หรือที่ : http://www.mediafire.com/?a4yuaav3gdexdez
รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ

ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญในระบอบเผด็จการที่ไม่ได้เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่มีมาถึง 18 ฉบับ เพราะรัฐธรรมนูญของไทยนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 ที่เริ่มให้มีองคมนตรี ให้กษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดแทนปวงชน ทั้งยังห้ามตรวจสอบ ห้ามวิจารณ์กษัตริย์ไม่ว่าในกรณีใดๆ จึงมิใช่รัฐธรรมนูญที่เป็นประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของกษัตริย์และจำกัดหรือริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนจะต้องพิทักษ์รักษา

ประเทศไทยจึงมิได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ไทยผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุด มีทั้งอิทธิพลและบารมีเหนือกว่าประชาชนทั้งประเทศจึงมิใช่กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นกษัตริย์ในระบอบราชาธิปไตยที่กษัตริย์เป็นใหญ่เป็นผู้คุมทั้งอำนาจและมีอิทธิพลครอบงำประเทศ ซึ่งประชาชนไทยและคนทั่วโลกก็คงเห็นกันมานานแล้ว







เมื่อสถาบันกษัตริย์ผูกพันตนอยูภายใต้รัฐธรรมนูญ การสืบราชบัลลังก์ที่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภาสามารถแก้ไขได้ด้วยเสียงข้างมาก
การใช้อำนาจอธิปไตยเป็นเพียงการถวายพระเกียรติยศแต่มิใช่มอบอำนาจให้กษัตริย์บริหารประเทศ ฉะนั้นการกระทำทั้งปวงของกษัตริย์จึงต้องกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการทุกกรณี

รัฐธรรมนูญในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยของไทยนั้น 3 ฉบับแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการบัญญัติเป็นไปตามหลักการนี้ เช่น การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีองคมนตรี เพราะในระบอบประชาธิปไตย กษัตริย์มีที่ปรึกษาอยู่แล้วคือคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง

มาตรา 12 ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จสวรรคต ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่รักษาการประมุขของประเทศในฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์

- ประธานวุฒิสภา
- ประธานสภาแห่งชาติ
- นายกรัฐมนตรี
- ประมุขสงฆ์จากฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
- รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และคนที่สอง
- รองประธานสภาแห่งชาติ คนที่หนึ่ง และคนที่สอง
ในขณะที่รัดทำมะนวยของไทยบัญญัติให้การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ 2467 ซึ่งเป็นกฎหมายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของรัชกาล 6 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ยังให้เป็นอำนาจของกษัตริย์โดยเฉพาะ ทั้งๆที่ตำแหน่งกษัตริย์เป็นเรื่องของสาธารณะไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง
รัฐธรรมนูญของประเทศกัมพูชาไม่มีองคมนตรี และได้แก้ปัญหาที่เคยมีจากบทบาทของกษัตริย์ในอดีตโดยเฉพาะเจ้านโรดมสีหนุที่ชอบแทรกแซงทางการเมืองเหมือนกษัตริย์ภูมิพลแต่เจ้าสีหนุก็ยังมีความชัดเจนและตรงไปตรงมามากกว่ากษัตริย์ของไทย
รัดทำมะนวยของข้า ใครอย่าแตะ


คือให้มีการคุ้มครองพวกโจรกบฏ 19 กันยายน และบรรดาลูกสมุนรวมถึงองค์กรและคณะบุคคลที่พวกมันตั้งกันขึ้นมาให้ได้รับการคุ้มครองต่อไปในอนาคตจนชั่วกัลปาวสานต์ โดยที่ไม่เคยมีรัดทำมะนวยฉบับใดกล้าใช้คำว่า ก่อนหรือหลังวันประกาศใช้ ดังเช่น มาตรา 309 นี้เลย
การคุ้มครองการกระทำของผู้ใช้อำนาจโดยพลการทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และยังคุ้มครองรวมไปถึงพรรคพวกผู้เกี่ยวข้องของคณะรัฐประหาร ซึ่งมีอีกอย่างกว้างขวางและมากมาย เป็นเรื่องน่าสมเพชเอามากๆ มันแสดงถึงความไม่ชอบธรรมและเอาเปรียบอย่างไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมใดๆ เป็นข้อผูกมัดที่กดให้คนไทยต้องตกเป็นทาสหรือเสียเอกราชทางการศาลตลอดไป
![]() |
กลุ่ม 40 สว.ที่แต่งตั้งโดยโจรกบฏคมช. ทำหน้าที่ขัดขวางประชาธิปไตย |




