วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตำนานรวมชุด 1002 : ตาดูดาว เท้าสะดุดวัง ตอนที่ 2 LS 02

ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ :
https://youtu.be/0J0b98STJfI
http://www.4shared.com/mp3/5h-z84F8ba/Look_For_a_Star_02_OK_.html  
http://www.mediafire.com/listen/hhc5gmzvwln5cbd/Look+For+a+Star+02+OK+.mp3


.........................

พลเอกสนธิได้ให้สัมภาษณ์สื่อ หลังจากการยึดอำนาจโดยเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่หารือกับคุณทักษิณว่า “ ตอนนั้นท่านทักษิณถามผมว่าคุณจะก่อการรัฐประหารหรือไม่ ผมก็ตอบไปอย่างชัดเจนว่า ผมจะทำ ผมไม่เสียใจที่ตอบไปเช่นนั้น หากย้อนเวลากลับไปได้ ผมก็จะตอบท่าน เช่นเดิมพลเอกสนธิยังกล่าวอีกว่า เขาไม่เคยไว้ใจนายกทักษิณแม้แต่น้อย ก่อนการรัฐประหาร เขาได้ตามทักษิณไปเยือนประเทศพม่า มีคนเตือนให้เขาระวังตัว ดังนั้นเขาจึงได้สั่งให้ลูกน้องพกปืนไปด้วย โดยตัวเขาเองนั่งตรงข้างประตูเครื่องบิน “ เพื่อจะ ได้จัดการกับเรื่องฉุกเฉินที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ”
ไม่ทราบว่าใครที่โกหกกันแน่ ระหว่างนายกทักษิณกับคนทรยศอย่างพลเอกสนธิ แต่ถ้าพลเอกสนธิได้พูดต่อหน้านายกทักษิณว่า “ ผมจะโค่นล้มคุณ ” จริงๆ นายกทักษิณก็ต้องรีบจัดการคนที่แสดงตนเป็นอันตรายโดยการปลดออกจากตำแหน่ง และลงโทษทางวินัยในทันที
เป็นไปได้หรือ ที่นายกทักษิณกลับไม่รู้สึกอะไรอีกทั้งในช่วงหนึ่งเดือน หลังจากนั้นกลับแกล้งเป็นหูหนวกตาบอดเหมือนไม่มีอะไร ไม่ดำเนินการอะไรทั้งสิ้น นั่งรอให้ศัตรูมาทำร้ายตนเอง จนถึงแก่ความพ่ายแพ้ คงจะเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดมาก

หลังจากได้รับสายโทรศัพท์จากคุณหญิงพจมาน คุณทักษิณก็นิ่งอึ้งไป พอตั้งสติได้ ก็รีบโทรศัพท์หาคนที่น่าจะรู้ข่าวและข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น ทั้งฝ่ายข่าวกรอง ฝ่ายทหาร รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีประจำสำนักนายก กรมตำรวจ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ผู้รับผิดชอบในพื้นที่ โทรตรวจสอบข่าวจากทุกคนและทุกฝ่าย ที่พอจะนึกชื่อได้ จนจำไม่ได้ว่าโทรไปทั้งหมดกี่รายในเวลากว่าสองชั่วโมง เพื่อตรวจสอบให้แน่ใจว่าข่าวที่ตนได้รับทราบจากคุณหญิงพจมานนั้นเป็นความจริงหรือไม่ แต่จากการโทรศัพท์สอบถามคนหลายต่อหลายคน กลับได้คำตอบที่สับสนมากขึ้นไปอีก บางคนบอกว่าเป็นเรื่องจริง แต่บางคนบอกว่าเป็นข่าวลือ บางคนก็บอกว่าไม่ทราบอะไรเลย

บรรดารัฐมนตรีของรัฐบาลทักษิณ ต่างก็เพิ่งจะรู้เรื่องหลังเกิดการรัฐประหารขึ้นแล้วทั้งนั้น ส่วนฝ่ายข่าวกรองของรัฐบาลนั้น ก็ไม่เคยได้รายงานข่าวที่เป็นประโยชน์และน่าเชื่อถือใดๆ เลย ทำให้คุณทักษิณหงุดหงิดและเสียใจที่ได้คาดการณ์ผิดเป็นอย่างมาก เพราะการประชุมคณะรัฐมนตรีระบบทางไกลผ่านดาวเทียมเมื่อ 5 ชั่วโมงที่แล้ว ผู้บัญชาการทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศล้วนไม่ได้เข้าร่วมประชุม ซึ่งนายกทักษิณน่าจะสังเกตได้ว่ามันเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงความผิดปกติ ที่จริงคุณทักษิณก็เห็นความผิดปกติ แต่ว่าเขาไม่ได้สนใจ และยังเข้านอนอย่างไม่ได้สงสัยอะไรเลย ซึ่งนับเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่อย่างไม่น่าให้อภัย

คุณทักษิณถือโทรศัพท์เดินไปมาในห้อง และได้สั่งให้พลตำรวจเอกชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีซึ่งอยู่ในประเทศไทย รีบเข้าควบคุมสถานการณ์ และยังได้ติดต่อกับรัฐมนตรีต่างประเทศ ( คุณกันตธีร์ ศุภมงคล ) ซึ่งกำลังร่วมงานนิทรรศการวัฒนธรรมไทย - ฝรั่งเศส ที่พระเทพฯ ทรงเป็นประธาน ณ กรุงปารีส

รัฐมนตรีต่างประเทศก็ตกใจเช่นเดียวกับคุณทักษิณ
คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ รัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์ กำลังพักร้อนกับครอบครัวที่ฝรั่งเศส พลอากาศเอกคงศักดิ์ วันทนา กรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยอดีตรัฐมนตรีมหาดไทยไปเยอรมนีแล้ว ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรีติดตามเขามาประชุมที่กรุงนิวยอร์ก นายทนง พิทยะ รัฐมนตรีการคลังได้ร่วมประชุมธนาคารโลกที่ประเทศสิงคโปร์ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าพาณิชย์ก็อยู่ที่กรุงปารีส เช่นเดียวกัน

แม้ว่าคุณทักษิณพร้อมที่จะสู้แต่ก็ไม่มีกำลังและอำนาจในขณะที่เกิดการรัฐประหาร การรัฐประหารทั้งหมดได้ผ่านการวางแผนอย่างดี โดยฝ่ายทหารได้เลือกห้วงเวลาที่เหมาะแล้วยังกล้าที่จะเสี่ยงทำความผิดอันใหญ่หลวง เหมือนสมัยกบฏบวรเดช 2476 คุณทักษิณยังเชื่อว่า ถ้าตนยังอยู่ในประเทศไทยพวกทหารก็คงไม่กล้ายึดอำนาจแน่นอน
ประเทศไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ในขณะนั้น รัชกาลที่ 7 ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย ด้วยความเจ็บแค้น จนถึงขนาดหมดหวัง และได้ทรงมีพระราชดำรัสว่า หากพวกกบฏยังคงบีบคั้นพระองค์อีก พระองค์จะยิงพระชายาและจะสังหารพระองค์เองให้ตายตามกันไป

ตลอดระยะเวลาหลายปีมานี้ เวทีการเมืองไทยไม่มีเสถียรภาพ มีการยุบสภา มีการรัฐประหาร โดยคนไทยยอมคล้อยตามและนิ่งเงียบยอมรับมาตลอด ประชาชนไทยไม่เคยทำการต่อต้านการรัฐประหาร จนทำให้พวกยึดอำนาจต้องพ่ายแพ้ แม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆที่ประชาชนคือผู้ที่เสียภาษี และเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง เพราะถือว่าไม่ใช่เรื่องของตน ธุระไม่ใช่ และไม่สนใจว่าใครจะขึ้น ใครจะลง ใครอยู่ใครไป ขอแค่เพียงไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของตนก็พอ

การที่ประชาชนไทยเมินเฉยและก้มหน้ายอมรับการรัฐประหาร ทำให้ทหารสามารถผูกขาดอำนาจมาได้โดยสดวก เพราะคนไทยมีความคิดความเชื่อที่รักสงบรักสันติและไม่ชอบใช้ความรุนแรง คนไทยร้อยละ 95 ของจำนวน 63 ล้านคน นับถือศาสนาพุทธนิกายเถรวาท ( หินยาน ) ทั่วประเทศมีวัดจำนวน 32,000 กว่าแห่ง และพระสงฆ์ 3 แสนกว่ารูป โดยเฉลี่ยประชาชน 160 คน จะมีพระสงฆ์ 1 รูป คนส่วนใหญ่ยังมีความเชื่อในเรื่องของบุญกรรมแต่ชาติปางก่อน และได้สะท้อนออกมาในวัฒนธรรมทางการเมือง ยอมรับและทำตามท่านผู้มีอำนาจ เพราะมันเป็นเรื่องของบุญกรรม พระพุทธศาสนาห้ามฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เป็นสังคมที่พร้อมให้อภัยกัน ด้วยความโอบอ้อมอารี และประชาชนก็เบื่อหน่ายต่อการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์ของนักการเมืองมานานแล้ว

คนไทยถูกสอนว่าการเมืองเป็นสิ่งที่เลวร้ายเสื่อมโทรม วุ่นวาย และมองนักการเมืองว่าเป็นผู้แสวงหาอำนาจ แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัว ชอบโต้เถียงและทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีใครมีความรู้ความสามารถจริงๆ ไม่เชื่อว่าระบอบประชาธิปไตยจะแก้ไขปัญหาของประเทศชาติและประชาชนได้ เพราะเห็นมีแต่พวกนักการเมืองที่มัวแต่แย่งชิงอำนาจกัน มีแต่ความวุ่นวายไม่สิ้นสุด ระบอบประชาธิปไตยใช้ไม่ได้ผลในประเทศไทย
การที่ทหารลุกขึ้นยึดอำนาจอีกครั้งจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ได้มีการวางแผนและดำเนินการเพื่อทำรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลทักษิณมาเป็นอย่างดี คณะรัฐประหารได้เริ่มลงมือ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เวลา เมื่อเวลา 18.30 น. มีข่าวว่า 4 หน่วยรบพิเศษจาก กรมทหารราบที่ 31 ( รักษาพระองค์ ลพบุรี ) กองพันทหารม้าที่ 23 กองพันทหารม้าที่ 24 ( ค่ายอดิศร สระบุรี ) และกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (ปราจีนบุรี) ซึ่งเป็นกองกำลังสำคัญจากกองทัพภาคที่ 3 (ภาคเหนือ มีศูนย์ที่พิษณุโลก) และกองทัพภาคที่ 4 ทำการรวมกำลังพล (โดยหน่วยทหารรักษาพระองค์ของกองทัพบก มี 3 กองพล 14 กรม 42 กองพัน) พร้อมอาวุธครบมือเข้าคุมสถานการณ์ด้านตะวันออก และเหนือรอบกทม.เป็นบริเวณ 100 กม. และมีข่าวว่าประธานองคมนตรี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ กำลังเข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล

นายกทักษิณเคยปราศรัย เมื่อปลายเดือนมิถุนายนว่า มีอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ พยายามไล่เขาออกจากตำแหน่ง เป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ โดยหลายคนเชื่อว่าเป็น พล.อ.เปรม ถึงขนาดที่ว่า ภายหลังเหตุการณ์ซุกระเบิดในรถยนต์ ในเดือนสิงหาคม ที่หมายลอบสังหารคุณทักษิณไม่กี่วัน ก็ได้มีบุคคลที่สนับสนุนคุณทักษิณนับสิบคนได้เดินทางไปที่บ้านสี่เสา เพื่อขอร้องให้ พล.อ. เปรม ซึ่งกำลังฉลองวันเกิดปีที่ 86 ขอให้แสดงความเมตตา ไว้ชีวิตนายกทักษิณด้วย ทำให้พล.อ.เปรมในช่วงเวลานั้นเครียดมาก ไม่ค่อยยอมพูดจากับใครทั้งๆที่รู้กันโดยทั่วไปว่าพลเอกก็คือตัวแทนที่รับใช้ในหลวง

ยังมีข่าวว่า เมื่อนายกทักษิณได้ทราบข่าวว่าจะมีการทำรัฐประหารขณะที่ตัวท่านอยู่ที่นิวยอร์ค ก็คิดว่าจะชิงลงมือก่อน โดยทำการควบคุม พล. อ. เปรมไว้ เพื่อยับยั้งการรัฐประหาร แต่กำลังตำรวจไม่สามารถเข้าควบคุมตัว พล.อ.เปรม ซึ่งเป็นคนพา พล.อ. สนธิ เข้าเฝ้าพระเจ้าอยู่หัว

เวลา18.55 น. สำนักข่าวไทยได้ประกาศข่าวว่า “ นายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร จะเดินทางกลับกรุงเทพฯเร็วกว่ากำหนด 1วัน โดยจะเดินทางกลับถึงกรุงเทพ ในวันพฤหัสบดีที่ 21 ก.ย. 2549 ” เพราะท่านคงทราบข่าวว่าฝ่ายทหารกำลังจะกระทำการรัฐประหาร เท่ากับเป็นการบอกผู้ที่จะกระทำการรัฐประหารว่า เขารู้แผนอันชั่วร้ายแล้ว และกำลังจะกลับไปจัดการกับเรื่องนี้เอง แต่เวลานั้นคุณทักษิณไม่สามารถเดินทางกลับมาได้เพราะมันเสี่ยงเกินไป ดังนั้นคุณทักษิณจึงจำเป็นต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์อยู่ห่างๆ

ฝ่ายรัฐประหารได้ชิงลงมือ เพื่อยึดสื่อไว้ในมือ เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น.โดยมีนายทหารแต่งชุดเต็มยศเดินทางเข้าไปที่สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 และได้ทำการเตรียมพร้อม เพื่อเสนอข่าวพิเศษ ไว้ 1 ชุด ขั้นตอนการรัฐประหารดำเนินไปอย่างมีระเบียบแบบแผน ไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ ฝ่ายทหารส่งกองกำลังพิเศษเข้าไปควบคุมสถานีโทรทัศน์ และสถานีวิทยุต่างๆของกรุงเทพมหานคร

ขอให้สถานีต่างๆ ยุติการถ่ายทอดรายการของตน และเปลี่ยนรายการเป็นรูปของพระราชวงศ์ เปิดเพลงปลุกใจ รักชาติ และถ่ายทอดสารคดีพระราชกรณียกิจของพระเจ้าอยู่หัว ในเวลาเดียวกัน ก็จะส่งกองกำลังรบพิเศษไปพระราชวังสวนจิตรลดา รักษาความปลอดภัยแก่พระเจ้าอยู่หัวเพื่อเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ เพราะถ้าพระมหากษัตริย์ไม่เห็นด้วยต่อการทำรัฐประหาร ผู้นำรัฐประหารก็คงต้องเนรเทศตัวเองสถานเดียว

หลังจากนั้นรถถังก็จะออกมาวิ่งบนถนนในกรุงเทพมหานคร ทหารถือปืนกลก็จะมายึดทำเนียบรัฐบาล เข้ายึดอำนาจในการบริหารประเทศ แล้วก็จะมีการประกาศปลดนายกรัฐมนตรีออกจากตำแหน่ง ยกเลิกรัฐธรรมนูญ และการนำมาซึ่งการบริหารประเทศภายใต้ระบบการปกครองใหม่

เวลา 07.30 น. ท้องฟ้าสว่างแล้ว ณ นครนิวยอร์ก ขณะนั้น นายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี ซึ่งพักอยู่ที่ โรงแรมไฮแอท บนถนน 42 กำลังจะเดินลงมารับประทานอาหารเช้า ก็ได้รับสายโทรศัพท์จากนายกทักษิณให้ไปพบที่ห้อง เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้อง presidential suite ในห้องมี ดร. สุรเกียรติ์ เสถียรไทย รองนายกรัฐมนตรี








นายพันธ์ศักดิ์ วิญญรัตน์
ที่ปรึกษาด้านนโยบาย นายทอม เครือโสภณ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี นั่งอยู่แล้ว 10 กว่าคน
ท่านนายกทักษิณกล่าวออกมาว่า ที่กรุงเทพคืนนี้ อาจมีการทำรัฐประหาร พลเอกสนธิ กำลังทำการเคลื่อนกำลังพล หลายคนไม่เชื่อว่าทหารจะยังทำรัฐประหารอีกหลังจากได้เงียบหายไป 15 ปีนับตั้งแตพฤษภาทมิฬ การใช้กำลังทหารไปล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้น จะต้องถูกประชาคมโลกประณามอย่างแน่นอน การเลือกตั้งส.ส.ครั้งใหม่ก็กำลังจะมาถึงในเร็ววัน แต่คนพวกนั้นกลับกล้าทำรัฐประหารในยุคสมัยปัจจุบันนี้

น่าประหลาดที่ทีมงานของคุณทักษิณ ยังคงมีความเชื่อมั่นว่า คณะรัฐประหารจะต้องพ่ายแพ้และจะไม่ประสบความสำเร็จ เพราะว่าทหารที่จงรักภักดีต่อนายกรัฐมนตรี ประชาชนที่รักและเทิดทูน นายกรัฐมนตรี ปัญญาชนที่เข้าใจว่าประชาธิปไตยคืออะไร คนเหล่านี้จะไม่ยอม และไม่ปล่อยให้ทหารใช้กำลังไล่นายกรัฐมนตรีที่มาจากการเลือกตั้งลงมาจากตำแหน่งอย่างแน่นอน ยิ่งกว่านั้นคุณทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกในประวัติศาสตร์ไทยที่อยู่ในตำแหน่งครบ 4 ปี และยังได้รับการเลือกตั้งติดต่อกัน 2 สมัย

เป็นผู้นำไทยคนแรกที่สามารถตั้งรัฐบาล ที่คณะรัฐมนตรีประกอบด้วยพรรคการเมืองเดียว
นอกจากนั้นยังเป็นดาวเด่นทางการเมืองของเอเชียที่นานาประเทศจับตามอง เป็นนักการทูตที่สามารถประสานสัมพันธ์อันดี ระหว่างไทยกับอเมริกา อังกฤษ รัสเซียจีนและประเทศ มหาอำนาจอื่นๆ เป็นบุคคลที่สามารถดึงดูดมวลชนจำนวนมากในชนบท ได้รับการเทิดทูน ยกย่องจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ เป็น “ นายกขวัญใจชาวรากหญ้า
ประชาชนคงไม่ยอมให้คณะรัฐประหารมาทำลายผลงานและนโยบายดีๆของนายกทักษิณ ตลอดเวลา 1 ปีของวิกฤตทางการเมือง แม้ว่าจะมีคนที่คัดค้านด่าทอ และโจมตีคุณทักษิณอยู่ไม่น้อย 

แต่ว่าผู้เห็นด้วยและสนับสนุนทักษิณ ก็เข้มแข็งไม่น้อยไปกว่ากัน ทำให้คุณทักษิณสามารถอยู่รอดและโดดเด่นทางการเมืองมาได้โดยตลอดโดยเฉพาะชนชั้นรากหญ้า ที่ได้ก้าวออกมาปกป้องคุณทักษิณในนามคาราวานคนจน ที่ได้เดินทางสู่กรุงเทพฯเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับนายกทักษิณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย เกษตรกรที่สนับสนุนนายกรัฐมนตรี ได้รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ขนาดนี้และเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พวกเขาก็เดินทางกันมา 10 กว่าวัน โดยได้นำเอา อุปกรณ์ในการหุงหาอาหารมาด้วยเพื่อทำการหุงหาอาหารระหว่างทาง

ตั้งแต่สิ้นเดือนมกราคมที่หลังการขายหุ้นชินคอร์ป นายกทักษิณต้องกลายเป็นเป้าโจมตีของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ได้ทำการตั้งเวทีที่สวนลุมพินี เป็นจุดรวมการเคลื่อนไหวทำการปราศรัยและชุมนุม โดยมีนายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวขบวนปลุกระดมอย่างยืดยาว กล่าวหาว่า นายกรัฐมนตรีทักษิณไร้ซึ่งความเมตตาไร้ซึ่งคุณธรรม ไม่ซื่อสัตย์ เชื่อถือไม่ได้ ไม่จงรักภักดี ไม่กตัญญูรู้คุณคน คอร์รัปชั่นโกงกิน

สนธิ ลิ้มทองกุล ได้ระดมการประท้วงบนท้องถนนกรุงเทพให้รุนแรงยิ่งๆขึ้น โดยมีการชุมนุมประท้วง 5 ครั้งที่อ้างว่ามีผู้คนร่วมการประท้วงเกิน 1 แสนคน รวมตัวกันเป็นแถวยาวเคลื่อนตัวไปตามท้องถนน ทำให้การจราจรในบริเวณใกล้เคียงเป็นอัมพาต นอกจากนี้ยังมีการนำเอาผ้าสีเหลือง - สัญลักษณ์ความจงรักภักดี ต่อพระเจ้าอยู่หัว มาผูกไว้บนหัวและแขน พร้อมกับชูธงชาติ และป้ายต่างๆนานา ที่ต่อต้านรัฐบาล และทำให้ทักษิณดูไม่ดี มีเขี้ยวโง้งราวหมูป่าและในปากมีลิ้น 2 แฉกของอสรพิษแลบออกมา หรือไม่ก็มีการใส่ผ้าปิดตาโจรสลัดมีมือข้างหนึ่งเป็นตะขอและตะโกน ทักษิณ ออกไป! แม้กระทั่งพระบางกลุ่มก็เริ่มออกมาเคลื่อนไหว ลูกศิษย์สันติอโศกของโพธิรักษ์ และลูกศิษย์ของหลวงตามหาบัวได้ประกาศตำหนิรัฐบาลทักษิณว่า ชั่วร้ายเลวทรามโกงกิน หลงใหลในอำนาจ

วันที่ 3 มีนาคม 2549 ได้มีการจัดการชุมนุมเพื่อสนับสนุนนายกทักษิณ อย่างยิ่งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อนที่สนามหลวง โดยที่พรรคไทยรักไทย สื่อรายงานว่ามีผู้สนับสนุนมาร่วมงาน 2 แสนคน นายกทักษิณกล่าวว่าเขาได้แต่อดทนและอดกลั้นต่อการกระทำของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขา แต่บัดนี้เขาต้องการให้คนที่ไม่ชอบเขา เห็นพลังของประชาชนที่สนับสนุนเขา ในคืนเดียวกันนั้น นายกทักษิณได้แสดงความขอบคุณผู้ที่มาสนับสนุน และพร้อมกับยื่นไมตรีให้กับกลุ่มผู้คัดค้านเขา โดยได้เสนอแนวคิดรัฐบาลแห่งชาติ เลิกเป็นรัฐบาลพรรคเดียว โดยดึงเอาพรรคอื่นมาร่วมการจัดตั้งรัฐบาลที่จะมีขึ้นหลังการเลือกตั้ง แต่กลุ่มคนที่ต่อต้านทักษิณไม่ได้ให้ความสนใจอะไรทั้งสิ้นและยังคงจัดการชุมนนุมประท้วงครั้งต่อไป

เช้าวันที่ 14 มีนาคม 2549 มีคนหลายหมื่นคนมารวมตัวกันที่สนามหลวง เริ่มเคลื่อนขบวนไปปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ไม่ให้นายกทักษิณเข้าทำเนียบ โดยมีพลตรีจำลอง ศรีเมือง เป็นผู้นำขบวน ขณะที่กลุ่มประชาชนที่สนับสนุนนายกทักษิณ ก็ยังคงเดินทางอยู่บนถนนมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ

กล่าวได้ว่าไม่เคยมีนักการเมืองไทยคนไหนที่ตกอยู่ท่ามกลางความแตกแยกที่ยิ่งใหญ่เท่านี้ ในบ้านความเห็นที่ไม่ตรงกัน ทำให้สมาชิกในครอบครัวมองกันดั่งเป็นศัตรู พนักงานขับรถแท๊กซี่ไล่ผู้โดยสารลงจากรถ เพราะว่าความเห็นไม่ตรงกัน ประชาคมโลกไซเบอร์อินเตอร์เนท ก็ตอบโต้กันอย่างรุนแรงตามเวปบอร์ดต่างๆ แม้กระทั่งนักเรียนประถมที่รักทักษิณ กับ เกลียดทักษิณ ก็ไม่ยอมมองหน้ากัน ประเทศทั้งประเทศตกอยู่ในภาวะสับสนและขัดแย้งกันซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย วันที่ 18 มี.ค.2549 ประชาชนผู้สนับสนุนนายกทักษิณก็เดินทางถึงกรุงเทพในนามคาราวานคนจนโดยยึดเอาสวนจตุจักรเป็นที่มั่น


ผลการเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายน 2549 มีผู้คนไม่ไปใช้สิทธิ์สูงถึง 10 ล้านคน แต่ว่าพรรคไทยรักไทยยังมีผู้สนับสนุนถึง 16 ล้านเสียง ได้รับเสียงสนับสนุนจากประชาชนร้อยละ 57 จากภาคใต้ และร้อยละ 70 จากประชาชนในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ กว่าร้อยละ 40 ของคนกรุงเทพ ก็ลงคะแนนเสียงให้พรรคไทยรักไทย ทำให้คุณทักษิณกล้าที่จะออกมาต่อต้านผู้ที่ขับไล่เขา และไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง ทำให้เขาเชื่อมั่นว่า การรัฐประหารจะไม่มีวันประสบความสำเร็จ แม้จะมีข่าวว่า ทหารได้เริ่มก่อการรัฐประหารแล้ว
คุณทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการยกย่องและรักใคร่นับถือจากกลุ่มคนรากหญ้าหรือคนด้อยโอกาสซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ ได้ยึดถือเอาการขจัดความยากจน มาเป็นนโยบายหลักของพรรคไทยรักไทย เป็นนายกนักปฏิรูป ผลักดันนโยบายด้านเศรษฐกิจเพื่อเกษตรกรและคนจนซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน รู้ว่าประชากรส่วนใหญ่ยังยากจนมีรายได้น้อย หมู่บ้านบางหมู่บ้านในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีรายได้ต่อหัวไม่ถึง 1200 บาทต่อเดือน บางคนมีรายได้ไม่ถึง 30 บาทต่อวัน หรือเท่ากับค่าก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม
คุณทักษิณเชื่อว่าสาเหตุของความยากจนเกิดจากการบริหารของรัฐบาล เพราะนักการเมืองต้องลงทุนใช้เงิน เมื่อได้รับเลือกตั้งเข้ามาก็ต้องถอนทุนคืนและต้องเตรียมหาเงินทุนสำหรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพียงแค่นี้นักการเมืองก็ยุ่งพอแล้วจนไม่มีเวลาคิดถึงคนยากคนจน
การบริหารประเทศต้องเริ่มที่การแก้ปัญหาความยากจน โดยต้องเริ่มทำการเปลี่ยนวิธีคิด เพราะปัญหาเก่าไม่ได้รับการแก้ไขมานานและมีปัญหาใหม่เกิดขึ้นตลอดเวลา จึงต้องเร่งทุ่มเทในการแก้ปัญหาโดยต้องปรับโครงสร้างหนี้ ให้คนจนมีเงินลงทุนสร้างรายได้และจับจ่ายใช้สอย สามารถมีบ้านเป็นของตนเอง รัฐบาลจำเป็นต้องช่วยปรับปรุงโครงสร้างผลิตภัณฑ์ ให้มีมาตรการทางการตลาดอย่างทั่วถึงเป็นระบบ หากประชาชนส่วนใหญ่มีความมั่นคงประเทศชาติก็จะเข้มแข็ง ต้องยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้นได้
คุณทักษิณได้ให้สัญญาว่าหากพรรคไทยรักไทยได้รับเลือกตั้งเป็นรัฐบาล จะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาให้กับคนในชนบทและ คนด้อยโอกาสในเมือง นโยบายพรรคไทยรักไทยจึงได้รับการตอบรับอย่างดีจากคนยากคนจนในชนบทและในเมือง ทำให้พรรคไทยรักไทยได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น ในขณะที่คุณทักษิณมีอายุ 52 ปี ก็ได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยถือเอาการขจัดความยากจน เป็นภารกิจแรกของรัฐบาลใหม่ และประกาศว่าในระยะเวลา 2 สมัย หรือ 8 ปีจะแก้ไขปัญหาความยากจนของประเทศให้สำเร็จ สิ่งแรกคือต้องเตรียมทุนให้พร้อมและให้โอกาสคนจนพลิกฟื้นฐานะของตน

นายกทักษิณเชื่อว่า“ ขอเพียงให้โอกาสคนจน ปลดปล่อยศักยภาพของพวกเขา ก็จะสามารถแก้ไขรากเหง้าของความยากจนและทำให้มวลชนสามารถพึ่งตัวเองในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของตนเองได้ ” หน้าที่ของรัฐบาลคือ คอยให้โอกาสที่เหมาะสม และเงินทุนเริ่มต้นก็เพียงพอแล้ว
นายกทักษิณกล่าวว่า ปัญหาพื้นฐานของประเทศไทย คือความยากจน โดยมีเงินทุนเป็นปัญหาสำคัญ การขาดเงินทุนและไม่ได้รับการศึกษาที่ดีทำให้ไม่มีโอกาสและต้องย่ำอยู่กับความยากจน แต่ถ้าหากพวกเขามีโอกาสที่พอเพียง สามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลสำคัญ มีทางเข้าถึงเงินทุน และได้รับการศึกษาที่ดีขึ้น พวกเขาก็จะสามารถ หลุดพ้นจากความยากจนได้
โครงการกองทุนหมู่บ้านๆละ ล้านบาท เป็นโครงการแรกของรัฐบาลทักษิณโดยรัฐบาลได้ใช้เงิน 7-8 หมื่นล้านบาทเข้าไปในหมู่บ้าน 7-8 หมื่น ( ราว 79,811หมู่บ้าน ) ทุกหมู่บ้านจะได้รับเงิน 1 ล้านบาทเพื่อใช้เป็นเงินกองทุนดอกเบี้ยต่ำ เป็นเงินที่ชาวบ้านสามารถนำมาใช้ได้ในยามจำเป็น เกษตรกรสามารถกู้เงินจากกองทุน เพื่อนำไปใช้ในการแปรรูปผลผลิต หรือใช้เป็นเงินทุนในการทำการค้าเล็กๆน้อยๆ ระหว่างที่ว่างเว้นจากการทำนาทำสวน หรือไปซื้อวัตถุดิบในการผลิตสินค้าและหัตถกรรมเพื่อนำไปขาย เพื่อเพิ่มรายได้ให้กับตนเอง ระยะแรกมีชาวบ้านยืนต่อแถวกันยาวหน้าที่ทำการคณะกรรมการกองทุนหมู่บ้านเพื่อขอกู้เงินจากกองทุนหมู่ เพราะในอดีตเมื่อเกษตรกรไม่มีเงิน หากไม่มีญาติมิตรช่วยเหลือ ก็ต้องไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ ทำให้ธุรกิจเงินกู้นอกระบบเฟื่องฟู โดยดอกเบี้ยสูงตั้งแต่ 20 – 200 เปอร์เซ็นต์ ต่อเดือน แต่ชาวบ้านไม่มีทางเลือก ต้องถูกเอาเปรียบอย่างไม่มีทางเลือก เพราะธนาคารนั้นเปิดโอกาสให้กับคนที่มีหลักทรัพย์หรือฐานะทางการเงินเท่านั้น เพราะการกู้เงินจากธนาคารจำเป็นต้องมีหลักทรัพย์มาจำนอง

เกษตรกรคนยากคนจนพากันยกย่องสรรเสริญนายกรัฐมนตรีคนใหม่ เป็นกระแสที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตามชนบทของประเทศไทย ที่ต่างก็พาเห็นว่าคุณทักษิณเป็นนายกที่ดีมาก สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ นายกทักษิณเชื่อมั่นในคนรากหญ้าที่ด้อยโอกาส แต่พรรคฝ่ายค้านได้โจมตีโครงการกองทุนหมู่บ้าน ว่าเป็นการส่งเสริมพฤติกรรมสร้างหนี้ของคนจน ส่งเสริมให้ประชาชนเป็นหนี้โดยไม่จำเป็นเอาเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือยและไม่ก่อให้เกิดรายได้และไม่มีปัญญาใช้คืนซึ่งจะทำให้หนี้เสียในประเทศเพิ่มมากขึ้น แต่นายกทักษิณเชื่อมั่นว่า แม้จะมีปัญหาหนี้เสียบ้าง รัฐบาลก็ยังจะต้องจัดหาแหล่งเงินทุนที่ถูกกฎหมายและเป็นธรรม มาให้ประชาชนผู้ยากไร้เหล่านี้และนโยบายนี้มีข้อดีมากกว่าข้อเสีย

2 ปี ให้หลัง ได้มีผลงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่าในจำนวนเงินกู้กว่า 1หมื่นล้าน มีเพียงร้อยละ 3 เท่านั้น ที่เป็นหนี้เสีย โดยที่เหลืออีกร้อยละ 97 มีการชำระเงินตามกำหนด นายกทักษิณให้สัมภาษณ์ว่า ได้จัดสรรกองทุนจำนวนหนึ่งให้ทุกๆหมู่บ้าน แม้ว่าจำนวนตัวเงินจะไม่มากแต่ว่าเงินจำนวนนี้ สามารถเป็นขุมทรัพย์น้อยๆ ของชาวบ้าน ที่พวกเขาสามารถนำไปใช้ตามที่พวกเขาเห็นสมควรในการนำไปใช้เป็นเงินทุนเริ่มต้น เพราะเกษตรกรไม่สามารถขอกู้จากธนาคาร จึงต้องหันไปพึ่งเงินกู้นอกระบบ

นายกทักษิณได้อัดฉีดเงินทุนให้หมู่บ้าน เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน โดยชาวบ้านเป็นผู้บริหารเองทุกหมู่บ้าน ต้องทำการคัดเลือกคณะกรรมการ หมู่บ้านละ 9 – 15 คน เป็นผู้บริหารการปล่อยกู้และการนำเงินกู้ไปใช้ เพราะพวกเขาทราบดีว่าใครทำอะไร ทำให้คนเหล่านี้ระมัดระวังในการปล่อยเงินกู้ ซึ่งธนาคารทั่วไปทำไม่ได้ ดังนั้น คณะกรรมการหมู่บ้านจึงเป็นกลไกที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแค่การบริหารเงินแต่ยังมีเรื่องอีกหลายอย่างที่ พวกเขาต้องไปร่วมกันทำ เช่น การป้องกันการแพร่ระบาดของยาเสพติดที่จะเข้ามาในชุมชน เมื่อหมู่บ้านเข้มแข็งแล้วการบริหารประเทศก็เป็นเรื่องง่าย
มีครั้งหนึ่งที่นายกทักษิณเดินทางไปดูตลาดสดของหมู่บ้านแห่งหนึ่งได้พบชายคนหนึ่งที่เคยเป็นคนยากจน ทำสวนทำนาหาเลี้ยงชีพ หลังจากที่เขาได้รับเงินกู้เขาก็เอาเงินไปซื้อเตาปิ้ง เนื้อสด เครื่องปรุง และเปิดร้านขายเนื้อย่างในตลาดสด ได้เงินมากกว่าเงินจากการปลูกข้าวในอดีต

นายกทักษิณยังได้ผลักดันนโยบายพักชำระหนี้ 3 ปีและลดหนี้ เพื่อแก้ปัญหาความยากจน โดยสั่งการให้ กระทรวงมหาดไทยสำรวจทุกท้องที่ของประเทศ และจัดให้มีการขึ้นทะเบียนคนจน พร้อมรายละเอียดหนี้สินว่าเป็นหนี้อยู่เท่าใด เป็นหนี้ใครบ้าง หลังจากประเมินความสามารถในการใช้หนี้แล้ว จึงได้สั่งการให้หน่วยราชการท้องถิ่นเข้าช่วยเหลือในการ ลด พักหรือยกเลิกภาระหนี้สินของคนจน
1 เม.ย. 2544 หลังจากนายกทักษิณเข้ารับตำแหน่งได้เพียง 2 เดือน เขาได้ประกาศว่า จากวันที่ 1 เม.ย. 2544 ถึงวันที่ 31 มี.ค. 2547 ภายในระยะเวลาสามปี เกษตรกรที่มีภาระหนี้สินกับ ธกส. ไม่เกิน 1 แสนบาท ไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินชำระหนี้เป็นเวลา 3 ปี ซึ่งจะทำให้เกษตรกรกลุ่มนี้ สามารถนำเงินทุนที่สะสมได้ ไปใช้ในการฟื้นฟูและขยายการผลิต โดยที่เมื่อมีรายได้แล้ว ค่อยเอาเงินมาคืนธนาคารหลังระยะปลอดหนี้ 3 ปี
รัฐบาลได้ทำการรื้อฟื้นโครงการสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับอุตสาหกรรมหมู่บ้าน และการฝึกอบรมเทคโนโลยีใหม่ให้แก่ประชาชน โดยมุ่งหวังช่วยยกระดับความสามารถในการผลิต
ธนาคารกสิกรไทยรายงานว่ามีเกษตรกร 2 ล้าน 3 พันคน ที่ได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ โดยมีหนี้ที่ถูกพักการชำระราว 1 แสนล้านบาท
นายกทักษิณพยายามหาทางลดหนี้ และยกเลิกภาระหนี้ให้กับเกษตรกร โดยได้สั่งการให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์เป็นตัวประสานในการเจรจากับพวกธุรกิจเงินกู้นอกระบบ โดยให้ธนาคารของรัฐรับซื้อหนี้เน่าทั้งหมด แล้วยกเลิกดอกเบี้ยของหนี้นั้นๆ หากลูกหนี้มีสถานะทางเศรษฐกิจที่ยากไร้มาก ไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยได้ ให้พิจารณาลดภาระหนี้ให้เหลือเพียงครึ่งหนึ่ง โดยให้เวลา 20 ปีในการผ่อนชำระ จากสถิติ มีผู้ยากไร้ 1,300,000 คนได้รับการลดหนี้ โดยคิดเป็นหนี้จำนวน 42,000 ล้านบาท โดยรัฐบาลเข้ารับภาระเงินจำนวนนี้

การพักชำระหนี้เกษตรกร
จะต้องนานพอ

ที่ให้เกษตรกรสามารถฟื้นฟูการผลิตได้


ปัจจุบันเกษตรกรไทยมีสภาพเหมือนกับคนไข้ที่ถูกก้อนหินใหญ่ทับไว้ สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ คือช่วยยกก้อนหินออกไปก่อน จากนั้นจึงต้องช่วยทำการฟื้นฟูสุขภาพให้พวกเขา ความจริงเงินที่รัฐบาลนำไปใช้จ่ายช่วยผู้ยากไร้ ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับเงินที่ใช้ไปในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เพื่อปกป้องค่าเงินบาท รวมทั้งการช่วยไม่ให้บริษัทใหญ่ๆ ล้มละลาย และการปกป้องชื่อเสียงของประเทศ ซึ่งต้องเสียหายถึง 1.3 ล้านล้านบาท ขณะที่รัฐบาลใช้เงินช่วยเหลือเกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศเป็นเงินรวมทั้งสิ้นเพียง 2 แสนล้านบาท โดยมุ่งให้ความช่วยเหลือด้านเงินทุนให้เกษตรกรมีโอกาสสร้างตัว

แต่ความยากจนเพราะการเจ็บป่วย ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่ง ในบางครั้งการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน ก็ทำให้ครอบครัวที่มีฐานะดีต้องยากจนลงได้เช่นกัน รัฐบาลทักษิณจึงต้องมี นโยบาย30 บาท รักษาทุกโรค ข้าราชการพนักงานรัฐวิสาหกิจ ลูกจ้างเอกชน มีการประกันสุขภาพ หรือกองทุนประกันสังคม ขณะที่ประชาชนที่ยากจนก็ได้รับการประกันสุขภาพโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ในความเป็นจริงก็คือ รัฐบาลซื้อประกันสุขภาพให้กับผู้ยากไร้ทั้งหมด
โดยรัฐบาลจัดสรรเงินปีละ 1,308 บาทต่อคน ให้กับคนไทยทุกคน และ ประชาชนจ่ายเงินเพียงครั้งละ 30 บาท ก็สามารถรับการรักษาโรคต่างๆ รวมทั้งโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ จากโรงพยาบาลของรัฐ โดยที่ค่าใช้จ่ายที่เหลือรัฐบาลจะเป็นผู้รับผิดชอบ ในการนำนโยบายนี้ไปปฏิบัติในระยะแรก โรงพยาบาลของรัฐ ล้วนประสบปัญหาคนไข้ล้นโรงพยาบาล แผนกคนไข้นอก มีคนไข้มาใช้บริการเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัว ตารางนัดหมายของหมอผ่าตัดเพิ่มขึ้นในเวลาอันสั้น
แต่เดิมคนไข้ที่ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายค่าผ่าตัด ก็จำเป็นต้องเลื่อนการผ่าตัดออกไป แต่ตอนนี้พวกเขาสามารถใช้บริการนี้ ด้วยค่าใช้จ่ายเพียง 30 บาท ทำให้มีประชาชนผู้ยากไร้จำนวนมาก ที่ได้รับการช่วยเหลือจากนโยบายนี้ รัฐบาลทักษิณยังได้ริเริ่มนโยบายประกันภัยเอื้ออาทร โดยให้ผู้ที่มีรายได้ต่ำจ่ายเงินเพียงปีละ 365 บาท เพื่อซื้อประกันชีวิตและประกันอุบัติเหตุ คุ้มครองการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพในวงเงิน 3 แสนบาท

ไม่มีประเทศใดในโลก แม้แต่ประเทศทุนนิยมที่ร่ำรวยที่สุด หรือประเทศสังคมนิยม กล้าที่จะนำมาตรการประกันสุขภาพสำหรับประชาชน ที่ราคาถูกเพียงแค่ 30 บาท มาใช้ เพราะรัฐบาลต้องใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล
แต่นายกทักษิณกล้าดำเนินนโยบายในประเทศไทย ทั้งๆที่ ไม่ใช่ประเทศที่ร่ำรวย ทำให้สื่อมวลชนทั่วโลก ต้องทำการรายงานข่าวเรื่องนี้

แต่ฝ่ายค้านก็ทำการอภิปรายคัดค้านนโยบายนี้อย่างเผ็ดร้อน ว่าเป็นนโยบายที่ใหญ่โตมโหฬารนี้จะทำให้ประเทศชาติเป็นหนี้สินมโหฬาร โดยอ้างตัวเลขระหว่างปี 2544 – 2546 ว่ารัฐบาลใช้เงินไปกับโครงการรักษาพยาบาล 54,100 ล้านบาทและในปี 2547 รัฐบาลใช้เงินไป 60,900 ล้านบาท ทำให้ขาดดุลย์งบประมาณ ที่รัฐบาลจะต้องรีบหาเงินมาใช้ ข้าราชการต่างแสดงความไม่พอใจ เพราะต้องทำงานมากขึ้นแต่แทบไม่มีการขึ้นเงินเดือนให้เลย ในบางกรณีที่รัฐบาลจัดสรรเงินไม่ทัน ทำให้โรงพยาบาลบางแห่งต้องใช้เงินของโรงพยาบาลสำรองจ่ายไปก่อน

โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เป็นนโยบายปฏิวัติระบบสาธารณสุขครั้งแรกแรกในประวัติศาสตร์ของประเทศไทย โดยมีมีประชาชนผู้ยากไร้ 18 ล้านคนได้รับประโยชน์จากนโยบายนี้ ที่ผ่านมาคนจนหลายต่อหลายคนต้องรอเป็นปี ก็ไม่สามารถไปโรงพยาบาลได้เพราะพวกเขาไม่มีเงิน พวกเขาต้องบากหน้าไปร้องขอความเมตตา ไม่ใช่การไปใช้บริการทางการรักษาพยาบาล โครงการนี้ทำให้คนจนสามารถไปหาหมอ ได้รับความยุติธรรมในการบริการ และการรักษาที่ได้คุณภาพ ทำให้สุขภาพและชีวิตประจำวันของเขาดีขึ้น และศักดิ์ศรีในความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ก็ได้รับการปกป้องคุ้มครอง

ในช่วงเวลาที่มีการประท้วงโจมตีขับไล่รัฐบาล มีชายคนหนึ่งเข้ามาหานายกทักษิณแล้วแบะเสื้อออกให้คุณทักษิณดูรอยแผลเป็นบนหน้าอกของเขา รอยแผลเป็นใหญ่และยาวมากจากการ ผ่าตัดหัวใจ จากโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ก่อนการผ่าตัดเขาเป็นคนร่างกายอ่อนแอไม่สามารถทำงานได้ แต่หลังการผ่าตัดเขาสามารถทำงานเลี้ยงครอบครัวได้ ตอนนี้ลูกสาวเขาเรียนจบปริญญาตรีและมีงานทำ เขามีความสุขมากไม่มีสิ่งใดให้เขาต้องห่วงอีกแล้ว และเขายอมที่จะทำทุกอย่างเพื่อนายกทักษิณ และเขาเกลียดคนที่ใส่ร้ายนายกทักษิณ เขาเกลียดพวกมัน

โครงการที่โด่งดังมากอีกโครงการหนึ่ง คือ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ โอท้อป OTOP เป็นโครงการที่คุณทักษิณเอาแนวทางมาจากญี่ปุ่น คือการสนับสนุนและผลักดันให้ทุกๆหมู่บ้านใช้ความได้เป็นได้เปรียบ ของแต่ละหมู่บ้าน พัฒนาผลิตภัณฑ์1 อย่าง หรือมากกว่า 1 อย่างที่มีลักษณะพิเศษของแต่ละท้องถิ่น โดยรัฐบาลจะเป็นผู้ช่วยเหลือด้านเงินทุน ความรู้ด้านเทคนิค การบริหารจัดการ การตลาด ฯลฯ ตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา

รัฐบาลทักษิณได้ทำการติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ต แก่โครงการทำให้พวกเขาสามารถขยายตลาดของตนเอง ให้กว้างขึ้นจากการค้าทางอินเตอร์เน็ต รัฐบาลได้จัดตั้งคณะกรรมการพิจารณาผลิตภัณฑ์ OTOP เพื่อทำการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์และให้คำปรึกษาด้านธุรกิจ เทคนิค บรรจุภัณฑ์ การตลาด ฯลฯ สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีมีเอกลักษณ์โดดเด่น ก็จะได้รับการคัดเลือกให้ส่งออกไปขายในตลาดต่างประเทศต่อไป สุราหมักหรือสาโทของไทย ก็ได้รับการส่งเสริมและพัฒนา จนได้รับรางวัลในเทศกาลประกวดสุรานานาชาติ สามารถส่งออกจำหน่ายไปยังต่างประเทศ

โอท้อปเป็นอีกนโยบายหนึ่งที่โอบอุ้มคนจนที่ประสบความสำเร็จที่สุด ในปี 2544 ยอดขาย ผลิตภัณฑ์ OTOP อยู่ที่ 215 ล้านบาท หลังจากนั้น 1 ปี ยอดขายผลิตภัณฑ์OTOP เท่ากับ 24,000 ล้านบาท หรือ เพิ่มขึ้นกว่า 100 เท่าตัว ในปี 2546 ยอดเพิ่มขึ้นไปถึง 33,000 ล้านบาทซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้มาก
นายกทักษิณเล่าให้ฟังว่า มีหมู่บ้านหนึ่งที่มีทรัพยากรป่าไม้อุดมสมบูรณ์มากแต่ว่าชาวบ้านไม่มีความรู้เกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากไม้ที่มีอยู่ ทุกครั้งที่ฝนตกหนัก ไม้ที่ถูกน้ำพัดพาไหลลงมาพร้อมกับน้ำจะทำให้แม่น้ำของหมู่บ้านตื้นเขินน้ำไม่ไหล รัฐบาลทักษิณได้ส่งเจ้าหน้าที่ทำการสำรวจและช่วยเหลือ ออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีเอกลักษณ์ และเป็นที่ต้องการของตลาด ช่วยให้ชาวบ้านนำไม้ที่ลอยมากับสายน้ำ ไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ไม้ที่สวยงาม ทำให้ชาวบ้านมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว
มีอีกหมู่บ้านหนึ่งที่ยากจนและเป็นแหล่งผลิตอาวุธปืนผิดกฎหมาย รัฐบาลทักษิณได้ส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคเข้าไปและสอนให้ชาวบ้านผลิตมีด ดาบ กรรไกรทำสวน ฯลฯ ทำให้สามารถส่งผลิตภัณฑ์ของหมู่บ้านนี้ไปขายในต่างประเทศได้

โครงการ 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ได้สร้างความหวังแก่เกษตรกร และช่วยยกระดับมาตรฐานชีวิตของประชาชน และช่วยไม่ให้ชาวชนบทหลั่งไหลอพยพเข้าสู่เมืองเพื่อหางานทำ รายได้ของเกษตรกรที่เพิ่มขึ้น ยังทำให้ท้องถิ่นมีกำลังซื้อมากขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจเติบโตขยายตัว เป็นประโยชน์การพัฒนาของเศรษฐกิจแบบยั่งยืนโดยมีเกษตรกรเป็นฐานสำคัญ ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเกษตรกรซึ่งเป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศ

รัฐบาลทักษิณยังมีนโยบายแปลงสินทรัพย์เป็นทุน เป็นแนวทางให้ประชาชนสามารถเข้าถึงทุนที่พวกเขาสามารถนำไปใช้ทางธุรกิจได้ และมีโครงการเอื้ออาทรต่างๆ เช่น บ้านเอื้ออาทร คอมพิวเตอร์เอื้ออาทร แท็กซี่เอื้ออาทร โดยรัฐบาลสนับสนุนผู้มีรายได้น้อย ในการจัดหาวัตถุดิบราคาถูกสำหรับนำไปใช้ในการผลิตและขยายการศึกษาในชนบท ให้เงินสนับสนุนทางการศึกษา สำหรับผู้ยากไร้ จัดหลักสูตรอบรมด้านเทคนิค การเกษตร
นโยบายและโครงการของรัฐบาลทักษิณได้รับการขนานนามว่า Thaksinomics คือ การพัฒนาเศรษฐกิจโดยเข้าไปจัดการกับพื้นฐานที่สุดก่อน คือการพัฒนาเศรษฐกิจชนบท ยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะเกษตรกรเพื่อยกระดับการบริโภคภายในประเทศ พร้อมทั้งผลักดันพัฒนาการเศรษฐกิจของประเทศ ช่วงระยะแรกที่คุณทักษิณบริหารประเทศ รายได้รวมของเกษตรกรเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยร้อยละ 60 อัตราการว่างงานลดลงร้อยละ 1.5 GDP หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 – 6 ต่อปี เป็นรองเพียงจีนและเป็นอันดับสองในเอเชีย
นายกทักษิณพยายามนำเอาที่ดินที่รกร้าง มาแบ่งให้กับคนยากจนมาทำการจัดสรรใหม่ ให้กับชาวไร่ชาวสวนรายย่อย และคิดจะสร้างระบบภาษีสำหรับเจ้าของที่ดินที่มีที่ดินเพื่อการเก็งกำไรทุกปีก็ต้องจ่ายภาษีหนัก ถ้าไม่สามารถรับภาระได้ ก็ต้องขายที่ดินให้รัฐบาลเพื่อจะได้นำมาจัดสรรให้กับผู้ยากไร้

นายกทักษิณจึงเป็นที่รัก ได้รับการสนับสนุนและมีชื่อเสียงอย่างมากในพื้นที่ชนบทมากกว่านักการเมืองทุกคนในประวัติศาสตร์ไทย เป็นนายกรัฐมนตรีขวัญใจคนจน ทุกครั้งที่นายกทักษิณไปตรวจเยี่ยมพื้นที่ชนบทหรือชุมชนยากจนก็มักจะได้รับการต้อนรับที่อบอุ่น ทุกครั้งที่ขึ้นปราศรัยข้างล่างเวทีก็จะส่งเสียงสนับสนุนอื้ออึง บางครั้งก็จะกินอยู่กับประชาชน และมักจะควักกระเป๋าตัวเองแล้วเอาเงินเป็นพันยัดใส่มือของผู้ยากไร ้ สำหรับเกษตรกรขอเพียงพวกเขาเห็นนายกฯ เดินสำรวจตามถนนของหมู่บ้านพวกเขาก็จะวิ่งเข้าไปห้อมล้อมเขา มอบดอกไม้ให้เขา เข้าไปโอบกอดเขาแม้กระทั่งวิ่งเข้าไปกอดเขาแล้ว ร้องไห้ออกมา
นายกทักษิณ ไม่เป็นเพียงแค่นักการเมือง แต่ยังเป็นขวัญใจประชาชน วีรบุรุษของเกษตรกร พ่อพระของผู้ยากไร้ จนทำให้พรรคฝ่ายค้านต้องหวาดหวั่นอยู่ไม่เป็นสุข ฝ่ายค้านโจมตีว่านโยบายเอื้ออาทรของนายกทักษิณนั้นฉาบฉวย และทำให้ประเทศชาติเสียหายในระยะยาว ล้างผลาญงบประมาณของประเทศชาติ เพียงเพื่อหาเสียงให้กับตัวเอง แต่นายกทักษิณยืนยันว่า จุดประสงค์ของรัฐบาลของเขาทำคือ ช่วยเหลือคนจน

นายกทักษิณย้ำว่าตนเป็นนักการเมืองที่คลุกคลีกับคนจนตั้งแต่ชีวิตวัยเด็กของตนในชนบท ในช่วงเวลาที่นายกทักษิณบริหารประเทศ ท่านได้พยายามช่วยเหลือคนจน ยกระดับรายได้ของเกษตรกร ทำให้พวกเขามีความหวัง แต่ว่าปัจจุบันทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเลวร้ายลง นโยบายหลายอย่างไม่ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนจากรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร
นายกทักษิณท่านมีความจริงใจต่อประเทศชาติและประชาชน แต่ท่านไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ท่านได้กระทำลงไปนั้นมันกระทบต่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์เป็นอย่างยิ่งเห็นได้จากเอกสารลับของกองทัพบก ที่ กห 0403/512 ลงวันที่ 26และ 27ก.ย.50 จากคำบรรยายของรอง ผบ.พล.1 รอ. และ ผบ.ทบ. ระบุว่า

เปรียบเทียบการทำสงครามแย่งชิงประชาชนในห้วงก่อนยุคสงครามเย็น และในยุคประชาธิปไตยทุนนิยมเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ อาทิ ฝรั่งเศส รัสเซีย ลาวและเนปาล ซึ่งได้มีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศและล้มล้างสถาบันกษัตริย์ โดยใช้พลังประชาชนในระดับรากแก้วเป็นแนวร่วม และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และการดำเนินการตามเป้าหมายที่บุคคล หรือกลุ่มบุคคลที่พรรคการเมืองต้องการ...สำหรับในไทยได้ต่อสู้กับความขัดแย้งทางด้านลัทธิอุดมการณ์กับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาเป็นเวลานาน

สำหรับสถานการณ์การเมืองของไทยในปัจจุบัน ยังคงต่อสู้ทางการเมืองด้วยการแย่งชิงประชาชนในระดับรากแก้ว โดยพรรคการเมืองที่ใช้นโยบายประชานิยมด้วยการทุ่มเงินจำนวนมหาศาลเพื่อให้ประชาชนรากแก้วเกิดความนิยมชมชอบในตัวผู้นำ ทั้งที่นโยบายดังกล่าวมิได้นำไปสู่การแก้ปัญหาความยากจนอย่างแท้จริง รวมทั้งยังมีแนวความคิดต่อต้านปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ทั้งนี้ แนวนโยบายประชานิยมได้เกิดขึ้นจากการผลักดันของกลุ่มนักการเมืองที่เป็นอดีตสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งได้เปลี่ยนแนวทางการต่อสู้ด้วยการใช้กำลังมาเป็นการดำเนินการทางด้านการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และยังคงมีแนวความคิดที่จะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยมีแนวทางและทฤษฎีในการทำสงครามแย่งชิงประชาชนที่ไม่ต่างจากอดีต จึงขอให้กองทัพซึ่งเป็นสถาบันหลักที่เคียงคู่สถาบันกษัตริย์ ได้ดำเนินการแย่งชิงประชาชนกลับมาให้อยู่กับสถาบันกษัตริย์และอยู่กับกองทัพตลอดไป..

.
..มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งที่ก่อกำเนิดเมื่อ 14 ก.ค. 2541 ( คือพรรคไทยรักไทย ตรงกับวันปฏิวัติฝรั่งเศส ) ด้วยองค์กรที่แยบยลของกลุ่มพวกนี้อยู่ด้านหลัง ประกอบไปด้วยทุนนิยม ลัทธิบุคคลนิยมและนโยบาย เราจะเห็นว่านโยบายประชานิยมนั้นไม่ได้ก่อกำเนิดขึ้นจากนักการเมืองที่มีพื้นฐานทางการเมือง ก่อกำเนิดจากพวกที่เราผลักดันเข้าไปสู่การต่อสู้ในเชิงประชาธิปไตยทั้งสิ้น คนที่เขียนประชานิยมได้กล่าวไว้ว่าเขาต้องการให้มีประชานิยมในประเทศ ภายใต้ระบอบกษัตริย์ เขารู้สึกผิดหวังที่พรรคการเมืองพรรคนี้ได้นำประชานิยมไปสู่การล่มสลายในสายตาที่เขาคิด
การใช้ระบบประชานิยมต้องใช้ทุนมหาศาล วันนี้ทุนมหาศาลได้ก่อขึ้นมาด้วยระบบประชานิยม การสร้างลัทธิบุคคลนิยม ก็เหมือนกับทฤษฎีที่ฮิตเลอร์สร้างขึ้นมา หรือจะเรียกว่าทฤษฎีฮีโร่ก็ได้ จากนั้นฮิตเลอร์ก็ดึงประชาชนขึ้นมาเช่นเดียวกับทฤษฎีก้าวกระโดดของประเทศจีนก็เกิดมาจากปัญหาเหล่านี้ จากนั้นก็คือการเข้าครอบครองอำนาจรัฐนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตามเป้าหมายที่ต้องการ
ดังนั้นทฤษฎีสงครามประชานิยม ก็จะมีความคล้ายคลึงกันคือ การใช้ป่าล้อมเมือง เมื่อรัฐบาลปัจจุบันได้ประกาศปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นมา ผู้ก่อกำเนิดทักษิโณมิกส์ก็ขึ้นมาแล้ว ประกาศไม่เห็นด้วย ในความรู้สึกของผมเขาไม่มีสิทธิ ที่จะมาประกาศเปรียบเทียบ ฉะนั้นวันนี้ผมถึงบอกน้องๆ ผบ.พัน ผบ.กรมในกองพลว่า ทำไมเราไม่รักษารากหญ้าของพระองค์ท่านไว้ เราทำไมต้องให้ใครมาแย่งสิ่งเหล่านี้ไป น้องๆ ที่รักทุกคน วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่เราได้พบหน้ากันในภาพรวมในลักษณะนี้...

รวมทั้งยังได้อ้างถึง ผบ.ทบ.ว่าได้ทำหน้าที่ ไม่มีครั้งใดที่เหนื่อยที่สุดในชีวิตเท่ากับ 1 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้วัตถุประสงค์ของการปฏิรูป ฯ 19 กันยา ประสบความสำเร็จ นับว่าสาหัสมาก อย่างไรก็ตาม เราท้อแท้ เราล้มไม่ได้ในเวลานี้ นั่นคือต้องสร้างความเข้มแข็งของตัวเราเองไว้ งานของมันใกล้เวลาที่ใกล้สำเร็จผล ผลการเลือกตั้งออกมาเมื่อไหร่แล้วพรรคการเมืองเป็นฝ่ายที่มีความจงรักภักดีนั่นคือความสำเร็จในชั้นต้น ....

เหมือนอย่างที่ ม.ล. ปนัดดา ดิศกุล ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงกระทรวงมหาดไทย นักอบรมอนุรักษ์ขวาจัดนิยมกษัตริย์ กล่าวหาว่านายกทักษิณตั้งพรรคการเมืองเพื่อหวังโค่นล้มพระเจ้าอยู่หัว เพราะก่อตั้งพรรคตรงกับวันโค่นล้มกษัตริย์ฝรั่งเศส

ข้าราชการและทหารที่รักในหลวงต้องช่วยกันสกัดกั้น คุณทักษิณทำให้เกิดความแตกแยกแบ่งภาคแบ่งฝ่าย อย่างสุดโต่งภายในบ้านเมืองไทยที่เคยมีความสมัครสมานสามัคคีโดยมีความจงรักภักดีที่ไม่มีวันเสื่อมคลาย มาถูกแปรเปลี่ยนโดยบุคคลที่ใช้ความโลภทางการบริหารจัดการทางกลไกของความเป็นรัฐ ม.ล.ปนัดดายังได้เรียกร้อง ให้ข้าราชการ และประชาชนไทย ร่วมกันสกัดกั้น และทำลายพรรคการเมืองที่มีนโยบายแอบแฝง ที่ต้องการโค่นล้มสถาบันพระมหากษัตริย์ นั่นก็คือพรรคไทยรักไทย และวงศ์วานว่านเครือทั้งหลายให้สิ้นทรากไปจากผืนแผ่นดินไทย เพื่อความพัฒนาสถาพรของสถาบันกษัตริย์ที่มีพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลเป็นหลักชัยของคนไทยที่รักชาติทุกคน

.............

ไม่มีความคิดเห็น: