วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เดอะคิงชื่อสมชายตอนที่ 6 : ลุงสมชายผู้พอเพียง Xomxai 06



ฟังเสียง : http://www.mediafire.com/?vl21us666vlrhv2
หรือทาง : http://www.4shared.com/mp3/soc8-b7i/The_Godfather_Named_Xomxai_06.html


เดอะคิงชื่อสมชาย 
ตอนที่
6 : ลุงสมชายผู้พอเพียง

พูมลำพองหรือลุงสมชายได้เคยลองทำธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงต้นๆที่ครองบัลลังก์ได้ไม่นาน
 
กรณีแรกเริ่มจากนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลจากแคลิฟอร์เนียเฮนรี่ เคิร์น Henry Kearns เจ้าของคฤหาสน์ที่ครอบครัวมหิดรไปพักอยู่เมื่อตอนไปเยือนลอสแองเจลิสในปี 2503 เคิร์นใช้สายสัมพันธ์กับพูมลำพองเริ่มด้วยนิคมอุตสาหกรรมกับโรงงานยางไฟร์สโตน ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทยางสยามในเครือซีเมนต์ไทยจากนั้นเคิร์นวางโครงการลงทุนโรงงานเยื่อกระดาษ มูลค่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (หรือราว 600 ล้านบาท) โดยหว่านล้อมพูมลำพองว่าโรงงานจะเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรที่จะปลูกต้นไม้ทำเยื่อกระดาษ เป็นการทดแทนการนำเข้ากระดาษคราฟต์สีน้ำตาลที่ใช้ทำถุงห่อของ และส่งออกได้ด้วย 

ทำให้พูมลำพองเห็นดีเห็นงามไปด้วย เพราะจะได้ทั้งกำไรงาม และได้เกียรติคุณชื่อเสียงมากยิ่งๆขึ้นไป สยามคราฟท์กู้เงินจากธนาคารเอกซิมของสหรัฐ โดยวังเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ผ่านทางสำนักงานทรัพย์สิน ธนาคารไทยพาณิชย์และเครือซีเมนต์ไทย เมื่อโรงงานเริ่มการผลิตในปี 2512 ได้ให้เครื่องราชนายเคิรนส์

แต่หลังจากเคิร์นส ได้นำบริษัทของตนเองเข้ามา คือพาร์สันไวท์มอร์ มีอำนาจดำเนินการก่อสร้างและบริหารกิจการ พอถึงเวลาเริ่มทำการผลิต ปรากฏว่าพาร์สันของเคิร์นถอนทุนคืนและทำกำไรได้จากการบริหารอย่างงามและฉ้อโกงด้วยการโก่งราคาอุปกรณ์ที่จัดซื้อ
พาร์สันของเคิร์นสได้ถลุงเงินของบริษัทแม่ คือสยามคราฟท์ไปจนหมด เมื่อเริ่มดำเนินกิจการสยามคราฟท์ไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยที่เคิร์นสถอนทุนคืนพร้อมกำไรจากค่าตอบแทนในการให้คำปรึกษา จึงเหลือแต่หุ้นส่วนฝ่ายไทย ที่หลักๆ ก็คือสำนักงานทรัพย์สินของพูมลำพอง ที่ต้องเป็นผู้แบกรับภาระทั้งหมด 

เคิร์นต่ออายุโครงการไปได้อีก เมื่อเขาได้เป็นประธานของธนาคารเอกซิมเพื่อส่งออกและนำเข้าของสหรัฐ และยืดกำหนดการใช้หนี้ สยามคราฟท์ทำกำไรได้เล็กน้อยในปี 2515 เพราะรัฐบาลห้ามการนำเข้ากระดาษคราฟท์จากต่างประเทศและยอมให้บริษัทตั้งราคาสูงๆ ขณะที่โรงงานสยามคราฟท์ ที่บ้านโป่ง ราชบุรี ได้สร้างทับพื้นที่ศูนย์กลางของเมืองโกสินารายณ์อายุนับพันปีที่มีการค้นพบซากโบราณสถานขนาดมหึมา เรียกว่าจอมปราสาท 

ในปี 2518 สยามคราฟท์ ประสบภาวะถดถอย การบริหารงานผิดพลาด และคู่แข่งที่เหนือกว่า หุ้นส่วนต่างชาติต่างถอนตัว และทางวังก็ทำการฟ้องร้องนายเคิร์น พูมลำพองต้องให้เครือซีเมนต์ไทยเข้าถือหุ้นของสยามคราฟท์ แต่ในปี 2518 รัฐบาลคึกฤทธิ์ได้ตรึงราคาปูนซีเมนต์ ทำให้เครือซิเมนต์ไทยไม่มีเงินผ่อนชำระหนี้สยามคราฟท์ที่ต้องประกาศล้มละลาย ในเดือนพฤศจิกายน 2518 
ปีต่อมาวังกับเครือซีเมนต์ไทยร่วมมือกับรัฐบาลไทยและสหรัฐฯ ปรับโครงสร้างหนี้อีกครั้งและฟื้นฟูกิจการของบริษัทสยามคราฟท์ และการเจรจาได้ข้อยุติ
แต่พอต้นปี 2520 ศุลกากรไทยดำเนินคดีบริษัทสยามคราฟท์ข้อหาหลบภาษีวัตถุดิบ ศาลสั่งปรับ 66ล้านบาท นายกธานินทร์กับสถานทูตสหรัฐต้องยื่นมือช่วยประคองบริษัทของพูมลำพองเอาไว้อีกครั้งหนึ่ง


เรื่องที่เกิดควบคู่ไปกับสยามคราฟท์ ก็คือเรื่องแอร์สยาม สายการบินของเจ้าที่เริ่มดำเนินกิจการในปี 2508 มีครอบครัวมหิดรเป็นผู้ลงทุนหลัก แข่งขันกับการบินไทยของรัฐบาล แอร์สยามควบคุมดูแลโดยการบินสแกนดิเนเวียกับนายพลกองทัพอากาศไทย ประธานแอร์สยามคือวรานนท์ธวัช สามีของกัญญาวัฒนี แอร์สยามเกือบไม่ได้เปิดกิจการเนื่องจากทุนไม่พอ แถมยังขาดแคลนนักบินกับช่างนักเทคนิค

ปี 2513 บริษัทแอร์สยาม เริ่มกิจการขนส่งสินค้าระหว่างกรุงเทพ - ฮ่องกง ด้วยเครื่องบินเช่า
ปี 2514 แอร์สยามเริ่มบินจากกรุงเทพไปลอสแองเจลิส สัปดาห์ละสองครั้ง ซึ่งเป็นเส้นทางหลัก ของทหารสหรัฐที่ประจำอยู่ในไทย 

แต่ในปี 2515 เศรษฐกิจย่ำแย่ สหรัฐลดกำลังทหาร และเกิดวิกฤตการณ์น้ำมันครั้งแรกของโอเปก ราคาน้ำมันถีบตัวสูง การบินไทยแทบเอาตัวไม่รอด และแอร์สยามต้องหยุดบินข้ามมหาสมุทรแปซิฟิค
บริษัทต้องหาทุนเพิ่มจากกลุ่มของณรงค์ กิตติขจร เมื่อณรงค์ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศในปี 2518 
รัฐบาลคึกฤทธิ์ถูกบีบให้ต้องใช้เงินของรัฐบาลมาช่วยอุ้มแอร์สยาม เกิดการคัดค้านจากพนักงานการบินไทยที่ไม่พอใจรัฐบาลให้การช่วยเหลือแก่คู่แข่งโดยไม่ให้ความเป็นธรรมต่อการบินไทย รัฐบาลจึงต้องทำข้อตกลงอัดฉีดเงินให้การบินไทยเข้าเทคโอเวอร์แอร์สยามเพื่อรับภาระหนี้สินทั้งหมด ผู้ถือหุ้นเดิมของแอร์สยามคือพวกเจ้าจะได้รับเงินคืน ไม่ต้องขาดทุน 

ในเดือนสิงหาคม 2519 พนักงานของการบินไทย 5,300 คนหยุดงานประท้วงหนึ่งวัน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2520 แอร์สยามปิดกิจการ ทิ้งภาระหนี้สินให้เป็นของรัฐบาล

ลุงสมชายร่ำรวยมหาศาล
จริงหรือไม่

นิตยสารฟอร์บประเมินว่าลุงสมชายมีทรัพย์สินในปี 2540 ราวหนึ่งแสนล้านบาท พอปี 2548 ดร.พอพันธ์ ประเมินว่าลุงมีทรัพย์สินเพิ่มเป็น 1.4 ล้านล้านบาท พอๆกับงบประมาณของประเทศทั้งปี หรือมากกว่ารักสินที่มี 75,000 ล้านบาท ราว 20 เท่า 
สำนักข่าวบลูมเบิร์กที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่องการลงทุนทั่วโลก ได้จัดให้ลุงสมชายครองตำแหน่งนักลงทุนอันดับ1 ในตลาดหุ้นของไทย ด้วยมูลค่าหุ้นมากกว่า 150,000 ล้านบาท เฉพาะปูนซิเมนต์ไทยลุงถือหุ้น 360 ล้านหุ้นหรือร่วม 6 หมื่นล้านบาท และไทยพาณิชย์ ลุงถือหุ้นกว่า 723 ล้านหุ้น หรือกว่า 56,000 ล้านบาท
โดยมีทุนลดาวัลย์ ดูแลการลงทุนทั่วไป วังสินทรัพย์จัดการที่ดินและอสังหาริมทรัพย์

การกอบกู้สถานการณ์วิกฤตของธนาคารไทยพาณิชย์ ตามโครงการ 14 สิงหา ต้องเพิ่มทุนอีก 32,500 ล้านบาท แต่สำนักงานของลุง ได้นำที่ดินย่านพญาไท ถนนราชวิถี ซึ่งให้ราชการเช่า จำนวน 484.5 ไร่ มูลค่าประมาณ 16,500 ล้านบาท แลกกับหุ้นไทยพาณิชย์ที่กระทรวงการคลังถืออยู่ เพื่อให้ลุงรักษาหุ้น 25% โดยกระทรวงการคลังต้องออกพันธบัตรดอกเบี้ย 4.25 % ต่อปี จนถึงปี 2552

สำนักงานของลุงสมชายมีที่ดินราว 8,800 ไร่ ในกรุงเทพมหานครหรือราว 1 ใน 3 ของพื้นที่ย่านธุรกิจในกรุงเทพ และ 31,000 ไร่ในต่างจังหวัด มีผู้เช่าอยู่ในกรุงเทพฯ 22,000 ราย และผู้เช่าต่างจังหวัด 13,000 ราย มีชุมชนแออัดหรือสลัมอยู่ในที่ดินของลุง 73 ชุมชน
ที่เด่นก็คือ เซ็นทรัลเวิลด์ สยามพาราก้อน  ฮิลตัน ถนนวิทยุ
โรยัล ปรินเซส หลานหลวง แอร์พอร์ตดอนเมือง  รอยัลออคิดเชอราตัน
บางกอกอินเตอร์คอนติเนนตัล  โอเรียลเต็ล ดุสิตธานี
อาคารซิกโก้ หรือ สินธรทาวเวอร์ 2
เสริมมิตรทาวเวอร์ สามยอดพลาซ่า
เทสโก้โลตัส สี่แยกเจริญผล
บางกอกบาร์ซาร์ ย่านราชดำริ เยาวราช
แพร่งสรรพศาสตร์ ถนนพระอาทิตย์
นอกจากนี้ ยังมีโรงแรมเคมพินสกี้ที่เยอรมันและ 23 แห่งทั่วโลก
สยามปาร์ค สวนน้ำในสเปนที่ใหญ่และอังการที่สุดในโลกบนเนื้อที่กว่าร้อยไร่
โรงแรมดุสิตธานีนิคโก้ที่มนิลา และเมลโรสที่อเมริกา
ในปี 2540 ประมาณว่าสำนักงานของลุงสมชาย ได้เข้าไปถือหุ้นโดยตรงของบริษัทต่างๆมากกว่า 70 บริษัท โดยได้ลงทุนทั้งโดยตรงและโดยอ้อมทั้งสิ้นเกือบ 300 บริษัท โดย 43 บริษัท จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์
มีอุตสาหกรรม 37 แห่ง สถาบันการเงิน 11 แห่ง ประกันภัย/คลังสินค้า 8 แห่ง โรงแรม 8 แห่ง
พัฒนาที่ดิน/ก่อสร้าง 6 แห่ง ธุรกิจบริการ/สื่อสารมวลชน 9 แห่ง รายได้บริษัทปูนซีเมนต์และบริษัทในเครือสูงเกินหลักแสนล้านบาทเป็นครั้งแรก ในปี 2538 และได้ร่วมทุนกับต่างชาติ
เช่น กลุ่มโอบายาชิของญี่ปุ่น
นอกจากนี้ก็มีไทยฟูจิ ซีรอค โอยาเล็นซ์
สยามคูโบตาดีเซล   วาย เค เค ซิปเปอร์  สยามคราฟท์
โรยัล เซรามิค  สยามบรรจุภัณฑ์
ยางไฟร์สโตน  สยาม ซานิตารีแวร์
อินเตอร์เนชั่นแนลแอนยิเนียริ่ง ท่อซีเมนต์ใยหิน
ไทยวนภัณฑ์  กระเบื้องทิพย์
กระดาษสหไทย เอส พี แบตเตอรี 

ในช่วง 2535 -2540 เครือซีเมนต์ไทยมีบริษัทร่วมลงทุนกว่า 130 บริษัท พนักงานกว่า 35,000 คน ธุรกิจในเครือได้รับความคุ้มครองจากรัฐบาลมานาน จึงผูกขาดการขายในประเทศ ไม่ต้องแข่งขันกับใคร และเข้าไปมีบทบาทในกลุ่มสมาคมและสภาหอการค้าไทย มีการขยายตัวขนานใหญ่จากการกู้หนี้ต่างประเทศ ในปี 2539 บริษัทมีหนี้ต่างประเทศกว่า 60,000 ล้านบาท พอเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2540 ทำให้ขาดทุนกว่า 50,000 ล้านบาท

ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ใหญ่เป็นอันดับ 4 ได้รับอนุญาตประกอบวิเทศธนกิจ เป็นแห่งแรก ขยายการเปิดสาขาและการลงทุนขนานใหญ่ 87 บริษัท วิกฤตเศรษฐกิจ 2540 ทำให้ขาดทุนมากกว่า 35,000 ล้านบาทในปี 2542

สำนักงานของลุงได้ขยายการลงทุนสู่ธุรกิจปิโตรเคมีสามารถสร้างผลกำไรได้เร็ว ขณะที่ธุรกิจปูนเริ่มมีคู่แข่ง โดยถือหุ้นของบางจากปิโตรเลียม ปตท. ไทยพลาสติกและเคมีภัณฑ์ (ทีพีซี)
ไทยอินดัสเตรียลแก๊ส 


สำนักงานทรัพย์สินของลุงมีสินทรัพย์ในเครือเกือบ 500,000 ล้านบาท ในปี 2540 มีการร่วมมือกับกลุ่มธุรกิจชั้นนำ ถือหุ้นไขว้กันระหว่างบริษัทในเครือ เป็นเครือข่ายโยงใหญ่ครอบคลุมธุรกิจใหญ่ๆ
ในส่วนของสำนักงานทรัพย์สินของลุงสมชายก็มี พ...จัดระเบียบทรัพย์สินของลุงสมชาย 2491 ได้รับการยกเว้นการเสียภาษี ให้อำนาจลุงสมชายแต่งตั้งคณะกรรมการทรัพย์สิน ได้ตามอัธยาศัย ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สิน ยังเป็นรองเลขาของลุงสมชาย

ในขณะที่กฎหมายไทยคุ้มครองลุงสมชายเรื่องหมิ่นเดชานุภาพและ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินไม่กล้าตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินของลุงสมชายเพราะอาจเข้าข่ายหมิ่นลุงสมชาย รวมทั้งความคลุมเครือของสถานภาพของสำนักงานทรัพย์สินของลุง ที่ไม่อนุญาตให้มีการวิจารณ์หรือตรวจสอบเป็นอันขาด และยังคุ้มครองทรัพย์สินของลุงไม่ให้ตกเป็นของบุคคลอื่น เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากลุงเท่านั้น ดังนั้น หากสำนักงานทรัพย์สินของลุง ถูกฟ้องหรือดำเนินคดี เจ้าหนี้ไม่สามารถยึดที่ดินและผู้ใดจะอ้างการครอบครองโดยปรปักษ์ไม่ได้ จะตกเป็นของสาธารณะก็ไม่ได้ การตรวจสอบสำนักงานทรัพย์สินของลุงต้องได้รับอนุญาตจากลุงและต้องไม่กระทบอำนาจของลุง

ปี 2544 สำนักงานทรัพย์สินของลุงใช้ที่ดินบริเวณสวนมิสกวันและคุรุสภา ราว 35 ไร่ มูลค่าราว 1200 ล้านบาท แลกหุ้น ปตท. ของกระทรวงการคลังกว่า 34 ล้านหุ้น (หุ้นละ 35 บาท) พอต้นปี 2547 ราคาหุ้นของ ปตท.ขึ้น 5 เท่าตัว อยู่ที่ 140–170 บาท ทำให้กำไรกว่า 35,000 ล้านบาท

ในปี 2546 สำนักงานทรัพย์สินของลุง ยังได้นำที่ดินแถวทุ่งพญาไท  484.5 ไร่ (มูลค่า 16,500 ล้านบาท) แลกกับหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ที่กระทรวงการคลังถือ เพื่อเพิ่มหุ้นจาก 11.8% เป็น 24.0 %ในปี 2549 ทั้งๆที่ไม่มีกฎหมายอนุญาต

.ร.บ.ธนาคารพาณิชย์ 2522 บังคับให้เอกชนถือหุ้นธนาคารไม่เกิน 5% ภายในวันที่ 7 มีนาคม 2527 ตอนนั้นสำนักงานทรัพย์สินของลุง มีหุ้นในธนาคารไทยพาณิชย์ 36% แต่มีการตีความว่าการถือหุ้นของลุงสมชาย อยู่ในข้อยกเว้น เช่นเดียวกับหน่วยงานของรัฐ สำนักงานทรัพย์สินของลุงจึงได้สิทธิ์พิเศษควบคุมธนาคารไทยพาณิชย์ไว้เหมือนเดิม

แต่กระทรวงการต่างประเทศของไทยได้มีหนังสือตอบโต้นิตยสารฟอร์บส์วันที่ 20 สิงหาคม 2551 กรณีจัดอันดับให้ลุงสมชายเป็นราชาที่รวยที่สุดในโลก และมีส่วนเกี่ยวข้องในการยึดอำนาจจากนายกรักสิน สำนักงานทรัพย์สินของลุงสมชายชี้แจงว่า ทรัพย์สินที่บทความนำมาประเมินนั้นมิใช่ทรัพย์สินส่วนตัว แต่เป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับราชาในประเทศอื่น ไม่ใช่ของส่วนตัว หากแต่เป็นของคนทั้งชาติ   

รวมทั้งที่ดินในความดูแลของสำนักงานทรัพย์สินของลุงสมชาย ส่วนใหญ่หน่วยงานราชการ องค์กรสาธารณะกุศลเป็นผู้ใช้ประโยชน์ และจัดให้ประชาชน ที่ไม่ได้มีฐานะร่ำรวย รวมทั้งชุมชนอีกกว่าหนึ่งร้อยแห่ง เช่าในอัตราที่ต่ำ มีเพียงส่วนน้อยประมาณร้อยละ 7 ของที่ดิน ที่จัดให้เอกชนเช่าและจัดเก็บในอัตราเชิงพาณิชย์

23 กุมภาพันธ์ 2554 สุเมธ เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒโน ให้สัมภาษณ์กรณีเว็บไซต์แวนคูเวอร์ซัน ของแคนาดา รายงานว่าลุงสมชายเป็นราชาที่รวยที่สุดในโลก ว่า ฝรั่งโง่ เพราะที่จริงเป็นของหลวง คือเป็นของรัฐ แต่ฝรั่งเห็นตราครุฑก็เลยคิดว่าเป็นของลุงสมชาย ที่จริงกระทรวงการคลังดูแล ประธานของสำนักงานทรัพย์สิน คือ รัฐมนตรีคลัง ไม่ใช่สมบัติของลุง มันเป็นของสถาบันกษัตริย์ มีการตั้งคณะกรรมการ น่าจะรู้อยู่แก่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ต้องดูที่ทรัพย์สินส่วนตัว ซึ่งเป็นของลุงสมชายจริงๆ ที่สืบทอดบัลลังก์มา เหมือนมรดกตกทอดมาถึงลูกถึงหลาน

ให้ไปดูบ้านช่องของลุง ยังเล็กกว่าของเศรษฐีในเมืองไทย   แล้วบอกว่าลุงสมชายรวยที่สุดในโลกได้อย่างไร สติไม่ดี.. จากที่ตนได้มีโอกาสรับใช้ใกล้ชิด ก็เห็นอยู่ว่าลุงสมชายใช้จ่ายน้อยที่สุด แล้วเวลาพูดถึงเรื่องประหยัด เราก็นึกและพูดถึงลุงสมชายกันทุกที

น่าแปลกใจกับข่าวที่บอกว่าลุงรวยที่สุด ดูชีวิตของลุงสิ ลุงอยู่วังเล็กๆ ใช้ของประหยัด กลายเป็นต้นแบบความพอเพียง ข่าวสองข่าวมันขัดกันในตัวเองอยู่แล้ว อันนี้ก็ต้องฝากสื่อไปในเมืองไทยข้อมูลก็รู้ๆเห็นๆกันอยู่ สื่อไม่ควรทำตัวเป็นคนโง่ 

กรณีที่มีคนนำเรื่องลุงสมชายมาพูดวิพากษ์วิจารณ์ตามที่สาธารณะมากขึ้น โดยเฉพาะทางสังคมออนไลน์หรืออินเตอร์เนท อย่างเปิดเผยมากขึ้นนั้น สุเมธกล่าวว่า "ไอ้พวกนี้มีตัวตนที่ไหน อยากด่าใครก็ด่า เพราะฉะนั้น ในโลกออนไลน์จะสื่ออะไรก็ได้ทั้งนั้น ขืนเราเอามาเป็นสาระ ผมว่ารกสมอง"สุเมธกล่าวว่า ได้เข้าพบลุงสมชายเมื่อสองเดือนที่แล้ว ลุงยังแข็งแรงดี แต่อาจจะมีอาการของหลังที่ยังคงไม่ปกติ ทำให้เดินไม่สะดวก แต่ก็ยังทำงานอยู่ตลอด ไม่เคยได้หยุด เรื่องน้ำ ดิน อากาศ และทุกข์สุขของประชาชน 

สุเมธออกมาโต้ข่าวความร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดของลุงสมชาย แทนที่จะไปชี้แจงต่อฟอร์บที่เป็นต้นตอการจัดอันดับความร่ำรวยของราชาทั่วโลกเพื่อสื่อต่างประเทศอื่นๆจะได้ไม่นำข้อมูลจากฟอร์บไปใช้ต่อ สุเมธกลับมาชี้แจงผ่านสื่อไทยซึ่งสื่อในประเทศก็ไม่กล้าออกข่าวความร่ำรวยของลุงสมชาย  แต่กลับมาโต้แย้งผ่านสื่อในประเทศ ทำให้คนในประเทศได้รู้กันมากขึ้นว่าสื่อต่างประเทศเขาจัดลำดับให้ลุงสมชายรวยที่สุดในโลก 

โดยที่ลุงสมชายก็มีรถมายบัคหลายคันราคาคันละไม่ต่ำกว่า 75 ล้านบาท ส่วนสุเมธก็ขับรถฟอร์รารี่ราคาหลายสิบล้านบาท ที่ต้องรีบออกมาตอบโต้แบบข้างๆคูๆก็เพราะได้โฆษณาหลอกลวงประชาชนไว้มากว่าลุงสมชายประหยัดมาก ลุงคงจนมาก น่าสงสารลุงมาก พอมีข่าวโด่งดังว่าลุงเป็นราชารวยที่สุดในโลกสามปีซ้อนโดยรวยกว่ากษัตริย์บรูไนและซาอุซึ่งมีบ่อน้ำมันมหาศาล ทำให้เกิดอาการร้อนตัว ต้องออกมาโต้แย้งแบบข้างๆคูๆเป็นข่าวเอิกเกริกในประเทศโดยไม่จำเป็น

ถ้าสุเมธไปเข้าพบลุงสมชายบ่อยๆ ก็น่าจะลองเสนอให้ลุงช่วยป้องกันความสับสนของสังคมไทยและสังคมโลก โดยยุบเลิกสำนักงานทรัพย์สินของลุง แล้วโอนทรัพย์สินทั้งหมดให้หน่วยงานราชการที่มีหน้าที่รับชอบดูแล เงินของทรัพย์สินก็ยกให้เป็นงบประมาณแผ่นดินหรือเป็นเงินคงคลังอย่างที่หลวงตามัวบริจาคทองคำเข้าคลังหลวง หุ้นก็ยกให้กระทรวงการคลังเอาไปบริหารจัดการ มีกำไรก็เอาเข้ารัฐ ที่ดินก็ยกให้กรมธนารักษ์เอาไปหารายได้เข้าแผ่นดิน

เวลาลุงไปเปิดงานไหนก็พูดพร่ำสอนให้ประหยัด สมถะ พอเพียง แล้วจะเก็บเอาทรัพย์สมบัติไว้ทำไมกันนักหนา ทั้งเงิน ทั้งหุ้น ทั้งที่ดิน แค่เงินเดือนที่รัฐจัดสรรให้ปีละสองพันกว่าล้านบาทก็น่าจะเกินพอแล้ว ถ้ามันมากเกินไปก็บอกรัฐบาลไป เขาจะได้ปรับลดให้สมกับความประหยัด ความสมถะ เห็นบอกว่า ทรัพย์สินส่วนพระราชาเป็นของหลวงของแผ่นดิน ก็ทำให้มันเป็นของแผ่นดินให้ชัดเจนแบบไร้ข้อกังขาไม่ได้หรือ

การที่สื่อนอกเขาจัดลำดับให้ลุงสมชายรวยที่สุดในโลก เขาอาจมีเจตนาจะบอกให้ชาวโลกรู้สถานทางเศรษฐกิจ มีทรัพย์สินและสินทรัพย์ที่ร่ำรวยมากกว่าราชาประเทศอื่นๆ ส่วนใครจะคิดต่อหรือสงสัยต่อว่า ทำไมลุงสมชายถึงได้รวยมากมายขนาดนั้น รวยมาจากไหน รวยแล้วทำไมยังของบจากรัฐบาลเพิ่มขึ้นทุกปี ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง สุเมธคงโกรธที่ตัวเองอุตส่าห์เป็นตัวตั้งตัวตีโฆษณาเรื่องของความประหยัดพอเพียงของลุงสมชาย แต่สื่อฝรั่งก็รู้จนได้ว่าลุงสมชายร่ำรวยมั่งคั่งจริงๆ ไม่ใช่รวยเล่นๆ พอโต้แย้งเขาไม่ได้ เลยพาลไปว่าเขาโง่

ถ้าทรัพย์สมบัตินั้นเป็นของรัฐ เป็นของหลวง แล้วใครที่เป็นคนมีอำนาจอนุญาตให้ใช้สมบัติเหล่านั้น เป็นเรื่องชัดเจนที่บัญญัติไว้ในพรบ.สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระราชาอยู่แล้ว ขณะที่เงินงบประมาณจากภาษีอากรของประชาชนก็ล้วนแต่นำไปช่วยสร้างความเจริญมั่งคั่งให้สำนักงานทรัพย์สินมาโดยตลอดทั้งถนนหนทางและสาธารณูปโภคต่างๆที่ต้องทุ่มเทลงไปโดยเฉพาะในบริเวณที่ดินของสำนักงานทรัพย์สินของลุงสมชาย

สุเมธแก้ตัวว่าประธานของผู้ดูแลสนง.ทรัพย์สิน คือ รัฐมนตรีคลังเพราะมีอำนาจมากทำให้ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ แต่จงใจที่จะไม่บอกว่า กรรมการอีก 4 คน ลุงสมชายเป็นคนแต่งตั้งล้วนๆ 

ข้อยืนยันว่าใครมีอำนาจจัดการหรือสั่งจ่ายทรัพย์สินก็คือ .ร.บ. จัดระเบียบทรัพย์สิน 2479 ที่ได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมในปี 2491 หลังการยึดอำนาจของผิน ชุณหะวัณ ที่มีสาระสำคัญ คือ
มาตรา 4 ตรี ให้ลุงสมชายมีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการทรัพย์สินส่วน ประกอบด้วยรัฐมนตรีคลังและกรรมการอื่นอีก ไม่น้อยกว่า 4 คน โดยให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงาน1 คน
มาตรา 6 รายได้จากทรัพย์สินจะจ่ายได้เฉพาะที่ได้รับอนุญาตจากลุงสมชายแล้วเท่านั้น   ..
มาตรา
8 ทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรเช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน...

จึงเห็นได้ชัดว่าลุงสมชาย คือผู้มีอำนาจจัดการทรัพย์สินส่วนราชาที่แท้จริงแต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ต้องเสียภาษีเพราะอ้างว่าเป็นของสาธารณะ กลายเป็นว่าทรัพย์สินส่วนกษัตริย์เป็นของปวงชนชาวไทย แต่ลุงสมชายเป็นผู้ใช้ทรัพย์สินนั้นแต่ผู้เดียว แบบเดียวกับที่เขียนในรัฐธรรมนูญว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย แต่ลุงสมชายเป็นผู้ใช้อำนาจทั้งหมดเพียงคนเดียว

ตามหลักการแล้วทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ เป็นทรัพย์สินของรัฐในประเทศที่ปกครองแบบประชาธิปไตย ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราช โดยต้องเป็นทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐบาลที่ได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชนและสามารถตรวจสอบควบคุมโดยสาธารณะได้อย่างเต็มที่ทุกประการ เช่นเดียวกับทรัพย์สินของรัฐอื่นๆ แต่ในสมัยรัฐบาลประชาธิปัตย์ ที่ขึ้นสู่อำนาจด้วยการรัฐประหารโค่นรัฐบาลหลวงธำรงค์ ได้ออกพรบ.เปลี่ยนแปลงอำนาจการควบคุมทรัพย์สินของรัฐส่วนนี้ ให้กลับไปเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชอีก คือ ให้กษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการ จำหน่ายใช้สอยผลประโยชน์ที่ได้จากทรัพย์สินส่วนนี้ ตามอัธยาศัย ทำให้ทรัพย์สินส่วนกษัตริย์ ที่มีลักษณะเป็นทรัพย์สินของรัฐ กลายมาเป็นทรัพย์สินที่มีลักษณะ ส่วนตัวไปโดยปริยายไป

ราษฎรมีความซาบซึ้งจริงๆหรือ

มีการโฆษณาเป็นประจำ ว่าลุงสมชายเหนื่อยยากเพื่อราษฎรมามากแล้ว เป็นราชาที่เสียสละที่สุด เป็นราชาแห่งราชาทั้งหลาย เป็นผู้วิเศษที่ราษฎรจะต้องซาบซึ้งให้มากที่สุด ที่แท้เรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องของการบังคับ โดยมีกฎหมายห้ามราษฎรดูหมิ่นหรือไม่เคารพกราบไหว้ลุงสมชาย โดยถือว่าเป็นอาชญากรรมร้ายแรงมีโทษจำคุกต่ำสุด 3 ปี ถึงสูงสุด 15 ปี โดยห้ามประกันและลงโทษแบบนับจำนวนครั้งหรือข้อความ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อสังคมหรือไม่ ตามด้วยการโฆษณายกย่องสรรเสริญทุกค่ำเช้า และห้ามการวิจารณ์โดยเด็ดขาด ให้สดุดีและซาบซึ้งได้อย่างเดียวเท่านั้น

แม้บางเรื่องจะเห็นกันชัดๆ ว่าลุงเข้าข้างฝ่ายที่ไม่ชอบธรรมไม่ถูกต้อง เช่น ให้ท้ายพวกพันธมิตรเสื้อเหลือง ขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สนับสนุน และรับรองให้ทหารปล้นอำนาจของประชาชน สั่งการพวกผู้พิพากษาให้เล่นงานลงโทษพวกของรักสิน และคนเสื้อแดงอย่างไม่มีความเป็นธรรมที่เรียกกันว่า สองมาตรฐาน

เรื่องความดีและความเหนื่อยยากของลุงเป็นเรื่องที่พูดเอาเองข้างเดียว เพราะห้ามโต้แย้ง ห้ามพิสูจน์ ห้ามซักถาม ทั้งๆที่ราษฎรส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานหนักแทบตลอดชีวิต ไม่ได้มีขบวนรถหรือ คนรับใช้คอยปรนนิบัติรายล้อม นายกรักสินที่ทำงานหนักและได้ผลงานมากกว่าลุง แต่ก็ยังมีคนกล่าวหาว่าเป็นการเอาหน้า เป็นประชานิยมที่ต้องการสร้างภาพและหาเสียง

ผู้ทรงความรู้และนักวิชาการทั้งหลาย ก็ไม่มีใครกล้าทักท้วงหรือวิจารณ์ลุง เพราะกลัวจะมีภัย ทุกคนต้องก้มหน้าสรรเสริญสดุดีลุง โดยไม่ต้องไปพิจารณาไตร่ตรองหรือใช้สติปัญญาใดๆทั้งสิ้น ลุงสมชายจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด โดยห้ามตั้งข้อสงสัยเด็ดขาด
การที่ประชาชนไทยแสดงความซาบซึ้งต่อลุงสมชาย จึงเป็นเรื่องที่ถูกบังคับทั้งทางกฎหมายและสังคมวัฒนธรรม โดยมีสื่อที่โหมโฆษณาแต่ความดีของลุงสมชาย เพื่อสร้างรูปการจิตสำนึกมารองรับ มิได้เกิดขึ้นเองอย่างที่มีการกล่าวอ้างกันแต่อย่างใด
ลุงสมชายไม่ใช่คนที่คนยากไร้ แต่เป็นเจ้าที่ร่ำรวยมั่งคั่งที่สุดในโลกด้วยทรัพย์สินไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านล้านบาท แถมด้วยเงินที่เบิกจากงบประมาณไว้ใช้จ่ายอีกปีละกว่า 2,400 ล้านบาท

แม้ว่าลุงจะมีงานสงเคราะห์คนอนาถามากมาย แต่ลุงสมชายก็เบิกเอาจากงบประมาณแผ่นดินทั้งนั้น ขณะลุงสมชายมีกำไรจากธุรกิจและหุ้นจำนวนมหาศาลปีละหลายหมื่นล้านบาท แต่ลุงและครอบครัวก็ยังคงเดินสายออกรับบริจาคเงินเอาเข้ากระเป๋าแล้วเบิกงบประมาณมาใช้ คือ ได้ทั้งเงินได้ทั้งชื่อเสียง แถมยังโฆษณาทวงบุญคุณแบบไม่มีวันจบสิ้น ทั้งๆที่ร่ำรวยมหาศาล แต่ยังใช้เงินภาษีของราษฎรมากที่สุดกว่าราชาของประเทศใดๆ

ส่วนเรื่องที่ลุงสมชายแอบหนุนหลังพวกกบฏนั้น ก็ได้มีการเปิดเผยโทรเลขของทูตสหรัฐ ที่ได้พูดคุยกับพลเอกบัง เมื่อบ่ายวันที่ 20 กันยายน 2549 โดยนายพลบังยืนยันว่าลุงเป็นฝ่ายเรียกพวกตนเข้าพบ และออกข่าวทางทีวี โดยที่พวกตนไม่ได้เป็นฝ่ายขอเข้าพบลุงแต่อย่างใดและลุงก็มีอารมณ์ดี มีความสุข ยิ้มแย้มแจ่มใส แสดงอาการสบายใจโล่งอก เท่ากับเป็นการประกาศให้ราษฎรได้รู้ว่า ลุงสนับสนุนการโค่นล้มรัฐบาลรักสินที่มาจากการเลือกของราษฎรส่วนใหญ่ มาตั้งแต่ต้น และก็ทำให้พวกทหารรักษาลุงสมชายที่ก่อการกบฏเกิดความมั่นใจ ไม่ต้องหวั่นเกรงว่าจะมีความผิด เพราะลุงสมชายออกหน้าสนับสนุนเต็มที่

ประชาชนทุกคนก็ได้เห็นการถ่ายทอดทีวี ที่มีภาพของลุงสมชายและป้าสมจิต พร้อมทั้งเปรมิกาและผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อแสดงการรับรองการก่อกบฏยึดอำนาจของประชาชน แต่ไม่ใครกล้าพูดความจริงเพราะมีกฎหมายปิดปาก ห้ามวิจารณ์ลุงสมชายโดยเด็ดขาด

โครงการของลุงสมชาย
ช่วยประชาชนไทยได้จริงหรือ

มีการประชาสัมพันธ์ว่าลุงสมชายมีโครงการเพื่อราษฎรมากกว่าสามพันโครงการ เป็นโครงการที่ดีและมีประโยชน์ ประชาชนชาวไทยทุกคนล้วนเป็นหนี้บุญคุณลุง ที่อุตส่าห์เหนื่อยยากทำงานเพื่อราษฎรมาตลอดระยะเวลากว่าหกสิบปี แต่ไม่มีการตรวจสอบหรือประเมินผลตามที่ควรจะเป็น เหมือนที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป เพราะมีกฎหมายห้ามวิจารณ์ ห้ามตั้งคำถามและห้ามพูดในทางที่อาจไม่เป็นผลดีต่อลุงสมชายและครอบครัวเป็นอันขาด ลองพิจารณาโครงการของลุงสมชายบางโครงการ ดังต่อไปนี้

โครงการฝนเทียม 
เรื่องฝนเทียมก็เป็นเรื่องที่ฝรั่งเข้ารู้จักกันมาก่อนร่วมหกสิบกว่าปีแล้ว แต่เขาไม่นิยมเพราะมันไม่คุ้ม ผลไม่แน่นอน มีการใช้สารเคมีที่อาจมีผลตกค้าง แต่กลับมีการอ้างผลงานที่เกินความจริง โฆษณาว่าสามารถบังคับฟ้าฝนได้  แล้วจะมีเขื่อนไปทำไม มีกรมชลประทานไว้ทำอะไร
ถ้าฝนหลวงได้ผลจริง ทำไมเกษตรกรยังต้องเผชิญกับภัยแล้ง ทำไมไม่ทำฝนหลวงทั้งปีไปเลย ชาวนาจะได้ทำนาทำสวนได้ตลอด ที่เห็นๆกันอยู่เป็นประจำก็คือเดี๋ยวก็น้ำท่วม เดี๋ยวก็แล้ง ไม่ต่างจากประเทศที่ไม่มีโครงการฝนหลวงเลย ชาวนาชาวไร่ต้องประสบแต่ปัญหาทั้งปี แต่ก็ยังมีหน้ามาโฆษณาโครงการโดยไม่ยอมรับความจริง ประเทศที่ไม่มีโครงการฝนหลวงเขายังแก้ไขปัญหาได้ดีกว่า เพราะงบจากภาษีประชาชนไม่ต้องแบ่งให้โครงการราชดำริที่ซ้ำซ้อนแถมตรวจสอบไม่ได้เขื่อนก็แล้ว แก้มลิงก็แล้ว ไหนจะฝนเทียม แต่อีสานก็ยังแล้งอยู่วันยังค่ำ สรุปว่าฝนหลวงเป็นการแก้ปัญหาปลายเหตุ ไม่ใช่ทางออกที่ดี 

ส่วนกังหันชัยพัฒโนของลุงสมชายก็ผิดหลักการของการบำบัดน้ำเสียที่ต้องการเติมออกซิเจนลงไปมากๆ เพื่อเร่งการย่อยของเสียด้วยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน โดยให้น้ำได้สัมผัสอากาศมากๆ
แต่กังหันชัยพัฒโนป็นแค่การหมุนเวียนอากาศที่ระดับผิวน้ำ ขณะที่น้ำด้านล่างยังขังนิ่งเหมือนเดิม การหมุนกังหันแบบวิดน้ำกินไฟฟ้าและเปลืองพลังงานมาก
สู้การปั้มอากาศในน้ำที่ใช้หลักเหนี่ยวนำแม่เหล็กไฟฟ้า ให้ลูกยางสั่น ทำให้เกิดการอัดอากาศ ดีกว่าการใช้กังหันชัยพัฒโนที่เป็นแค่ควักน้ำขึ้นมาสัมผัสอากาศ จึงได้ผลน้อยกว่าหรือใช้ปั้มอากาศหรือพ่นน้ำเป็นน้ำพุ ซึ่งดีกว่าและสวยงามด้วย
กังหันน้ำชัยพัฒโนมีหลายรุ่น แต่ไม่คุ้มค่าคุ้มราคาสักรุ่น เปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ ทั้งๆที่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนบอกว่าไม่คุ้ม แต่กลับถูกนำไปโฆษณายกย่องให้ลุงสมชายเป็นบิดาแห่งการประดิษฐ์โลก

โครงการหลวงของลุงสมชายจึงเป็นเพียงการโฆษณาที่ฉาบฉวย หาสาระประโยชน์จริงๆไม่ได้ขณะที่โครงการสมัยรัฐบาลรักสิน อย่างเช่น 30 บาทรักษาทุกโรค กองเงินหมู่บ้าน   แม้ว่าจะมีประโยชน์ต่อราษฎรมาก และก็ยังถูกวิจารณ์ จากทุกๆ ฝ่าย ว่าดีบ้างเลวบ้าง แต่ถ้าเป็นโครงการของลุง ใครจะกล้าวิจารณ์ แค่คิดว่าโครงการไม่ดี ยังไม่กล้าจะคิดกันเลย

โครงการของลุงมีระบบการตรวจสอบต่ำ หรือแทบไม่มีใครกล้าตรวจสอบ เบิกเงินงบประมาณได้เต็มที่ ไม่มีใครกล้าตัด เพราะมีแต่คนอยากได้หน้า อยากได้ลาภยศตำแหน่ง จึงต้องเอาใจลุง ไม่ว่าจะสิ้นเปลืองงบประมาณเท่าใดก็ตาม ต้องให้ผลงานออกมาดีที่สุด ไม่ว่าจะคุ้มหรือไม่ก็ตาม

การทำงาน บริหารราชการแผ่นดินเป็นหน้าที่ของราษฎรที่จะเลือกคนไปทำงาน ตามระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่หน้าที่ของลุง
โครงการของลุงอย่างมากเป็นแค่โครงการตัวอย่าง ที่ไม่ได้ขยายไปทั่วทั้งประเทศ ทำเหมือนผักชีโรยหน้า ที่ต้องทุ่มเทงบประมาณเพื่อเอาใจลุง โดยไม่มีใครกล้าตรวจสอบหรือประเมินผลตามความเป็นจริง ถ้าเป็นโครงการที่คนอื่นทำโดยใช้เงินงบประมาณ ก็ต้องมีการตรวจสอบว่าได้ผลแค่ไหน มีรั่วไหลหรือไม่ คุ้มค่าคุ้มราคาไหม 

แต่โครงการของลุงส่วนใหญ่ก็แค่การประโคมข่าว ให้ดูเอิกเกริกในช่วงที่ลุงไปเปิดโครงการ เพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์ พอลุงกลับมาแล้วก็มักจะเงียบๆลงไป หรือไม่มีการพัฒนาต่อเนื่อง บางที่ก็ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่าไม่มีใครเหลียวแล กษัตริย์ของอังกฤษ ญี่ปุ่น สวีเดน นอรเวย์ เขาก็ปล่อยให้ราษฎรของเขาเลือกคนไปทำงานบริหารบ้านเมืองให้ราษฎรกันทั้งนั้น แล้วเขาก็เจริญรุ่งเรืองยิ่งกว่าประเทศไทยที่ยังย่ำอยู่กับที่ โดยมีหลายครั้งที่ลุงสมชายพาประเทศไทยถอยหลังเข้าคลอง

เหตุที่กษัตริย์ประเทศอื่นเขาไม่มายุ่งเรื่องการพัฒนา เพราะเขามีรัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นหน้าที่ของฝ่ายบริหารที่ราษฎรเลือกขึ้นมา เขาไม่มีการจัดงบประมาณให้กษัตริย์มาใช้พัฒนาตามใจชอบและถ้าใครใช้เงินภาษีของราษฎรก็ต้องมีกรรมการตรวจสอบการใช้จ่าย แต่ลุงสมชายกลับคุมอำนาจทั้งหมด เหมาทำเองทั้งหมด จะเบิกเท่าไรก็ได้ไม่มีใครกล้าถามกล้าตรวจสอบ

การอ้างว่าลุงสมชายทำงานหนักเพื่อราษฎรน่าจะไม่เป็นความจริง เพราะไม่มีข้อพิสูจน์ และผลที่ได้ก็ไม่มีให้เห็นเป็นเครื่องยืนยัน เพราะถ้าลุงสมชายทำงานหนักกว่ากษัตริย์ประเทศอื่นๆ ประเทศไทยก็น่าจะเจริญมากกว่านี้ หรืออย่างน้อยก็น่าจะเจริญเหมือนประเทศอื่นๆ ที่กษัตริย์ของเขาไม่ต้องกุลีกุจอขวนขวายขนาดลุงสมชาย

กษัตริย์ประเทศอังกฤษและญี่ปุ่นไม่ต้องทำงานหนักเพื่อราษฎร ไม่มีกษัตริย์ประเทศอื่นใดที่มีโครงการนับร้อยนับพันและมีการมาโฆษณาทางสื่ออย่างต่อเนื่องทุกวัน แต่ประเทศของเขากลับยิ่งใหญ่มั่งคั่งสมบูรณ์พัฒนาอย่างรวดเร็วไม่เหมือนประเทศไทยที่ลุงสมชายได้ปกครองมานานมากกว่าประเทศอื่นใด

ประชาชนได้รู้เรื่องลุงสมชายและครอบครัวโดยผ่านการโฆษณาทางสื่อ และมีกฎหมายบังคับให้ต้องซาบซึ้ง จนทำให้เกิดความคิดความเชื่อว่าการโฆษณานั้นเป็นความจริง เพราะถูกบังคับให้ต้องยอมรับ ทั้งๆที่ไม่มีข้อพิสูจน์ ไม่มีความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยที่จะมาเป็นข้อพิสูจน์ผลงานของลุงสมชายแต่อย่างใดเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอังกฤษและญี่ปุ่น ความเจริญพัฒนาก้าวหน้าถือเป็นเรื่องสำคัญและเป็นหลักฐานยืนยันว่ามีการพัฒนาจริงๆ ไม่ใช่แค่การโฆษณาอวดอ้างเท่านั้น

แม้แต่โครงการสร้างเขื่อนและการชลประทานที่โฆษณาว่าลุงสมชายเป็นเทพเจ้าแห่งน้ำ จนได้รางวัลจากสหประชาชาติ ก็ต้องมีการตรวจสอบ การที่มีน้ำท่วมใหญ่หลายจังหวัดในช่วงปลายปี 2553 ทั้งๆที่มีเขื่อนกั้นน้ำขนาดใหญ่ที่สร้างจากปูนซิเมนต์ของลุง

ที่น้ำท่วมใหญ่และท่วมนาน ก็เพราะคลองระบายน้ำ ทั้งตื้นและตัน ทั้งๆที่มีการใช้งบประมาณขุดลอกคลองทุกปี โดยมีผู้รับเหมาผูกขาดขาประจำ ก็คือทหารองครักษ์ของลุงสมชายที่เรียกกันว่าหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทยทำหน้าที่สร้างคูคลอง ฝายเก็บน้ำโดยเบิกงบประมาณไปทำทุกปี แบบไม่รู้จักพอ ยิ่งสร้างมาก งานยิ่งมีอีกมาก จากงานก่อสร้างเป็นงานซ่อมแซม งานขุดลอก ที่ใช้เงินมากกว่าการก่อสร้างอีก สร้างกันทั้งปีทั้งชาติ แบบไม่มีวันหมด

ในเมื่อราษฎรสามารถตั้งคำถามกับนักการเมืองได้ ก็ต้องตั้งคำถามกับระบอบเจ้าได้เหมือนกันเพราะเป็นบุคคลที่กินเงินภาษีของราษฎรเหมือนกัน แต่ราษฎรถูกสอนมาตลอด ว่าพวกเจ้าสมบูรณ์แบบสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ จะตั้งคำถามจะสงสัยไม่ได้เด็ดขาด ทั้งๆที่เป็นคนเหมือนราษฎร ถ้าเป็นนักการเมืองก็ยังถูกคู่แข่งหรือประชาชนวิจารณ์ได้ ทำไมประชาชนจะต้องเชื่อว่าพวกเจ้าเป็นคนดีบริสุทธิ์ผุดผ่อง ทั้งๆที่พวกเจ้าไม่เคยผ่านกระบวนการตรวจสอบมาก่อนเลย

ข้ออ้างที่ว่าพวกเจ้าดีกว่านักการเมือง พวกนักการเมืองมีแต่พวกทุจริตโกงกิน ก็คงใช้อ้างไม่ได้ เพราะนักการเมืองนั้นถูกวิจารณ์มาตลอด ถึงจะเป็นคนดีก็ยังมีคำถามตามมาว่าทำงานคุ้มค่าภาษีอากรไหม แต่ฝ่ายเจ้าไม่เคยมีใครวิจารณ์ และนักการเมืองของประเทศอื่นๆ ก็คงไม่ได้ดีไปกว่าประเทศไทย เพียงแต่ประเทศอื่นไม่มีทหารของเจ้าคอยล้มล้างผู้บริหารบ้านเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนแบบประเทศไทย

ใครอยากมีอำนาจที่มั่นคง ก็เพียงแต่ต้องทำหน้าที่เอาใจลุงสมชายให้ดีที่สุด เพราะลุงเป็นเจ้าของประเทศ และควบคุมประเทศไทยไว้ทั้งประเทศ ลุงสมชายเป็นเจ้าชีวิตของทุกคน มีอำนาจสารพัด จะทำจะพูดจะสั่งอะไรก็ได้ โดยไม่มีใครกล้าโต้แย้งและต้องนำไปปฏิบัติโดยไม่มีการยกเว้น ขณะที่ลุงไม่ต้องรับผิดชอบอะไรเลย ทหารที่ลุงรักมากที่สุด คือสฤษดิ์ ซึ่งเป็นคนเขียนกฎหมาย บังคับให้ประชาชนต้องเคารพบูชาลุงอย่างเข้มงวด และประชาชนไม่สามารถยกย่องใครให้ดีกว่าหรือเทียบเท่าลุงสมชายได้เป็นอันขาด อาจจะโดนข้อหาว่าตีตนเสมอท่าน

ขณะที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ยังต้องปากกัดตีนถีบ แต่เครือข่ายของลุงสมชายก็ยังกล้าโฆษณาว่าเป็นความโชคดีของชาวไทย ที่จะต้องรับใช้เป็นไพร่ทาสตอบแทนลุงสมชายและครอบครัวต่อไปอย่างไม่จบสิ้น

ถ้าลุงสมชายลงสมัครรับเลือกตั้งและได้เป็นนายกบริหารประเทศมากว่า 60 ปีแล้ว ก็ต้องถือว่าสอบตก เพราะทำงานมาไม่เป็นชิ้นเป็นอันสักอย่าง ดีแต่โฆษณาตัวเองว่าเป็นคนดี เสียสละเพื่อคนอื่น เหนื่อยยากมาตลอด

แต่ผลงานที่ได้ คือเขื่อน กังหันวิดน้ำที่ใช้งานไม่ได้ และวิถีชาวบ้านแบบพอเพียง เป็นเรื่องไม่มีสาระที่เป็นชิ้นเป็นอัน เสียเวลา สิ้นเปลืองงบประมาณแผ่นดินโดยเปล่าประโยชน์และไม่คุ้มค่าจริงๆ แทนที่จะให้ประชาชนได้ใช้อำนาจเลือกตัวแทนเข้ามาออกกฎหมาย จัดตั้งรัฐบาลบริหารประเทศ โดยมีการเสนอนโยบาย มีการตรวจสอบ มีวาระการดำรงตำแหน่ง ให้ประชาชนได้ตัดสินผลงานโดยผ่านการเลือกตั้งเหมือนประเทศประชาธิปไตยทั้งหลาย

แทนที่จะให้ลุงสมชายผูกขาดการแสดงบทบาท โดยส่วนราชการต้องเอาใจรับใช้ลุงเป็นหลัก ถ้าลุงอยากทำงานเพื่อสาธารณะก็ต้องใช้เงินของตนเอง อย่าได้เอาจากงบประมาณ และต้องเสียภาษีเหมือนคนทั้งประเทศ มิใช่อ้างว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐแต่ลุงสมชายเป็นคนเอาไปใช้จ่ายแต่ผู้เดียว และเลิกการเป็นอภิสิทธิ์ชนรวมทั้งภรรยาและลูกหลานของลุงด้วย

ที่ผ่านมา ประเทศไทยมีผู้บริหารที่กุมแท้จริง คือลุงสมชายซึ่งบริหารงานล้มเหลว โดยที่ ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซีย แซงหน้าไทยไปหมดแล้ว เพราะประเทศเหล่านี้เขาจะมีแผนพัฒนาประเทศ และดำเนินการตามแผนที่วางไว้ 

แต่ลุงสมชายไม่มีแผนการพัฒนาประเทศ แต่กลับใช้ทหารมาทำลายการพัฒนาประเทศและเข้ามาแสวงหาประโยชน์โดยไม่มีการตรวจสอบหลายครั้ง
ราษฎรถูกหลอกว่าลุงเป็นเทวดาแต่ยังทนลำบากเพื่อราษฎร ให้ราษฎรซาบซึ้ง ทั้งๆที่ลุงก็ไม่ได้ลำบากอะไรเลย นั่งเครื่องบินส่วนตัว นั่งรถยนต์ มีคนรับใช้ตลอดเวลาที่ลงพื้นที่ ขณะที่ราษฎรและเจ้าหน้าที่ในท้องที่ต้องลำบากกว่าลุงสมชายหลายเท่า

ลุงสมชายไม่ได้อบรมลูกหลานของตนเองให้อยู่อย่างเจียมตน เพราะประชาชนเลี้ยงดูพวกเขา จะทำอะไรต้องประหยัด อย่าถือว่ามีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น ถ้าจะเดินทางไปไหนมาไหน ก็ไม่ควรปิดถนนสร้างความลำบากแก่ประชาชน ต้องสอนประชาชนให้เชื่อมั่น และศรัทธาในความเป็นชาติ มิใช่หวังพึ่งแต่เจ้า เพราะเจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน ต้องสร้างความคิดให้ประชาชนคิดพึ่งตนเอง ความสำคัญของเจ้าจะต้องลดลงไปเรื่อยๆ และต้องมีการล้มเลิกไปในที่สุด

ลุงสมชายปกครองประเทศมา เป็นเวลายาวนานที่สุดในโลก ถึง 60 กว่าปี และยังคงผูกขาดอำนาจสูงสุดไว้ที่ตนเองแต่ผู้เดียวทั้งๆที่ อยู่ในวัยชรามาก และมีอาการป่วยเรื้อรังต้องนั่งรถเข็นอาศัยโรงหมอเป็นที่พำนักถาวร มาเป็นปีแล้ว
ลุงสมชายมีผลงานอะไรที่เป็นสาระแก่นสาร ที่นอกเหนือไปจากงานโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่ทำมาโดยสม่ำเสมออย่างยาวนาน

มีการอบรมสั่งสอนกันมาตลอดว่าที่ประเทศไทยไม่เจริญนั้นก็เพราะมีนักการเมืองโกงกิน ก็ต้องถามว่าใคร คือ ต้นทางของการส่งส่วยรับสินบน ลองไล่ลำดับว่าการทุจริตกินสินบนไปจบที่ตรงไหน ต้องมีเส้นใหญ่แค่ไหนจึงจะทำเรื่องเลวๆได้บ่อยๆ โดยไม่มีความผิด ใครที่มีอำนาจสูงสุดในประเทศนี้ที่สามารถทำผิดให้เป็นถูก และทำให้ใครกลายเป็นคนผิดเมื่อใดก็ได้ มีสักกี่ครั้งที่มีการลงโทษเรื่องการรับสินบน ใครที่คุมอำนาจในการแต่งตั้งโยกย้ายที่ต้องซื้อขายตำแหน่งกันในราคาที่แพงแสนแพง บางปีก็ยังแต่งตั้งผู้บัญชาการตำรวจไม่ได้เพราะคนในครอบครัวของลุงไม่ยอมตกลงกัน

แต่ถ้าอ้างว่า ลุงและครอบครัวไม่รู้ไม่เห็น ก็แสดงว่าลุงเองไม่ได้ทำประโยชน์อะไรให้บ้านเมืองเลยเพราะราษฎรเขารู้กันไปทั่ว แต่ว่าลุงกลับปล่อยให้เปรมิกาและพวกลูกน้องของลุง เอาชื่อไปอ้างโดยทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นด้วย บางคนก็อ้างว่าที่เราไม่เจริญ เพราะระบบการศึกษาของเราไม่ดี สอนให้เด็กเอาแต่ท่องจำ หรือการศึกษาไม่ทั่วถึงไป แต่ที่จริงแล้วระบบการศึกษาที่สอนให้เด็กท่องจำนั้น ไม่ได้มีแค่ประเทศไทยเพียงประเทศเดียว ที่เกาหลีกับจีนก็ใช้ระบบการเรียนแบบท่องจำยิ่งกว่าประเทศไทยอีก ดังนั้นที่บ้านเมืองเราไม่เจริญเพราะระบบการศึกษาจึงมิใช่เป็นสาเหตุหลักของความไม่เจริญของประเทศ

หรือการอ้างว่าเพราะการศึกษา ไปไม่ทั่วถึง ทำให้ประเทศยังไม่พัฒนา ก็คงไม่จริงเพราะ พระราชบัญญัติการศึกษาที่ออกมาตั้งแต่สมัยนายชวน บังคับให้เด็กต้องจบการศึกษาภาคบังคับ คือมัธยม 3 แม้ในชนบทห่างไกลเด็กส่วนใหญ่ก็จบมัยม 3 หรืออย่างต่ำก็ชั้นประถม 6 ซึ่งมีพื้นฐานพอที่จะอ่านออกเขียนได้รวมถึงปัจจุบันยังมีการศึกษานอกโรงเรียนที่ราคาไม่แพงนัก ทำให้เด็ก 90% ของทั้งประเทศต้องจบม.3

แม้ว่าประเทศจะพัฒนาได้ต้องมีทรัพยากรคนที่มีคุณภาพ แต่ตอนเริ่มต้นสร้างประเทศนั้นทรัพยากรคนจะไม่สำคัญเท่ากับผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ ซึ่งประเทศไทยก็เริ่มมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์มานานแล้ว ตั้งแต่สมัย 2475 คือปรีดี พนมยงค์ ผู้เสนอกฎหมายมรดก กฎหมายที่ดิน ก่อตั้งธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นคนที่มีวิสัยทัศน์มากและเป็นนายกด้วย แต่สุดท้ายก็ต้องโดนยึดอำนาจ
ต่อมาก็มีนายกผู้เปิดประเทศไทยคือชาติชาย ชุณหะวัณ แต่ก็โดนรัฐประหาร เมื่อไม่นานมานี้ ก็มีนายกรักสิน ที่มีวิสัยทัศน์โดดเด่นแต่ก็ถูกทหารของลุงสมชายยึดอำนาจอีกเหมือนเดิม กลายเป็นเรื่องอาถรรพ์ของประเทศไทย ที่ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์สามารถพัฒนาประเทศได้ จะต้องมีอันเป็นไปทุกราย ต้องถูกทหารยึดอำนาจทุกครั้งไป

60 ปีที่ลุงสมชายที่ครองอำนาจ ได้นานที่สุดนั้น ลุงสมชายได้สร้างคุณค่า ที่มีประสิทธิภาพต่อสังคมไทยจริงๆ หรือไม่ สิ่งที่ราษฎรมักเห็นในทีวีคือ การที่ลุงสมชายเดินทางไปตรวจพื้นที่ทุรกันดาร บริจาคสิ่งของแก่ผู้ยากไร้ รวมทั้งโครงการสร้างเขื่อน และสหกรณ์ต่างๆ แต่ลุงได้สร้างประโยชน์จริงๆ แก่ราษฎร และประเทศชาติมากน้อยเพียงใด ทั้งๆที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ผู้มีอำนาจบริหารมากที่สุดคือนายกรัฐมนตรี แต่ในความเป็นจริง นายกรัฐมนตรีของไทย มักจะโดนลุงสมชายขัดขวางการทำงานมาตลอด เพราะสามารถสั่งและสั่งสอนนายกรัฐมนตรี หรือแม้แต่ศาลทุกศาล เพราะลุงสมชายเป็นคนเซ็นแต่งตั้ง และทุกคนที่ดำรงตำแหน่งสำคัญต้องสาบานตัวต่อลุงสมชาย 

เมื่อใดที่ลุงสมชายสั่งโครงการอะไรก็ตาม จะมีการรีบสนองเร่งทำให้ทันทีทุกครั้งไป ลุงสมชายจึงเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในการบริหารประเทศ เป็นนายกรัฐมนตรีตัวจริงมาโดยตลอด ในเมื่อลุงสมชายคุมอำนาจการบริหารประเทศไว้แล้ว ลุงได้ใช้อำนาจให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมไทยมากน้อยแค่ไหน คุ้มค่าคุ้มประโยชน์หรือไม่

ตลอดเวลาที่ลุงสมชายครองอำนาจมากว่า 60 ปี ลุงสมชายได้วางแผนการสร้างประเทศ ให้ทัดเทียมนานาอารยะประเทศอย่างไรบ้าง ลุงสมชายรู้สึกอย่างไร ในการเป็นเจ้าพ่อของประเทศ แต่ต้องเห็นประเทศอื่นที่เคยด้อยกว่า ได้เจริญล้ำหน้าไปก่อน

ประเทศที่เคยล้าหลังประเทศไทย ต่างพากันพัฒนาก้าวหน้าขึ้นไป ขณะที่ประเทศไทยยังไปไม่ถึงไหน นอกจากการโฆษณาอันมากมาย แต่สิ่งที่ประชาชนไทยได้เห็นน้อยนิด คือคุณค่าและสาระประโยชน์ที่แท้จริง ที่ประเทศชาติและประชาชนได้รับ ลุงสมชายเคยบอกราษฎรว่า ต้องสอนให้คนหาปลา ดีกว่าเอาปลาให้เปล่าๆ แต่ที่เห็นมาตลอด ก็คือ ลุงสมชายพยายามทำให้คนไทย ต้องพึ่งพาลุงมากขึ้นทุกที
สิ่งที่ประชาชนถามหา ไม่ได้ถามว่าลุงสมชายเหนื่อยแค่ไหน เพราะทีวีโฆษณาตลอดมาว่าลุงสมชายเหนื่อยจนเหงื่อตกที่ปลายจมูก แต่สิ่งที่ประชาชนถามหา คือ ถ้าลุงสมชายเหนื่อยแล้ว ผลงานของลุงมีแค่ไหน ในเมื่อโฆษณาว่าลุงเหนื่อยมา 60 ปี แต่ทำไมจึงมีผลงานน้อยนิด เทียบไม่ได้กับจีน เกาหลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย สิงค์โปร์ที่แซงหน้าประเทศไทยไปหมดแล้ว

ประเทศจะเจริญ รัฐบาลต้องเข้มแข็ง แต่ในยุคสมัยของลุงสมชาย ตลอดเวลา 60 กว่าปี มีการฉีกรัฐธรรมนูญ 18 ครั้ง มีการยึดอำนาจร่วม 20 ครั้ง แล้วประเทศจะเจริญได้อย่างไร ถ้าหากลุงสมชายไม่ได้มีอำนาจจริงๆ เวลาที่ทหารยึดอำนาจ ก็อย่าไปรับรอง อย่าไปเซ็นชื่อให้พวกกบฏแผ่นดินก็สิ้นเรื่อง ถ้าเซ็น ก็แปลว่าเห็นด้วย และร่วมเป็นกบฏด้วย

60 ปีในฐานะผู้ที่มีอำนาจมากที่สุด ลุงมีสารพัดโครงการ มากกว่าสามพันโครงการ แต่แทบไม่ได้มีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจหรือกระจายรายได้ให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง เกิดการสร้างงานที่น้อยมาก และแทบจะไม่เคยนำเสนอโครงการที่เป็นการวางโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเลย

60 ปีที่ผ่านมา แค่ทำนมอัดเม็ด ปลูกผักปลอดสารพิษ สาธิตเศรษฐกิจพอเพียง การใช้เวลา 60 ปีที่ผ่านมา ในการบริหารประเทศของลุง ต้องถือว่าได้ผลน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับผู้นำคนอื่นของโลก ถือว่าไม่คุ้มค่า โฆษณาว่าดีแต่ไม่มีราคา
ที่ผ่านมาประเทศไทยมีนายกมา 25 คนมันน่าจะมีอย่างน้อยหนึ่งคน ที่มีวิสัยทัศน์และบริหารประเทศได้ดี และควรจะเจริญมานานแล้วด้วยปัจจัยต่างๆไม่ว่าคน ทำเลภูมิศาสตร่ ที่เอื้ออำนวย คนไทยมีทักษะไม่น้อยกว่าคนชาติอื่น

ตลอดเวลากว่าหกสิบปีที่ลุงสมชายคุมประเทศไทย ผลที่ได้รับก็คือ ลุงสมชายร่ำรวย กว่าราชวงศ์ทุกราชวงศ์ในโลก ด้วยทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ไม่ต่ำกว่า 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือร่วม หนึ่งล้านล้านบาท มากกว่าอันดับสอง คือสุลต่านบรูไนเจ้าของบ่อน้ำมันที่มีทรัพย์สิน 20 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ถ้าลุงสมชาย
ไม่รับรองการยึดอำนาจ

ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ถือว่ากองทัพเป็นกลไกของรัฐ ต้องขึ้นต่อรัฐบาล ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน และมีหน้าที่ต่อประชาชน การใช้งบประมาณ หรือก่อตั้งองค์กรในกองทัพ ต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนโดยผ่านรัฐสภา ประเทศที่เป็นประชาธิปไตยจะไม่มีการก่อการรัฐประหารอยู่เนืองๆ แต่สำหรับประเทศไทยมีการก่อรัฐประหารหรือก่อการกบฏถึง 16 ครั้ง นับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475

ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวในโลก ที่ทุกครั้งที่มีการรัฐประหารหัวหน้าคณะรัฐประหาร จะได้รับการแต่งตั้งจากลุงสมชาย ให้เป็นหัวหน้าคณะ เป็นการเกื้อกูลกัน ระหว่างกองทัพกับลุงสมชายมาตั้งแต่การยึดอำนาจ เมื่อปี 2490 คณะใดที่ไม่ได้รับอนุญาตจากลุงสมชาย คณะนั้นก็จะเป็นกบฏ แม้แต่แถลงการณ์ของคณะยึดอำนาจที่มีลุงสมชายเป็นผู้อำนวยการใหญ่ตัวจริง เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 กองทัพไทยจึงกลายเป็นกองทัพส่วนตัวของลุงสมชาย ที่ทำหน้าที่ปกป้องลุงสมชายเป็นหน้าที่หลัก เพื่อตำแหน่งหน้าที่และผลประโยชน์ของตนเอง

การยึดอำนาจหรือทำรัฐประหารในประเทศไทย จึงมักมิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นเรื่องที่มีการวางแผนมีการสั่งการและมีการขออนุมัติมาก่อนแล้ว หลักสูตรของทหารไทยจึงเน้นที่ การต้องฟังคำสั่งและคำปฏิญญาณ ที่ยึดเอาลุงสมชายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวสูงสุด โดยไม่ส่งเสริมจิตสำนึกรับใช้ประชาชนผู้จ่ายเงินภาษีเลี้ยงดูพวกเขา

เห็นได้ชัดจากการที่ลุงสมชายให้พวกยึดอำนาจเข้าพบทุกครั้ง ยอมรับให้พวกยึดอำนาจแอบอ้าง แสดงความชื่นชมรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ และลงชื่อรับรองกฎหมายของคณะยึดอำนาจ ลุงสมชายไม่เคยปฏิเสธคณะยึดอำนาจ แม้แต่ครั้งเดียว ถือได้ว่าลุงสมชาย เป็นคนที่ชื่นชมชื่นชอบระบอบเผด็จการ มาโดยตลอด เป็นต้นตอและเสาหลักของพวกทหารที่หาเรื่องยึดอำนาจ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

การยึดอำนาจถือเป็นความผิดเข้าข่ายเป็นกบฏ มีโทษถึงประหารชีวิต แต่ลุงสมชายอยู่เหนือกฎหมาย และเหนือกว่าราษฎรทั้งประเทศ เพราะทุกคนต้องเคารพ ห้ามวิจารณ์ ห้ามฟ้องร้อง แค่ไม่แสดงความเคารพก็มีโทษหนักแล้ว จึงทำให้บรรดาพวกที่ใช้อาวุธยึดอำนาจ กลายเป็นคนอยู่เหนือกฎหมายและเหนือความถูกต้อง
ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่า ทหารกล้ายึดอำนาจเพราะลุงสมชายเป็นคนรับประกัน และมีตัวอย่างให้เห็นกัน มาโดยตลอดว่า ทหารที่ยึดอำนาจ จะได้รับลาภยศผลประโยชน์อย่างมหาศาล โดยไม่มีการตรวจสอบและไม่มีความผิดแม้แต่น้อย แถมยังได้ชื่อว่าเป็นผู้รักชาติ กอบกู้บ้านเมืองให้พ้นจากความหายนะ และยังอ้างการปกป้องชื่อเสียงเกียรติยศของลุงสมชาย

แต่ทุกครั้งที่เกิดการยึดอำนาจ ประเทศก็จะตกต่ำลงทุกครั้ง ไม่เคยดีขึ้นเลย ทำให้ประเทศชาติเกิดปัญหาตามมา จากความไม่แน่นอนทางการเมืองและถูกพวกเหลือบเข้ารุมแทะกิน และทิ้งซากไว้ให้คนอื่นมาตามเก็บตามแก้ปัญหา เป็นวงจรอุบาทว์แบบนี้ มาหลายครั้งหลายหน

เพราะอำนาจสูงสุด อยู่ที่ลุงสมชายคนเดียวเท่านั้น ประชาชน 65 ล้านคนก็ยังมีอำนาจน้อยกว่าลุงสมชายคนเดียว ลุงจะใช้ให้ทหารองครักษ์ของลุง มาปล้นอำนาจของราษฎรเมื่อใดก็ได้ แถมยังอ้างว่าเป็นการปล้นอำนาจเพื่อชาติ

พวกทหารที่ยึดอำนาจ ก็ปกป้องลุงและครอบครัวเป็นการตอบแทน กลายเป็นทหารส่วนตัวของลุงสมชาย แต่กินเงินเดือนจากภาษีของราษฎร คนที่ลำบากคือราษฎร ประเทศอื่นมีผู้นำสูงสุดที่รักประชาชนอย่างแท้จริง และเขาไม่ยอมรับรองการรัฐประหารยึดอำนาจ เมื่อผู้นำสูงสุดของเขาไม่ยอมรับการยึดอำนาจแล้ว ทหารก็ย่อมไม่กล้ายึดอำนาจ เพราะถือว่าเป็นการกบฏ

ทหารจะต้องปกป้องรัฐบาลของประชาชน แต่ลุงสมชาย กลับทำในทางตรงกันข้าม คือ มักจะบังคับให้ทหารยึดอำนาจ โดยมีการวางแผนสร้างสถานการณ์เพื่อนำมาอ้าง และลุงก็จะถือโอกาสแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มอำนาจ และผลประโยชน์ให้กับลุงทุกครั้ง

เครือข่ายของลุงสมชาย อ้างว่าที่ประเทศไทยไม่พัฒนา เป็นเพราะนักการเมืองทุจริตคอรัปชั่น ไม่เกียวกับลุงสมชายเลย ต้องไปพัฒนาสถาบันนักการเมือง ให้เลิกโกง ให้ประชาชนไม่ขายเสียง ทั้งๆที่ ในระบอบประชาธิปไตยนั้น มีวิธีให้ประชาชนจัดการกับนักเมืองทุจริตอยู่แล้ว ประชาธิปไตยในทุกประเทศก็เหมือนต้นไม้ ต้องมีการเจริญเติบโต ประชาชนต้องเรียนรู้แก้ไข พัฒนากันไป

ญี่ปุ่นก็มิใช่มีนักการเมืองที่ดีกว่าไทย โดยที่คนญี่ปุ่นไม่ค่อยสนใจการเมือง จากการสำรวจเมื่อปี 2552 พบว่ามีผู้ลงคะแนนเสียงถึง 91% ที่ไม่พอใจการเมืองของญี่ปุ่น
และเมื่อปี 2545 พบว่าประชาชนญี่ปุ่น 82% ไม่เชื่อถือนักการเมือง โดยเชื่อว่านักการเมืองญี่ปุ่นเป็นแค่พวกผู้ปฏิบัติงานหลังบ้าน ที่มีความรับผิดชอบต่ำและไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำแต่อย่างใด ขณะที่ประชาชนเชื่อหมอดู 20% แต่เชื่อนักการเมืองเพียง 15%

เกาหลีใต้ เมื่อก่อนนักการเมืองก็โกงกินไม่ต่างจากประเทศไทย ปี 2539 อดีตประธานาธิบดีชุนดูวาน และโรแตวู ถูกศาลตัดสินประหารชีวิตและจำคุก 17 ปี แต่ได้รับอภัยโทษ จากประธานาธิยดีคิมยองซัม
ต่อมา 3 สิงหาคม 2551 ประธานาธิบดีลีเมียงบัค  ถูกกล่าวหาว่ามีการทุจริต ในช่วงที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดี
แต่ทหารของเขารู้หน้าที่ตนเอง ไม่ล้ำเส้น ไม่ทำรัฐประหาร ให้แก้ไขกันตามระบอบประชาธิปไตย





จักรพรรดิญี่ปุ่นอาคิฮิโต้
ของญี่ปุ่นปฎิบัติตามรัฐธรรมนูญอย่างเคร่งครัด ไม่แทรกแซงการเมือง ไม่เคยส่งสัญญาณให้ทหารออกมาทำรัฐประหาร


กษัตริย์เสปน ฆวน คาร์ลอส ซึ่งเป็นจอมทัพได้ปฏิเสธไม่เซ็นรับรองการรัฐประหารของทหารและทำให้การรัฐประหารล้มเหลว และผู้ก่อการต้องถูกลงโทษมาแล้ว บางประเทศให้กษัตริย์เป็นจอมทัพ เพื่อทำหน้าที่ปกป้องรัฐธรรมนูญ และต่อต้านการรัฐประหาร


แต่ลุงสมชายกลับใช้ตำแหน่งจอมทัพ สั่งให้ทหารของตนยึดอำนาจของประชาชน เป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทำให้การพัฒนาประชาธิปไตยต้องหยุดชะงัก เป็นการกระทำที่เลวร้าย ยิ่งกว่านักการเมืองทุจริตหลายเท่า เพราะคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจการปกครองของประชาชน ไม่สามารถตรวจสอบ หรือวิพากษ์วิจารณ์ได้
แม้จะมีกฎหมาย ว่าลุงสมชายไม่ควรยุ่งการเมือง แต่ความจริงก็คือ ลุงเข้ามาคุมการเมืองโดยตลอด และเป็นผู้ที่มีอำนาจแท้จริง เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด รวมทั้งสั่งการให้ทหารยึดอำนาจ เป็นคนแต่งตั้งรัฐบาลที่มาจากการใช้อาวุธ รวมทั้งเป็นต้นตอของปัญหาความไม่เป็นธรรม
ในเมื่อลุงสมชายมีอำนาจมาก แต่ไม่สามารถพัฒนาประเทศไทย ให้มีความเจริญทัดเทียมประเทศอื่นที่เคยล้าหลังประเทศไทยมาก่อน แสดงว่าลุงสมชายไม่มีวิสัยทัศน์ ไม่มีความสามารถอย่างที่พยายามโฆษณา ก็สมควรให้คนอื่นแสดงฝีมือ ไม่ควรขัดขวางอย่างที่ได้ทำมาโดยตลอด เพราะมันทำให้ประชาชนต้องเสียโอกาส

ลุงสมชายชอบสั่งสอนโจมตีระบบทุนนิยม ว่าเป็นต้นเหตุทำให้คนเกิดกิเลสตัณหา เกิดความอยากตลอดเวลา อ้างว่าลุงสมชายเป็นผู้ปกครองที่มีศีลธรรมที่ไม่มีกิเสสตันหา แต่ลุงสมชายก็ร่ำรวยมั่งคั่ง มีทรัพย์สินกว่า 35 พันล้านเหรียญสหรัฐมากกว่านายกรักสินเป็นสิบๆเท่า ขณะที่ประชาชนไทยส่วนใหญ่ก็ยังยากจน แถมยังใช้เงินจากภาษีของประชาชนมากที่สุดกว่ากษัตริย์ทุกประเทศที่มีความเจริญมากกว่าไทย

ลุงสมชายอยู่ในชนชั้นที่ได้เปรียบในสังคมอยู่แล้ว แต่ยังพยายามที่จะเอาเปรียบมากขึ้นไปอีก หรือพยายามที่จะรักษาสถานะที่ได้เปรียบเอาไว้ แล้วยังมีหน้ามาอบรมสั่งสอนคนอื่นให้ประหยัดอดออม
พอประเทศไทย ได้มีนายกที่ทำให้ประชาชน ได้มีความหวัง ลุงสมชายก็ทำเป็น ไม่ชอบไม่พอใจ ให้ท้ายพวกเสื้อเหลือง มาประท้วงขับไล่และลงท้ายให้ทหารมายึดอำนาจอีก นี่หรือที่เคยประกาศว่าจะปกครองแผ่นดินด้วยความเป็นธรรม เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนชาวไทย

ลูกน้องที่ลุงสมชายรักมาก เช่น สฤษดิ์ที่มีเมียน้อยเต็มบ้านเต็มเมือง มีมรดกเป็นพันล้าน รวมทั้งถนอม-ประภาส ที่ร่ำรวยจนรุ่นเหลนยังใช้ไม่หมด คนพวกนี้ก็ล้วนได้ดิบได้ดีกันทุกคน

พรรคประชาธิปัตย์ ของลุงสมชาย ก็มีหลักฐานการทุจริตชัดเจนมากที่สุด แต่ก็ไม่มีใครเอาผิดได้ แถมยังได้ดิบได้ดี ขัดสายตาประชาชนทั้งประเทศ นักการเมืองจากพรรคประชาธิปัตย์หลายคน ไม่เคยทำธุรกิจ หรือทำมาหากินอะไร เป็นแค่ข้าราชการ หรือเป็นนักการเมืองอาชีพ แต่กลับร่ำรวยมหาศาล

คนรับใช้ใกล้ชิดลุงก็มีให้เห็น เช่น พลเอกสุรายึด ที่มีบ้านตากอากาศอยู่บนเขายายเที่ยง มีบ้านพักในสนามกอล์ฟ เมียเป็นแค่นายพันแต่มีทรัพย์สินเกือบร้อยล้านบาท
ส่วนเปรมิกาหัวหน้าคนรับใช้ของลุงก็รับงานเป็นที่ปรึกษาหลายแห่ง อยู่บ้านหลวงฟรี ใครเป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องมาขอคำปรึกษา เพราะเปรมิกาเป็นตัวแทนของลุงสมชาย ที่ถือกันว่าเป็นเจ้าพ่อของประเทศ
แม้แต่ป้าสมจิตเมียของลุงสมชายเองก็ยังแอบอมเพชรสีน้ำเงินของราชวงศ์ซาอุ ทำให้ประเทศชาติและประชาชนไทยต้องสียหายมากมาย

การกระทำของลุงสมชาย ที่ยินยอมให้คณะทหารอ้างชื่อของตน เพื่อทำการกบฏล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย เป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่ การที่ลุงสมชายนิ่งเฉย ไม่ได้ว่ากล่าวหรือทัดทานคัดค้านการยึดอำนาจแต่อย่างใด ทั้งๆที่ทำได้ ขณะที่ลุงสมชาย กลับมาวิจารณ์หรือตำหนิรัฐบาล ที่มาจากการเลือกตั้งของราษฎรอยู่บ่อยๆ การกระทำอย่างนี้ถือว่า จงใจงดเว้นการปฏิบัติหน้าที่ได้หรือไม่
ในกรณีบุคคลมีตำแหน่งเป็นถึงจอมทัพ มีอำนาจสูงสุดแต่ไม่ต่อสู้ เพื่อระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของราษฎรเลย ย่อมถือได้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อันพึีงกระทำใช่หรือไม่

ทั้งนี้มิได้หมายความว่าจะให้ลุงสมชายเพียงคนเดียวไปสู้กับทหารที่มีอาวุธครบมือ ขอแต่เพียงการที่ลุงสมชายต้องแสดงท่าทีคัดค้านการปล้นอำนาจที่เป็นของราษฎรซึ่งเป็นผู้จ่ายภาษีเลี้ยงดูลุงสมชาย
แค่คำพูดง่ายๆเช่นว่า "ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนกับการยึดอำนาจของเผด็จการทหาร ข้าพเจ้าอยากให้บ้านเมืองได้ปกครองกันโดยระบอบประชาธิปไตย " มันคงไม่เป็นการยากเลย ถ้าลุงสมชายจะต้องตอบแทนบุญคุณเงินภาษีของราษฎร เพียงแค่การแสดงจุดยืนง่ายๆ เพียงเท่านี้ เพียงเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม อย่างนี้เป็นเรื่องยากเกินความสามารถของลุงสมชายหรือ ทำไมกษัตริย์สเปนจึงทำได้ ทั้งๆที่กษัตริย์สเปนไม่เคยอวดอ้างงว่าตนเป็นมหาราช หรือราชาแห่งราชันย์แต่อย่างใด

ไม่เคยมีกษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยคนใด ที่เห็นด้วยกับการปล้นอำนาจ ที่เป็นของประชาชน กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยย่อมต้องสำนึกตนเสมอว่าการกระทำใดที่ควรและไม่ควร ต้องสำนึกว่าประชาชนเลี้ยงดูตนมา กษัตริย์เป็นนักรบภายใต้ระบอบประชาธิปไตย คิอต้องไปรบกับศัตรูของประชาชน ซึ่งก็คือคนที่มาปล้นอำนาจของประชาชนนั่นเอง

ญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีฐานะการเงินการคลัง ระดับประเทศมหาเศรษฐี แต่กลับเคร่งครัดแม้แต่เรื่องเล็กน้อย และสำนักพระราชวังของญี่ปุ่น จะไม่ออกโฆษณาประชาสัมพันธ์ราชวงศ์ให้ประชาชนเอาเป็นแบบอย่าง ทั้งๆที่เขาก็ประพฤติปฏิบัติกันมานานแล้ว ความเรียบง่าย ประหยัดมัธยัสถ์กลายเป็นวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นตั้งแต่ระดับบนสุดจนถึงล่างสุด ไม่ใช่แค่การสร้างภาพ 

ต่างกับประเทศไทย ที่พร่ำสอนให้คนประหยัดและโดยยกตนเองเป็นแบบอย่าง แต่ชอบประดับประดาด้วยเครื่องเพชร ไข่มุก ทองหยองกันเต็มองค์ ใช้รถหรูราคาแพง วังก็หรูหรา มีกันคนละหลายหลัง พระราชพิธีต่างๆ ของราชวงศ์ญี่ปุ่นก็ไม่ได้ใช้งบประมาณมากมาย ทั้งๆที่ญี่ปุ่นเป็นประเทศร่ำรวย แต่ประเทศไทยที่ยากจน แค่กำลังพัฒนา ทำไมครอบครัวของลุงสมชายจึงมีความเป็นอยู่ หรูหรากว่าราชวงศ์ญี่ปุ่นหลายเท่า และชอบช็อปปิ้ง ชอบเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศ โดยอ้างไปกรณียกิจ บางทีก็มีข่าวว่าไปดึงหน้าทำศัลยกรรมกระชับสัดส่วน

รัฐธรรมนูญญี่ปุ่น มาตรา 8 ห้ามพระราชวงศ์รับทรัพย์สินจากผู้ใด หรือให้ของขวัญแก่ใครโดยมิได้รับอนุญาตจากสภา เป็นเหตุให้ราชวงศ์ญี่ปุ่น มีฐานะการเงินไม่ดีนัก เรี่ยไรไม่ได้ รับบริจาคไม่ได้ จะให้รางวัลเพื่อเอาใจใครก็ไม่ได้ โดยต้องได้รับอนุมัติจากรัฐสภา ( the Diet ) ก่อน

องค์พระจักรพรรดิเอง ยังไม่มีสำนักงานทรัพย์สินไว้ถือครองที่ดิน แล้วคอยเก็บค่าเช่าจากประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกิน ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่เสด็จต่างประเทศเพื่อความสุขส่วนพระองค์ แต่จะเดินทางออกนอกประเทศเฉพาะเมื่อมีพระราชภารกิจ
สื่อญี่ปุ่นมีเสรีภาพมากพอที่จะวิจารณ์สถาบันได้ โดยปลอดภัยไร้กังวล และประชาชนก็มีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลทั้งด้านดี และด้านลบของราชวงศ์ ต่างกับของไทยมากทีเดียว

ราชวงศ์ของญี่ปุ่นนอกจากปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างทั้งเรื่องสมถะเพียงพอ แล้วยังเคร่งครัดเรื่องความประพฤติในครอบครัว ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่มีใครแต่งงานกับต่างชาติ แต่งแล้วหย่า หย่าแล้วไม่เลี้ยงลูก แต่งแล้วแต่งอีก หรือเปลี่ยนคู่ครองไปเรื่อยๆ

ไม่มีใครในราชวงศ์ญี่ปุ่น ที่แต่งตัววับๆแวมๆ เล่นหนัง เล่นละคร ขึ้นปกนิตยสารเป็นประจำ ไม่มีใครบังคับขายเทปขายซีดีขายหนังสือ ขายเหรียญที่ระลึก ให้ข้าราชการ และพ่อค้านักธุรกิจ ไม่มีใครเลี้ยงสุนัขเป็นสิบๆ ไม่มีใครสะสมรถเก่า เรือหรู ไปเที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ เดินช้อปปิ้งห้างหรูเป็นประจำ แต่สร้างภาพประหยัดการใช้ยาสีฟัน โฆษณาใหญ่โตเกินกว่าเหตุ
ราชวงศ์ญี่ปุ่นไม่เคยออกมาเที่ยวอบรมสั่งสอนประชาชน
แต่ประเทศญี่ปุ่นก็พัฒนาได้ดีกว่าประเทศไทยมาก เพราะคนญี่ปุ่นเขาไม่มีความคิดแบบไพร่ เขาสู้และยืดหยัดได้ด้วยตัวเองโดยไม่พึ่งพาเทวดาหน้าไหนที่มาอ้างเป็นศูนย์รวมใจ และคนญี่ปุ่นมีความเป็นชาตินิยมสูง คือเห็นชาติสำคัญเหนือกว่าตัวบุคคล

ไม่เหมือนประเทศไทยที่เชิดชูตัวบุคคลไว้เหนือกว่าชาติ ขณะที่บุคคลที่อยู่เหนือหัวราษฎร ก็ไม่เคยทำอะไรเพื่อพัฒนาประเทศอย่างจริงใจ และถ้ามีรัฐบาลเลือกตั้งชุดใดทำท่าจะไปได้สวยก็จะคอยบ่อนทำลาย สั่งให้ทหารหาเรื่องทำรัฐประหาร ทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

คนญี่ปุ่นก็คงสงสัยเหมือนกันว่า ทำไมประเทศไทยจึงพัฒนาได้ช้ามากทั้งๆที่ลุงสมชายโฆษณาอวดอ้างตลอดมาว่ามีความอิจฉริยะในทุกด้านและทุกเรื่องอย่างหาที่เปรียบมิได้ แถมยังอุตส่าห์ทุ่มเทด้วยความเหนื่อยยากตลอดชีวิตเพื่อคอยชี้นำทางให้ราษฎรเสมอมาอยู่มิได้ว่างเว้น
ที่จริงนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจญี่ปุ่นก็มีการทุจริตไม่แพ้ของประเทศไทย เคยมีรายงานองค์กรโปร่งใสระหว่างประเทศ เมื่อปี 2551 ว่าพรรคการเมืองในญี่ปุ่นเป็นแหล่งของการทุจริตถึง 52% เป็นรองแค่อาร์เจนติน่าที่มีถึง 58%

แต่ที่ญี่ปุ่นพัฒนาได้เร็ว เพราะเขาไม่มีพวกเผด็จการโบราณที่คับแคบแต่อวดรู้อวดฉลาด จักรพรรดิญี่ปุ่นมีอำนาจมากในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 และนำประเทศญี่ปุ่นสู่สงครามที่นำไปสู่ความหายนะ ทำให้คนญี่ปุ่นเข้าใจได้ว่า จักรพรรดืก็แค่คนธรรมดา ไม่ใช่เทพเจ้าที่เหาะมาจากไหนนับตั้งแต่ญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา

ลุงสมชาย
เป็นคนใจบุญมากมิใช่หรือ

ระบอบเจ้าพยายามโฆษณามาตลอดว่าลุงสมชายเป็นคนใจบุญที่บริจาคทรัพย์สินช่วยประชาชนมากกว่าใคร แต่ลุงสมชายไม่ต้องเสียภาษีทั้งๆที่มีธุรกิจมากมายและใหญ่ที่สุดในประเทศไทย
ขณะที่บิลเกตส์ ( Bill Gates ) มหาเศรษฐีอเมริกันเจ้าของไมโครซอฟท์เรียกร้องให้เพิ่มภาษีบรรดาเศรษฐีในรัฐแคลิฟอร์เนียที่เขาอาศัยอยู่ เพื่อนำเงินไปสนับสนุนกองทุนสร้างโรงเรียนที่ขาดแคลนเงินทุน บิลเก็ต พูดไปบริจาคไป แต่ลุงสมชายได้แต่พูดแถมยังขอรับการบริจาคอีกต่างหาก

วันที่ 5 กันยายน 2553 เฉิน กวงเปียว ( Chen Guangbiao ) มหาเศรษฐีของจีนเจ้าของกิจการรีไซเคิลรายใหญ่ ได้เขียนจดหมายถึงบิลเกตเพื่อแสดงเจตจำนงว่าจะบริจาคทรัพย์สินทั้งหมดมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านหยวน หรือราว 250,000 ล้านบาทแก่การกุศลหลังจากตนเองเสียชีวิต และได้บริจาคเงินให้กับการกุศลมาแล้วประมาณ 1,340 ล้านหยวน หรือราว 6,700 ล้านบาท

บิล เกตส์ และ วอร์เรน บัพเฟตต์ ( Warren Buffet ) ประธานไมโครซอฟท์ มีแผนเดินทางมายังจีน เพื่อเชิญชวนมหาเศรษฐีจีน 50 ราย เข้าร่วมโครงการกุศลที่มีเศรษฐีอเมริกัน 40 คนแสดงเจตจำนงบริจาคเงินแล้วร่วม 125,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 4.75 ล้านล้านบาท

แต่ลุงสมชายที่รวยติดอันดับหนึ่งเหนือกษัตริย์ทั่วโลกกลับทำตัวขวางความเจริญด้วยจิตใจที่คับแคบ ขนาดว่าน้ำท่วมประเทศที่ตนเองก็อาศัยอยู่เมื่อปี
2554 คงจำใจช่วยด้วยเงินแค่หลักสิบล้านบาท ซึ่งก็คงแค่เจียดจากเงินงบประมาณหรือเงินบริจาคของประชาชนนั่นเอง

ลุงสมชายพยายามสอนให้ผู้อื่นรู้จักความพอเพียง ทั้งยังโจมตีและประณามทุนนิยมสมัยใหม่ ในขณะที่ธุรกิจของลุงสมชายเอง ก็ถึงขั้นล้มละลาย เป็นหนี้สินมากมายมหาศาล แต่ลุงสมชายได้อาศัยสิทธิพิเศษ กอบกู้ธุรกิจของลุงให้พ้นสภาพความล่มจม โดยให้ประเทศชาติและประชาชนต้องเข้าแบกรับแทน ในขณะที่ลุงสมชายกลับเป็นราชาที่ร่ำรวยที่สุดในโลก

ที่น่าแปลก คือนอกจากพสกนิกรของลุงสมชายทั้งที่ร่ำรวยและยากจนต้องร่วมทำบุญกับลุงสมชายเป็นประจำแล้ว ยังต้องจ่ายเงินภาษีเลี้ยงดูลุงสมชายและครอบครัวให้ดำรงอยู่เป็นศักดิ์ศรีของชาติ มิให้น้อยหน้าผู้มีบารมีใดๆในโลก ด้วยงบประมาณแผ่นดินที่สูงมาก เมื่อเทียบกับอารยประเทศที่ประชาชนมีมาตรฐานการกินอยู่ดีกว่าประชาชนไทยหลายเท่า งบประมาณที่ต้องจ่ายค่าบำรุงเลี้ยงดูลุงสมชายและครอบครัว เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆที่เป็นผู้สูงศักดิ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก โดยในปี 2551 มีมากกว่า 2,000 ล้านบาท รวมทั้งงบอำนวยความสดวกที่จัดไว้ในหน่วยงานต่างๆรวมเป็นเงินไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ยังมีงบแฝงอยู่ในกระทรวงต่างๆ อีก เช่น ค่าจัดนิทรรศการเฉลิมเกียรติ

ถ้าไม่มีลุงสมชายแล้ว
คนไทยจะอยู่อย่างไร

ที่จริงลุงสมชายและครอบครัวไม่เคยมีความสำคัญในชีวิตประจำวันของคนไทยส่วนใหญ่เลย  เพราะลุงสมชายไม่ได้ช่วยอะไรจริงจังเลย และไม่ได้เป็นแบบอย่างที่ดีจริงแต่อย่างใด
นิตยสารฟอร์บส ระบุว่าลุงสมชายมีทรัพย์สินเท่าที่รวบรวมได้ถึง 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ (หรือกว่าหนึ่งล้านล้านบาท) ทำให้ในหลวงเป็นบุคคลที่รวยที่สุดในโลกอันดับที่ 8 และเป็นเจ้าที่รวยที่สุดในโลกอันดับที่หนึ่งมาหลายปีติดต่อกันโดยมีทรัพย์สินมากกว่ากษัตริย์บรูไนเจ้าของบ่อน้ำมันใหญ่ที่มี 20 พันล้านเหรียญสหรัฐที่รวยเป็นอันดับสอง 


ลุงสมชายเป็นคนที่รวยที่สุดในประเทศไทยตัวจริง ขณะที่เศรษฐีไทย 40 อันดับแรก มีทรัพย์สินรวมกัน 25 พันล้านเหรียญสหรัฐ น้อยกว่าลุงสมชายคนเดียวถึง 10 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 3 แสนล้านบาท
แต่พวกนิยมเจ้าก็มักอ้างว่าสวนจิตรลดายังเล็กกว่าบ้านของเศรษฐีไทยหลายคน ลุงสมชายกินอยู่แบบประหยัดมัธยัสถ์มากที่สุดยิ่งกว่าคนไทยทั่วไป โดยโฆษณาว่าช่างซ่อมรองเท้าเล่าว่าลุงสมชายส่งรองเท้าเก่ามาให้ซ่อมตลอดจนซ่อมไม่ไหว สมาคมหมอฟันก็ไปเข้าพบขอหลอดยาสีฟันเก่า ที่ลุงสมชายใช้ยาสีฟันได้จนหยดสุดท้าย โดยรีดจนหลอดแบนเป็นกระดาษ โดยนำไปตั้งแสดงที่สมาคมทันตแพทย์ไทยซึ่งเป็นเรื่องที่ค่อนข้างไร้สาระเอามากๆ

ในขณะที่ลุงสมชายเป็นเจ้าที่ร่ำรวยที่สุด แต่ประชาชนไทยทั้งประเทศต้องออกเงินภาษีเพื่อหนุนกิจกรรมของราชวงศ์เป็นพันๆ ล้านบาท เช่น หลังการทำรัฐประหาร 19 กันยา 2549 มีการเพิ่มงบประมาณแก่วัง จาก 1,137 ล้านบาท เป็น 2,086 ล้านบาท และในปี 2551 ยังอนุมัติงบประมาณซื้อเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ที่นั่ง อีกร่วม 3500 ล้านบาท ยอดเงินที่ประชาชนคนยากคนจนต้องจ่ายเพื่ออุ้มเจ้า สูงเกือบถึง 6 พันล้านบาท

ในปี 2554 รัฐบาลอภิสิทธิ์อนุมัติงบประมาณที่ใช้ในการเชิดชูความจงรักภักดี และโครงการหลวงสูงถึง 1,781 ล้านบาท การมีลุงสมชายราคาแพงแบบนี้จึงไม่คุ้มค่า เพราะไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง แต่ลุงสมชายแสดงบทบาทหลักที่เป็นประโยชน์ต่อนายทหาร ข้าราชการชั้นสูง นักการเมือง และนายทุนเครือข่ายลุงสมชาย โดยพวกนายทหารและกลุ่มที่คุมอำนาจรัฐมักอ้างว่าทำทุกอย่างเพื่อลุงสมชาย ดังนั้นไม่ว่าเขาจะทำรัฐประหาร โกงกิน คุกคามปราบปรามประชาชน ก็จะอ้างว่าทำเพื่อปกป้องลุงสมชาย และถ้าใครกล้าวิจารณ์ลุงสมชายก็จะโดนกฏหมายหมิ่น มาตรา 112 และกฏหมายอื่นๆ

ถ้าประเทศไทยไม่มีลุงสมชาย สังคมไทยก็น่าจะดีขึ้นเพราะ
เราจะประหยัดงบประมาณมหาศาลที่จะนำมาพัฒนาชีวิตประชาชนทุกคน เมื่อเราได้ยกเลิกสถาบันที่เสียค่าใช้จ่ายทั้งโดยตรงและโดยอ้อมที่แพงมหาศาลแต่ไม่มีประโยชน์ต่อประชาชน
ทหารจะไม่สามารถนำลุงสมชายมาบังหน้าเพื่อทำลายประชาธิปไตย
เราจะเริ่มสร้างรูปการจิตสำนึกในระบอบประชาธิปไตย และในขบวนการยุติธรรมได้ เพราะเราสามารถสร้างวัฒนธรรมการเป็นพลเมืองที่ทุกคนเท่าเทียมกัน ไม่มีการหมอบคลานหรือต้องถูกบังคับให้เคารพบูชาใคร
เราจะมีเสรีภาพในการใช้ปัญญา การแสดงออก และร่วมกันคิดเพื่อสร้างสังคมใหม่
ประชาชนจะไม่ยากลำบากจากการปิดถนนอันเนื่องมาจากขบวนที่มีมากมายเป็นประจำ
เรายังสามารถนำวังต่างๆ มาใช้เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

ระบอบประธานาธิบดี
ไม่ดีตรงไหน

เครือข่ายลุงสมชายมักกล่าวหาคู่แข่งของตนอยากเป็นประธานาธิบดี ทั้งๆที่หลายประเทศก็มีประธานาธิบดี

รูปแบบของการปกครองในระบอบประธานา ธิบดี เกิดขึ้นแห่งแรกที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีหลักการแบ่งแยกอำนาจฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติอย่างชัดเจน โดยฝ่ายบริหารเป็นอิสระจากการควบคุมของรัฐสภา รัฐสภาไม่มีอำนาจลงมติไม่ไว้วางใจประธานาธิบดีหรือรัฐบาล ประธานาธิบดีที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนจะเป็นผู้สรรหาและแต่งตั้งคณะรัฐมนตรี รัฐมนตรีรับผิดชอบโดยตรงต่อประธานาธิบดีเท่านั้น ไม่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา ดังนั้นรัฐมนตรีจึงไม่ต้องไปร่วมประชุมรัฐสภาเพื่อตอบกระทู้ถามจากรัฐสภา

เนื่องจากทั้งประธานา ธิบดี และรัฐสภาต่างได้รับการเลือกตั้งมาจากประชาชน ดังนั้น จึงมีการแบ่งแยกอำนาจ ตรวจสอบและคานอำนาจซึ่งกันและกัน  เช่น ประธานาธิบดีมีอำนาจในการใช้สิทธิยับยั้ง โดยการไม่ลงนามในกฎหมายที่เสนอโดยสภา ในขณะที่รัฐสภามีอำนาจลบล้างสิทธิยับยั้งของประธานาธิบดีด้วยการลงคะแนนรอบสอง ซึ่งหากคะแนนเสียงของสมาชิกสภาทั้งสองยืนยันด้วยคะแนน 2 ใน 3 ก็จะถือว่ากฎหมายนั้นมีผลบังคับใช้ได้


รัฐสภา (Congress) มีอำนาจในการกล่าวโทษประธานา ธิบดี โดยต้องมีคะแนน 2 ใน 3 ของรัฐสภา และขั้นตอนสุดท้ายวุฒิสภาจะเป็นผู้ปลดประธานาธิบดีด้วยเสียง 2 ใน 3 ของวุฒิสภา
วุฒิสภา ( Senate ) มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบในการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร เช่นรัฐมนตรี หรือเอกอัครราชทูตตามที่ประธานาธิบดีเสนอมา หากวุฒิสภาไม่ให้ความเห็นชอบก็จะดำรงตำแหน่งไม่ได้

การเข้าสู่ตำแหน่งของตุลาการ ประธานาธิบดีมีอำนาจแต่งตั้งผู้พิพากษาศาลสูง ( Supreme Court ) โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา ส่วนผู้พิพากษาอื่นล้วนมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งศาลสูงในระบอบประธานาธิบดีมีอำนาจชี้ขาดว่ากฎหมายที่สภาเสนอขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่ ประมุขของรัฐและหัวหน้าฝ่ายบริหารเป็นคนๆ เดียวกัน เพราะประธานาธิบดีเป็นผู้ที่ได้รับเลือกตั้งมาจากประชาชนทั้งประเทศ แตกต่างจากระบอบรัฐสภาที่ประมุขของประเทศกับหัวหน้าฝ่ายบริหารจะเป็นคนละคนกัน

ในการปกครองระบอบรัฐสภา เช่น อังกฤษ อินเดีย ญี่ปุ่น  ประมุขของประเทศอาจเป็นกษัตริย์หรือประธานาธิบดีก็ได้ แต่กษัตริย์หรือประธานาธิบดีในระบอบนี้เป็นเพียงประมุขของประเทศเท่านั้น ไม่มีอำนาจในการบริหารประเทศ หัวหน้าฝ่ายบริหารในการปกครองระบอบรัฐสภาคือนายกรัฐมนตรี โดยประชาชนจะเป็นผู้เลือกตั้ง สส. แล้วสภาไปแต่งตั้งรัฐบาล แต่หัวหน้ารัฐบาลในระบอบประธานาธิบดีมาจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง เหมือนสหรัฐลูกพี่ใหญ่ของลุงสมชาย 


ระบอบ ประธานา ธิบดี จึงน่าจะดีกว่าระบอบราชาธิปไตยของไทยด้วยประการทั้งปวง เพราะประชาชนสามารถเลือกผู้บริหารประเทศที่แท้จริงได้โดยตรงโดยมีการแบ่งแยกอำนาจและตรวจสอบถ่วงดุลย์อำนาจโดยมีวาระที่แน่นอนสี่ปีหรือห้าปี ไม่ใช่ยึดครองอำนาจไปเรื่อยๆ ตลอดชีวิต แถมยังสืบทอดไปสู่ลูกหลานเหมือนเป็นสมบัติส่วนตัว โดยตรวจสอบหรือวิจารณ์ไม่ได้แม้แต่น้อย แถมยังทำตัวเป็นกบฎล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาตลอด จึงไม่มีคุณค่าที่ประชาชนไทยจะต้องไปปกป้องรักษา แต่เป็นหน้าที่ของพลเมืองที่รักชาติต้องทำลายระบอบที่เป็นอุปสรรคต่อประชาธิปไตยและขัดขวางความเจริญและสันติสุขของสังคมไทย


ระบอบสาธารณรัฐ
Republic

หรือรัฐของปวงชน คือ ประเทศที่อำนาจทางการเมืองทั้งหมดอยู่ในการควบคุมของประชาชน ส่วนใหญ่ เรียกประมุขของรัฐว่าประธานาธิบดี มาจากคนธรรมดา ที่มาจากการการเลือกตั้ง โดยมีวาระการดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดี บางแห่งมีการกำหนดด้วยว่า จะเป็นได้ไม่เกินกี่สมัย


ส่วนราชอาณาจักร Kingdom
คือ รัฐหรือประเทศที่ประมุขของรัฐเป็นกษัตริย์ ที่สืบทอดการเป็นประมุขทางสายโลหิต ปัจจุบัน ระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นประมุขมีสองรูปแบบ คือ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่กษัตริย์มีอำนาจในการเมืองการปกครองโดยสมบูรณ์ คือเป็นทั้งประมุขของประเทศและเป็นประมุขของรัฐบาลด้วย
แบบที่สองคือระบอบกษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยกำหนดสิทธิและนาจของกษัตริย์ไว้โดยรัฐธรรมนูญ ที่มาจากการร่างของประชาชนผ่านตัวแทนคือสภา ในขณะที่ประเทศไทยใช้รูปแบบระบบรัฐสภา แต่เนื้อหาเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยลุงสมชายเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว

..........................


ไม่มีความคิดเห็น: