วันอาทิตย์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2553

ตำนานรวมชุด 1001 : ตาดูดาว เท้าสะดุดวัง ตอนที่ 1 LS 01

ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ :
http://youtu.be/kfjwutnwO5o    
http://www.4shared.com/mp3/0QSIGQxvce/Look_For_a_Star_01OK.html  
http://www.mediafire.com/listen/buu67tcn66cgk0e/Look+For+a+Star+01OK.mp3
http://www.mediafire.com/?707282ek1nh4yaa
........
........

ตำนานรวมชุด 1001
: ตาดูดาว เท้าสะดุดวัง ตอนที่ 1

วันที่ 19 กันยายน 2549 เวลาตีห้า ในมหานครนิวยอร์ก พตท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทยในวัย 57 ปี กำลังนอนในห้องเพรสซิเดนท์เชี่ยลสวีทของ โรงแรมแกรนด์ไฮแอท (Grand Hyatt) นิวยอร์ก แต่เขานอนไม่ค่อยหลับพลิกตัว กลับไปกลับมา หลังจากเกิดเรื่องคาร์บอมบ์เมื่อสองสัปดาห์ก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดกันสับสนไปหมด ตั้งแต่นั้นมาเขาก็นอนอย่างไม่สบายใจ ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะภัยคุกคามที่ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมาจากไหน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดได้โผล่ออกมาสร้างความตกใจให้กับเขา วันนั้นเป็นวันที่เขารู้สึกเครียดมากที่สุดตั้งแต่รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

เช้าของวันที่ 24 สิงหาคม 2549 ตำรวจพบรถยนต์บรรทุกวัตถุระเบิดน้ำหนัก 67 กิโลกรัม บริเวณใต้สะพานข้ามแยกบางพลัด ราว 1 กิโลเมตรจากบ้านพักของนายกรัฐมนตรี เป็นระเบิดทีเอ็นทีน้ำหนัก 5 กิโลกรัมและยังพบน้ำมันเบนซินผสมกับปุ๋ยบรรจุในถุงกว่า 10 ถุง และยังมีระเบิดซีโฟร์ 3 ลูกรวมทั้งดินระเบิด สายชนวนและท่อนำ ซุกซ่อนอยู่ในส่วนต่างๆ ของรถและติดตั้งกับรถมาอย่างดี


ตัวรถยังติดตั้งระบบรีโมทคอนโทรล แค่คนร้ายกดปุ่มควบคุมในระยะไกล พลังของแรงระเบิดจะสามารถทำลายสิ่งปลูกสร้างในรัศมีหนึ่งกิโลเมตรให้พินาศเป็นผุยผงได้ ชัดเจนว่าระเบิดนี้มุ่งสังหารนายกทักษิณ ตำแหน่งที่รถจอดอยู่ก็เป็นถนนสายที่ขบวนรถของนายกทักษิณจะต้องผ่านทุกวันเวลา 9 นาฬิกาซึ่งเป็นช่วงที่นายกรัฐมนตรีเดินทางมาทำงานที่ทำเนียบรัฐบาล

นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี โฆษกรัฐบาล แถลงข่าวว่า “ ในตอนนั้นลูกระเบิดได้เตรียมการไว้อย่างดีและพร้อมที่จะระเบิด สายไฟฟ้าถูกเชื่อมต่อกับท่อลำเลียง และยังใช้ถุงทราย 7 ถุงเพื่อบังคับทิศทางระเบิดไปยังขบวนรถของนายกรัฐมนตรีแน่นอน


ตำรวจได้ควบคุมตัว ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชนะ ผู้ขับรถยนต์คนดังกล่าวได้ ณ ที่เกิดเหตุ แต่ผู้ต้องสงสัยให้การปฏิเสธโดยยืนยันว่าตนไม่ทราบแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี และไม่รู้ว่ามีระเบิดในรถ สำหรับระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นที ตนก็ไม่เคยรู้จัก แค่มีเพื่อนคนหนึ่งฝากให้ขับรถคันนี้ไปใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ เขาจึงทำตามอย่างงงๆ (ภายหลังศาลได้ตัดสินว่ามีความผิดแค่ฐานพกพาวัตถุระเบิด) หลังจากที่นายกทักษิณรอดตายจากภัยครั้งนี้แล้ว นายกทักษิณได้กล่าวที่ทำเนียบรัฐบาลซึ่งรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดว่า วันนั้นตนเคราะห์ดีที่สามารถรอดจากความตายได้ เพราะได้รับแจ้งจากสำนักข่าวกรองทันเวลา จึงได้ออกจากที่พักก่อนหน้านั้น 1 ชั่วโมง

คุณทักษิณยังบอกอีกว่า เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รู้ถึงแผนการชั่วร้ายที่จะสังหารตนหลายครั้งในระยะ2-3 เดือนนี้ เชื่อว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อย 4 คนโดยเป็นนายทหารระดับสูงทั้งที่ยังอยู่ในตำแหน่งและ เกษียณราชการแล้ว แต่ยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผย นายกทักษิณได้ยกเลิกกำหนดการต่างๆในช่วงบ่ายวันนั้น เช่น การพบปะกับนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมทั้งกำหนดการเดินทางไปตรวจเยี่ยมภัยน้ำท่วมในภาคเหนือก็ถูกเลื่อนออกไป

เมื่อสมาชิกพรรคไทยรักไทยมาให้กำลังใจคุณทักษิณ เขาได้บอกกับสมาชิกพรรคว่าเขาเองยังเอาตัวไม่รอด เกรงว่าจะไม่สามารถออกสู่เวทีสาธารณะเพื่อรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่จะมาถึงได้ และได้เพิ่มกำลังหน่วยรักษาความปลอดภัยถึง 30 คนพร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยกว่า 10 คนดูแลภรรยาและลูกของตน

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ทักษิณเอาชีวิตรอดมาได้ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2544 เมื่อเขาได้ดำรงตำแหน่ง นายกรัฐมนตรี เพียง 25 วัน ในวันนั้น เครื่องบินโบอิ้ง 747 ของการบินไทยซึ่งบรรทุกผู้โดยสารจำนวน 129 คน เดินทางจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ ผู้โดยสารบน เครื่องซึ่งรวมทั้งทักษิณ ที่เพิ่งได้รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยลูกชายรวมทั้งข้าราชการจำนวน 20 คน เตรียมพร้อมขึ้นเครื่อง วินาทีที่เครื่องบินเตรียมทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้านั้น ที่นั่งชั้นหนึ่งหมายเลข 11A ที่เขาได้จองไว้ เกิดระเบิดขึ้นกะทันหัน ผู้โดยสารที่อยู่บริเวณรอบๆที่นั่งนั้นได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก

แต่ที่โชคดีก็คือที่นั่งนี้ ไม่มีใครนั่งอยู่ในตอนนั้น ทักษิณผู้ซึ่งตรงต่อเวลามาโดยตลอด ตัดสินใจที่จะรอลูกชายซึ่งก็คือ นายพานทองแท้ที่ มาถึงช้า วันนั้นลูกชายก็ไม่ทราบสาเหตุว่าทำไมถึงมาช้า 25 นาทีแต่ในที่สุดก็ได้ช่วยชีวิตพ่อของตนไว้ได้ ฝ่ายทหารและตำรวจได้พบระเบิดฟอสฟอรัสขาวชนิดหนึ่ง ในบริเวณที่เกิดเหตุโดยระเบิดได้ถูกติดตั้งไว้ใต้ที่นั่ง ของนายกรัฐมนตรีและลูกชาย ทั้งเวลาและสถานที่ชัดเจนเช่นนี้ จึงทำให้เกิดความคลางแคลงสงสัยว่ามันเป็นการ กระทำของพวกหนอนบ่อนไส้

ตำรวจสันนิษฐานว่าผู้อยู่เบื้องหลังการลอบสังหาร อาจจะเป็นผู้ค้ายาเสพติดในพม่าและสามเหลี่ยมทองคำ เนื่องจากทักษิณมาเป็นนายกรัฐมนตรีไม่นาน ก็ได้ประกาศว่า งานสำคัญของรัฐบาลใหม่ในอีก4 ปีข้างนี้คือ “ ปราบปรามการค้ายาเสพติดให้หมดสิ้น ” และได้พบปะกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของหน่วยงานต่างๆเพื่อเสนอวิธีการที่มีประสิทธิภาพในการ กวาดล้างยาเสพติด ทำให้พวกค้ายาเสพติดเกลียดเขาเข้ากระดูกดำ ...2 ปีต่อมา ก็มีข่าวจากนอกประเทศว่าพวกค้ายาเสพติดได้ตั้งเงินรางวัลจำนวน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 80 ล้านบาท แก่มือปืนที่สามารถฆ่าทักษิณได้

มีการวิสามัญฆาตกรรมพวกค้ายาเสพติดอย่างต่อเนื่อง ทักษิณได้แสดงว่า ตนไม่สะทกสะท้าน เขากล่าวว่าจะไม่ประนีประนอม เพราะ “ เรามีการเตรียมพร้อมป้องกันไว้แต่แรกแล้ว ดังนั้น ผมเองไม่ห่วงเลยแม้แต่นิด ” หนึ่งในมาตรการเตรียมพร้อมป้องกันก็คือ เวลาออกเดินทางจะไม่ใช้รถยนต์ที่หรูหราแต่จะ เปลี่ยนมาใช้รถยนต์กันกระสุน ทำเนียบรัฐบาลได้จัดซื้อรถยนต์ซึ่งภายนอกเหมือนกันทุกอย่างจำนวนหลายคัน เลขทะเบียนรถของรถทุกคันก็เป็นเลขเดียวกัน คนภายนอกก็ไม่สามารถมองเห็นภายในของรถได้ มีการส่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจำนวนกว่า 1,000 นาย คอยอารักขานายกทักษิณเมื่อต้องออกไปประชุม หรือเปิดตัวสู่สาธารณะสถานการณ์ประเทศไทย เหมือนกับหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือดปุดๆ บนเตาไฟภายในหม้อเต็มไปด้วยความอาฆาตแค้น และความโกรธ คนที่ต้องการกำจัดเขา ไม่เพียงแต่พวกค้ายาเสพติดนอกประเทศ แต่ยังมีกลุ่มพลังอำนาจทั้งใต้ดินและบนดิน ที่คัดค้านการบริหารประเทศของเขา ในช่วงระยะกว่า5 ปีที่ผ่านมา จึงเหมือนกับกำลังนั่งอยู่บนลังระเบิดที่ จวนจะระเบิด

คดีขายหุ้น


คุณทักษิณเข้าใจว่าการขายหุ้นชินคอร์ปเป็นเหตุที่จุดชนวนให้เกิดวิกฤตการบริหารประเทศของเขา เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2549 ลูกชายและลูกสาว คือ นายพานทองแท้ และนางสาวพิณทองทา ได้นำหุ้นร้อยละ 49.6 ซึ่งคิด เป็นมูลค่า 1,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 73,300 ล้านบาท) ของบริษัทชินคอร์ป บริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่ อันดับหนึ่งของไทยขายให้กับวิสาหกิจของสิงคโปร์ที่ชื่อเทมาเสก

รายได้จากการซื้อขายหุ้นไม่ต้องชำระภาษี แต่มีการกล่าวหาว่าการซื้อขายหุ้นกระทำในนามของบริษัท จำเป็นที่ต้องจ่ายภาษีเป็นจำนวนเงินประมาณ 450 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ 17,640 ล้านบาท สื่อมวลชนประโคมข่าวออกมา ผู้คนต่างกล่าวหาครอบครัวทักษิณหลบเลี่ยงการเสียภาษี บ้างก็กล่าวหาว่าเป็นการขายธุรกิจโทรคมนาคมซึ่งเป็นเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญด้านยุทธศาสตร์ของชาติให้กับบริษัทต่างชาติ ทำให้สิงคโปร์มีอิทธิพลเหนือธุรกิจโทรคมนาคมของไทยซึ่งถือเป็นการ คุกคามต่อความมั่นคงของชาติ ถือว่าเลวยิ่งกว่าซัดดัมเพราะขายผลประโยชน์ของชาติ เพื่อผลประโยชน์ของครอบครัวของตนเอง

พวกพันธมิตรที่นำโดยนายสนธิ ลิ้มทองกุลและพลตรีจำลอง ศรีเมือง เริ่มเดินขบวนบนประท้วงบนท้องถนนเพื่อขับไล่รัฐบาลทักษิณ
คนเดินขบวนค่อยๆเพิ่มขึ้นจากสองพันคน เป็นสองหมื่น และกลายเป็นแสนกว่าคน ในตอนแรกนายกทักษิณไม่ได้ตระหนักถึงความรุนแรงของปัญหานี้ และคาดไม่ถึงว่ามันมาจากเครือข่ายกษัตริย์ ที่คุมอำนาจของประเทศติดต่อกันมาอย่างยาวนาน

จากมหาเศรษฐีที่ได้พลิกผันตัวเองเข้าสู่เวทีการเมือง จากความร่ำรวยมหาศาลและมีผลประโยชน์ทางธุรกิจซึ่งโยงใยสลับซับซ้อน จึงทำให้หลายคนอิจฉาริษยา และกล่าวหาฟ้องร้องเขาในหลายคดี ทั้งๆที่การกระทำทางธุรกิจทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่โปร่งใสชอบด้วยกฎหมาย และไม่ใช่การขายผลประโยชน์ของประเทศ... พวกลูกๆ ก็ได้ช่วยตัดสินใจเพียงให้ขายหุ้นทั้งหมด เพราะหวังว่าคุณทักษิณจะสามารถมุ่งทำงานด้านการเมือง ได้โดยสะดวกไม่ต้องถูกกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน แต่กลับถูกกล่าวหาว่าเลี่ยงภาษีและทุจริตเชิงนโยบาย

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ( กลต. SEC ) ได้ตัดสินการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ว่า ไม่ผิดกฎหมาย แม้ว่าในรายงานการซื้อขายหุ้นของนายพานทองแท้ที่นำส่งคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์จะเกิดข้อผิดพลาดอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรง คุณทักษิณยืนยันว่า หุ้นเป็นของลูกๆ ซึ่งพวกเขาอายุ 20 ปีบริบูรณ์แล้ว สามารถถือหุ้นหรือขายให้ใครก็ได้ เพียงแค่เงินเข้ากระเป๋าครอบครัว

แต่พรรคการเมืองฝ่ายค้าน ไม่วางใจ และยังมีคนที่ไม่อยากเห็นนายกทักษิณอยู่ในตำแหน่งต่อไป จึงคอยหาโอกาสหาเรื่อง ทั้งๆที่คุณทักษิณต้องขายบริษัทนี้อยู่แล้วไม่ช้าก็เร็ว เพราะ เนื่องจากอนาคตของธุรกิจโทรคมนาคมต้องใช้เงินลงทุนไปกับเทคโนโลยีใหม่ๆ สูงมากยิ่งขึ้น เป็นเงินมหาศาลเพื่อแข่งขันกับคู่แข่งที่มีทุน และเครือข่ายที่เหนือกว่ามาก จึงไม่คิดจะสู้ต่อไปอีกแล้ว เป็นเพียงการขายหุ้นธรรมดาๆ เพราะคนที่ถือหุ้นมีวิธีได้เงินเพียง 2 วิธี คือ รอเงินปันผล หรือขายหุ้นให้คนอื่น ซึ่งเป็นเรื่องปกติและชอบด้วยกฎหมาย มีการเจรจากับหลาย แม้จะขายหุ้นให้กับบริษัทสิงคโปร์แต่ว่าพนักงานและ ผู้บริหารของบริษัทปัจจุบันก็ยังเป็นคนไทย สิงคโปร์ได้ส่งฝ่ายการเงินเข้ามาบริหารเท่านั้นและมิใช่การ ปัญหาการขายผลประโยชน์ของประเทศ

แต่ประเด็นหลักกลับไม่ใช่เรื่องการขายหุ้นว่าผิด กฎหมายหรือไม่ แต่เป็นเรื่อง มีคุณธรรมหรือไม่ พลตรีจำลอง ศรีเมือง ผู้นำพันธมิตรประชาชนเพื่อ ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นแนวร่วมต่อต้านรัฐบาลได้กล่าวว่า แม้ว่าโดยส่วนตัวของทักษิณจะไม่มีความผิดในทางกฎหมาย แต่ในด้านคุณธรรมแล้วไม่สามารถรับได้ เราควรปฏิบัติตามคุณธรรมเพราะคุณธรรมสำคัญกว่ากฎหมายและบรรทัดฐาน โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี ถ้าเป็นคนธรรมดาก็แล้วไป แต่ เพราะเขาเป็นนายกรัฐมนตรีจึงจำเป็นต้องลาออก

นายกทักษิณปฏิเสธที่จะลาออก และมีท่าทีแข็งกร้าวว่ายังไงก็จะไม่ลาออก เพียงเพราะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองส่วนหนึ่งและเป้าหมายทางการเมือง และก็จะไม่ยอมแพ้คนส่วนน้อยที่ไม่ต้องการผม รัฐบาลตามกฎหมายจะถูกทำลายโดยผู้นำกลุ่มผู้ประท้วงจนทำให้ไม่สามารถที่จะอยู่ต่อไปได้ ผมจะไม่ให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้น มีแต่คนโง่เท่านั้นที่เชื่อว่าผู้ที่ยินดีเป็นนายกรัฐมนตรีจะกระทำความผิด คนไทยจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะเคารพกฎหมาย แต่สื่อและเครือข่ายของกษัตริย์ได้ระดมกันโจมตี กล่าวหาให้ร้ายว่านายกรัฐมนตรีทักษิณ เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชั่น เป็นเผด็จการและใช้อำนาจเอื้อผลประโยชน์ส่วนตัว รวมไปถึงการปล่อยข่าวลือสารพัด ที่สร้างกระแสและการระดมกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงมาสมทบอย่างไม่ขาดสายก่อให้เกิดความไร้ระเบียบสร้างความปั่นป่วนให้กับเศรษฐกิจ หุ้นเริ่มตก ค่าเงินบาทเริ่มตก








รัฐมนตรีกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ ( นายสรอรรถ กลิ่นประทุม ) และรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม ( นางอุไรวรรณ เทียนทอง ) ประกาศลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อคุณธรรมทางการเมือง เพื่อเร่งกระแสกดดันรัฐบาลทักษิณ

24 กุมภาพันธ์ 2549 ทักษิณก็ประกาศยุบสภาอย่างฉับพลัน และจะให้มีการเลือกตั้งก่อนเดือนเมษายน โฆษกรัฐบาลแถลงว่า“ หลังจากที่ประชาชนได้ยิน ได้เห็นการเดินขบวนประท้วงตามท้องถนนก็ให้ประชาชน ตัดสินใจด้วยตนเองอีกครั้งเพื่อให้เราได้เห็นกันว่า ประชาชนเชื่อใครกันแน่ หากประชาชนไม่เลือกพรรคไทยรักไทย คุณทักษิณก็จะลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ”

ข้อเสนอนี้ถูกพรรคฝ่ายค้านคัดค้านอย่างรุนแรง โดย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย พรรคมหาชน สามพรรคร่วมมือกันคัดค้านการเลือกตั้ง พวกเขากล่าวหาว่า เป็นกลอุบายของคุณทักษิณ เนื่องจากโอกาสที่พรรคไทยรักไทยจะได้รับเลือกมีมาก และในการเลือกตั้งปีที่ผ่านมาพรรคไทยรักไทยก็ยังได้ที่นั่งในสภามากที่สุดในประวัติศาสตร์ คือร้อยละ 76 เป็นพรรคการเมืองพรรคแรกที่เข้ามาบริหารประเทศเพียงพรรคเดียวใน ประวัติศาสตร์ 73 ปีของการปกครองอันมีสถาบันพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ

ดังนั้นถ้าเข้าสู่สนามการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็เท่ากับต้องแพ้แน่ และพตท.ทักษิณก็จะได้นั่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง การเลือกตั้งในวันที่ 2 เมษายนปรากฏว่า 278 เขตจากทั้งหมด 500 เขตมีแต่ผู้สมัครรับเลือกตั้งจากพรรคไทยรักไทยเพียงพรรคเดียวเท่านั้น ขณะที่ฝ่ายค้านประท้วงการเลือกตั้ง และไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกทักษิณลาออก..

วันที่ 4 เมษายน 2549 นายกทักษิณออกมาประกาศลาออกทางโทรทัศน์โดยกล่าวว่า “ การที่ผมตัดสินใจลาออกครั้งนี้เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่มีความสำคัญยิ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเหลือเวลาอีกเพียง 60 กว่าวันที่จะถึงงานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี... เราไม่มี เวลาทะเลาะกันแล้ว หากทุกคนยังทะเลาะกันอยู่ ผู้ที่แพ้ก็คือประเทศ.” และประกาศว่า เขาจะมอบอำนาจให้กับ พล.ต.อ.ชิดชัย วรรณสถิตย์ รองนายกรัฐมนตรีส่วนตัวเขาเองจะขอพัก กล่าวกันว่าคณะรัฐมนตรีหลายคนและผู้บริหารระดับสูงของพรรคถึงกับปล่อยโฮออกมา เมื่อตอนที่คุณทักษิณประกาศลาออก คุณทักษิณพร้อมภรรยาและลูกต่างกอดคอกันร้องไห้

สองวันต่อมา รถกระบะคันหนึ่งมาเก็บของใช้ส่วนตัวของคุณทักษิณที่ตึกบัญชาการทำเนียบรัฐบาล มีคนเห็นคุณทักษิณจูงมือลูกสาวเดินช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าเกสรพลาซ่าเขาให้สัมภาษณ์นักข่าวว่า “ ผมตกงานแล้ว อย่ามาตามผมอีกเลยไปขุดคุ้ยข่าวใหม่จากนักการเมืองจะคุ้มค่ากว่า ” และยังมีคนเห็นเขานั่งดื่มกาแฟที่โรงแรมแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ มีเด็กสองคนจำเขาได้จึงหยิบสมุดให้เขาเซ็นชื่อ เขาเขียนว่า“ หวังว่าเมื่อพวกหนูโตขึ้นจะ กลายเป็นผู้มีความรู้ความสามารถที่สร้างคุณประโยชน์ ” เขายังนัดกับบุคคลในคณะรัฐมนตรีเพื่อตีกอล์ฟ เมื่อเขาตีกอล์ฟออกไปได้สวยเขาก็บอกว่า “ วินาทีนี้เป็นวินาทีที่รู้สึกปลอดโปร่งที่สุดใน 5 ปีที่ผ่านมาดูไปแล้ว คุณทักษิณคิดที่จะออกจากเวทีการเมืองแต่หลังจากนั้น 48 วันเขาก็ต้องขึ้นรถเมอซิเดสเบนซ์ S600 กลับมาที่ ทำเนียบรัฐบาล

เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้ตัดสินตามพระราชประสงค์ ให้การเลือกตั้งเมื่อเดือนเมษายนเป็นโมฆะ โดยอ้างว่าเป็นการเลือกตั้งที่ไม่บริสุทธิ์ยุติธรรม มีการจัดคูหาเลือกตั้งหันด้านหลังให้กรรมการหน่วยเลือกตั้ง ถือว่าผิดรัฐธรรมนูญเพราะไม่เป็นความลับ ทั้งๆที่เป็นสิทธิของกรรมการเลือกตั้งและเป็นหน้าที่ของกรรมการเลือกตั้งที่จะต้องดูแลให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์และยุติธรรม



ดังนั้นคุณทักษิณจึงต้องหวนกลับมารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ประกอบกับ ภาคเหนือเกิดน้ำท่วมใหญ่ งานพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบรอบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็กำลังใกล้เข้ามา เขาจึงจำเป็นต้องกลับมาทำงานต่อไป จนถึงกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีคนใหม่หลังการเลือกตั้งในเดือนตุลาคม แต่สามวันต่อมาเขาได้รับการเตือนจาก ดร.ไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์แห่งมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ซึ่งเป็นนักวิจัยและนักวิจารณ์ที่มีชื่อเสียงว่า ให้ระวังจะถูกลอบสังหารอย่าคิดว่าการลอบสังหารจะไม่เกิดในประเทศไทย

ฝ่ายทหารได้สืบทราบว่าร้อยโทธวัชชัย กลิ่นชนะ ผู้ต้องสงสัย สังกัดกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เป็นคนขับรถของพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี รองผู้อำนวยการ กอ.รมน. จากนั้นพลเอกพัลลภ จึงถูกสอบสวน เขาบอกว่าผมถูกใส่ร้าย คนขับรถของผมได้ลาออกเมื่อ 3 เดือนก่อน โดยบอกว่าจะไปทำงานที่ภาคใต้ และผมไม่ทราบข้อเท็จจริงของการกระทำที่บ้าคลั่งเช่นนี้ของลูกน้อง และ
หากว่าร้อยโทธวัชชัย จะสังหารทักษิณจริง
ทำไมถึงขับรถผ่านหน้าที่พักของทักษิณหลายครั้ง โดยไม่ได้จุดระเบิด

ดังนั้นผมเห็นว่านี่เป็นเรื่องที่ทักษิณสร้างขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อกำจัดผม หากผมคิดจะฆ่าเขา ผมจะทำให้แนบเนียนกว่านี้ อย่าลืมว่าผมเคยเป็นผู้นำหน่วยลอบสังหาร หากผมคิดจะสังหารทักษิณจริงๆ เขาคงไม่รอดแน่คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องโกหกเพราะพลเอกพัลลภ ปิ่นมณี ตอนที่เพิ่งจบการศึกษาจากโรงเรียนนายทหาร ได้เข้าร่วมในหน่วยจู่โจมลอบสังหาร และมีส่วนในการลอบสังหาร นักการเมืองบางคนเมื่อช่วงปี 2520 และเคยเข้าร่วมการพยายามก่อรัฐประหารโดยกลุ่มยังเติร์ก จนถูกจับและหลังจากออกจากคุก เขาก็กลับมามีอำนาจอีกครั้ง และตั้งแต่ปี 2539 เขาก็ได้เข้าเข้าสู่ กองทัพบกและอยู่จนเกษียณ

พลเอกพัลลภมีอุปนิสัยโหดเหี้ยม
เมื่อเดือนเมษายน ปี 2547 ขณะที่เขาดำรง ตำแหน่งผู้ดูแลด้านยุทธศาสตร์การทหารในภาคใต้ เขาบัญชาการทหารอย่างสุดโต่งและเด็ดขาดรุนแรง ในการกวาดล้างกลุ่มติดอาวุธมุสลิม ในมัสยึดเกรือเซะอันศักดิ์สิทธิ์ของจังหวัดปัตตานี หลังจากการระดมยิงกระสุนปืนราวสายฝนได้ผ่านไป ปรากฏว่ามีชาวมุสลิมเสียชีวิต 32 คนเหตุการณ์นี้ในภายหลังถูกเรียกว่า “ โศกนาถกรรมการสังหารโหดที่มัสยิดเกรือเซะ ” ซึ่งถูกประณามทั้งในและนอกประเทศ

แต่เมื่อต้นปี 2550 พลเอกพัลลภอยู่ข้างพลตรีจำลอง ศรีเมืองอย่างเปิดเผย ในขบวนการ “โค่นล้มทักษิณ” ซึ่งมีอานุภาพยิ่งใหญ่และเกรียงไกรที่มีวังและเครือข่ายคอยสนับสนุนอย่างเต็มที่
พลเอกพัลลภกล่าวว่า “ เป็นเพื่อนรักและเป็นเพื่อนนักเรียนโรงเรียนทหารมาด้วยกันยังไงผมต้องสนับสนุนพลตรีจำลองแน่นอน สถานการณ์ของไทยยังไม่นิ่ง และมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหาร ”..

ฝ่ายค้านก็ยิ่งขยายเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่ โดยกล่าวว่าทั้งหมดนี้เป็นละครจัดฉาก ที่วางแผนโดยทักษิณ เพื่อมุ่ง เบี่ยงเบนความสนใจของผู้คนและปิดบังอำพรางการทุจริตคอร์รัปชั่น ในคณะรัฐมนตรี และให้พลเอกพัลลภเป็นแพะรับบาป อีกทั้งคะแนนนิยมในการเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทยลดลง จึงใช้เพทุบายเก่าๆ แบบเดียวกับกรณีนายเฉิน สุยเปี่ยนของไต้หวัน เป็นการหลอกลวงประชาชนเพื่อให้ได้ คะแนนเห็นใจ กลายเป็นคาร์บ๊องส์ ที่เหลวไหลไร้สาระ หนังสือพิมพ์ก็เลิกพาดหัวข่าวเรื่องคาร์บอมบ์ภายในระยะเวลาอันสั้น การสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยุติลง ประชาชนก็ลืมเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เงื่อนงำของปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขก็ค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของผู้คน

วันที่ 25 สิงหาคม 2549 หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ได้ลงบทความหัวข้อ “ แผนลอบวางระเบิดหรือการกุเรื่อง ” โดย อ้างถึงคำพูดของอดีตผู้รับผิดชอบของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ว่า จริงๆแล้วแผนลอบ วางระเบิดทั้งหมดเป็นฝีมือของรัฐบาลทักษิณ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงวิกฤตต้องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ยิ่งกว่านั้นมันทำให้ทักษิณสามารถประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ และยังมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งขึ้นหัวข้อข่าวสะเทือนขวัญว่า “ ทักษิณใช้เงิน 20 ล้านจงใจสร้างปาหี่ทางการเมือง ” หนึ่งสัปดาห์ต่อมามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชน โดยประชาชนถึงร้อยละ 49.8 ไม่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบวางระเบิดนายกรัฐมนตรี และมีเพียงร้อยละ 20.5 ที่เชื่อว่านี่เป็นแผนลอบสังหารนายกทักษิณ

ความน่าเชื่อถือของนายกรัฐมนตรีทักษิณตกต่ำลง ด้วยเหตุนี้ และทำให้คนบางคนรู้สึกผิดหวังและเสียใจมากทั้งๆที่นายกทักษิณก็ยังได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อ แต่ชั่วเวลาเพียง 2-3 เดือนต่อมา เขาก็ถูกมองว่าเป็นคนหลอกลวง เป็นนักวางแผน และเป็นนักการเมืองที่ต่ำช้า นายกทักษิณถูกกดดัน ถูกตั้งข้อสงสัย และโจมตีตลอดเวลา โดยที่ประชาชน ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นจะตายอย่างไร

ตามรายงานข่าว ลูกสาวของทักษิณ คือ นางสาวแพทองธาร ซึ่งกำลังเรียนอยู่ ที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยก็ได้รับความเดือดร้อนไปด้วย อาจารย์ซึ่งสอนวิชาการเมืองคนหนึ่ง พูดต่อหน้านักศึกษาในห้องเรียนว่า แพทองธารเธอยังอยู่ที่นี่ ไม่ยอมไปอีกเหรอ ? ฉันคิดว่าเธอไสหัวไปแล้วซะอีก ! พอพูด ถึงพ่อเธอฉันก็รู้สึกขยะแขยง แพทองธารก็โต้กลับไปว่า “ ก็แล้วแต่อาจารย์จะพูดคงมีสักวันหนึ่งที่หนูพูดถึง อาจารย์ หนูก็คงจะรู้สึกขยะแขยงเหมือนกัน ” เมื่อเรื่องนี้ไปถึงหูคุณทักษิณ เขาโกรธมากเขากล่าวว่าคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของไทย เอาความแตกต่างทางความคิดทางการเมือง มาโจมตีคนในครอบครัวของนักการเมืองได้อย่างไรกัน

เข้าของวันที่ 28 สิงหาคม 2549 เจ้าหน้าที่ตำรวจพบวัตถุต้องสงสัยอีกครั้ง บริเวณที่ใกล้บ้านพักของนายกทักษิณ สืบทราบว่า ชายคนหนึ่งขณะกำลังไปส่งน้ำแข็งให้กับโรงแรมที่อยู่ใกล้ๆก็พบวัตถุต้องสงสัยซึ่งมีลักษณะเป็นห่ออยู่ริมถนน จึงรีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ตำรวจพบว่า ภายในห่อดังกล่าวมีนาฬิกาปลุก 1 เรือน อิฐ 1 ก้อนสายไฟและถ่านเก่าที่ ไม่ได้ใช้แล้วจำนวนหนึ่ง รวมถึงกระดาษที่เขียนด้วยลายมือว่า ต้องการทำร้ายทักษิณนี่ก็เป็นพฤติกรรมข่มขวัญอีกครั้งหนึ่ง ตำรวจกล่าวว่า “ เป็นการสร้างสถานการณ์ เพื่อต้องการให้บ้านเมืองวุ่นวาย ”

ต่อมาวันที่ 4 กันยายนตำรวจก็ออกหมายจับนายทหารจำนวน 4 นายในข้อหามีส่วนพัวพัน กับแผนการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี นายทหารทั้ง 4 นายนี้เป็นทหารประจำการ โดยมียศเป็นพลตรี 1 นาย พันเอก 1 นาย พันโท 1 นายและนายทหาร 1 นาย
ต่อมาวันที่ 9 กันยายน 2549 นายกทักษิณเดินทางโดยเครื่องบินพิเศษไทยคู่ฟ้า เดินทางเยือนประเทศ ฟินแลนด์ จากนั้นเดินทางต่อไปยังสหรัฐอเมริกาเพื่อเข้าร่วมการประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ซึ่งจัดขึ้นที่ มหานครนิวยอร์คในวันที่ 12 กันยายน



ตอนนี้นายกทักษิณ สามารถนอนหลับอย่างสบายใจในมหานครนิวยอร์ค ซึ่งเป็นที่ที่ปลอดภัย ผู้นำรัฐบาลและประมุขประเทศต่างๆ กว่า 80 ประเทศมารวมตัวกันเพื่อการประชุมสมัชชาสหประชาชาติประจำปีโดยมีเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของสหรัฐปฏิบัติงานอย่างเต็มที่ มีการวางกำลังรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาตามโรงแรมที่พักของคณะผู้แทนจากประเทศต่างๆ ไม่มีการเดินขบวนต่อต้านรัฐบาล คุณทักษิณจึงแจ่มใสปลอดโปร่ง แต่สถานการณ์ภายในประเทศไทย ยังคงวุ่นวายต่อไป และคณะกรรมการการเลือกตั้งก็ได้ประกาศเลื่อนการเลือกตั้ง จากเดิมที่กำหนดไว้วันที่ 15 ตุลาคม อาจจะเลื่อนเป็นวันที่ 19 หรือ 26 พฤศจิกายน 2549 ซึ่งไม่น่าเป็นปัญหาสำหรับพรรคไทยรักไทย ที่คงจะชนะการเลือกตั้งอีกครั้ง เพราะไม่ว่าปัญญาชนชั้นนำในกรุงเทพฯจะรุมโจมตีแค่ไหนแต่คุณทักษิณและพรรคไทยรักไทยยังมีฐานเสียงจากคนรากหญ้าในต่างจังหวัดจำนวนมหาศาล แม้ว่าการเลือกตั้งในเดือนเมษายนจะเป็นโมฆะ และรัฐบาลทักษิณมีข่าวไม่ดีออกมาไม่เว้นแต่ละวันก็ตาม พรรคไทยรักไทยก็ยังคงชนะการเลือกตั้งเหมือนเดิม และไม่ว่าคุณทักษิณจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่ ย่อมไม่เป็นผลดีต่อระบอบนิยมกษัตริย์ ที่ต้องการขุดรากถอนโคนรัฐบาลทักษิณให้ได้ ฝ่ายนิยมเจ้ารู้ว่าพวกเขาไม่มีทางเอาชนะการเลือกตั้งได้ เพราะพลังประชาชนที่สนับสนุนไทยรักไทยเหนียวแน่นเข้มแข็งมาก

แต่ว่าระบอบกษัตริย์และเครือข่ายอนุรักษ์นิยมต้องการกำจัดรัฐบาลพรรคไทยรักไทยให้สิ้นซาก รวมทั้งธุรกิจที่เสียผลประโยชน์จากการปฏิรูปของรัฐบาลไทยรักไทย ผู้อยู่เบื้องหลังการค้ายาเสพติด และหวยเถื่อน รวมถึงเจ้าพ่อวงการสื่อมวลชน คนพวกนี้รวมกลุ่มกัน เพื่อให้นายกทักษิณลงจากตำแหน่งให้ได้
หากว่านายกทักษิณยอม ก็เท่ากับว่ายอมก้มหัวให้คนที่เสียผลประโยชน์ที่ลุกขึ้นมาต่อต้าน ซึ่งนายกทักษิณก็ยืนยันมาโดยตลอดว่าตนไม่ผิด ไม่เคยทำเรื่องใดๆ ที่เป็นการทำลายประเทศชาติ สำหรับเรื่องการขายหุ้นเขาถูกโจมตีอย่างหนักโดยมีการเปรียบเทียบกับคนขายก๋วยเตี๋ยวที่ยังต้องเสียภาษี แต่นายกทักษิณขายบริษัทกลับไม่เสียภาษี ทั้งๆที่การขายก๋วยเตี๋ยว คือการขายสินค้าซึ่งต้องจ่ายภาษี แต่กฎหมายกำหนดว่าการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี นายกทักษิณได้เคยเสนอให้มีการอภิปรายเรื่องนี้อย่างเปิดเผยในที่ประชุมรัฐสภา แต่ฝ่ายค้านไม่ตกลงโดยพวกเขาบอกว่าไม่มีประโยชน์

ดังนั้นนายกทักษิณจึงทำได้แต่เพียงยุบสภาเพื่อให้ประชาชนตัดสิน ว่าตนควรจะอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อไปหรือไม่ ในความเป็นจริงการขายหุ้นครั้งนี้เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจของประเทศชาติ เพราะมีเงินเกือบ 2,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไหลเข้าประเทศไทย ทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าเดิม... นายกทักษิณยังกล่าวย้ำอีกว่า กระบวนการเลือกตั้งในระบบประชาธิปไตย ที่มีอิสระเสรี และความยุติธรรม ต้องไม่ควรถูกปฏิเสธ เพียงเพราะมีคนจำนวนหนึ่งไม่พอใจผลการเลือกตั้ง เมื่อประชาชนได้แสดงประชามติโดยผ่านการเลือกตั้ง ก็ควรเคารพเสียงส่วนใหญ่ ไม่ใช่ใช้การต่อต้านชุมนุมประท้วงบนท้องถนน สมาชิกในสังคมทุกหมู่เหล่าต้องยอมรับและเคารพกฎกติกาของประชาธิปไตย.....

แต่ผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลในกรุงเทพฯกลับยิ่งแสดงความไม่พอใจ และทำให้ผลเลือกตั้งเมื่อเดือน เมษายนที่พรรคไทยรักเป็นผู้ชนะต้องเป็นโมฆะ เพราะฝ่ายค้านไม่ลงสมัคร เนื่องจากรู้ว่าสู้ไม่ได้ คุณทักษิณเชื่อว่าเมื่อพรรคฝ่ายค้านเข้าร่วมลงเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็จะทำให้การเลือกตั้งไม่น่ามีปัญหา และรัฐบาลใหม่จากการเลือกตั้งก็จะเริ่มทำงานก่อนขึ้นปีใหม่ ภายใน 3 เดือน สถานการณ์คงกลับมาเป็นปกติ แต่คุณทักษิณคาดการณ์การผิดพลาดอย่างมาก โดยไม่รู้ว่าตัวว่าตนกำลังตกอยู่ในอันตรายเหมือนกำลังเดินเอ้อระเหยลอยชายเข้าสู่กับดัก

เมื่อกล่าวสุนทรพจน์เรื่องอนาคตประชาธิปไตยของไทยจบ ก็เดินทางกลับเข้าโรงแรมที่พักเมื่อเวลาสองทุ่ม แต่นายกทักษิณยังคงวิตกกังวลเรื่องความวุ่นวายในประเทศไทย จึงได้เปิดการประชุมทางไกลกับคณะรัฐมนตรีที่กรุงเทพฯ ในขณะที่การเลือกตั้งกำลังจะมาถึง และบรรยากาศของการเมืองอยู่กำลังตึงเครียด มีข่าวว่า วันที่ 20 กันยายน ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลไม่ต่ำกว่า 1 แสนคนจะรวมตัวกันเดินขบวน เพื่อล้มทักษิณ ตำรวจได้เตรียมพร้อมรับมือเหตุการณ์รุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้นได้
เวลาเที่ยงคืน การประชุมสิ้นสุดลง คุณทักษิณก็เข้านอนและจะต้องตื่นตอน 7 โมงเช้า และ 8 โมงเช้ารถก็จะมุ่งหน้าไปยังที่ประชุมสหประชาชาติซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงแรม
การประชุมสหประชาชาติครั้งที่ 61 ก็เริ่มต้นขึ้นด้วยการกล่าวสุนทรพจน์ และอภิปรายตามปกติ
วันนั้น ประธานาธิบดีบุชและประธานาธิบดีของอิหร่านจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ด้วย คนจำนวนไม่น้อยที่รอดูบทบาทที่น่าสนุกของสองผู้นำ ซึ่งจะขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ ในวันเดียวกันนายกทักษิณก็มีกำหนดการขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ ในวันที่ 20 กันยายน ในหัวข้อ“ ประชาธิปไตยของไทย

เวลาตีห้าของวันรุ่งขึ้น ขณะที่นายกทักษิณกำลังเคลิ้มใกล้จะได้เวลาตื่นโดยที่ปกติท่านจะสร้างนิสัยในชีวิตประจำวันของเขาในหลายปีที่ผ่านมาก็คือ การ ไม่นอนดึกไม่ว่าจะยุ่งแค่ไหนก็ตาม โดยจะพยายามเข้านอนก่อนเที่ยงคืน อย่างน้อยต้องนอน 5 ถึง 6 ชั่วโมง ตื่นมาตอนเช้า ปกติก็จะต้องออกกำลังกายสักพัก เขาชอบว่ายน้ำ จึงทำให้เขาจึงมีแรงต่อสู้มาอย่างยาวนานแม้จะถูกแรงกดดันอันหนักหน่วงมาโจมตีตลอดเวลาที่ดำรงตำแหน่ง

โทรศัพท์มือถือดังขึ้น
เสียงโทรศัพท์ทำให้เขาตื่นขึ้น ใครโทรมาแต่เช้า “ ฮัลโหล ? ”
“ ฉันเอง ” เสียงที่เขาได้ยิน คือ เสียงที่คุ้นเคยของภรรยา“ พวกเขาอาจจะก่อรัฐประหาร
พวกเขาเป็นใครกัน หลังจากที่รับโทรศัพท์จากภรรยาแล้ว คุณทักษิณก็รู้สึกตกใจก่อนที่เขาจะไปประชุมที่นิวยอร์ก ก็มีลางสังหรณ์จึงสั่งให้ เพื่อนรัฐมนตรีคอยจับตาดูการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่พวกเขาใช้วิธีอื่นหลอกพวกเรา พวกเขาตั้งใจ และตระเตรียมการมาเป็นอย่างดี คุณทักษิณก็วางใจมักง่ายไปหน่อย เพราะคิดว่าคนที่ตรงไปตรงมาและซื่อสัตย์ ไม่น่าทำเรื่องเช่นนี้ นี่มันศตวรรษที่ 21 ที่ยุคสมัยการใช้อาวุธยึดอำนาจมันน่าจะหมดไปได้แล้ว จึงคิดไม่ถึงว่าพวกเขาจะทำเช่นนี้นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเช่นนี้

การโยกย้ายตำแหน่งในกองทัพ


หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ ทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิ ผู้บัญชาการทหารบกหนึ่งครั้งที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรี ทักษิณทราบดีว่า เบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีชนชั้นหนึ่งที่มีบารมีและไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งนั่นก็คือกองทัพ ที่จะสามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดานายทหารที่ถือกระบอกปืนเหล่านี้ ดูเผินๆ เหมือนจะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นอิสระเหนือรัฐบาล แต่ที่แท้จริงแล้วแค่เพียงกระดิกนิ้วหัวแม่มือเพียงนิ้วเดียว ก็สามารถที่จะขับเขาให้ตกจากที่นั่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

สิ่งที่เขากังวลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งก็เหมือนกับเขาที่ล้วนแต่เป็นส่วนประกอบที่ขับความเด่นให้แก่ผู้มีอำนาจสูงสุด ซึ่งไม่แสดงตัวออกมา แต่ที่สิ่งที่เขากังวลกลับเป็นท่าทีของฝ่ายทหาร ฝ่ายทหารเคยชินกับการใช้วิธีการรัฐประหาร โดยขับไล่นายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่ถูกใจออกไป
การหารือในครั้งนี้ เป็นเหตุมาจากการพิจารณารายชื่อการแต่งตั้งนายทหาร นับตั้งแต่มีข่าวออกมาว่า ฝ่ายทหารอาจจะเข้ามายุ่งเกี่ยวในวิกฤตการเมืองครั้งนี้ ทักษิณก็ได้มองเห็นล่วงหน้าแล้วว่า สุดท้ายสถานการณ์คงต้องพัฒนาไปเป็นการแย่งชิงอำนาจโดยมีกองทัพเป็นผู้บัญชาการ

ใครที่สามารถควบคุมกองทัพได้ ก็จะเป็นผู้ชนะ ตามจากข่าวลือซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ที่สื่อออกข่าวกันอย่างกว้างขวางนั้น ทำให้ในเดือนกันยายน ทักษิณ ได้ใช้สิทธิพิเศษของนายกรัฐมนตรี เสนอชื่อนายทหารที่ฝึกอบรมในโรงเรียนนายทหาร ซึ่งสนับสนุนตนจำนวนร้อยกว่าคนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งที่สำคัญในกองพลที่หนึ่ง

ทักษิณ ยังได้พยายามที่จะเลื่อนตำแหน่งให้พลตรีพฤณฑ์ สุวรรณทัต ขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลที่หนึ่ง ที่ดูแลความสงบในเขตกรุงเทพฯ และต้องการให้ พลตรีดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ ซึ่งเป็นพันธมิตรมารับผิดชอบในกองพลทหารราบที่หนึ่งด้วย โดยแต่เดิมนั้น พลเอกพรชัย กรานเลิศ ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก ก็เป็นคนของเขา
ดังนั้น หากสามารถเปลี่ยนนายทหารระดับกลางและระดับสูงภายในกองทัพบกให้เป็นพวกตนได้ ก็สามารถมีอำนาจในการบังคับบัญชากองทัพที่ดูแลความสงบในกรุงเทพฯ ได้อย่างมั่นคง มีการพูดกันว่า เพราะเรื่องนี้เองที่ทำให้ทักษิณมีเรื่องที่ผิดใจกันกับฝ่ายทหารและทำเนียบองคมนตรี) (อ้างจาก Shawn W Crispin Asia Times Online วันที่ 21 กันยายน 2006)

พลเอกสนธิ กับตำแหน่ง ผบ.ทบ.

พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน อายุมากกว่าทักษิณ 4 ปี เกิดในครอบครัวมุสลิม บริเวณใกล้ๆ กับกรุงเทพฯ โดยบรรพบุรุษได้เคยดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรีคนแรกของไทย ตัวพลเอกสนธิ เองจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า เหล่าทหารราบ ซึ่งเป็นโรงเรียนนายทหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทย หลังจากเข้าร่วมในสงครามเวียดนามก็ได้ไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
เคยเป็นผู้บัญชาการกองกำลังทหารราบสงครามพิเศษ โดยได้รับการแต่งตั้งจากทักษิณให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารบกในวันที่ 1 ตุลาคม 2548 ซึ่งทำให้บุคคลมากมายต่างพากันตกใจ เนื่องจากบรรดาทหารในกองทัพไทยส่วนใหญ่จะเป็นชาวพุทธ พลเอกสนธิ นับเป็นผู้บัญชาการทหารบกคนแรก ที่เป็นชาวมุสลิม

นักวิเคราะห์ให้ความเห็นว่า เหตุผลหลักที่ทำให้ทักษิณเลือกพลเอกสนธิ เนื่องจากต้องการใช้ประโยชน์จากประสบการณ์การรบในสนามรบที่ช่ำชอง และลัทธิความเชื่อของมุสลิม เพื่อแก้ปัญหาชาวมุสลิมที่ก่อความไม่สงบในภาคใต้ของไทยซึ่งยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน ดูจากภายนอกแล้ว พลเอกสนธิดูไม่เหมือนผู้ที่จะวางแผนทรยศโดยลุกขึ้นมาก่อการรัฐประหาร ทั้งภาพลักษณ์และการพูดจาของนายทหารระดับมืออาชีพท่านนี้ ล้วนแต่แสดงออกถึงบุคลิกที่สุภาพอ่อนโยน แม้ตอนถอดชุดทหารแล้ว ก็กลับดูเหมือนศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัย

"คุณคิดจะก่อรัฐประหารโค่นล้มผมหรือเปล่า" ทักษิณถามอย่างตรงไปตรงมา
"จะเป็นไปได้อย่างไร ผมไม่มีทางทำอย่างนั้นหรอก " พลเอกสนธิตอบด้วยเสียงเบาๆ สายตามองก้มลงโดยไม่รู้ตัว คือหลบสายตา และชายตามองเป็นครั้งคราว พูดออกมาอย่างช้าๆ ไม่รีบร้อนคงไม่ใช่ลักษณะของผู้ที่กระหายเลือดหรือคิดยึดอำนาจ

เมื่อพลเอกสนธิได้รับหน้าที่ให้แก้ไขสถานการณ์ความไม่สงบในภาคใต้ของไทย เขายืนยันจะใช้การเจรจา โดยไม่ใช้กำลังอาวุธมามาสงบสถานการณ์ สำหรับข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารที่แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วนั้น เขาได้เปิดเผยท่าทีว่าฝ่ายทหารจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว และการก่อรัฐประหารเป็นสิ่งที่ล้าสมัยอย่างมาก แต่เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองแย่ลง เขาก็ได้เคยกล่าวอย่างอ้อมๆ ว่าในฐานะที่เป็นนักรบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พวกเขาอยากจะช่วยในหลวงขจัดความกังวลและ ความทุกข์ยากทั้งปวง ฝ่ายทหารจะปฏิบัติตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าอยู่หัวอย่างเคร่งครัด

ทักษิณ ถอนหายใจเพราะเขาไม่แน่ใจว่าคำสัญญาของพลเอกสนธินั้นเชื่อถือได้เพียงใด ทั้งๆที่คุณทักษิณเคยย้ำจ่อพลเอกสนธิว่า "คุณต้องจำไว้ว่า ผมเป็นคนที่แต่งตั้งคุณเป็นผู้บัญชาการทหารบก ผมสนับสนุนคุณ ก็เพราะหวังให้คุณทุ่มเทกำลังในการแก้ปัญหาภาคใต้ คุณอย่าเข้ามายุ่งเรื่องการเมือง ขอให้สัญญากับผมด้วยความเป็นสุภาพบุรุษของคุณ และความเป็นพี่น้องว่าคุณจะไม่เข้ามายุ่งเรื่องการเมือง หากคุณสัญญา ผมจะขยายระยะเวลาให้คุณอยู่ในตำแหน่งนานขึ้นอีก 1 ปี" " ผมสัญญา " คำตอบที่สั้นแต่หนักแน่น พลเอกสนธิยืนขึ้นพร้อมกับสีหน้าที่ปราศจากความรู้สึกใดๆ และจับมือกับทักษิณ โค้งคำนับ 1 ครั้ง และเดินออกไป การหารืออันเต็มไปเสียงฟ้าอึมครึ้มที่เป็นลางบอกถึงฝนที่กำลังจะตกนั้นก็ได้สิ้นสุดลง

บัดนี้ เรื่องราวได้เป็นที่กระจ่างแล้วว่า พลเอกสนธิได้หลอกและทรยศคุณทักษิณ ภายใต้ภาพที่สุภาพอ่อนโยนของผู้บัญชาการทหารบกท่านนี้ ได้ซ่อนจิตใจเล่นเล่ห์เพทุบายตลบแตลงอันเด็ดเดี่ยวที่สุด มีความสามารถแบกรับภาระกิจอันยากลำบากและกล้าตัดสินใจด้วยความกล้าหาญเป็นที่สุด รวมทั้งในการกระทำทุกอย่างก็ยอมเสียสละอย่างถึงที่สุดด้วย นายทหารเก่าที่เคยร่วมรบสงครามเวียดนามท่านนี้ นายพลที่กล่าวไว้หลายครั้งว่าไม่คิดจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการเมืองท่านนี้ นายทหารไทยที่เงียบๆ ไม่ค่อยเป็นข่าวท่านนี้ ภายในระยะเวลาเพียงคืนเดียวเขากลับทำให้คนทั้งโลกจำเขาได้อย่างแม่นยำในฐานะทหารโจรปล้นประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์ภูมิพลเป็นหัวหน้า
 

ข่าวลือกลายเป็นความจริง

19 กันยายน 2549 ผู้คนพากันซุบซิบและลือถึงข่าวที่น่ากังวลตามท้องถนนหนทาง จส. ร้อยได้รับโทรศัพท์แจ้งสถานการณ์สิบกว่าราย ที่เห็นการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร ผู้สื่อข่าวรีบโทรไปถามฝ่ายทหารโดยได้คำตอบว่ากองกำลังที่ฝึกซ้อมเสร็จกำลังจะกลับค่าย ไม่ต้องตกใจไป แต่ประชาชนก็ยังคงเคลือบแคลงสงสัยเพราะในช่วง 9 เดือนกว่าที่ ผ่านมา วิกฤตทางการเมืองเลวร้ายลงทำให้กองทัพ ตำรวจและรัฐบาลต่างเริ่มกังวลมากขึ้นทุกวันซึ่งบ่งบอกว่าคงไม่สามารถแก้ไขโดยแนวทางที่ปกติได้
วันที่ 22 สิงหาคมคุณทักษิณได้ประกาศจะนำพรรคไทยรักไทยลงเลือกตั้งครั้งต่อไปในฐานะผู้นำพรรคไทยรักไทย หลังจาก นั้น 2 วัน ก็ได้เกิดเหตุการณ์ “ เตรียมระเบิดรถยนต์/คาร์บอมบ์ ” อันสะเทือนขวัญทำให้สถานการณ์ในกรุงเทพฯ ตึงเครียดมาก ซึ่งคนทั่วไปรู้สึกได้

สองสามเดือนมานี้ ข่าวลือที่ว่ากำลังจะเกิดการรัฐประหารก็เริ่มหนาหูมากขึ้น ข่าวลือที่ว่าเริ่มมีการวางแผนก่อการรัฐประหารเพื่อโค่นล้มอำนาจทางการเมืองของนายกทักษิณนั้นมีมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 และหลังจากที่ทักษิณได้กลับเข้ามากุมอำนาจทางการเมืองในฐานะรักษาการนายกรัฐมนตรี ในเดือนพฤษภาคมข่าวลือ เรื่องการก่อรัฐประหารก็แพร่สะพัดขึ้นอีกครั้ง

และในเดือนมิถุนายน พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ วัย 86 ปี ที่ปรึกษาหมายเลขหนึ่งของพระเจ้าอยู่หัว ประธานองคมนตรี และอดีตผู้บัญชาการทหารบกได้สวมชุดทหารออกมา ขอให้นักเรียนโรงเรียนนายร้อยทำงานสนองคุณและรับใช้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มิใช่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง พร้อมด้วยท่าทีที่ปลุกเร้าฮึกเหิม
ในวันที่ 20 กรกฎาคม 2549 นายทหารบกที่คุมกองกำลังระดับกลางที่สนับสนุนคุณทักษิณจำนวน 129 นายได้ถูกสั่งให้ย้ายออกจากกรุงเทพฯเป็นการโหมโรงก่อนการรัฐประหารจริง ขณะที่พรรคไทยรักไทยของคุณทักษิณและพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ต่างก็วุ่นอยู่กับการหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่ทุกคนต่างก็ยังพะว้าพะวงใจอยู่กับข่าวลือของการรัฐประหารยึดอำนาจ
จนทำให้เข้าใจผิดว่าสิ่งที่ไม่เกิดขึ้นในวันนี้ก็คงไม่มีวันเกิดขึ้นในอนาคต

แต่แล้วในวันที่ 19 กันยายน เวลา 8.00 น. (ซึ่งตรงกับวันที่ 18 กันยายน เวลา 20.00 น.ณ กรุง นิวยอร์ก) สิ่งที่เป็นห่วงกันนั้นได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ ขณะที่คุณทักษิณซึ่งอยู่ไกลถึงสหรัฐฯได้ประชุมทางไกลผ่านดาวเทียม แต่บรรดาคณะรัฐมนตรีที่เป็นฝ่ายทหาร ซึ่งรวมถึงผู้บัญชาการทหารสามเหล่าทัพ ต่างก็ไม่ได้เข้าร่วมการประชุม โดยพลเอกสนธิ บุญยรัตกลินผู้บัญชาการทหารบกชี้แจงว่าเป็นเพราะเรียกประชุมกะทันหันจึงเข้าประชุมไม่ทัน หลังจากนั้นข่าวลือเรื่องการก่อรัฐประหารก็แพร่กระจายอย่างรวดเร็วไปทุกหนทุกแห่งในกรุงเทพฯโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดหุ้น ในตอนบ่ายวันเดียวกันได้มีข่าวจากฝ่ายทหารหลุดออกมาว่า พลเอกสนธิ ผู้บัญชาการทหารบกได้มีคำสั่งให้นายทหารบางส่วนอยู่ในที่ตั้งเพื่อรอประกาศสำคัญ ต่อมามีข่าวลือว่ากองกำลังรถหุ้มเกราะตอบโต้เร็วของกองทัพภาคที่ 2 และ 3 รวมถึงกองกำลังหน่วยรบพิเศษรอบกรุงเทพฯที่ฝึกซ้อมเสร็จในตอนเช้า มิได้กลับที่ตั้งของตน

ผู้ที่คอยติดตามการเคลื่อนไหวจึงรีบรายงานให้คุณหญิงพจมานทราบในทันที เนื่องจากคุณทักษิณอยู่ที่นิวยอร์กมีเพียงภรรยาและญาติที่สนิทสองสามคนที่รู้ทางติดต่อกับคุณทักษิณได้
คุณหญิงพจมานเป็นผู้หญิงใจกล้าแข็งประเภทที่หากเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นมากลางดึกก็จะเป็นคนแรกที่โดดขึ้นจากเตียง และยกปืนขึ้นมาเพื่อสอดส่องดูความปลอดภัย และถูกมองว่าเป็นมันสมองที่แท้จริงและเป็นผู้อยู่เบื้องหลังของคุณทักษิณมาโดยตลอด จากลางสังหรณ์ของเธอ ทำให้คุณหญิงได้รู้ระแคะระคายมาตั้งแต่ต้น และเป็นคนแรกที่โทรศัพท์ถึงสามีที่กำลังนอนหลับสนิทอยู่อีกซีกโลกหนึ่ง เพื่อแจ้งข่าวภัยอันตรายใหญ่หลวงนี้

คุณทักษิณนั่งอยู่บนขอบเตียงคิดอะไรไม่ออกเพราะตกใจสุดขีด รู้สึกชา และมึนงงเหมือนกำลังฝันและไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป ได้แต่นั่งนิ่งเงียบเหมือนท่อนไม้ในห้องมืดสนิทและหนาวเหน็บ ราวกับเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทร
การเจรจาเมื่อหนึ่งเดือนก่อน ได้บ่งบอกถึงพายุระลอกนี้ที่จะมาถึง ตอนนี้ภาพเรื่องราวต่างๆได้ประติดประต่อ และปรากฏตัวอย่างชัดเจนทำให้เขาได้รู้ตัวถูกหลอกแล้ว
  
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ คุณทักษิณได้พบหารือกับพลเอกสนธิฯผู้บัญชาการทหารบกที่ห้องทำงานของนายกรัฐมนตรีทักษิณ และทราบดีว่าเบื้องหลังของการต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ ยังมีผู้มีบารมีที่ไม่มีใครสามารถสั่นคลอนได้ ซึ่งมีอำนาจเหนือกองทัพ สามารถแสดงบทบาทพลิกสถานการณ์ในยามคับขัน บรรดาแม่ทัพนายทหารเหมือนจะเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อรัฐบาล และสามารถที่จะขับเขาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อไรก็ได้ ...สิ่งที่คุณทักษิณกังวลไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน แต่กลับเป็นท่าทีของฝ่ายทหาร ที่เคยชินกับการทำรัฐประหารขับไล่นายกรัฐมนตรีที่พวกเขาไม่ถูกใจออกไป

  .............

ไม่มีความคิดเห็น: