสาคู พอกินได้ แต่เหม็นสาบมากๆ มื้อเย็นส่วนใหญ่จะเป็นแกงเผ็ดที่เน้นหนักไปทางมะเขือเปราะ มะละกอ แตงร้าน ต้มหัวปลา (เนื้อปลาไม่ค่อยมี) หมูไม่เป็นหมู ไก่ไม่เป็นไก่ เพราะจะสับให้มองไม่ออกว่าเป็นส่วนไหน รวมๆ แล้วถือว่าพอกินประทังชีวิตได้
3.การซื้อของในเรือนจำ มีร้านค้าสงเคราะห์ อยู่ในทุกแดน แต่เดินหยิบซื้อเองไม่ได้ จะซื้อทีต้องเขียนใส่กระดาษแล้วไปต่อคิวซื้อเอา ซึ่งจะชุลมุนมากๆ อนุญาตให้ใช้ได้เต็มที่ วันละ 200 บาท เกินแม้แต่บาทเดียวก็ไม่ได้ ระบบจะไม่อนุมัติ การจ่ายเงินจะทำผ่านบัตรประจำตัวที่เรียกว่า บัตรสมาร์ทการ์ด ลักษณะบัตรก็เหมือนบัตรเอทีเอ็ม ด้านหน้าบัตรจะมีรูปที่ถ่ายตอนเข้ามาในคุกใหม่ๆ มีหมายเลขนักโทษ รายละเอียดต่างๆ แล้วก็ชื่อคดี ด้านหลังจะเป็นแถบแม่เหล็ก


การซื้อของที่ร้านสงเคราะห์จะแบ่งเป็นการซื้อของแห้ง เช่น สบู่ ยาสีฟัน กาแฟ น้ำอัดลม เป็นสินค้าสำเร็จรูป การซื้อของแห้งทำได้โดยการเขียนใส่กระดาษ โดยระบุรายการของที่ต้องการเสร็จแล้วเอากระดาษใบนี้ไปต่อคิวซื้อ วันธรรมดาร้านค้าจะเปิดให้ซื้อของแห้งตอน 11.00 – 13.00 น. วันหยุดจะเปิดขายเร็วหน่อย อยู่ที่ความพร้อมของสินค้าที่เบิกเข้ามาในร้าน
อันต่อมา คือการเบิกอาหารสำหรับคนที่พอมีเงินอยู่บ้าง ไม่อยากกินข้าวหลวงก็สามารถเลือกซื้ออาหารจากร้านค้าสงเคราะห์ได้ มีอาหารที่เลือกซื้อได้ถึง 4 ทางด้วยกัน และมีความแตกต่างกัน ได้แก่

ทางที่ 1.การสั่งซื้ออาหารหน้าร้านค้า อาหารที่ขายผ่านหน้าร้านคืออาหารที่ไม่ต้องจดเพื่อสั่งซื้อทางร้านค้า จะเอามากองให้เลือกซื้อกันสดๆ เลย สนใจอันไหนก็หยิบแล้วรูดปื้ดได้เลย จุดเด่นของอาหารหน้าร้านคือ ไม่แพง ถุงละ 20 บาท แต่ถุงเล็กชะมัด มีแกงต่างๆ ขนมหวาน ขนมปัง ตามแต่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลร้านค้าจะวัดดวงเอามาขาย อันนี้เป็นผลประโยชน์พิเศษของผู้คุมร้านค้าเพราะสินค้าจะแพงเป็นพิเศษ อย่างโยเกิร์ตที่ที่เซเว่นข้างนอก 12 บาท หน้าร้านจะขาย 20 บาท ยาคูลท์ขาย 10 บาท ใครอยากกินก็ต้องทนซื้อเอา เรียกร้องไม่ได้ โดยขายเกินราคามากๆ จุดเด่นของการซื้อของหน้าร้านคือ สะดวก รวดเร็ว มีอาหารของกินแปลก แต่แพงมาก หมดแล้วหมดเลย เขาเอาเข้ามาจำกัดใครที่คิดจะซื้อกับข้าวแต่ไม่ได้สั่งล่วงหน้า ถ้าพลาดสินค้าหน้าร้านแล้ว ก็ไม่มีอะไรกินเลย
ทางที่ 2. การสั่งซื้อสินค้า (อาหาร) ล่วงหน้าจากร้านค้าสงเคราะห์หรือที่เรียกกันว่าการสั่งออเดอร์ อาหารจากร้านสงเคราะห์มีมากมายหลายอย่าง เกือบทั้งหมดจะราคา 25 บาท ได้ของเยอะกินได้จุใจ แต่ต้องสั่งล่วงหน้าคือสั่งวันนี้ได้วันรุ่งขึ้น วิธีการคือ ถ้าเราจะกินอะไรพรุ่งนี้ วันนี้เราจะต้องจดรายการอาหารที่เราต้องการใส่เศษกระดาษ แล้วเอาไปใส่ในกล่องรับใบออเดอร์ วันรุ่งขึ้นก็รอจ่ายเงินแล้วรอรับของ ซึ่งการซื้อของ รับของออเดอร์นี้วุ่นวายมากๆ ใครไปรับของช้า ก็จะถูกคนอื่นที่มาก่อนเอาไป อาหารออเดอร์นี้ใช้ได้ แต่น่าเบื่อตรงกระบวนการซื้อและรับของเท่านั้นเอง


ทางที่ 3. ทางนี้คือทางที่เรียกว่าไฮโซสุดๆ ถือว่ามีระดับมากๆ นั่นคือ สั่งซื้อสินค้าจากสโมสร ที่นี่จะสั่งเช้าได้เย็นไม่ต้องคอยข้ามวัน จะสั่งซื้อของจากสโมสรได้ ต้องมีเงินฝากไว้กับสโมสร โดยญาติต้องไปติดต่อเพื่อเปิดบัญชีกับทางสโมสรในชื่อของผู้ต้องขัง เมื่อมีการสั่งซื้อก็จะตัดบัญชีเงินที่ฝากไว้กับทางสโมสรออกไป การใช้เงินที่สโมสรนั้นไม่จำกัดวงเงิน จะซื้อเท่าไหร่ก็ได้ ตราบใดที่ยังมีเงินฝากกับทางสโมสรอยู่ อยากกินพิซซ่าฮัท เอ็มเค เอสแอนด์พี เคเอฟซี สั่งได้หมด แต่จะโดนชาร์จโหดมากๆ เช่น สั่งเคเอฟซี 100 บาท ค่าส่ง 30 บาท สโมสรโทรสั่งให้ พอของมาส่ง สโมสรจะคิดค่าบริการ 30% จากค่าสินค้าเบ็ดเสร็จ ซื้อของ 100 จ่าย 160 บาท ถ้าสั่ง 500 ค่าส่ง 30 สโมสรบวก 150 รวมค่าของ 680 บาท ถือเป็นกำไรอย่างงามของสโมสร แต่เป็นเวรกรรมของผู้ต้องขัง อย่างไรก็ตาม การสั่งซื้อสินค้า อาหารจากสโมสรจะนิยมเฉพาะในหมู่ผู้ต้องขังที่มีอันจะกินเท่านั้น กับชาวต่างชาติที่มีเงินเยอะๆ ตอนแกนนำ นปช.ถูกจับเข้ามาก็ใช้บริการของทางสโมสรนี่แหละ อาหารของทางสโมสรจะเนื้อเป็นเนื้อ หมูเป็นหมู ค่อนข้างมีคุณภาพดี แต่แพงชะมัด ถุงนิดเดียวราคา 50 บาทขึ้นทั้งนั้น โดยรวมแล้วอาหารที่สั่งทางสโมสรจะแพงมากๆ มีเงินเสียอย่างสโมสรจัดให้ได้หมด เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ต้องขังระดับ 5 ดาวเท่านั้น
ทางที่ 4 ทางสุดท้ายที่เรียกได้ว่าโลคลาสสุดๆ คือการซื้ออาหารจากพ่อค้าซึ่งก็คือนักโทษด้วยกันเองที่สั่งสินค้ามาขายเองจากร้านค้าสงเคราะห์ ความจริงแล้วทางเรือนจำไม่สนับสนุนให้มีพ่อค้า บางแดนถ้าจับได้ถือว่ามีความผิดทางวินัยเลย พ่อค้าที่ว่าจะสั่งซื้ออาหารที่คิดว่าขายดี มาไว้ จากนั้นนำมาวางเร่ขายโดยแลกกับนมหรือบุหรี่ ซึ่งจะบวกกำไรพอสมควร เหมาะสำหรับผู้ต้องขังที่ไม่มีเงินอยู่ในบัญชีที่ไม่สามารถสั่งซื้อสินค้าด้วยวิธีธรรมดาได้ แต่อาจมีบุหรี่ นมที่ได้จากการรับจ้างบริการต่างๆ ก็สามารถนำของเหล่านั้นมาแลกเป็นอาหารกับพ่อค้าได้


 สิ่งของที่ใช้เป็นตัวกลางแทนเงินในคุกที่เห็นชัดเจนและได้รับความนิยมมี 2 อย่าง นั่นคือ นมกับบุหรี่ นม 1 กล่องแทนเงิน 10 บาท บุหรี่ 1ซอง (กรองทิพย์,สายฝน,LM,มาร์โบโล)  แทนเงิน 50 บาท สามารถใช้บุหรี่แทนเงินได้เลย เช่น ค่าซักผ้าเดือนละ 300 บาท ก็เอาบุหรี่จ่าย 6 ซอง เป็นที่รู้กัน สำหรับอาหารที่พ่อค้านำมาขายมักจะจัดเป็นชุด เช่น อาหาร 1 อย่าง (25บาท) กับขนม 1 อย่าง(10บาท)  รวม 35 บาท พ่อค้าจะขาย 1 ซอง(50บาท) หรือขนม 2 อย่าง(20บาท) พ่อค้าจะขาย 3 กล่อง(นม) นมในที่นี่คือนมอะไรก็ได้ ที่นิยมก็นมแลคตาซอย, ไวตามิลค์ ที่เวลาเยี่ยม ญาติซื้อให้แพ็คละ 6 กล่องนั่นแหละ
นักโทษที่มีฐานะไม่ดี จึงแทบไม่มีโอกาสได้กินอาหารดีๆเลย มาม่าจึงเป็นอาหารที่วิเศษสุดๆ รวมถึงปลากระป๋องด้วย  โครงการเลี้ยงอาหารกลางวันผู้ต้องขังที่ทางกลุ่มราษฎรประสงค์ร่วมกับพี่น้องเสื้อแดงหลายๆกลุ่มที่เห็นใจและห่วงใยผู้ต้องขังที่ทางกลุ่มฯซื้อให้ผู้ต้องขังเสื้อแดงนั้นคืออาหารในระดับสโมสร และซึ่งนักโทษเสื้อแดงมีโอกาสได้กินอาหารอย่างนี้น้อยมาก
4.เรื่องการทำงานในเรือนจำ ผู้ต้องขังทุกคนจะถูกจำแนกไปตามกองงานต่างๆ แบ่งอย่างกว้างๆ คือ กองงานที่มียอดงาน และไม่มียอดงาน ที่มียอดงานได้แก่ ปั่นถ้วยกระดาษ และเย็บรองเท้า เป็นต้น กองงานถ้วยกระดาษ ถือเป็นกองงานที่ใช้ในการลงโทษก็ได้ เช่น ถ้ามีนักโทษทำผิดวินัยก็จะถูกย้ายไปลงกองงานปั่นถ้วย นักโทษที่เด็ดขาดแล้วหรืออยู่ในระหว่างพิจารณาก็จะต้องทำงานเหมือนกัน พวกที่ยังหนุ่มยังแน่นมักถูกให้ทำหน้าที่ปั่น ที่มีอายุหน่อยหรือพิการหรือป่วยเป็นโรคจะให้ทำด้านถอดเสียบ


ถ้วยกระดาษที่ว่าก็คือถ้วยกระดาษรูปกรวย ผู้ต้องขังจะต้องปั่นถ้วยให้ได้อย่างน้อยวันละ 4-5 กิโลกรัม ถ้านับเป็นใบแล้วก็ประมาณ 2,000-2,500 ใบ (1 กิโลกรัม ประมาณ 500 ใบ) ทำไม่เสร็จจะโดนเฆี่ยน หรือต้องจ้างหรือตัดยอดงานกับนายที่เป็นหัวหน้ากองงานอยู่ โดยจ่ายเป็นรายเดือน เดือนละ 1,000 บาทโดยประมาณ หรือคิดเป็นบุหรี่ก็เดือนละ 2 แถว (20ซอง) จ่ายแล้วก็เดินเล่นได้เลย ไม่มีการจี้ ไม่มีการเรียก หรือวุ่นวายใดๆ คนที่พอจะมีทุนทรัพย์อยู่บ้างก็ยินดีจ่าย แทนที่จะต้องทนนั่งหลังขดหลังแข็งตั้งแต่เช้าทุกวัน เวลามีญาติหรือคนมาเยี่ยม บางคนต้องรีบกลับไปปั่นงานต่อ เพราะถ้าออกมานานกลับไปไม่ทัน การเยี่ยมนักโทษก็ต้องอย่าลืมซื้อของฝาก ไม่อย่างนั้นพอกลับแดนก็ต้องหานมไปจ่ายค่าปั่นงาน



นอกจากนี้ยังมีกองงานเย็บรองเท้าที่ต้องรับยอดเต็มวันละ 13-15 คู่ เวลาไปเยี่ยมโทษลองให้เขาชูมือให้ดู ถ้ามือเลอะกาวแสดงว่ามาจากงานปั่นถ้วย ถ้านิ้วชี้นิ้วกลางเป็นแผลก็มาจากงานทำรองเท้า เพราะการเย็บรองเท้านิ้วต้องเสียดสีกับด้ายเย็บรองเท้า ในขณะที่ดึงด้ายเข้าออก นิ้วจึงมักเป็นแผล
สำหรับกองงานที่ไม่มียอดงาน เช่น กองงานปลั๊กไฟ คือจัดเรียงกล่องปลั๊กไฟใส่กล่อง กองงานโรงเลี้ยง กองงานพัฒนาแดน เป็นการใช้แรงงานอย่างเดียว แต่งานหนักไม่ใช่เล่น
การทำงานของผู้ต้องขังตามระเบียบของเรือนจำ โดยอ้างการให้ผู้ต้องขังมีอะไรทำบ้าง จะได้ไม่ต้องคิดมากเรื่องคดีความ แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทำให้ผู้ต้องขังมีความเครียดเพิ่มเข้าไปอีก เหมือนเป็นการซ้ำเติมผู้ต้องขังที่ทุกข์ทรมานอยู่แล้วให้ทุกข์มากขึ้น
  ส่วนเรื่องผลตอบแทน ในการทำงาน ที่อ้างว่ามีเงินปันผลให้คนงานก็เป็นเงินที่เล็กน้อยจริงๆ กองงานเย็บรองเท้าเย็บวันละ 15 คู่ 1 เดือน 4 สัปดาห์ ก็ 300 คู่ หรือ600 ข้าง  ถ้าทำได้ถึง ให้ค่าจ้างเดือนละ 95 บาท กองงานปั่นถ้วยปั่นวันละ 5 กิโล หรือ 2,500 ใบ 1 เดือน 4 สัปดาห์ได้ 100 กิโล หรือ 250,000 ใบ ถ้าทำได้ถึง จ่ายค่าจ้างให้ 90-120 บาท ผลประโยชน์ส่วนใหญ่จึงตกเป็นของเจ้าหน้าที่ เงินที่ผู้ต้องขังได้รับจากการทำงานในแต่ละเดือน เขาเรียกว่าเงินปันผล

สุรชัยตัดสินใจ
รับสารภาพ
2 คดี


24 ม.ค.2555 ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถนนรัชดา นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ เป็นจำเลยในความผิดมาตรา 112 ได้กลับคำให้การเป็นรับสารภาพ เว็บไซต์ศาลอาญาระบุคำฟ้อง  ว่า เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2553 จำเลยพูดกล่าวข้อความ ใส่ความ ต่อประชาชนผู้มาฟังการชุมนุมปราศรัยรายการเสวนาตาสว่างกว่าเดิม ว่ากษัตริย์มีส่วนบงการหรืออยู่เบื้องหลังทางการเมือง และเป็นเหตุให้เกิดวิกฤติการณ์ทางการเมืองอย่างรุนแรง โดยจำเลยมีเจตนาที่จะทำให้ประชาชนทั่วไปเสื่อมศรัทธา ไม่เคารพต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ส่วนคดีที่ดอยสะเก็ด นั้น ระบุว่า วันที่ 11 กันยายน 2553 จำเลยได้หมิ่นประมาท ดูหมิ่น แสดงความอาฆาตมาดร้าย ต่อสถาบันกษตริย์ และยังมีคดีอยู่ในชั้นพนักงานสอบสวนอีกอย่างน้อย 2 คดี
นายสุรชัย ได้เตรียมยื่นหนังสือร้องเรียนต่ออธิบดีกรมราชทัณฑ์กรณีที่ผู้ต้องขังคดีหมิ่นฯไม่ได้รับการพิจารณาให้ย้ายไปยังเรือนจำชั่วคราว เพราะพฤติการณ์การกระทำความผิด ก็เกิดจากการเปิดเวทีอภิปรายซึ่งเป็นการกล่าวอย่างเป็นเหตุเป็นผล เป็นระบบ ไม่ได้ดูหมิ่น อาฆาตมาดร้ายต่อผู้ใด ส่วนสถานการณ์การเมืองหรือบริบทในเวลานั้นก็เห็นได้ชัดว่ามีการนำสถาบันมาเป็นคู่ขัดแย้งทางการเมือง ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ จึงสามารถสรุปได้ว่าผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิด ตามมาตรา 112 นั้นมีสถานภาพเป็นนักโทษการเมืองอย่างไม่มีทางปฏิเสธได้ ควรได้รับการควบคุมตัวในสถานที่ควบคุมตัวพิเศษ ไม่ว่าระหว่างการพิจารณาคดีหรือแม้แต่ส่วนที่ได้รับโทษเด็ดขาดแล้ว เพราะคดีนี้มีความอ่อนไหว มีแรงเสียดทานสูง ไม่มีความปลอดภัยเมื่ออยู่รวมกับผู้ต้องขังทั่วไป ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามีผู้ต้องขังคดีนี้หลายคนถูกทำร้าย แม้แต่ตนเองซึ่งนับว่าเป็นผู้มีชื่อเสียงและมีประสบการณ์การติดคุกมานาน ก็ยังถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเจ้าหน้าที่ที่มีความคิดตรงข้าม ทำให้ที่ผ่านมาตนประกาศจะอดข้าวไปแล้วครั้งหนึ่ง กรณีที่มีเจ้าหน้าที่โยนอาหารของตนลงกับพื้น จนผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องมาไกล่เกลี่ย การพิจารณาให้ย้ายไปเรือนจำใหม่ควรเป็นเรื่องของรัฐบาลและฝ่ายการเมืองแทนที่จะเป็นอำนาจของข้าราชการประจำที่กลัวแรงเสียดทานทางการเมือง

หวังตั้งเครือข่ายผู้ต้องขัง
เดินเรื่องประกันเอง



ธันย์ฐวุฒิหรือหนุ่มเมืองนนท์ ระบุว่านักโทษคดีหมิ่นฯควรต้องได้รับการย้ายไปเรือนจำชั่วคราวด้วย เพราะผู้ต้องโทษคดีนี้ซึ่งเป็นคดีทางความคิดแต่เมื่ออยู่ในเรือนจำจะลำบากกว่าปกติ ถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ช่วงแรกหลายคนถูกกลั่นแกล้งด้วย คดีหมิ่นถือได้ว่าเป็นการเมืองมากที่สุด เพราะข้อหานี้ถูกนำมาใช้กลั่นแกล้งทางการเมืองได้ง่าย จึงต้องได้อยู่เป็นกลุ่มก้อน มีคนมาเยี่ยม แบบที่ไม่ใช่เยี่ยมนักโทษอาญา แต่มาเยี่ยมในฐานะสหายร่วมรบ และอย่างน้อยที่สุดข่าวสารต่างๆ จะได้รับรู้กันอย่างรวดเร็ว อยากให้มีกลุ่ม เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการถูกคุมขังจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่รัฐประหาร 2549 โดยให้ทนายหรือตัวแทนของผู้ต้องขังจัดแถลงข่าวข้อเรียกร้อง ความคืบหน้าต่างๆ เป็นระยะ โดยเฉพาะเรื่องประกันตัวโดยประสานกับรัฐบาลโดยตรง ไม่ขึ้นต่อ นปช.





นายชีเกียง วัย 74  ปี บิดาของนายธันย์วุฒิ เดินทางมาเยี่ยมลูกชายที่เรือนจำพร้อมให้สัมภาษณ์ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น กับครอบครัว ความรู้สึก และความคาดหวังต่อการขอพระราชทานอภัยโทษว่า พูดในนามพ่อของลูกคนหนึ่ง ตอนที่ลูกถูกจับมีอาการแย่มากเลย เคว้งคว้างไปหมด ไม่รู้จะทำยังไง ญาติ พี่น้องเขาก็กลัว ไม่กล้าเลย ไม่มีใครกล้ามาเยี่ยมเลย แม้แต่พี่น้องของหนุ่มเองก็ไม่กล้า แม่เขาก็กลัว แต่เรามันกลัวไม่ได้ เพราะเราเป็นพ่อ จะกลัวได้ไง ลูกคนหนึ่งติดคุกอยู่ มันก็แย่มากขนาดเราขอประกันไป เที่ยวนี้เที่ยวที่หกที่เจ็ดแล้วมั้งก็ไม่ได้นะ ตกใจ หมดแรงเลย โฮ ข่าวก็ออกมาหราเลย ธันย์ฐวุฒิ โดนตัดสินคดีหมิ่น 13 ปี ตอนนั้นหมดแรงเลย จริงๆ ตอนแรกๆ เราก็อยากให้เขารับสารภาพ บอก เออ ถึงไม่ได้ทำก็รับสารภาพไปเถอะอย่างน้อยมันก็ได้ลดครึ่งนึง  อย่าให้ถึง 13 ปีเลย  13 ปี แย่เลย แล้วเราจะอยู่ถึงเหรอ 13 ปี นี่ปีนี้ก็ 74 แล้ว อีก 13 ปี ก็ 80 กว่าคงไม่ไหว อยากจะออกมาเจอลูกก่อน อยากให้ลูกบวช



Top of Form
Bottom of Form

ไม่มีความคิดเห็น: