ฟังเสียง : http://www.mediafire.com/?nxsedibafa6oobt
หรือที่ : http://www.4shared.com/mp3/MCB9Ty40/The_Godfather_Named_Xomxai_04_.html
หรือที่ : http://www.4shared.com/mp3/MCB9Ty40/The_Godfather_Named_Xomxai_04_.html
เดอะคิงชื่อสมชาย
ตอนที่ 4 : เสด็จพ่อสมชายอัครมหาราชา
ตอนที่ 4 : เสด็จพ่อสมชายอัครมหาราชา


ในการหาเสียงเลือกตั้ง
พรรคส่วนใหญ่ต่างเน้นการถอนทหารสหรัฐฯ ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ การช่วยเหลือคนจน การควบคุมกำกับกอรมน. การยกเลิกธุรกิจผูกขาดที่ทุจริตคอรัปชั่นของกองทัพ
ฝ่ายขวาจัดโหมโจมตีว่าพวกพรรคเสรีนิยมทำงานให้พคท. กับเวียตนามที่จะบุกยึดไทยและทำลายศาสนาพุทธกับสถาบันกษัตริย์อย่างที่เกิดขึ้นในลาว
รายการประจำวันของสถานีวิทยุทหารโดยอุทาร สนิทวงศ์ อ้างชื่อพูมลำพองและสิริเกียรติโดยรายงานข่าวเท็จและปลุกระดมสร้างความเกลียดชังฝ่ายซ้าย
และกล่าวหาคึกฤทธิ์ กับเสนีย์ว่าเป็นแนวร่วมของคอมมิวนิสต์ พูมลำพองและครอบครัวเปิดตัวสนับสนุนพวกขวาจัดและลูกเสือชาวบ้านกับกระทิงแดงเต็มที่
สิริเกียรติกล่าวประณามนักศึกษาฝ่ายซ้ายอย่างเปิดเผย และบอกว่าตนชอบตำรวจกับทหารมากกว่านักการเมือง
พร้อมทั้งได้เรียกนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา ว่าเป็นพวกสร้างปัญหา
พูมลำพองก็ได้แสดงการเลือกข้างอย่างชัดเจนและเปิดเผย เห็นได้จากการบีบนายกคึกฤทธิ์ออกจากตำแหน่ง
ขณะที่สงัด ชลออยู่ ผบ.สูงสุด เสนอให้รัฐประหาร แต่พูมลำพองบอกสงัด ว่ายังไม่ถึงเวลา
แต่ถ้ารัฐประหาร ก็ควรให้ธานินทร์ กรัยวิเชียร นักเชิดชูเจ้าเป็นนายก


ช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง
เต็มไปด้วยการข่มขู่คุกคามเขย่าขวัญนักการเมืองฝ่ายเสรีนิยมให้ถอดใจ นวพลตั้งพรรคต่อต้านฝ่ายซ้าย สงัด ประกาศว่าพวกคอมมิวนิสต์นักก่อวินาศกรรมได้เข้ามาในกรุงเทพฯแล้ว
ประมาณที่สนิทกับกระทิงแดงและลูกเสือชาวบ้านเริ่มการรณรงค์หาเสียงของพรรคชาติไทยด้วยคำขวัญ
ขวาพิฆาตซ้าย
15 กุมภาพันธ์
2519 กระทิงแดงพยายามวางระเบิดสำนักงานใหญ่ของพรรคพลังใหม่ ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายซ้าย
แต่ระเบิดทำงานก่อนเวลา ทำให้พิพัฒน์ กางกั้น เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และประจักษ์ เทพทอง
บาดเจ็บสาหัสจนต้องถูกตัดแขน พบบัตรสมาชิกกระทิงแดงในตัวของบุคคลทั้งสอง แต่ตำรวจไม่ได้ดำเนินการอย่างไรต่อกลุ่มกระทิงแดง
ประมาณรองนายกแถลงว่า น่าจะเป็นการสร้างสถานการณ์ของพรรคพลังใหม่เพื่อหาเสียง
21 มีนาคม 2519 มีการขว้างระเบิดใส่นักศึกษาและประชาชนที่เดินขบวน ต่อต้านฐานทัพสหรัฐหน้าโรงหนังสยาม
มีผู้เสียชีวิต 4 คน
จนถึงวันเลือกตั้งมีคนถูกฆ่าตายมากกว่า 30 คนทั่วประเทศเป็นพวกฝ่ายซ้าย
ทำให้หลายคนต้องถอนตัวจากการเลือกตั้ง ด้วยความกลัวภัยถึงชีวิต แต่ประชาชนก็ยังคงเลือกพรรคประชาธิปัตย์ของเสนีย์
มาเป็นอันดับหนึ่ง ได้ 114 จาก 279 ที่นั่ง
พรรคกิจสังคมของคึกฤทธิ์ได้ 45 ที่นั่ง แต่คึกฤทธิ์เองที่ลงเขตดุสิตที่เป็นพื้นที่ทหาร
แพ้นายสมัคร คนโปรดของสิริเกียรติและเป็นหัวหน้ากลุ่มขวาจัดในประชาธิปัตย์


ขณะที่พูมลำพองก็ทราบดีถึงกิจกรรมที่โหดร้ายป่าเถื่อน
ของพวกอันธพาลลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดงและนวพล เพราะมีรายงานข่าวทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวันและทุกฉบับ
ถึงความรุนแรงในช่วงการหาเสียงเลือกตั้งปี 2519 ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นฝีมือของกระทิงแดงและนวพล

มีการเรียกร้องให้ลงโทษหรือสึกกิตติวุฒโฑออกจากพระ
มหาเถรสมาคมของพูมลำพอง โต้แย้งว่าไม่มีหลักฐานเอาผิด กิตติวุฒโฑยังพูดย้ำตามแบบเดิมอีก
ว่าการฆ่าคนไทยที่เป็นคอมมิวนิสต์ 50,000 คนจะเป็นบุญสำหรับคนไทยอีก
42 ล้านคนที่เหลือ พระที่เป็นสายของเจ้าก็พากันขานรับ ขณะที่พูมลำพองและสิริเกียรติก็ยังคงไปพบกิตติวุฒโทเป็นประจำ
พร้อมทั้งไปร่วมงานพิธีของพวกกระทิงแดง กับค่ายฝึกอบรมที่พูมลำพองได้ทดสอบยิงปืนของพวกกระทิงแดง
ซึ่งมีการรายงานข่าวอย่างเปิดเผย ลูกเสือชาวบ้านบางหน่วยเข้ารับการฝึกอบรมการปฏิบัติการสร้างความรุนแรงที่ค่ายนเรศวรของตชด.
ใกล้วังไกลกังวลที่หัวหิน ซึ่งพูมลำพองและวชิราพองไปซ้อมยิงปืนเป็นประจำ


เดือนสิงหาคม 2519 พูมลำพอง
กองทัพและนักการเมืองขวาจัดก็พาถนอมกับประภาสกลับเข้าประเทศ ทั้งๆที่รู้ว่าจะต้องเกิดการประท้วงวุ่นวายใหญ่โต



รัฐบาลเสนีย์รีบขอให้ถนอมออกไปนอกประเทศก่อนที่จะเกิดความวุ่นวาย
นายสมัครประกาศต่อคณะรัฐมนตรีว่า พูมลำพองและสิริกียรติเห็นชอบต่อการกลับมาของถนอม
และก็เกิดการชุมนุมประท้วงใหญ่โตตามคาด มีทั้งนักศึกษา กลุ่มองค์กรต่างๆเช่นสภาทนายความได้เรียกร้องตำรวจให้ดำเนินคดีถนอมที่สั่งการสังหารประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลา

22 กันยายน 2519 สมาชิกประชาธิปัตย์และฝ่ายค้าน ลงมติให้ขับถนอมออกนอกประเทศ พูมลำพองและสิริเกียรติรีบกลับจากภาคใต้ไปเยี่ยมเณรถนอมที่วัดบวร
อย่างเปิดเผยเป็นข่าวหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ ในชุดทหาร ติดตามด้วยบรรดาผู้นำของนวพล เป็นการประกาศตัวสนับสนุนถนอมและพวกอันธพาลนวพล
ต่อต้านมติของสภา คณะรัฐมนตรีและฝ่ายประชาธิปไตย และพร้อมปะทะขั้นแตกหักหลังจากที่เคยตีสองหน้ามาตลอด

23 กันยายน 2519 เสนีย์ ลาออกจากนายก เพราะคาดไม่ถึงว่าพูมลำพองจะออกมาท้าชนตรงๆ ในขณะที่ทหารเตรียมกำลังเต็มอัตราศึก และ สถานีวิทยุยานเกราะออกอากาศให้ตำรวจจับนักศึกษาที่ติดโปสเตอร์ต่อต้านถนอม แต่สภาปฏิเสธการลาออก เสนีย์ต้องการปรับพรรคชาติไทยออกและนำกิจสังคมของคึกฤทธิ์เข้าแทน แต่พูมลำพองไม่ยอมให้เอาพรรคชาติไทยออก
เสนีย์ทำได้แค่เอานายสมัครกับสมบุญ ศิริธรรัฐมนตรีขวาจัดอีกคนหนึ่งออกจากครม. เสนีย์พยายามประคับประคองรัฐบาล ขณะที่สถานการณ์ทวีความตึงเครียดและรุนแรงขึ้นทุกที

25 กันยายน 2519 เสนีย์ได้รับเป็นนายกอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่นักศึกษาเรียกร้องให้ขับถนอมออกนอกประเทศและเร่งจับฆาตรกรสังหารพนักงานการไฟฟ้าโดยเร็ว
30 กันยายน 2519 เสนีย์ ยืนยันว่ารัฐบาลขับถนอมออกนอกประเทศไม่ได้ เพราะขัดรัฐธรรมนูญ มีนักศึกษาและกรรมกร
10,000 คนชุมนุมประท้วงที่สนามหลวง


5 ตุลาคม 2519 มีประกาศแต่งตั้งคณะรัฐมนตรีโดยไม่มีนายสมัคร หนังสือพิมพ์ขวาตกขอบดาวสยาม
ตีพิมพ์ภาพถ่ายของละครล้อเลียนการแขวนคอลงหน้าหนึ่ง พร้อมประกาศอย่างโกรธแค้นว่านักศึกษาแขวนคอวชิราพอง
สถานีวิทยุยานเกราะโดยอุทาร สนิทวงศ์ ประกาศว่าการชุมนุมที่ธรรมศาสตร์เป็นการหมิ่นเดชานุภาพวชิราพอง
ขอให้รัฐบาลจัดการกับผู้ทรยศเหล่านี้โดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันการนองเลือดที่อาจจะเกิดขึ้น
และเรียกร้องให้ลูกเสือชาวบ้านกับนวพล ออกมาชุมนุมและจัดการพวกนักศึกษา กล่าวหาว่านักศึกษาวางแผนที่จะบุกวังและวัดบวร
วิทยุยานเกราะประกาศให้ฆ่ามัน ฆ่าพวกคอมมิวนิสต์ มีการเตรียมการวางแผนปลุกระดมลูกเสือชาวบ้าน
กระทิงแดงกับนวพลให้มาชุมนุมเพื่อประท้วงครม.ชุดใหม่ของเสนีย์ และพร้อมปฏิบัติการขั้นเด็ดขาด


5 ตุลาคม 2519 เวลา 21.30 น. ประยูร อัครบวร กรรมการศูนย์นิสิตนำนักศึกษา
2 คนที่แสดงเป็นพนักงานการไฟฟ้าที่ถูกแขวนคอ แถลงข่าวแสดงความบริสุทธิ์ใจ
ถัดมา 10 นาที 21.40 น.รัฐบาลออกแถลงการณ์ทางโทรทัศน์ช่อง 9 ว่า การแสดงละครที่ธรรมศาสตร์
มีลักษณะเป็นการหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายต่อรัชทายาท รัฐบาลได้สั่งการให้กรมตำรวจดำเนินการสอบสวนกรณีนี้โดยด่วนแล้ว





จวบจนมืดค่ำ ผู้บัญชาการตชด. กับวชิราพอง
ก็ได้มาขอบคุณลูกเสือชาวบ้าน กระทิงแดงและนวพล และบอกให้พวกเขากลับบ้าน
คณะทหารได้ทำการยึดอำนาจ
โดยเรียกตัวเองว่าคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน โดยการรับรองของพูมลำพอง สองสามวันต่อมา
ธานินทร์ กรัยวิเชียร เพื่อนรักของพูมลำพองก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายก

รัฐบาลใหม่เริ่มงาน ด้วยการให้ความชอบธรรมกับการโจมตีเข่นฆ่านักศึกษาว่าเป็นการปกป้องเจ้าและประเทศชาติ
จากพวกก่อความวุ่นวายในธรรมศาสตร์ที่หนุนหลังโดยเวียตนาม รัฐบาลแสดงภาพถ่ายศพชายคนหนึ่งทางโทรทัศน์
อ้างว่าเป็นหน่วยรบของเวียตนาม กองทัพอ้างว่าถูกยิงก่อนจากในธรรมศาสตร์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น







การที่ธานินทร์เป็นเหมือนตัวแทนพูมลำพองทำให้คณะรัฐประหารต้องคล้อยตามธานินทร์ในการปราบปรามฝ่ายซ้ายอย่างไม่ปรานี
ธานินทร์โอนคดีอาญาไปให้ศาลทหาร และตำรวจมีอำนาจจับกุมคุมขัง รัฐบาลยัดข้อหาประชาชนว่าเป็นคอมมิวนิสต์
และขังได้หกเดือนโดยไม่ต้องแจ้งข้อหา หลายพันคนถูกจับกุมในช่วงนั้น ในข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์วางแผนโค่นล้มรัฐบาลและเจ้า

ตำรวจบุกค้นตามบ้านเรือน
โรงเรียนและสถานที่ทำงานต่างๆ เพื่อยึดหนังสือต้องห้าม ห้ามการพูดคุยความคิดทางการเมืองในสถานศึกษา
ตำราเรียนถูกเขียนใหม่และมีการสร้างภาพยนตร์เชิดชูความรักภักดีต่อเจ้า ต่อต้านคอมมิวนิสต์


รัฐบาลใหม่ของประธานาธิบดีคาร์เตอร์ที่วอชิงตันตำหนิไทยอย่างแข็งกร้าวที่ละทิ้งประชาธิปไตย
และพคท.ก็เรียกรัฐบาลว่าเป็นเผด็จการกึ่งเมืองขึ้นกึ่งศักดินา
ระบอบธานินทร์และวังดิ้นรนประคองตัวท่ามกลางเสียงวิจารณ์อย่างหนักด้วยการอ้างว่าตนเองก็เป็นประชาธิปไตยตามแบบอังกฤษและเดนมาร์ก
โดยรัฐบาลจะจัดการเลือกตั้งและเคารพสิทธิ์ของประชาชน แต่ประชาชนต้องได้รับการศึกษาก่อนโดยใช้เวลา12 ปี เรียกว่า แผนจุฬาลงกรณ์
ธานินทร์โหมโฆษณาว่าสถาบันเจ้าอุปถัมภ์ค้ำชูประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหง
ประชาธิปไตยเป็นการปกครองรูปแบบหนึ่งที่มีเจ้าเป็นประมุข พูมลำพองยังอธิบายว่าประชาธิปไตยเป็นระบอบที่มีระเบียบวินัย
มีข่าวว่าธานินทร์วางแผนจะเปลี่ยนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่สร้างโดยจอมพลป. และเป็นที่นัดชุมนุมให้กลายเป็นอนุสาวรีย์ของธิปก
ที่ถูกคณะราษฎรยึดอำนาจ โดยธานินทร์จัดงบประมาณสร้างรูปหล่อขนาดใหญ่ของธิปก เพื่อเอาไว้บนยอดอนุสาวรีย์แทนที่รัฐธรรมนูญ
แต่มีปัญหาทางวิศวกรรม รัฐบาลจึงนำรูปหล่อไปไว้หน้ารัฐสภาแทน โดยมีคำจารึกเป็นวรรคทองของธิปก
ที่กล่าวสละราชสมบัติ เพื่ออวดอ้างตนเป็นบิดาแห่งระบอบรัฐสภาและรัฐธรรมนูญของไทยที่ว่า...ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด
และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร...
สำหรับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของเดิมนั้น ธานินทร์ตัดสินใจจะทำลายทิ้ง
เพราะอนุสาวรีย์นี้ไม่ควรค่าแก่การรักษาไว้ เนื่องจากมันไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับสถาบันเจ้า
คึกฤทธิ์ ได้เย้ยหยันรัฐบาลธานินทร์ ที่เพิกเฉยต่อการแก้ปัญหาที่เป็นต้นเหตุของความทุกข์ยากของประชาชนแต่กลับดำเนินการปราบปรามอย่างโหดร้าย
ประชาชนในภาคใต้ที่ถูกสงสัยว่าเป็นคอมมิวนิสต์ จะถูกจับกุมและหายตัวไปเลย
คึกฤทธิ์บอกเป็นนัยว่าตัวปัญหาที่แท้จริงคือสิริเกียรติที่เอาแต่ใจ
และเสนอทางออกให้พูมลำพอง แต่พูมลำพองกลับสนับสนุนวิธีการปราบคอมมิวนิสต์แบบเด็ดขาดของธานินทร์

นายกเกรียงศักดิ์สัญญาจะให้เสรีภาพแก่สื่อมวลชน
ยกเลิกกฎอัยการศึก และสานสัมพันธ์กับอินโดจีน จีนและโซเวียต แผนจุฬาลงกรณ์ของธานินทร์ที่จะคืนประชาธิปไตย
ภายใน 12 ปีนั้นนานเกินไป โดยเกรียงศักดิ์จะให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
และจัดการเลือกตั้งภายในปี 2522
เกรียงศักดิ์ประกาศประนีประนอมกับพวกคอมมิวนิสต์
โดยให้หลักประกันความปลอดภัย และความยุติธรรมแก่นักศึกษาที่กลับออกมาจากป่า แต่พูมลำพองประชดโดยตั้งธานินทร์เป็นองคมนตรีอย่างเอิกเกริก
เพื่อชดเชยการร่วงลงจากอำนาจอย่างยับเยินหมดสภาพ และพยายามลดความสัมพันธ์กับเกรียงศักดิ์
ทั้งยังถ่วงการนิรโทษกรรมนักศึกษา 18 คนไปอีกหนึ่งปี
เพราะไม่สบอารมณ์ และคิดจะแต่งตั้งสมัครเป็นหัวหน้าสำนักงานทรัพย์สินของตน
เกรียงศักดิ์ปรามกลุ่มอันธพาลการเมืองที่เคยก่อความวุ่นวายในปี
2519 โดยเข้ากุม ตชด. ลดความสัมพันธ์ของตชด.กับลูกเสือชาวบ้าน นวพลหายไป กระทิงแดงถูกส่งไปสู้รบบริเวณชายแดนและเสียชีวิตไปหลายคน
เกรียงศักดิ์ลดระดับการสู้รบทางทหาร หันมาเน้นการเอาชนะใจพวกคอมมิวนิสต์ รัฐบาลประกาศนิรโทษกรรมแก่นักศึกษา
18 คนในเดือนกันยายน 2521 ประจวบเหมาะกับที่ พคท. เริ่มแตกกันเอง เกรียงศักดิ์ขอให้ฮานอย ปักกิ่งและเวียงจันทน์ลดการช่วยเหลือพคท. ไม่นานสมาชิกระดับสูงของพคท.บางส่วนก็ยอมแพ้และกลับมากรุงเทพ
การนิรโทษกรรมดึงคนออกจากป่าได้ราว 400 คนในปี 2521 นับเป็นจุดเริ่มต้นการเสื่อมสลายของ พคท.
เกรียงศักดิ์ต้องการให้วังเป็นกลางทางการเมือง
จึงจำกัดกิจกรรมลูกเสือชาวบ้าน พูมลำพองจึงต้องหวนกลับมาใช้วิธีเดิมเหมือนตอนแรกๆที่ขึ้นครองบัลลังก์
คือ เร่งขยายงานพิธีและกิจกรรมสร้างบุญบารมี และเสริมเครือข่ายพันธมิตรของวัง ด้วยการแจกเครื่องราชแก่ข้าราชการและทหารชั้นสูง
ซึ่งบรรดาภรรยาจะได้เป็นท่านผู้หญิงกับคุณหญิง เครื่องราชขึ้นกับจำนวนเงินที่บริจาคที่ขยายเติบโตจากการโฆษณาชวนเชื่อให้คนเกลียดกลัวภัยคอมมิวนิสต์หรือผกค. ในการออกงานที่วัดแห่งหนึ่งในเยาวราชย่านพ่อค้าชาวจีน ได้มีผู้บริจาค
120 คนรับพระราชทานพระเครื่ององค์ละ 20,000 บาท

เปรมิกาเกิดเมื่อ 26
สิงหาคม 2463 แก่กว่าพูมลำพอง 7 ปี เป็นคนสงขลา เป็นทหารอาชีพ เป็นผู้บังคับบัญชาที่มีความเข้มงวดสูง เป็นสมาชิกสภาหลายสมัยติดต่อกัน
เป็นแม่ทัพภาคที่สองรับผิดชอบพื้นที่ภาคอิสาน ทำสงครามปราบปรามคอมมิวนิสต์โดยใช้การเมืองนำการทหาร
เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกอรมน.ที่มีเพื่อนเก่าคือสุตสายที่เป็นหัวหน้ากระทิงแดง
เปรมิกาเป็นคนพูดเบามากและเคารพระบบอาวุโสอย่างเข้มงวด สุภาพเรียบร้อยมาก หนักแน่น
และมีวินัย แต่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ ไม่ตรงไปตรงมา ถนัดเรื่องลับลวงพราง ชอบเล่นพรรคเล่นพวกและการประจบสอพลอจากผู้ใต้บังคับบัญชา
เป็นพวกเจ้ายศเจ้าอย่างที่ทำตัวยิ่งกว่าเจ้า


โดยเปรมิกาได้กล่าวปฎิญาณในวันที่ 3 มีนาคม 2523 ว่าตนเป็นรัฐบาลของพูมลำพอง เปรมิกาได้เปิดศักราชใหม่ของการประจบประแจงเทิดทูนวัง
ขณะที่พูมลำพองก็ทำการแทรกแซงอย่างไม่กระดากใจเป็นประจำ ส่วนเปรมิกาก็ไม่มีความเหนียมอายที่จะเอาหลังพิงวังจนเป็นที่ทราบกันดีว่า
เมื่อใดก็ตามที่เปรมิกามีปัญหา ก็จะตรงเข้าวังเพื่อรับการสนับสนุนแล้วกลับออกมาอย่างมีพลัง
แล้วบรรดาศัสตรูของเปรมิกาก็จะพากันหดหัวไปอย่างรวดเร็ว การบริหารราชการของเปรมิกาจึงมีแต่การเล่นพรรคเล่นพวกที่ประจบเอาใจวัง
ทำให้กองทัพเต็มไปด้วยการแบ่งพรรคแบ่งพวกกับความหย่อนยานทางวินัย รัฐบาลจึงไม่มีเสถียรภาพและมีหลายครั้งที่เกิดความเปั่นป่วนรุนแรง
เปรมิกาได้ขยายอำนาจทางทหารในรูปของคำสั่งนายกรัฐมนตรี
66/2523 และ 65/2525 เปลี่ยนนโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์ขนานใหญ่
ให้กองทัพมีอำนาจเหนือสภาและรัฐธรรมนูญเปรมิกาเป็นนายกในปี 2523 โดยควบตำแหน่งรัฐมนตรีกลาโหมและ ผบ. ทบ. ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควร แต่พูมลำพองก็เห็นดีเห็นงาม
โดยอ้างว่าเปรมิกากำลังจะเกษียณราชการทหารเมื่ออายุ 60 ในเดือนตุลาคมปีนั้น
แต่พอปลายเดือนสิงหาคม 2523 อาทิตย์ กำลังเอก ดาวรุ่งคนโปรดของสิริเกียรติ
เรียกร้องให้ต่ออายุราชการแก่เปรมิกา ในวันที่ 1 กันยายน
2523 เปรมิกากลับออกมาจากการเข้าพบพูมลำพองและประกาศว่าพูมลำพองสนับสนุนการต่ออายุราชการให้ตน
เมื่อรัฐมนตรีต้องการข้อพิสูจน์ พวกเขาก็ถูกเรียกให้เข้าพบพูมลำพอง แล้วก็กลับออกมาประกาศสนับสนุนการต่ออายุราชการให้เปรมิกา
เศรษฐกิจตกต่ำหลังจากเปรมิกาเป็นรัฐบาลไม่ถึงปี
พรรคการเมืองร่วมรัฐบาลก็เริ่มโวยวายแถมมีเรื่องทุจริตอื้อฉาวหลายกรณี ขณะที่เปรมิกาจะขอต่ออายุราชการ ผบ.ทบ. อีกปีหนึ่ง เมื่อต้นปี 2524 รัฐมนตรีหลายคนลาออก คึกฤทธิ์ก็ถอนพรรคกิจสังคมออกจากการร่วมรัฐบาล แต่เปรมิกาดึงพรรคการเมืองปีกขวาและทหารเข้ามาร่วมรัฐบาล
ให้สุตสาย หัสดิน เจ้าพ่อกระทิงแดงกับประจวบ สุนทรางกูรเป็นรัฐมนตรี
คืนวันที่ 31 มีนาคม
2524 นายทหารที่กุมกำลังของกองทัพพยายามก่อรัฐประหารเมษาฮาวาย เมื่อวันที่
1 - 3 เมษายน 2524 เพื่อยึดอำนาจการปกครองของเปรมิกา
ประกอบด้วยนายทหารจปร. รุ่น 7 หรือ รุ่นยังเติร์ก ได้แก่มนูญ
รูปขจร ประจักษ์ สว่างจิตร พัลลภ ปิ่นมณี โดยมี สัณห์ จิตรปฏิมา รองผบ.ทบ. เป็นหัวหน้า
ได้เริ่มก่อการเมื่อเวลา 2.00 น. ของวันที่
2 เมษายน โดยจับตัว เสริม ณ นคร ผบ.สูงสุด หาญ
ลีลานนท์ ชวลิต ยงใจยุทธ ไว้ที่หอประชุมกองทัพบก และออกแถลงการณ์คณะปฏิวัติ
เปรมิกาได้เชิญพูมลำพอง สิริเกียรติ และครอบครัวไปอยู่ที่กองทัพภาคที่ 2 ค่ายสุรนารี นครราชสีมา ตั้งกองบัญชาการตอบโต้ และปลดผู้ก่อการออกจากตำแหน่งทางทหาร
โดยได้กำลังสนับสนุนจากอาทิตย์ กำลังเอก รองแม่ทัพภาคที่ 2 การกบฏสิ้นสุดลงโดยไม่ได้มีการต่อสู้กัน
ผู้ก่อการเดินทางออกนอกประเทศ อาทิตย์ได้รับความไว้ใจจากเปรมิกา ได้เป็นแม่ทัพภาคที่
1 คุมกองกำลังรักษาพระนคร
เปรมิกามีอำนาจที่มั่นคงขึ้นจากท่าทีรับรองของพูมลำพองทั้งๆที่มีปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าไปทั่วประเทศ
ผู้นำทหารก็เพลิดเพลินไปกับการได้เข้าวัง เนื่องจากสิริเกียรติชอบการแวดล้อมด้วยนายตำรวจนายทหาร
และภรรยาของพวกเขา งานเลี้ยงของวังจะมีพวกนายทหาร เต้นรำกับสิริเกียรติและร้องเพลงกันโดยพูมลำพองเป็นคนเป่าแซ็กโซโฟน
ในเดือนมกราคม
2526 เปรมิกาต้องการต่ออายุบทเฉพาะกาลรัฐธรรมนูญ 2521 ให้ทหารควบตำแหน่งทางการเมืองได้ แต่เมื่อเผชิญการต่อต้านคัดค้าน พิจิตร กุลละวณิชย์
ลูกน้องของเปรมิกาก็ออกมาขู่ว่า อาจจะมีการตบเท้าสำแดงกำลัง หากกองทัพไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการพูมลำพองให้เปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ
โดยวุฒิสภาที่ส่วนใหญ่เป็นทหารสามารถผ่านวาระที่หนึ่งและสอง ที่ใช้เพียงเสียงข้างมากของรัฐสภา
วาระที่สามในวันที่ 16 มีนาคม 2526 ต้องใช้เสียงสองในสาม
และฝ่ายทหารก็แพ้ไปอย่างเฉียดฉิว แต่พูมลำพองรีบให้ยุบสภาในวันที่ 19 มีนาคม 2526 และให้เลือกตั้งวันที่ 18 เมษายน 2526 หรือแค่ 30 วัน เพื่อให้รัฐบาลใหม่ตั้งขื้นก่อนบทเฉพาะกาลสิ้นสุดลง
โดยใช้บทเฉพาะกาลต่อไปได้อีกสี่ปี
พรรคชาติไทยได้สส. มากที่สุดจากต่างจังหวัด นำโดยประมาณ ที่เป็นอันธพาลการเมืองปีกขวาในปี
2519 เปรมิกาใช้ประโยชน์จากความกลัวประมาณ บีบให้พรรคอื่นสนับสนุนตน
และเขี่ยชาติไทยไปเป็นฝ่ายค้าน โดยเลือกลูกน้องของตนมาเป็นรัฐมนตรีกว่าสิบคน พูมลำพองถือโอกาสสั่งสอนในงานฉลองวันเกิด
5 ธันวาคม 2526 ด้วยการดูถูกเหยียดหยามนักการเมืองและข้าราชการ
เรื่องความไม่เอาไหนในการแก้ปัญหาน้ำทวมกรุงเทพชั้นใน แทนที่จะระบายน้ำออกสู่ทะเล กลับให้ไปท่วมพื้นที่อื่นต่อๆกันไป
อย่างโง่ๆ ไร้ความสามารถ ไม่เหมือนกองทัพ
เปรมิการีบปกป้องเทิดทูนสถาบันเจ้า โดยทันทีที่เป็นนายกฯในปี
2523 ก็รีบฟื้นโครงการก่อสร้างอนุสาวรีย์ธิปก ที่รัฐสภา ซึ่งริเริ่มโดยรัฐบาลธานินทร์ในปี
2519 โดยมีพิธีแห่แหนอย่างเอิกเกริก ในการเปิดอนุสาวรีย์นี้ในวันรัฐธรรมนูญปี
2523 และได้ปลดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ออกจากรายการคุ้มครองมรดกแห่งชาติ
โดยคิดจะทุบทิ้งเพื่อลบภาพการปฏิวัติ 24 มิถุนา 2475
เปรมิการับภาระในการจัดการกับคนสองคนที่ยังเหลืออยู่คือปรีดี
และ พระพิมลธรรม
ขณะนั้นปรีดีอยู่ที่ปารีส อายุ 80 ปี อยากกลับบ้านหลังจากอยู่เมืองนอกมานานกว่า
30 ปี ครอบครัวและเพื่อนฝูงของปรีดี ได้ยื่นคำร้องขอต่อพูมลำพอง ขออนุญาตให้ปรีดีกลับไทย
แต่พูมลำพองกลัวว่าปรีดีเป็นภัยคุกคามทางการเมือง เปรมิกาจึงออกอุบายรับมือแทน โดยรัฐบาลปล่อยข่าวว่าปรีดีสามารถกลับไทยได้
และวังไม่ได้ติดใจกรณีเสียชีวิตของอานาน แต่ก็ไม่เคยมีการอนุญาตเป็นทางการ ราวกับว่ามันไปติดขัดอยู่ตรงระเบียบขั้นตอนที่ไหนสักแห่งและไม่รู้ว่าใครรับผิดชอบ
จนกระทั่งปรีดีถึงแก่กรรม ที่ปารีสในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ศพของปรีดีถูกนำกลับไทย แต่รัฐบาลเปรมิกาปฏิเสธที่จะจัดพิธีศพให้อย่างเป็นทางการ และพูมลำพองปฏิเสธที่จะประทานเพลิงศพ แสดงให้เห็นถึงความพยาบาทผูกใจเจ็บของพูมลำพองที่มีต่อปรีดีอย่างลึกซึ้ง ทั้งๆที่ปรีดีเป็นคนเสนอต่อรัฐสภาในวันที่อานานเสียชีวิต แต่งตั้งพูมลำพองนั่งบัลลังก์ ทำให้รอดจากการเป็นจำเลยคดีฆาตกรรมอานาน ไม่ต้องถูกประหารชีวิต

จนกระทั่งปรีดีถึงแก่กรรม ที่ปารีสในวันที่ 2 พฤษภาคม 2526 ศพของปรีดีถูกนำกลับไทย แต่รัฐบาลเปรมิกาปฏิเสธที่จะจัดพิธีศพให้อย่างเป็นทางการ และพูมลำพองปฏิเสธที่จะประทานเพลิงศพ แสดงให้เห็นถึงความพยาบาทผูกใจเจ็บของพูมลำพองที่มีต่อปรีดีอย่างลึกซึ้ง ทั้งๆที่ปรีดีเป็นคนเสนอต่อรัฐสภาในวันที่อานานเสียชีวิต แต่งตั้งพูมลำพองนั่งบัลลังก์ ทำให้รอดจากการเป็นจำเลยคดีฆาตกรรมอานาน ไม่ต้องถูกประหารชีวิต




จึงเป็นที่ชัดเจนว่า พูมลำพองปฏิเสธพระพิลธรรม
ที่อายุ 83 ปีแล้ว และวังก็เพียงแต่เฝ้ารอให้ท่านมรณภาพ เหมือนรอให้นายปรีดีถึงแก่กรรม
ปี 2528 ผ่านไปอีกโดยปราศจากการแต่งตั้ง เจ้าคณะจังหวัดภาคอิสาน
17 รูปขู่ว่าจะคืนสมณศักดิ์ และเครื่องราชย์ เป็นการประกาศแยกตัวจากมหาเถรสมาคม
วังทนถูกด่าต่อไปไม่ไหว จึงต้องให้พระพิมลธรรมเป็นสมเด็จ และท่านก็มรณภาพในอีกไม่กี่ปีต่อมา
ญาณสังวรก็ขึ้นเป็นสังฆราชตามความต้องการของพูมลำพอง
เมื่อได้จัดการกำจัดเสี้ยนหนาม ที่เป็นพยานคนสำคัญต่ออดีตอันน่าอัปยศของพูมลำพองไปเรียบร้อยแล้ว
เปรมิกาก็โหมการเทิดทูนพูมลำพอง และวัฒนธรรมคลั่งเจ้า เริ่มด้วยการฟื้นประเพณีหมอบกราบ
โดยเปรมิกาพยายามทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง โดยเข้าพบพูมลำพองอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ด้วยลีลาที่เหมือนสมัยเมื่อร้อยปีก่อนคือการหมอบกราบและพูดกับพูมลำพองด้วยสุ้มเสียงกระซิบกระซาบแผ่วเบาอย่างเจียมเนื้อเจียมตัวต่อเมื่อพูมลำพองถามก่อนเท่านั้น
เปรมิกาสวมเสื้อไหมไทยคอตั้ง เรียกว่า ชุดราชประทาน
ซึ่งย้อนยุคไปถึงสมัยจุฬา ทำให้บรรดาข้าราชการ นักการเมือง และนักธุรกิจที่ต่างพากันแต่งชุดราชประทานเป็นชุดทำงาน
ไฮโซและพวกต้องการยกสถานะตนเองทางสังคมก็จะแข่งกันบริจาคเงินและเข้าร่วมงานพิธีต่างๆ
ที่เปรมิกาเป็นผู้ดูแลอุ้มชู และมีศูนย์กลางอยู่ที่โรงแรมดุสิตธานีซึ่งเป็นสถานที่ประจำสำหรับจัดงานลีลาศการกุศล
กลายเป็นสถานที่ ที่นักธุรกิจ นักการเมือง นายพลกับบรรดาภรรยาทั้งหลายมาออกงานและตกลงเรื่องธุรกิจ
การแต่งตั้งโยกย้ายเลื่อนตำแหน่ง การให้สัญญาและสัมปทานของรัฐตามใบสั่งของวัง
เปรมิกาใช้งบประมาณของประเทศในการสร้างวังหลายแห่ง
ให้กับครอบครัวของพูมลำพอง เช่น ชาเล่ตข์นาดใหญ่บนยอดเขาที่เชียงรายสำหรับสังวอนที่มาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวรในช่วงปลายทศวรรษ
2520 สั่งให้การบินไทย การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการไฟฟ้าฝ่ายผลิต
จัดงบประมาณโฆษณาเทิดทูนเจ้าทุกวันสำคัญ มีการเผยแพร่งานต่างๆของวังตามโทรทัศน์และวิทยุอย่างเต็มที่
วันเกิดของพูมลำพองและสิริเกียรติ ถูกยกให้เป็นวันพ่อและวันแม่แห่งชาติ
เมื่อรำไพพรรณี ภรรยาของธิปก เสียชีวิตในเดือนพฤษภาคม
2527 เปรมิกาได้ขยายเวลาไว้อาลัยจากปกติ 100 วันเป็น
11 เดือน (หรือราว 330 วัน)
และรัฐบาลเปรมิกาได้จัดพิธีประทานเพลิงศพอันยิ่งใหญ่สุดอลังการในเดือนเมษายน
2528 ใช้เงินหลายร้อยล้านบาท ท่ามกลางภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจในขณะนั้น
มีเมรุประดับทองสูง 29 เมตร ขบวนแห่ยาวสามกิโลเมตร ประกอบด้วยราชรถสีแดงและสีทองนำศพที่บรรจุในโกศประดับอัญมณี
พร้อมด้วยทหารมือกลอง และพลเป่าแตรหนึ่งพันนายแต่งชุดจักรีโบราณ โทรทัศน์ทุกช่องถ่ายทอดสด
ครอบครัวมหิดรนำขบวนแห่ของเชื้อสายเจ้านับร้อย ท่ามกลางเสียงปืนใหญ่ที่ยิงสลุดดังอื้ออึง

เปรมิกาก็รีบสนองความต้องการของพูมลำพองด้วยการทุ่มเททั้งงบประมาณ
และกำลังคนของรัฐบาล โดยเฉพาะกำลังทหารสนับสนุนโครงการของเจ้า เป็นความสำคัญเร่งด่วนลำดับแรกเหนืองานราชการทั้งปวง
เปรมิกานั่งเป็นประธานคณะกรรมการประสานงานโครงการของเจ้า หรือ กปร. ทำหน้าที่เร่งรัดและทุ่มเททรัพยากรและสรรพกำลังทั้งหมดของรัฐบาลไว้รับใช้เจ้าเพื่อให้พูมลำพองได้รับเอาความดีความชอบแต่เพียงผู้เดียว
ผู้ดูแลโครงการราชดำริเป็นนักเศรษฐศาสตร์และเป็นสมาชิกสภาความมั่นคงแห่งชาติ
ชื่อสุเมธ ที่ปรึกษาคนสนิทของพูมลำพอง ได้ใช้งบประมาณเพิ่มจากเดิมเป็นสิบเท่า โดยส่วนใหญ่หักเงินเอาจากงบประมาณปกติของกระทรวงทบวงกรมต่างๆ
โครงการราชดำริส่วนใหญ่ทำเหมือนเดิมคือ วิจัยพันธุ์พืช แหล่งน้ำ ฝึกอบรมแพทย์และสาธารณสุข

กองทัพได้กลายมาเป็นกองงานส่วนตัวของพูมลำพอง
มีศูนย์พัฒนามูลค่าหลายสิบล้านบาทบนเนื้อที่ 13,000 ไร่ ที่วังภูพาน
สกลนคร และอีกหลายล้านไร่ที่ศูนย์พัฒนาเขาค้อ เพิ่มงบให้กองทัพนำไปใช้ในโครงการหลวง
โหมโฆษณาพร้อมงบประมาณมหาศาล ทำให้ประชาชนมองข้ามรัฐบาลและหวังพึ่งแต่โครงการหลวงของเจ้า
เปรมิกายังทำหน้าที่ควบคุมปราบปรามการวิพากษ์วิจารณ์วังด้วยการใช้กฎหมายหมิ่นเดชานุภาพโดยใช้ปกป้องวงศ์จักราวีทุกคนและเจ้าไทยทั้งหมด
เปรมิกาถือว่าเรื่องของเจ้าไม่ใช่เรื่องของไพร่ และห้ามวิจารณ์เจ้าโดยเด็ดขาด มีการข่มขู่สื่อว่าจะโดนปิด
คนที่ถูกจับได้ว่า ตีพิมพ์เอกสารวิพากษ์วิจารณ์วัง
จะถูกลงโทษรุนแรง ถูกตามล่าและถูกจับขังคุก นิตยสารนิวส์วีค ฉบับที่หน้าปกลงรูปเปรมิกาอยู่สูงกว่าพูมลำพอง
ในเดือนมกราคม 2525 ถูกสั่งห้ามขายรวมทั้งเอเชี่ยนวอลล์สตรีทเจอร์นัล
ที่ลงบทความว่ากษัตริย์พูมลำพองไม่ได้เป็นที่นิยมมาก อย่างที่เข้าใจกัน
วสิษฐให้สัมภาษณ์เนชั่น แก้ตัวแทนพูมลำพองและสิริเกียรติที่มักตื่นสายถึงเที่ยงทุกวัน
โดยอ้างว่าทั้งสองคนต้องหอบเอกสารเข้าไปอ่านในห้องทั้งคืน ทำให้ต้องออกจากห้องนอนตอนเที่ยงวันแล้ว
และยังต้องปฏิบัติหน้าที่ตามกำหนดต่างๆที่แน่นไปหมด ซึ่งเป็นเรื่องโกหกรัฐบาลโหมการโฆษณาชวนเชื่อเทิดทูนเจ้าให้ถอยกลับไปสู่ยุคโบราณที่ถือเป็นเจ้าชีวิต
เป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่าง และอยู่บนหัวของราษฎร โดยไม่ให้ความสำคัญกับรัฐธรรมนูญ
รัฐสภาและหลักกฎหมายโดยถือว่าเป็นของนำเข้าจากตะวันตก
คณะกรรมการเอกลักษณ์แห่งชาติ กลับหันไปเน้นความสำคัญ
ของศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแหงหลักที่หนึ่ง ที่มังคุดทำขึ้นมาเอง ว่าเป็นเหมือนสัญญาประชาธิปไตย
เพราะเจ้าไทยได้รับฉันทานุมัติจากประชาชนโดยเอกฉันท์ ประชาชนเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวภายใต้การปกครองของเจ้า
ให้พ้นจากภัยคุกคามของจักรวรรดินิยมตะวันตกและดูแลทุกข์สุขให้ประชาชน ส่วนนักการเมืองมีความเห็นแก่เงินและบ้าอำนาจ
สื่อมวลชนก็พึ่งพาไม่ได้ มีแต่เจ้าเท่านั้นที่มีภูมิรู้
ประสบการณ์ ความรอบรู้และการเสียสละที่จะปกครองประเทศได้
คนไทยเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะเมื่อเจ้าป่วยทุกคนพากันตกใจ
แต่เวลาทหารยึดอำนาจ จะไม่สู้มีใครใส่ใจ เพราะรัฐบาลก็เป็นแค่สิ่งบันเทิง พูมลำพองให้สัมภาษณ์ปี
2525 ว่าตนควรจะเป็นผู้เลือกนายก เพราะตนฉลาดกว่าใคร และประชาชนศรัทธาเชื่อมั่นตน
สำหรับการรัฐประหารที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ก็เพราะทหารก็ต้องการประชาธิปไตยเหมือนกับประชาชนนั่นเอง


ในปี 2527 เศรษฐกิจตกต่ำทั้งภูมิภาค
และมีเรื่องอื้อฉาวที่ธนาคารหลายแห่งล้มละลาย เกิดความตื่นตระหนกไปทั่ว ในเดือนสิงหาคม
เปรมิกาล้มป่วยอย่างหนัก สิริเกียรติไปเยี่ยมเปรมิกาถึงข้างเตียงที่บ้านสองครั้ง เป็นข่าวครึกโครม
เปรมิกากลับมาเจอเศรษฐกิจที่ซวนเซ ต้องประกาศลดค่าเงินบาท
15% ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2527 จาก 23 บาท เป็น 27 บาท ต่อ
1 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกา แต่อาทิตย์ ผบ.สูงสุดและผบ.ทบ.ขอให้รัฐบาลทบทวนและขอให้ปรับครม.

เดือนกันยายน
2528 เปรมิกาไปเยือนอินโดนีเซีย อาทิตย์ไปยุโรป ครอบครัวมหิดรอยู่ต่างจังหวัด
พวกยังเติร์กพยายามยึดอำนาจอีก โดยอ้างความจงรักภักดี รถถังกับรถบรรทุกประดับรูปพูมลำพอง
สิริเกียรติและวชิราพอง แต่ทหารหลายหน่วยที่นัดกันไว้กลับไม่มา
เปรมิการีบกลับจากจาการ์ตา และเจรจาจนเรียบร้อย กลายเป็นว่ายังเติร์กถูกหลอกให้ออกมาเพื่อหาเรื่องเล่นงานคนบางคน


การรณรงค์หาเสียงของนักการเมืองได้พุ่งเป้าโจมตีเปรมิกาที่ไม่ยอมลงสมัครรับเลือกตั้ง
รวมทั้งกองทัพที่มีการทุจริตอย่างกว้างขวางและเป็นทหารการเมือง แต่เปรมิกาไม่สะทกสะท้าน
เพราะเขาได้ยึดเอาพูมลำพองเป็นแบบอย่าง โดยอ้างว่าตนมีความเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง
ทั้งๆที่บริวารของเปรมิกาเข้าคุมพรรคการเมือง มีการปล่อยข่าวว่าพูมลำพองต้องการให้เปรมิกาเป็นนายก
อย่างน้อยจนกว่าจะผ่านงานฉลองวันเกิดครบ 60 ในปี
2530 และจากนั้นก็เป็นการฉลองการขึ้นครองบัลลังก์ที่ยาวนานกว่าเจ้าไทยทุกคนในปี
2531 โดยพูมลำพองจะครองบัลลังก์นานเท่ากับจุฬา ในวันที่ 1 กรกฎาคม 2531
ผลการเลือกตั้ง 27
กรกฎาคม 2529 พรรคที่ได้ที่นั่งมากที่สุด
100 จาก 347 เสียง คือประชาธิปัตย์ แต่พิชัย รัตตกุลหัวหน้าพรรค
ยอมให้เปรมิกาเป็นนายก ทำให้คนในพรรคโกรธมาก เปรมิกาตั้งคนของตนเข้ามาในครม. อดีตผู้นำกระทิงแดงประจวบ
สุนทรางกูร ได้คุมมหาดไทย บรรหารผู้รับเหมาที่มีอิทธิพลในพื้นที่ภาคกลางได้คุมคมนาคมที่ให้ผลประโยชน์มากที่สุด
เปรมิกาทุ่มงบจัดงานฉลองวันเกิด 60
ปีให้พูมลำพอง ทั้งโปสเตอร์และป้ายโฆษณาผุดขึ้นทั่วประเทศและไม่ว่าใครจะขยับตัวทำอะไรก็ล้วนแต่เป็นการฉลองเกียรติแก่พูมลำพองไปหมด
หน่วยราชการผลิตหนังสือ และสารคดีโทรทัศน์ยืดยาวเชิดชูอัจฉริยภาพ ทศพิธราชธรรม ตลอดจนความยิ่งใหญ่ไร้ที่ติของเจ้าวงศ์จักราวี มหาวิทยาลัยจัดสัมมนาอภิปราย ออกบทความทางวิชาการสดุดีพูมลำพองกับเจ้าวงศ์จักราวี กัญญาวัฒนีเขียนเรื่องเจ้านายในปี
2539 เกี่ยวกับชีวิตวัยเด็กของอานานกับพูมลำพอง และกองทัพก็เอาไปตีพิมพ์ออกมาเป็นหนังสือหนา
400 หน้า เต็มไปด้วยเรื่องราวความฉลาดปราดเปรื่องของพี่น้องทั้งสองคน
การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยกับการบินไทยร่วมมือกันจัดโครงการณ์สนับสนุนการท่องเที่ยวประเทศไทย
(Visit Thailand Year) เน้นวาระครบรอบ 60 ปีพูมลำพอง
โดยจัดพิธีเห่เรือในเดือนตุลาคม
เดือนมีนาคม
2530 พูมลำพองประทานธงชัยเฉลิมพล แก่ทหารกรมกองต่างๆ ด้ามธงบรรจุด้วยเส้นผมของตน
กองทัพถางป่าสงวนบนยอดดอยอินทนนท์เพื่อสร้างเจดีย์ให้พูมลำพองและสิริเกียรติ คนละหนึ่งแห่ง
ปลายปี 2529 เปรมิกาประกาศมอบเกียรติยศให้พูมลำพองเป็น อัครศิลปิน กรมการศาสนาเตรียมสังคายนาพระไตรปิฎกเนื่องในโอกาสฉลองวันเกิด 60
ปีพูมลำพอง การสังคายนาพระไตรปิฎกถือเป็นงานใหญ่และไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง



กรณีจิรายุ รัฐมนตรีของวังถูกกล่าวหาว่าทุจริต
จนต้องลาออกแต่ได้ไปรับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินของพูมลำพอง
บรรหารรัฐมนตรีคมนาคม ถูกกล่าวหาว่าโกงกินอย่างมโหฬารและซื้อเสียง
กรณีชวลิตและภรรยาจัดซื้อรถถังสติงเรย์ของอเมริกา ที่ราคาแพงและคุณภาพต่ำ

ในช่วงต้นเดือนธันวาคมก่อนวันเฉลิมวันเกิดครบ 60 ปี เปรมิกาก็ถวายนามมหาราชาแก่พูมลำพองอย่างเป็นทางการ ในนามเสด็จพ่อสมชายอัครมหาราชา หรือเรียกกันทั่วไปว่าลุงสมชาย และ พากันเรียกสิริเกียรติว่าป้าสมจิต ทั้งๆที่พูมลำพองยังไม่ทันเสียชีวิต โดยทำเหมือนกับว่าประชาชนไทยทั้ง 41 ล้านคนพร้อมใจกันมอบตำแหน่งอัครมหาราชาเพื่อยกระดับพูมลำพองให้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่กว่าใครในโลกหล้า
เปรมิการีบชิงยุบสภาและกำหนดวันเลือกตั้ง 24 กรกฎาคม 2531 อย่างน้อยก็ทำให้เขายังได้เป็นประธานในงานฉลองการครองบัลลังก์ยาวนานที่สุดกว่าเจ้าไทยองค์ใด ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2531 และได้แสดงเจตนาจะเป็นนายกต่อไปโดยไม่ลงเลือกตั้งโดยทึกทักว่าการจัดงานเฉลิมเป็นเหตุผลเพียงพอแล้ว
แต่ในเดือนมิถุนายน นักวิชาการชั้นนำ 99
คนได้ลงชื่อถวายฎีกา ร้องเรียนไปยังลุงสมชาย กล่าวหาเปรมิกาว่าแอบอ้างวังและใช้กองทัพข่มขู่เพื่อรักษาอำนาจของตน
และเรียกร้องให้ลุงสมชายหยุดแทรกแซงและเลิกสนับสนุนเปรมิกา ผู้ประท้วงราวหนึ่งพันคนเดินขบวนไปที่หน้าบ้านเปรมิกา
ผู้นำพรรคการเมืองและคนอื่นๆ ก็เรียกร้องให้นายกมาจากสส.ที่ได้รับการเลือกตั้ง
ขณะที่ทั้งประเทศกำลังจดจ่อรอดูว่าลุงสมชายจะออกมาอุ้มเปรมิกาอีกหรือไม่ ในที่สุดเปรมิกาก็ตัดสินใจถอนตัว
ทำให้ลุงสมชายไม่ต้องเปลืองตัวอีกต่อไป ชาติชายหัวหน้าพรรคชาติไทยที่ได้ส.ส.มากที่สุดจึงได้เป็นนายกคนต่อไป
ประชาชนไม่ได้เห็นคุณค่าของรัฐบาลทหารพระราชทานของลุงสมชายอีกต่อไปแล้ว เพราะเปรมิกานั้นแทบไม่ทำอะไรเลยตลอดแปดปี
นอกจากปกป้องเก้าอี้ของตนและบัลลังก์ของลุงสมชาย รัฐบาลเปรมิกาได้พิสูจน์แล้วว่า ไม่ได้เลวน้อยไปกว่ารัฐบาลพลเรือนเลย
ในเรื่องการทุจริตคอรัปชั่น การใช้อำนาจบาตรใหญ่และการทำงานแบบเช้าชามเย็นชาม



อีกทั้งทำให้กองทัพเต็มไปด้วยบรรดานายทหารที่ทุจริตคอรัปชั่น พากันอิ่มหมีพีมันและย่อหย่อนความสามารถในการทหารสมัยใหม่ แทนที่กองทัพจะเล็กลงและเป็นมืออาชีพมากขึ้น ทหารเข้าแทรกแซงการเมือง วงการธุรกิจ และแม้แต่วงการอาชญากรรมมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ไม่มีใครกล้าตั้งคำถาม
หรือโต้แย้งลุงสมชาย ส่วนใหญ่ก็ต้องหมอบกราบแซ่ซร้องสดุดีอย่างเดียว บริวารใกล้ชิดบอกลุงสมชายว่า
พลังประชาธิปไตยเป็นเหมือนพคท. เป็นภัยคุกคามต่อชาติ ศาสน์
กษัตริย์ ซึ่งลุงสมชายก็เชื่อและยังคงให้ท้ายกองทัพใช้อำนาจครอบงำการเมืองต่อไป
............................
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น