อีกทั้งรัดทำมะนวย 2550 ยังเอื้อประโยชน์แก่บุคคลจำนวนหนึ่ง ที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนเลย อย่าง เช่น กกต. ปปช. รวมทั้งตุลาการศาลรัดทำมะนวยและส.ว.ลากตั้ง ที่พวกกบฏของกษัตริย์เป็นคนแต่งตั้ง






ผลผลิตของรัดทำมะนวย 2550 มันได้แบ่งหน้าที่กันทำ ดูเหมือนว่าทุกองค์กรเป็นอิสระ
ต่างคนต่างเดิน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง



สาเหตุหรือต้นตอ
ของปัญหาการเมืองไทยอยู่ที่ไหน


แม้พวกเขาเหล่านั้นรู้ดีว่า การร่วมกันกระทำการดังกล่าว เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 แต่เนื่องจากพวกกบฎมีกษัตริย์ภูมิพลเป็นหัวหน้าใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้จะทำผิดคิดชั่วอย่างไร ก็ต้องคล้อยตาม เพราะในระบอบกษัตริย์ของไทยเป็นระบอบเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดิน คือกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและความถูกต้องชอบธรรมทั้งมวล

ไม่มีใครกล้าขัดขวางความต้องการของกษัตริย์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือไม่ถูกต้องชอบธรรมเพียงใด เพราะรู้กันดีว่าทั้งนายทหาร ศาลแม้แต่คณะรัฐมนตรีต้องถวายสัตย์สาบานต่อกษัตริย์ โดยเฉพาะทหารรักษาพระองค์นั้นถือว่ามีหน้าที่ปกป้องกษัตริย์อย่างเดียว โดยไม่ต้องสนใจความถูกต้องชอบธรรมใดๆ และมีบทบาทในการยึดอำนาจมาโดยตลอด


อำนาจของทหารโจรหรือทหารรักษาพระองค์จึงขึ้นตรงต่อกษัตริย์แต่ผู้เดียวเหมือนในระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยไม่เกี่ยวโยงกับประชาชน ทั้งๆที่ทหารรักษาพระองค์และกษัตริย์ต่างก็ใช้เงินภาษีของประชาชน แต่กลับกลายเป็นกองกำลังส่วนพระองค์ที่ไม่เคยมีสำนึกต่อประชาชนและพร้อมจะปล้นอำนาจของปวงชนและปราบปรามประชาชนได้ตลอดเวลา



การเรียกร้องให้มีการแก้รัดทำนวยโดยไม่แตะต้องหมวดกษัตริย์ จึงเป็นเรื่องของการเรียกร้องต่อสู้ในกรอบเดิมๆ ที่ยังมีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย และเป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดเหมือนเดิม
จึงป่วยการที่ไปอ้างบทบัญญัติหรือกฎหมายใดๆ ในเมื่อประชาชนไทยยังคิดว่าตนเองเป็นแค่ไพร่ เป็นฝุ่นละอองที่ไม่สามารถพึ่งตนเอง และไม่เคยคิดที่จะสู้เพื่อเสรีภาพและความเสมอภาคที่แท้จริง หรือสู้แบบมีข้อยกเว้นที่จำกัดกรอบ ไม่ไปปรับเปลี่ยนสถานภาพและบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหา ทำให้ไม่มีทางแก้ปัญหาที่ตันเหตุได้ ไปๆมาๆ ก็มาตันอยู่แค่กองทัพ ตุลาการ องคมนตรี สื่อหรือนักวิชาการ ที่เป็นแค่กิ่งก้านของระบอบเผด็จการดักดานที่มีกษัตริย์เป็นแกนกลาง



ในเมื่อประชาชนยังยอมรับกษัตริย์ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรกบฏ ก็จำต้องยอมรับพวกลูกน้องโจรทุกคนโดยปริยาย จึงป่วยการที่ต่อสู้โดยละเว้นข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ เพราะเท่ากับว่าไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การรัฐประหารไม่ใช่เกิดจากกองทัพ แต่เป็นเพราะการสั่งการและสนับสนุนของกษัตริย์ เพื่อล้มล้างศัตรูของกษัตริย์ซึ่งก็คือนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนนิยมชมชอบ และเพื่อเพิ่มอำนาจของกษัตริย์ให้มีมากขึ้น ส่วนพวกทหารที่ยึดอำนาจ ก็ได้รางวัลในรูปของงบราชการลับ งบซื้ออาวุธ และงบพัฒนาของกษัตริย์ และได้รับการเลื่อนชั้นยศขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจ ภรรยาก็ได้เป็นคุณหญิง พอเกษียณก็มีสิทธิ์ได้เป็นองคมนตรี

ในเมื่อรัดทำมะนวย2550 เป็นแค่ข้อบังคับของพวกโจรที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าใหญ่ รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของปวงชนก็ควรใช้ อำนาจอธิปไตยจากเสียงข้างมาก ยกเลิกรัดทำมะนวยของโจรที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้า และร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทวงคืนอำนาจของปวงชนที่ถูกกษัตริย์ยักยอกเอาไปใช้ส่วนตัวมาเป็นเวลายาวนาน มิเช่นนั้นก็จะหลงกับปัญหาที่แก้ไม่ตก โดยเฉพาะการไปยอมรับตั้งแต่ต้นว่าจะไม่แก้ไขรัดทำมะนวยในหมวดกษัตริย์ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา เป็นกล่องดวงใจของระบอบเผด็จการไทยที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง
ต้นตอของสองมาตรฐาน



ถ้าละเว้นกษัตริย์ผู้เป็นเสาหลักของความไม่เป็นธรรม ก็เท่ากับยอมรับความไม่เป็นธรรมตั้งแต่เริ่มต้น และคงต้องวนๆเวียนๆอยู่ในวังวนของปัญหาโดยไม่มีทางออก เหมือนคนเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ไม่กล้าผ่าตัดเอาออก ก็ต้องทนเจ็บปวดทรมานต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การกินยาแก้ปวดท้อง หรือเอายาหม่องไปทาก็เหมือนกับการไปโทษทหาร ไปโทษศาล ไปโทษนักกฎหมาย โทษนักการเมือง หรือสื่อมวลชน รวมทั้งการไม่กล้าแก้รัดทำมะนวยในหมวดกษัตริย์ เพราะกลัวว่าทหารจะไม่พอใจ ทหารก็เห็นว่ายังมีประชาชนจำนวนมากยังจงรักภักดีเป็นพวกคลั่งเจ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา ขนาดพากันใส่เสื้อเหลืองมารับเสด็จเต็มลานพระรูปทรงม้าทั้งๆที่เสื้อเหลืองคือขบวนการล้มล้างการปกครองที่ได้ขับไล่นายกที่ดีที่สุดออกไปจากประเทศ






ขบวนการประชาธิปไตยจะต้องกล้าเปิดเวทีให้มีการถกเถียงแสดงความเห็นถึงบทบาทพฤติกรรมและภาระหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ที่พึงมีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะหลับหูหลับตาเคารพสักการะผู้ที่มีพฤติกรรมสนับสนุนและรับรองการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไปไม่ได้โดยเด็ดขาด มันจะกลายเป็นปากว่าตาขยิบ หรือไม่มีความจริงใจและความกล้าหาญในการแก้ปัญหาของประเทศชาติ


……
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น