หรือที่ : http://www.mediafire.com/?a4yuaav3gdexdez
รัฐธรรมนูญคือกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศ
การที่ประชาชนต้องพิทักษ์รักษาปกป้องรัฐธรรมนูญในระบอบประชา ธิปไตย ก็เพราะรัฐธรรมนูญเป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคให้แก่ประชาชน
ซึ่งแตกต่างจากรัฐธรรมนูญในระบอบเผด็จการที่ไม่ได้เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชนอย่างแท้จริง เช่น รัฐธรรมนูญของประเทศไทยที่มีมาถึง 18 ฉบับ เพราะรัฐธรรมนูญของไทยนับตั้งแต่การรัฐประหาร 2490 ที่เริ่มให้มีองคมนตรี ให้กษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดแทนปวงชน ทั้งยังห้ามตรวจสอบ ห้ามวิจารณ์กษัตริย์ไม่ว่าในกรณีใดๆ จึงมิใช่รัฐธรรมนูญที่เป็นประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่เป็นรัฐธรรมนูญที่เป็นหลักประกันสิทธิเสรีภาพของกษัตริย์และจำกัดหรือริดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชน จึงไม่ใช่รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชนจะต้องพิทักษ์รักษา
แต่เป็นแค่รัดทำมะนวยของกษัตริย์ หรือเป็นรัดทำมะนวยของพระเจ้าอยู่หวยที่เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์สร้างขึ้นมา เพื่อพิทักษ์รักษาพระราชอำนาจหรือพระบรมเดชานุภาพ โดยที่ประชาชนต้องแสดงความจงรักภักดี ยกย่องสรรเสริญ แสดงความปลื้มปิติอย่างไม่มีเหตุผล ห้ามตั้งข้อสงสัย หรือตรวจสอบวิจารณ์ไม่ว่ากรณีใดๆ
ประเทศไทยจึงมิได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีประมุขเป็นกษัตริย์ เพราะกษัตริย์ไทยผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุด มีทั้งอิทธิพลและบารมีเหนือกว่าประชาชนทั้งประเทศจึงมิใช่กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นกษัตริย์ในระบอบราชาธิปไตยที่กษัตริย์เป็นใหญ่เป็นผู้คุมทั้งอำนาจและมีอิทธิพลครอบงำประเทศ ซึ่งประชาชนไทยและคนทั่วโลกก็คงเห็นกันมานานแล้ว แต่พูดความจริงไม่ได้ ต้องพูดเถไถไปทางอื่น ว่าเป็นมือที่มองไม่เห็น เป็นอำนาจนอกระบบ เป็นอำมาตยาธิปไตย ทั้งๆที่เป็นมานานไม่ต่ำกว่า 50 ปี เป็นอำนาจในระบบ เป็นแก่นของระบอบการปกครอง เป็นอำนาจตามรัดทำมะนวยของพระเจ้าอยู่หวย ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยที่ยึดหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชนบนความเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่มันเป็นระบอบราชาธิปไตย ที่กษัตริย์ควบคุมอำนาจสูงสุด และประชาชนก็เป็นได้แค่ไพร่ทาส หรือฝุ่นละอองเล็กใต้เท้าของกษัตริย์
แม้ว่ากษัตริย์จะตามไล่ล่าพตท. ทักษิณ จนกลับประเทศไทยไม่ได้มากว่าสี่ปีแล้ว เรียกว่าได้ทรงสร้างเวรสร้างกรรมต่อคุณทักษิณและครอบครัวชินวัตรอย่างหนักหนาสาหัสไม่น้อย แต่นายกยิ่งลักษณ์ที่เป็นน้องสาวแท้ๆของคุณทักษิณ ก็ต้องนำมวลมหาประชาชนกู่ร้องถวายพระพรให้ทรงพระเจริญเหมือนที่พตท.ทักษิณผู้เป็นพี่ชายได้ทำมาแล้วเมื่อหกปีก่อน จึงไม่มีหลักประกันอันใดที่จะรับประกันว่านายกยิ่งลักษณ์จะไม่พบชะตากรรมเดียวกับนายกทักษิณ นต. ประสงค์ สุ่นศิริก็ได้เคยกล่าวไว้เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2555 ก่อนหน้าการชุมนุม ครั้งแรกที่สนามม้าของม้อบเสธอ้ายแช่แข็งประเทศไทยว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะถูกขับไล่ออกไปก่อนสิ้นปีนี้ คือปี 2555 อีกทั้งนายกยิ่งลักษณ์จะไม่มีแผ่นดินอยู่เหมือนพี่ชาย เป็นที่ทราบกันดีว่านต.ประสงค์ทำงานให้พลเอกเปรมซึ่งเป็นตัวแทนของกษัตริย์มาโดยตลอดมากกว่า 30 ปีที่ผ่านมา
จึงเป็นที่ชัดเจนว่ากษัตริย์ก็คงต้องการขับไล่และทำลายล้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เหมือนกับที่ได้กระทำต่อรัฐบาลทักษิณเช่นเดียวกัน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็ต้องเอาใจกษัตริย์ด้วยการจัดเกณฑ์ประชาชนสวมเสื้อเหลืองให้ได้มากที่สุดเพื่อมาร่วมกันถวายพระพรที่ลานพระรูปทรงม้าเป็นการแสดงพระบรมเดชานุภาพให้เป็นที่ประจักษ์
เพราะในราชาธิปไตยนั้น จุดศูนย์กลางก็คือสถาบันกษัตริย์ ที่ครองสิทธิในการปกครองไพร่ฟ้าทั้งหลายโดยอ้างอำนาจที่เหนือโลก ราษฎรจะชอบหรือไม่นั้นเป็นสิ่งไม่จำเป็น กษัตริย์เป็นต้นกำเนิดของกฎหมาย เป็นจอมทัพ เป็นสิ่งเดียวกับความเป็นชาติหรือรัฐ ราษฎรที่ถูกปกครองเรียกว่าไพร่ มีความสัมพันธ์กันสองทาง คือ กษัตริย์เป็นผู้ให้ความเมตตาแก่ราษฎร ขณะที่ราษฎรก็ต้องตอบแทนด้วยความจงรักภักดี
ขณะที่ระบอบประชา ธิปไตย เกิดจากความคิดความเชื่อและวัฒนธรรมที่ยึดถือประชาชนเป็นจุดเริ่มต้น และเป็นเจ้าของอำนาจ กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตยนั้นปกครองได้โดยความเห็นชอบของประชาชน โดยผ่านทางรัฐธรรมนูญ ประชาชนมีภาระต่อสถาบันกษัตริย์โดยความเคารพ ซึ่งมิใช่ความจงรักภักดีในพระมหากรุณาธิคุณหรือพระบรมโพธิสมภาร แต่เป็นเรื่องหน้าที่ความรับผิดชอบที่ประชาชนได้มอบหมายให้กษัตริย์ ประชาชนอยู่ในลำดับที่สำคัญกว่าผู้ปกครอง และผู้ปกครองต้องผูกพันตนอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ สถาบันกษัตริย์ในหลายประเทศจึงต้องมีการปฏิญาณตน เช่น รัฐธรรมนูญเดนมาร์กมาตรา 8 ระบุว่า ผู้จะขึ้นดำรงตำแหน่งกษัตริย์ จะต้องปฏิญาณตนเป็นลายลักษณ์อักษร สองฉบับ ฉบับหนึ่งเก็บไว้ที่รัฐสภา และอีกฉบับหนึ่งเก็บไว้สำนักงานเก็บเอกสารสาธารณะ ที่ประชาชนมีสิทธิขอดูได้
เมื่อสถาบันกษัตริย์ผูกพันตนอยูภายใต้รัฐธรรมนูญ การสืบราชบัลลังก์ที่เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลภายใต้รัฐธรรมนูญ ซึ่งรัฐสภาสามารถแก้ไขได้ด้วยเสียงข้างมาก
การใช้อำนาจอธิปไตยเป็นเพียงการถวายพระเกียรติยศแต่มิใช่มอบอำนาจให้กษัตริย์บริหารประเทศ ฉะนั้นการกระทำทั้งปวงของกษัตริย์จึงต้องกำหนดให้มีผู้รับสนองพระบรมราชโองการทุกกรณี
ในประเทศประชา ธิปไตยทั้งหลายที่มีกษัตริย์ เป็นประมุขของรัฐ จะมีข้อกำหนดเพื่อจำกัดบทบาทส่วนพระองค์โดยรัฐธรรมนูญและสภาผู้แทนราษฎร เช่น รัฐธรรมนูญสวีเดนกำหนดว่า การปราศรัยในที่สาธารณะต้องปรึกษากับคณะรัฐมนตรี รัฐธรรมนูญเดนมาร์ก บัญญัติว่า หากกษัตริย์ไม่ปฏิบติหน้าที่ภายใน 6 เดือน ให้รัฐสภาประชุมกันเพื่อพิจารณาว่าจะให้สละราชย์หรือไม่
รัฐธรรมนูญในลักษณะที่เป็นประชาธิปไตยของไทยนั้น 3 ฉบับแรกหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง ก็มีการบัญญัติเป็นไปตามหลักการนี้ เช่น การสืบราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเฑียรบาลและได้รับความเห็นชอบจากสภาผู้แทนราษฎร ไม่มีองคมนตรี เพราะในระบอบประชาธิปไตย กษัตริย์มีที่ปรึกษาอยู่แล้วคือคณะรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง
แม้แต่รัฐธรรมนูญของประเทศกัมพูชาก็ยังมีบทบัญญัติจำกัดบทบาทของกษัตริย์ เช่น มาตรา 7 พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้ครองราชย์บัลลังก์ แต่ไม่ใช่ผู้ใช้อำนาจในการปกครองและ จะไม่บริหารประเทศ อีกทั้งได้บัญญัตการสืบราชสมบัติโดยให้สภาราชบัลลังก์เป็นผู้พิจารณาตาม
มาตรา 12 ในกรณีที่พระมหากษัตริย์ทรงเสด็จสวรรคต ให้ประธานวุฒิสภาทำหน้าที่รักษาการประมุขของประเทศในฐานะเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
มาตรา 13 ให้สภาราชบัลลังก์เลือกพระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรกัมพูชาพระองค์ใหม่ ภายในระยะเวลาเจ็ดวัน สภาราชบัลลังก์ ประกอบด้วยบุคคล ดังต่อไปนี้
- ประธานวุฒิสภา
- ประธานสภาแห่งชาติ
- นายกรัฐมนตรี
- ประมุขสงฆ์จากฝ่ายมหานิกายและฝ่ายธรรมยุติกนิกาย
- รองประธานวุฒิสภา คนที่หนึ่ง และคนที่สอง
- รองประธานสภาแห่งชาติ คนที่หนึ่ง และคนที่สอง
ในขณะที่รัดทำมะนวยของไทยบัญญัติให้การสืบราชสมบัติให้เป็นไปโดยนัยแห่งกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ 2467 ซึ่งเป็นกฎหมายสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของรัชกาล 6 การแก้ไขเพิ่มเติมกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ ยังให้เป็นอำนาจของกษัตริย์โดยเฉพาะ ทั้งๆที่ตำแหน่งกษัตริย์เป็นเรื่องของสาธารณะไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของใครคนใดคนหนึ่ง
รัฐธรรมนูญของประเทศกัมพูชาไม่มีองคมนตรี และได้แก้ปัญหาที่เคยมีจากบทบาทของกษัตริย์ในอดีตโดยเฉพาะเจ้านโรดมสีหนุที่ชอบแทรกแซงทางการเมืองเหมือนกษัตริย์ภูมิพลแต่เจ้าสีหนุก็ยังมีความชัดเจนและตรงไปตรงมามากกว่ากษัตริย์ของไทย
รัดทำมะนวยของข้า ใครอย่าแตะ
รัดทำมะนวย 2550 มาตรา 309 อ้างถึงรัดทำมะนวยฉบับชั่วคราว 2549 ซึ่งมีบทนิรโทษกรรมอยู่ในมาตรา 37 ที่บัญญัติว่าบรรดาการกระทำทั้งหลาย ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของหัวหน้าและคณะคปค.หรือ คมช....ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
รัดทำมะนวย 2550 เป็นฉบับที่ 18 มีมาตรา 309 เป็นมาตราสุดท้ายในหมวดเฉพาะกาล ที่บัญญัติว่า บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัดทำมะนวยชั่วคราว 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้
คือให้มีการคุ้มครองพวกโจรกบฏ 19 กันยายน และบรรดาลูกสมุนรวมถึงองค์กรและคณะบุคคลที่พวกมันตั้งกันขึ้นมาให้ได้รับการคุ้มครองต่อไปในอนาคตจนชั่วกัลปาวสานต์ โดยที่ไม่เคยมีรัดทำมะนวยฉบับใดกล้าใช้คำว่า ก่อนหรือหลังวันประกาศใช้ ดังเช่น มาตรา 309 นี้เลย
การคุ้มครองการกระทำของผู้ใช้อำนาจโดยพลการทั้งในปัจจุบันและอนาคตอย่างไม่รู้จักจบสิ้น และยังคุ้มครองรวมไปถึงพรรคพวกผู้เกี่ยวข้องของคณะรัฐประหาร ซึ่งมีอีกอย่างกว้างขวางและมากมาย เป็นเรื่องน่าสมเพชเอามากๆ มันแสดงถึงความไม่ชอบธรรมและเอาเปรียบอย่างไม่คำนึงถึงหลักนิติธรรมใดๆ เป็นข้อผูกมัดที่กดให้คนไทยต้องตกเป็นทาสหรือเสียเอกราชทางการศาลตลอดไป
กลุ่ม 40 สว.ที่แต่งตั้งโดยโจรกบฏคมช. ทำหน้าที่ขัดขวางประชาธิปไตย |
รัดทำมะนวย 2550เป็นรัดทำมะนวยที่เกิดมาจากการรัฐประหารตามความประสงค์ของกษัตริย์ เป็นมรดกบาปหรือผลไม้พิษที่เป็นผลพวงมาจากการก่อกรรมทำเข็ญให้กับชาติบ้านเมือง นำมาซึ่งความแตกแยกความไม่เป็นธรรม ประชาชนผู้รักชาติรักประชาธิปไตยจึงต้องลุกขึ้นต่อต้านและยกเลิกรัดทำมะนวยโจรฉบับนี้อย่างเต็มกำลัง
บทบาทของตุลาการศาลรัดทำมะนวย ที่ออกมารับคำร้องของ ส.ว.ลากตั้ง และสมาชิกพรรคฝ่ายค้าน โดยอ้างมาตรา 68 แห่งรัดทำมะนวย ทั้งๆที่เว็บไซด์ของศาลรัดทำมะนวยเอง ก็ระบุชัดเจนว่า ผู้มีอำนาจยื่นคำร้อง มีอยู่เพียงผู้เดียว คืออัยการสูงสุด พอมีคนทักท้วง ก็ต้องปิดเว็บหนี ที่น่าสมเพชคือนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัดทำมะนวยเจ้าของเว็บไซด์ ได้ลอยหน้าลอยตา ออกมาบอกว่าขอให้ไปดูรัฐธรรมนูญ ฉบับที่แปลเป็นภาษาอังกฤษ จะชัดเจน ทั้งๆที่ มาตรา 14 แห่งประมวลกฏหมายแพ่งและพานิชย์ อันเป็นกฎหมายพื้นฐาน บัญญัติว่า ...ในกรณีที่เอกสารทำขึ้นไว้หลายภาษา ไม่ว่าจะเป็น ฉบับเดียวหรือหลายฉบับก็ตาม โดยมีภาษาไทยด้วย ถ้าข้อความในหลายภาษานั้นแตกต่างกัน และมิอาจหยั่งทราบเจตนาของคู่กรณี ได้ว่า จะใช้ภาษาใดบังคับ ให้ถือตามภาษาไทย ...
พวกนักวิชาการเครือข่ายเจ้าพยายามโฆษณาอ้างการทำโพลสำรวจความเห็นด้วยคำถามชี้นำประชาชนว่าการแก้รัดทำมะนวยจะให้ประโยชน์แก่ใคร โดยชี้ไปที่นักการเมืองซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ไม่เคยถามถึงที่มาหรือความชอบธรรมของรัดทำมะนวย 2550 และไม่เคยตั้งคำถามว่าใครที่ได้รับประโยชน์จากรัดทำมะนวย 2550 และทำไมต้องออกมาคัดค้านการแก้ไขทั้งๆที่เป็นอำนาจหน้าที่ของสภาอยู่แล้ว
ที่พวกเผด็จการนิยมกษัตริย์ต้องออกมาปกป้องรัดทำมะนวย 2550 เพราะมันเป็นเป็นรัดทำมะนวยของกษัตริย์ที่ลบล้างความผิดให้พวกกบฏที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้า เป็นการทำผิดให้เป็นถูก ทำถูกให้เป็นผิด ทำดำให้เป็นขาว ทำขาวให้เป็นดำ ซึ่งเป็นหลักการสำคัญของกษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน ที่ถือเอาตนเองเป็นใหญ่ อยู่เหนือกฎหมาย เหนือความถูกต้องและความชอบธรรมใดๆทั้งปวง
อีกทั้งรัดทำมะนวย 2550 ยังเอื้อประโยชน์แก่บุคคลจำนวนหนึ่ง ที่ไม่มีจุดเชื่อมโยงกับประชาชนเลย อย่าง เช่น กกต. ปปช. รวมทั้งตุลาการศาลรัดทำมะนวยและส.ว.ลากตั้ง ที่พวกกบฏของกษัตริย์เป็นคนแต่งตั้ง
คนที่ออกมาขัดขวางคัดค้านการแก้รัดทำมะนวยก็เป็นพวกที่มีผลประโยชน์เกี่ยวพันกับรัดทำมะนวยโจรอย่างชัดเจน แต่กลับไปเที่ยวชี้หน้ากล่าวหาคนอื่นอย่างไม่รู้จักอายว่าเป็นการแก้เพื่อช่วยคุณทักษิณ ทั้งๆที่ประชาชนเป็นคนเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ สสร. ซึ่งย่อมมีที่มาที่เชื่อมโยงกับประชาชนมากขึ้น บรรดาองค์กรของพวกเผด็จการที่มีอยู่ในรัดทำมะนวย 2550 ก็คงจะได้รับผลกระทบมาก จึงเป็นเหตุให้ต้องขัดขวางการแก้รัดทำมะนวยทั้งฉบับ และอ้างการลงประชามติรับรองรัดทำมะนวย 2550 แบบมัดมือชกของคณะรัฐประหาร พวกที่ปกป้องรัดทำมะนวย 2550 ก็คือพวกที่เห็นด้วยกับการล้มล้างการปกครอง ไม่สนใจการเลือกตั้ง ดูถูกประชาชนส่วนใหญ่ว่าโง่ และซื้อได้ คิดว่าตนเองดีกว่าวิเศษกว่าประชาชนทั่วไป โดยไม่ยอมฟังเสียงของคนส่วนใหญ่
รัดทำมะนวย 2550 จึงเขียนขึ้นตามคำสั่งของเผด็จการระบอบกษัตริย์นิยมบนพื้นฐานของความหวาดระแวงนักการเมืองและไม่เชื่อมั่นประชาชน ไม่ไว้วางใจระบอบประชาธิปไตยด้วย เช่น เรื่องที่มาของ ส.ว. ว่าให้แค่คณะบุคคล 7 คน เป็น 7 ผู้วิเศษ สามารถใช้อำนาจแทนปวงชน แล้วตั้งสมาชิกวุฒิสภาถึง 160 คน แล้วก็เขียนบัญญัติให้ ส.ว.มีฐานะเป็นผู้แทนปวงชน และรัดทำมะนวยที่ร่างโดยเผด็จการ ก็เพื่อต้องการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรคการเมืองและเครือข่ายของระบอบเผด็จการของกษัตริย์เท่านั้นเอง
โครงสร้างของรัดทำมะนวย 2550 ทำให้ฝ่ายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมีอำนาจจำกัดอย่างมากโดยถูกควบคุมและคุกคามจากองค์กรตามรัดทำมะนวยต่างๆ ซึ่งล้วนแต่อยู่ในมือของพวกเผด็จการกษัตริย์ องค์กรเหล่านี้กุมอำนาจที่จะถอดถอนนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีได้ด้วยข้อกล่าวหาต่างๆสารพัดทั้งคดีเลือกตั้ง คดีพรรคการเมือง คดีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและคดีอาญาอื่นๆ แล้วแต่จะสรรหามาให้ จึงเหลืออยู่เพียงสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนอำนาจนิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน และเป็นอำนาจอันน้อยนิดที่มีอยู่ของฝ่ายประชาธิปไตย ขณะศาลรัดทำมะนวยที่เป็นเครือข่ายกษัตริย์มีอำนาจสูงสุดเหนืออำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติ ด้วยการตีความแบบยืดได้หดได้ ตัดสินไปก่อนตามแต่จุดประสงค์ทางการเมืองของพวกตน แล้วค่อยไปหาเหตุผลหาข้ออ้างเอาทีหลัง จึงเท่ากับว่าได้มีรัฐประหารโดยศาลรัดทำมะนวยไปแล้วโดยปริยาย โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
จนทำให้สภาบริหารสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศหรือสหภาพรัฐสภาโลกที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่เมือง ควีเบก ประเทศแคนาดา ก็ยังต้องมีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2555 ให้ศาลไทยทบทวนการถอดถอน สส. จตุพร พรหมพันธ์ และสั่งให้สหประชาชาติติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจากศาลรัดทำมะนวยของไทยได้มีวินิจฉัย เมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2555 ว่าเหตุที่นายจตุพรถูกควบคุมตัวในวันเลือกตั้ง และเป็นเหตุให้ไม่สามารถไปลงคะแนนเสียงได้ เป็นเงื่อนไขทำให้เขาขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกรัฐสภา ซึ่งเป็นเหตุผลที่ขัดแย้งกับพันธกรณีด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศของไทย
เพราะการไม่อนุญาตให้สมาชิกรัฐสภาได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากเรือนจำเพื่อใช้สิทธิในการเลือกตั้งเป็นข้อจำกัดอันไม่สมควร บุคคลที่ตกเป็นจำเลยในคดีอาญามีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ และไม่ถือว่าเป็นผู้ต้องโทษ ในขณะที่ยังไม่มีการพิสูจน์ว่าเขาได้กระทำความผิดใดๆ ในส่วนคำปราศรัยของเขา ซึ่งเป็นเพียงการใช้สิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออกของเขาอย่างชัดเจน สภาบริหารสหภาพรัฐสภาระหว่างประเทศจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้หน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่ของไทยกระทำทุกวิถีทางเพื่อทบทวนการตัดสมาชิกภาพของนายจตุพร และประกันว่าข้อบัญญัติทางกฎหมายที่เป็นอยู่สอดคล้องกับมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง และขอส่งตัวแทนเข้าร่วมสังเกตการณ์คดี ถ้าศาลไทยอาจมีคำสั่งให้ควบคุมตัวนายจตุพรอีกครั้งหนึ่ง โดยมีข้อเสนอแนะของผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่า การหมิ่นประมาทไม่ควรถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา และยืนยันว่าทางการไทยจะพิจารณาทบทวนกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งนี้องค์กรรัฐสภาระหว่างประเทศได้ร้องขอให้เลขาธิการส่งมอบมติฉบับนี้ให้กับหน่วยงานผู้มีอำนาจหน้าที่และให้คณะกรรมการตรวจสอบกรณีนี้ต่อไป พร้อมทั้งให้รายงานกลับมาในเวลาอันเหมาะสม
ผลผลิตของรัดทำมะนวย 2550 มันได้แบ่งหน้าที่กันทำ ดูเหมือนว่าทุกองค์กรเป็นอิสระ
ต่างคนต่างเดิน แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง
รัดทำมะนวย 2550 มีกำเนิดมาจากรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในเงื่อนไขที่ฝ่ายเผด็จการกุมอำนาจได้อย่างเด็ดขาด จึงมีลักษณะเผด็จการแฝงเร้นที่เลวร้ายที่สุดฉบับหนึ่งเท่าที่เคยมีมาคือ โครงสร้างที่ให้พวกเผด็จการแฝงเร้นใช้อำนาจตุลาการ ผ่านสมาชิกวุฒิสภาประเภทลากตั้ง องค์กรตามรัดทำมะนวย และองค์กรศาล มาควบคุมและกำหนดความเป็นความตายของนักการเมืองในสภาผู้แทนราษฎรและคณะรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เมื่อฝ่ายประชาชนและพรรคการเมืองฝ่ายประชา ธิปไตยดำเนินการต่อสู้ขับเคี่ยวกับเผด็จการ ได้เติบใหญ่เข้มแข็งขึ้น ผ่านการสังหารหมู่เมื่อเดือนเมษา-พฤษภา 2553 และชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ดุลกำลังทางการเมืองก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ฝ่ายเผด็จการกษัตริย์แฝงเร้นประสบความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ที่สำคัญ และจำต้องยอมประนีประนอมชั่วคราวเพื่อรอคอยโอกาส ขณะที่ฝ่ายประชา ธิปไตยก็ต้องเคลื่อนไหวเสนอประเด็นปฏิรูปรัฐธรรมนูญที่แหลมคม โดยมุ่งเน้นไปที่เครือข่ายราชาธิปไตยคือ กองทัพ สว.ลากตั้ง องค์กรตามรัดทำมะนวย และองค์กรศาล ต้องรื้อฟื้นดุลอำนาจให้กลับคืนมาโดยให้ ส.ว. ทั้งหมดมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ปฏิรูปศาลและองค์กรตามรัดทำมะนวย เช่น ศาลรัดทำมะนวย คณะกรรมการการเลือกตั้ง คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ และศาลปกครอง เป็นต้น เพื่อมิให้อำนาจตุลาการครอบงำเหนืออำนาจบริหารและอำนาจนิติบัญญัติอีกต่อไป กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จึงเป็นโอกาสสำคัญยิ่ง สำหรับฝ่ายประชาชนที่จะศึกษา อภิปราย ยกระดับความรับรู้ และต่อสู้ทางความคิดเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างรัฐธรรมนูญกับประชาธิปไตย ช่วงชิงให้ได้รัฐธรรมนูญที่ลดทอนอำนาจบทบาทของเครือข่ายราชาธิปไตยที่ เป็นมือเท้าของเผด็จการกษัตริย์ลงระดับหนึ่ง ตระเตรียมพร้อมรับกับศึกใหญ่ เพื่อบรรลุประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยอยู่ในมือของปวงชนชาวไทยอย่างแท้จริง
สาเหตุหรือต้นตอ
ของปัญหาการเมืองไทยอยู่ที่ไหน
วันที่ 19 กันยายน 2549 คณะกบฏที่เรียกตนเองว่า คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมี พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข ( คปค. ) ได้ใช้กำลังทหาร พร้อมอาวุธที่ใช้ในการสงคราม เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของปวงชนชาวไทย แล้วใช้อำนาจของคณะรัฐประหารโดยการสนับสนุนรับรองของกษัตริย์ทำการปกครองประเทศเสียเอง ใช้ระบอบเผด็จการทหารแบบเปิดเผย
และพวกกบฏได้แต่งตั้งสมุนของพวกตนเขียนรัดทำมะนวย 2550 ขึ้นมาใช้บังคับ จึงถือได้ว่ารัดทำมะนวย 2550 เป็น รัดทำมะนวยโจร แต่ประชาชนก็ยังต้องจงรักภักดีและละเว้นห้ามพาดพิงถึงกษัตริย์ที่สนับสนุนและรับรองพวกโจรอย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็จะต้องติดคุก 18 ปีอย่างดาตอปิโด
แม้พวกเขาเหล่านั้นรู้ดีว่า การร่วมกันกระทำการดังกล่าว เป็นความผิดฐานเป็นกบฏ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 แต่เนื่องจากพวกกบฎมีกษัตริย์ภูมิพลเป็นหัวหน้าใหญ่ที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง แม้จะทำผิดคิดชั่วอย่างไร ก็ต้องคล้อยตาม เพราะในระบอบกษัตริย์ของไทยเป็นระบอบเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดิน คือกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและความถูกต้องชอบธรรมทั้งมวล
แม้เมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว รัฐสภาก็ยังไม่กล้ายกเลิกรัดทำมะนวยของโจรเพราะทุกฝ่ายรู้กันดีว่ามันเป็นรัดทำมะนวยของกษัตริย์ ซึ่งสนับสนุนการล้มล้างรัฐธรรมนูญมาหลายครั้งหลายหนเพื่อเพิ่มอำนาจให้กับตนเอง จนทำให้การรัฐประหารกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำรัชกาลไปแล้ว ดังนั้นฝ่ายประชาธิปไตยบนดินจึงต้องหลบเลี่ยงไปโทษกองทัพ ไปโทษตุลาการและเลี่ยงไปใช้คำว่าอำมาตยาธิปไตย ทั้งๆที่อำมาตยาธิปไตยก็คือเครือข่ายของกษัตริย์นั่นเอง ที่ต้องทำตามโองการหรือพระราชประสงค์โดยผ่านองคมนตรีและคนใกล้ชิดของกษัตริย์ จะปฏิเสธไม่ยอมทำก็ไม่ได้ เพราะอาจโดนคดี ถูกหาเรื่องให้ต้องติดคุกเอาง่ายๆ
ไม่มีใครกล้าขัดขวางความต้องการของกษัตริย์แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมายหรือไม่ถูกต้องชอบธรรมเพียงใด เพราะรู้กันดีว่าทั้งนายทหาร ศาลแม้แต่คณะรัฐมนตรีต้องถวายสัตย์สาบานต่อกษัตริย์ โดยเฉพาะทหารรักษาพระองค์นั้นถือว่ามีหน้าที่ปกป้องกษัตริย์อย่างเดียว โดยไม่ต้องสนใจความถูกต้องชอบธรรมใดๆ และมีบทบาทในการยึดอำนาจมาโดยตลอด
โดยทหารรักษาพระองค์ต้องเข้าพิธีถวายสัตย์ปฎิญานว่า จะยอมตายเพื่อรักษาไว้ ซึ่งพระบรมเดชานุภาพแห่งพระมหากษัตริย์เจ้า จะจงรักภักดี และถวายความปลอดภัยต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทจนชีวิตหาไม่ ...ทั้งจักปฏิบัติตนให้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัย ของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาททุกประการ ...เป็นสาบานต่อกษัตริย์ว่าจะให้ความจงรักภักดี ยอมตายเพื่อรักษาพระบรมเดชานุภาพและรักษาความปลอดภัยให้กษัตริย์อย่างเต็มที่โดยไม่มีเงื่อนไข กลายเป็นกองกำลังส่วนตัวของกษัตริย์โดยไม่มีการพูดถึงประชาชนหรือการปกป้องระบอบประชาธิปไตยแม้แต่น้อย จึงเป็นการประกาศชัดว่าทหารรักษาพระองค์ที่มีมากกว่าสามหมื่นนาย เฉพาะจากกองทัพบก ก็มี 3 กองพล 14 กรม 42 กองพัน รวม 59 หน่วย ประจำการอยู่รายรอบกรุงเทพนั้น พร้อมจะทำทุกอย่างตามที่กษัตริย์ต้องการ ไม่ว่าจะให้ทำการรัฐประหารล้มล้างการปกครองหรือแม้แต่เข้าสังหารเข่นฆ่าประชาชนผู้เรียกร้องประชาธิปไตย ที่เรียกกันว่ากระสุนพระราชทาน ที่ประนามกันว่าเหี้ยสั่งฆ่าห่าสั่งยิง หรือคุณลุงสั่งฆ่าคุณป้าสั่งยิง
อำนาจของทหารโจรหรือทหารรักษาพระองค์จึงขึ้นตรงต่อกษัตริย์แต่ผู้เดียวเหมือนในระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยไม่เกี่ยวโยงกับประชาชน ทั้งๆที่ทหารรักษาพระองค์และกษัตริย์ต่างก็ใช้เงินภาษีของประชาชน แต่กลับกลายเป็นกองกำลังส่วนพระองค์ที่ไม่เคยมีสำนึกต่อประชาชนและพร้อมจะปล้นอำนาจของปวงชนและปราบปรามประชาชนได้ตลอดเวลา
ทหารผู้กระทำความผิดฐานเป็นกบฏ แต่ไม่เคยมีความผิดไม่เคยต้องรับโทษ แต่กลับได้ดิบได้ดีกันถ้วนหน้า ได้เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง ก็เพราะเป็นเครื่องมือรับใช้กษัตริย์ที่เป็นผู้อยู่เหนือกฎหมายที่สามารถบันดาลให้พวกกบฏกลายเป็นคนที่เสียสละที่กล้าหาญในการกู้ชาติบ้านเมืองและรักษาราชบัลลังก์ ขณะที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรปล้นแผ่นดิน คนที่เรียกร้องประชาธิปไตยกลับกลายเป็นโจรผู้ร้าย ต้องมีคดี ต้องติดคุก หรืออยู่ในประเทศไทยไม่ได้
ลองคิดดูว่า ถ้าประเทศไทยมีกษัตริย์ที่อยู่ใต้กฎหมายเหมือนอารยประเทศทั้งหลาย แล้วจะมีทหารที่ไหนที่ยังจะกล้าทำรัฐประหารปล้นอำนาจของปวงชนอยู่อีก ในทางตรงกันข้าม ในเมื่อประเทศไทยมีกษัตริย์ที่ต้องการผูกขาดอำนาจสูงสุดไว้คนเดียว และคอยสั่งทหารให้ล้มรัฐบาลที่ประชาชนนิยมชมชอบ แล้วจะมีทหารคนไหนกล้าที่จะต่อต้านพวกทหารโจรกบฏที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าใหญ่
เพราะกษัตริย์ไทยผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียวโดยห้ามไม่มีมีการตรวจสอบหรือถ่วงดุลย์ใดๆ เพียงแต่อาศัยระบบรัฐสภาเป็นเปลือกหุ้มเป็นครั้งคราวเพื่อหลอกลวงประชาชนและประชาคมโลก แต่อำนาจทางการทหารและศาลก็ยังอยู่ในความควบคุมของระบอบกษัตริย์ตลอดมา นับตั้งแต่หลังการทำรัฐประหารที่นำโดยพลโทผิน ชุณหะวัณในวันที่ 8 พฤษจิกายน 2490 ที่เริ่มให้มีองคมนตรี จากนั้นยังได้มีการทำรัฐประหารอีกหลายครั้ง เพื่อหาเรื่องเขียนรัดทำมะนวยขึ้นใหม่เพื่อเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์มากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่รัฐธรรมนูญ 2540 ที่มาจากสภาร่างรัฐธรรมนูญที่เลือกมาจากประชาชน ก็ยังคงต้องใช้กรอบที่ให้กษัตริย์เป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดโดยเฉพาะการเป็นจอมทัพที่มีอำนาจที่แท้จริงในการแต่งตั้งนายทหารรวมไปถึงตุลาการและข้าราชการระดับสูง และยังเสริมด้วยอำนาจของตุลาการเครือข่ายเจ้าในรูปขององค์ตามรัดทำมะนวยหลากหลายรูปแบบ เพื่อกำกับและควบคุมอำนาจของปวงชนอีกชั้นหนึ่ง
แต่ระบอบกษัตริย์ของไทยก็ไม่สามารถเอาชนะการเลือกตั้งต่อพตท. ทักษิณ และเครือข่ายของคุณทักษิณที่สืบต่อกันมา แม้จะได้ร่างรัดทำมะนวย 2550 เพื่อเอาเปรียบทางการเมืองทุกวิถีทาง แต่ก็ยังไม่มีทางเอาชนะในการเลือกตั้งได้
การเรียกร้องให้มีการแก้รัดทำนวยโดยไม่แตะต้องหมวดกษัตริย์ จึงเป็นเรื่องของการเรียกร้องต่อสู้ในกรอบเดิมๆ ที่ยังมีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมาย และเป็นผู้ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดเหมือนเดิม
จึงป่วยการที่ไปอ้างบทบัญญัติหรือกฎหมายใดๆ ในเมื่อประชาชนไทยยังคิดว่าตนเองเป็นแค่ไพร่ เป็นฝุ่นละอองที่ไม่สามารถพึ่งตนเอง และไม่เคยคิดที่จะสู้เพื่อเสรีภาพและความเสมอภาคที่แท้จริง หรือสู้แบบมีข้อยกเว้นที่จำกัดกรอบ ไม่ไปปรับเปลี่ยนสถานภาพและบทบาทหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของปัญหา ทำให้ไม่มีทางแก้ปัญหาที่ตันเหตุได้ ไปๆมาๆ ก็มาตันอยู่แค่กองทัพ ตุลาการ องคมนตรี สื่อหรือนักวิชาการ ที่เป็นแค่กิ่งก้านของระบอบเผด็จการดักดานที่มีกษัตริย์เป็นแกนกลาง
การยึดอำนาจ หรือ ความไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรมใดๆ จึงเป็นเรื่องที่ต้องยินยอมกันต่อไปเพื่อรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ ไม่ว่าประเทศชาติและประชาชนจะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญเท่าความประสงค์ของกษัตริย์ เพราะความไม่จงรักภักดี ถือเป็นอาชญากรรมเดียวที่จะต้องโดนลงโทษอย่างหนัก ไม่มีการผ่อนปรนอย่างเด็ดขาด สถาบันกษัตริย์ได้กลายเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดเหนือกว่าสถาบันอื่นๆทั้งหมด และกลายเป็นต้นตอสำคัญของเผด็จการและความชั่วร้ายที่สืบต่อกันมานาน
แม้ว่ารัดทำมะนวยจะไม่ยอมรับการรัฐประหาร แต่ตราบใดที่ยังให้กษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจโดยไม่มีการตรวจสอบ โดยมีกองทัพเป็นกองกำลังส่วนพระองค์ และศาลก็เป็นแค่บริวารของกษัตริย์ ตราบนั้นทั้งทหารและศาลก็ยังคงทำหน้าที่เป็นเสาค้ำระบอบเผด็จการกษัตริย์ต่อไป และคนพวกนี้ก็คงกล้าทำผิดทำชั่วโดยไม่ลังเลเพราะกษัตริย์สำคัญกว่าทุกสิ่ง และคนที่แวดล้อมกษัตริย์ก็ได้รับการยกเว้นความผิดและได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่คุ้มค่าเสมอ
การแก้รัดทำนวยหรือแก้ปัญหาของชาติจึงต้องแก้ที่ต้นตอสำคัญ คือ ทำให้สถาบันกษัตริย์อยู่ใต้กฎหมาย ไม่ใช่อยู่เหนือกฎหมาย และกลายเป็นเสาหลักของระบอบเผด็จการดักดานมาโดยตลอด
ในเมื่อประชาชนยังยอมรับกษัตริย์ซึ่งเป็นหัวหน้าโจรกบฏ ก็จำต้องยอมรับพวกลูกน้องโจรทุกคนโดยปริยาย จึงป่วยการที่ต่อสู้โดยละเว้นข้อเท็จจริงที่สำคัญนี้ เพราะเท่ากับว่าไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ การรัฐประหารไม่ใช่เกิดจากกองทัพ แต่เป็นเพราะการสั่งการและสนับสนุนของกษัตริย์ เพื่อล้มล้างศัตรูของกษัตริย์ซึ่งก็คือนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนนิยมชมชอบ และเพื่อเพิ่มอำนาจของกษัตริย์ให้มีมากขึ้น ส่วนพวกทหารที่ยึดอำนาจ ก็ได้รางวัลในรูปของงบราชการลับ งบซื้ออาวุธ และงบพัฒนาของกษัตริย์ และได้รับการเลื่อนชั้นยศขึ้นเป็นผู้กุมอำนาจ ภรรยาก็ได้เป็นคุณหญิง พอเกษียณก็มีสิทธิ์ได้เป็นองคมนตรี
ดังนั้นแม้ว่ารัดทำมะนวย 2550 จะเป็นแค่ผลผลิตของพวกกบฏ แต่ก็เป็นกบฏพระราชทาน หรือกบฏในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงดูจะมีความมั่นคงเพราะมีกษัตริย์คอยปกป้องคุ้มครอง ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ถูกล้มล้างแบบง่ายๆ เพียงเพื่อสนองความต้องการของกษัตริย์
ในเมื่อรัดทำมะนวย2550 เป็นแค่ข้อบังคับของพวกโจรที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้าใหญ่ รัฐบาลที่เป็นตัวแทนของปวงชนก็ควรใช้ อำนาจอธิปไตยจากเสียงข้างมาก ยกเลิกรัดทำมะนวยของโจรที่มีกษัตริย์เป็นหัวหน้า และร่างรัฐธรรมนูญเพื่อทวงคืนอำนาจของปวงชนที่ถูกกษัตริย์ยักยอกเอาไปใช้ส่วนตัวมาเป็นเวลายาวนาน มิเช่นนั้นก็จะหลงกับปัญหาที่แก้ไม่ตก โดยเฉพาะการไปยอมรับตั้งแต่ต้นว่าจะไม่แก้ไขรัดทำมะนวยในหมวดกษัตริย์ ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหา เป็นกล่องดวงใจของระบอบเผด็จการไทยที่ไม่มีผู้ใดกล้าแตะต้อง
ต้นตอของสองมาตรฐาน
มาตรฐานของการเมืองไทย ก็คือ มาตรฐานที่ใช้เล่นงานพรรคการเมืองฝ่ายประชา ธิปไตย กับ มาตรฐานที่ใช้กับกษัตริย์และสมุนบริวารของระบอบนิยมกษัตริย์ คนทั่วไปต้องไม่วิจารณ์กษัตริย์โดยเด็ดขาด นักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยต้องถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากสารพัดองค์กรที่เป็นเครือข่ายของกษัตริย์ ซึ่งจ้องเล่นงานตลอด ไม่ว่าทำผิดหรือทำถูกอย่างไรแค่ไหนเพียงใดก็จะต้องถูกหาเรื่องให้มีความผิดจนได้ การกล่าวหาโจมตีหรือบ่อนทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพที่กระทำได้โดยเฉพาะรัฐบาลที่คนส่วนใหญ่นิยมชมชอบ แต่ในส่วนของกษัตริย์นั้น ห้ามตรวจสอบหรือวิจารณ์โดยเด็ดขาด ประชาชนทุกคนมีหน้าที่สรรเสริญเคารพสักการะจงรักภักดีอย่างซาบซึ้งเป็นที่สุดเท่านั้น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่เหลวไหลไร้สาระหรือล้างผลาญงบประมาณและไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่สาธารณชนเพียงใดก็ตาม
สำหรับเครือข่ายและสมุนบริวารของระบอบกษัตริย์ก็จะได้รับการสนับสนุนและคุ้มครองตลอดไป ไม่ว่าจะทำการเลวร้ายชั่วช้าตำตาเพียงใดก็ตาม เช่น ยึดทำเนียบรัฐบาลเอาไปทำนา ยึดสนามบินนานาชาติ ขับรถชนเจ้าหน้าที่ ใช้ปืนติดลำกล้องสังหารประชาชนแม้แต่ในวัดที่ติดกับวังของพระเทพก็ไม่มีการละเว้น พวกฆาตรกรในเครื่องแบบที่เป็นทหารรักษาพระองค์และทหารเสือราชินี ก็ได้รับรางวัลก้อนโตและได้เลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะได้ทำตามคำสั่งของกษัตริย์อย่างเต็มที่โดยไม่มีเงื่อนไข
ถ้าจะสร้างประชา ธิปไตย หรือความเป็นธรรมที่แท้จริง ก็จะต้องยกเลิกความไม่เท่าเทียมหรือการเลือกปฏิบัติ ระหว่างประชาชนทั่วไปกับกษัตริย์และเครือข่ายของกษัตริย์
ถ้าละเว้นกษัตริย์ผู้เป็นเสาหลักของความไม่เป็นธรรม ก็เท่ากับยอมรับความไม่เป็นธรรมตั้งแต่เริ่มต้น และคงต้องวนๆเวียนๆอยู่ในวังวนของปัญหาโดยไม่มีทางออก เหมือนคนเป็นไส้ติ่งอักเสบ แต่ไม่กล้าผ่าตัดเอาออก ก็ต้องทนเจ็บปวดทรมานต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด การกินยาแก้ปวดท้อง หรือเอายาหม่องไปทาก็เหมือนกับการไปโทษทหาร ไปโทษศาล ไปโทษนักกฎหมาย โทษนักการเมือง หรือสื่อมวลชน รวมทั้งการไม่กล้าแก้รัดทำมะนวยในหมวดกษัตริย์ เพราะกลัวว่าทหารจะไม่พอใจ ทหารก็เห็นว่ายังมีประชาชนจำนวนมากยังจงรักภักดีเป็นพวกคลั่งเจ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา ขนาดพากันใส่เสื้อเหลืองมารับเสด็จเต็มลานพระรูปทรงม้าทั้งๆที่เสื้อเหลืองคือขบวนการล้มล้างการปกครองที่ได้ขับไล่นายกที่ดีที่สุดออกไปจากประเทศ
ประชาชนไทยจึงเหมือนพวกหลงผิดเป็นชอบ หรือเป็นพวกมิจฉาทิฐิ ที่มองไม่เห็นว่าอะไรคือต้นเหตุของทุกข์ ไม่ตระหนักถึงหลักคำสอนของพุทธศาสนาที่ว่าสิ่งทั้งหลายเกิดแต่เหตุ การแก้ปัญหาก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ปัญหาทางการเมืองหรือความสงบเรียบร้อยในสังคมไทย มีสาเหตุมาจากความไม่เป็นธรรมหรือสองมาตรฐานจากการเลือกปฏิบัติ ระหว่างฝ่ายประชาชนที่มีตัวแทนเฉพาะหน้าคือคุณทักษิณและนายกยิ่งลักษณ์ กับฝ่ายนิยมเผด็จการโบราณที่มีกษัตริย์ภูมิพลเป็นแม่ทัพใหญ่ที่ล้มล้างบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยและตั้งตนอยู่เหนือความถูกต้องชอบธรรม
ถ้าตราบใดที่กษัตริย์ยังอยู่เหนือกฎหมาย พวกสมุนและบริวารของกษัตริย์ก็จะยังคงอยู่เหนือกฎหมายและคอยสกัดขัดขวางบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยต่อไปไม่มีวันสิ้นสุด ฝ่ายประชาธิปไตยและคนเสื้อแดงก็คงต้องถูกกระทำย่ำยี ติดคุกติดตะราง ถูกปลดถูกถอนออกจากตำแหน่ง ขณะที่พวกเครือข่ายนิยมระบอบกษัตริย์ ก็ยังคงลอยนวล สร้างความปั่นป่วนต่อไป ฝ่ายประชา ธิปไตยที่ร่วมกันออกมาชุมนุมต่อต้านเผด็จการและความไม่เป็นธรรมที่จงใจละเว้นการกล่าวถึงหน้าที่และบทบาทสถาบันกษัตริย์หรือกระทั่งประกาศตนว่าเป็นผู้จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ที่เป็นเผด็จการล้าหลังก็เท่ากับการพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นการร่วมกันลวงโลก และคงไม่มีเสรีชนในประเทศใดที่เข้าใจและเห็นด้วยกับขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยแบบผิวเผินของไทย ที่มีแต่ความหวังว่าทุกอย่างคงจะดีขึ้น แต่คงต้องรอให้กษัตริย์องค์นี้สวรรคตไปก่อน เพราะประชาชนจำนวนมากยังหลงงมงายและบ้าคลั่งกับการโฆษณาสร้างภาพ เหมือนคนที่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว บางคนก็หลงคิดไปว่าถ้ากษัตริย์สิ้นพระชนม์ไปแล้วและลูกชายได้นั่งบัลลังก์ก็คงจะดีขึ้น เพราะประชาชนไม่ค่อยศรัทธากษัตริย์องค์ใหม่ แต่เป็นเรื่องที่ฝ่ายเจ้าก็ตระหนักดี กษัตริย์องค์นี้จึงต้องพยายามยืดอายุขัยของตนที่ชรามากแล้วให้นานที่สุดและไม่ยอมลงจากบัลลังก์ง่ายๆ โดยอาศัยโรงพยาบาลที่ดีที่สุดและทีมแพทย์ที่เก่งที่สุดเฝ้าดูแลตนตลอด 24 ชั่วโมง เพราะกษัตริย์องค์นี้ คือ กล่องดวงใจของระบอบราชาธิปไตย ที่จะต้องดำรงอยู่ต่อไปให้ยาวนานที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แม้ว่าทายาทของเขาจะมีอายุถึง 60 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้ครองบัลลังก์ เพราะกษัตริย์ไม่เคยไว้วางใจว่าจะมีใครกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้ดีกว่าตน หรืออย่างน้อยตนจะต้องขุดรากถอนโคนอริราชศัตรูหรือเสี้ยนหนามตัวสำคัญให้สูญสิ้นไปเสียก่อน ซึ่งก็คือพตท.ทักษิณและสมัครพรรคพวกรวมไปถึงนายกยิ่งลักษณ์ ซึ่งก็คงยากลำบากไม่น้อย เพราะยิ่งไล่ล่ามากเท่าไหร พรรคเพื่อไทยและคนเสื้อแดงก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น แต่ฝ่ายนิยมกษัตริย์กลับเสื่อมทรามลงไปทุกที
วิธีทำให้เกิดความปรองดองในชาติไทย อาจต้องตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมให้แก่ พวกทหารที่ร่วมกันเป็นกบฏ ยึดอำนาจการปกครองประเทศโดยมิชอบ เพราะคนพวกนี้ล้วนทำตามคำสั่งและความเห็นชอบของกษัตริย์ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ พร้อมทั้งให้งดเว้นการนำมาบังคับใช้ คือยกเลิกรัดทำมะนวย 2550 โดยไม่ต้องนำมาแก้ไขทีละมาตรา แล้วนำพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองชั่วคราว 2475 มาปรับใช้ โดยให้สภาผู้แทนมีอำนาจพิจารณาความผิดของกษัตริย์ ยกเลิกองคมนตรี รวมทั้งการผูกขาดใช้อำนาจอธิปไตยโดยกษัตริย์ ให้กษัตริย์มีหน้าที่รับผิดชอบในการพิทักษ์รักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถ้ากษัตริย์กระทำผิดต่อประชาชน ก็จะต้องถูกสอบสวนพิจารณาโดยไม่มีการละเว้น
ดังนั้นเมื่อมีสภาที่มาจากการเลือกตั้งของปวงชน ก็ควรทวงคืนอำนาจอธิปไตยจากกษัตริย์ เอาคืนกลับมาสู่สภาที่เป็นตัวแทนของปวงชน เพราะกษัตริย์มีพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมาโดยตลอด ต้องประกาศคว่ำระบอบโจร ปฏิเสธกฏโจร และไล่พวกตกค้างจากอำนาจโจรที่มีกษัตริย์เป็นหัวโจกนำขบวน
ขบวนการประชาธิปไตยจะต้องกล้าเปิดเวทีให้มีการถกเถียงแสดงความเห็นถึงบทบาทพฤติกรรมและภาระหน้าที่ของสถาบันกษัตริย์ที่พึงมีต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย จะหลับหูหลับตาเคารพสักการะผู้ที่มีพฤติกรรมสนับสนุนและรับรองการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกต่อไปไม่ได้โดยเด็ดขาด มันจะกลายเป็นปากว่าตาขยิบ หรือไม่มีความจริงใจและความกล้าหาญในการแก้ปัญหาของประเทศชาติ
ในเมื่อกษัตริย์ไม่คัดค้านการปล้นอำนาจและยังลงนามรับรองก็เท่ากับกษัตริย์สนับสนุนการปล้นอำนาจของปวงชนเพื่อรักษาระบอบราชาธิปไตยหรือโดยอาศัยโจราธิปไตย ประชาชนผู้รักประชาธิปไตยจะต้องไม่ยอมรับรัดทำมะนวยของโจร ศาลของโจร และกษัตริย์ที่ประพฤติตัวเป็นหัวหน้าโจรอีกต่อไป
กษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ถ้ากษัตริย์ถือว่าอำนาจเป็นของตนเองโดยไม่รักษาหลักการในระบอบประชาธิปไตย ก็ไม่สมควรที่จะเป็นกษัตริย์อีกต่อไปและต้องถือว่าได้ทรยศต่อประเทศชาติและประชาชนซึ่งมีบุญคุณต่อตนและราชวงศ์ทุกคน เพราะแทนที่จะพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคแก่ประชาชนแต่กลับไปสนับสนุนรับรองการเป็นกบฏล้มล้างการปกครองเสียเอง เรื่องนี้ไม่ใช่การหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เพราะในระบอบประชาธิปไตยนั้นถือว่ากษัตริย์เป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบสูงกว่าประชาชนทั่วไป เพราะรัฐต้องสิ้นเปลืองงบประมาณเลี้ยงกษัตริย์และราชวงศ์ทั้งโดยตรงและโดยอ้อมเป็นเงินปีละนับหมื่นล้านบาท ถ้ากษัตริย์ไม่ทำหน้าที่รักษาระบอบประชาธิปไตยแล้วจะมีกษัตริย์เอาไว้ทำไม
……
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น