วันอังคารที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

รู้ทันเจ้าของคอกม้า ตอน สะกิดเสื้อแดง แทงใจเสื้อเหลือง C2 SO 01.



ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบที่ :

http://www.4shared.com/mp3/qf7fSUd_/See_Through_Stable_Owner_01.html

หรือที่ : http://www.mediafire.com/?9sk2en6p9b0p8ao


  ประเด็นถกเถียงทางการเมืองที่น่าสนใจ คือ มีบางคนที่เรียกกันว่าเป็นพวกหัวเหลือง พวกสลิ่ม นิยมเจ้า รักในหลวง ยังคงยึดมั่นในความคิดความเชื่อว่าพระราชาท่านดีที่สุด ไม่ว่าเหตุการณ์มันจะส่อแสดงและบ่งชี้ชัดเจนเพียงใด ก็ยังจะขอเป็นข้าพระบาททุกชาติไป เพราะโชคดีที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารของพระราชาผู้ทรงธรรม


ในอีกด้านหนึ่ง คนที่ได้ต่อสู้เพื่อประชา ธิปไตยบางคนก็กลับไม่ค่อยพอใจรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของคนส่วนใหญ่ โดยมองว่ารัฐบาลไม่กล้ารุกคืบทางการเมือง ไม่สนใจคนเสื้อแดง รัฐบาลทอดทิ้งคนเสื้อแดงไปแล้ว บางคนถึงกับเชื่อว่ารัฐบาลทำงานเพื่อเจ้า เป็นรัฐบาลของเจ้า เป็นรัฐบาลที่หลอกลวงคนเสื้อแดง

ขอแยกความข้องใจหรือข้อถกเถียงออกเป็นสองหมวดคือ ความศรัทธาที่ลึกล้ำของคนเสื้อเหลืองต่อกษัตริย์และความไม่พอใจของเสื้อแดงบางส่วนที่มีต่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
ถามใจเสื้อเหลือง   


1.จริงหรือที่กษัตริย์ไม่รู้เรื่องการยึดอำนาจ เป็นเรื่องที่พลเอกเปรมหรือราชินีทำกันเอง
หรือเป็นเรื่องที่กษัตริย์ถูกบังคับ และท่านต้องจำยอมเพราะมันเป็นประเพณีการปกครอง
ทั้งๆที่กษัตริย์เป็นจอมทัพไทยที่ทหารทุกคนต้องถวายสัตย์ปฏิญญาณว่าจะจงรักภักดี และตำแหน่งจอมทัพไทยนั้นได้มอบถวายให้กษัตริย์เพื่อให้ท่านได้ใช้อำนาจของจอมทัพยับยั้งนายทหารที่คิดล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

มีบันทึกยืนยันว่าหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 รัชกาลที่ 7 ก็เคยตอบข้อสงสัยของพระยาพหล ว่าพระองค์จะไม่คิดล้มล้างรัฐธรรมนูญ ถ้ามีทหารก่อการกบฏ พระองค์ก็จะไม่ยอมลงพระปรมาภิไธย และจะลาออกจากราชบัลลังก์ ให้พวกกบฏไปเชิญเจ้านายพระองค์อื่นมาเป็นกษัตริย์แทน.....
ดังนั้นถ้ารัชกาลใดก็ตามที่ไม่เห็นด้วยกับการยึดอำนาจ ก็ต้องแสดงความกล้าหาญเหมือนที่รัชกาลที่
7 ได้เคยยืนยัน  หรือเหมือนอย่างที่ในหลวงได้นิพนธ์ไว้ในเพลงความฝันอันสูงสุดที่ว่า จะแนวแน่แก้ไขในสิ่งผิด...
ถ้าท่านไม่แน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด ไม่ยืนยันทำสิ่งที่ถูกต้อง แล้วยังจะมีหน้าเที่ยวออกมาสั่งสอนประชาชนทั้งๆที่ไม่ใช่หน้าที่ต่อไปได้อย่างไร จะไม่เข้าทำนอง มือถือสากปากถือศีลหรือ

ที่เห็นได้ชัด คือ ก่อนมีการยึดอำนาจ 19 กันยายน 2549 พลเอกเปรมซึ่งเป็นประธานองคมนตรี ได้ออกมาเดินสายปลุกระดม โดยวังก็ไม่เคยว่ากล่าวอะไร แล้วยังให้พวกกบฎเข้าเฝ้ายามดึกโดยเผยแพร่ภาพออกสู่สาธารณะเพื่อเป็นการรับรองการก่อกบฏยึดอำนาจล้มล้างรัฐธรรมนูญ ให้พลเอกสุรยุทธ์ซึ่งเป็นองคมนตรีได้มาเป็นนายกรัฐมนตรีของพวกทหารกบฏ หลังจากนั้นก็รับพลเอกสุรยุทธ์กลับเข้าเป็นองคมนตรีอีก พร้อมทั้งยังได้แต่งตั้งผู้ร่วมก่อการบฏอีกสองคนใหเป็นองคมนตรี คือ นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ อดีตประธานศาลฎีกา ผู้เป็นตัวตั้งตัวตีวางแผนการยึดอำนาจ สร้างสถานการณ์ความปั่นป่วน รวมทั้งพล.อ.อ.ชลิต พุกพาสุข อดีตผบ.ทอ.ผู้ร่วมก่อการกบฎตัวสำคัญ

มาในสมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยังได้ให้พลเอกสุรยุทธ์และพลเอกเปรมหาทางขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอีก โดยผ่านทางพลเอกบุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือเสธอ้าย ที่มาในนาม 901 ซึ่งเป็นรหัสเรียกในหลวง ถ้าเสธอ้ายไม่ได้รับมอบอำนาจหรือได้รับความเห็นชอบจากกษัตริย์ ก็คงต้องมีความผิดตามมาตรา 112แน่นอน เพราะทำให้ผู้คนเข้าใจผิดว่าในหลวงสนับสนุนการขับไล่ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งรวมทั้งการยึดอำนาจบริหารประเทศ
ประชาชนไทยทั้งในเมืองและชนบท ทั้งในและนอกประเทศก็น่าทราบดีว่ากษัตริย์มีท่าทีอย่างไร ทรงสนับสนุนและรับรองการยึดอำนาจล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งมาหลายครั้งหลายหนตามเนื้อหาที่ดา ตอร์ปิโดได้ปราศรัยที่สนามหลวงจนต้องถูกจำคุก 18 ปี เป็นความจริงหรือไม่ แต่ก็ยังมีคนบางคนที่เอาความรักความศรัทธามาอยู่เหนือความจริง มาแก้ตัวแทนกษัตริย์ บางคนก็ชอบอ้างว่าในหลวงเคยตรัสว่ารัฐบาลพระราชทานมาตรา 7 เป็นเรื่องมั่ว....แล้วการรับรองการยึดอำนาจ จะไม่เป็นเรื่องที่มั่วยิ่งกว่าหรือ ถ้าแก้ตัวว่าเป็นเรื่องเลยตามเลย ก็ต้องถามว่าที่ในหลวงเคยสอนพวกบัณฑิตใหม่ให้กล้าทำในสิ่งที่ถูกต้อง เพื่อมิให้คุณธรรมและความดีงามต้องสูญสิ้นสลายไปนั้น มันจะมีความหมายอะไร หรือเป็นได้แค่ปากว่าตาขยิบ กินอยู่กับปาก อยากอยู่กับท้อง....

โดยมีกฎหมายยรัดทำมะนวยมาตรา 8 ว่าประชาชนต้องเคารพสักการะกษัตริย์ และยังมีมาตรา 112 ที่เป็นกฎหมายเผด็จการที่ปิดปากประชาชน โดยห้ามวิจารณ์กษัตริย์ไม่ว่าในกรณีใดๆ แม้ว่าจะเป็นความจริงที่จำเป็นต้องพูดเพื่อปกป้องการปกครองในระบอบประชาธิปไตยก็ยังพูดไม่ได้โดยเด็ดขาด


ที่น่าวิตกก็คือแกนนำของฝ่ายที่เรียกร้องประชาธิปไตยหลายคนยังคงยืนยันว่าต้องการรักษาระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุข และจะไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์โดยเด็ดขาด ทั้งๆที่รู้กันทั่วไปว่ากษัตริย์ ท่านไม่ศรัทธาและไม่เคยปกป้องระบอบประชาธิปไตย กษัตริย์ไม่เคยมีปัญหากับพวกเผด็จการทหาร แต่ท่านมักมีปัญหากับขบวนการประชาธิปไตยและท่านมักจะวิพากษณ์วิจารณ์เชิงบ่อนทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอยู่เป็นประจำ


การที่แกนนำฝ่ายประชา ธิปไตยพยายามแสดงความจงรักภักดีต่อศัตรูของระบอบประชาธิปไตยนับว่าไม่เป็นผลดีต่อการเรียกร้องประชาธิปไตย และทำให้ไม่กล้าที่จะแก้ปัญหาตรงที่สาเหตุที่แท้จริง คือ ต้องแก้ไขที่หมวดพระมหากษัตริย์ มิให้กษัตริย์ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดโดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลย์แบบไม่มีวาระดังที่เป็นอยู่

ทหารที่มาปราบปรามประชาชนก็มักจะเป็นทหารรักษาพระองค์ ขณะที่ประชาชนที่ถูกปราบปรามก็เป็นประชาชนที่ประกาศว่าจงรักภักดีต่อกษัตริย์ที่ไม่ต้องการประชาธิปไตย มันกลายเป็นการเมืองตอแหลกันทั้งระบบที่ไม่ได้ยืนอยู่บนความเป็นจริง และมีแต่ทำให้ทหารต้องเชื่อฟังและเกรงกลัวกษัตริย์เพราะแม้แต่ประชาชนเองก็ยังหมอบราบคาบแก้วต่อกษัตริย์ที่ไฟเขียวให้ทหารออกมาปราบปรามประชาชน 

เรื่องทำนองเคยเกิดขึ้นมาแล้วในสมัยที่กษัตริย์และราชวงศ์ ออกมาต้อนรับจอมพลถนอมที่เดินทางกลับเข้าประเทศในรูปของสามเณรที่วัดบวร รวมทั้งการเดินสายแจกธงลูกเสือชาวบ้านและร่วมกิจกรรมกับพวกกระทิงแดง เพื่อปลุกปั่นให้ประชาชนเกลียดชังจนถึงขั้นต้องการทำลายล้างนิสิตนักศึกษาที่ชุมนุมขับไล่ทรราชถนอม
การเรียกร้องประชาธิปไตยจะต้องไม่ไปเน้นการปกปักรักษาระบอบที่มีกษัตริย์เป็นประมุขแบบไทยๆ ซึ่งก็คือระบอบเผด็จการราชาธิปไตยนั่นเอง ถ้าจะมีกษัตริย์ ก็ต้องเป็นกษัตริย์ที่อยู่ใต้กฎหมาย ไม่ใช่กษัตริย์ที่อยู่เหนือกฎหมายเหมือนอย่างที่เป็นอยู่ การเรียกร้องประชาธิปไตย จึงควรเป็นประชาธิปไตยที่ให้สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค ไม่ใช่ประชาธิปไตยใต้ฝ่าพระบาทอย่างที่เป็นอยู่ ซึ่งไม่ได้มีคุณค่าต่อการปกป้องรักษาแม้แต่น้อย

2. กษัตริย์ได้
ทำงานเพื่อคนไทยทุกคน
มามากแล้ว

 
มีโครงการในพระราชดำริมากกว่าสามพันโครงการ ไม่มีหมู่บ้านใดที่ท่านไม่เคยไป ทุกวันนี้ ท่านก็ยังสนใจให้ความช่วยเหลือพสกนิกรไม่ได้หยุด ไม่เหมือนกษัตริย์ประเทศอื่นๆที่ไม่เคยสนใจราษฎร
สิ่งที่ต้องถามกันจริงๆ คือ กษัตริย์เลี้ยงดูราษฎร หรือราษฎรเลี้ยงดูกษัตริย์กันแน่  พระราชาเหนื่อยกว่าราษฎรหรือราษฎรเหนื่อยกว่าพระราชา กษัตริย์ท่านเหนื่อยจริงเหนื่อยทุกวันเหมือนที่ราษฎรส่วนใหญ่เหนื่อยกันเป็นปกติประจำวันหรือเปล่า
หรือว่ากษัตริย์ไปเยี่ยมราษฎรแบบผิวเผินแล้วก็บันทึกภาพเอาไว้ฉายโฆษณาซ้ำแล้วซ้าอีก จนเหมือนกับว่าท่านไปมาหมดแล้ว ทั้งๆที่ท่านก็ไปไม่กี่ครั้ง และในหลายแห่งก็ไปแค่ครั้งเดียว ไปแล้วก็ปล่อยทิ้งให้รกร้าง บางแห่งก็ใช้เงินระดมทุนสร้างภาพเพื่อการอวดอ้างความสำเร็จที่ไม่เคยขยายไปทำในท้องที่อื่นๆ เทียบไม่ได้เลยกับโครงการที่มาจากรัฐบาลของประชาชน เช่น โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการกองทุนหมู่บ้าน กองทุนสตรี โครงการโอท้อป การจำนำข้าวราคาสูงตันละ 15000 บาท  ค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท เงินเดือนปริญญาตรีขั้นต่ำ 15000 บาท ที่ครอบคลุมไปทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง
โครงการพระราชดำริของกษัตริย์มีหน่วยงานที่เรียกว่ากปร.คือคณะกรรมการประสานงานอันเนื่องมาจากโครงการพระราชดำริ ที่อาศัยเงินประมาณของรัฐบาล และหน่วยงานราชการสนับสนุนอย่างเต็มที่ซึ่งซ้ำซ้อนกับงานของรัฐบาล รวมทั้งการระดมเงินบริจาคโดยที่ไม่มีการตรวจสอบทางบัญชีที่เรียกว่าเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศรัยที่แปลว่า สามารถใช้จ่ายได้ตามใจชอบ เป็นการสร้างบุญบารมีโดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง ได้ทั้งชื่อเสียงความนิยมชมชอบและยังได้เงินกำไรอีกไม่น้อย

การที่กษัตริย์ในประเทศประชา ธิปไตยไม่มีโครงการพระราชดำริเป็นร้อยเป็นพันโครงการ เหมือนแย่งรัฐบาลทำงานก็เพราะกษัตริย์ของประเทศประชาธิปไตยเขาเข้าใจดีว่ากษัตริย์ควรมีบทบาทและหน้าที่เพียงใด ถ้ากษัตริย์อยากทำงานบริหารประเทศ ก็ควรลาออกมารับสมัครเลือกตั้ง เสนอแนวนโยบายให้ประชาชนได้พิจารณา ไม่ใช่มาแอบใช้อำนาจเอางบประมาณและหน่วยราชการไปทำงานของตนโดยไม่มีใครกล้าตรวจสอบกล้าวิจารณ์ เพราะแม้แต่รัฐบาลที่ได้อำนาจบริหารมาจากการเลือกตั้งของประชาชนก็ยังต้องแถลงนโยบายต่อรัฐสภาและเปิดให้มีการอภิปรายวิพากวิจารณ์การทำงานทั้งในและนอกสภา

3.มีการกล่าวหาโจมตีว่าระบอบทักษิณเป็นทุนสามานย์ ที่ร่ำรวยมาจากสัมปทานมือถือ และเป็นธนกิจการเมืองใช้เงินซื้อเสียง เอาใจคนจนเพื่อหวังคะแนนเสียง เล่นการเมืองโดยใช้เงินซื้อเสียง เล่นพวกพ้อง คุกคามสื่อ เป็นเผด็จการรัฐสภา ต้องการขายประเทศโดยการแปรรูปหรือขายรัฐวิสาหกิจซึ่งจะทำให้ประเทศล่มจมแบบอาร์เจนตินา



คำว่าทุนสามานย์น่าจะหมายถึงทุนที่กดขี่ขูดรีดผู้ใช้แรงงานและเอาเปรียบผู้บริโภค เช่นนายทุนเจ้าของโรงงานผลิตที่ใช้เครื่องจักรแบบเก่าและใช้คนงานจำนวนมากด้วยการกดค่าจ้างแรงงานหรือพวกทุนอนุรักษ์ผูกขาดที่อาศัยอำนาจรัฐผูกขาดกิจการโดยไม่มีคู่แข่ง เช่น กลุ่มนายธนาคารของไทย พวกพ่อค้าส่งออกข้าว ฯลฯ แต่การทำธุรกิจมือถือเป็นธุรกิจที่ต้องแข่งขัน ทั้งด้านประสิทธิภาพและการบริการ โดยมีผู้ให้บริการหลายรายที่ต้องแข่งขันกัน


เรื่องสัมปทาน ก็เป็นเรื่องของความจำเป็นที่รัฐต้องให้เอกชนช่วยทำในกิจการขนาดใหญ่ เพราะเอกชนได้เติบใหญ่ มีความพร้อม มีความเป็นเจ้าของและมีประสิทธิภาพในการบริหารงานสูงกว่าภาครัฐบาลมาก และเป็นหน้าที่ของรัฐที่ต้องจัดการประมูลให้สัมปทานเพื่อให้ประชาชนได้รับบริการอย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ

การที่คุณทักษิณประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจโทรศัพท์มือถือและให้บริการถ่ายทอดสัญญาณดาวเทียม ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าเป็นธุรกิจที่กำลังเจริญเติบโตประกอบกับความสามารถในการบริหารและจัดการของคุณทักษิณเอง ในขณะที่ผู้ทำธุรกิจแบบเดียวกันที่ประสบความล้มเหลวก็มีเช่นกัน

การที่กล่าวหากันว่าคุณทักษิณใช้เงินทำงานการเมือง ซึ่งก็เป็นเรื่องจริงในบางส่วน คือ คนที่จะทำงานการเมืองก็ควรมีความพร้อมทางด้านเศรษฐกิจ มิใช่มาทำงานการเมืองเพื่อมายึดเป็นอาชีพหลักอาชีพเดียวแล้วก็ต้องมาทำงานรับใช้กลุ่มทุนที่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
แต่ในอีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญก็คือพรรคของคุณทักษิณได้ใช้แนวทางนโยบายเป็นหลักในการรณรงค์หาเสียง จนได้รับความนิยมจากประชาชนส่วนใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองของไทย แม้ว่าภายหลังจะถูกขบวนการของพระราชาล้มล้างด้วยขบวนการรักในหลวง ทหารของพระราชาและศาลของพระเจ้าอยู่หัว หลายครั้งหลายหนซ้ำแล้วซ้ำเล่าก็ตาม ก็ยังชนะการเลือกตั้งได้ส.ส.เกินกว่าครึ่งหนึ่งของสภาและยังได้รับความนิยมมากขึ้นทั้งในและนอกประเทศ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นพรรคสายเจ้าที่ตั้งมานานและมีฐานของข้าราชการที่ฝั่งรากลึกก็ใช้เงินไม่น้อยและจำเป็นต้องใช้เงินมากเป็นพิเศษเพราะไม่มีทั้งผลงานและนโยบายที่สามารถจูงใจประชาชน ผู้นำพรรคประชาธิปัตย์หลายคนก็ไม่ได้มีฐานะหรือทำธุรกิจมาก่อนแต่กลับมั่งคั่งร่ำรวยจากการทำงานการเมืองเป็นอาชีพ คำว่าธนกิจการเมือง หรือ ใช้เงินนำหน้าก็คงเป็นเพียงการกล่าวหาของพรรคที่แพ้การเลือกตั้งเพราะไม่มีผลงานและดีแต่พูดเท่านั้นเอง

คำว่าเผด็จการรัฐสภา ก็น่าจะเป็นคำที่ประดิษฐ์ขึ้นมาของพรรคที่แพ้การเลือกตั้ง เพราะระบอบประชาธิปไตยย่อมต้องถือเสียงข้างมากเป็นหลัก และก็ไม่มีกฎระเบียบที่ไหนที่จะไปห้ามประชาชนมิให้นิยมพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งจนมีเสียงข้างมากในสภา ที่จริงการที่มีพรรคการเมืองได้ชัยชนะเด็ดขาดในการเลือกตั้งน่าจะเป็นผลดีต่อระบบพรรคการเมืองและทำให้เกิดการบริหารนโยบายที่ต่อเนื่องซึ่งเป็นพื้นฐานจำเป็นต่อการบริหารประเทศในระยะยาว


คำว่าระบอบทักษิณ ก็เป็นเพียงการสร้างตัวปีศาจขึ้นมา เพื่อให้เกิดความเกลียดชัง....เพื่อทำลายพรรคการเมืองที่ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความเชื่อมั่นและไว้วางใจ และตามด้วยข้อกล่าวหาว่าซื้อเสียง คนชนบทเป็นคนไม่มีคุณภาพ เป็นพวกขายเสียง บางคนก็อ้างว่าพรรคของทักษิณเอาเงินภาษีที่คนในเมืองเป็นผู้เสียภาษีจำนวนมากไปช่วยแต่คนชนบทซึ่งเป็นความคิดที่แสนจะคับแคบของคนบางคนที่ไม่เคารพหลักสิทธเสรีภาพและความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย
การที่คุณทักษิณซื้อหุ้นของไอทีวีจากธนาคารไทยพาณิชย์ก็เพื่อต้องการเอาใจสำนักงานทรัพย์สินของกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารไทยพาณิชย์ และสื่อส่วนใหญ่ก็เป็นฝ่ายของเจ้าที่ต้องการทำลายล้างรัฐบาลทักษิณ

ส่วนเรื่องการแปรูปรัฐวิสาหกิจ หรือขายรัฐวิสาหกิจทั้งหมดหรือบางส่วนให้เอกชน ก็เพื่อลดภาระการลงทุนหรือการเป็นหนี้สาธารณะของรัฐบาลและเป็นเรื่องพิสูจน์มาแล้วทั่วโลกว่าเอกชนหรือมหาชนทำงานได้ดีกว่าภาครัฐ แม้แต่เวียตนามก็ยังมีนบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ

ในกรณีของอาร์เจนติน่านั้น ข้อเท็จจริงก็คือ ประเทศอาร์เจนติน่าต้องมีหนี้สินสาธารณะมากเพราะมีรัฐสาหกิจมากมายหลายประเทศ จนในที่สุดรัฐบาลอาร์เจนติน่าต้องแปรรูปรัฐสาหกิจหรือขายให้เอกชน จึงได้หลุดพ้นจากวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจ จึงเป็นการกล่าวหาที่เป็นเท็จโดยสิ้นเชิง

4.ที่ประเทศไทยไม่เจริญก้าวหน้าก็เป็นเพราะนักการเมืองโกงกิน ไม่ว่านักการเมืองคนนั้นจะเก่งแค่ไหน หรือทำงานได้ดีเพียงใด ก็ห้ามโกงเด็ดขาด เราจึงสอนเด็กว่า โตขึ้นต้องไม่โกง
การกล่าวหาว่าใครโกงหรือไม่ ก็มีกฎหมายเขียนไว้ชัดเจนซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีหลักฐาน มิใช่แค่กล่าวหากันลอยๆ หรือใช้วาทกรรมว่าทุจริตเชิงนโยบายที่พิสูจน์ไม่ได้ตามหลักกฎหมาย หรือกล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อน ผิดจริยธรรมหรือจรรยาบรรณ รวมทั้งการตั้งแง่ต่อนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน โดยการตั้งองค์กรอิสระมาตรวจสอบอย่างเข้มงวดเป็นพิเศษ ทั้งกกต. ปปช. ผู้ตรวจการแผ่นดินรัฐสภา ศาลปกครอง ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาสำหรับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทำให้มีการเลือกปฏิบัติที่ไม่เสมอภาคต่อนักการเมือง มีผลทำให้นักธุรกิจไม่อยากลงมาสมัครทำงานการเมืองเพื่อสังคมและประเทศชาติ


แต่กลับยกเว้นไม่ให้มีการตรวจสอบกษัตริย์ซึ่งเป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุดของประเทศ
เข้าลักษณะถี่ลอดตาช้าง ห่างลอดตาเล็น เรื่องหลักเรื่องสำคัญที่สุดกลับไม่ทำ แต่ไปทำเรื่องรองลงมา ทั้งๆที่มีการตรวจสอบนักการเมืองอย่างถี่ยิบ ชนิดที่หาคนดีไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว ถ้าเขาคนนั้นไม่ใช่คนของเจ้า
แต่กลับไม่มีการตรวจสอบกษัตริย์ซึ่งทำตัวเป็นนักการเมืองที่ชักใยการเมืองไทยมาโดยตลอด
ถ้าจะถามว่าใครมีผลประโยชน์ทับซ้อนมากที่สุด ก็คงต้องเป็นกษัตริย์ เพราะกษัตริย์เป็นผู้ใช้อำนาจสูงสุด แถมยังเปิดรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศรัยซึ่งอาจจะเข้าข่ายรับสินบน เพราะรับบริจาคในฐานะที่เป็นกษัตริย์ซึ่งกินเงินเดือนจากภาษีรายได้ของราษฎร ยังไม่นับการให้เครื่องราชย์เป็นการตอบแทนจนมีพระในวัดหลวงถูกจับกุมมาแล้วในข้อหาขายเครื่องราชย์

ถ้าจะถามว่าใครปกปิดทรัพย์สินและหลีกเลี่ยงการเสียภาษีมากที่สุดในประเทศไทย ก็คงต้องตอบว่าไม่มีใครเกินพระราชาที่ร่ำรวยที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปีซ้อน และมีคนออกมาแก้ตัวว่ามันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน แต่พระราชาเป็นคนมีอำนาจเบิกจ่ายแต่เพียงผู้เดียว คงเหมือนกับที่อ้างกันว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน แต่กษัตริย์ผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดแต่เพียงผู้เดียว

5.ทักษิณเข้ามาโกงกินจนร่ำรวย
แถมไม่ยอมเสียภาษีตอนขายหุ้นชินคอร์ปให้เทมาเส็คของสิงคโปร์
มันเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ
ก่อนที่คุณทักษิณจะลงมาทำงานการเมืองก็มีฐานะมั่งคั่งมีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่าสามหมื่นล้านบาทจัดเป็นมหาเศรษฐีอยู่แล้ว และธุรกิจหลักของคุณทักษิณก็ยังเป็นสายธุรกิจที่มีกำลังรุ่งโรจน์ทั้งโทรศัพท์เคลื่อนที่และดาวเทียมไทยคม โดยจดทะเบียนเป็นบริษัทมหาชน บริษัทในเครือของคุณทักษิณทำกำไรได้ดีราคาหุ้นก็สูงเงินปันผลก็มากจึงเสียภาษีมากในแต่ละปี ทั้งภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีรายได้

ต่างจากบริษัทของนายสนธิ ลิ้มทองกุลที่ล้มละลาย ยักยอกถ่ายเทเงินของบริษัทของตนที่เป็นบริษัทมหาชนไปให้บริษัทของลูก ซึ่งเท่ากับฉ้อโกงประชาชนที่ไปถือหุ้นหรือซื้อหุ้นของบริษัทเครือผู้จัดการ ทำให้หุ้นมีราคาเท่ากับศูนย์ และคุณทักษิณก็ต้องเสียภาษีเต็มที่ซึ่งต่างจากเครือสำนักงานทรัพย์สินของกษัตริย์ที่ได้รับการยกเว้นภาษีทั้งๆที่ไม่ใช่ของรัฐหรือของสาธารณะ และผู้ที่มีสิทธิ์เบิกจ่ายหรือใช้จ่ายเงินก็คือกษัตริย์เท่านั้น โดยที่นิตยสารฟอร์บของสหรัฐก็ยืนยันจากการรวบรวมรายการเฉพาะทรัพย์สินที่ตรวจสอบได้ว่ากษัตริย์ไทยมั่งคั่งร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกันโดยมีทรัพย์มากกว่า 35 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือกว่า1ล้านล้านบาท แต่ก็ยังได้งบประมาณค่าใช้จ่ายเลี้ยงดูจากรัฐโดยตรงปีละไม่ต่ำกว่าหกพันล้านบาท มากกว่าราชวงศ์ของอังกฤษกว่าสามเท่า ไม่นับงบประมาณเพื่อการโฆษณาประชาสัมพันธ์และสารพัดโครงการพระราชดำริ  ทั้งนี้ยังไม่รวมการรับบริจาคโดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศรัยที่มีบรรดาพ่อค้า ผู้มีตำแหน่งและสมาคมองค์กรต่างๆ พากันเข้าแถวถวายเงินให้เห็นกันแทบทุกวันในข่าวสำนักพระราชวังตอนสองทุ่ม

จึงกลายเป็นว่าคุณทักษิณถูกคนที่ไม่ค่อยเสียภาษีและคนที่โกงประชา ชนกล่าวหาว่าหนีภาษี ทั้ง​ตัวคุณทักษิณ​ ​ครอบครัว​ ​บริษัท​ ​และ​พนักงานกว่า​ 12,000 ​คน​ ​เสียภาษีทุกรูปแบบ​ ​ทั้ง​เงิน​ได้​จาก​เงินปันผล​ ​เงิน​ได้​บุคคลธรรมดา​และ​นิติบุคคล​ ​รวม​ถึง​ค่าสัมปทานต่างๆ​ ​ทั้ง​มือถือ​ ​ดาวเทียม​ ​ฯลฯ​ ​ปีละหลายหมื่นล้านบาท​ ​สิบกว่าปีที่ผ่านมาก็รวมหลายแสนล้านบาท​ ​เป็น​ผู้​จ่ายภาษีราย​ใหญ่​ที่สุดรายหนึ่งของประ​เทศไทย​ ​ร่วม​ 5% ​ของยอดจัดเก็บของสรรพกร​ ​ทำ​ขนาดนี้​ ​ทั้ง​ผู้​ก่อตั้ง​และ​ตัวบริษัทเอง​ ​เป็น​ผู้​เสียภาษีที่รักชาติ​ไม่​น้อยกว่า​ใครที่มา​โจมตี​ (หลายปีก่อนตอน​ยัง​ทำ​ธุรกิจ​ ​คุณ​ทักษิณเคย​เป็น​บุคคลที่​เสียภาษีสูงสุดของไทยปีละหลายร้อนล้านบาทหลายปี)  กลุ่มบริษัทชินคอร์ปฯ​ ก็​ได้​ชื่อว่า​ ​เป็น​บริษัทดี​เด่นของไทย​ ​มูลค่าทางตลาดรวม​ใน​ตลาดหลักทรัพย์​  ​กว่า​ 350,000 ​ล้านบาท​ ​เท่า​กับ​ 7% ​ของ​ทั้ง​ตลาดหุ้นไทย​ ​เป็น​หนึ่ง​ใน​สามบริษัทไทยที่ติด​ 500 ​อันดับแรกของบริษัท​ใหญ่​ที่สุด​ใน​โลกที่จัด​โดย​นิตยสารฟอร์จูน​ (อีกสองบริษัทคือปูนซี​เมนต์​ไทย​และ​ปตท) ​ได้​รับรางวัล​จาก​ตลาดหลักทรัพย์​ไทย​และ​สถาบันการเงินระหว่างประ​เทศจำ​นวนมาก​ ​ใน​ความ​ดี​เด่น​ใน​แง่​ผู้​บริหาร​ ​การจัดการ​ ​ธรรมธิบาล​ ​การรายงานการเงิน​ ​ความ​เชื่อถือทางการเงิน​ (เครดิตทางการเงินของเอไอเอส​ ​ใน​เครือชินคอร์ปฯคอร์ป​ ​สูงกว่าของรัฐบาลไทย) ​ทำ​ได้​ขนาดนี้​ ​ต้อง​มี​ความ​สามารถ​และ​จริยธรรมเพียงพอแน่

ส่วนที่มีการกล่าวหาเรื่องแอมเพิลริชก็​เป็น​เพียงบริษัทที่มีหน้าที่​เป็น​เพียง​ผู้​ถือหุ้นชินคอร์ป​เฉยๆ​ ​ไม่​ได้​มีกิจการค้าขายธุรกรรม​อื่น​ ​ไม่​มีราย​ได้​ใน​ไทย​ ​หรือ​ใน​ประ​เทศ​ใด​ ​จึง​ไม่​มีภาษี​เงิน​ได้​นิติบุคคล​ให้​เสีย​ใน​ประ​เทศ​ใด​ ​ขณะที่หุ้นชินคอร์ปที่ถือ​อยู่​ ​เป็น​ของครอบครัวชินวัตรตั้งแต่ต้น​ ​สามารถ​ซื้อขาย​ใน​ตลาดหลักทรัพย์​ได้​โดย​ไม่​เสียภาษี​อยู่​แล้ว​ ​จึง​ไม่​มีประ​โยชน์​ใดๆ​ที่​จะ​ตั้งแอมเพิลริชเพื่อการหลีกเลี่ยงภาษี​ ​ซ่อน​หรือ​ฟอกเงิน​หรือ​ทรัพย์สิน​ใดๆ​  ​ ​บริษัทประ​กัน​ภัย​ ​ธนาคารชั้นนำ​ของโลกเกือบทุกราย​ ​รวม​ถึง​หลายแห่งของไทย​ ​ก็มีบริษัทนอกอาณา​เขต​ใน​แหล่งหลักๆ​เช่น​ ​บีวี​ไอ​ ​บาฮามา​ ​เคย์​แมน​ ​ฯลฯ​ ก็ไม่ได้​แปลว่าทุกคนผิดกฎหมาย​​ หรือ​กรณีว่าบัญชีธนาคาร​ใน​ประ​เทศสวิสเซอร์​แลนด์​ ​ขึ้นชื่อว่ามีอาชญากรจำ​นวนมากเปิดบัญชี​ใช้​ฝากเงินผิดกฎหมาย​ ​อย่างที่​เห็นบ่อยๆ​ใน​ภาพยนตร์​ ​แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่ไปเปิดบัญชี​ที่สวิสจะต้อง​เป็น​พวกอาชญากร​ทั้ง​หมด​กันทุกคน​ และหุ้นชินคอร์ป​ ก็​อยู่​ใน​ทะ​เบียนกระทรวงพาณิชย์​และ​ตลาดหลักทรัพย์​ ​ไม่​ใช่​เงินสกปรกที่ฟอก​ได้​

สะกิดเสื้อแดง 

ในขณะที่คนเสื้อแดงบางส่วนก็เริ่มไม่พอใจรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ด้วยเหตุผลใหญ่ คือ


1.รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลของเจ้า เข้าข้างเจ้า ไม่เอาพวกเสื้อแดง ไม่กล้าแก้รัดทำมะนวย ไม่กล้าแตะต้องมาตรา 112 ไม่กล้าลงสัตยาบรรณต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เป็นรัฐบาลที่หลอกใช้คนเสื้อแดง เป็นรัฐบาลที่เนรคุณต่อคนเสื้อแดง บางคนมองว่ารัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็แค่เข้ามาทำมาหากิน แบ่งผลประโยชน์ให้พวกเจ้า หรือกระทั่งเข้ามาค้ำจุนบัลลังก์ให้ระบอบเจ้า
คงต้องตั้งข้อสังเกตและข้อท้วงติงให้นำไปคิดกันต่อ ดังนี้

-รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็สืบต่อมาจากรัฐบาลไทยรักไทย
อย่างที่ประกาศชัดว่า ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ
ที่เน้นการสร้างความเข้มแข็งทั้งทางเศรษฐกิจ ชีวิตความเป็นอยู่และการศึกษาแก่คนส่วนใหญ่ของประเทศ ที่ไม่เคยได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจังในระบอบที่กษัตริย์กุมอำนาจสูงสุดติดต่อกันมาไม่ต่ำกว่า
50 ปี
สิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้กระทำ ก็คือการดำเนินนโยบายต่อเนื่องของพรรคไทยรักไทย ที่ฝ่ายความมั่นคงของเจ้า เรียกว่าการทำสงครามแย่งชิงประชาชนที่เคยหลงงมงายกับระบอบกษัตริย์มานมนานกาเล

และฝ่ายทหารที่จงรักภักดีต่อระบอบกษัตริย์จะต้องหาทางทำลายรัฐบาลที่ประชาชนนิยมชมชอบให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อรักษาความมั่นคงของระบอบกษัตริย์ที่อาศัยความยากจนและงมงายของราษฎรเป็นเงื่อนไขการดำรงอยู่ของระบอบเจ้า
เพราะเมื่อประชาชนมีบัตรทอง
30บาท ก็คงไม่อยากไปเข้าแถวรับเสด็จคาราวานแพทย์อาสาที่แค่มารักษาเล็กๆน้อยๆเพียงเพื่อทำข่าวโฆษณาออกทางทีวี
เมื่อมีกองทุนหมู่บ้าน มีโอท้อป ก็ไม่ค่อยมีใครสนใจศูนย์ศิลปาชีพของพระราชินี ที่ประชาชนเป็นได้แค่ลูกจ้างได้ค่าแรงเล็กๆน้อยๆ หรือสหกรณ์หุบกระพงของในหลวงที่เอาไว้อวดเอาไว้โชว์เป็นหลัก

เมื่อชาวนาขายข้าวได้ราคาถึงเกวียนละประมาณหมื่นห้าพันบาท สูงกว่าเดิมเกือบหนึ่งเท่าตัว ตามนโยบายรับจำนำข้าว ภายในเวลาไม่กี่ปี ชาวนาก็น่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี ไม่ต้องไปรอรับถุงยังชีพพระราชทานที่มาแจกเพื่อเป็นข่าวออกทีวี
ทั้งนี้รวมถึงนโยบายประกันค่าแรงขั้นต่ำวันละ
300 บาท โครงการแจกแทบเลต และโครงการอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งกระทำในลักษณะทั่วประเทศแบบต่อเนื่อง
ใครกันแน่ที่รักประชาชนจริงๆ และยินดีรับฟังความเห็นและคำวิจารณ์จากประชาชน

รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็เช่นเดียวกับไทยรักไทย คือ ทำให้ประชาชนมั่งคั่งและมีการศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งระบอบเจ้าหวาดกลัวและหวาดหวั่นเป็นที่สุด และก็เป็นสิ่งที่ประชาชนชื่นชมอย่างไม่เคยลืมเลือน และให้การสนับสนุนนโยบายสร้างความเข้มแข็งแก่รากหญ้ามาตลอด
เป็นการสร้างมวลชนพื้นฐาน ทำให้ประชาธิปไตยกินได้ เป็นประชาธิปไตยเพื่อประชาชนจริงๆ
และเป็นการเสริมสร้างประชาธิปไตยให้เข้มแข็งไปในเวลาเดียวกัน
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยและไทยรักไทย ก็คือคู่แข่งหรือศัตรูของระบอบเจ้านั่นเอง เป็นรัฐบาลที่อยู่ร่วมกับระบอบเจ้าได้ยาก เรื่องนี้ใครๆก็พอมองออก

แล้วทำไมรัฐบาลไม่เดินหน้าชนระบอบเจ้า ทำไมไม่รีบแก้รัดทำมะนวย ไม่กล้าแก้มาตรา 112 ไม่กล้าลงสัตยาบัณศาลอาญาระหว่างประเทศ แม้แต่แต่แค่ย้ายคุกนักโทษคดีมาตรา 112 มายังหลักสี่ ก็ยังไม่ดำเนินการสักที
ก่อนอื่นลองตั้งสติ คิดให้ดีๆ การที่รัฐบาลไม่เดินหน้าชนตรงๆกับระบอบเจ้ามันเป็นเพราะอะไร
เป็นเพราะรัฐบาลต้องการปกป้องกษัตริย์ที่ทำตัวไม่ใช่กษัตริย์อย่างนั้นจริงๆหรือ

ลองมาคิดกันดูง่ายๆ ว่าถ้ารัฐบาลเดินหน้าชนแบบที่หลายๆคนอยากให้ทำทันทีเพราะมันถึงเวลาแล้วหรือเลยเวลามานานแล้ว
คือเดินหน้าแก้รัดทำมะนวยวาระสามโดยไม่สนใจศาลรัดทำมะนวย ก็อาจเป็นประเด็นว่ารัฐบาลทำผิดหรือรีบร้อน ทั้งๆที่รู้กันอยู่ว่าการแก้รัดทำมะนวยนั้นรัฐบาลไม่กล้าแตะต้องหมวดพระมหากษัตริย์ซึ่งผูกขาดการใช้อำนาจสูงสุดอย่างไม่มีวาระและห้ามการตรวจสอบโดยเด็ดขาด ยังคงเป็นรัดทำมะนวยที่เปิดทางให้กษัตริย์สั่งการให้ทหารยึดอำนาจและรับรองการปล้นอำนาจของปวงชน ทำให้ศาลต้องตัดสินตามกษัตริย์ต้องการเหมือนอย่างที่เป็นอยู่
แล้วจะแก้รัดทำมะนวยไปทำไม มันคุ้มค่าไหม มันได้อะไรจริงๆจังๆแค่ไหนเพียงใด
การแก้มาตรา
112 ก็เช่นกัน จะช่วยแก้ปัญหาได้จริงๆหรือ ตราบใดที่รัดทำมะนวยยังบัญญัติให้กษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะล่วงละมิดหรือฟ้องร้องไม่ได้ แม้แต่การสืบราชสมบัติก็ให้เป็นไปตามพระราชประสงค์ ทั้งๆที่เราอ้างว่าเป็นประเทศประชาธิปไตย แต่เป็นแค่ประชาธิปไตยใต้ฝ่าพระบาท ที่มีแต่การโฆษณาสถาบันกษัตริย์ด้านเดียว ปลูกฝังรูปการจิตสำนึกในระบอบลัทธิเทวราช แถมยังมีองคมนตรีอีก 19 คนที่คุมอำนาจตามองค์กรต่างๆ ทั้งกองทัพ ตุลาการและหน่วยราชการ

สมมุติว่ามีการแก้มาตรา 112 ให้ลดโทษ เหลือแค่จำคุกไม่เกินห้าปี ในระบอบคลั่งเจ้าบูชาวังที่ยังครุกรุ่นไม่เลิก ศาลก็คงจะลงโทษเต็มตามอัตราโทษ โดยตีความว่ากระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ กรรมละห้าปี อย่างที่อากงเอสเอมเอสโดน คือ สี่ข้อความๆละห้าปี ทั้งๆที่อากงส่งเอสเอมเอสไม่เป็นและก็ไม่เคยส่งเอสเอมเอส
การให้รัฐบาลรีบลงสัตยาบันต่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เรื่องนี้มีข่าวว่าเป็นปัญหามาตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ เนื่องจากกษัตริย์ไม่ยอมให้ลงสัตยาบัน เพราะทราบกันดีว่าใครยิงรัชกาลที่
8 ใครสั่งล้อมสังหารนักศึกษาในธรรมศาสตร์เมื่อ 6 ตุลา 2519

การที่อ้างว่าเพียงเพื่อเอาผิดนายสุเทพและนายอภิสิทธิ์เพราะเป็นผู้สั่งการสังหารหมู่ประชาชนในระหว่างเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 ก็เป็นเรื่องที่พูดกันไปเรื่อยเปื่อย เพราะทุกคนก็รู้ดีว่ารัฐบาลสั่งทหารไม่ได้ คนที่สั่งทหารให้สังหารประชาชนได้มีอยู่คนเดียว คือกษัตริย์นั่นเอง เพราะกษัตริย์สามารถออกกฎหมายยกเว้นความผิดแถมปูนบำเหน็จให้พวกฆาตกรในเครื่องแบบให้ได้ดิบได้ดีเสมอมา ที่สำคัญคือไม่มีใครกล้าขัดพระราชประสงค์ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือศาลระดับไหนก็ตาม เพราะคงไม่มีใครอยากรับเคราะห์กรรมอย่างพล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภกับพรรคพวกกกต.อีกสองคนที่ถูกตีตรวนยัดเข้าเรือนจำ เพราะไม่ทำตามพระราชประสงค์ตามคำขู่ของพลเอกเปรม

บางคนก็บอกว่าได้ให้เวลารัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำงานมานานพอสมควรแล้วและถึงเวลาที่รัฐบาลควรจะรุกคืบทางการเมืองได้แล้ว เดินหน้าแก้รัดทำมะนวย แก้มาตรา 112 อย่ายึกยักเอาใจเจ้าอยู่อีกเลย.....ไม่อย่างนั้นก็เท่ากับทรยศต่อประชาชนที่อุตส่าห์ต่อสู้เสียชีวิตและบาดเจ็บล้มตาย
พร้อมทั้งปฏิเสธการออกกฎหมายนิรโทษกรรม โดยพวกเสื้อเหลืองอ้างว่าเป็นการช่วยอดีตนายกทักษิณให้พ้นผิดขณะที่เสื้อแดงก็ไม่ยอมเหมือนกัน โดยอ้างว่าเป็นการช่วยให้ฆาตรกรพ้นผิด ทั้งๆที่ทุกคนก็รู้ดีศาลของประเทศไทยเป็นศาลของกษัตริย์ที่ไม่เคยยึดหลักกฎหมายหรือหลักยุติธรรมใดๆเหมือนในประเทศประชาธิปไตยทั่วไป

พวกเสื้อแดงบางคนดูเหมือนอยากให้รัฐบาลรุกคืบไปเลย ทำเหมือนกับว่าเป็นรัฐบาลในประเทศประชาธิปไตยที่มีอำนาจสูงสุดอยู่ในมือ ในขณะที่กองทัพและศาลยังคงขึ้นต่อกษัตริย์ ที่สำคัญคือประชาชนแม้แต้เสื้อแดงเองก็ยังเคารพหมอบกราบต่อกษัตริย์เหมือนกัน...ในเมื่อประชาชนก็ยังเกรงใจกษัตริย์ แล้วกองทัพ ศาลและรัฐบาลจะกล้าขัดพระทัยหรือ...

แต่ถ้าประชาชนพร้อมใจลุกขึ้นยืนตัวตรง ประกาศว่าไม่เอากษัตริย์ที่ฝักใฝ่และสนับสนุนเผด็จการดักดานอีกต่อไปแล้ว เมื่อนั้น ทั้งกองทัพ ศาลและรัฐบาล ก็คงไม่มีใครกล้าขวางทางมหาประชาชน อย่างที่มีคนเปรียบไว้ว่า เรือใหญ่ลอยอยู่ได้เพราะน้ำ แต่ก็จมเพราะน้ำเช่นกัน
ที่กษัตริย์ยังยิ่งใหญ่ ผูกขาดอำนาจสูงสุดมาได้ยาวนาน เพราะอาศัยความหลงเชื่อ ความงมงายความดักดานไม่ยอมตื่นของพสกนิกรราษฎรทั้งหลายนั่นเอง ทำให้กองทัพและศาลรวมทั้งรัฐบาลต้องจำยอมอาศัยพระบารมีเป็นที่พึ่งต่อไป เพราะไม่กล้าต่อสู้กับพลังศรัทธาของประชามหาชนคนรักในหลวง......

ดังนั้น คนที่พร้อมจะสู้กับอำนาจอิทธิพลของกษัตริย์ ก็คือมหาประชาชนนั่นเอง
ถ้าประชาชนพร้อม ทุกฝ่ายและทุกส่วนก็คงต้องพร้อมเช่นกัน
ความพร้อมหรือไม่พร้อมจึงมีพื้นฐานมาจากประชาชน
และรัฐบาลเพื่อไทยก็กำลังทำหน้าที่ดูดถ่ายความรักความศรัทธาของประชาชนมาจากกษัตริย์ที่หลอกว่ารักประชาชน กษัตริย์ที่ใจแคบใจดำชอบทำลายรัฐบาลของประชาชน ด้วยความหวาดระแวงว่าบังอาจหาญกล้ามาแย่งศรัทธาของประชาชนไปจากพระองค์

2.แล้วเราจะทำอะไรกันต่อดีล่ะ
จะอยู่กันเฉยๆ รอให้รัฐบาลอวยเจ้า
เกรงใจเจ้าต่อไปเรื่อยๆหรืออย่างไร

เราก็คงต้องปกป้องระบอบประชา ธิปไตยไม่ยอมให้ใครมาล้มล้างยึดอำนาจจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นเป็นทหารที่ทำตามพระราชประสงค์ หรือศาลที่ทำตามพระราชอัธยาศรัย เราก็จะไม่ยอมทั้งนั้น ดังนั้นกษัตริย์ก็ต้องมีหน้าที่รักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ถ้ากษัตริย์ทำผิด ก็ต้องรับโทษหนักกว่าคนทั่วไปหลายเท่า เพราะถือว่าทรยศต่อหน้าที่และคำสัตย์ปฏิญญาณ ไม่สมกับที่ประชาชนได้ให้ความไว้วางใจ
กษัตริย์ในประเทศประชาธิปไตยจะเกรงใจประชาชนและจะไม่เพ่นพล่านก้าวก่ายทางการเมืองเหมือนอย่างที่กษัตริย์ในประเทศเผด็จการล้าหลังที่ทำตัวเหมือนเป็นเทพเจ้าและพระพุทธเจ้าในเวลาเดียวกัน ส่วนการผลักดันเรื่องทางการเมือง ก็เป็นเรื่องที่ต้องผลักดันกันต่อไป เพราะไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม และยังมีสิ่งที่ต้องทำตามลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนซึ่งแต่ละส่วนอาจให้น้ำหนักและจังหวะที่แตกต่างกัน

ประชาชนไทยจะต้องเลือกระหว่างระบอบประชา ธิปไตยที่ประชาชนมีอำนาจสูงสุด มีสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค กับระบอบที่มีกษัตริย์เป็นเจ้าของอำนาจสูงสุดที่อยู่เหนือกฎหมายและความถูกต้องชอบธรรมทั้งมวล ที่เรียกกันว่าระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแบบไทยๆ ซึ่งได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นแค่ระบอบเผด็จการล้าหลังที่มีสภาและรัฐบาลที่ต้องขึ้นกับความพอใจของกษัตริย์


ประชาชนที่ต้องการประชา ธิปไตยมีความจำเป็นที่จะต้องช่วยกันสร้างรูปการจิตสำนึกของเสรีชนแทนที่รูปการจิตสำนึกแบบไพร่ทาสที่มีการปลูกฝังกันมานมนาน ต้องกล้าที่จะลุกขึ้นทวงอำนาจของปวงชน กล้าเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคโดยไม่มีข้อยกเว้นให้แก่ใครหรือผู้ใดทั้งสิ้น ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ยิ่งสูงส่งยิ่งศักดิ์สิทธิ์ยิ่งมีอำนาจก็ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบ ต้องทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี มิใช่เป็นแบบอย่างที่ชั่วช้าสามานย์โดยไม่มีใครกล้าปริปากพูดความจริง ซึ่งจะกลายเป็นต้นตอของความชั่วร้ายทั้งหลายของประเทศที่แพร่กระจายติดต่อฝังรากลึกกันมานาน จนไม่สามารถกำจัดได้ จนกลายเป็นสังคมที่เข้าทำนองว่า ทำได้ได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป หรือ ทำดีอัปรีย์กินหัว ทำชั่วมีคนยกย่อง
......................

ไม่มีความคิดเห็น: