วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รู้ทันเจ้าของคอกม้า ตอน เลือกให้ถูกข้าง อย่าขวางกระแสโลก C2 SO 02


ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบที่ : http://www.4shared.com/mp3/nHuRiYI0/See_Through_Stable_Owner_02.html 

หรือที่ : http://www.mediafire.com/?qczq2ft3v53i8nn



เผด็จการไทยใกล้หมดตาเดิน

 
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ากุมอำนาจบริหารมาได้ปีเศษ นับว่า เกินกว่าความคาดหมายของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และพวกเสื้อเหลืองพันธมิตรที่เคยเชื่อว่า รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน เนื่องจากความเข้มแข็งของกลไกเผด็จการในรัฐธรรมนูญ 2550 และการขาดประสบการณ์ของนายกยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่จะทำให้รัฐบาลบริหารงานผิดพลาด จนเป็นเงื่อนไขให้ถูกโค่นล้มลงโดยง่ายดาย ดังเช่น รัฐบาลพรรคพลังประชาชน
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ยืนหยัดมาได้ ภายหลังผ่านพ้นวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ปลายปี 2554 ก็สามารถสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นคือ สามารถสร้างผลงานทางการบริหารตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการวางตัวของนายกยิ่งลักษณ์ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียว ไม่เล่นการเมืองรายวัน จนถูกขนานนามว่าดีแต่ทำงาน ไม่ใช่พวกดีแต่พูด ที่เล่นสำบัดสำนวนเอาแต่ตีกินทางการเมืองไปวัน ๆ แต่ทำงานไม่เป็น อันเป็นแบบฉบับของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์
จนถึงปัจจุบัน นายกยิ่งลักษณ์ ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคะแนนนิยมสูงสุดเท่าที่เคยมีมานับแต่รัฐประหาร
19 กันยายน 2549

ฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นของไทยยังคงประกอบไปด้วยระบอบกษัตริย์ที่เป็นผู้บงการใหญ่พร้อมทั้งผู้ร่วมวางแผนกลุ่มเดิม ผู้รับคำสั่งปฏิบัติการและกลไกแขนขาที่ครบถ้วนเหมือนเดิม ประกอบด้วยสี่ขาหยั่ง ได้แก่ ตุลาการและบรรดาองค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญ กองทัพ พรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คนพวกนี้ยังคงติดกับอยู่ในโลกทัศน์ วิธีคิดและประสบการณ์เดิม ๆ ยุทธวิธีของพวกเขาจึงยังคงซ้ำซากเหมือนกับที่เคยใช้มาแล้วในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือ สร้างกระแสต่อต้านรัฐบาล ใช้ข้ออ้างสามประเด็นหลักคือ ทุจริตคอรัปชั่น แก้รัดทำมะนวย และหมิ่นกษัตริย์ ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองรับจ้างออกมาเคลื่อนไหว ใช้ความรุนแรงก่อจลาจลบนท้องถนน ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ที่คอยก่อกวนอยู่ในสภา ให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และกำลังถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก จากนั้นก็ใช้กลไกตุลาการในรัดทำมะนวยเข้ามาทำลายรัฐมนตรีรายบุคคลไปจนถึงตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะ ตามด้วยเครื่องมือสุดท้ายคือ ใช้กองทัพเข้าแทรกแซงโดยตรงด้วยการรัฐประหารทั้งอย่างเปิดเผยหรือซ่อนรูป

แต่ทว่า ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ทำให้การเดินหมากของฝ่ายเผด็จการไทยเข้าตาจน หมดตาเดิน เพราะก่อนการเลือกตั้ง พวกเขายังเพ้อฝันไปว่า พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศประสบความสำเร็จ และซื้อใจประชาชน จนสามารถชนะเลือกตั้งได้ หรืออย่างน้อยก็ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ได้คะแนนเสียงเด็ดขาดเกินครึ่งหนึ่งของสภา นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ห้าในระบอบการเมืองแบบเลือกตั้งของพวกเขา และในเฉพาะหน้านี้ ก็เป็นการปิดประตูตายในเวทีรัฐสภาของฝ่ายเผด็จการ การที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเกินครึ่งในสภา ย่อมหมายความว่า การทำรัฐประหารด้วยตุลาการ ที่สำเร็จมาแล้วกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชน คือ ใช้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ถอดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะ แล้วใช้กองทัพเข้าข่มขู่พร้อมยื่นผลประโยชน์เข้าล่อ ให้พรรคแตกแยก เกิดเป็นงูเห่า มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้จำนวนเสียงในสภาเกินครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาล สำเร็จอีกนั้น ทั้งหมดนี้ทำได้ยากเสียแล้ว เพราะถึงยุบพรรคเพื่อไทยและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้ แต่ถ้าดุลคะแนนเสียงในสภายังคงเดิมหรือเปลี่ยนไปไม่มากพอ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลงูเห่า ได้อยู่ดี และรัฐบาลใหม่ก็จะยังคงเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
นัยหนึ่งการที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 มีเสียงเกินครึ่งในสภา ทำให้การเปลี่ยนมืออำนาจบริหารให้กลับมาเป็นของฝ่ายเผด็จการอีกครั้งภายในกรอบรัฐสภานี้ทำได้ยากยิ่ง เพราะถึงอย่างไร ตุลาการและ องค์กรอิสระตามรัดทำมะนวยก็ไม่สามารถเปลี่ยนดุลคะแนนเสียงในสภาได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยด้วยวิธีการที่ไม่ใช่การเลือกตั้งและจำนวนคะแนนเสียงในสภา
รูปแบบการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการนอกสภาที่พวกเขาเคยกระทำมานับสิบครั้งก็คือ รัฐประหาร แต่ทว่าการรัฐประหารในวันนี้จะถูกต่อต้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศอย่างแน่นอน และจะเป็นรัฐประหารที่นองเลือดยิ่งกว่าครั้งใดในอดีต นอกจากนั้น ประชาคมโลกในหลายปีมานี้ ก็เหมือนกับประชาชนไทยจำนวนมากคือรู้ความจริง เข้าใจปัญหาถึงรากเง่าความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง รู้ชัดว่ากษัตริย์ของไทยคือปัญหาที่แท้จริงที่ขัดขวางประชาธิปไตยในไทยตลอดหลายสิบปีมานี้ รัฐประหารไม่ว่าจะเปิดเผยหรือซ่อนรูป รวมทั้งรัฐบาลเผด็จการที่คลอดออกมาจะถูกปฏิเสธจากประชาคมโลกและประชาคมอาเซียนอย่างแน่นอน

