วันศุกร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2555

112 สยองพระเกียรติ ตอนที่ 4: ไม่รักติดคุกนะ Section 112 04



ฟังเสียง  : http://www.mediafire.com/?uf8xfn7s6fs162e
หรือ  :
http://www.4shared.com/mp3/J5CRxEdn/Section_112_The_Royal_Threat_0.html


112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่
4 ไม่รักติดคุกนะ

คดีของโจ กอร์ดอน
 

8 ธ.ค.2554 ผู้สื่อข่าวทั้งไทยและต่างประเทศมาเฝ้าทำข่าวและถ่ายรูปโจ กอร์ดอนระหว่างเดินลงจากรถควบคุมผู้ต้องขังไปยังห้องขังรวมใต้ถุนศาลอาญา โดยโจ ในชุดนักโทษและใส่ตรวนที่ขาได้กล่าวทักทายกองทัพผู้สื่อข่าวสั้นๆ เป็นภาษาอังกฤษว่า Thank you for comingขอบคุณที่มาครับ


บรรยายกาศภายในห้องพิจารณาคดี 812 มีผู้คนล้นจนไม่มีที่นั่ง ทั้งผู้สนใจติดตามคดี เจ้าหน้าที่สถานทูตอเมริกา นักข่าว รวมถึงเพื่อนสนิทของโจซึ่งเป็นคนที่คอยดูแลโจตลอดเวลา 199 วันที่ถูกคุมขัง โดยเธอขับรถจากนครราชสีมาเข้ากรุงเทพฯเกือบทุกวัน สำหรับคนในครอบครัวของโจ ไม่มีใครเข้าร่วมรับฟังคำพิพากษาในครั้งนี้
เมื่อผู้พิพากษานั่งบัลลังก์ หนึ่งในนั้นได้สอบถามโจเกี่ยวกับคำให้การต่อพนักงานตามที่เขาให้การไว้ว่า 1.ไม่เคยสนใจการเมืองไทยมาก่อน 2.ไม่เคยรู้จักกับใครทั้งเสื้อเหลือง เสื้อแดง 3.ไม่ใช่นายสิน แซ่จิ้ว [เจ้าของบล็อกที่ถูกฟ้อง] และ 4.ไม่เคยโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทกษัตริย์ ผู้พิพากษาอธิบายว่ากคำให้การขัดกับการรับสารภาพของเขา ทนายรีบแจ้งต่อศาลว่า คำให้การนี้หมายถึงในกรณีอื่น นอกเหนือจากกรณีที่ถูกฟ้องนี้

ผู้พิพากษาจึงอ่านคำตัดสินว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ให้ลงโทษตามมาตรา 112 ซึ่งเป็นโทษหนักที่สุด จำคุก 5 ปี จำเลยรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง เหลือ 2 ปี 6 เดือน ริบของกลาง
โจ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างประเทศนับสิบคนที่นั่งยองๆ ล้อมวงสัมภาษณ์เขากันแบบสดๆ ทันทีหลังฟังคำพิพากษา ว่า เขาไม่ค่อยเข้าใจกระบวนการยุติธรรมของไทยเท่าไรนักและเขาก็ไม่ได้คาดหวังอะไรเป็นพิเศษกับการตัดสินของศาลประเทศนี้ การล้อมวงสัมภาษณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าผู้พิพากษาที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ระหว่างรอเจ้าหน้าที่พิมพ์รายงาน ซึ่งผู้พิพากษาก็ไม่ได้ว่ากล่าวแต่อย่างใด เขากล่าวตอนหนึ่งว่า มันทำให้เห็นว่าประเทศไทยยังมีปัญหาเกี่ยวกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น

โจถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของบล็อกที่ชื่อว่าบาทเดียว และเป็นผู้ใช้นามแฝงว่า สิน แซ่จิ้ว โดยในบล็อกของเขาซึ่งใส่ลิงก์ให้ดาวน์โหลดหนังสือThe King Never Smiles และถูกตั้งข้อกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการแปลหนังสือฉบับดังกล่าวเป็น ภาษาไทย สำหรับหนังสือ The King Never Smiles เป็นหนังสือที่เขียนเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เขียนโดย Paul Handley นักข่าวอิสระซึ่งทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทย หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัย Yale เผยแพร่เมื่อปี 2549 ปัจจุบันเป็นหนังสือต้องห้ามในประเทศไทย
นายอานนท์ นำภา ทนายความ ระบุว่าข้อความในบล็อกนั้นเป็นข้อความทางวิชาการ และแปลเนื้อหาในหนังสือ The King Never Smiles บางบท มีการเขียนบรรยายว่า เป็นไปเพื่อการศึกษาประวัติศาสตร์ในอีกด้านหนึ่งของประเทศไทย พร้อมทั้งกำชับให้ผู้อ่านให้อ่านเชิงอรรถเพื่อพิจารณาว่าข้อสรุปของผู้เขียน Paul M. Handley เชื่อถือได้หรือไม่เพียงใด




ขณะที่นางอลิซาเบธ แพรตต์ (Elizabeth Pratt) กงสุลใหญ่สหรัฐอเมริกาที่มาร่วมฟังคำพิพากษาตอบคำถามผู้สื่อข่าวว่า มันยังเป็นโทษที่หนักมากสำหรับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น 
นับแต่ถูกจับกุมโจปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาโดยทันทีและถูกควบคุมตัวที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทนายได้ยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวโดยอ้างสิทธิพื้นฐาน และยังระบุว่าโจมีโรคความดันโลหิตและโรคเกาต์ที่ต้องการการรักษา แต่ศาลปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าเป็นข้อหาที่กระทบต่อความมั่นคงและกระทบต่อสถาบันกษัตริย์ซึ่งมีโทษสูง และเขาอาจทำลายพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องได้
หลังจากพยายามขอประกันตัวถึง 8 ครั้ง ในวันที่ 10 ตุลาคม 2554 ซึ่งเป็นวันแรกของการนัดพิจารณาคดี โจตัดสินใจไม่ขอต่อสู้คดี ศาลมีคำสั่งให้เจ้าพนักงานคุมประพฤติสืบเสาะพฤติการณ์ของจำเลยแล้วรายงานต่อ ศาลภายใน 20 วัน และกำหนดวันพิพากษาวันที่ 9 พฤศจิกายน 2554 แต่ด้วยเหตุน้ำท่วมกรุงเทพฯ ทำให้วันพิพากษาถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 8 ธันวาคม 2554

ข้อสังเกต ในคดีของโจ กอร์ดอน
1) หนังสือกษัตริย์ไม่เคยยิ้มมีเนื้อหาผิด 112 หรือไม่ ถ้าผิด ผิดตรงไหน ผิดอย่างไร   2) การประกาศหนังสือต้องห้าม เป็นอำนาจของ ผบ.ตร โดยอาศัยอำนาจตาม พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ 2550 ซึ่งต้องประกาศในราชกิจจานุเบกษาด้วย แต่หนังสือเล่มนี้ไม่มีการประกาศตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว มีแต่คำสั่งตำรวจลอย ๆ ว่าห้ามเผยแพร่ จะมีผลทางกฎหมายหรือไม่  3) ตาม พรบ.จดแจ้งการพิมพ์ ถ้าฝ่าฝืน คือ สั่งหรือนำเข้ามาเพื่อเผยแพร่ จำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับ.. แต่ครั้งนี้ศาลให้จำคุก 5 ปี (สารภาพเลยลดเหลือ 2 ปีครึ่ง) หมายความว่าอะไร ถ้าตัดสินว่าผิดมาตรา  112  ก็ต้องย้อนกลับไปถามว่าผิดอย่างไร
ในคำฟ้องของโจทก์ได้ให้น้ำหนักกับหนังสือต้องห้ามดังกล่าว ทำให้คำถามต่อหนังสือ
The King Never Smiles ยังเป็นคำถามใหญ่ที่ยังไม่มีความชัดเจน


คำฟ้องลงวันที่ 17 สิงหาคม 2554 ระหว่างพนักงานอัยการ กับนายเลอพงษ์ หรือ นายโจ กอร์ดอน โดยระบุว่า ราชอาณาจักรไทยปกครองโดยระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นสมเด็จพระภัทรมหาราช พระมหากษัตริย์ผู้ทรงคุณอันประเสริฐ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ และทรงอยู่เหนือคำติชมใดๆ ทั้งปวง เมื่อระหว่างวันที่ 2 พ.ย.50 ถึงวันที่ 24 พ.ค.54 เวลากลางวันและกลางคืนต่อเนื่องกัน จำลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย โดยบังอาจนำเข้าสู่ระบบหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์เกี่ยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นข้อความเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร ลงในเว็บบล็อกไทยทีเคเอ็นเอสยูเอสเอ  และจำเลยยังทำจุดเชื่อมโยงให้บุคคลที่เข้าเว็บบอร์ดคนเหมือนกันทำการดาวน์โหลด โดยจำเลยใช้นามแฝงว่า นายสิน แซ่จิ้ว และมีคำนิยามเกี่ยวกับตัวเองว่า กูไม่ใช่ฝุ่นใต้ตรีน และจำเลยอ้างตัวเป็นผู้แปลหนังสือต้องห้ามนำเข้ามาในราชอาณาจักรชื่อ The King Never Smiles (กษัตริย์ผู้ไม่เคยยิ้ม) จากฉบับภาษาอังกฤษเป็นฉบับภาษาไทย และจำเลยนำข้อความซึ่งเป็นคำแปลดังกล่าวลงเผยแพร่ในเว็บบอร์ดดังกล่าว ทำการเผยแพร่บทความที่มีลักษณะกล่าวพาดพิงวิพากษ์วิจารณ์พระมหากษัตริย์ ต่อมาจำเลยได้ทำความเชื่อมโยงเพื่อเผยแพร่หรือส่งต่อข้อความซึ่งเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ดังกล่าวโดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นความผิดเกี่ยวกับความ มั่นคงในราชอาณาจักรลงในเว็บไซต์ชุมชนฟ้าเดียวกัน หรือเว็บไซต์ชุมชนคนเหมือนกัน เพื่อให้บุคคลทั่วไปเข้าไปอ่านคำแปลในเว็บบล็อกดังกล่าว

จำเลยได้นำข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีข้อความหมิ่นประมาท พระมหากษัตริย์ โดยจำเลยเขียนบทความลงในเว็บบล็อกบาทเดียว  วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ การปฏิวัติวัฒนธรรมโบราณ และสถานการณ์ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของสังคมไทยในช่วงผลัดเปลี่ยนรัชกาล การกระทำของจำเลยยังเป็นการทำให้ข้อมูลดังกล่าวปรากฏแก่ประชาชนอันมิใช่เป็น การกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความเห็นหรือติชมโดยสุจริต และเป็นการกระทำเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชน ถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร และเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน อันเป็นการฝ่าฝืนกฎหมาย


โจเป็นคนสุขุม และไม่ค่อยพูด ในช่วงแรกที่ถูกคุมขัง เขาป่วยหนักจากโรคเก๊าต์ และมีสภาพที่ย่ำแย่ทั้งจิตใจและร่างกาย จนต้องมีนักโทษพยุงปีกซ้ายขวามาพบญาติเนื่องจากเก๊าต์กำเริบหนัก ช่วงแรกโจไม่สามารถปรับตัวกับสภาพในเรือนจำได้ และไม่สามารถรับประทานอาหารและน้ำที่จัดให้ได้เลย ต้องอาศัยเพื่อนสนิทซื้อของกินของใช้ให้โดยตลอด
เรื่องการไม่ได้ประกันตัวเป็นสิ่งที่โจไม่สามารถเข้าใจได้ และมักจะพูดถึงเสมอ เขาว่าที่อเมริกาไม่มีทางทำแบบนี้ เพราะเขายังไม่ถูกตัดสินว่ากระทำผิดแต่อย่างใด โจป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงด้วย และไม่ค่อยไปรับยาที่โรงพยาบาลในเรือนจำ เจ้าหน้าที่จากสถานทูตอเมริกาที่คอยเข้าเยี่ยมเขาเป็นระยะบอกกับเขาว่าอย่างไรเสียเขาควรไปรับยาที่โรงพยาบาล คำตอบจากโจคือ การไปรับยานั้นต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันรอคิว นอกจากนี้เขายังรับไม่ได้กับการปฏิบัติต่อนักโทษจากบุคคลากรในเรือนจำ
โจ ใช้ชีวิตอยู่อเมริกานาน เกือบ
30 ปี อาจจะนานเกินไปจนทำให้เขารู้สึกว่าเขาเป็นคนอเมริกันมากกว่าคนไทย เขาเดินทางเข้าประเทศไทยเมื่อราว 2 ปีก่อน เนื่องจากภรรยาของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็ง และเขาเองต้องการกลับมารักษาตัวในประเทศบ้านเกิดซึ่งค่ารักษาพยาบาลถูกกว่ามาก
โจให้สัมภาษณ์จากห้องขังว่า ประเทศนี้ดีทุกอย่าง แต่คนไทยเป็นคนไม่ยอมรับความจริง
  มองจากข้างนอกบรรยากาศเหมือนจะเปิดกว้าง แต่จริงๆ แล้ว ไม่ใช่

เมื่อกลับมาอยู่บ้านที่จังหวัดนครราชสีมา โจหารายได้เล็กๆ น้อยๆ จากการสอนภาษาอังกฤษให้กับเด็กๆ รวมถึงผู้ใหญ่ที่สนใจ และมีงานอดิเรกเป็นการถ่ายภาพ จนกระทั่งถูกจับกุม ซึ่งในวันจับกุมเขาระบุว่าบ้านพี่น้องที่อยู่นอกเหนือหมายจับก็ถูกรื้อค้น ด้วยเช่นเดียวกัน
เนื่องจากจำเลยตัดสินใจไม่ต่อสู้คดี ทำให้ผู้ที่สนใจติดตามกรณีนี้ซึ่งเกี่ยวพันกับ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี ไม่สามารถหาคำตอบในการเชื่อมโยงสู่การจับกุมได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อทั้งหมดกระทำการในสหรัฐอเมริกา

โจระบุว่า เจ้าหน้าที่ถามเขาหลายอย่างเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัว ซึ่งเป็นคำถามที่ไม่มีทางที่คนจะถามกันในประเทศที่เขาอยู่ นอกจากนี้ยังถามเขาว่า รู้จักกับทักษิณใช่ไหม รู้จักแกนนำคนใดบ้าง ฯลฯ ซึ่งมันสร้างความประหลาดใจให้เขามากพอควร

ต่อมานายวอลเตอร์ บราวโนเลอร์ โฆษก สถานทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เปิดเผยว่า นายกอร์ดอน ซึ่งถูกศาลตัดสิน จำคุกเป็นเวลา 2 ปีครึ่ง ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2553  ในคดีหมิ่นสถาบัน ได้รับพระราชทานอภัยโทษและออกจากเรือนจำแล้วเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2555
"ทางการสหรัฐอเมริการู้สึกยินดีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานอภัยโทษให้แก่นายกอร์ดอน  ทางการสหรัฐได้เร่งให้ทางการไทยดูแลเรื่องดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจว่าเสรีภาพ ในการแสดงออกจะได้รับการปกป้องตามพันธสัญญาระหว่างประเทศ”



เว็บไซต์เดอะการ์เดียนของอังกฤษ รายงานเรื่องนี้โดยมองว่า การที่โจ กอร์ดอนได้รับอภัยโทษในช่วงนี้ อาจเป็นเพราะนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีไทยต้องไปพบปะกับนางฮิลลารี คลินตันที่กัมพูชาในวันที่ 13 กรกฎาคม 2555 และต้องการหลีกเลี่ยงความสนใจที่อาจพุ่งเป้ามาที่กรณีของโจ กอร์ดอน รวมถึงกรณีผู้ต้องโทษประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 หรือคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพรายอื่นๆ
นอกจากนี้ ยังมีสำนักข่าวต่างประเทศอื่นๆ ให้ความสนใจโดยรายงานข่าวกรณีดังกล่าวอย่างกว้างขวาง อาทิ หนังสือพิมพ์ยูเอสเอ ทูเดย์, ฟอกซ์, วอยซ์ ออฟ อเมริกา, วอลล์สตรีท เจอร์นัล, นิวยอร์กไทมส์ของสหรัฐฯ บีบีซี ของอังกฤษ และดอยเชอร์ เวลเลอร์ของเยอรมนี

ณัฐ :
ติดคุกเพราะแค่ส่งอีเมลล์ต่อ

ณัฐ ชายหนุ่มอายุ 29 ปี เป็นคนกรุงเทพฯ พ่อฆ่าตัวตายตอนเขาอายุ 2 ขวบ เนื่องจากธุรกิจที่ทำล้มเหลว แม่ก็มาเป็นมะเร็งเสียชีวิตตอนเขาอายุ 22 ปี เหลือคนในครอบครัวเพียงน้องชายคนเดียว อาม่าที่เลี้ยงดูมา และญาติห่างๆ อีกบางส่วน ณัฐเคยไปเรียนทางด้านการเงินการธนาคาร แต่เลิกกลางคันไม่จบการศึกษา เนื่องจากนิสัยไม่ชอบห้องเรียนมาตั้งแต่เด็ก หันมาเอาดีทางการทำธุรกิจในโลกออนไลน์ (E-Commerce) และเริ่มสนใจการเมืองหลังการรัฐประหาร 2549 เพราะอยากรู้เบื้องลึกเบื้องหลัง อันนำไปสู่การติดตามข่าวสารทางการเมืองจากแหล่งต่างๆ ไม่เคยไปร่วมชุมนุมที่ไหนหรือยุ่งกับพรรคการเมืองใดๆ ณัฐติดตามข่าวสารด้วยความกระตือรือร้น
โดยเฉพาะจากเว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน แหล่งรวมความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญเว็บหนึ่งในโลกออนไลน์เวลานั้น  จนกลางปี 2552 หลังจากมีการเผยแพร่ลิงก์ของคลิปและภาพที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับสถาบันในเว็บบอร์ด โดยไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ณัฐได้ส่งลิงก์ดังกล่าวทางอีเมล์ไปให้เพื่อนชาวอังกฤษที่อยู่สเปน ซึ่งเขารู้จักผ่านอินเตอร์เน็ต

ฝรั่งคนดังกล่าวซึ่งใช้นามแฝงว่า stop lese majeste หรือหยุดกฎหมาย หมิ่นกษัตริย์ ได้นำคลิป ดังกล่าวไปเผยแพร่ต่อในเว็บไซต์ของตนเอง จนทางดีเอสไอและกระทรวงไอซีทีของไทยส่งตำรวจติดตามไปสอบสวนฝรั่งคนนั้นถึงสเปน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เนื่องจากกฎหมายครอบคลุมไปไม่ถึงต่างประเทศ ตำรวจได้เจาะเข้าถึงอีเมล์ของฝรั่งคนนั้น และตามถึงอีเมล์ของณัฐ ที่ส่งลิงค์มาจากเมืองไทย
13 ตุลาคม 2552 ดีเอสไอยกกำลังราว 10 คน มาจับณัฐที่คอนโด โดยที่เขาไม่ได้รู้เรื่องนี้มาก่อน เขาได้ยินเสียงทุบประตูห้องตัวเองดังมากๆ พอเขาเดินไปเปิดประตู ก็พบชายหญิงเป็น 10 คนยืนอยู่ข้างหน้า ในชุดพนักงานออฟฟิศ เจ้าหน้าที่แสดงตัวและแจ้งว่าเขาได้ส่งคลิปที่มีเนื้อหาหมิ่นฯ และใช้คำเกี่ยวกับสถาบัน พอได้ฟังณัฐก็ตกใจ เขาถูกล็อคตัวแล้วใส่กุญแจมือ ตามด้วยการค้นห้องพักจนหมด พร้อมยึดเอกสาร ซีดี คอมพิวเตอร์ ไดอารี่

หลังจากถูกจับ เขาถูกนำตัวไปสอบสวนที่กรมสืบสวนคดีพิเศษ ตอนนั้นตำรวจแจ้งข้อหาตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯ ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบหรือเผยแพร่ หรือส่งต่อข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่มีลักษณะลามก เพียงเท่านั้น ณัฐถูกสอบสวนและคุมตัวอยู่ที่ดีเอสไอนานสองคืน ถูกซักจากเจ้าหน้าที่เป็นวันๆ ตั้งแต่เรื่องวิธีการเข้าเว็บไซต์ วิธีการโพสต์ รวมทั้งต้องเปิดเผยการเข้าอีเมล์ของตนเองให้เจ้าหน้าที่ ก่อนถูกส่งตัวไปเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นอนอยู่ที่นั่นอีก 12 คืน ก่อนได้ประกันตัวในปลายเดือนตุลาคม 2552 ด้วยเงินสด 2 แสนบาทที่ญาตินำมาช่วยประกัน
หนึ่งเดือนต่อมาเขาถูกหมายเรียกไปที่กรมสืบสวนคดีพิเศษอีกครั้ง โดยเจ้าหน้าที่แจ้งข้อกล่าวหาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา
112 เพิ่มเติมจากข้อหาเดิม  ณัฐเริ่มเครียดหลังทราบข้อกล่าวหาเพิ่ม และคิดว่าตนเองว่าคงต้องติดคุกแน่ๆ ผม ถูกมองว่ามีเจตนาหมิ่น แม้จะไม่ได้สร้างเว็บ ไม่ได้ทำคลิปโดยตรง แต่ได้เอาอะไรที่ไม่บังควร ไปเล่า ส่งต่อ จะหาว่าหมิ่นให้ได้ แต่คลิปนั้นมันมีในเว็บมาแล้ว ผมไม่ได้ทำอะไรเลย เป็นคลิปที่ไม่ได้แต่ง มันเป็นของจริง มันอยู่ในอินเตอร์เนทเรียบร้อยแล้ว
14 ธันวาคม 2552 ศาลออกหมายนัดให้ไปรายงานตัว เขาไปคนเดียว ไม่มีทนาย ไม่มีเพื่อนแม้แต่คนเดียวไปด้วยเพราะไม่รู้จะติดต่อใครในคดีแบบนี้ เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่ศาลถามเขาว่าจะเอาอย่างไร จะรับสารภาพหรือไม่ ถ้ารับก็ตัดสินเลย ตอนนั้นเขารู้สึกมืดมนมาก ไม่รู้เลยว่าจะสู้อย่างไร ทำอะไรได้บ้าง เพราะรู้ดีว่าที่ผ่านมาคดีแบบนี้แทบไม่มีใครชนะ หรือหากรับสารภาพไปแล้วจะมีโทษเท่าไร จะได้ลดโทษขนาดไหน เขาคิดไม่ออกจริงๆ

สุดท้ายเขาตัดสินใจรับสารภาพเพราะไม่รู้จะทำอะไรได้ ศาลจึงพิพากษาทันทีในวันนั้นเอง ลงโทษจำคุก 9 ปี แต่เมื่อรับสารภาพลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือ 4 ปี กับอีก 6 เดือนผู้พิพากษาอ่านคำพิพากษาสั้นๆ บอกว่าโทษของจำเลย 3 ปี 18 เดือน ณัฐอึ้งและตกใจ ศาลต้องพูดซ้ำสองครั้ง หน้าซีดและยืนนิ่ง คิดว่าตนต้องอยู่ในคุกเป็นปีๆ เลยหรือ เจ้าหน้าที่ศาลก็มาพาเข้าห้องขัง เขารู้สึกแย่และกลัวมาก  หลังจากวันนั้น อิสรภาพของเขาก็หมดสิ้นลง


ณัฐถูกจำแนกไปอยู่ในแดน 4 ของเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในช่วงครึ่งปีแรก เขาต้องไปใช้แรงงานปั่นถ้วย 5 กิโลกรัม ต่อวัน เป็นเวลากว่าครึ่งปี ผู้คุมคิดว่าให้นักโทษทำงานเพื่อไม่ให้เครียดจากการอยู่เฉยๆ แต่สำหรับเขากลับยิ่งเครียดมากขึ้นจากการทำงานเหล่านี้
จนกลางปี
2553 มี การประกาศรับสมัครคนงานฝ่ายการศึกษา โดยเปิดรับนักโทษที่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์ให้มาสมัคร ณัฐไปกรอกใบสมัครไว้เพราะทนปั่นถ้วยไม่ไหว หลังจากนั้นก็ถูกเรียกไปทดสอบการพิมพ์ดีด การใช้โปรแกรมต่างๆ จนผ่านและได้รับการบรรจุในฝ่ายการศึกษา เข้าไปทำหน้าที่หานักโทษเข้ามาเรียนวิชาคอมพิวเตอร์ และเป็นผู้ช่วยสอนการใช้คอมพิวเตอร์ ใช้โปรแกรมต่างๆ แก่นักโทษในเรือนจำ ซึ่งทำให้งานในคุกของเขาเบาลง
ช่วงติดคุก เขารู้สึกว่าเป็นวันเวลาที่ตกต่ำที่สุดในชีวิต เขาปรับตัวไม่ได้เลยตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เนื่องจากนิสัยชอบอยู่คนเดียว มีโลกส่วนตัว แต่เรือนจำมิใช่สถานที่ที่มีพื้นที่แบบนั้น มันเหมือนการอยู่ในสถานที่แบบโรงเรียนรวมกับตลาดสด ในโรงเรียน เราถูกบังคับให้เข้าแถว นับยอดทุกๆ วัน ขณะตลาดสดก็เต็มไปด้วยผู้คนและเสียงจอแจหนวกหูอยู่ตลอดเวลา พร้อมๆ กับความแออัดยัดเหยียดของผู้คนในจำนวนที่เกินกว่าคุกจะรับได้ จนแทบหาความสงบไม่ได้ มิหนำซ้ำยังเดินหนีไปไหนก็ไม่ได้เนื่องจากมีรั้วกรงล้อมทุกด้าน ตอนเข้าไปติดคุกใหม่ๆ เขาคิดว่าจะตายในคุกด้วยซ้ำ ไม่คิดว่าจะอยู่ได้ แต่ก็อยู่มาได้แบบทุกข์ทรมาน เขาปรับตัวไม่ได้ตลอดเวลาที่อยู่ในคุก เขาจะเป็นโรคหดหู่ ซึมเซา สีหน้าจะแย่ตลอด หลายคนในคุกจะถามเขาว่ามึงไหวหรือเปล่า ท่าทางอาการเช่นนั้น ทำให้ณัฐถูกนักโทษร่วมคุกบางคนเรียกว่าไอ้รั่ว อันเป็นคำที่ใช้เรียกคนที่ปรับตัวเข้ากับคุกไม่ได้ พวกอยู่ในคุก แต่ใจอยู่นอกคุกหรือจิตหลุดนิดหน่อย เช่น พวกถูกเมียที่อยู่ข้างนอกทิ้งหรือไม่มีใครมาเยี่ยม




สำหรับณัฐญาติรอบตัวไม่ค่อยได้มาเยี่ยม ไม่ค่อยได้ช่วยเหลือ อาจด้วยความไม่เข้าใจ คิดว่าไปว่าเขาไปหาเรื่อง ไปมีปัญหากับสถาบัน จึงมีแต่น้องชายและอาม่ามาเยี่ยมบ้างนานๆที ความโดดเดี่ยวและปรับตัวไม่ได้ทำให้เขายอมรับตรงๆ ว่าเคยคิดจะฆ่าตัวตายในคุกอยู่เหมือนกัน หากที่สุดเขาก็ทนอยู่มาโดยไม่เคยทำผิดอะไร จนได้สถานะเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม
จากตัวคนเดียว เขาเริ่มได้รู้จักนักโทษคดี
112 คน อื่นๆ เริ่มจากลุงวันชัย ที่อยู่ในแดนเดียวกันเป็นเพื่อนร่วมชะตากรรมคนแรกที่เขาได้รู้จัก ตามด้วยสุชาติ นาคบางไทร ที่ถูกจำแนกเข้ามาในแดน 4 เช่นเดียวกันในช่วงต้นปี 2554 หลัง จากนั้นก็ได้รู้จักกับหนุ่ม เรดนนท์ ที่คอยเป็นปากเป็นเสียงให้หลายคนในคุก หนุ่มได้แจ้งข่าวกับคนภายนอกคุกว่ายังมีณัฐและลุงวันชัยเป็นนักโทษคดี 112 อยู่ในคุกด้วย  ตั้งแต่ช่วงกลางปี 2554 เป็นต้นมา จากที่ไม่ค่อยมีใครมาเยี่ยมนัก ก็มีคนเสื้อแดงหรือผู้สนใจคดีนี้ซึ่งกำลังเป็นกระแสสังคมไปเยี่ยมเขามากขึ้น ทำให้ณัฐเริ่มสบายใจขึ้น มีความหวังว่าคนข้างนอกจะไม่ทิ้งกัน

แต่ความเป็นนักโทษในคดีหมิ่น ก็ไม่ใช่จะอยู่ได้ง่ายๆ แม้แต่ภายในคุกเอง แม้นักโทษคดีอื่นๆ หลายคนจะเข้าใจ มองว่าเรื่องนี้ถูกทำให้มีโทษหนักเกินไป ไม่เป็นธรรม แต่บางคนก็มองผู้ต้องหาคดีนี้ว่าเป็นพวกจัญไร มีการดูถูกและด่าว่าต่อหน้าจากนักโทษกันเองว่าเป็นพวกเลวร้ายและไม่มีค่าที่จะมีชีวิตอยู่  บางคนบอกว่า 112 เป็นสิ่งเลวร้ายกว่าการฆ่าข่มขืนเสียอีก ขณะเดียวกันผู้คุมบางคนก็พูดจาไม่ดีและหยาบคาย พูดขึ้นมึง ขึ้นกู ด้วย และปฏิบัติต่อนักโทษอย่างไม่ให้เกียรติ  ผม ต้องนั่งคุกเข่า เขาก็ยืน นักโทษกับเจ้าหน้าที่จะเหมือนชนชั้นวรรณะ ตอนนั่งทำประวัตินักโทษใหม่ๆ นักโทษนั่งกับพื้น เจ้าหน้าที่จะนั่งเก้าอี้...การนั่งกับพื้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่ มันน่าสมเพชตัวเอง ประชาชนทั่วไปไปติดต่อราชการยังไม่ทำแบบนี้เลย แล้วเขาพูดจาดูถูกและหยาบคาย
โทษทัณฑ์เช่นนี้ณัฐยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้รู้สึกว้าเหว่ เหมือน
112 เป็น ข้อหาที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านชาวช่อง ทั้งโทษก็ไม่เหมือนชาวโลก เพราะขัดกับหลักสิทธิและมนุษยธรรม เขาบอกว่าพี่สมยศยังเคยล้อกันเล่นกับนักโทษคดีนี้ที่รวมกลุ่มกันในคุก ว่าน่าจะตั้งเป็นคณะ 112 ในเรือนจำเสียเลย

19 เมษายน 2555 เป็นวันที่เขาดีใจที่สุดวันหนึ่งในชีวิต หลังจากชีวิต 2 ปี 4 เดือน ในเรือนจำ ณัฐได้รับการลดโทษเนื่องจากความเป็นนักโทษชั้นเยี่ยม และผ่านวาระสำคัญที่มีการอภัยโทษใหญ่สองครั้ง ณัฐจึงได้รับการปล่อยตัวก่อนกำหนดในวันนั้น
หลังออกจากคุกมา ณัฐก็ยังต้องไปรายงานตัวที่ศาล เพื่อควบคุมความประพฤติตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา กระทั่งล่าสุด เขาเพิ่งได้รับใบบริสุทธิ์จากเรือนจำ อันเป็นใบแสดงว่าผู้ต้องขังพ้นโทษอย่างสมบูรณ์แล้ว เขาบอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใช้ชื่อนี้ แต่เป็นตลกร้ายเหมือนกันที่ ความบริสุทธิ์จะได้มาเมื่อการลงทัณฑ์สิ้นสุดแล้ว
ช่วงที่ผ่านมา ณัฐยังมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเพื่อนนักโทษในเรือนจำ เขาบอกว่ารู้สึกแย่ ที่เพื่อนๆ ที่ร่วมทุกข์สุขกันมายังอยู่ในคุก ถ้าไม่ได้รู้จักเพื่อน
112 และคดีอื่นๆมาเลย เขาอาจไม่เคลื่อนไหวอีกแล้ว แต่เพื่อนเหล่านั้นก็ให้กำลังใจกันมา จะทำเป็นไม่รู้จักกันเลยก็ไม่ได้ เลยยังอาลัยอาวรณ์อยู่

บทเรียนสำคัญในคุกที่ณัฐอยากบอกกับสังคม คือปัญหา ของกระบวนการยุติธรรมไทยทั้งหมด คดีส่วนใหญ่ที่เขาได้พบในเรือนจำเป็นคดีคนจน คดีหลักทรัพย์โดยคนไม่มีกิน ไม่มีงานทำ ในคุกทำให้เห็นว่าระบบยุติธรรมของไทยเลวร้ายมาก เพราะเล่นงานแต่คนจน  มีคนที่จนมากๆ และไม่ได้ทำผิด แต่ติดคุกเพราะไม่มีเงินสู้คดี คนจนจึงติดคุกง่ายมาก ขณะที่คนรวยๆ ดูง่ายกว่าที่จะชนะคดี และมีโอกาสสู้คดีได้มากกว่า รวมทั้งเคลียร์ตัวเองได้ง่ายกว่า เขาสรุปบทเรียนว่าระบบกฎหมายมันเอื้อให้เฉพาะกลุ่มคนมีเงินและมีอำนาจ

หรือแม้แต่นักโทษคดี 112 เท่าที่ได้สัมผัส เขาเชื่อว่าคนอย่างอากง หรือโจ กอร์ดอน ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย เพราะต่างไม่ได้เป็นคนส่งข้อความหรือคนแปลเอกสารตามที่ถูกกล่าวหา หากกลับต้องประสบชะตากรรมเช่นนั้น ณัฐบอกว่าตามความเข้าใจของเขา สื่อเป็นสิ่งที่ทรงอิทธิพลมาก การประโคมข่าวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับโฆษณาที่เปิดซ้ำๆ ทำให้คนไปเกลียดคนที่ก่อคดีต่างๆ โดยไม่เคยรู้จักกันมาก่อนได้
อยากให้สังคมคำนึงถึงความเป็นคนให้มากกว่านี้ เห็นค่าของความเป็นคนของทุกๆ คน อย่ามองคนเป็นแค่เศษฝุ่นหรือเศษอะไร...
หลังออกมาสูดกลิ่นของเสรีภาพภายนอกแล้ว ณัฐยังฝันร้ายบ้างเป็นบางคืน อาการซึมเศร้ายังมีอยู่บ้าง ซึ่งคงต้องใช้เวลาเป็นเครื่องเยียวยาต่อไป แต่เขาก็ได้ตระหนักชัดถึงคำว่าอิสรภาพดีขึ้น ในเรือนจำนั้น ณัฐแทบไม่เคยนอนตื่นสายเลย ทุกๆ เช้า
6 โมง นักโทษทุกคนต้องตื่น และทำการเช็คยอดทุกวัน ก่อนลงมือปฏิบัติกิจซ้ำซากในแต่ละวัน หากเมื่อออกมาจากที่นั้นแล้ว ช่วงนี้เขาสามารถนอนตื่นสายได้ ซึ่งไม่เคยทำมาก่อนตลอดเวลา 2 ปี 4 เดือน มันทำให้เขาตระหนักถึงส่วนหนึ่งของความหมายของอิสรภาพ
รู้สึกเสียดายเวลา 2 ปีกว่าในคุก เวลาซื้อกลับคืนไม่ได้ ถ้าใครไม่ติดคุก ควรจะซาบซึ้งกับอิสรภาพ ไม่ต้องไปถูกกักขังเหมือนสัตว์ อย่างนักโทษในเรือนจำ

เขาจับผมยังไง
จากบันทึก ของปรวยหัวเข็ม

ปลาย เดือนพฤษภาคม 2553 วันนี้ผมตั้งใจขับรถออกไปซื้ออะไหล่จักรยาน เพื่อจะทำรถให้ดี อยากขี่ไปต่างจังหวัด ทางเหนือและอีสาน ไปคุยกับพี่น้องที่บอบช้ำกลับไปจากการชุมนุม อยากไปถ่ายรูปเผื่อมาทำสารคดี  ราวบ่ายโมงกว่าๆ ขับรถออกไปจากหมู่บ้านไปได้ไม่ไกล แถวหน้าหมู่บ้านนั่นแหละ เห็นรถคันหน้าผมจอดเฉยๆ และมีรถทางซ้ายวิ่งขึ้นมาด้านข้างรถผม มีชายวัยประมาณ 50 ใส่สูทเดินมาข้างรถ ชายคนนี้เปิดด้านในเสื้อให้ดู มีปักคำว่า DSI  ผมไขกระจกรถลง ชายคนนั้นถามว่าปรวยหัวเข็มใช่ไหม ผมบอกใช่ ชายคนนั้นบอกขอเข้าไปคุยในรถ ผมบอกงั้นเดี๋ยวผมเรียกทนาย ชายคนนั้นรีบบอก อ๋อนี่จะเอาแบบทางการใช่ไหม
ผมเปิดประตูให้เขามานั่งในรถผม เขาเอาหมายค้นให้ดู ผมดู ศาลแม่งขยันฉิบหายอออกหมายค้นให้วันอาทิตย์ (วันที่เขามาจับผมวันจันทร์) ชายคนนั้นถามผมว่า ผมไปโพสรูปอะไรในเว็บ ตอนนั้นผมนึกว่าเขาหมายถึงภาพตัดต่อ แวบแรกผมนึกถึงรูปลิง ทำให้ผมมั่นใจว่า ผมไม่เคยโพส รูปแบบนั้นแน่ๆ ผมเลยบอกไปว่าไม่มี ผมไม่เคยโพสรูป เขาบอกผมว่าผมทำผิดเรื่องความมั่นคง ผมเลยสวนไปว่าความมั่นคงบ้าอะไรของพวกคุณ คุณเอาความมั่นคงของประเทศชาติไปผูกไว้กับครอบครัวครอบครัวเดียว แบบนั้นไม่ใช่ความมั่นคงของประเทศ ตำรวจนายนั้นเลยชะงักไปหน่อย คงคิดในใจว่า งานนี้ไม่หมูแน่ๆ
จากนั้นเขาบอกให้ผมกลับเข้าไปในบ้าน ให้แกล้งบอกยามว่ามาปาร์ตี้กัน เดี๋ยวจะมีรถเจ้าหน้าที่ตามมาอีกสี่ห้าคัน ผมถึงรู้ว่าไอ้รถที่รายล้อมผมอยู่นั้นเป็นรถ
DSI ทั้งหมด ผมนึกในใจ ผมคงไปฆ่าใครตายมั้ง มันถึงแห่กันมาขนาดนี้
ถึงบ้านตอนแรกผมก็บอกยังไม่ให้เข้าบ้าน เดี๋ยวจะเรียกทนาย ตอนนั้นผมโกรธมาก เลยโวยวายไปว่าอ้อนี่เห็นว่ามีอำนาจจาก พรก. เลยจะใช้ปืนกดหัวประชาชนหรือไง ผมไม่ได้โง่ ไม่ใช่ตาสีตาสานะ

 
เจ้าหน้าที่ผู้หญิงรีบบอกว่าไม่มี ไม่มีใครมีปืน เจ้าหน้าที่ที่มาที่บ้านผม มีเกือบยี่สิบคน
หลังจากนั้นแม่กับป้าก็บอกให้ผมใจเย็นๆ อยากค้นอะไรก็ค้นไปตามสบาย เจ้าหน้าที่ก็เริ่มค้นในรถในบ้าน โดยผมตั้งใจเดินกวนตามตลอด
เขาถามหาโน้ตบุ๊คผม ผมก็พาขึ้นไปบนห้อง ให้ไปทั้งตัวเก่าและตัวใหม่ บนห้องนอนผมจะมีชั้นหนังสือเต็มผนัง ทั้งหนังสือพ๊อคเก็ตบุ๊คและดีวีดี ซึ่งก็เป็นที่สนใจของเจ้าหน้าที่
DSI ตัวหัวหน้าที่ไปเห็นหนังสือ การปฏิวัติฝรั่งเศสสามเล่ม แกก็ดูตื่นเต้นบอกนี่ไงๆ  ผมบอกอะไรนี่มัน พศ. 2553 นะครับ ไม่ใช่ 2519 จะได้มีความผิด หนังสือแบบนี้เขาขายกันทั่วไป แกก็หัวเราะบอกว่าเปล่าไม่มีอะไร แกบอกลูกน้องให้เอาไปด้วยเพื่อจะได้รู้แนวคิด แต่ลูกน้องก็ลืมหยิบไป
ขณะที่เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ กำลังค้นของอยู่นั้น ตัวหัวหน้าและอีกคนก็พยายามคุยกับผมดีๆ ผมก็คุยดี แต่ผมก็พูดตรง เพราะโอกาสแบบนี้คงไม่มีบ่อยนักที่ผมจะได้พูดตรงๆกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง แกบอกว่าอ่านหนังสือเยอะนะ ผมบอกครับก็เพราะผมอ่านเยอะไง ผมถึงรู้อะไรเยอะ รู้ว่าอะไรถูกอะไรไม่ถูก รู้ว่าทำไมตอนนี้มันถึงสองมาตราฐาน รู้ว่าทำไมตอนยึดทำเนียบปิดสนามบิน ไม่มีใครทำอะไร มาตอนนี้มันไล่ฆ่าประชาชน ตำรวจหัวหน้าแกก็หัวเราะแล้วหันมาพยักเพยิดกับผมบอกว่าเนอะ ตอนนั้นตายสองคนตำรวจโดนสอบ ตอนนี้ตายแปดสิบกว่าคนไม่เป็นไร ผมไม่รู้แกพูดเพื่อให้ผมรู้สึกมีพวกหรือแกรู้สึกจริงๆผมก็ไม่ทราบได ้ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจ
พอลงมาข้างล่างมาที่โต๊ะทำงาน คราวนี้หนังสือบนโต๊ะยิ่งเป็นที่สนใจของ
DSI มากขึ้น 4-5 เล่มที่วางอยู่บนโต๊ะนั้นล้วนเป็นหนังสือของท่านปรีดีทั้งสิ้น เล่มนึงเป็นเค้าโครงเศรษฐกิจของท่านปรีดี ผมกำลังสนใจเรื่องนี้ สนใจเรื่องสวัสดิการสังคมที่ท่านคิดมาตั้งแต่ก่อนปี 2500 แต่กลับถูกหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ผมว่ากำลังจะหาแง่มุมมาทำสารคดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทำแบบให้เข้าใจง่ายๆ ไม่ต้องปีนกะไดฟัง ปีนกะไดดู


อีกเล่มก็เป็นของคุณสุพจน์ ด่านตระกูล เขียนเรื่องปรีดีหนี ส่วนอีก 2- 3 เล่มจำไม่ได้ แต่ทั้งหมดนั้นก็ถูกเจ้าหน้าที่รวบไป เลยได้ที ผมพูดแบบหัวเราะเยาะว่า เฮ้ยหนังสือปรีดีนี่เดี๋ยวนี้เขาไม่ได้ขายกันใต้ดินแล้วนะ ไปงานสัปดาห์หนังสือนี่วางขายกันเยอะเลยนะ
เมื่อได้ของจนพอใจ จากนั้นก็ให้ผมเซ็นรับ ปิดผนึกอย่างดี บอกว่าจะเปิดก็เมื่อเปิดต่อหน้าผมเท่านั้น เอาของไปเก็บไว้แล้วจะนัดผมไปเปิดซองตรวจของกันทีละชิ้น ผมก็เซ็นๆไป ผมบอกว่าโน้ตบุ๊คของน้องสาวผม ไม่เกี่ยวช่วยกรุณาเอามาคืนเขาไวๆด้วย เพราะเขาไม่เกี่ยวและจริงๆก็ไม่ควรเอาไปด้วย แต่ตำรวจหัวหน้ารีบบอกว่าไม่ได้ต้องเอาคอมไปให้หมดเพื่อตรวจสอบ โชคดีผมไม่ได้บอกว่าผมมีเครื่อง
Imac รุ่นแรก กับ mac LCII รุ่นจอขาวดำที่ผมเก็บสะสมอยู่ด้วย ถ้าบอกคาดว่าแกคงให้ลูกน้องเอาไปด้วย
จากนั้นเขาก็บอกให้ผมไปที่
DSI ผมถามว่าจะควบคุมตัวผมเลยหรือไม่ ผมจะได้เตรียมตัว เจ้าหน้าที่รีบบอกว่าเปล่า แค่ไปสอบสวน ขับรถไปได้เลยเอาแม่ไปด้วย ผมบอกแถวนั้นมันหลายประตูผมกลัวเข้าไม่ถูกถ้าเลยแล้วกลับรถไกล ให้ตำรวจมานั่งรถผมคนนึงจะได้คอยบอกทาง ตำรวจนายนึงที่ดูท่าทางเป็นมิตรก็ขึ้นมานั่งรถผม
จริงๆ ระหว่างตรวจค้นในบ้านตำรวจก็พยายามคุยเรื่องทั่วไป ผมเข้าใจว่าคงเพื่อให้ผมผ่อนคลายและรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้จะทำร้ายอะไร ซึ่งดูของทุกอย่างในบ้านผมจะเป็นที่สนใจของตำรวจไปหมด ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเสียง เครื่องเล่นแผ่นเสียง เครื่องเสียง ตำรวจบางนายถามผมว่าชอบฟังเพลงอะไร ผมบอกว่าชอบฟังแจ๊ซ แกก็บอกเออผมก็ชอบ วันหลังมาขอฟังบ้างเพราะแกก็เล่นเครื่องเสียง บางคนเห็นจักรยานผมก็สนใจ ผมก็อธิบายให้ฟังว่าจักรยานที่มันแพงๆหน่อยมันดีกว่าจักรยานธรรมดายังไง บรรยากาศช่วงนี้เหมือนเพื่อนมาปาร์ตี้ที่บ้านจริงๆ
เขาสอบสวนผมยังไง
หลังจากขับรถมาถึงที่ตึก DSI แล้วเจ้าหน้าที่ก็พาผมขึ้นไปข้างบน เจ้าหน้าที่ตำรวจให้ผมเข้าไปที่เนทห้องประชาไท และฟ้าเดียวกันให้ดู แล้วถามผมว่าเป็นคนโพสเหรอ ผมบอกใช่ เขาถามว่าผมเป็นคนดูแลเว็บเหรอ ผมบอกเปล่าผมเป็นคนเข้าไปเล่น จากนั้นพวกเขาก็ปรึกษากันแล้วบอกผมให้ไปอีกห้องหนึ่ง พอเปิดประตูห้องเข้าไป ในห้องไม่มีใคร เจ้าหน้าที่บอกผมว่า พี่ไม่ต้องกลัว ห้องนี้เป็นพวกแดงทั้งห้อง ผมก็ยิ้มๆไม่ว่าอะไร เพราะผมก็เคยได้ยินเรื่องแบบนี้มาบ้าง ไม่ใช่เรื่องตำรวจมะเขือเทศแต่เป็นเรื่องที่ตำรวจจะใช้จิตวิทยาเวลาสอบสวน ให้รู้สึกว่าเราเป็นพวกเดียว มีอะไรคุยกันได้ ผมก็เคยนึกถึงสถานการณ์แบบนี้เหมือนกัน ว่าถ้าโดนจับผมจะทำยังไง ผมนึกไว้แล้วว่าผมจะพูดความจริง เพราะในยามคับขันเช่นนี้ขืนไปโกหก ตัวเราเองนั่นแหละที่จะจำไม่ได้ว่าเราโกหกอะไรไป ผมเชื่อในความบุริสุทธิ์ใจของผม ผมไม่ได้ไปโกงใคร ไม่ได้ไปฆ่าใคร ไม่ได้ปล้นใคร เพราะฉะนั้นผมจะพูดความจริงที่ผมทำ และจะพูดความจริงที่ผมคิดอย่างไม่ปิดบัง

ผมคิดว่าถึงแม้ผมอาจจะติดคุก แต่เมื่อวันหนึ่งความจริงปรากฏ มันก็จะถูกบันทึกไว้ว่า ที่ประเทศไทยเมื่อปี
2553 มีประชาชนพูดความจริงแล้วถูกจับเข้าคุก ถ้าคนที่ลงมือทำเขายังมีชีวตอยู่ ผมก็อยากดูว่าเขาจะทำหน้ายังไง เหมือนกับวันนี้ มีใครสักคนไหมที่กล้าบอกอย่างภูมิใจว่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ว่าตนเองนี่แหละที่ผูกคอนักศึกษาที่ต้นมะขาม ตนเองนี่แหละที่เอาเก้าอี้ฟาดศพนักศึกษา ตนเองนี่แหละที่เอายางรถยนต์เผานักศึกษา มีใครกล้าพูดไหม


ผมถามเจ้าหน้าที่คนนั้นว่าหัวหน้าไม่ว่าอะไรเหรอที่ลูกน้องเขาเป็นพวกเสื้อแดง เขาก็บอกว่าไม่ว่าอะไรเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัว เขาบอกให้ผมรอที่ห้องนี้ เขาถามว่ากินอะไรไหม ผมรู้สึกหิว ให้เขาสั่งแมคโดนัลด์ให้กิน  ผมมองไปรอบห้องก็เหมือนห้องสำนักงานทั่วไป มีโต๊ะทำงานเรียงกันเป็นแถวชิดผนัง แต่อีกด้านที่ผนังมีผ้าแถบสีแดงเขียนว่า ยุบสภา คืนอำนาจให้ประชาชน ติดอยู่ ผมรีบหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเก็บไว้
จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็เข้ามาในห้อง สี่ห้าคน มีคนใหม่เข้ามาเพิ่ม เขาจัดการเปิดคอมฯให้ผมเพื่อให้เข้าไปที่เว็บประชาไท แต่ก็ขำดี ก็ตอนนี้
ICT มันบล๊อกเว็บอยู่ เลยเข้าไม่ได้ ผมก็ถามเขาว่าไม่มีโปรแกรมทะลวงเว็บเหรอ DSIน่าจะมีนะ เขาก็ถามผมว่าผมเข้ายังไง ผมก็บอกของผมเครื่องแมคมันมีโปรแกรมเข้าได้ แต่พีซีนี่ผมไม่รู้ผมไม่เคยใช้เครื่องพีซี แต่บางทีถึงมีโปรแกรมก็เข้าไม่ได้เพราะช่วงนี้เขาบล๊อกอย่างแน่นหนา น่าจะรู้
พวกเขาก็พยายามกันใหญ่อยู่พักนึง สุดท้ายเขาเลยบอกงั้นไปอีกห้องนึงดีกว่า เครื่องห้องนี้โดนบล๊อกไว้และไม่มีโปรแกรมทะลวง
เขาพาผมไปอีกห้องหนึ่ง คราวนี้เข้าได้ เขาเลยให้ผมลองล๊อคอินเข้าไปในประชาไทให้ดู จริงๆเขาก็รู้หมดอยู่แล้วว่าผมล๊อคอินอะไร และพาสเวิร์ดอะไร เพราะตัวหัวหน้าบอกผมเองว่าพาสเวิร์ดคุณนี่โคตรยากเลยตั้งสิบตัวกว่าจะแกะได้

จากนั้น เขาก็บอกให้เข้าไปที่เว็บฟ้าเดียวกัน ผมบอกไม่มีแล้วครับฟ้าเดียวกันเขาเปลี่ยนเป็นคนเหมือนกันแล้ว เขาก็ให้ผมเข้าแต่ผมก็เข้าไม่ได้ เขาถามว่าพาสเวิร์ดอะไร ผมบอกก็พาสเวิร์ดเดียวกันเพราะผมขี้เกียจจำ ผมพยายามเท่าไหร่ก็เข้าไม่ได้ แต่จริงๆมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับตอนนั้นเลย เพราะ ICT มันขยันบล๊อคแล้วไม่รู้มันบล๊อคยังไงบางทีก็ล็อคอินเข้าไม่ได้ หลายคนคงจำได้ว่าช่วงนั้นเว็บเดี้ยงเป็นแถว หรืออาจจะเป็นว่าผมนึกขึ้นมาได้ ผมเลยบอกว่าสงสัยข่าวเรื่องผมโดนจับรั่วแล้วมั้งครับ อาจจะมีใครรู้แล้วลบผมออกแล้วก็ได้
ตัวหัวหน้าเหมือนโดนจี้ใจดำ เขาบอกว่าไม่มีไม่มีทางที่ข่าวจะรั่วได้ พูดเสร็จก็หุนหันออกไป ตัวคนที่ดูเซียนๆเรื่องคอมฯก็บอกไหนลองอีกที ผมลองหลายครั้งก็เข้าไม่ได้ เขาเลยบอกว่าเออสงสัยโดนลบออกไปแล้ว ไหนลองเข้าประชาไทอีกทีซิ คราวนี้ผมกลับมาลองประชาไท ปรากฏว่าประชาไทเมื่อกี้เข้าได้ คราวนี้ก็เข้าไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าทีรายนี้เลยสรุปว่า โอเคพอแล้ว เข้าไม่ได้แล้วละโดนลบออกจากสมาชิกแล้ว จังหวะนั้นตัวหัวหน้าก็โผล่เข้ามาอีกทีด้วยอาการฉุนๆ ถามผมว่าผมได้บอกใครหรือเปล่าว่าโดนจับ ผมบอกเปล่าไม่ได้บอกใคร เขาบอกไม่ได้บอกใครแล้วทำไมมีคนรู้ นี่ไง มีคนตั้งกระทู้ที่ประชาไท เขาบอกว่าตั้งมาจากออฟฟิสอะไรสักอย่างผมจำไม่ได้แล้ว นั่นหมายความว่า
DSI สามารถรู้ได้ในทันทีว่าในประชาไท ใครตั้งกระทู้ตอบกระทู้มาจากไหน
ก่อนหน้านี้ตำรวจที่ทำเรื่องคอมฯก็บอกผมว่า เขารู้ตั้งนานแล้วว่าใครคือปรวย เหมือนกับที่ตัวหัวหน้าบอกผมว่าเขาตามดูผมมานานแล้ว ไปเฝ้าทั้งที่ออฟฟิส ทั้งที่แถวบ้าน ผมนึกในใจโอช่างขยันกันจริงๆ แล้วนี่ถ้าเกิดไม่มีกฎหมายหมิ่นฯแล้ว คนไม่ตกงานเหรอนี่
จากนั้นเขาก็พาผมกลับไปที่ห้องเดิม ชีสเบอร์เกอร์ก็มารอท่าแล้ว เขาให้เวลาผมกินอาหารก่อน เสร็จแล้วเดี๋ยวจะเริ่มสอบสวน ผมกินไม่ได้มากเท่าไหร่ด้วยใจจะรีบทำให้จบๆ เหมือนกับว่ามามะ เดี๋ยวเราจะขึ้นสังเวียนกันแล้ว
กินเสร็จเขาก็เริ่มสอบสวนผม โดยมีตำรวจ
4-5 นายนั่งรายล้อมผม และก็มีเจ้าหน้าที่อีกคนสองคนนั่งในห้องนั้นด้วย
เจ้าหน้าที่ที่ชอบทำหน้ามึนๆ ก็เริ่มถามผม โดยรวมก็ถามว่า ล๊อคอินที่ผมใช้นี่ใช้กี่คน รู้จักใครในเว็บบ้าง ผมเป็นเว็บมาสเตอร์หรือเปล่า ผมมีหน้าที่อะไรในเว็บ ซึ่งการสอบสวนแบบนี้ก็มองได้สองอย่าง หนึ่งอยากรู้ว่าเรามีขบวนการหรือเปล่า สองถามเพื่อให้มัดว่าล๊อคอินนี้เป็นเราแน่นอนไม่ผิดตัว ก็อย่างที่บอกไปแล้ว ผมตั้งใจว่าจะพูดความจริง เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะถามเพื่อจุดประสงค์อะไรผมก็พูดความจริง ผมบอกล๊อคอินผมเองแหละไม่ได้ใช้ร่วมกับใครและผมเป็นแค่สมาชิก ..... ก็จบเรื่องเทคนิคไป

คราวนี้มาเรื่องแนวคิด ก่อนจะเริ่มเจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรก็เอาแฟ้มหนาปึกมาเปิดเอกสารที่เขา ปริ้นท์ข้อความที่ผมโพสไว้ที่คนเหมือนกัน มันเป็นรูปลายเซ็นต์ผมในคนเเหมือนกัน ตัวหัวหน้าก็ถามเลย รูปนี้คุณโพสใช่มั้ย ผมยิ้มเลย รูปนี้แน่ๆที่ตัวหัวหน้าถามผมในรถว่าคุณไปโพสรูปอะไรไว้ ผมเลยถามกลับว่าแปลกอะไรครับ ผิดกฏหมายด้วยเหรอครับ รูป คมช. เข้าเฝ้าในหลวงมีใครในประเทศนี้ไม่เคยเห็นหรือครับ แกก็ไม่ว่าอะไร แต่ถามต่อแล้วนี่ข้อความนี้ของคุณใช่มั้ย ผมบอกใช่ครับ ก็มันเรื่องจริงหรือเปล่าละครับ ถ้าไม่มีในหลวงคนทำรัฐประหารก็ไม่รู้จะเข้าเฝ้าใครตอนทำรัฐประหาร นี่มีในหลวงก็ทำให้พวกเขาอุ่นใจ จริงหรือเปล่าครับ ไม่มีใครตอบอะไร
เขา ยังคงเปิดแฟ้มต่อไป มีอันนึงตั้งแต่ปี 2551 แล้วถามผมว่าอันนี้ผมโพสหรือเปล่า ผมบอกว่าโห ..  นั่นมันตั้งแต่ปี 51 ผมจะจำได้ยังไงละครับ แต่ว่านี่ชื่อผมแน่ ปรวยหัวเข็มแต่จะให้ผมยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่านี่ผมโพส ผมยืนยันไม่ได้หรอกครับ
เอาละพอแล้วเขาบอก จากนั้นเขาก็ให้ผมเซ็นต์ชื่อตรงแผ่นที่มีรูป คมช. เข้าเฝ้าในหลวง
จากนั้นตัวหัวหน้า ก็เริ่มถามผมว่า ไหนลองเล่าให้ฟังซิว่า ทำไมคุณถึงคิดว่าสถาบันไปยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมแทบขำกับคำถามนี้ แต่ก็เหมือนเป็นโอกาสดีที่ผมจะได้พูดเรื่องนี้ต่อหน้าคนฟัง อย่างน้อยก็
5-6 คนในห้องนี้แหละ

ผมบอกว่า ผมไม่ได้คิดเองเลยครับ ไม่ใช่อยู่ๆผมก็มานั่งคิดเองว่าสถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งกับการเมือง ผมอ่านข่าวครับ ไอ้ข้อมูลที่ผมได้มาก็ไม่ได้ลึกลับพิสดาร หรือมีใครป้อนมาจากใต้ดินที่ไหนหรอกครับ ถ้าท่านอ่านข่าวและจำแม่น วิเคราะห์หาเหตุหาผลเป็น ไม่อคติ ยอมรับความจริง ท่านก็จะคิดแบบผมนี่แหละครับ ผมเริ่มเดินเครื่องด้วยการเกริ่นไปแบบนี้
ตัวหัวหน้าบอกเอ้าไหนว่ามาซิ ไหนในหลวงท่านไปยุ่งยังไง ผมอยากรู้เหมือนกัน ผมจะเอาข้อมูลนี้ไปเขียนผลวิจัยว่าพวกนี้เขาคิดกันยังไง
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนไฟมันถูกจุดติดในตัวผมแล้วครับ เหมือนยืนพูดอยู่กลางสนามหลวง
ท่านจำได้ไหมครับ ปี 2549 เมื่อเดือนเมษามีเลือกตั้ง มีพรรคการเมืองลงเลือกตั้งหลายพรรค แต่พรรคประชาธิปัตย์และพรรคฝ่ายค้านไม่ลงเลือกตั้ง การเลือกตั้งติดขัดเพราะบางเขตคนลงคะแนนไม่พอ ในหลวงท่านออกมาตรัสว่ายังไงจำได้หรือเปล่าครับ
ตอนนี้เจ้าหน้าที่ในนั้นทำมึนกันหลายคน ถามว่าท่านพูดกับใคร
ผมเลยเล่าต่อ ท่านพูดกับผู้พิพากษาไงครับ ท่านปรึกษาว่ามีทางทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ไหม การเลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย ทั้งๆที่มีพรรคเล็กพรรคน้อยลงเลือกตั้งอีกตั้งหลายพรรค พวกนั้นเขาไม่ใช่คนไทยเหรอครับ แล้วท่านเป็นตำรวจท่านไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่า การจะตัดสินอะไรมันต้องมีการสอบสวนตามขบวนการ แล้วจึงตัดสินไปตามขั้นตอน แต่นี่ไม่กี่วัน ศาลรวมหัวกันออกมาบอกว่าให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ มันไม่ผิดปกติหรือครับ รวมทั้งเอาท่านวาสนาไปติดคุก ท่านเป็นตำรวจเหมือนกันไม่รู้สึกอะไรหรือครับ
แล้วไงต่อ เสียงเจ้าหน้าที่ในห้องนั้นเขี่ยไฟในตัวผม
แล้วไงครับ
วันรัฐประหาร นายทหารที่เข้าเฝ้ากำลังทำผิดกฏหมายอาญามาตรา
113 ท่านเป็นตำรวจท่านรู้ใช่ไหมครับ ผมถามต่อว่า กฎหมายอาญามาตรานี้ยังใช้อยู่หรือเปล่าครับ แล้วการรัฐประหารนี่เป็นประชาธิปไตยหรือครับ มันไม่เป็นประชาธิปไตยแต่ทำไมท่านไม่ตรัสอะไรบ้างครับ ทำไมกล้าตรัสว่าการเลือกตั้งพรรคเดียวไม่เป็นประชาธิปไตย เป็นโมฆะได้ แต่ไม่กล้าตรัสว่าการทำรัฐประหารไม่เป็นประชาธิปไตยบ้างละครับ
.....เงียบไม่มีใครตอบอะไร
เอ้า.... แล้วพระราชินีละ มีคนหนึ่งถาม
อันนี้ผมตอบแบบหัวเราะเลยครับ โห ท่านเคยได้ยินวันตาสว่างแห่งชาติหรือเปล่าครับ แน่นอนตามระเบียบตำรวจต้องทำเป็นมึนไม่รู้จัก
งานศพน้องโบว์ไงครับ ผมเล่าต่อ น้องโบว์นี่ตายหน้ากองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่ไหมครับ ตอนนั้นพวกพันธมิตรกำลังพยายามจะเข้ายึดกองบัญชาการตำรวจนครบาลใช่ไหมครับ แล้วในงานศพราชินีท่านตรัสว่า น้องโบว์เป็นเด็กดีช่วยชาติรักษาสถาบัน แบบนี้มันไม่ชัดหรือครับ แล้วยังมีคลิ้ปที่สนธิ ลิ้มทองกุลพูดเองอีกว่าได้รับของขวัญจากน้องสาวพระราชินี
มีเสียงนายตำรวจที่ทำหน้ามึนตลอดสวนขึ้นมาว่า พูดที่ไหน เมื่อไหร่
ผมตอบไปว่าไม่เคยเห็นคลิปนี้จริงๆหรือครับ เจ้าหน้าที่ที่ดูเป็นมิตรรีบบอกว่า มีครับมี ผมเคยดู
ผมเลยได้ทีพูดต่อ นั่นไงครับ
แล้วไหนจะคดีพันธมิตรที่ยึดทำเนียบยึดสนามบินอีกไม่มีใครกล้าทำอะไร
ตัวหัวหน้ารีบบอกว่า ก็ไม่ให้
DSI ทำนี่ ถ้าให้ DSI ทำป่านนี้เสร็จไปแล้ว
จังหวะ นี้ผมจำได้แม่นเลย ผมหันมาจ้องตาหัวหน้า แล้วถามว่า จริงหรือเปล่าครับ ท่านกล้าจับพันธมิตรจริงหรือเปล่าครับ ไม่มีเสียงตอบคงมีแต่เสียงหัวเราะกลบเกลื่อนของหัวหน้ากลับมาแทน
ผมร่ายต่อ คนไทยไม่โง่นะครับ เขาดูออกว่าทำไมมันถึงสองมาตราฐาน ฝ่ายหนึ่งโดนไล่ล่า อีกฝ่ายหนึ่งทำผิดยังไงก็ได้ ไม่มีใครทำอะไร คนไทยรับรู้เรื่องแบบนี้ได้ง่ายครับ เพราะมันอยู่ในชีวิตประจำวัน
แท๊กซี่ขับรถฝ่าไฟแดงตำรวจจับ แต่ถ้ารถเบนซ์ขับฝ่าไฟแดงตำรวจไม่จับ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะตำรวจกลัวรถเบนซ์ครับ แต่เพราะตำรวจรู้ว่าเบื้องหลังรถเบนซ์นั้นจะมีคนที่เส้นใหญ่อยู่เหมือนกันครับตำรวจไม่จับพันธมิตรเพราะอะไร คนก็รู้ครับ คนรู้ว่าเบื้องหลังพันธมิตรนั้นมีคนสนับสนุนอยู่ และก็ใหญ่พอที่ตำรวจทหารจะไม่กล้าทำอะไร
ผมยกตัวอย่างนี้ไปได้ยังไง ผมยังไม่รู้เลยครับมันออกไปเองโดยอัติโนมัติ
ที่พูดมาอันนั้นมันก็นานแล้ว แล้วตอนนี้ละท่านยุ่งยังไง
ทหารที่ยิงประชาชนตายนี่ทหารหน่วยไหนครับ
ทหารที่ส่งมาอารักขาอภิสิทธิ์นี่ทหารหน่วยไหนครับ
วันก่อนมีรูปลงในเว็บ เห็นท่านผู้หญิงจรุงจิตต์ นางสนองพระโอษฐ์ไปนั่งในราบ 11 ไปทำไมครับ
อันนั้นรูปตัดต่อได้ไหม หัวหน้าแย้ง
ไม่น่าครับ ใครจะถ่ายรูปด้านหลังเก็บไว้แล้วเอาไปตัดต่อครับ ฯลฯ
สบายใจไหมได้พูดหมดแล้ว หัวหน้าคนนั้นถามผม
ผมบอกก็ดีครับ เพราะผมก็ไม่เคยพูดอะไรแบบนี้กับใคร
แต่ยังไงมันก็ผิดกฏหมายนะ คุณรู้ใช่ไหม ยังไงประเทศนึงมันต้องมีสถาบันหลักเป็นหลักของประเทศ
ผมถามว่าแล้วจะเป็นหลักได้ไงครับ เมื่อไม่ยุติธรรม จะสงบสุขปรองดองได้มันต้องยุติธรรมก่อนตอนนี้เหมือนผมขึ้นธรรมาสน์เลย
ผมแปลกใจประเทศเราเป็นเมืองพุทธซะเปล่า ปากก็บอกว่าเป็นชาวพุทธ แต่ไม่รู้หลักเหตุและผล พระพุทธเจ้าท่านก็บอกว่าทุกข์ให้ดับที่เหตุ คุณไม่อยากให้คนวิจารณ์สถาบันแต่ปล่อยให้สถาบันลงมายุ่งการเมือง ปล่อยให้อีกฝ่ายเอามาอ้างทำลายอีกฝ่าย แล้วคุณมาไล่จับคนวิจารณ์ ผมถามว่ามันจะหมดไหมครับ คุณจะจับหมดไหมครับ
แต่ว่าคุณไปโพสยังงั้นมันก็ผิด คือคุณเข้าใจไหมว่ามันมีกฎหมายอยู่ เอางี้ซิคุณได้พูดแบบนี้แล้วคุณสบายใจ ตอนหลังก็ไม่ต้องไปโพส ก็ไปพูดกับเพื่อนอะไรไป
เพื่อนผมมันเป็นเหลืองกันหมดผมบอก ผมไม่รู้จะไปพูดกับใคร ที่จริงแล้วมันก็ไม่เกี่ยวกับผมเลยครับ ผมไม่มีส่วนได้เสียกับวิกฤติการณ์ที่เกิดขึ้นเลย ท่านไปบ้านผมก็เห็นแล้ว ผมนี่โคตรชนชั้นกลางเลย ชีวิตผมถ้าไม่มายุ่งกับเรื่องนี้ ก็โคตรสบายเลย ทำงานมีเงิน ใช้ชีวิตแบบชนชั้นกลาง สบาย มีตังค์ก็ไปกินเหล้า เที่ยวผับ เที่ยวผู้หญิง เลี้ยงเด็ก ช้อปปิ้ง ส่วนรากหญ้าหรือชาวบ้านจะเป็นยังไงก็ไม่ต้องสนใจ เพราะกูเป็นชนชั้นกลาง เอาไหมล่ะ ท่านอยากให้พลเมืองของประเทศเป็นแบบนั้นหรือเปล่า ไม่ต้องสนใจบ้านเมือง หาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว เอาไหม ผมประชดนายตำรวจที่ทำมึนๆมาตลอดบอกว่า เออ คุณมีความคิดดีนะ
แต่ผมรู้เลยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ แต่มันก็ผิดกฏหมายเขาไม่ได้พูดหรอก แต่ผมรู้ว่าเขาคิดแบบนั้น คือ ผมเข้าใจพวกเขาเลย ไม่ได้ว่าอะไรเลยที่ไปจับผม เพราะที่ฟังเขาพูดมาสองสามเที่ยว ดูเหมือนเขาจะเข้าใจว่าอะไรมันเป็นยังไง แต่สุดท้ายก็เข้าที่เดิม ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย
เพราะผมได้ยินคำพูดนี้มา ไม่ต่ำกว่า
10 รอบ ในวันที่พวกเขามาจับผม เมื่อผมพูดอะไร เขาก็จะอ้างอย่างเดียวว่า แต่ว่ายังไงมันก็ผิดกฏหมาย
หลังจากสอบสวนเสร็จ เขาก็ปล่อยผมกลับบ้าน บอกว่าให้รอหมายเรียก แล้วก็เดี๋ยวจะโทรบอกให้มาเอาคอมฯคืนไปหลังจากได้ทำการ
copy ทุกอย่างจากคอมฯผมและคอมฯน้องสาวไว้หมดแล้ว
หลังจากนั้น อาทิตย์ต่อมาเขาก็เรียกให้ไปเอาคอมฯคืน ต่อมาก็ให้ไปเอาฮาร์ดิสก์คืน รวมทั้งหนังสือท่านปรีดีด้วย
วันที่ผมไปเอาฮาร์ดดิสค์คืน มีเจ้าหน้าที่หนุ่มนายหนึ่งเดินมาส่งผมที่ลิฟท์ ผมบอกว่าดีนะทำงานที่นี้ไม่ต้องใส่ชุดตำรวจ เขาบอกก็ดีครับ แต่งเหมือนพนักงานออฟฟิซ แต่มีปัก
DSI
นี่ทำงานแบบนี้ต้องนั่งเฝ้าหน้าคอมฯทั้งวันเลยซิผมถามเขา ผมรู้เพราะวันที่ผมพยายามเข้าเว็บไม่ได้ ก็มีตำรวจนายอื่นแซวเจ้าหน้าที่หนุ่มคนนี้ว่า ให้ไอ้นี่เข้าดิมันนั่งอ่านทั้งวันแหละ เขาตอบครับก็นั่งอ่านเว็บดูทั้งวันแหละครับ
ก่อนผมจะทันเข้าไปในลิฟท์ เขาก็พูดกับผมว่า ผมอ่านแล้วผมก็ชอบแนวคิดของพี่นะ แต่ว่า….ยังไงมันก็ผิดกฎหมาย
คุณอยู่ในประเทศนี้ คุณพูดความจริงได้ แต่ยังไงมันก็ผิดกฏหมาย ทรงพระเจริญพะย่ะค่ะ
หลังเหตุการณ์ที่ผมโดนจับกุม ผมก็หยุดโพสไปเลย กะว่าจะใช้ชีวิตเงียบๆ แต่เมื่อติดตามข่าวเหล่านี้ บก.ลายจุด ไปผูกผ้าแดงที่ราชประสงค์โดนจับ
นที สิวารี ไปยืนตะโกนที่ราชประสงค์โดนตำรวจนอกเครื่องแบบอุ้มไปขัง
เด็กนักเรียนอายุ
16 ปี  ไปยืนถือป้ายต้าน พรก. ที่เชียงราย ตกเย็นตำรวจไปค้นที่บ้าน โดนตำรวจเรียกไปสอบ
ผมคิดว่ามันจะมากไปแล้ว ผมควรจะกลับยืนยันสิทธิของพลเมือง ว่าการเป็นพลเมืองของประเทศนี้ย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในการแสดงออก
นี่เป็นเพียงเศษเสี้ยวหนึ่งของการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย โดยคนธรรมดาคนหนึ่งด้วยวิธีธรรมดา ซึ่งก็แสดงให้เห็นแล้วว่า แม้แต่วิธีธรรมดาเช่นนี้ในประเทศนี้ ก็ไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การไม่มีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะเป็นปัญหาต่อประเทศที่มีคนมากกว่าหกสิบล้านคนยังไง

บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อน
ผมไม่คิดว่าบ้านเมืองเราจะเข้าสู่ยุคเถื่อนถึงขนาดนี้ ตลอดมาหลังจากผมหลบหลี้หนีภัยออกนอกประเทศ ผมเข้าขอความช่วยเหลือกับองค์กรสิทธิมนุษยชนหลายแห่งในต่างประเทศ รวมทั้งองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่างสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยสหประชาชาติ UNHCR
ผมถูกสัมภาษณ์นับครั้งไม่ถ้วน กับเรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมก็เล่าให้เขาฟังอย่างตรงไปตรงมาไม่มีใส่สีตีไข่ โดยเฉพาะประเด็นที่เขาถามเน้นคือขณะที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเข้าจับกุมผม มีการทรมานผมหรือไม่ รังแกผมหรือไม่ ผมตอบไปตามตรงว่าไม่มีเลย เจ้าหน้าที่ดีเอสไอที่เข้าจับกุมปฏิบัติต่อผมอย่างดี สั่งอาหารมาให้ผมกินระหว่างสอบสวนด้วย พูดกับผมอย่างดี ที่ผมเล่าไปแบบนี้เพราะผมคิดว่าถึงแม้เจ้าหน้าที่จะเข้าจับกุมผมและผมหลบหนีขณะนี้ มันเหมือนเรากำลังเล่นเกมส์แมวจับหนูกัน

เจ้าหน้าที่มีหน้าที่ไล่จับผม ส่วนผมเป็นมนุษย์ผู้รักเสรีภาพ ผมไม่ยอมให้ตัวเองขาดอิสระภาพ ผมก็ต้องหนี และผมคิดว่าเกมส์ที่เรากำลังเผชิญกันอยู่นี้เป็นแฟร์เกมส์หรือเป็นเรื่องปกติ เจ้าหน้าที่จะเล่นเกมส์ตามกฏกติกาที่มีอยู่ที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยเต็มใบ แบบนี้เจ้าหน้าที่ก็ถือแต้มต่อเหนือกว่าผมมากมาย
แต่ผมไม่คิดเลยว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่บ้านเมืองถือกฏหมายฉบับที่เอาเปรียบกฏขี่บังคับประชาชนอยู่ในมือแบบมีอำนาจล้นเหลืออยู่แล้ว พวกท่านยังพยายามใช้อำนาจเถื่อนเล่นเกมส์นอกกฏกติกาที่มีมากอยู่แล้วเข้าไปอีก

วันที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบุกเข้าจับผมเมื่อปีที่แล้ว
(2554) พวกเขาพาผมกลับไปบ้าน พวกเขาเข้าค้นบ้านผมทุกซอกทุกมุม ก็ไม่พบสิ่งของผิดกฏหมายอะไร คงพบแต่โน้ตบุ๊คผมและหนังสือมากมายเต็มบ้าน พวกเขายังหยิบหนังสือการเมืองบางเล่มไปเพื่อจะดูว่าผมอ่านอะไรบ้าง และภายหลังพวกเขาก็คืนมาให้ผมอย่างดี

หลังจากนั้น เมื่อผมหลบหนีออกจากประเทศไม่นาน บ้านหลังนี้ที่ผมตั้งใจซื้อเพื่อให้แม่กับน้องผมได้มาอยู่ด้วยก็มีเหตุจำเป็นให้ต้องประกาศขาย เพราะเมื่อผมไม่อยู่ต้องหลบออกจากประเทศ ผมไม่มีงานทำ เงินที่ผ่อนบ้านแต่ละเดือนแม่กับน้องสาวผมไม่อาจรับภาระไหว ผมจึงต้องตัดใจประกาศขาย และเพื่อให้ผู้ที่ต้องการจะซื้อมั่นใจว่าเมื่อซื้อแล้วท่านสามารถเข้าอยู่ได้ทันที ผมจึงต้องให้แม่กับน้องสาวย้ายออกจากบ้านไปอยู่ที่อื่น บ้านหลังนี้ก็ว่างลงเป็นเวลาปีกว่าแล้ว ไม่มีใครอยู่ที่บ้าน ไม่มีสิ่งของหลงเหลือในบ้าน คงมีแค่จักรยานคันโปรดของผมฝากจอดไว้

แต่แล้วจู่ๆไม่กี่วันมานี้ (ปลายปี
2554) เจ้าหน้าที่บ้านเมืองก็เล่นเกมส์เถื่อนกับผม เขาโทรไปหาน้องสาวผมทำทีเป็นขอซื้อบ้าน ถามว่าทำไมถึงขายบ้าน น้องสาวผมก็บอกไปว่าพี่ชายให้ขายเพราะพี่ชายไปอยู่ต่างประเทศ หลังจากนั้นก็มีคนโทรมาอีกครั้งคราวนี้เปิดเผยตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ บอกว่าจะขอเข้าค้นบ้าน มีกุญแจไหม ซึ่งแน่นอนเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้นัดล่วงหน้า น้องสาวผมก็อยู่ไกลและไม่ได้เตรียมกุญแจมาจึงบอกไปตามนั้น แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจกลับบอกว่าตอนนี้อยู่หน้าบ้านแล้ว จะขอเข้าค้นเลย มีหมายค้นด้วย น้องสาวผมก็เลยงงว่าจะค้นหาอะไรเพราะบ้านไม่มีใครอยู่มาเป็นปีแล้ว และสิ่งที่ตำรวจบอกทำให้ตอนนี้แม่และน้องสาวผมตกใจและหวาดกลัวมาก เพราะตำรวจบอกว่า จะเข้าค้นปืนเถื่อนภายในบ้าน และพวกเขาก็เข้าไปค้นภายในบ้านโดยที่ผมไม่ทราบว่าพวกเขาใช้กุญแจอะไรไขเข้าไป และขณะที่ค้นก็ไม่มีคนที่ผมมอบหมายรับรู้การค้นนั้นด้วย และตอนนี้ผมก็ไม่ทราบว่าเขาบันทึกการตรวจค้นว่าพบอะไรหรือไม่
เหตุการณ์บัดซบที่เกิดขึ้นนี้ส่งผลสองอย่าง
หนึ่ง การที่ตำรวจยกโขยงกันไปค้นบ้านแบบนี้ แน่นอนเพื่อนบ้านย่อมแตกตื่นและเป็นที่โจษจันกัน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้การที่บ้านหลังนี้จะขายได้ย่อมเป็นเรื่องยาก เพราะผมสังเกตุพฤติกรรมคนมาซื้อบ้านก็มักจะไต่ถามความเป็นไปของบ้านจากเพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ชิดกัน ถ้าคนจะมาซื้อทราบว่าบ้านหลังนี้เห็นตำรวจยกโขยงมาค้นปืนเถื่อนแบบนี้ ท่านว่าจะมีใครอยากซื้อหรือไม่
สอง หลังเหตุการณ์เกิดขึ้นทำให้แม่และน้องสาวผมหวาดกลัวและกดดันมาก จริงๆมันมีเรื่องราวเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ที่ผมไม่เคยเล่าคือ เมื่อผมโพสเรื่องราวที่ผมโดนจับครั้งแรกนั้น แม่ผมกับน้องก็โดนเรียกไปสอบ ทำให้ครั้งนี้ พวกเขาถึงขนาดเอ่ยปากฝากมาว่าให้ผมเลิกโพสอะไรเสียทีเถอะ เพราะคนที่อยู่ในประเทศเดือดร้อน นี่มันก็เหมือนเจ้าหน้าที่ทำอะไรผมไม่ได้ก็เที่ยวไปกดดันคนที่ผมรักแทน เพื่อจะให้ผมหยุดต่อสู้
ผมอยากฝากบอกไปถึงเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งหลายไม่ว่าหน่วยไหนก็ตาม ผมเป็นประชาชนธรรมดาครับ ผมไม่เคยมีอาวุธใดๆในบ้าน ไม่ว่าอาวุธถูกกฎหมายหรืออาวุธเถื่อน อย่าใส่ร้ายป้ายสีผม
แต่ถ้าผมจะมีอาวุธอะไรที่จะใช้ต่อสู้เพื่อให้ประเทศที่ผมรักมีความยุติธรรมกลับคืนมา เพื่อให้ประชาชนที่รักเสรีภาพอยู่กันอย่างไม่ต้องหวาดกลัวกฏหมายและอำนาจที่ไม่เป็นธรรม ผมก็จะบอกว่าผมมีแค่กล้องถ่ายรูป มีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค และอาวุธอีกอันที่สำคัญที่ผมมีซึ่งท่านควรจะกลัวมากกว่าอาวุธปืนที่พวกท่านเสแสร้งปั้นแต่งขึ้นเพื่อป้ายสีผม นั่นคือหัวใจของผมครับ
ในชีวิตผม ก็เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาบ่อยครั้ง เรื่องการยัดข้อหาให้กับประชาชนผู้บริสุทธ์ แต่ผมไม่คิดว่าผมจะเจอเข้ากับตัวเอง ผมไม่ทราบว่าที่พวกท่านกระทำลงไปมีเหตุผลอะไร
ผมไม่รู้ว่าพวกท่านพยายามปั้นแต่งเรื่องนี้ขึ้นมาทำไม พวกท่านคงพยายามจะสร้างภาพว่าประชาชนในประเทศนี้ที่ลุกขึ้นเรียกร้องความเป็นธรรมเป็นพวกก่อการร้าย เหมือนๆกับที่ท่านพยายามจะใส่ร้ายป้ายสีประชาชนมาตลอด เพื่อกลบเกลื่อนเรื่องจริงว่าที่ประชาชนลุกขึ้นมาสู้นั้นเพราะอะไร
แต่พวกท่านคงได้แต่มองประชาชนอย่างผิวเผิน คิดเอาเองว่าต้องมีปืนเท่านั้นประชาชนจึงจะกล้าลุกขึ้นสู้ แต่ผมอยากให้พวกท่านลองมองย้อนกลับไปดูเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ ดูเถิดครับ ว่ามีประชาชนมือเปล่าหรืออย่างเก่งก็แต่มีหนังสติกวิ่งเข้าสู้ทหารที่มีอาวุธปืนเต็มอัตราศึกอย่างไร พวกเขาไม่มีอาวุธเทียบเท่าพวกท่าน แต่อย่างหนึ่งที่ประชาชนผู้ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมมีเหนือกว่าพวกท่าน คือหัวใจครับ
และถ้าท่านจะใช้กฏหมายวิธีการพิสดารพันลึกเข้าเหยียบย่ำบีบบังคับหัวใจคนเหล่านี้ ผมขอบอกว่า นอกจากจะไม่ทำให้พวกเขาสยบยอมแล้ว พวกเขาจะลุกขึ้นสู้และตะโกนบอกพวกท่านว่า กูไม่กลัวมึงครับ แม้พวกเขาจะไม่มีอาวุธอยู่ในมือก็ตาม
สุดท้ายนี้ผมรับประกันแบบมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งได้เลยครับว่า แม้ว่าพวกท่านจะพยายามใช้วิธีเถื่อนใส่ร้ายป้ายสีผมอย่างไร ผมก็จะสู้กับพวกท่านอย่างแฟร์เกมส์ครับ ผมจะไม่ใช้วิธีเถื่อนอย่างที่พวกท่านทำกับผมแน่นอนครับ ผมขอเอาเกียรติของประชาชนธรรมดานี่แหละครับยืนยัน
เพราะผมเชื่อว่าเมื่อวันหนึ่งประเทศเขาสู่ความปกติและมีเสรีภาพ เมื่อนั้นประวัติศาสตร์จะบันทึกไว้เองครับว่า ในวันที่บ้านเมืองเข้าสู่ยุคเถื่อน ใครหน่วยงานไหนทำอะไรไว้บ้าง

ปรวยหัวเข็ม
salty head
16 ธันวาคม 2554

ก้านธูป


ก้านธูปเป็นนามแฝงของเด็กหญิงคนหนึ่ง ที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการล่าแม่มดในสังคมไทย จนต้องเผชิญปัญหาอย่างหนัก ก้านธูปเกิดเมื่อ ปี 2535 เธอเป็นนักเรียนหญิงธรรมดาที่ชอบอ่านหนังสือ เธอเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียนรัตนราษฎร์บำรุง อำเภอบ้านโป่ง ราชบุรี ในชั้นมัธยมปลายได้ย้ายตามบิดามาเรียนต่อที่โรงเรียนธารปราสาทเพชรวิทยา นครราชสีมา ระหว่างเรียนอยู่ชั้น ม.5 เธอได้รับรางวัลชนะเลิศเรียงความส่งเสริมประชาธิปไตย หัวข้อ ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ซึ่งเป็นความภูมิใจอย่างยิ่ง



ในเรื่องทัศนะทางการเมืองสมัยมัธยม เธอก็เหมือนคนไทยบางคนในขณะนั้น ที่ไม่ได้นิยมชมชื่นในรัฐบาลทักษิณมากนัก และมีแนวโน้มสนับสนุนฝ่ายพันธมิตรในการต่อต้านรัฐบาลทักษิณ จนกระทั่งเมื่อหลังจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 บ้านเมืองไทยถอยหลังไปสู่เผด็จการ ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกษัตริย์ ก้านธูปเห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เธอจึงเริ่มสนใจการเมืองมากขึ้น และเข้าร่วมในการเคลื่อนไหวไม่รับรัดทำมะนวย2550 เป็นเรื่องแรก ด้วยอายุเพียง 15 ปี จากนั้น ตั้งแต่ 2552 เธอจึงสนับสนุนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง เริ่มโพสแสดงความเห็นในโลกอินเตอร์เนต แน่นอนว่าความเห็นของเธอย่อมแตกต่างจากฝ่ายกระแสหลัก ซึ่งคับแคบ เพราะบีบบังคับให้คนคิดและเชื่อสิ่งเดียวกัน ผู้ที่คิดต่างก็มักจะต้องถูกเล่นงาน และทำร้ายในลักษณะเดียวกับการล่าแม่มดในยุโรปสมัยกลาง


เธอจึงตกเป็นเหยื่อของขบวนการล่าแม่มด เมื่อสื่อในเครือผู้จัดการได้โจมตีก้านธูปอย่างหนักว่า เป็นพวกไม่รักในหลวง โดยโยงว่าเธอเคยขึ้นเวทีเสื้อแดงในนามตัวแทนเยาวชน ทั้งๆที่มีเยาวชนหลายคนขึ้นเวทีฝ่ายพันธมิตรเช่นเดียวกัน ในการโจมตีก้านธูป มีการใช้เรื่องโกหกว่า เธอถูกไล่ออกจากโรงเรียนที่บ้านโป่งเพราะหมิ่นในหลวง และเมื่ออยู่โรงเรียนใหม่ ก็ถูกตักเตือนเสมอเรื่องไม่รักในหลวง การใส่ร้ายเช่นนี้ของสื่อในเครือผู้จัดการ ได้รับการขานรับจากเว็บไซด์ และสื่อฝ่ายคลั่งเจ้าทั้งหมด

ผลจากความคับแคบทางความคิดในสังคมไทยเริ่มส่งผลร้ายต่อก้านธูป เมื่อเธอสอบเข้ามหา วิทยาลัย ปี 2553 เธอสอบผ่านข้อเขียนจะเข้าศึกษาต่อโครงการเอเชียศึกษา ของคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่คณะอักษรศาสตร์ไม่รับเข้าศึกษา โดยคณบดีอักษรศาสตร์ชี้แจงว่า ก้านธูป


สามารถทำข้อสอบได้ สอบสัมภาษณ์ผ่าน แต่มีผู้ส่งข้อมูล และประวัติ เพื่อคัดค้านการรับเธอเข้าศึกษาต่อเป็นจำนวนมาก และพบว่าก้านธูปขาดคุณสมบัติในข้อที่ว่า นักศึกษาต้องมีความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว อันถือเป็นกฎหลักของมหาวิทยาลัย อีกทั้งยังพบว่า เป็นผู้ที่บุคลิกภาพมีปัญหา หากเข้ามาเรียน อาจเข้ากับเพื่อนไม่ได้ จึงจำเป็นต้องตัดสิทธิ์ ไม่ให้เข้าเรียน

ในปี 2553 เช่นกัน เธอยังได้สิทธิ์สัมภาษณ์ที่คณะสังคมศาสตร์ มหา วิทยา ลัยเกษตร ศาสตร์ แต่พวกล่าแม่มดในมหา วิทยาลัย เกษตร ศาสตร์เปิดเฟสบุ๊คชื่อ มั่นใจชุมชนชาวเกษตร ฯ ไม่ยินดีต้อนรับคนหมิ่นพ่อชื่อณัฐกานต์มาร่วมเรียนด้วย และมีการเคลื่อนไหวต่อต้านก้านธูปอย่างหนัก โดยประกาศกันว่าจะมีการนัดชุมนุมประท้วงในวันที่ก้านธูปสอบสัมภาษณ์ มีการปล่อยข่าวเท็จอีกว่า ถ้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ไม่รับก้านธูป คนเสื้อแดงจะบุกมาเผามหาวิทยาลัย ทำให้เกิดการตื่นกลัวกันทั่วไป ในที่สุด ก้านธูปต้องตัดสินใจสละสิทธิ์ ไม่สอบสัมภาษณ์ และมีข่าวว่า เธอจะไปศึกษาต่างประเทศแทน ซึ่งก็ถูกตามใส่ร้ายป้ายสีอีกว่าทักษิณ เป็นคนจ่ายเงินให้ก้านธูปไปเรียนต่างประเทศ

ต่อมาเธอได้เปลี่ยนชื่อและนามสกุล มาสอบติดที่ มศว. ประสาน มิตร แต่เมื่อเข้าไปสัมภาษณ์แล้ว อาจารย์ไม่พอใจที่เธอสอบติด พอเดินเข้าไปก็แนะนำตัวยังไม่ทันจบ อาจารย์ก็บอกว่าพอจะรู้ว่าเธอทำอะไรไว้บ้าง แล้วให้เธอกลับไปรอผลสัมภาษณ์ ปรากฏว่าสอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน แต่เมื่อปลายปี 2554 เธอได้เข้าเป็นนักศึกษาในคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่มีข่าวลือว่าตอนรับเพื่อนใหม่ เธอไม่ยืนเคารพเพลงสรรเสริญพระบารมี ซึ่งเป็นเรื่องโกหก เพราะเป็นการยืนกันกลางสนามบอล ตอนมาอยู่ธรรมศาสตร์ ก็มีถูกต่อต้านบ้าง โดยการเสียดสีประชดประชัน เอาไปพูดกลางชั้น แล้วที่หนักสุดคือปารองเท้าใส่ เหตุการณ์เกิดในในช่วงแรกๆที่เข้ามาในธรรมศาสตร์ ตอนนั้นเป็นช่วงกลางคืนแล้วมีกลุ่มนักศึกษากลับมาจากออกค่ายโดยมีอาการเมามาเป็นกลุ่ม เมื่อลงจากรถบริเวณที่ก้านธูปนั่งทำงานอยู่กับเพื่อนๆ เขายืนคุยกันอยู่ แล้วรองเท้าก็ลอยมาโดนก้านธูป แล้วเขาก็วิ่งเข้ามาเก็บแล้วบอกว่ารองเท้าหลุด คือตั้งแต่เขาลงมาจากรถก็มีเสียงซุบซิบนินทาแต่แรก และฮือฮาเมื่อเห็นว่าใครเป็นคนนั่งอยู่ตรงนี้ ทุกคนรู้จักและรู้ว่าเคยมีคดี เพื่อนที่คณะทุกคนก็รู้ มีคำพูดประชดเหน็บแนมเช่นว่า ใครไม่รักในหลวงก็ออกไปจากประเทศนี้ซะ แนวๆ เดียวกับท่าน ผบ.ทบ.ที่ไล่คนออกนอกประเทศ

26 ธันวาคม 2554 เครือข่ายผู้จัดการ ได้นำเอาเรื่องของก้านธูปมาเปิดเผย เพื่อตามไล่ล่าเธออีกครั้ง ในบทความชื่อ " ธรรมศาสตร์ในวันที่อ้าแขนรับก้านธูป " โดยเปิดเผยข้อมูลว่า ก้านธูปได้เปลี่ยนชื่อ และได้เข้าศึกษาที่คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และเปิดเผยชื่อใหม่กับเลขประจำตัวนักศึกษาของเธอ ทั้งได้อธิบายย้อนหลังไปถึงความเป็นมาของก้านธูปอย่างมีอคติ ใช้คำว่า ย้อนรอยแดงปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม และยังกล่าวร้ายว่า ก้านธูปยังมีพฤติกรรมที่ไม่เคารพพระเจ้าอยู่หัวอย่างสม่ำเสมอ
โอเคเนชั่น ยังสร้างข่าวเท็จว่า ญาติผู้พี่ของก้านธูปที่เรียนคณะวิศวะเกษตร รับงานเป็นหญิงบริการ โจมตีว่า พ่อแม่ของก้านธูปเป็นคนเสื้อแดง ที่ล้างสมองให้ก้านธูปไม่รักในหลวง ทั้งๆที่พ่อแม่ของเธอไม่เคยเป็นคนเสื้อแดง และยังโจมตีก้านธูปว่า เป็นต้นไม้พิษ แล้วตั้งคำถามต่อธรรมศาสตร์ ถึงความชอบธรรมที่รับก้านธูปเข้าศึกษา

5 มกราคม 2555 ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักพูดชื่อดังและอาจารย์คณะวารสารศาสตร์ ได้ให้ความเห็นว่า การเล่นงานก้านธูปไม่ใช่การล่าแม่มด เพราะไม่ใช่แม่มด แต่คือ อาชญากร เพราะมีหลักฐานของการทำผิดชัดเจนอยู่แล้ว จะเป็นกรณีเดียวกับแม่มดไม่ได้



อธิการบดีมหา วิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ก็ยอมรับว่าทราบเรื่องของนักศึกษารายนี้มาก่อนแล้ว เพราะมีคนส่งอีเมลมาให้ แต่ก็ไม่มีใครส่งข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ทางมหา วิทยาลัยได้ประชุมกัน 2 ครั้ง เพื่อพิจารณาว่าควรจะรับก้านธูปเข้ามาเรียนหรือไม่ สรุปคือเรารับเด็กคนนี้เข้าเรียน เพราะเด็กสอบได้ จะไม่ให้เด็กเข้ามาเรียนได้อย่างไร เราไม่ได้มองประเด็นของพฤติกรรมที่เกิดขึ้นก่อนที่จะเข้ามาเรียนที่นี่ แต่ถ้าเข้ามาเรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้วยังมีพฤติกรรมดังกล่าว ธรรมศาสตร์ก็ต้องตรวจสอบว่าเราจะทำโทษทางวินัยได้ไหม เราจะลงโทษพฤติกรรมก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนในธรรมศาสตร์ได้อย่างไร เราไม่ควรรังแกเด็ก เราไม่ทราบข้อกล่าวหาว่าเป็นจริงหรือไม่ ไม่มีใครบอกข้อเท็จจริงได้  ถ้าเขาหมิ่นในหลวงจริง เขาต้องถูกฟ้องคดีอาญา คนที่รู้เห็นก็ไปแจ้งความเองได้เลย ทำไมต้องให้ธรรมศาสตร์ไล่เด็กคนนี้ให้พ้นจากการเป็นเด็กธรรมศาสตร์ ที่สำคัญธรรมศาสตร์ได้ประชุมกันทั้งมหาวิทยาลัยสองครั้ง  อาจารย์ธรรมศาสตร์เห็นตรงกันทุกคน ว่าต้องรับเด็กคนนี้เข้ามาเรียน แต่ถ้าเด็กมีปัญหา ก็ว่ากันไปตามกฏกติกาการลงโทษของธรรมศาสตร์

ปลายปี
2554 ก้านธูป นักศึกษาปี 1 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้รับหมายเรียกจาก สน.บางเขน ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาตรา 112 จากกรณีโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัวเมื่อกลางปี 2553 โดยนัดหมายรายงานตัวในวันที่ 11 ม.ค.2555 ทั้งๆที่เรื่องมันผ่านไปปีกว่า และเธอก็โดนเล่นงาน จนเสียเวลาเรียนไป 1 ปี เต็มๆ แล้ว แต่พวกคลั่งเจ้าโกรธมากเมื่อรู้ว่าก้านธูปได้เป็นนักศึกษาธรรมศาสตร์ จึงตามจองล้างจองผลาญเธอให้ถึงที่สุด ก่อนหน้านี้พนักงานสอบสวน สน.บางเขน มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องก้านธูป เนื่องจากพบว่ากระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ก็ไม่ได้ยืนยันว่าผู้ถูกกล่าวหาเป็นผู้โพสต์ข้อความ สอบพยานหลักฐานแล้วพิสูจน์ไม่ได้ว่าใครเป็นคนโพสต์ข้อความดังกล่าว และช่วงเวลาที่มีการกระทำความผิด ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเยาวชนไม่น่าจะมีความคิดเห็นที่รุนแรงทางการเมือง พนักงานสอบสวนจึงสันนิษฐานว่ามีผู้อื่นไปโพสต์ข้อความแทนโดยใช้ชื่อก้านธูป
สำนวนคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวนได้มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องมา 2 เดือนกว่าแล้ว และทำเรื่องเสนอความเห็นเสนอไม่ฟ้องไปยังกองบังคับการตำรวจนครบาล 2 (บก.น.2) แต่มีรองผบก.น.2 ได้มีความเห็น ให้สอบก้านธูปเพิ่มเติม พนักงานสอบสวนจึงจำเป็นจะต้องออกหมายเรียกก้านธูป มาสอบเพิ่มเติมในวันที่ 11 ม.ค.55 แต่ขึ้นอยู่กับก้านธูป จะแจ้งขอเลื่อน หากมีเหตุจำเป็น ก็เลื่อนไปก่อนก็ได้ ซึ่งก็มีการเลื่อนไปเป็นวันที่ 11 ก.พ.2555

 


ก้านธูปเชื่อว่าทุกคนมีความแตกต่าง เธอมองว่าการที่ทุกคนแตกต่างเป็นสิ่งสวยงามของโลกใบนี้ และเธอไม่เคยหันกลับไปทำร้ายคนอื่น หรือไปคว่ำบาตรตอบโต้ กระทั่งไม่ได้โกรธเพื่อนๆ ที่ทำอย่างนั้นกับเธอ เพราะเธอเข้าใจว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาได้รับข้อมูลมาอีกอย่างหนึ่ง ส่วนครอบครัวก็ให้กำลังใจกันดี
ทุกวันนี้ เธอยังทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยเหมือนที่นักศึกษาทั่วไปทำตามปกติ เป็นกลุ่มอิสระที่ทำงานร่วมกับทุกกลุ่มได้ และทำงานร่วมกับกลุ่มนอกมหาวิทยาลัยได้ด้วยซ้ำ บางกิจกรรมก็ไม่เกี่ยวกับการเมืองเลย เกี่ยวกับต่อต้านการรับน้องการโซตัส การใช้ความรุนแรงต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อนร่วมมหาวิทยาลัย ตอนน้ำท่วมก็พยายามจะไปช่วยให้ได้มากที่สุด แต่มีข้อจำกัดหลายอย่าง เพราะที่บ้านก็เป็นห่วง เธอเคยไปช่วยที่ศูนย์พักพิงที่ธรรมศาสตร์ แต่นั่งทำงานอยู่ดีๆ ก็มีคนเอากล้องมาถ่ายรูป เธอก็เลยไปทำที่อื่น เช่นที่ดอนเมืองแทน ครอบครัวก็เตือนและไม่อยากให้ทำกิจกรรมมาก แต่เธอก็อยากจะทำทุกอย่างให้เป็นปกติ ไม่อยากให้มันมีอิทธิพลกับชีวิตมากนัก เพราะไม่ว่ายังไง ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ส่วนคดีก็ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการ ที่บ้านก็ไม่ได้เป็นเสื้อแดง เขาก็ห้าม ก็เตือน พยายามจะดึงกลับไป เธอก็เข้าใจดีว่าที่บ้านเป็นห่วง ถึงพยายามจะห้าม แต่เธอก็ทนไม่ได้กับความไม่เป็นธรรมในสังคมนี้ คือไม่ว่าจะเป็นใครก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน



จุดเปลี่ยนที่ทำให้คิดแบบนี้จากการติดตามการเมือง ทำให้รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมในสังคมที่เป็นมาตลอด ทั้งเรื่อง 2 มาตรฐาน หรือการใช้กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม มันทำให้เราไม่สามารถหยุดเพื่อเอาตัวรอดได้ ตอนที่ถูกกล่าวหาเธออายุเพียง 17 ปี แต่เธอเชื่อว่าการที่คนจะคิดได้มันไม่เกี่ยวกับเรื่องอายุ ไม่ว่าอายุเท่าไหร่ ถ้าคนมันจะคิดได้มันก็คิดได้ ทุกวันนี้เธอก็ยังใช้ชีวิตตามปกติ ก็ไปกินข้าว ไปดูหนัง ไปเที่ยวเล่นและทำกิจกรรมตามปกติ และก็ไม่มีปัญหาถ้าจะคบกับคนที่มีความคิดแตกต่าง เพราะคณะสังคมสงเคราะห์ที่เธอเรียนก็สอนให้เธอเรียนรู้ แล้วก็อยู่ร่วมกับความแตกต่างในสังคมอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น เธอก็เลยไม่มีปัญหา ถ้าจะอยู่กับคนที่แตกต่างกับเธอ ขึ้นอยู่กับว่า คนคนนั้นเขาจะมีปัญหาหรือเปล่า ถ้าจะมาอยู่กับความแตกต่าง สิ่งที่แตกต่างอย่างเธอ เธอมองว่ามันก็เป็นแค่การเรียนรู้ ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต เดี๋ยวมันก็ผ่านไป แล้วมันก็จะกลายมาเป็นบทเรียน ที่ยังไงเราก็ต้องเรียนรู้ต่อไป ชีวิตต้องดำเนินชีวิตต่อไปให้ได้
เธอก็มาทำกิจกรรม โดยไม่ให้มีผลกระทบ และก็พยายามไม่ออกหน้ามาก พยายามจะไม่ให้มีชื่อเข้าไปในกิจกรรม แต่ก็ยังทำอยู่ตามปกติ เธอเชื่อว่าสังคมไทยก็กำลังเปลี่ยนแปลง อยากให้เปิดกว้างกว่านี้ ยอมรับกันมากขึ้น เรียนรู้กันมากขึ้น ข้อกล่าวหาหมิ่นตามมาตรา 112 ใช้กันได้ง่ายมาก เดี๋ยวก็มีคนอื่นโดน แล้วมันก็กำลังมีอยู่เรื่อยๆ อาจารย์ที่ปรึกษาที่คณะ ก็โทรมาสอบถามด้วยความเป็นห่วง อาจารย์บอกว่า ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการของมัน เรื่องความปลอดภัยอาจารย์ก็ช่วยดูแลให้
นอกจากการคุกคามในโลกอินเตอร์เนตแล้ว ในชีวิตจริง มีการคุกคามบ้าง อย่างปี
2554  มีคนตามไปบ้านที่จังหวัดเดิม ไปสอบถามแถวบ้านว่ารู้จักหรือเปล่า โดยอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่บ้าง เป็นคนทั่วไปบ้าง
ฝ่ายที่ให้กำลังใจ เขาบอกว่าเป็นกำลังใจให้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เธอยืนอยู่ได้ คือกำลังใจจากเพื่อนๆ กำลังใจจากอาจารย์ที่รัก เธอรู้สึกว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นมหาวิทยาลัยที่เปิดกว้างที่สุด ในบรรดามหาวิทยาลัยที่เธอเคยสอบได้มา เธอรู้สึกประทับใจตรงนี้มาก
................................


ไม่มีความคิดเห็น: