วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553
ตำนานรวมชุด 1004 : ตาดูดาว เท้าสะดุดวัง ตอนที่ 4 LS 04
ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ : http://www.4shared.com/mp3/izJO8SFN/Look_For_a_Star_04.html
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?16vxyw7hnfp71d3
...........
20.00 น.ตามเวลากรุงเทพฯ ของคืนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นคืนที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม มีเมฆซ้อนเป็นชั้น ราวกับฝนจะตก ตำรวจหน่วยพิเศษ 191ในกรุงเทพฯ ทุกคนถืออาวุธครบมืออยู่ในสภาพเตรียมพร้อมปฏิบัติการป้องกันเหตุการณ์รุนแรงที่อาจเกิดขึ้น วิธีที่ดีที่สุดในการยึดอำนาจคือ เลือกช่วงเวลาที่ท่านนายกไม่อยู่ในประเทศ เมื่อตัวท่านไม่อยู่ หน้าไม่ปรากฏ แม้แต่เสียงก็ไม่ได้ยิน ประชาชนก็จะไม่มีความหวังต่อตัวเขาว่าเขาจะทำอย่างไร ความหวังของประชาชนที่มีต่อท่านนายกก็จะลดน้อยลงโดยปริยาย
แต่พวกคณะรัฐประหารก็ยังไม่แน่ใจว่าจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้ กำลังของฝ่ายยึดอำนาจจากหน่วยสงครามพิเศษจังหวัดลพบุรีได้เดินทางมากว่าค่อนทาง อีกไม่กี่สิบนาทีพวกเขาก็จะมาถึงกรุงเทพฯ สื่อมวลชนบางส่วนได้รับทราบความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติที่กำลังเกิดขึ้นนี้ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศรายหนึ่งได้รับโทรศัพท์จากฝ่ายทหาร ว่าคืนนี้อย่าเพิ่งนอนจะมีสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ในอีกฝากหนึ่งของโลกตรงกับ 19 กันยายน เวลา 8.00 น.ตามเวลากรุงนิวยอร์ก คณะผู้แทนไทยที่เข้าร่วมการประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติ ยังคงอยู่ในห้องเพรซิเดนเชียลสวีทของโรงแรมแกรนด์ไฮแอท และกำลังถกเถียงกันอย่างดุเดือดเรื่องสถานการณ์การรัฐประหารในกรุงเทพ ว่าคณะรัฐประหารจะยึดอำนาจได้หรือไม่ ท่านนายกทักษิณได้เดินออกจากกลุ่มคนเหล่านั้นเพราะทนรออีกต่อไปไม่ได้แล้ว ตั้งแต่รู้ข่าวจนเวลาผ่านไปกว่า 3 ชั่วโมงแล้ว ยังไม่สามารถประเมินสถานการณ์ที่แท้จริงได้ ในช่วงสองสามชั่วโมงนี้คุณทักษิณได้โทรศัพท์ตลอดเวลา เขาทำได้แต่เพียงติดต่อกับภายในประเทศเพื่อสั่งเคลื่อนกำลังพลผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น โดยไม่รู้สภาพการณ์ที่เป็นจริง และเป็นไปได้ว่าทุกอย่างคงจะสายเกินไปเสียแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาต้องรีบแก้ไขสถานการณ์โดยด่วน นายกทักษิณรีบร่างประกาศภาวะฉุกเฉินลงบนกระดาษแผ่นหนึ่ง ร่างการโยกย้ายตำแหน่งนายทหารระดับสูงด้วยตนเองเพื่อระงับการก่อกบฏยึดอำนาจรัฐบาล
เขาได้ประกาศแต่งตั้ง พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีและ พล.อ.เรืองโรจน์ มหาศรานนท์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดเข้าคุมอำนาจรับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน พอร่างเสร็จก็โทรศัพท์ไปประเทศไทย แต่โทรศัพท์สายไม่ว่างพร้อมๆกัน
นายกทักษิณประหลาดใจมากโทรแล้วโทรอีก ก็ยังคงสายไม่ว่าง โทรศัพท์ไปให้หาคนหลายคนหลายๆ ครั้งก็ไม่มีสายใดว่างเลย เขารีบเปิดคอมพิวเตอร์ปรากฏว่าอินเตอร์เนตก็ถูกตัด ในขณะนั้นระบบการสื่อสารระหว่างสหรัฐฯและไทยถูกตัดขาดทั้งหมด ท่านนายกจึงเริ่มรู้แล้วว่า ตนเองกำลังตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้และถูกตัดขาดจากการสื่อสารทุกชนิดกลับมายังประเทศไทย เขากำลังถูกโดดเดี่ยวไม่สามารถติดต่อหรือสั่งการใดๆได้เลย เป็นการพ่ายแพ้หมดรูป ที่ไม่มีทางสู้โดยสิ้นเชิง พวกยึดอำนาจได้บุกเข้ากระทำการอย่างรวดเร็วโดยที่เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะป้องกันหรือตอบโต้ได้แม้แต่น้อย มันเป็นความหดหู่อ่อนล้าและท้อแท้ที่มองไม่เห็นทางออก นอกจากต้องยอมรอดูเหตุการณ์ต่อไป
ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2536 ดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทย ไทยคม 1A ถูกยิงขึ้นสู่วงโคจรที่เฟรนช์เกียนา (French Guiana ) ทวีปอเมริกาใต้ สมเด็จพระเทพฯได้เสด็จฯ ไปทอดพระเนตรการยิงดาวเทียมขึ้นสู่วงโคจรดังกล่าว คนที่ส่งดาวเทียมดวงนี้ขึ้นสู่ท้องฟ้าก็คือ พตท.ทักษิณ ชินวัตร ประธานบริษัท ชินแซทเทลไลท์ มหาชนจำกัด
หลังจากที่คุณทักษิณได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจการโทรคมนาคม เช่น คอมพิวเตอร์ วิทยุติดตามตัวหรือเพจเจอร์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ เคเบิ้ลทีวี และร่ำรวยมหาศาลจากกิจการดังกล่าวคุณทักษิณก็เริ่มสนใจกิจการดาวเทียม ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของธุรกิจการโทรคมนาคม ในปี 2534 คุณทักษิณได้ก่อตั้งบริษัทชินแซทเทลไลท์ ( Shin Sattlelite )จำกัด โดยได้รับสัมปทานธุรกิจดาวเทียมเป็นระยะเวลา30 ปี จากนั้นเขาได้ลงนามทำสัญญามูลค่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ(ราว 2,500ล้านบาท) กับบริษัท Huges Space Aircraft ของสหรัฐฯ เพื่อสร้างดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของไทย ก่อนหน้านี้ประเทศไทยต้องเช่าดาวเทียมอินเทลแซท (Intelsat ) ของอินโดนีเซีย
โดยที่พระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระราชทานชื่อดาวเทียมดวงนี้ว่าไทยคม ( Thaicom ) หมายถึงความเชื่อมโยงของไทยกับเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ คุณทักษิณจึงเป็นคนไทยคนแรกที่เป็นเจ้าของดาวเทียมของคนไทย ชื่อไทยคม 1 และได้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ธุรกิจของเครือชินวัตรขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เพียงหนึ่งปีต่อมาดาวเทียมไทยคม 2 ที่คุณทักษิณลงทุนไป 100 ล้านเหรียญสหรัฐเท่ากัน ก็เข้าสู่วงโคจรทำการถ่ายทอดสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้โดยมีอายุการใช้งานของดาวเทียมดวงนี้ 13.5 ปี
และในเดือนเมษายน 2540 ดาวเทียม ไทยคม 3 รุ่นที่สองที่หนัก 2.65 ตัน ก็ถูกส่งขึ้นวงโคจรโดยจรวดอาเรียน่า ดาวเทียมดวงนี้คุณทักษิณลงทุนไปกว่า 181 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 5,000 ล้านบาท)เป็นดาวเทียมที่ขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดในตอนนั้น ทำให้ระบบดาวเทียมของไทยกลายเป็นระบบดาวเทียมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย สามารถถ่ายทอดสัญญาณครอบคลุมพื้นที่ทวีปเอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย และ อัฟริกา รวม 120 ประเทศ ครอบคลุมประชากร 3,000 ล้านคน สถานีโทรทัศน์ ช่อง 3 5 7 9 หน่วยงานราชการ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด และกองทัพ ก็ล้วนเป็นลูกค้าของ ไทยคม 3 นอกจากนี้ บริษัทชินวัตรยังเป็นบริษัทแรกในโลกที่ใช้ระบบถ่ายทอด DTH ดิจิตอล ตามมาตรฐานสากลMPEG-2DVB
ตั้งแต่ปี 2538 บริษัทเคเบิ้ลทีวี IBC ในเครือชินวัตรได้รับสิทธิถ่ายทอดข่าวจากCNN ตอนนั้นเป็นช่วงเกิดสงครามอ่าวเปอร์เซีย Persian Gulf War คนไทยจึงได้รับรู้สถานการณ์สงครามอ่าวเปอร์เซียผ่านทาง CNN ที่ถ่ายทอดผ่านเคเบิ้ลทีวี IBC ในเครือชินวัตร หนึ่งปีต่อมา บริษัท IBC ได้เพิ่มช่องภาษาไทย และในปี 2540 บริษัทชินแซทเทลไลท์กับกสท. ได้ร่วมกันจัดตั้งบริษัท ซีเอส ล็อกซอินโฟ รับส่งสัญญาณดาวเทียมและอินเตอร์เนตระหว่างประเทศ
ปี 2542 เครือชินวัตรได้จัดตั้งบริษัท Adventure จำกัดมูลค่า 200 ล้านบาท ดำเนินกิจการด้านE-commerceและอินเตอร์เนต เปิดเวบไซท์ของตนเอง ถือหุ้น สถานีโทรทัศน์ ITV เป็นจำนวนร้อยละ 39แต่ว่าในตอนนี้นายกรัฐมนตรีทักษิณที่มีพื้นเพจากนักธุรกิจโทรคมนาคม เจ้าของดาวเทียมดวงแรกของไทย เจ้าพ่อวงการโทรคมนาคมของประเทศผู้นี้ กลับไม่สามารถโทรศัพท์ติดต่อใครได้เลยในวันที่เกิดรัฐประหาร เพราะต่อโทรศัพท์ไม่ติดจึงต้องถูกขังอยู่ในโรงแรมที่นิวยอร์กอย่างไม่มีทางสู้
หลังจากเริ่มเคลื่อนกำลังเข้ายึดอำนาจ พล อ.สนธิ บุญยรัตกลินได้สั่งกำลังทหาร ปิดล้อมสถานีรับส่งสัญญาณดาวเทียมไทยคมโดยเริ่มด้วยการตัดสัญญานการติดต่อทั้งหมดระหว่างสหรัฐฯ และไทย ทำให้นายกทักษิณไม่มีทางติดต่อกับคนในประเทศไทยได้เลย นับเป็นจุดอ่อนและเป็นความผิดพลาดที่คุณทักษิณไม่สามารถควบคุมการสื่อสารเอาไว้ได้ ซึ่งทำให้เขาไม่มีทางสู้ได้เลย ทั้งที่เขาต้องการจะประกาศภาวะฉุกเฉินแต่ก็ทำไม่ได้เพราะการสื่อสารจากสหรัฐฯไปไทยถูกตัดขาดหมด ไม่เพียงแต่สายโทรศัพท์ แม้แต่อินเตอร์เนตก็ถูกตัด คุณทักษิณได้ลองอยู่หลายครั้งก็ไม่สำเร็จ
ก่อนการรัฐประหารสองชั่วโมง ทหารก็คุมสื่อได้แล้ว ใครที่คุมกองทัพได้ก็คุมสื่อได้ กองทัพต้องประกาศการรัฐประหารผ่านสื่อ การควบคุมสื่อจึงเป็นวิธีเดียวของพวกคณะรัฐประหาร พวกเขาคุมโทรทัศน์กับวิทยุได้แล้ว คุณทักษิณเสียใจและผิดหวังมากที่ไม่สามารถควบคุมสื่อได้ทันเวลา แม้ว่าก่อนจะออกไปประชุมต่างประเทศ ท่านได้กำชับผู้ใต้บังคับบัญชาให้ระวังการเคลื่อนไหวของฝ่ายทหาร แต่ท่านละเลยเรื่องการควบคุมสื่อ
ในช่วงที่คุณทักษิณได้ทุนรัฐบาลไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาเป็นเวลา 5 ปี มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนที่ท่านได้ไปเที่ยวกรุงวอชิงตัน ได้สังเกตเห็นรูปปั้นที่ที่รูสเวลท์พลาซ่า เป็นรูปปั้นประชาชนธรรมดาสวมชุดลำลองนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของห้องเอียงศีรษะกำลังตั้งใจฟังรายการ คุยกันข้างเตาผิง ( Fireside Chats ) เป็นรายการสนทนากับประชาชนช่วงกลางคืนรวม 30 ตอนสมัยประธานาธิบดี Franklin D. Roosevelt ช่วง1933 -1944 (2476-2487)
ประธานาธิบดีรูสเวลท์ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองซึ่งดำรงตำแหน่ง 12 ปี 4 วาระ และเสียชีวิตขณะดำรงตำแหน่ง ในยามค่ำคืนท่านประธานาธิบดีจะนั่งข้างเตาผิง แล้วเล่าเรื่องราว ความทุกข์ยากลำบาก ความเรียกร้องต้องการ และความหวังรวมถึงอนาคตของประเทศชาติ ให้ประชาชนของท่านได้ฟังผ่านคลื่นวิทยุ โดยจัดเฉลี่ยปี ละ 2 ครั้ง เมื่อประเทศประสบเหตุการณ์สำคัญ ท่านประธานาธิบดีก็จะใช้วิธีนี้ ติดต่อสื่อสารกับประชาชนอเมริกันโดยตรง
นายกทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทย ที่ใช้หน่วยงานด้านกระจายเสียงแลกเปลี่ยนความเห็นกับประชาชน แต่นายกทักษิณท่านชอบทำอะไรให้ถึงที่สุด ท่านจึงจัดรายการพูดคุยกับประชาชนทุกสัปดาห์ ครั้งละ 60 นาทีใช้ชื่อรายการว่า นายกทักษิณคุยกับประชาชน (Prime Minister Thaksin Talks to the People) ทุกวันเสาร์เวลา 8.00-9.00 น.
กว่าครึ่งหนึ่งของสถานีวิทยุในประเทศไทยจะถ่ายทอดรายการ นายกฯทักษิณคุยกับประชาชน เพื่อฟังการสนทนาการเมืองที่นำเสนอโดยนายกรัฐมนตรี ที่จะนำเหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในรอบหนึ่งสัปดาห์มาสรุป พร้อมทั้งรายงานการปฏิบัติงานของรัฐบาล รวมถึงแนวทางนโยบายที่รัฐบาลกำลังดำเนินการหรือวางแผนที่จะดำเนินการมารายงานต่อประชาชน บางครั้งท่านจะนำปัญหาที่ประชาชนให้ความสนใจมาตอบให้หายสงสัย เช่น การพักหนี้เกษตรกร โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงหนึ่งอำเภอหนึ่งทุน ก๊าซเอนจีวีราคาถูกสำหรับรถแท็กซี่
นายกทักษิณยังตั้งตู้รับจดหมายถึงนายกฯที่หน้าทำเนียบรัฐบาลเพื่อรับเรื่องร้องเรียนและคำแนะนำจากประชาชน จึงนับเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใกล้ชิดประชาชนมากที่สุดที่ไม่เคยมีมาก่อนนายกทักษิณใช้คำพูดพื้นๆ ที่เกษตรกรฟังแล้วเข้าใจ พูดถึงนโยบายที่ปฏิบัติและจับต้องได้จริง จึงทำให้ได้รับความนิยมจากประชาชนภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือมาก
แต่มีการวางเครือข่ายเพื่อปลุกปั่นยุยงคนชั้นกลาง พวกนักเคลื่อนไหวและปัญญาชนนักวิชาการ ว่านายกทักษิณเอาใจคนจนมากไป และไม่สนใจดูแลเอาใจใส่ชนชั้นกลางในเมืองซึ่งเป็นผู้เป็นผู้เสียภาษีมากกว่าคนจนในชนบทอย่างที่คนพูดว่าคนชนบทเป็นคนเลือกรัฐบาลแต่คนกรุงเทพเป็นคนล้มรัฐบาล วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2549 สองสัปดาห์หลังจากการขายหุ้นชินคอร์ป ก็ได้มีการเดินขบวนขับไล่นายกทักษิณที่ขยายตัวรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีเสียงเรียกร้องให้นายกฯลาออกมากขึ้นทุกวัน
นายกทักษิณได้พูดในรายการวิทยุช่วงเช้าวันเดียวกันนั้นว่าท่านจะไม่ลาออกอย่างเด็ดขาด คนที่จะให้ท่านลาออกมีเพียงในหลวงผู้เดียวเท่านั้น หากท่านเพียงแต่กระซิบบอกว่าทักษิณลาออกเถอะ ท่านก็จะไป คุณทักษิณยังได้อธิบายถึงที่มาที่ไปของการขายหุ้นชินคอร์ป และยืนยันว่า ท่านไม่ได้ทำอะไรผิดและเชื่อว่าคนไทยส่วนใหญ่ ยังอยากให้ท่านทำงานต่อไป โดยที่คุณทักษิณก็ไม่รู้ตัวว่าในหลวงภูมิพลอยากให้คุณทักษิณเป็นนายกต่อไปอีกหรือไม่
ในวันที่ 24 กุมภาพันธ์คุณทักษิณได้ประกาศยุบสภาผู้แทนราษฎร มีประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดการเลือกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปในวันที่ 2 เมษายน 2549 รายการวิทยุของนายกจึงต้องปิดตัวลงไปด้วย เพื่อรอให้มีการเลือกตั้งก่อน
ปลายเดือนมิถุนายน มีข่าวว่า คุณทักษิณจะกลับมาจัดรายการอีก กลุ่มต่อต้านก็คัดค้านและกล่าวว่า ตอนนี้เขาเป็นแค่นายกรักษาการ การใช้เวลาออกอากาศวิทยุรัฐบาลมาจัดรายการของตัวเองนั้นไม่ เหมาะสมเป็นการเอาเปรียบทางการเมือง และยังมีคนโจมตีว่าความนิยมในตัวคุณทักษิณน้อยลง จึงต้องกลับมาจัดรายการเพื่อหาเสียงแต่คุณทักษิณยืนยันว่าเขาจะพูดแต่เรื่องที่เกี่ยวกับความเป็นอยู่ของประชาชนเท่านั้น
และในการออกอากาศครั้งหนึ่งเมื่อเดือน กรกฎาคม คุณทักษิณประกาศว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไปจะเริ่มโครงการโน้ตบุ๊กราคาร้อยเหรียญ (โน้ตบุ๊คคือคอมพิวเตอร์แบบพกพามีขนาดเท่ากระเป๋าเอกสาร) ซึ่งเป็นโครงการที่สถาบัน MIT ของสหรัฐค้นคว้าและพัฒนาแก่นักเรียนประถมศึกษาทั่วประเทศ เครื่องละประมาณ 135 เหรียญสหรัฐ โดยคุณทักษิณวางแผนว่าจะซื้อมา 500 เครื่องก่อน และส่งให้นักเรียนประถมที่อยู่เขตชนบทห่างไกล และในปีถัดไปจะซื้ออีกหนึ่งล้านเครื่อง โดยมีเป้าหมายให้นักเรียนประถมทุกคนมีคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก เพื่อแทนที่หนังสือเรียน แต่น่าเสียดายที่โครงการนี้ต้องจบลงเพราะการยึดอำนาจที่คาดไม่ถึง
อีกเรื่องหนึ่งที่นายกทักษิณใช้ประชาสัมพันธ์การทำงานของรัฐบาลคือ การถ่ายทำรายการทักษิณเรียลลิตี้โชว์ ที่ถ่ายทอดสดการดำเนินชีวิตของท่านจริงๆ แบบที่ไม่มีการตัดต่อหรือดัดแปลงใดๆ ซึ่งหาดูได้ยากในเวทีการเมืองไทยและแม้แต่การเมืองโลก วันที่ 16 มกราคม 2544 นายกทักษิณไปเดินทางไปยังหมู่บ้านยากจนแห่งหนึ่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ คณะผู้ติดตามมีทีมงานถ่ายทำกว่า100 คน พร้อมกล้องวิดีโอกว่า 40 เครื่องในการถ่ายทำบันทึกภาพต่อเนื่องกันเป็นเวลา 5 วันติดต่อกัน โดยคำพูดและการกระทำของนายกทักษิณ ถูกถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ชมจะเห็นภาพตั้งแต่การที่เจ้าหน้าที่กำลังจัดสถานที่ จนกระทั่งนายกทักษิณออกห้องประชุม มุมกล้องก็จะย้ายไปจับอยู่ที่ตัวละครตัวเอกคือนายกทักษิณเพียงคนเดียว
วันแรก ผู้ชมจะเห็นนายกคุยเรื่องสัพเพเหระ ทำกับข้าวกินข้าวกับคนท้องถิ่น พอตอนเย็นเขาจะนอนในมุ้งที่กางเอง วันที่สอง นายกขับรถแทรกเตอร์ไปตามถนนลูกรังสำรวจสภาพในพื้นที่ บางครั้งท่านก็กระโดดลงจากรถมาคุยกับชาวนา ที่ผ่านมารออยู่ตามทาง ท่านจะช่วยออกความเห็นแก่ชาวบ้าน และแนะนำช่องทางการทำมาหากิน และมักจะแจกจ่ายเงิน ควักเงินสด 1,000 หรือ 2,000 บาท ยัดใส่มือให้ชาวบ้าน พอตอนเย็นท่านนอนที่วัดใกล้หมู่บ้าน ผู้ชมทีวีจะเห็นนายกทักษิณสวมกางเกงขาสั้นเดินออกจากบ้านไปเข้าห้องน้ำ
มีคุณยายหนึ่งบอกนายกว่าเธอมีรายได้อาทิตย์ละ 200 บาทและยังต้องจ่ายหนี้แทนลูกชายที่ตายเพราะอุบัติเหตุทางรถยนต์ อีก 200,000 บาท
คุณยายได้ถามท่านนายกว่า “ท่านช่วยฉันใช้หนี้ได้ไหม ท่านช่วยให้หลานของฉันเข้าเรียนได้หรือเปล่า” ทักษิณตอบคุณยายอย่างมั่นใจทันทีว่า “ได้ ผมจะแถมวัวให้อีกตัวหนึ่งด้วย”
คุณยายที่ต้องทนทุกข์มาตลอดชีวิตได้ยิ้มออกมาด้วยความยินดีและพูดกับท่านนายกว่า
“ท่านเป็นคนดีมาก ขอให้ท่านได้เป็นนายกตลอดไป”
อีกตอนหนึ่ง นายกทักษิณได้ปราศรัยต่อหน้าชาวบ้านทั้งหมู่บ้าน อย่างจริงจังว่า “ พ่อแม่พี่น้องรู้หรือไม่ว่าผมฝันเห็นถึงอะไร ผมเห็นพ่อแม่พี่น้องขายกระดาษที่ผลิตเองในอินเตอร์เนต ผมเห็นพ่อแม่พี่น้องกำลังจะรวย ผมเห็นครอบครัวของพ่อแม่พี่น้องมีความสุข มีงานทำ มีเงินใช้ ” การถ่ายทอดรายการออกอากาศรายการเป็นเรื่องที่มีคนพูดถึงกันมากทั่วทั้งประเทศ คนที่รักและชื่นชมนายกก็จะยกย่องว่าท่านพูดจริงใจตรงไปตรงมาท่านเอาใจใส่ความทุกข์ยากเดือดร้อนของประชาชน
แต่คนที่ไม่ชอบและต่อต้านเขา กลับกล่าวหาว่าเขาเป็นคนโกหกตลบตะแลง ใช้สื่อสร้างภาพหาเสียงให้ตนเอง และยังมีคนกล่าวหาว่าคุณทักษิณเชื่อหมอดู ระยะนี้ดวงไม่ดีจึงต้องใช้วิธีเรียลลิตี้โชว์มาแก้เคล็ด เพื่อทำให้ตนเองสบายใจ และต้องการเพิ่มคะแนนสนับสนุนให้ตนเองเท่านั้น
เมื่อต้องเผชิญกับคำวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆนานา นายกทักษิณกลับไม่สนใจเลยสักนิด เขากล่าวว่าจุดประสงค์การถ่ายทำ เรียลลิตี้โชว์ ครั้งนี้ ก็เพื่อเป็นการสาธิตการศึกษาทางไกล ให้ข้าราชการท้องถิ่นได้เห็นเป็นตัวอย่างสักครั้งหนึ่ง เพื่อสอนพวกเขาให้เห็นตัวอย่างว่าทำอย่างไรจึงจะขจัดความยากจนได้ ผู้ชมของเราไม่ใช่เกษตรกร แต่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ …ผมไม่กังวลว่าคนอื่นจะวิจารณ์ว่าอย่างไร ผมได้ทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับผลที่จะเกิดจากรายการนี้
นับตั้งแต่นายกทักษิณจัดรายการวิทยุเพื่อติดต่อสื่อสารกับประชาชน ได้ทำให้ประชาชนเข้าใจท่านมากขึ้น สาเหตุหนึ่งที่เขาต้องทำเช่นนี้ อาจจะเกิดจากความรู้สึกที่เขาไม่ไว้ใจสื่อ ที่จริงแล้วความขัดแย้งของนายกทักษิณกับสื่อได้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตอนแรกที่ท่านทำธุรกิจประสบผลสำเร็จอย่างโดดเด่น สื่อมวลชนต่างพากันยกย่องชมเชิญความรู้ความคิดความสามารถ ที่กล้าคิดกล้าทำและความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ด้านธุรกิจโทรคมนาคมของเขา แต่พอหลังจากคุณทักษิณเปลี่ยนมาเล่นการเมือง ท่าทีของสื่อมวลชนก็กลับเปลี่ยนเป็นตรงกันข้าม มีแต่คำวิจารณ์ในทางลบออกมาไม่ขาดสาย
นายกทักษิณยังถูกวิจารณ์เรื่องท่าทีในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยมีการวิจารณ์ว่า เขามีนโยบายและท่าทีที่แข็งกร้าว และใช้มาตรการที่รุนแรงเด็ดขาดเกินไป ในจัดการกับผู้ก่อการร้ายชาวมุสลิม มีผู้โจมตีเขาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน ในเดือนสิงหาคม 2547 นายกทักษิณได้ให้สัมภาษณ์ว่า ทางหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องได้ติดตามตรวจสอบปัญหาภาคใต้มากว่าหนึ่งปีแล้ว พบว่ามีเยาวชนจากภาคใต้หลายคนไปเรียนศาสนา และรับการฝึกฝนจากพวกหัวรุนแรงที่ประเทศอินโดนีเซีย หลายคนมีเพื่อนเป็นคนอินโดนีเซียและมีไม่น้อยที่แต่งงานกับสาวอินโดนีเซีย
ทางการพบว่าคนเหล่านี้ได้ปลุกระดมเยาวชนในท้องถิ่น และพาคนส่วนหนึ่งไปรัฐกลันตันของมาเลเซีย เพื่อทำการฝึกอย่างลับๆ อยู่ในป่าของไทยแต่นี่ไม่ได้หมายความว่ารัฐบาลมาเลเซียและอินโดนีเซียจะสนับสนุนพวกเขา มาเลเซียและอินโดนีเซียก็คงไม่เห็นด้วย เพียงแต่พวกเขาแอบๆ ฝึกกันอยู่ลับๆ ซึ่งทางการไทยเราก็รู้อยู่
สื่อมวลชนบางส่วนได้รายงานออกมา กลายเป็นว่านายกทักษิณกล่าวหาว่ามาเลย์เซียและอินโดนีเซียช่วยเหลือให้การฝึกผู้ก่อการร้ายในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยเรื่องนี้ทำให้นายกทักษิณโกรธมากและท่านได้วิจารณ์สื่อว่าไม่มีความรับผิดชอบ จะทำให้ไทยทะเลาะกับเพื่อนบ้าน สื่อไทยชอบรายงานแต่เรื่องร้าย ไม่รายงานเรื่องดี ข่าวในแง่ลบบางข่าวก็ไม่จริง มีแต่เพียงการเดาสุ่ม พอเวลารัฐบาลออกมาชี้แจงข้อเท็จจริง สื่อกลับไม่แก้ข่าว มีบางข่าวไม่สนใจข้อเท็จจริง เอาแต่พูดแต่เรื่องไร้สาระ ไม่รับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองเสนอออกไป
คุณทักษิณกล่าวว่าในสังคมสมัยใหม่สื่อจะต้องพัฒนาไปพร้อมกับสังคม แต่สื่อของไทยกลับดูเหมือนไม่สามารถเดินออกจากวังวนเก่าๆแบบละครน้ำเน่าที่เป็นมานานนายก ทักษิณดูเหมือนจะไม่ชอบสื่อ และอยากจะอธิบายนโยบายต่างๆ ของรัฐบาลต่อประชาชนโดยตรงในรายการ นายกทักษิณคุยกับประชาชน สัปดาห์ละครั้ง ทำให้สื่อไม่พอใจอย่างมาก หลังจากที่เขาเริ่มรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่สองเพราะท่านไม่ได้ให้ความสำคัญกับสื่อ
แต่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีคนใหม่ หรือโฆษกรัฐบาลได้แนะนำให้นายกทักษิณสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อ โดยการจัดให้นายกทักษิณพบสื่อมวลชนสัปดาห์ละครั้ง มิฉะนั้นนายกก็มักจะถูกนักข่าวที่ติดตามมาสัมภาษณ์ไม่เป็นที่เป็นทางอย่างไม่มีระเบียบนายกทักษิณเห็นด้วยอย่างยิ่งจึง แต่ว่างานพบสื่อมวลชนครั้งแรกของนายกทักษิณกลับทำให้ผู้สื่อข่าวที่มาร่วมงาน ตกตะลึงไปตามๆ กัน
ในงานนายกฯพบสื่อมวลชนครั้งแรกมีคนแน่นขนัด นายกทักษิณนั่งบนเวที ด้วยท่วงท่าสงบ ข้างมือของเขามีป้ายไว้สองอัน หลังจากนักข่าวแต่ละคนถามคำถาม นายกทักษิณจะชูป้ายเพื่อบอกให้ทราบว่าคำถามนั้นสร้างสรรค์หรือไม่สร้างสรรค์ คือถ้าท่านชูป้ายรูปวงกลม จะหมายถึงคำถามนั้นสร้างสรรค์ ควรค่าแก่การตอบแต่ถ้าท่านชูป้ายรูปกากบาท ก็หมายความว่าคำถามนั้นไม่สร้างสรรค์ ทำให้นักข่าวไม่พอใจกันมาก หลังงานพบสื่อจบลง สื่อมวลชนใหญ่ๆของไทย ก็ลงบทความวิจารณ์โจมตีนายกทักษิณ ว่าไม่เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตา ไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น เอาแต่ตัวเองเป็นใหญ่ ใช้มาตรฐานของตัวเองมาตัดสินมาตรฐานของนักข่าว เป็นการทำลายและคุกคามเสรีภาพของสื่อมวลชน ที่จริงนายกทักษิณก็แค่ต้องการหยอกล้อสื่อ แต่สื่อมวลชนของไทยกลับถือเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่พอใจเป็นอย่างมาก ซึ่งในงานพบปะสื่อมวลชนครั้งที่สอง นายกทักษิณก็อดไม่ได้ที่จะแหย่นักข่าวอีกว่าทำไมพวกสื่อมวลชนจึงจริงจังกันขนาดนั้น ก็แค่ป้ายอันเล็กๆเท่านั้นเอง มีนักข่าวถามว่าความคิดเรื่องชูป้ายมาจากไหน นายกทักษิณตอบอย่างมีความสุขว่ายืมมาจาก รายการโทรทัศน์ประเภทประลองปัญญาของญี่ปุ่น
ประเด็นที่มีคนวิจารณ์นายกทักษิณมากที่สุดประเด็นหนึ่ง คือ หาว่าเขาจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อและมีพฤติกรรมคุกคามสื่อด้วยการฟ้องร้องสื่อ คือ ในเดือนกรกฎาคม 2546 บริษัทชินคอร์ป ของครอบครัวชินวัตร ได้ฟ้องร้องหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์ และนางสาวสุภิญญา กลางณรงค์ นักข่าวหญิง และเลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์เพื่อการปฏิรูปสื่อ (คปส.) ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และเรียกร้องให้ชดเชยค่าเสียหายเป็นจำนวนสี่ร้อยล้านบาท
โดยอ้างว่าไทยโพสต์ได้ลงคำให้สัมภาษณ์ของนางสาวสุภิญญาว่า ระหว่างปี 2544 - 2545 หลังจากที่พรรคไทยรักไทยเป็นรัฐบาล ได้ทำให้ผลกำไรของเครือชินวัตรเพิ่มขึ้นสามเท่า เป็นนัยว่าอาจเป็นเพราะผลประโยชน์ที่ได้จากการเป็นรัฐบาลในการขึ้นศาลครั้งแรกและเป็นครั้งเดียวของสุภิญญา เธอได้ประณามอย่างโกรธแค้นว่า นี่คือบรรยากาศที่น่าสะพรึงกลัว ที่กำลังปกคลุมไปทั่วสังคมไทย เป็นการปิดปากไม่ให้คนวิจารณ์รัฐบาลทักษิณ ปัญญาชนต่างชาติที่มีชื่อเสียงบางคนได้ลงชื่อในหนังสือ เรียกร้องให้เครือชินวัตรถอนฟ้อง พอถึงเดือนมกราคม2549 หลังจากที่ลูกๆของนายกทักษิณได้ขายหุ้นชินคอร์ปให้เครือเทมาเส็กของสิงคโปร์แล้วก็ได้มีการยกฟ้องคดี
ในเดือนพฤศจิกายน 2548 นายกทักษิณประกาศว่าช่วงก่อนปีใหม่เขาจะไม่ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว เหตุผลคือ หมอดูบอกว่าดาวพุธอยู่แนวเดียวกับราศีตน แสดงว่าไม่เหมาะที่จะให้สัมภาษณ์ ท่าทีเช่นนี้ทำให้สื่อไทยไม่พอใจมากและสื่อต่างประเทศก็วิจารณ์ เพราะข้ออ้างของนายกฯไม่มีเหตุผล ที่จริงคุณทักษิณแค่หาเรื่องมาปฏิเสธการให้สัมภาษณ์เพราะท่านรู้สึกว่าสื่อมวลชนไม่ค่อยเป็นมิตรกับท่าน
นายกทักษิณคงมองไม่เห็นเครือข่ายระบอบกษัตริย์ ที่ใช้สื่อมวลชนในกำกับของตนเข้าโจมตีตนอย่างพร้อมเพรียงกันทุกด้าน ทำให้คุณทักษิณหลงตกอยู่ในวังวน กลายเป็นเหยื่อของสงครามสื่อโดยไม่ได้ตระหนักถึงตัวบงการที่แท้จริง ที่ประทับอยู่ในวังนั่นเอง
ที่จริงคุณทักษิณมีเพื่อนสนิทมากในวงการสื่อคนหนึ่งคือนายสนธิ ลิ้มทองกุล แต่ว่าในช่วงที่เกิดการโค่นล้มทักษิณนั้นผู้ที่เป็นตัวเอกก็คือสนธิคนนี้ คนที่สู้เพื่อในหลวงจริงๆ พวกเขาเปลี่ยนจากมิตรภาพเป็นความเกลียดชัง เปลี่ยนจากพึ่งพาอาศัยกันมาเป็นศัตรูต่อกัน และศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ก็ไม่พ้นเพื่อนที่กลายเป็นศัตรูกันนั่นเอง
นายสนธิ ลิ้มทองกุล เกิดปี 2490 เชื้อสายจีน ครอบครัวมาจากมณฑลไหหลำ ประเทศจีนเขาเรียนจบมัธยมปลาย ที่ประเทศไทยและถูกบิดาส่งไปเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน เพราะภาษาจีนไม่ดีจึงเปลี่ยนไปเรียนที่ UCLA ที่นั่นเขาเรียนวิชาเอกประวัติศาสตร์เอเชีย หลังจากกลับประเทศไทย เขาก็เริ่มทำงานสื่อ พออายุ 31 ปีสนธิเปิดบริษัทสื่อของตัวเอง ผลิตและจัดพิมพ์นิตยสารสตรีฉบับหนึ่ง และขยายอาณาจักรสื่อของเขาก็ออกไปเรื่อยๆ มีทั้งหนังสือพิมพ์รายวันรายสัปดาห์ผู้จัดการ Asia Times รวมทั้งสำนักพิมพ์ สื่ออินเตอร์เนตอีก 4 แห่ง รายการวิทยุอีก 1 สถานี ตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา
เขาผลิตรายการโทรทัศน์และออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ของอสมท. มีสถานีข่าวโทรทัศน์เอเอสทีวี 24 ชั่วโมง คุณทักษิณกับนายสนธิรู้จักกันมาหลายปี สนิมสนมกลมเกลียว ว่ากันว่าช่วงวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ทั้งสองฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกัน หลังจากที่คุณทักษิณรับตำแหน่งนายกฯ ตอนแรกสื่อในเครือของนายสนธิเกือบทั้งหมดเป็นกระบอกเสียงให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในคณะรัฐมนตรีของทักษิณหนังสือพิมพ์ของเขาจะลงบทความชื่นชมสนับสนุนนโยบายและการปฏิบัติงานของรัฐบาลทักษิณ
แต่เพื่อนที่ช่วยเหลือกันมาเช่นนี้ ก็กลับกลายเป็นศัตรู จากการปลดนายวิโรจน์ นวลแข ผู้จัดการธนาคารกรุงไทย ในปี 2547 ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ที่นายสนธิกู้มา 1,600 ล้านบาท ทำให้นายสนธิต้องล้มละลาย แต่นายกทักษิณไม่ได้เข้ามาช่วยเหลือใดๆ ทำให้นายสนธิไม่พอใจอย่างมาก ทั้งๆที่ต้นเหตุคือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ( รัฐมนตรีการคลัง สมัยรัฐบาลเขายายเที่ยงของในหลวงภูมิพล ) ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท.ได้กล่าวโทษผู้บริหารธนาคารกรุงไทยคือนายวิโรจน์ นวลแขว่ามีการปล่อยกู้ให้แก่ลูกหนี้ที่ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้มูลค่าถึง 9,900 ล้านบาท และยังออกประกาศห้าม นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการในขณะนั้น ดำรงตำแหน่งในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเงินและบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์
เดือนกรกฎาคม 2547 สถานีโทรทัศน์ในเครือนายสนธิเกิดปัญหาใบอนุญาตประกอบกิจการ ทำให้ต้องหยุดถ่ายทอด เขาขอร้องให้นายกทักษิณช่วยอีกครั้ง แต่ก็ถูกคุณทักษิณเมิน ข้อเท็จจริงก็คือ กรมประชาสัมพันธิ์ ได้ทำสัญญาร่วมผลิตรายการกับภาคเอกชน ผลิตรายการข่าวดาวเทียม 24 ชั่วโมง ช่อง11/1 กับบริษัท อาร์.เอ็น.ที.นิวส์ จำกัด มีระยะเวลา 2 ปี โดยร่วมกับบริษัทไทยเดย์ดอทคอม โดย สนธิ ในนามของลูกชาย คือ จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ผลิตรายการให้กับช่อง 11 /1 ออกอากาศทางยูบีซี 9, 19 (ระบบเคเบิล ) และยูบีซี 77 ระบบดาวเทียม ใช้เงินลงทุนสร้างสตูดิโอแล้ว 200 ล้านบาท พร้อมกับจ้างทีมงาน 300 คน
แต่กรมประชาสัมพันธ์ได้สั่งระงับการออกอากาศของช่อง 11 นิวส์ วัน ทางช่องยูบีซี โดยนายธงทอง จันทรางศุ ในฐานะกรรมการองค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศ ไทย (อ.ส.ม.ท.) คนนิยมเจ้า ชี้แจงว่ายังไม่ได้รับอนุญาต
นายกทักษิณได้ฝากให้นายวิษณุ เครืองาม คนของเครือข่ายกษัตริย์ ซึ่งเป็นรองนายกดูแล นายวิษณุได้ตั้งคณะกรรมการสอบพบว่าการดำเนินการไม่ชอบธรรม ไม่โปร่งใส และไม่เหมาะสมส่งผลให้การดำเนินงานช่อง 11/1 ไม่สามารถดำเนินการได้และสุดท้ายทุกอย่างยกเลิกไป
จะเห็นได้ว่าคนของเครือข่ายพระเจ้าอยู่หัว นั่นเองที่ร่วมกันกลั่นแกล้งสกัดกั้นนายสนธิ ซึ่งในช่วงนั้นเป็นสื่อที่สนับสนุนนายกทักษิณอย่างเต็มที่จนทำให้นายสนธิต้องหันมาโจมตีถล่มรัฐบาลทักษิณสนองพระราชประสงค์ของในหลวง แบบเดียวกับที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์เจ้าของทีพีไอ ที่เป็นคู่แข่งกับเครือซิเมนต์ไทยของในหลวงแต่กลับถูกหลอกให้มาสนับสนุนขบวนการโค่นล้มทักษิณ ด้วยความเข้าใจว่ารัฐบาลทักษิณไม่ยอมช่วยตนจากการล้มละลาย ทั้งๆที่คนที่ต้องการทำลายนายประชัย ก็คือเครือซิเมนต์ไทยของในหลวงที่เป็นคู่แข่งสำคัญนั่นเอง
9 กันยายน 2548 รายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 นายสนธิ และพิธีกรร่วม นางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ ได้พูดเรื่องนายกทักษิณเข้าไปก้าวก่ายพุทธศาสนาโดยแต่งตั้งสมเด็จพระพุฒาจารย์ (เกี่ยว อุปเสโณ) วัดสระเกศให้เป็น ผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนสมเด็จพระสังฆราช ในขณะที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบันยังคงแข็งแรงอยู่ ทั้งๆที่เป็นพระราชอำนาจเฉพาะของกษัตริย์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชพระชนมายุ 92 พรรษามีปัญหาสุขภาพทำให้ไม่ได้ออกปฏิบัติงานสาธารณกิจเป็นเวลาหลายเดือน
แต่นายสนธิกล่าวว่าในขณะที่สมเด็จพระสังฆราชญาณสังวร ยังมีชีวิตอยู่ สามารถทำงานได้และสุขภาพกำลังดีขึ้น แต่รัฐบาลทักษิณกลับใช้เหตุผลที่ว่ามีพระชนมายุสูงมากแล้วอาจมรณภาพเมื่อใดก็ได้ มาแต่งตั้งรักษาการสมเด็จพระสังฆราช ตามกฎหมายไทยสมเด็จพระสังฆราชต้องได้รับเลือกจากมหาเถรสมาคม โดยได้รับการแต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์เท่านั้น นายกทักษิณได้โอบอุ้มรักษาการสมเด็จพระสังฆราชที่สนิทกับตนเอง นับเป็นการละเมิดพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ ถือว่านายกทักษิณไม่จงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัว สองสามวันหลังจากนั้น อสมท.เจ้าของสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้สั่งระงับการถ่ายทอดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ของสนธิในวันที่ 15 กันยายน เพราะรายการนี้โจมตีนายกฯทักษิณอย่างเอนเอียง ไม่เป็นกลาง และกล่าวพาดพิงพระมหากษัตริย์
สี่วันหลังจากนั้น นายกทักษิณยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุลนางสาวสโรชา พรอุดมศักดิ์ และ Thaiday .com ( บริษัทเครือผู้จัดการผู้ผลิตรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ ) ต่อศาลอาญา และศาลปกครอง เรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 5,000 ล้านบาท
หลังจากรายการถูกระงับออกอากาศ นายสนธิก็เคลื่อนทัพไป มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์์และเริ่มจัดรายการวิทยุ มีผู้ชมในรายการกว่า 4,000 คน วันที่ 14 ตุลาคม จากนั้นก็ย้ายไปจัดรายการที่สวนลุมพินีทุกเย็นวันศุกร์ คู่กับสโรชา โจมตีกล่าวหาทักษิณและรัฐบาล ภายหลังได้เปลี่ยนเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่รวมพลต่อต้านระบอบทักษิณ
27 กันยายน 2548 หนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ลงบทความเทศนาของหลวงตามหาบัว (อายุ 92 ปี)
พระสายวัด ชื่อดัง จำพรรษา อยู่ที่วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ได้เรียกร้องให้คนไทยทั้งใน และนอกประเทศบริจาคทองคำ และเงินดอลล่าร์เพื่อเก็บเข้าท้องพระคลัง ท่านเคยออกมาช่วยนายกทักษิณ กรณีถูกกล่าวหาว่าซุกหุ้น ตอนแรกๆที่เริ่มเป็นนายก
แต่ท่านกลับใช้น้ำเสียงรุนแรง โจมตีทักษิณและรัฐบาล “มีคนฟ้องร้องมาว่านายกฯ ทักษิณ กับนายวิษณุ และกับอีกสองคนเราจำไม่ได้ นี้คือตัวยักษ์ใหญ่ ตัวอำนาจใหญ่ อำนาจป่าๆ เถื่อนๆ จะกินบ้านกินเมือง กัดตับกัดปอด...เขาหลับหูหลับตาทั้งกายของเขาแสดงออกถึงความโลภ และโหดร้าย ตอนนี้เขามุ่งแต่ตำแหน่งนายกฯ.....พระราชอำนาจถูกละเลย ความศรัทธาถูกเหยียบย่ำ ประเทศกำลังตกต่ำพวกเขาปล่อยให้อำนาจตกอยู่ในกลุ่มคนส่วนน้อยในรัฐบาล
คนพวกนี้คือเปรต คือยักษ์ คือมหาภัย..... แม้แต่พระเทวทัตก็ยังสำนึกผิดได้เอง ในที่สุดก็เป็นพระปัจเจกพระพุทธเจ้า ส่วนเราความผิดพลาดตัวเองทำเป็นมองไม่เห็นเราปกครองกันแบบไหน เมืองไทย จะเป็นอย่างไร......นักการเมืองพวกนี้เล่นการบ้านการเมืองขี้หมาอะไร...... เราเอาธรรมะพระพุทธเจ้ามาชะมาล้าง ให้รู้เนื้อรู้ตัวรู้ผิดรู้ถูก.....ถ้าพวกเขาไม่รับความจริง ก็เท่ากับเอาไฟเผาตัวเอง ทั้งหมดนี้เราเสียใจมาก มันเกิดขึ้น ได้อย่างไร ”
เนื่องจากหลวงตาบัวมีชื่อเสียงโด่งดังจึงมีผู้ให้ความสนใจข่าวนี้มากเป็นพิเศษ สื่อหลายค่ายนำไปเผยแพร่ต่อ หลวงตาบัวกำลังบอกว่า คุณทักษิณไม่ยอมลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและท้าทายราชวงศ์ พยายามลดพระราชอำนาจ นับเป็นข้อกล่าวหาที่หนักหนาสาหัสที่นิยมใช้เล่นงานนักการเมืองในประเทศไทยอย่างชนิดที่ดิ้นไม่หลุด วันที่ 11 ตุลาคม 2548 นายกทักษิณฟ้องหนังสือพิมพ์ผู้จัดการในข้อหา “ใส่ความ” เรียกร้องให้ชดเชยค่าเสื่อมเสียชื่อเสียง เป็นเงิน 500 ล้านบาท เพราะมีเจตนาโจมตีและบิดเบือนข้อเท็จจริงโดยไม่มีหลักฐาน
แต่หลวงตาบัวกลับเรียกร้องจะออกมาขึ้นศาลเอง โดยกล่าวว่า“ หากคำเทศนาของอาตมามีคำที่ไม่เหมาะสมจริงๆ เหตุใดนายกฯท่านนี้จึงไม่ฟ้องอาตมา… นายกทักษิณก็ควรเป็นจำเลยในคดีนี้เช่นกัน และอาตมาเองกลับพร้อมที่จะติดคุกเสมอ.. อาตมาได้ยินคนไทยหลายคนบ่นว่า รัฐบาลนี้ทะเยอทะยานด้านการเมืองสูงมาก นี่จะทำลายระบอบสำคัญในประเทศในระยะยาว… อาตมาเป็นเพียงแค่คำวิจารณ์ลูกศิษย์เท่านั้น (ท่านยังมองว่าทักษิณเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของท่าน) เพื่อความสงบสุขและเป็นระเบียบของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ”
แต่ในวันที่ 4 ธันวาคม 2548 พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชได้มีพระราชดำรัสก่อนวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษาหลังจากนายกทักษิณได้นำกราบถวายพระพรชัยมงคล โดยทรงเตือนนายกทักษิณให้ยุติเรื่องราว มีพระราชดำรัสว่าแม้แต่พระมหากษัตริย์ก็ยังมีผู้วิจารณ์ ท่านก็ไม่ควรจะฟ้องคนอื่น โดยตรัสว่า แต่ว่าความจริง ก็จะต้องวิจารณ์บ้างเหมือนกัน แล้วก็ไม่กลัวถ้าใครจะวิจารณ์ว่าทำไม่ดีตรงนั้น ๆ จะได้รู้ เพราะว่าถ้าบอกว่าพระเจ้าอยู่หัวไปวิจารณ์ท่านไม่ได้ ก็หมายความว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่เป็นคน ไม่วิจารณ์เราก็กลัวเหมือนกัน ....
ฉะนั้นก็ที่บอกว่าการวิจารณ์เรียกว่าละเมิดพระมหากษัตริย์ ละเมิด ให้ละเมิดได้ แต่ถ้าเขาละเมิดผิดเขาก็ถูกประชาชนบอมบ์ คือเป็นเรื่องของขอให้รู้ว่าเขาวิจารณ์อย่างไร ถ้าเขาวิจารณ์ถูกไม่ว่า แต่ถ้าเขาวิจารณ์ผิดไม่ดี แต่เมื่อบอกว่าไม่ให้วิจารณ์ ไม่ให้ละเมิดไม่ได้เพราะรัฐธรรมนูญว่าอย่างนั้น ก็ลงท้ายก็เลยพระมหากษัตริย์ก็เลยลำบากแย่ อยู่ในฐานะลำบาก ก็แสดงให้เห็นว่าถ้าไม่ให้วิจารณ์ก็หมายความว่า พระเจ้าอยู่หัวนี่ ก็ต้องวิจารณ์ ต้องละเมิด แล้วไม่ให้ละเมิด พระเจ้าอยู่หัวเสีย พระเจ้าอยู่หัวเป็นคนไม่ดี ซึ่งถ้าคนไทยด้วยกันก็ยังไม่กล้า ไม่เอ็นดูพระเจ้าอยู่หัว ไม่อยากละเมิด
แต่มีฝ่ายชาวต่างประเทศ มีบ่อยๆ ละเมิดพระเจ้าอยู่หัว ละเมิด THE KING แล้วก็หัวเราะเยาะว่า THE KING ของไทยแลนด์ พวกคนไทยทั้งหลายนี่ เป็นคนแย่ ละเมิดไม่ได้ ในที่สุดถ้าละเมิดไม่ได้ก็เป็นคนเสีย เป็นคนที่เสีย..... คราวนี้นักกฎหมายก็ชอบให้ฟ้อง ให้จับเข้าคุก อันนี้นักกฎหมายก็สอนนายกฯ ว่าต้องฟ้อง ต้องลงโทษ ก็สอนนายกฯ ว่าใครบอกว่าให้ลงโทษ อย่าลงโทษเขา ลงโทษไม่ดี ลงท้ายไม่ใช่นายกฯ เดือดร้อน แต่พระมหากษัตริย์เดือดร้อน
อาจจะอยากให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อนไหมล่ะ ไม่รู้นะ เขาทำผิด เขาด่าพระมหากษัตริย์ เพื่อให้พระมหากษัตริย์เดือดร้อน และเดือดร้อนจริงๆ ...ทำไป ทำมา เลย เลยต้องเอาวะ เขาด่านายกฯ ถ้าด่านายกฯ นายกฯ เดือดร้อนไหม ไม่ควรเดือดร้อน แต่ถ้าด่านายกฯ พระมหากษัตริย์ก็ไม่เดือดร้อน เพราะว่าเป็นเรื่องของนายกฯ ถ้าเขาด่าพระมหากษัตริย์ นายกฯ เดือดร้อน เพราะว่า ต้องเป็นคนจัดการ....
วันนี้เราขึ้นมานี้ เราแก้ตัวแทนนายกฯ เพราะว่านายกฯ ไม่ผิด นายกฯ ทำได้ทุกอย่าง ก็ไม่ต้องไปออกทีวีแล้ว ไปออกทีวีทุกวัน ๆ ๆ มีคนบอกว่าเอือมที่ออก แต่มีหน้าที่ที่ออกก็ออก มีคนที่เขาเดือดร้อน ที่อยู่ในรายการ เพราะเขาเป็นคนต้องพูด และคนที่พูดก็เลยถูกลูกหลงไปด้วยแต่อย่างไรก็ตาม
การแก้ตัวครั้งเดียว เอาได้ นี่แก้ตัวเท่าไร 10 ครั้งแล้วนะ ที่ออกทีวี คนเลยชักเอือม คนอยากดูละคร มาดูอย่างนี้ พอแล้วเสียไฟฟ้า ไม่ใช่เสียไฟฟ้าคนดู แต่เสียไฟฟ้าคนส่ง ทีวีออกทีไฟฟ้าแรง เสียน้ำมัน นี่ก็เลยนึกว่าควรพูดพอแล้ว ที่พูดก็เสียไฟฟ้ามาก เขาเลยบอกว่าเลิกซะที ไม่ควรจะพูดมาก แต่เราก็พูดต่อ เพราะเป็นรายการที่อัดเสียงไว้ ใส่เทปไว้ ไม่ได้พูดมาก ไม่ได้ออกโทรทัศน์ ไม่ต้องเสียไฟฟ้าสำหรับโทรทัศน์
สรุปก็คือ ในหลวงภูมิพลสอนหรือสั่งให้นายกทักษิณ ไม่ควรถือโทษที่โดนนายสนธิใส่ร้ายกล่าวหาโจมตี และนายกทักษิณก็ควรพูดออกทีวีให้น้อยๆหน่อยเพราะเปลืองค่าไฟฟ้าค่าน้ำมัน พสกนิกรของพระองค์อยากดูละครมากกว่า ทั้งๆที่นายกมาจากการเลือกตั้งของประชาชน และมีหน้าที่ที่จะต้องชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชน ซึ่งไม่ใช่กงการของพระเจ้าอยู่หัว หรืออาจเป็นเพราะพระองค์ทรงหมั่นไส้ที่ประชาชนหันไปนิยมชมชอบสามัญชนที่พวกเขาเลือกกันขึ้นมาเอง.. ท่าทีของในหลวงครั้งนี้ทำให้หลายฝ่ายต้องน้อมนำไปปฏิบัติ นายกทักษิณต้องถอนฟ้องคดี ตามพระราชประสงค์ และเริ่มรู้กันอยู่แล้วว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ค่อยพอพระทัยนายกทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ
ประมาณสามสี่เดือนหลังจากเลือกตั้งใหญ่เมื่อมีนาคม 2548 นายกทักษิณก็รู้สึกถึงความผิดปกติ หนังสือพิมพ์ต่างเริ่มโหมโจมตีนายกทักษิณ อย่างไม่มีเหตุผล เมื่อก่อนสื่อมวลชนจะค่อนข้างระมัดระวังเพราะกลัวถูกนายกทักษิณฟ้อง แต่คราวนี้พวกสื่อมวลชน กลับไม่กลัวเกรงอีกแล้ว นายกทักษิณเริ่มรู้สึกเหมือนกับทั้งประเทศเริ่มมีการวางแผนจัดการกับตน ทั้งสื่อ ระบบกฎหมาย ระบบการแต่งตั้งคน นายกทักษิณถูกกดดันจากทุกฝ่ายรอบด้าน จนทำงานไม่ได้ ลำบากไปหมดทุกเรื่อง
ในไม่ช้า คดีขายหุ้นชินคอร์ปก็ถูกประโคมขึ้นมา นายสนธิ เจ้าแห่งการเปิดเผยข้อมูล รีบใช้โอกาส ที่สวรรค์ส่งมานี้ รวมพลคนต่อต้านอย่างรวดเร็ว ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ชุมนุมกันที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ถวายฎีกาให้พระเจ้าอยู่หัวและตัวแทนผู้บัญชาการทหารบก พลเอกสนธิ บุญรัตกลิน โดยเรียกร้องให้ในหลวงถอดถอนนายกทักษิณและให้กองทัพเลิกสนับสนุนนายกทักษิณ จากนั้น สื่อมวลชนก็พากันเข้าร่วมขบวนการขับไล่ทำลายล้างนายกทักษิณมากขึ้นเรื่อยๆ
14 มีนาคม 2549 พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คุยว่ารวมคนนับแสนคนเดินขบวนขับไล่ทักษิณ โดยกลุ่มผู้ประท้วง ได้ล้อมทำเนียบรัฐบาลและจะไม่กลับไปเด็ดขาด ถ้านายกทักษิณไม่ลาออก หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ที่ค่อนข้างมีอิทธิพลมากกล่าวว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล กำลังหารือถึงบุคคลที่จะมาแทนนายกทักษิณ โดยมีชื่อของรองนายกนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย
เช้าวันนั้น นายกทักษิณอ้างว่าไม่ค่อยสบาย ยกเลิกกิจกรรมพบชาวบ้านท้องถิ่น แต่เปิดประชุมคณะรัฐมนตรีทางไกล ต่อมาก็ออกมาปฏิเสธโดยกล่าวว่าจะไม่ยอมแพ้ให้กลุ่มผู้ประท้วง
มีการแต่งตั้งให้พลตำรวจเอก ชิดชัย วรรณสถิตย์ขึ้นเป็นรองนายกฯ ลำดับที่หนึ่ง แทนที่นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย เพราะขณะนั้นพล.ต.อ.ชิดชัยอยู่ที่กรุงเทพ รับผิดชอบด้านความปลอดภัยทั่วประเทศ นายกทักษิณยังให้สัมภาษณ์ CNN โต้ข่าวลือที่เขาจะลาออกว่า “ สื่อไทย จะล้มล้างรัฐบาล ”
21 มีนาคม 2549 ศาลท้าวมหาพรหม ที่แยกราชประสงค์ ถูกชายมุสลิมสติไม่สมประกอบ อายุ 27 ปีใช้ ค้อนเหล็กทุบเสียหาย ผู้ทำลายศาลถูกประชาชนรุมทำร้าย จนเสียชีวิต
กลุ่มผู้ต่อต้านระบอบทักษิณรีบชุมนุมกัน นายสนธิประกาศว่า เป็นแผนการของนายกทักษิณที่ต้องการทำลายศาลนี้เพื่อใส่ของศักดิ์บางอย่างของตนเอง เพื่อจะแก้ไขดวงชะตา
นายกทักษิณกล่าวว่านายสนธิบ้าไปแล้ว พ่อของชายคนดังกล่าวบอกว่าสนธิเป็นคนหลอกลวงที่สุดที่เคยเห็นตั้งแต่เกิดมา
ช่วงที่การชุมนุมขับไล่นายกทักษิณกำลังดุเดือดอยู่นั้น โทรทัศน์ หลายรายการ ได้ฉายเทปในปี 2535 ที่พระเจ้าอยู่หัวเรียกนายกรัฐมนตรี พลเอกสุจินดา คราประยูร และพลตรีจำลอง ศรีเมือง เข้าเฝ้าหลายครั้ง นายกทักษิณ กล่าวว่า“ พระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัวดีมากทำให้เราเข้าใจว่าการปะทะไม่ดีต่อประเทศชาติ พวกเราต้องเชื่อฟังโอวาทของท่าน ”
แต่นายสนธิกล่าวว่า “ความหมายที่แท้จริง” ที่สื่อฉายเหตุการณ์ปี2535 ซ้ำนั้นเป็นเพราะต้องการให้นายกทักษิณทำตามนายกสุจินดา ในตอนนั้นคือ ประกาศลาออกโดยไม่มีเงื่อนไข
วันที่ 3 เมษายน 2549 นายกทักษิณให้ทนายเตรียมเอกสารฟ้องหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่น ว่า ข่าวหน้าหนึ่งของฉบับวันที่ 30 มีนาคมรายงานว่านายกทักษิณถูกคณะองคมนตรีปลดออกจากประธานคณะกรรมการ จัดงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีไม่เป็นความจริง แต่ไม่เรียกร้องเงินชดเชยใดๆ
การโจมตีนายกทักษิณที่ร้ายแรงที่สุดของนายสนธิกับสื่อมวลชน ก็คือเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์
ปลายเดือนพฤษภาคม 2549 ก่อนงานฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช หนังสือพิมพ์ผู้จัดการลงบทความว่า ในปี 2542 คุณทักษิณกับผู้นำนักศึกษาในยุค 14 ตุลา ประชุมลับที่ฟินแลนด์หารือกัน ว่าทำอย่างไรจึง จะล้มล้างระบอบกษัตริย์ และก่อตั้งประเทศสาธารณรัฐ
ผู้ที่เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน ในพรรคไทยรักไทย และในคณะรัฐมนตรีรัฐบาลทักษิณ พวกเขามีการไปมาหาสู่อย่างลับๆ กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย และมีบทความประกอบมีบทวิจารณ์ของนักวิจารณ์การเมืองอีกหลายท่าน เต็มไปด้วยข้อกล่าวหาหนักแต่ไม่ได้แสดงหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับปฏิญญาฟินแลนด์นี้เลย
นายสนธิอ้างแต่เพียงว่า ตนได้ยินจากปากของสมาชิกพรรคไทยรักไทยที่กลับตัวแล้วคนหนึ่ง บทความนี้เป็นเสมือนระเบิดปรมาณูในเวทีการเมืองไทยที่วุ่นวายอยู่แล้ว กลับดำมืดทะมึนไปหมด เพราะการคิดโค่นล้มระบอบกษัตริย์เป็นความผิดที่ให้อภัยไม่ได้ ชาวพรรคไทยรักไทยและคณะรัฐมนตรีรัฐบาลทักษิณที่ถูกกล่าวหาว่าเกี่ยวข้องต่างออกมาปฏิเสธทันที
นายกทักษิณฟ้องนายสนธิ ผู้เขียนบทความ บรรณาธิการ ผู้จัดพิมพ์ผู้รับผิดชอบเวบไซต์ทั้งหมดทุกคน ข่าวลือยังคงกระพือต่อไป แม้ต่อมานายกทักษิณจะแสดงในหลายโอกาสว่า ตนจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์
ช่วงเวลาที่น่ากลัวที่สุดในช่วงชีวิตของนายกทักษิณ ชินวัตร ได้เริ่มขึ้นแล้ว
เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาประมาณ 3 ทุ่ม ภายใต้การนำของ พลเอกสนธิ ผู้บัญชาการทหารบก ได้นำกองกำลังทหาร และหน่วยรบพิเศษเข้าเมือง ตามด้วยขบวนรถถังที่ตามกันมายาวเยียด แต่ว่าขบวนรถถังเหล่านี้ไม่ได้เดินทางเข้ามาในเมืองทันที พวกเขากำลังรอคำสั่งอยู่ เพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นบรรดากองกำลังที่เทอะทะเหล่านี้ จึงจะปรากฏอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯ กองกำลังทหารค่อย ๆ คืบคลานเข้ามายังเมืองหลวงมุ่งตรงไปยังกองบัญชาการทหารบกกรุงเทพ
จากนั้นถึงจะเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล คืนที่มืดสลัวทำให้เห็นสีหน้าของบรรดาเหล่าทหารได้ไม่ชัดเจน เห็นแต่เพียงผ้าสีเหลืองที่พันบนลำแขน บนไหล่ และบนปืน เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดี ของเหล่าทหารต่อกษัตริย์ภูมิพล เพื่อให้เห็นเป็นข้อแตกต่างที่ชัดเจนระหว่างกองกำลังทหารรัฐประหารผูกผ้าเหลือง กับกองกำลังทหารทั่วไป เหล่าทหารที่เตรียมพร้อมปฏิบัติการรัฐประหารถือหลักการปฏิบัติตามคำสั่งถือเป็นวินัยสูงสุดของทหาร เป็นอาชีพที่น่าเศร้าสลดอย่างมาก เพราะการยึดมั่นในวินัยและความจงรักภักดีต่อพระเจ้าอยู่หัวก็คือการเป็นกบฏต่อการปกครองและเป็นการทำบาปต่อประเทศชาติและประชาชน
กลุ่มก่อการรัฐประหารได้รับเงินสนับสนุนจากงบประมาณลับจำนวน 150 ล้านบาท ในการปฏิบัติภารกิจครั้งนี้โดยเป็นเงินรางวัลสำหรับเหล่าทหารที่เข้าร่วมการรัฐประหาร
เวลา 3 ทุ่ม10 นาที บรรดาผู้สื่อข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ที่ถูกทหารเข้ายึดพื้นที่นั้นได้ถูกคุมตัวไปยังกองบัญชาการกองทัพบกกรุงเทพ จากนั้นบรรดาช่างเทคนิคของทหารเข้ารับช่วงต่อเพื่อเตรียมพร้อมในการประกาศข่าวของคณะรัฐประหาร
เวลา 3 ทุ่ม 30 นาทีสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ได้หยุดแพร่ภาพรายการปกติ มาเป็นการแพร่ภาพรูป และ เสียงเพลงของสถาบันพระมหากษัตริย์ ถ่ายทอดผ่านทางจอโทรทัศน์ผู้ชมในขณะนั้นคงรู้ว่าต้องมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้นแน่นอน บรรดาเหล่านักข่าวก็ต้องรีบปรับตัวต่อสถานการณ์ เตรียมเครื่องมือทำข่าวมุ่งตรงไปยังทำเนียบรัฐบาลทันที
การปฏิบัติการของทหารค่อนข้างรวดเร็วมาก พอเปิดประตูทำเนียบรัฐบาลออกมาดูก็พบกองกำลังทหารกำลังปิดถนนอยู่ มีรถถังประมาณ14 คัน ปิดล้อมตึกทำเนียบ มีทหาร 50 กว่านายถือปืนเข้าไปในตึกทำเนียบรัฐบาล บังคับให้คนข้างในปลดอาวุธ
มีข่าวว่าพลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรี และพลเอกธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถูกทหารควบคุมตัวแล้ว
เวลา 3 ทุ่ม 40 นาที บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายกทักษิณได้ถูกกองทหารเข้ายึด ตอนที่กำลังทหารถือปืนเปิดประตูบ้านเข้าไปในนั้นปรากฎว่าไม่มีใครอยู่แล้ว เพราะคุณหญิงพจมานพอได้รับทราบข่าวการก่อรัฐประหาร ก็ได้พาลูกชายนายพานทองแท้ และ ลูกสาวนางสาวพิณทองทาหนีออกจากบ้านไปก่อนแล้ว โดยไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านอดีตนักการเมืองระดับสูงที่สนิทกัน นายพานทองแท้ ได้บินไปสิงคโปร์
เวลา 4 ทุ่มสถานีวิทยุในเขตกรุงเทพได้ถูกระงับการออกอากาศ และเปิดแต่เพลงของคณะรัฐประหาร
ณ มหานครนิวยอร์ก คุณทักษิณกำลังถือโทรศัพท์อยู่ด้วยความรู้สึกสับสน ตกใจ ขณะที่รู้ว่าไม่สามารถติดต่อไปยังประเทศไทยได้ เหมือนเรือที่ลอยเคว้งคว้างในทะเล ไม่รู้จะไปทางไหนนั่งอยู่ข้างโทรศัพท์ รอคอยปฏิหารย์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อช่วยแก้ไขเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆที่กำลังเกิดขึ้น หลังจากที่ได้มีการรายงานข่าวจากสำนักข่าว เวลาประมาณ 3 ทุ่มคุณทักษิณได้โทรศัพท์ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้สำเร็จ สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้ติดต่อไปยังช่อง 5 ให้ออกอากาศรายการของช่อง 9 ซึ่งจะเป็นแถลงการณ์ที่สำคัญของนายกทักษิณ แต่ช่อง 5 ปฏิเสธการออกอากาศ ขณะที่นายกทักษิณอยู่ที่นิวยอร์กได้ตัดต่อเทปบันทึกการแถลงการณ์เตรียมออกอากาศประกาศภาวะฉุกเฉินให้ประชาชนทั้ง ประเทศได้รับทราบก็ได้รับการเตือนว่าสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียมได้ถูกกองกำลังรัฐประหารเข้ายึดไว้หมดแล้ว จากนั้นคุณทักษิณได้พยายามติดต่อไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 แต่กองกำลังรัฐประหารได้เข้ายึดสถานีแล้ว บรรดาผู้สื่อข่าวได้ถูกกักตัวอยู่บริเวณข้างห้องออกอากาศ
นายกทักษิณจึงทำได้เพียงแค่ติดต่อผ่านทางโทรศัพท์เท่านั้น ใช้แต่เสียงที่ไม่มีรูปภาพ ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ประกาศคำสั่งเร่งด่วนเพียงคนเดียว เวลา 4 ทุ่ม 20 นาที สถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ได้หยุดแพร่ภาพรายการปกติแล้วเปลี่ยนเป็นแพร่ภาพคำแถลงการณ์ของนายกทักษิณ ภาพบนจอทีวีเป็นภาพของนายกทักษิณ ขณะเดียวกันก็มีเสียงบันทึกเทปจากคุณทักษิณที่โทรมาจากสหรัฐ เสียงของเขาแหบแห้งเนื่องจากได้พยายามโทรศัพท์ติดต่อกันเป็นเวลา 4 ชั่วโมง
นายกทักษิณพูดว่า“ผมได้ ประกาศภาวะฉุกเฉินในเขตกรุงเทพฯ ห้ามกองกำลังทหารออกมาเคลื่อนไหว ปลดตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบก ของพลเอกสนธิ ให้ผู้นำทุกเหล่าทัพเข้าไปรายงานตัวกับรองนายกฯ ชิดชัย สั่งให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุดพลเอก เรืองโรจน์เข้าควบคุมสถานการณ์ ” หลังจากนั้น 2 นาที การแถลงการณ์ยังไม่ทันเสร็จ ภาพผ่านทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 ก็ดับลงทันที มีเพียงหน้าจอสีดำ จากนั้นจึงเริ่มแพร่พระบรมฉายาลักษณ์พระเจ้าอยู่หัวภูมิพล
ความหวังในสื่อสุดท้ายของทักษิณได้จบลงแล้ว อีกทั้งกองกำลังทหารได้เข้ายึดไว้หมดแล้ว ส่วนคนอื่นๆ ที่รับผิดชอบได้ถูกควบคุมตัวทันที นายกทักษิณยังไม่รู้ว่ารองนายกฯชิดชัย ที่เขาได้มอบหมายหน้าที่นั้นถูกจับกุมตัวแล้ว
เขาได้ฝากความหวังและความไว้ใจไว้กับเพื่อนทหารที่สนิทกันมากอีกคนหนึ่ง คือพลเอกเรืองโรจน์ มหาศรานนท์แต่กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย นายกทักษิณในช่วงคับขันนั้นกลับถูกเพื่อนสนิททอดทิ้งอย่างไม่มีเยื่อใยเหตุผลบางที่บรรดานายทหารคนสำคัญที่ทักษิณได้ให้ความไว้วางใจ รวมถึงพล.อ.พรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.พฤณฑ์ สุวรรณทัต ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 1 และพลเอกเรืองศักดิ์ ทองดี ผู้บังคับการกองทหารปืนใหญ่ ทุกคนไม่สามารถที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องทักษิณได้ ในช่วงเช้าของวันรัฐประหารบรรดาบุคคลที่กล่าวมาข้างต้นนั้นได้มีการพบหน้ากันก่อนแล้วเพราะว่าไม่ปรากฎภาพของผู้บัญชาการทหารบก พลเอกสนธิ บนหน้าจอระหว่างการเรียกประชุมระดับรัฐมนตรีของนายกฯ
ช่วงดื่มกาแฟหลังจากรับประทานอาหารกลางวัน มีคนเริ่มคิดได้ว่า“ทำไมพลเอก สนธิจึงได้มีการเคลื่อนย้าย 3 กองกำลังทหารพิเศษเข้ากรุงเทพ” จากนั้นในช่วงเวลาบ่าย บรรดานายพลได้โทรศัพท์ติดต่อไปยังกองบังคับการทหาร เพื่อยืนยันว่ากองทัพ ไม่มีการเคลื่อนไหวใดที่ผิดปกติ พบว่าไม่มีคนรับโทรศัพท์ พวกเขาทั้งหมดตกใจเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกัน เริ่มได้รับการยืนยันว่าตอนนี้ได้มีกองกำลังทหารจำนวนมากได้เคลื่อนพลเข้ากรุงเทพ สถานการณ์ยิ่งคับขัน เมื่อได้ยินเสียงตะโกนของนายพลท่านหนึ่ง ในห้องทำงานว่า “ผมรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ได้เปลี่ยนไปแล้ว บอกกับผมว่าพวกคุณคิดที่จะทำอย่างไรต่อไป ”
“ผมจะอยู่ฝ่ายเดียวกับพวกคุณ แต่ว่าผมก็เป็นทหารคนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเหมือนกัน” เป็นคำตอบของนายพลท่านหนึ่ง สุดท้ายการสนทนาก็ได้สิ้นสุดลง การรัฐประหารดำเนินไปอย่างราบรื่นเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก ไม่มีทหารระดับนายพลคนใดยืนอยู่ข้างทักษิณ ทหารไทยทุกคนยังคงอยู่ข้างพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลซึ่งนายทหารทุกคนรู้ดีว่าทรงเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหารตัวจริงนั่นเอง
นายกทักษิณไม่เคยคิดเลยว่าตนจะโดนโค่นล้มอำนาจ เพราะตนได้วางแผนไว้ว่าจะเป็นนายกให้ครบ 2 สมัยแล้วก็จะเกษียนตัวเอง และตนก็ไม่เคยคิดที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีตลอดไป ซึ่งเป็นไปไม่ได้ด้วยกฎหมาย และข้อจำกัดในหลายๆด้าน แต่ตนก็มีใจที่รับผิดชอบต่อประเทศชาติ และประชาชนมาโดยตลอด แม้ว่าจะไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ตาม ตนไม่เคยคิดเลยว่าก่อนที่จะดำรงตำแหน่งจนครบวาระที่ 2 นี้ จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เพราะตนเป็นผู้ที่สนับสนุนการเมืองในระบอบประชาธิปไตยที่ต้องใช้ความเสมอภาค และสันติวิธีเข้าแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะสังคมในยุคใหม่
คุณทักษิณไม่ได้ต้องการอำนาจ เพียงแต่ต้องการทำเพื่อประชาชนเท่านั้น ถ้าหากพวกเจ้ารับไม่ได้กับวิธีการบริหารงานของตน ถ้าจะให้ดีก็น่าจะบอกกันตรงๆ ตนก็จะวางมือ และกลับไปใช้ชีวิตที่สงบของตนเอง และตนตั้งใจอย่างแท้จริงที่จะทำเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนโดยสามารถทำโดยผ่านวิธีการอื่นๆโดยไม่จำเป็นต้องมีอำนาจทางการเมือง ที่จริงพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงแสดงเป็นนัยๆหลายต่อหลายครั้ง แต่นายกทักษิณคงมองในหลวงในแง่ดีจนเกินไป ทำให้มองไม่เห็นถึงพระราชประสงค์ที่แท้จริงของพระองค์
ฝ่ายรัฐประหารวางแผนอย่างรัดกุม ในคืนนั้นโดยตัดขาดเส้นทางคมนาคมที่จะเข้าสูู่่กรุงเทพ คอยสกัดไม่ให้บรรดาคนชนบทที่สนับสนุนนายกทักษิณเข้ามาในกรุงเทพได้
บนท้องถนน ตำรวจเรียกให้รถทุกคันหยุดขอร้องให้รถทั้งหลายรีบออกจากบริเวณดังกล่าวโดยด่วน บรรดาปั้มน้ำมันต่างๆในเขตกรุงเทพฯ ได้รับการติดต่อให้หยุดการให้บริการตั้งแต่เวลา 4 ทุ่มเป็นต้นไป
กองกำลังทหารได้เข้ายึดสถานที่ราชการและถนนสายหลักในกรุงเทพฯอย่างรวดเร็ว รถถัง4 คัน วิ่งวนอยู่บนท้องถนนในกรุงเทพฯมีเสียงจากเครื่องกระจายเสียงบอกให้ประชาชนบนท้องถนน รักษาความสงบ แล้วรีบกลับเข้าบ้านของตนเอง
แถลงข่าวของสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 ให้เป็นผู้ประกาศแถลงการณ์ของคณะรัฐประหาร โดยมีเนื้อหาดังนี้ “เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยผู้บัญชาการทหารและตำรวจได้เข้ายึดพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยไม่มีการต่อต้านจากฝ่ายใด พวกเราขอความร่วมมือจากทางประชาชนในระหว่างเวลานี้อาจสร้างความไม่สะดวกให้กับประชาชนทุกท่าน จึงขออภัยมา ณ ที่นี้ขอบคุณ และหลับฝันดีคะ” ผู้ประกาศข่าวได้ใช้น้ำเสียงที่นุ่มนวลคอยรายงานสถานการณ์ล่าสุดของคณะรัฐประหาร ให้ประชาชนได้รับทราบทุก ๆ ขณะ
เวลา 5 ทุ่ม 15 นาทีทหารที่สวมหมวกเหล็ก มือถือปืน สวมเสื้อกันฝน ก็ได้เข้ายึดถนนสายสำคัญในกรุงเทพฯ เช่น ถนนศรีอยุธยา และถนนราชดำเนิน ทหารได้ช่วยตำรวจรักษาความเรียบร้อยบนท้องถนน รวมทั้งการวางสิ่งกีดขวางบนถนน
มีสภาปฏิรูปการบริหารประเทศ (The Administrative Reform Council ) ชื่อย่อว่า ARC ซึ่งตอนหลังเปลี่ยนชื่อเป็นคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข ( คปค. Council for Democratic Reform )
เวลา 5 ทุ่ม 50 นาทีผู้แทนคปค. พล.ต.ประพาส ศกุนตนาถ อดีตโฆษก ททบ.5 สวมชุดสูท ผูกเน็คไทสีเหลือง เป็นโฆษกของฝ่ายทหาร บริเวณหน้าอก ติดเครื่องราชอิสิริยาภรณ์ ปรากฎตัวบนโทรทัศน์ช่อง 5 ประกาศแถลงการณ์ของฝ่ายทหารฉบับที่ 2 ชี้แจงถึง สาเหตุในการรัฐประหาร เพราะรัฐบาลทักษิณได้สร้างความแตกแยก ให้กับประเทศ และมีการคอร์รัปชั่นอย่างชัดเจน จึงจำเป็นต้อง มีการฟื้นฟูการเมืองและสังคมไทยให้เป็นระเบียบ และกลับสู่สภาวะปกติ คณะปฏิรูปการปกครองฯที่รวมกลุ่มโดยกองกำลังทหารติดอาวุธและตำรวจไทยได้ตัดสินใจล้มล้างอำนาจทางการเมืองของนายกทักษิณ ชินวัตรเพื่อปฏิรูปทางการเมือง พวกเขาเน้นย้ำว่ากองกำลังทหารไม่ได้มีเจตนาที่จะปกครองประเทศ และจะมอบอำนาจกลับคืนสู่ประชาชนโดยเร็ว
เวลา 0.39 น. มีประกาศแถลงการณ์คปค.ฉบับที่ 3 ที่โทรทัศน์ช่อง 5 ยกเลิกรัฐธรรมนูญ ปี 2540 ล้มเลิกศาลรัฐธรรมนูญไทย ล้มเลิกรัฐสภาไทยและคณะรัฐมนตรีภายใต้การนำของนายกทักษิณ
คณะรัฐประหารประกาศภาวะฉุกเฉิน ห้ามทหารออกนอกที่ตั้ง ทั้งเน้นย้ำว่าการก่อรัฐประหารในครั้งนี้นำโดยผู้บัญชาการทหารบกพลเอกสนธิ เพื่อฟื้นฟูความเป็นระเบียบเรียบร้อยของการเมืองและสังคมไทยให้กลับคืนสภาวะปกติ และจะคืนอำนาจสู่ประชาชนให้เร็วที่สุด จากนั้นก็ได้เผยแพร่ข่าวอีกครั้งว่านายกทักษิณที่อยู่ที่นิวยอร์กยอมรับการลาออกจากตำแหน่งซึ่งพบภายหลังว่าเป็นเพียงข่าวลือ การก่อรัฐประหารของไทยในครั้งนี้ถือได้ว่าสดวกและรวดเร็วมาก
สื่อมวลชนไทยถึงกับยกย่องว่าเป็น การรัฐประหารที่โรยด้วยกลีบกุหลาบราบรื่นเหมือนดั่งแพรไหม
คุณทักษิณกำลังนั่งอยู่ในห้องพักที่โรงแรม Hyatt ในนครนิวยอร์ก จ้องดูข่าว CNN ซึ่งเมื่อ10กว่าปีที่แล้ว เขาได้ซื้อลิขสิทธิ์ในการแพร่ภาพของ CNN ในไทย แต่ตอนนี้กลับต้องมานั่งอยู่อย่างเดียวดาย ในห้องพักโรงแรมแห่งหนึ่งในต่างแดนดูข่าว CNN ถ่ายทอดเหตุกาณ์การก่อรัฐประหาร ล้มล้างอำนาจของตนเอง รายการข่าว Breaking News ของ CNN วันที่ 19 กันยายน เวลาในประเทศไทยประมาณ 4 ทุ่ม 10 นาที ถ่ายทอดสดไปทั่วโลกว่าตอนนี้รถถังได้เคลื่อนเข้ากรุงเทพแล้ว
จากนั้นไม่นาน รองนายกสุรเกียรติ์ เสถียรไทย ที่เยือนต่างประเทศพร้อมนายกทักษิณได้พูดกับนักข่าวของ CNN ว่า“กองกำลังทหารเล็กๆที่คิดจะออกมาล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่พวกเขาไม่มีทางทำได้สำเร็จแน่นอน คุณทักษิณตอนนี้ยังคงเป็นนายกรัฐมนตรีของไทย” แต่ว่าหลังจากนั้น 10 นาที CNN ได้รายงานว่าคณะทหารที่กรุงเทพได้เข้ายึดอำนาจเรียบร้อยแล้ว
คณะผู้แทนจากประเทศไทยบางคนที่นั่งอยู่ในห้องของนายกฯ ดูข่าวCNN พร้อมกับทักษิณ ทุกคนต่างก็นั่งเงียบไม่มีเสียงใดๆ สมาธิจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรทัศน์ ไม่ได้พูดอะไรสักคำ
คุณทักษิณมีสีหน้าค่อนข้างสงบนิ่งอยู่ตลอด ดูเหมือนกำลังมีเรื่องที่ต้องครุ่นคิดหรือเหนื่อยล้าจนพูดไม่ออก เหมือนกับจะรู้ล่วงหน้าอยู่แล้วว่าผลจะออกมาเป็นอย่างนี้ จากนั้นฉากจบก็ได้มาถึงจริงๆ ซึ่งเขากลับรู้สึกโล่งอก ได้หลุดพ้นและผ่อนคลายจากความวิตกกังวลที่เคยมีมาโดยตลอด ณ นาทีนี้กลับสงบนิ่งเหมือนกลับสู่ภาวะปกติ และสงบนิ่ง ความวิตกกลัวกังวลและความหวาดหวั่นที่มีมานานค่อยๆจางหายไป เขารู้ว่าตนเองกำลังตกต่ำจนถึงที่สุดและก็ไม่สามารถที่จะลงไปได้ต่ำกว่านี้แล้ว
บางครั้งคุณทักษิณก็อดคิดไม่ได้ว่านี่หรือคือสิ่งที่ตนได้รับในตอนจบของการทำเพื่อประเทศชาติและประชาชน นี่หรือคือสิ่งที่ตนได้รับตอบแทนจากการอุทิศทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อพระมหากษัตริย์ประเทศชาติ และประชาชน นี่คือสิ่งที่ตนได้รับตอบแทนจากการเป็นนายกรัฐมนตรีตลอด 6 ปีที่ผ่านมา
ในความเชื่อของคนไทยพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์พร้อม เป็นพระเจ้าที่ทรงเมตตา และมีพระปรีชาสามารถในทุกๆด้าน และเป็นพระบิดาหรือพ่อของคนไทยทุกคน ที่ทรงห่วงใยในความเดือนร้อนและทุกข์สุขของราษฎร เป็นภูผาที่ยืนตระหง่านมั่นคงเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางสถานการณ์ความไม่สงบต่างๆ
พระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ของโลก ในยุคสมัยโลกเสรีสมัยใหม่ จะวางตนเป็นสามัญชนมากขึ้น และต่างก็กังวลในเรื่องการกอบกู้เกียรติภูมิและการรักษาสถานะที่มั่นคงของพระราชวงศ์ตน
มีเพียงพระมหากษัตริย์ของประเทศไทยพระองค์นี้เท่านั้นที่เป็นที่รักเทิดทูนและศรัทธาจากราษฎรอย่างไม่เสื่อมคลายเสมอมา เคล็ดลับในการรักษาอำนาจอย่างน่ามหัศจรรย์เป็นผลมาจากพระปรีชาสามารถ กุศโลบาย ทักษะทางการเมือง ที่แยบยลและวิสัยทัศน์ที่ลึกซึ้งในการควบคุมสถานการณ์ของพระองค์ และยังต้องรวมถึงพระชนมมายุที่ครองราชย์มายาวนาน ทั้งในเมืองและชนบท ต่างกราบไหว้พระบรมฉายาลักษณ์ ทุกแห่งที่พระองค์เสด็จชาวบ้านจะพากันมาเฝ้าชมพระบารมีไม่ว่าอากาศจะร้อนจัดหรือฝนฟ้าคะนองเพียงไร ห่รือต้องรอนานสักเพียงไร ต่างเพียงต้องการให้ได้เห็นในหลวงซึ่งเป็นที่รักยิ่ง
ในหลวงได้กลายเป็นแบบอย่างที่ยอมรับของราษฎรทั่วไป ว่าพระองค์มีความสนพระทัยในพระราชกรณียกิจ ทรงไม่โปรดความฟุ่มเฟือย และการโอ้อวด ดูเสมือนว่าทรงโปรดทั้งศิลปะและวิทยาศาสตร์
ทรงเชี่ยวชาญภาษาต่างประเทศ 7 ภาษาแต่ท่านพูดภาษาไทยไม่ค่อยรู้เรื่อง มักพูดวกไปวนมา ไม่กล้าพูดตรงไปตรงมา ทรงได้รับประกาศเกียรติคุณดีเด่นจากสถาบันการดนตรีเวียนนา พระราชนิพนธ์เพลงมากกว่า 40 เพลง ทั้งๆที่พระองค์ไม่ได้แต่งเองจริงๆแม้แต่เพียงเดียว เพราะที่จริงพระองค์เริ่มมาหัดเรียนภาษาไทยทีหลัง
ทรงออกแบบเรือใบ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของนักเล่นเรือใบเล็ก และ เคยได้รับรางวัลใหญ่ที่จากสถาบันวิจัยสิ่งประดิษฐ์ ทางวิทยาศาสตร์นานาชาติเกี่ยวกับการสร้างเครื่องเพิ่มออกซิเจนเพื่อบำบัดน้ำเสียหรือ กังหันชัยพัฒนา ที่กินน้ำมันมาก ไม่เป็นที่นิยมและเอาไว้โชว์เป็นหลัก นอกจากนี้ ทรงมีความสามารถในด้านการแข่งขันเรือใบตามแผนการสร้างกษัตริย์นักกีฬาแบบกษัตริย์นอรเวย์ โดยทรงร่วมการแข่งขันกีฬาแหลมทอง ในนามประเทศไทยขณะที่มีพระชนมายุ 40 พรรษาและทรงได้รับเหรียญทองในการแข่งขันกีฬาเรือใบตามแผนที่คณะกรรมการโอลิมปิคไทยได้วางไว้ล่วงหน้าแล้ว
เมื่อพระชนมายุ 75 พรรษาได้พระราชนิพนธ์หนังสือเกี่ยวกับสุนัขของพระองค์ชื่อทองแดง โดยได้สร้างสถิติ การจำหน่ายมากถึง100,000 เล่มภายใน 10 ชั่วโมงเพื่อแข่งกันแสดงความจงรักภักดี เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงต้องมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นถือได้ว่า ทรงมีความเป็นเลิศ เหนือกว่าพระมหากษัตริย์ใดๆในโลก ทั้งๆที่ไม่ได้จบปริญญาและไม่ใช่นักประชาธิปไตยแม้แต่น้อย
พระปรีชาสามารถไม่จำกัดแต่เพียงด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์แต่พระองค์ยังเป็นนักการเมืองตัวจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ที่ทำเหมือนไม่อวดตนแต่ที่จริงมักทำตนเหนือกว่าเทวดาและพระอริยสงฆ์
ทรงประทับอยู่ในพระราชวัง และทรงติดตามสถานการณ์ความเป็นไปของบ้านเมือง ทรงประทับอยู่หลังฉากและเป็นผู้กำกับเวทีการเมืองไทยที่ไม่มีใครกล้าวิจารณ์หรือแม้แต่ตั้งข้อสังเกตจริงๆ จนทำให้ประเทศไทยไม่เคยมีเสถียรภาพทางการเมืองและไม่มีพัฒนาการในระบอบประชาธิปไตยตลอดรัชสมัยที่นานที่สุดในโลกของพระองค์ ทรงผ่านเหตุการณ์รัฐประหารอำนาจทางทหารบ่อยครั้งเฉลี่ย 3 ปีครั้ง โดยไม่มีใครทราบหรือกล้าพูดเลยว่าพระองค์ทรงคิดเห็นอย่างไร นอกจากต้องถวายความจงรักภักดีสรรเสริญพระบารมีต่อไปและตลอดไปเท่านั้น ………
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น