แต่ฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นไม่เคยลดละที่จะบั่นทอนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การรุกครั้งใหญ่ล่าสุดของพวกเขาคือ กรณีการแก้รัดทำมะนวย ม.291 ให้ไม่สามารถจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้ ที่บรรลุไปถึงการพิจารณาในวาระสาม ก็ได้ถูกทั้งพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรใช้เป็นข้ออ้างเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มรัฐบาล ไปถึงศาลรัดทำมะนวยที่กระโดดเข้ามารับคำร้องคัดค้าน ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามบทบัญญัติของรัดทำมะนวย จนเกิดเป็นกระแสสูงที่จะให้ยุบพรรคเพื่อไทยและดำเนินคดีอาญาต่อผู้ที่ผลักดันการแก้รัดทำมะนวย แต่ในที่สุดการรุกครั้งใหญ่นี้ก็ฝ่อสลายไปเสียก่อน

ดูเหมือนว่าการรุกครั้งใหม่ของฝ่ายเผด็จการกำลังก่อตัวขึ้นอีก จากการเคลื่อนไหวนอกสภาอย่างคึกคักของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายเดือน การก่อกระแสต่อต้านโครงการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรับจำนำข้าว ที่ประสานร่วมมือกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการเสื้อเหลือง กลุ่มนายทุนพ่อค้าที่เสียประโยชน์ กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นสมุนเผด็จการ ความพยายามของคนพวกนี้เข้าขั้นจนตรอก เมื่อไม่สามารถหาเรื่องจริงมาบิดเบือนได้อีก ไม่ต่องการเรื่องชายชุดดำ โดยกุเรื่องไซฟ่อนหรือยักย้ายเงิน 16,000 ล้านบาทที่ฮ่องกงโดยอ้างชื่อเจ๊ ด. หรือเจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวคุณทักษิณ อันเป็นการสร้างเรื่องขึ้นจากอากาศธาตุโดยแท้ กระทั่งล่าสุด ความพยายามที่จะก่อการชุมนุมของมวลชนเพื่อขับไล่รัฐบาลในวันที่ 28 ตุลาคม 2555 ในนามองค์กรพิทักษ์สยาม โดยเสธอ้าย 901

กลุ่มพันธมารเพื่อเผด็จการโดยกษัตริย์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ออกแถลงการณ์ให้กำลังใจองค์กรพิทักษ์สยาม และจะจัดกิจกรรมเดินสายสัญจรหลอกลวง และให้ความเท็จกับประชาชนให้มากที่สุดโดยได้มีมติเตรียมการเคลื่อนไหวมวลชนถ้า มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันกษัตริย์ หรือลดอำนาจของกษัตริย์ นำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับพตท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก หรือเมื่อพวกพันธมารได้โอกาสจากความปั่นป่วนของเหตุการณ์บ้านเมือง ก็จะนำไปสู่ระบอบเผด็จการที่ดักดานและเบ็ดเสร็จยิ่งขึ้นต่อไป

แต่การเคลื่อนไหวรุกในขอบเขตใหญ่โตอย่างทรงพลังและเป็นระบบทั่วด้านกระทำได้ยากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังเข้มแข็ง นายกยิ่งลักษณ์ก็เป็นที่นิยมของประชาชนอย่างสูง และเครือข่ายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อ่อนแอและเสื่อมทรามลงไปอย่างมากในช่วงปีเศษมานี้  หนทางของพวกเผด็จการแฝงเร้นภายในกรอบรัฐสภานั้นตีบตัน ขณะที่หนทางนอกรัฐสภาก็สุ่มเสี่ยงและเต็มไปด้วยอุปสรรค การรุกครั้งนี้จึงเป็นการกระเสือกกระสนที่สิ้นหวังและไร้อนาคต ยิ่งถ้าพวกเขาเกิดอาการวิปลาส ดันทุรังไปจนถึงการทำรัฐประหาร ฝืนความต้องการของประชาชนไทยและประชามติโลก พวกเขาก็จะมุ่งไปสู่จุดจบที่เด็ดขาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น



พลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์หรือ เสธอ้าย เป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่นที่หนึ่ง รุ่นเดียวกับพลเอกสุรยุทธ์ ว่าที่ประธานองคมนตรีของระบอบเจ้าคนต่อไป ปกติจะอยู่เบื้องหลังการวางแผนรัฐประหารแต่งานนี้ออกหน้าแทนพลเอกสุรยุทธ์ โดยประกาศใช้เวลา 9.01 น. เพื่อประกาศให้รับทราบกันเป็นที่ชัดเจนว่ากษัตริย์สั่งมาเอง เพราะถ้าไม่อ้างกษัตริย์ ก็คงไม่มีทางเอาชนะได้แน่นอน และคนพวกนี้ก็เชื่อมั่นว่ากษัตริย์ไม่เคยแพ้ เพราะไม่มีใครกล้าต่อกร หรือแม้แต่กล้าปฏิเสธพระบรมราชโองการ ไม่ว่ามันจะชั่วสามานย์ปานใด ก็ต้องน้อมรับท่วมหัว ตามประเพณีไทยที่ไม่มีเสรีชนประเทศใดจะเข้าใจได้ เสธอ้ายผู้คลุกคลีกับสนามม้าซึ่งเป็นของกษัตริย์ และเป็นผู้ชักนำพลตรีสนั่นเข้าวงการสนามม้า จนได้เคยเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ของกษัตริย์อยู่หลายปี ถ้าเสธอ้ายไม่ได้รับไฟเขียวจากสถาบันกษัตริย์ไทยก็คงจะอ้างตัวเลข 901 ไม่ได้เพราะจะเข้าข่ายทำผิดมาตรา 112 คือแอบอ้างกษัตริย์มาล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยทำให้กษัตริย์ต้องเป็นที่ดูหมิ่นเกลียดชัง แต่เนื่องจากเสธอ้ายเป็นคนในเครือข่ายของกษัตริย์จึงไม่มีใครกล้าเอาผิด เช่นเดียวกับขบวนการเสื้อเหลืองล้มล้างประชาธิปไตยของนายสนธิ ลิ้มทองกุลที่ใช้เสื้อสีเหลืองโดยชูคำขวัญว่าเราจะสู้เพื่อในหลวง ซึ่งเป็นที่รับรู้รับทราบกันทั่วไปและไม่มีการปฏิเสธจากสำนักพระราชวัง แต่พอดาตอร์ปิโดไปปราศรัยว่าในหลวงสนับสนุนพวกพันธมารกลับโดยศาลพิพากษาจำคุกถึง 18 ปี ที่ไม่มีใครกล้าพูดความจริงว่ากษัตริย์ไทยสนับสนุนการบ่อนทำลายล้มล้างระบอบประชาธิปไตย ก็เพราะมีกฎหมายอาญามาตรา 112 ปิดปากไม่ให้ประชาชนได้พูดความจริงที่สำคัญที่สุดนี้
เสธอ้ายเองก็ได้แสดงทัศนคติที่ไม่เห็นด้วยกับระบอบประชา ธิปไตย ว่า ผมไม่เคยเห็นว่าระบอบประชาธิปไตยจะดีตรงไหนมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว เช่น ถ้าคุณเป็นคนดีของจังหวัด แต่ไม่มีเงินลงสมัคร ส.ส. ก็ไม่ได้รับเลือก แล้วมันจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่างไร ลองอธิบายหน่อย พอรูปแบบมันเป็นอย่างนี้ก็คิดฉ้อฉลเอาเงินงบประมาณไปใช้กันอย่างไม่โปร่งใส ออกนโยบายเพื่อประโยชน์เพื่อคนชอบ แต่ว่าบ้านเมืองเสียหายเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่สน ขอให้ตัวเองชนะ ส่วนนายกยิ่งลักษณ์นั้นความรู้ก็ไม่มี  ผมไม่อยากนินทาผู้หญิง  มันเหมือนคนเอ๋อ  ไร้การศึกษา 

 

เสธอ้ายปฏิเสธระบอบประชา ธิปไตยโดยสิ้นเชิง เช่นเดียวกับกษัตริย์ไทยที่แอบสนับสนุนการรัฐประหารและรับรองการปล้นอำนาจของปวงชนเสมอมา ทั้งๆที่เป็นระบอบที่ยอมรับกันแล้วทั่วโลก เป็นระบอบที่ผ่านการออกแบบมาสำหรับการตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจและการใช้อำนาจ นักการเมืองภายใต้ระบอบนี้จะทำอะไรต้องถูกจับตามองจากประชาชนอยู่เสมอ การวิพากษ์วิจารณ์กระทำได้อย่างเสรี ตรงกันข้ามระบอบที่มีการเข้าสู่อำนาจด้วยการใช้กำลังยึดแย่งอำนาจจากประชาชน แล้วยัดเยียดคนที่อ้างว่าเป็นคนดีให้มาบริหารประเทศโดยไร้การตรวจสอบ การรัฐประหารใช้รถถังใช้กำลังทหาร ก็เหมือนพวกโจรที่ไปปล้นเขากิน โดยไร้การตรวจสอบ หวังแต่จะเข้ามาฉ้อฉลโกงกินเท่านั้นเอง

การประกาศขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ออกนอกประเทศ และประกาศปิดประเทศเป็นเวลา 5 ปี เพื่อให้ประชาชนเข้ามาวางระบบประเทศกันใหม่ขององค์กรพิทักษ์สยาม นั้น สะท้อนลักษณะของสังคมการเมืองไทยที่ขึ้นอยู่กับรากฐานของอำนาจและความจงรักภักดีต่อชนชั้นปกครองที่มีกษัตริย์เป็นเสาหลัก ถือว่าผู้ปกครองคือผู้มีคุณธรรมสูงส่งเหนือสามัญชน มีความรักผู้ใต้ปกครองเสมือนลูก และอุทิศตนเสียสละทำงานหนักเหนื่อยเพื่อความสุขของผู้ใต้ปกครอง ประดุจดังพ่อแม่ทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อการมีชีวิตที่ดีของลูกๆ โดยไม่หวังผลตอบแทนส่วนตัวใดๆ ในขณะที่ผู้ใต้ปกครองซึ่งเปรียบเสมือนลูกต้องจงรักภักดี กตัญญูรู้บุญคุณของผู้ปกครอง กระทั่งพร้อมยอมพลีชีพเพื่อปกป้องผู้ปกครองได้ทุกเมื่อแม้จะขัดต่อหลักการและวิถีทางประชาธิปไตย ผู้คนก็ยอมรับกันได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงความชอบธรรม เพราะอย่างน้อยก็ไม่ถูกศาลพิพากษาว่าเป็นการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยเหมือนการขอแก้รัฐธรรมนูญของสภาผู้แทนราษฎร

การอ้างความจงรักภักดี เพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นเรื่องที่ละเมิดหลักสิทธิมนุษยชนและหลักการ โดยอ้างเหตุผลขับไล่รัฐบาล ว่ารัฐบาลปล่อยให้มีการจาบจ้วงล่วงละเมิดสถาบันกษัตริย์ โดยไม่มีการปกป้อง  รัฐบาลชุดนี้เป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งยังไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารและขาดธรรมาภิบาล และ  รัฐบาลชุดนี้ปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขึ้น
ในการชุมนุมเผด็จศึกของเสธอ้ายเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 ได้เปิดเผยคลิ้ปเด็ดจากคำปราศรัยของนายชูพงศ์ ถี่ถ้วน พันเอกอภิวันท์ วิริยชัย นายไจล์ อึ๊งภากรณ์ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายจตุพร พรหมพันธ์ และพตท.ทักษิณที่มีข้อความเปิดโปงถึงการบงการให้ยึดอำนาจและสังหารหมู่ประชาชน
โดยมีข้อความ สรุปได้ดังนี้

นายชูพงศ์ ถี่ถ้วนประกาศสู้กับระบอบราชาธิปไตยแม้ว่านายหลวงจะยังรักษาระบอบราชาธิปไตยต่อไป พันเอกอภิวันท์ ขอให้เปลี่ยนคำว่า อ้ายเหี้ยสั่งฆ่า อีห่าสั่งยิง เป็นคุณลุงสั่งฆ่า คุณป้าสั่งยิง นายใจ อึ้งภากรณ์เฉลยวาทกรรมว่าเหี้ยสั่งฆ่า ทุกคนรู้ว่าคือกษัตริย์ภูมิพล นายก่อแก้ว พิกุลทองเตือนว่า ผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีติดฝาผนังจะโดนปลดรูปทิ้ง นายจตุพร พรหมพันธุ์ แสดงความน้อยใจที่มีการเอาทหารรักษาพระองค์และทหารเสือราชินีมาเข่นฆ่าประชาชน เป็นกระสุนพระราชทาน ละมีการตัดต่อเสียงพตท.ทักษิณพูดว่าเบื้องหลังการรัฐประหารและการสั่งการเป็นความประสงค์ของกษัตริย์ภูมิพล ซึ่งเป็นที่ชัดเจนว่าเป็นการตัดต่อเสียงเพื่อให้ร้ายพตท.ทักษิณ   ฟังเสียงได้ที่ http://www.4shared.com/mp3/FHEt9H8X/_online.html  หรือที่  http://www.mediafire.com/?cr8g4gq35d7dpmr
  โดยหวังจะปลุกปั่นสร้างกระแสให้ประชาชนผู้มาชุมนุมเกิดความโกรธแค้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่กลับไม่สามารถปลุกกระแสความโกรธแค้นเหมือนสมัยหกตุลา 2519 ที่ใช้รูปฟ้าชายถูกแขวนคอมาปลุกให้พวกคลั่งเจ้าไปล้อมสังหารโหดนักศึกษาในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กลายเป็นว่าเสธอ้ายได้เอาความจริงที่ไม่มีใครกล้าพูดมาเผยแพร่ การปลุกกระแสว่ามีคนดูหมิ่นในหลวงในยุคใหม่กลายเป็นฟื้นเปียก จุดไม่ติด มุกแป้ก  จนต้องรีบตามลบคลิ้ปที่ทำออกเผยแพร่ในยูทูป  เพราะคนส่วนใหญ่ก็เห็นว่ามันเป็นความจริงตามที่มีการพาดพิงถึงในหลวง

จากความไม่ชอบธรรม ไร้เหตุผลและทำลายหลักการประชา ธิปไตยของขบวนการคลั่งเจ้านิยมกษัตริย์ที่ล้าหลังสุดขั้ว ทำให้ขบวนการ 901 แช่แข็งประเทศไทยของเสธอ้ายไม่สามารถระดมพลได้ตามเป้า ประกอบรัฐบาลได้เตรียมมาตรการป้องกันเป็นอย่างดี ทำให้เสธอ้ายต้องประกาศล่าถอยไปภายในตอนเย็นวันเดียวกัน โดยอ้างว่าเป็นห่วงสวัสดิภาพประชาชน ทั้งๆที่เป็นฝ่ายสร้างสถานทั้งขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาและขับรถพุ่งชนเจ้าพนักงานตำรวจ พวกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของฝ่ายเจ้าก็รีบออกมารับเรื่องประนามรัฐบาลว่าใช้ความรุนแรงต่อพวกพวกอันธพาลการเมืองนิยมระบอบเจ้า ขณะที่เอแบคโพลได้เผยผลสำรวจว่าประชาชนพึงพอใจการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความสงบเรียบร้อยของการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยาม โดยร้อยละ 82.7 พอใจค่อนข้างมากถึงมาก 



อย่างไรก็ตามเครือข่ายของพวกเผด็จการกษัตริย์ก็ยังคงเดินหน้ามุ่งโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนต่อไปโดยอาศัยเครือข่ายทั้งในและนอกสภา โดยเฉพาะทหารและตุลาการที่ยังอยู่ใต้อิทธิพลของกษัตริย์มาโดยตลอด แม้ว่ารัฐบาลเพื่อไทยและตัวนายกยิ่งลักษณ์ยังคงได้รับความนิยมอย่างสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ฝ่ายต่อต้านไม่มีความชอบธรรมใดๆในการขับไล่รัฐบาล ทั้งแกนนำและมวลชนจึงมีแต่พวกปฏิกิริยาสุดขั้ว มีสถานะโดดเดี่ยว และไม่ได้รับการสนับสนุนแม้แต่จากคนชั้นกลางในเมืองที่ไม่นิยมพรรคเพื่อไทย แต่พวกฝักใฝ่เผด็จการโดยกษัตริย์ยังคงใช้วิธีการเดิมๆที่เคยได้ผลเลิศทุกครั้ง ซึ่งก็คือการสร้างสถานการณ์ที่ทำให้สถาบันกษัตริย์เป็นฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งยังประกาศปฏิเสธการเมืองแบบเลือกตั้งและมุ่งฟื้นการปกครองแบบเผด็จการเต็มรูป ซึ่งเป็นการฝืนกระแสโลกาภิวัฒน์และกระแสประชาธิปไตยในสากลโดยสิ้นเชิง ถึงวันนี้ ประชาคมโลกได้เรียนรู้แล้วว่า ต้นตอแห่งปัญหาความขัดแย้งในประเทศไทยก็คือระบอบเผด็จการโดยกษัตริย์ที่เป็นต้นตอและผู้บงการที่แท้จริง ระบอบกษัตริย์และเครือข่ายจึงอยู่ในสถานะเปลือยล่อนจ้อนและโดดเดี่ยวจากประชาคมโลก แต่พวกเขาก็ยังคงจะดันทุรังเคลื่อนไหวฝืนกระแสประชาธิปไตยทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสะท้อนถึงสถานการณ์อับจนที่แท้จริงของพวกเขา แม้ว่าพวกเขาอาจโค่นล้มรัฐบาลพรรคเพื่อไทยลงได้สำเร็จจนได้ในที่สุด เหมือนสองครั้งที่ผ่านมา แต่ในครั้งนี้และในอนาคต พวกเขาจะต้องเผชิญกับการต่อต้านที่รุนแรงและยืดเยื้อยาวนานยิ่งกว่า ทั้งจากพลังประชาธิปไตยในประเทศและจากประชาคมโลก เขาอาจได้รัฐบาลและอำนาจบริหารกลับคืนไป แต่ก็เพื่อที่จะสูญเสียทุกสิ่งที่อย่างที่เขามี ในที่สุด 

อภิปรายไม่ไว้วางใจ 
หนีไม่พ้นคนชื่อทักษิณอีกแล้ว


หลังจากมีการยกเลิกการชุมนุมแช่แข็งประเทศไทย ทำให้พรรคประชาธิปัตย์ต้องเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลตามลำพัง ซึ่งก็ยังวนๆเวียนๆอยู่กับเรื่องของพตท.ทักษิณ อ้างการไม่จับกุมคุณทักษิณ ไม่ยึดพาสปอร์ต ไม่ถอดยศพตท.ทักษิณ ซึ่งมาจากการเลือกตั้งของประชาชนแต่ถูกองค์กรตุลาการของเจ้าทำการให้ร้ายกลั่นแกล้งอย่างไม่มียางอาย

มีการเน้นย้ำว่ารตอ.เฉลิมเป็นขี้ข้าของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีความศรัทธาเชื่อมั่นซึ่งน่าจะมีเหตุผลกว่าการเป็นขี้ข้าของกษัตริย์ที่ทำตัวเป็นเสาหลักของระบอบเผด็จการดักดานที่ไม่มีวาระและห้ามตรวจสอบหรือวิจารณ์
พรรคประชาธิปัตย์ได้อภิปรายกล่าวหารัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่านายกยิ่งลักษณ์เบียดบังอำนาจและงบประมาณของประชาชน เพื่อประโยชน์ตนเองและครอบครัว ซึ่งก็คือสิ่งพรรคประชาธิปัตย์และกษัตริย์เองได้ประพฤติปฏิบัติให้เห็นมาโดยตลอด 

แถมยังทวงถามว่าค่าแรง 300 บาท ก็ต้องรอถึงเดือนถึงม.ค. 2556 ทั้งที่บอกว่า ทำได้ในปี 2555 ความจริงที่เห็นคือพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่เคยทำได้แม้แต่น้อยไม่ว่าจะในอีกกี่ปีในอนาคต แถมยังคัดค้านว่าขึ้นค่าแรงเร็วเกินไป จะทำให้นายทุนแบบกรับไม่ไหว
เรื่องเงินเดือนปริญญาตรี
1.5 หมื่นบาท ก็ปรากฎว่า ไม่ใช่เงินเดือนแต่เป็นค่าครองชีพ ซึ่งที่จริงก็คือเงินรายได้เหมือนกันและรัฐบาลได้มีมติให้ปรับเงินเดือนให้ย้อนหลัง การให้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ก็เป็นเรื่องที่ต้องรอการเปิดให้บริการทั้งระบบ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่เคยมีนโยบายด้านนี้เลย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มีทั้งผลงานและนโยบายมาเทียบเคียง จึงเป็นได้แค่พรรคที่ดีแต่พูด

พรรคประชาธิปัตย์กล่าวหาว่ารัฐบาลเร่งรีบทำแต่เรื่องที่เอื้อพวกพ้องทันที  เช่น การร้องขอให้ประเทศญี่ปุ่นออกวีซ่าให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นเรื่องของรัฐบาลญี่ปุ่นพิจารณาเอง ลักไก่ออกพ.ร.บ.พระราชทานอภัยโทษ การแก้ไขรัดทำมะนวยเพื่อให้ผ่านพ.ร.บ.ปรองดอง ซึ่งโดยข้อเท็จจริงแล้วรัดทำมะนวย 2550 เป็นรัดทำมะนวยของโจรที่มาจากการยึดอำนาจและมีจุดประสงค์จะทำลายนักการเมืองและพรรคการเมืองที่ประชาชนชื่นชอบ การอ้างว่าพรบ.ปรองดองต้องการช่วยคนผิด ทั้งๆที่คนที่ทำผิดร้ายแรงก็คือกษัตริย์และเครือข่ายของกษัตริย์ที่ล้มล้างและบ่อนทำลายการปกครองในระบอบประชาธิปไตย โดยพรรคประชาธิปัตย์ทำหน้าที่พูดขาวให้เป็นดำ พูดดำให้เป็นขาว เหมือนอย่างที่คดีน้องยิงพี่กรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 แต่กลับให้ร้ายว่านายปรีดีฆ่าในหลวง ทั้งที่นายปรีดีนั่นแหละที่ช่วยปกป้องฆาตกรจนกลายมาเป็นเสาหลักของความชั่วช้าสามานย์มาจนถึงปัจจุบัน พรรคประชาธิปัตย์ของกษัตริย์ยังคงทำหน้าที่สกัดกั้นผลงานของรัฐเพื่อไทยที่จะช่วยชาวนาได้มีรายได้ที่ดีขึ้น โดยการโจมตีโครงการรับจำนำข้าว โดยอ้างว่ามีต้นทุนสูงมาก เกิดการทุจริต และชาวนายังจนเหมือนเดิม ทำให้ประเทศไทยเสียแชมป์การส่งออกข้าว ทั้งๆที่เป็นโครงการที่ทำให้ชาวนาได้รับผลประโยชน์มากกว่าเดิมและสามารถลดการทุจริตได้ดีขึ้นมาก

นายจุรินทร์ผู้ดำเนินการสรุปปิดอภิปรายก็ยังอาศัยการเปิดประเด็นใหม่ๆโดยไม่ให้รัฐบาลมีโอกาสได้ชี้แจง โดยมุ่งเชื่อมโยงโจมตีพตท.ทักษิณ
พรรคประชาธิปัตย์พยายามกล่าวหาว่านายกยิ่งลักษณ์ไม่ให้ความสำคัญต่อสภาที่ดีแต่พูดและหาสาระไม่ค่อยได้ ทั้งหาว่านายกยิ่งลักษณ์ลอยตัวไม่ลงมาต่อล้อต่อเถียงหรือให้ราคากับพวกนักพูดแบบพวกตน แทนที่ฝ่ายค้านจะมุ่งเน้นอภิปรายในเรื่องนโยบายของรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านกลับลงที่พตท.ทักษิณ แสดงถึงความอับจนทางปัญญาที่มีแต่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ของระบอบเจ้ามีแต่จะตกต่ำลงไปมากขึ้นทุกที

ประชาชนจึงยังคงเห็นแต่ภาพเดิมๆของพรรคประชาธิปัตย์คือ การใส่ร้ายป้ายสีลูกเดียว เพื่อให้คู่แข่งกลายเป็นคนเลวร้ายในสายตาประชาชน แต่ไม่เคยเห็นแสดงความสามารถในการบริหารประเทศเลยสักครั้ง นอกจากใช้คารมเท่านั้น สิ่งที่นำมาอภิปราย นำมาแสดงก็คือการทุจริตในระดับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติและต้องหาทางป้องกันแก้ไข

ในตอนท้าย  นายจุรินทร์ ขอให้นายกยิ่งลักษณ์ได้กลับไปทบทวนดูว่าได้ทำตามที่ได้ถวายสัตย์ปฏิญาณตนในวันรับตำแหน่งอย่างไรหรือไม่ และหากไม่ได้ทำตาม  นายกยิ่งลักษณ์และครม. อาจจะมีอันเป็นไปในที่สุด ในเรื่องนี้ก็ต้องถามว่าการถวายสัตย์ปฏิญญานในระบอบประชาธิปไตยนั้น คือ การปฏิญญานว่าจะรักษาไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นสำคัญ และคนที่ผิดต่อคำปฏิญญานมากที่สุด ก็คือ กษัตริย์และคนของพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง ที่ไม่เคยปกป้องระบอบประชาธิปไตยรวมทั้งผลประโยชน์ของประชาชนที่ถูกระบอบเจ้าหลอกว่าเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดมาโดยตลอด

สุเมธเผยในหลวง ขอนำทัพแก้จน
เชื่อปากท้องอิ่มเป็นประชาธิปไตยได้
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เผยในหลวงยังทรงงานอยู่โดยไม่ซ้ำโครงการรัฐบาล เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อไม่มีเสถียรภาพก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ชี้ถ้าไม่มีแผ่นดินจะมีประเทศได้อย่างไร ส่วนปัญหาด้านความมั่นคงเป็นปัญหาซ่อนเร้น ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ เผยมูลนิธิใช้การพัฒนาเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ และพระองค์ขอนำทัพเอง ส่วนปัญหาไฟใต้ แนะต้องใช้แนวทางพิเศษ ชี้ใช้อาวุธไม่มีทางสำเร็จ

วันที่ 28 พ.ย.2555 ที่โรงแรมแม็กซ์ ถนนพระราม 9 นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ร่วมบรรยายในการประชุมเชิงปฏิบัติการการนำโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ไปขยายผลในพื้นที่ความมั่นคง ตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยคนไหนมีเงินก็ยึดไว้หมด ประชาชนเป็นแค่แรงงาน เงินค่าแรง 300 ไม่รู้ว่าตอนนี้ขึ้นค่าแรงครบหรือยัง และตอนนี้ข้าวแกงขึ้นไปเท่าไหร่ ถ้าทำให้ประชาชนมีที่ดิน เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติที่แท้จริง การฝักใฝ่ฝ่ายใดคงไม่มีและไม่มีแบ่งสีนั้นสีนี้เหมือนปัจจุบัน ซึ่งปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากด้านเศรษฐกิจทั้งหมด หากปากท้องอิ่ม ชีวิตไม่ต้องทนลำบาก ไม่ต้องเจอวิกฤต เมื่อนั้นจะมีประชาธิปไตยเกิดขึ้น
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อยังมีความยากจนจึงไม่มีเสรีภาพ เขาจึงเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ซึ่งปัญหาความยากจนไม่ใช่เป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่โยงไปถึงการเมืองด้วย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีโครงการทั้งหมดประมาณ 6,000 โครงการ ซึ่งไม่ซ้ำกับโครงการรัฐบาล เพื่ออุดช่องโหว่ช่วยเหลือประชาชน แต่เมื่อราชการเข้ามาถึงจึงถอนออกมา จะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆ ของพระองค์เน้นรักษา ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะถ้าไม่มีแผ่นดินจะมีประเทศได้อย่างไร แผ่นดินนี้ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหมายถึง ชีวิต ที่ผ่านมาทุกคนใช้แผ่นดินนี้ด้วยความโลภ ทำลายแผ่นดิน ทั้งนี้พระองค์ทรงทำได้ด้วยการให้คำแนะนำหรือสอนเท่านั้น เพราะคนที่ดูแลคนทั่วประเทศ คือ รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ หากพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดี มีความสงบ ไม่ถูกข่มเหง ไม่ถูกโกง ทำได้เช่นนี้ประเทศมีความมั่นคง และไม่เป็นลัทธิบริโภคนิยม ไม่ใช้ทุกอย่างเกินตัว ต้องใช้อย่างพอประมาณ ต้องรู้ต้นทุนตัวเอง คนรวยแล้วต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่คดโกง ไม่คอร์รัปชัน

ขณะนี้ปัญหาด้านความมั่นคงต้องตีให้แตกว่ามีสาเหตุจากอะไร เพราะปัญหาซ่อนเร้นไม่เหมือนที่ผ่านมา เมื่อหาสาเหตุได้แล้วให้หาต้นเหตุการแก้ไขปัญหา ตามหลักชาวพุทธที่ให้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ตราบใดที่หาต้นตอไม่ได้อย่าเพิ่งหมดหวัง ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่แก้ไขปัญหา คือ การพัฒนา และการปกครองต้องมีความยุติธรรม มีความรัก เมตตา ความรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหาง่ายๆ คือให้ประชาชนพ้นจากความยากจน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีหน้าที่แนะนำใครจะทำตามก็ได้แต่เราต้องหา สาเหตุและต้นเหตุให้ได้จึงจะแก้ไขปัญหาได้ มูลนิธิชัยพัฒนาหมายความว่าเราจะต้องใช้การพัฒนาเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ และศึกครั้งนี้พระองค์ท่านจะนำทัพเอง

ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น สมัยก่อนประเทศรอบๆ บ้านเราเกิดสงคราม และประเทศเรามีสงครามกองโจร แนวทางการแก้ไขปัญหาในประเทศ หากใช้อาวุธไม่มีทางสำเร็จ เพราะไม่มีสงครามไหนที่รบกับประชาชนแล้วชนะ อย่างในภาคใต้ส่งทหารลงไปกี่กองพลก็ไม่ชนะ การที่บอกว่ารบกับประชาชนหมายความว่า เราแยกไม่ออกว่าใครเป็นคนก่อการร้ายหรือใครเป็นคนปกติ เพราะอยู่ปนๆ กัน จึงเป็นความยากลำบากในการทำสงคราม ดังนั้นต้องมีแนวทางพิเศษแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีความสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน จำเป็นต้องตามเกมให้ทัน เพราะแต่ละครั้งหากยิงคนหนึ่งจะทำให้ญาติของเขาเป็นศัตรูกับเราหมด
นายสุเมธเป็นคนที่รับใช้ใกล้ชิดและทำงานให้กษัตริย์อย่างชัดเจน เป็นเหมือนโฆษกส่วนตัวของกษัตริย์ สิ่งที่นายสุเมธพูดจึงเชื่อกันตลอดมาว่าคือความคิดของกษัตริย์นั่นเอง

ข้อสังเกตจากคำพูดของนายสุเมธ พอสรุปได้ดังนี้
ประเทศไทยคนไหนมีเงินก็ยึดไว้หมด ประชาชนเป็นแค่แรงงาน เงินค่าแรง
300 ไม่รู้ว่าตอนนี้ขึ้นค่าแรงครบหรือยัง และตอนนี้ข้าวแกงขึ้นไปเท่าไหร่ ถ้าทำให้ประชาชนมีที่ดิน เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติที่แท้จริง การฝักใฝ่ฝ่ายใดคงไม่มีและไม่มีแบ่งสีนั้นสีนี้เหมือนปัจจุบัน ซึ่งปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากด้านเศรษฐกิจทั้งหมด หากปากท้องอิ่ม ชีวิตไม่ต้องทนลำบาก ไม่ต้องเจอวิกฤต เมื่อนั้นจะมีประชาธิปไตยเกิดขึ้น

ต้องถามนายสุเมธว่าใครที่มีเงินมากที่สุดในประเทศไทย ที่นิตยสารฟอร์บได้รายงานว่าเป็นกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีซ้อนมีทรัพย์สินเท่าที่ตรวจพบได้มากกว่า 35 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่าหนึ่งล้านล้านบาท มากกว่าทรัพย์สินของเศรษฐีที่รวยที่สุดในประเทศไทย 40 อันดับแรกนำมารวมกัน ทั้งกิจการสารพัดและที่ดินในทำเลที่ดีที่สุดทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดก็เป็นของกษัตริย์ที่เรียกว่าสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีพรบ.ยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีโดยอ้างว่าเป็นเสมือนของรัฐหรือของส่วนรวม ส่วนการตำหนิว่าเงินค่าแรง300บาทได้กันครบหรือยัง ก็คงเหมือนกับการโจมตีกล่าวหารัฐบาลโดยพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคของเจ้านั่นเอง แท้จริงผู้ที่สูบเอาทรัพยากรหรือความมั่งคั่งของชาติเอาไว้กับตัวมากที่สุดก็คือกษัตริย์และราชวงศ์ของไทยที่ประชาชนยังต้องแบกภาระอีกมากมายสารพัด

เรื่องความแตกแยกหรือการแบ่งสีก็เกิดจากคนของกษัตริย์เองตั้งแต่พลเอกเปรมซึ่งเป็นประธานองคมนตรีที่เดินสายปลุกปั่นทหารให้ล้มรัฐบาลทักษิณที่มาจากการเลือกตั้งรวมทั้งการที่กษัตริย์ออกมาสนับสนุนทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการบ่อนทำลายล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย กษัตริย์ทำตนเป็นเสาหลักให้กับพวกฝักใฝ่เผด็จการดักดานล้าหลังมาโดยตลอด จนเสื้อเหลืองได้กลายเป็นสีเสื้อที่น่ารังเกียจจนพวกนิยมเจ้าต้องหันไปใส่เสื้อสีอื่น แล้วยังมีหน้าให้นายสุเมธมาสั่งสอนประชาชนให้มีความสามัคคีกันได้อย่างไร ในเรื่องเศรษฐกิจก็เป็นที่ทราบกันดีกษัตริย์ไทยนอกจากไม่เคยมีความจริงใจต่อประชาชนไทยแล้ว ยังใจแคบคอยจ้องทำลายรัฐบาลที่ทำงานเพื่อประชาชนเพราะเกรงว่าจะมาแย่งความรักความศรัทธาไปจากประชาชนตามที่พวกเผด็จการคปค.เรียกว่าทำสงครามแย่งชิงประชาชนไปจากพระเจ้าอยู่หัวซึ่งพวกมันจะยอมไม่ได้

ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อยังมีความยากจนจึงไม่มีเสรีภาพ เขาจึงเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ซึ่งปัญหาความยากจนไม่ใช่เป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่โยงไปถึงการเมืองด้วย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีโครงการทั้งหมดประมาณ 6,000 โครงการ ซึ่งไม่ซ้ำกับโครงการรัฐบาล เพื่ออุดช่องโหว่ช่วยเหลือประชาชน แต่เมื่อราชการเข้ามาถึงจึงถอนออกมา จะเห็นได้ว่าโครงการต่างๆ ของพระองค์เน้นรักษา ดิน น้ำ ลม ไฟ หรือ ทรัพยากรธรรมชาติ เพราะถ้าไม่มีแผ่นดินจะมีประเทศได้อย่างไร แผ่นดินนี้ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหมายถึง ชีวิต ที่ผ่านมาทุกคนใช้แผ่นดินนี้ด้วยความโลภ ทำลายแผ่นดิน ทั้งนี้พระองค์ทรงทำได้ด้วยการให้คำแนะนำหรือสอนเท่านั้น เพราะคนที่ดูแลคนทั่วประเทศ คือ รัฐบาล กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ หากพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดี มีความสงบ ไม่ถูกข่มเหง ไม่ถูกโกง ทำได้เช่นนี้ประเทศมีความมั่นคง และไม่เป็นลัทธิบริโภคนิยม ไม่ใช้ทุกอย่างเกินตัว ต้องใช้อย่างพอประมาณ ต้องรู้ต้นทุนตัวเอง คนรวยแล้วต้องมีคุณธรรม จริยธรรม ไม่คดโกง ไม่คอร์รัปชัน   

กษัตริย์ไทยได้นั่งบัลลังก์ตั้งแต่เมื่อปี 2489 และเริ่มมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษดิ์เมื่อปี 2500 หรือกว่า 55 ปีมาแล้ว ถ้ากษัตริย์รู้ว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังยากจนอยู่ก็น่าจะได้สำนึกว่ามันเป็นเพราะใคร ที่กุมอำนาจสูงสุดมายาวนานแถมอวดอ้างว่าเก่งกล้าสามารถเป็นที่สุด ทำงานหนักที่สุดแต่ประชาชนก็ยังยากจน แถมไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะให้ความเห็นต่อการปกครองที่โฆษณายัดเยียดตลอดมาว่าคนไทยโชคดีที่มีในหลวง แต่ก็ยังยากจนแถมยังถูกบังคับให้จงรักภักดีอย่างไม่มีข้อสงสัย ขณะที่ประเทศอื่นเขาไม่ในหลวง หรือมีแค่ในหลวงที่อยู่ใต้กฎหมาย แต่เขาก็มีชีวิตความเป็นอยู่มีศักดิ์ศรีมีสิทธิเสรีภาพที่ต่างจากประชาชนไทยโดยสิ้นเชิง...แม้แต่กฎหมายเผด็จการดักดานมาตรา 112 ก็ยังถูกประนามไปทั่วโลกอย่างไม่รู้จักละอายแม้แต่น้อย

ที่นายสุเมธออกมาแก้ตัวว่าโครงการหกพันกว่าโครงการไม่ซ้ำกับของรัฐบาล ก็ต้องถามว่ากษัตริย์เอาอำนาจอะไรมาทำโครงการมากมายขนาดนั้น ในเมื่อการบริหารประเทศเป็นเรื่องของรัฐบาลที่ต้องเสนอนโยบายให้ประชาชนพิจารณาเพื่อลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง ต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ต้องผ่านการตรวจสอบจากทั้งประชาชน สภาและองค์กรอิสระสารพัด แต่กษัตริย์กลับใชเงินจากงบประมาณทั้งโดยตรงและจากงบของส่วนต่างๆโดยไม่มีการตรวจสอบ

ที่อ้างว่าโครงการของกษัตริย์เป็นการรักษาดิน น้ำ ลม ไฟ รักษาแผ่นดิน ก็ต้องถามว่าใครเป็นคนประเมิน ในเมื่ออ้างว่าทำมาหกพันกว่าโครงการ แล้วมีผลงานอะไรเป็นข้อพิสูจน์ ทำไมประเทศจึงยังล้าหลังกว่าหลายๆประเทศที่เขาเพิ่งจะเจริญตามมาทีหลัง หรือแค่ทำโครงการเอาหน้า ไม่มีผลงานที่จริงจังมายืนยันให้ตรวจสอบได้

ที่แก้ตัวว่าทำได้แค่แนะนำหรือสอนเท่านั้น ก็ต้องถามว่ากษัตริย์ได้แนะนำหรือสอนอะไร และกษัตริย์ได้ปกป้องสิทธิเสรีภาพและรักษาผลประโยชน์ของประชาชนจริงๆหรือไม่ ใครกันแน่ที่เป็นเสาค้ำให้พวกเผด็จการดักดาน ทั้งยังข่มเหงรังแกและปิดปากประชาชน ใครกันล่ะที่กอบโกยเบียดบังเอาความมั่งคั่งไปรวมไว้ที่ตนเอง แถมยังล้างผลาญงบประมาณของประชาชนมาโดยตลอด เอาแค่การปิดป้ายโฆษณาชวนเชื่อตามถนนสาธารณะ การจัดงานพระราชพิธีสารพัดตลอดปี และขบวนเสด็จที่ใหญ่โต ที่สำคัญคือบทบาทที่สนับสนุนเผด็จการโบราณและขัดขวางทำลายรัฐบาลของประชาชนที่เป็นมาโดยตลอดรัชกาล คนที่รวยที่สุดในประเทศและมีสิทธิ์พิเศษห้ามผู้ใดตรวจสอบและวิจารณ์ก็คือกษัตริย์และราชวงศ์ ต้องถามว่าแล้วกษัตริย์ไทยทำมาหากินอะไร จึงร่ำรวยมั่งคั่งขนาดนั้น ท่านได้แสดงรายการทรัพย์สินและที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง ท่านได้ยักยอกหรือใช้สิทธิพิเศษในฐานะที่เป็นกษัตริย์ที่ประชาชนไทยต้องสนับสนุนเลี้ยงดูบ้างหรือไม่ ท่านสอนคนอื่นว่าคนรวยต้องมีคุณธรรม แล้วคนที่รวยที่สุด คือ ตัวท่านนั้น มีคุณธรรมสักแค่ไหน ในเมื่อนักการเมืองต้องถูกตรวจสอบสารพัด แต่คนที่รวยที่สุดอย่างท่าน ห้ามไม่ให้ใครตรวจสอบโดยเด็ดขาด

ท่านบอกว่าทุกคนใช้ความโลภทำลายแผ่นดิน ก็ต้องถามว่าใครครอบครองแผ่นดินมากที่สุดในประเทศ รวมไปถึงวังและพระตำหนักทั่วประเทศทั้งในเขตป่าเขาที่กินอาณาบริเวณนับหมื่นนับแสนไร่ แล้วใครล่ะที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุด แต่ก็ยังใช้งบประมาณมากกว่ากษัตริย์ในประเทศที่เจริญกว่าแถมยังออกเดินสายเรี่ยไรเหมือนรีดไถรับสินบนโดยไม่มีรายการตรวจสอบ

ขณะนี้ปัญหาด้านความมั่นคงต้องตีให้แตกว่ามีสาเหตุจากอะไร เพราะปัญหาซ่อนเร้นไม่เหมือนที่ผ่านมา เมื่อหาสาเหตุได้แล้วให้หาต้นเหตุการแก้ไขปัญหา ตามหลักชาวพุทธที่ให้แก้ปัญหาที่ต้นตอ ตราบใดที่หาต้นตอไม่ได้อย่าเพิ่งหมดหวัง ซึ่งเครื่องมือสำคัญที่แก้ไขปัญหา คือ การพัฒนา และการปกครองต้องมีความยุติธรรม มีความรัก เมตตา ความรับผิดชอบ การแก้ไขปัญหาง่ายๆ คือให้ประชาชนพ้นจากความยากจน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีหน้าที่แนะนำใครจะทำตามก็ได้แต่เราต้องหา สาเหตุและต้นเหตุให้ได้จึงจะแก้ไขปัญหาได้ มูลนิธิชัยพัฒนาหมายความว่าเราจะต้องใช้การพัฒนาเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ และศึกครั้งนี้พระองค์ท่านจะนำทัพเอง

ส่วนการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น สมัยก่อนประเทศรอบๆ บ้านเราเกิดสงคราม และประเทศเรามีสงครามกองโจร แนวทางการแก้ไขปัญหาในประเทศ หากใช้อาวุธไม่มีทางสำเร็จ เพราะไม่มีสงครามไหนที่รบกับประชาชนแล้วชนะ อย่างในภาคใต้ส่งทหารลงไปกี่กองพลก็ไม่ชนะ การที่บอกว่ารบกับประชาชนหมายความว่า เราแยกไม่ออกว่าใครเป็นคนก่อการร้ายหรือใครเป็นคนปกติ เพราะอยู่ปนๆ กัน จึงเป็นความยากลำบากในการทำสงคราม ดังนั้นต้องมีแนวทางพิเศษแก้ไขปัญหา เพราะปัญหามีความสลับซับซ้อนและละเอียดอ่อน จำเป็นต้องตามเกมให้ทัน เพราะแต่ละครั้งหากยิงคนหนึ่งจะทำให้ญาติของเขาเป็นศัตรูกับเราหมด
นายสุเมธอ้างคำสอนของพุทธศาสนาที่ให้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ คือ ให้มีการพัฒนาและให้ความยุติธรรม ในขณะที่กษัตริย์ครองบัลลังก์ผูกขาดอำนาจมากว่า 55 ปี อวดอ้างว่าเก่งกาจที่สุด ทำงานมากที่สุด แต่ประเทศก็ไม่มีการพัฒนาที่ต่อเนื่องเพราะกษัตริย์สนับสนุนเผด็จการทหารและแทรกแซงการเมืองพร้อมทั้งบ่อนทำลายระบบพรรคการเมืองมาโดยตลอด เรื่องความยุติธรรม ก็เป็นเรื่องที่เห็นกันชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆว่า คนของกษัตริย์จะถูกเสมอไม่ว่าจะทำผิดมากมายชั่วร้ายแค่ไหนก็ตาม ส่วนฝ่ายประชาธิปไตยจะผิดเสมอไม่ว่าจะทำดีเป็นประโยชน์ต่อประชาชนเพียงใด แม้แต่นายกที่ดีที่สุดก็อยู่ในประเทศไม่ได้ แต่พวกโจรที่ร่วมล้มล้างปกครองปล้นชาติปล้นประชาชน กลับได้ดิบได้ดีได้เป็นองคมนตรีกันถ้วนหน้า เหมือนคำพูดที่ว่า ทำดีอัปรีย์กินหัว ทำชั่วมีคนยกย่อง กษัตริย์ไทยจึงเป็นได้แค่เสาหลักของความอยุติธรรมและความชั่วช้าสามานย์ที่ไม่มียางอายเสมอมา

ปัญหาความมั่นคงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีสะสมมานานก็เกิดจากปัญหาทางการเมือง การกดขี่ข่มเหงจำกัดสิทธิเสรีภาพ เหมือนกับที่คนทั่วทุกภาคต้องเผชิญ แม้แต่คนเสื้อแดงก็ยังถูกทหารรักษาพระองค์สังหารหมู่กลางเมืองหลวงด้วยกระสุนพระราชทานแม้กระทั่งในวัดที่ติดกับวังสระปทุมของพระเทพ คนที่ส่งเอสเอมเอสไม่เป็นก็ยังถูกศาลของกษัตริย์สั่งติดสินจำคุกถึง20ปีด้วยข้อหาส่งเอสเอมเอสไปยังเลขานายกของกษัตริย์ จนต้องไปเสียชีวิตในคุก แล้วประชาชนไทยมุสลิมในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้จะไปได้รับความเป็นธรรมจากทหารของเจ้าและข้าราชการของกษัตริย์ได้อย่างไร แม้แต่คนเสื้อแดงส่วนใหญ่ในกรุงเทพก็ยังรู้ว่าใครเป็นจอมทัพจอมบงการของพวกเผด็จการล้าหลัง แล้วยังมีหน้ามาพูดสวยหรูว่าต้องเข้าใจเข้าถึงและพัฒนาได้อย่างไร สาเหตุสำคัญก็คือประเทศไทยยังใช้ระบอบเผด็จการแบบโบราณที่มีกษัตริย์ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดนั่นเอง โดยใช้ทั้งนโยบายหลอกลวงและกดขี่ปราบปรามประชาชนมาโดยตลอด

......................

ไม่มีความคิดเห็น: