หรือทาง : http://www.mediafire.com/?xqkrmcyfa5omubr
.................
สังคมศาสตร์ฉบับราษฎร ปี 2555
ตอนที่ 01 ประวัติศาสตร์อุษาคเนย์
ประวัติศาสตร์ไทยฉบับล่าเมืองขึ้น



กรมพระยาดำรงราชานุภาพบิดานักประวัติศาสตร์ไทยฉบับเมืองขึ้นได้แบ่งยุคประวัติศาตร์ไทยเป็น 3 ยุค คือ ยุคกรุงสุโขทัย ยุคกรุงศรีอยุธยา และยุคกรุงรัตนโกสินทร์ ใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลาง โดยอ้างว่าต้องยึดเอาภาษาเขียนเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ จากจุดเริ่มต้นคือการประดิษฐ์อักษรไทยสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช

จากการนำหลักฐานจากทางประวัติศาสตร์ เช่น ปูมบันทึกโบราณชาติต่างๆเช่น จีน ลังกา อินเดีย อาหรับ กรีก และตำนานบ้านวังพวกราชวงศ์ ที่บ้านร้อยเรือน ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ จ.สุราษฎร์ธานี



ซึ่งขุนวิจิตรมาตราคงเอามาจากหนังสือของสาธุคุณวิลเลี่ยม คริสตันด็อดด์ หมอสอนศานาที่เข้ามาอาศัยอยู่ที่เชียงรายช่วงปี พ.ศ. 2429-2461 และได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับคนที่พูดภาษาตระกูลไต โดยเขียนไว้กว้างๆว่าคนไทยมีเชื้อสายมองโกลอาศัยอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลเสฉวน แล้วขุนวิจิตรมาตราก็เอาข้อมูลนี้ไปขยายความเอาเอง

มีหลักฐานปรากฎในจดหมายเหตุปโตเลมีที่กล่าวถึงชื่อเมืองต่างๆของสหราชอาณาจักรเทียนสนที่เชื่อมต่อกับสมัยของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ระหว่าง พ.ศ. 753-1224 โดยมีการระบุที่ตั้งเป็นเส้นรุ้งเส้นแวง ตรวจสอบกันได้ เริ่มจากบันทึกการเดินเรือของพ่อค้าชื่อ อเล็กซานเดอร์ ที่เดินทางเข้ามาค้าขายในดินแดนสุวรรณภูมิของสหราชอาณาจักรเทียนสนระหว่าง พ.ศ. 693-715 หรือมากกว่า 1800 ปีที่แล้วมา


การจัดรูปแบบการปกครอง
ปกครองแบบสหราชอาณาจักร
การปกครองของชนชาติอ้ายไตในสมัยสหราชอาณาจักรเทียนถึงสหราชอาณาศรีโพธิ์ ยึดถือตามแบบอินเดีย ใช้รูปแบบ -สหราชอาณาจักร -อาณาจักร –แคว้น -เมือง มีการเปลี่ยนเมืองหลวงบ่อยตามชื่อเมืองหรืออาณาจักรที่กษัตริย์นั้นขึ้นดำรงตำแหน่งมหาจักรพรรดิ แตกต่างจากจีนที่ปกครองในรูปแบบมหาอาณาจักรที่ไม่ค่อยมีการเปลี่ยนเมืองหลวง
ตำแหน่งกษัตริย์ในรัฐไทยโบราณ มี 4 ลำดับ คือ
-มหาจักรพรรดิ เป็นผู้ปกครองสูงสุดในสหราชอาณาจักรและมีกองทัพขึ้นต่อมหาจักรพรรดิ มี นายก หรือ สหราชนายก ช่วยเหลือราชการแผ่นดินของมหาจักรพรรดิ
-จักรพรรดิ ทำหน้าที่ควบคุมกองทัพประจำการ เป็นทหารหลักทั้งทางบกและทางน้ำ ทำการรักษาดินแดน และปราบปรามผู้รุกรานแทนมหาจักรพรรดิ
-มหาราชา ปกครองแว่นแคว้นอาณาจักรอีกทอดหนึ่ง โดยมีมหาอุปราช ช่วยงานมหาราชาอีก
-ราชา ปกครองเมืองหรือแว่นแคว้น
นอกจากนี้ยังมีสภาปุโรหิต ดูแลงานพิธีการต่างๆ สภาองคมนตรีเป็นที่ปรึกษา สมุหกลาโหม สมุหนายก ช่วยงานในแต่ละอาณาจักร
เมืองนครหลวงหรือศูนย์กลางอำนาจของรัฐ จะย้ายไปตามอาณาจักร หรือเมืองที่กษัตริย์นั้นขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิ
นอกจากนี้ยังมีกฏมณเฑียรบาลในการขึ้นดำรงค์ตำแหน่งสำคัญ เช่น จักรพรรดิ และมหาจักรพรรดิต้องเป็นผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ขอม -ไต คือ ราชวงศ์โคตมะที่มีเชื้อสายอ้ายไตและต้องนับถือศาสนาพุทธ เมื่อพระชนม์ครบ 80 ชันษาหรือสุขภาพไม่แข็งแรงจะต้องสละราชสมบัติ โดยผ่านการพิจารณาของสภาองคมนตรี ซึ่งใช้มาตั้งแต่สมัยมหาจักรพรรดิท้าวกุเวร กรุงพรหมทัศน์ สหราชอาณาจักรเทียน(แถนก๊ก) ตั้งแต่พ.ศ.297 จนถึง พ.ศ.1165 ในสมัยจักรพรรดิท้าวอุเทน กรุงธารา (เขาดอก) สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ เป็นระยะเวลา 870 ปี จึงได้แก้ไขกฎมนเทียรบาลนี้ให้เหมาะกับกาลสมัย โดยยอมให้เชื้อสายราชวงศ์อ้ายไตที่มีเชื้อสายอื่นปะปน เช่น ราชวงศ์มอญและทมิฬ แต่ทั้งนี้จะต้องผ่านการพิสูจน์ตัวเองก่อน
สภาพภูมิประเทศของสุวรรณภูมิ
ใน 2500 ปีที่ผ่านมา

ต่อมาช่องแคบพรหมทัศน์หรือช่องแคบโพธิ์นารายณ์ เกิดการตื้นเขินตอนปลายของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 เพราะไม่ได้มีการกล่าวถึงช่องแคบนี้อีกเลย ประเทศไทยเคยคิดจะขุดช่องแคบนี้ขึ้นใหม่ สมัยรัชกาลที่ 5 แต่ไปขัดผลประโยชน์ของพวกฝรั่งที่คุมช่องแคบมะละกาและมลายู
ในประวัติศาสตร์โบราณเมื่อถูกจีนรุกราน อาณาจักรหนันเจ้าก็จะขอความช่วยเหลือมายังอาณาจักรเทียนหรือคีรีรัฐ ซึ่งจะส่งกำลังพลเข้าร่วมทำสงครามขับไล่จีน แว่นแคว้นไหนที่ถูกจีนยึดครองก็จะมีการอพยพประชาชนและราชวงศ์มาสร้างบ้านแปลงใหม่ในดินแดนสุวรรณภูมิในอุษาคเนย์ เหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนอาณาจักรหนันเจ้าถูกจีนทำลายอย่างเบ็ดเสร็จในเวลาต่อมา
อาณาจักรนาคน้ำ นาคฟ้าและนาคดินมหาอาณาจักรเทียนประกอบด้วย อาณาจักรนาคน้ำ นาคฟ้าและนาคดิน

แคว้นพรหมทัศน์บริเวณพื้นที่ยะลาเป็นจุดกำเนิดของรัฐชนชาติอ้ายไตในดินแดนสุวรรณภูมิ แต่มีการพบแหล่งทองคำขนาดใหญ่ ที่ คลองหิต (ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ สุราษฎร์ธานี) ทำให้ท้าวไชยทัศน์ ใช้แคว้นคลองหิตเป็นนครหลวงของอาณาจักรสุวรรณภูมิแต่ยังขึ้นต่อหนันเจ้า ต่อเนื่องมาถึงมหาราชาท้าวโกศลได้ประกาศเอกราชแยกออกจากหนันเจ้าสืบต่อมาจนเกิดเป็น สหราชอาณาจักรเทียน ประกอบด้วย อาณาจักรนาคน้ำ นาคฟ้า และนาคดิน โดยมหาจักรพรรดิท้าวกุเวร แห่งรัฐนาคน้ำได้เป็นรัฐกาลที่ 1 นครหลวงคือแคว้นพรหมทัศน์ อาณาจักรนาคน้ำตั้งอยู่ระหว่างช่องแคบมะละกากับช่องแคบพรหมทัศน์หรือโพธิ์นารายณ์(ยะลา) มีสภาพเป็นเกาะ คุมการคมนาคมทางเรือทั้งสองฝั่งมหาสมุทร เป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ครอบคลุมทั้งการค้าและการทหาร สันนิษฐานว่า อาณาจักรนาคน้ำ ได้แก่แคว้นพรหมทัศน์ (ยะลา) แคว้นกลิงค์ตัน (กะลันตัน) แคว้นตาโกลา (ตรัง) เป็นต้น





สงครามระหว่าง
ชนชาติอ้ายไตกับชนชาติจีน

ราชวงศ์เจ้าอ้ายไตต้องการให้ชนชาติอ้ายไตแยกอาณาจักรหนันเจ้าออกมาจากอาณาจักรเจ็ค แล้วทำสงครามแย่งดินแดนกลับคืน แต่บางส่วนคิดที่จะรวมกัน แล้วหวังแย่งอำนาจจากราชวงศ์โจวตะวันออก เพื่อยึดครองดินแดนทั้งหมดของประเทศจีน
อาณาจักรหนันเจ้า
หรือหนานเจ้า ( Nanchao or Nanzhoa )

รัฐของชนชาติอ้ายไตในแดนสุวรรณภูมิมีจุดกำเนิดอยู่ที่แคว้นพรหมทัศน์บริเวณพื้นที่ยะลาเป็น แต่ตอนนั้นมีการพบแหล่งทองคำขนาดใหญ่ ที่ คลองหิต ต.คันธุลี อ.ท่าชนะ สุราษฎร์ธานี ท้าวไชยทัศน์ จึงใช้แคว้นคลองหิต เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรสุวรรณภูมิ มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาถึงรัชสมัยของท้าวโกศลจึงได้ประกาศเอกราชแยกออกจากอาณาจักรหนันเจ้า มีเมืองหลวงชื่อเมืองคลองหิต หรือครหิ มีกษัตริย์ปกครองสืบต่อมาจนเป็นสหราชอาณาจักรเทียน (แถน)ประกอบด้วย อาณาจักรนาคน้ำ นาคฟ้า และนาคดิน โดยมหาจักรพรรดิท้าวกุเวร แห่งรัฐนาคน้ำได้เป็นรัฐกาลที่ 1 ของสหราชอาณาจักรเทียน นครหลวงคือแคว้นพรหมทัศน์ อาณาจักรนาคน้ำตั้งอยู่ระหว่างช่องแคบมะละกากับช่องแคบพรหมทัศน์หรือโพธิ์นารายณ์(ยะลา) มีสภาพเป็นเกาะ คุมการคมนาคมทางเรือทั้งสองฝั่งมหาสมุทร




ปี พ.ศ.288 เกิดสงครามระหว่างอาณาจักรหนันเจ้ากับอาณาจักรเจ็คแห่งราชวงศ์โจวตะวันออก ฮ่องเต้จวงเซียงหวาง แห่งแคว้นฉิน ส่งกองทัพใหญ่ทำลายราชวงศ์โจวตะวันออกล่มสลาย ต่อมาพระราชโอรส คือ ฮ่องเต้หวางเจิ้ง สามารถปราบทั้ง 6 ก๊กจนราบคาบ
ในพ.ศ.299 แคว้นฉู่ หรือเสฉวนของชนชาติอ้ายไต ถูกแคว้นฉินเข้าครอบครอง ในขณะที่แคว้นฉี กับ แคว้นเอี๋ยนกำลังอ่อนเปลี้ยจากสงคราม 35 ปี ชนชาติอ้ายไตต้องอพยพอีกระลอกใหญ่ลงใต้สู่ดินแดนสุวรรณภูมิ ได้เกิดแคว้นใหม่ๆ เช่น แคว้นตาโกลา (ตรัง) แคว้นตาโกปา(ตะกั่วป่า) แคว้นมิถิลา (ไชยา) แคว้นกิมหลิน (ราชบุรี) โดยใช้เส้นทางเดินเรืออพยพลงมา ไปตั้งถิ่นฐาน ณ ชายฝังทะเลตะวันตก เกิดเป็นแคว้นใหม่เข้ารวมกับอาณาจักรนาคน้ำ และได้ร่วมกันทำสงครามขับไล่ชนชาติกลิงค์และชนชาติทมิฬออกไปจากดินแดนสุวรรณภูมิ




หนันเจ้าเป็นอาณาจักรของชนชาติอ้ายไตอีกอาณาจักรหนึ่ง ก่อนเกิดสงครามเหล็กพวกเชื้อสายอ้ายไตและที่ผสมรวมกับพวกพื้นเมืองไปเย่ ตั้งถิ่นฐานกระจายไปทั่วในดินแดนทางใต้ ภาคกลาง ตะวันออกและตะวันตกของอาณาจักรเจ็ค หลังจากพวกชนชาติอ้ายไตค้นคิดแร่เหล็กประกอบเป็นอาวุธได้ ทำให้สามารถขยายดินแดนยึดครองทางเหนือของจีนเป็นอาณาจักรแมนจูเจ้าหรืออาณาจักรแมนสรวง ทำสงครามผลัดกันแพ้และชนะกับฝ่ายอาณาจักรเจ็ค


เมื่อ พ.ศ.386 ฮ่องเต้ฮุ่ยตี้สวรรคต ได้ฮ่องเต้องค์ใหม่ คือ ฮั่นจิงตี้ ( Emperor Jing of Han) ครองราชระหว่าง พ.ศ.386-402 ได้เกิดกบฏ 7 หวังหรือกบฏ 7 แคว้น มีสงครามแย่งชิงดินแดนหนันเจ้าจากฝ่ายจีน สหราชอาณาจักรเทียนต้องส่งกองทัพเข้าหนุนช่วยหนันเจ้า เกิดสงครามกลางเมืองในจีนร่วม 8 ปี

สืบเนื่องมาจากเมื่อ พ.ศ.342 กองทัพของอาณาจักรมองโกเลียหรือชนชาติซ่งหนู ปิดล้อมเมือง ฮ่องเต้ฮั่นเกาตี้ยอมจำนนขอเป็นพันธมิตรโดยยกราชธิดาให้แก่มหาราชาของมองโกเลีย และใช้พวกซ่งหนูไปทำสงครามปราบหนันเจ้า แต่เกิดความไม่สงบในราชวงศ์ฮั่นตะวันตก ตระกูลเจ้าแซ่หลิวเข้ายึดอำนาจ สถาปนาฮ่องเต้ฮั่นเหวินตี้ (Han Wendi )





พระเจ้าอโศกมหาราช
และดินแดนสุวรรณภูมิ





พระเจ้าอโศกมหาราช
กับพุทธศาสนา

พระเจ้าอโศกมหาราชเกิดความเบื่อหน่ายสังเวชสลดใจจากการศึกทำสงครามที่นองเลือด หลังจากได้สนทนาธรรมกับพระภิกษุอุปคุปต์ พระองค์ทรงเลื่อมใสพุทธศาสนา เมื่อ พ.ศ.277 ได้เปลี่ยนจากศาสนาพราหมณ์มาเป็นพุทธ ระหว่าง พ.ศ.290-297 ทรงเดินทางไปจาริกแสวงบุญในหลายแห่ง สันนิษฐานว่าในพ.ศ.296-297 ได้เสด็จเยือนแคว้นมิถิลาแห่งสหราชอาณาจักรเทียน พระเจ้าอโศกทรงเชื่อคำทำนายว่าดินแดนสุวรรณภูมิ ( Suvanaphum ) จะเป็นศูนย์กลางการเผยแผ่พุทธศาสนาต่อไปภายหน้าถึง 5,000 ปี จึงได้เสด็จสุวรรณภูมิ ทำให้มหาราชาท้าวกูและโอรสคือมหาอุปราชท้าวกุเวร รวมทั้งเจ้าโกแมนสม ได้ฟังคำสอนจากพระอุปคุปต์ (พระบัวเข็ม) ที่ตามเสด็จมา จนกษัตริย์อ้ายไตทั้งสามพระองค์เกิดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เป็นกษัตริย์ไทยพระองค์แรกๆที่ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนา


พระเจ้าสุมิตร (หารคำ)



ความเป็นมาของขอม :

พระเจ้าสุมิตรที่ได้ขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิเจ้าหารคำคือต้นราชวงศ์ขอม-ไทย โดยส่งพระราชโอรสคือเจ้าชายนกหยกไปสร้างบ้านแปลงเมืองขึ้นในบริเวณปัตตานีเมื่อประมาณพ.ศ.327 เป็นต้นกำเนิดของ แคว้นลังกาสุกะของอาณาจักรนาคน้ำ มีการสร้างกำแพงเมืองล้อมรอบพระราชวังหลวง ป้องกันการรุกรานของชนชาติกลิงค์และทมิฬ ถือเป็นสายราชวงศ์โคตมะที่หลงเหลือจากการกวาดล้างทำลายของพระเจ้าวิฑูฑภะที่ได้ยกกองทัพไปตีเมืองกบิลพัสดุ์ กำจัดพวกศากยวงศ์ ทำลายเมืองกบิลพัสดุ์ราบไปในปีสุดท้ายก่อนที่พระพุทธเจ้าปรินิพาน อาณาจักรคามลังกานี้ ซึ่งหลายส่วนเป็นกัมพูชาและลาว รวมทั้งในไทย แคว้นคามลังกาหมายถึงเมืองจันทบุรี


การสร้างมหาวิทยาลัย
โพธิ์นารายณ์ ในสุวรรณภูมิ :


ชนชาติมอญ-รามัญ
(Mon-Raman):


สงครามชวากะรัฐ
ช่วงพ.ศ. 280-297


แคว้นชวากะรัฐถูกยึดครองโดยสหราชอาณาจักรเทียน และทำการปราบปรามพวกกลิงค์รัฐที่อพยพมาจากเกาะพระกฤต รวมทั้งบรรดานักรบของชนชาติมอญ จนเหตุการณ์สงบราบคาบเบ็ดมหาราชาเชียงสงแห่งแคว้นมิถิลาของอาณาจักรนาคฟ้าทรงโปรดให้ พระเจ้าตาแลง ซึ่งมีเชื้อสายมอญและอ้ายไตขึ้นปกครองแคว้นชวากะรัฐ ในราว พ.ศ.358
กำเนิดอาณาจักรอิสานปุระ
ประมาณ พ.ศ. 678 เจ้า ชายมังเคร ชนชาติกลิงค์จากอาณาจักรชบาตะวันออก(เกาะชวา)ยกทัพตามการยุยงของมหาอาณาจักร จีนเข้ายึดแคว้นชวากะรัฐของสหราชอาณาจักรเทียนสนแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นแคว้น กลิงค์รัฐ จับพระเจ้ามอญประหารชีวิต
ประมาณ พ.ศ. 678 เจ้า ชายมังเคร ชนชาติกลิงค์จากอาณาจักรชบาตะวันออก(เกาะชวา)ยกทัพตามการยุยงของมหาอาณาจักร จีนเข้ายึดแคว้นชวากะรัฐของสหราชอาณาจักรเทียนสนแล้วเปลี่ยนชื่อเป็นแคว้น กลิงค์รัฐ จับพระเจ้ามอญประหารชีวิต


ลัทธิกล่าวหาใส่ความ
หรือวิชาทำตอแหล

แต่พระแม่ธรณีกรรแสง พระแม่ธรณีบีบมวยผมหรือพระแม่ธรณีแห่งแผ่นดิน ในตำนานทางปักษ์ใต้หมายถึงพระนางอุษาในยุคสหราชอาณาจักรคีรีรัฐตอนปลาย ราว พ. ศ. 1200 เรียกตามตำนานเป็นพระแม่ธรณี เป็นผู้ให้กำเนิดวิชากล่าวหาใส่ความ จนแว่นแคว้นของรัฐไทยโบราณยุคนั้นแตกแยกกระจัดกระจาย ก่อนเข้าสู่ยุคศรีโพธิ์

ความเป็นมาของพระแม่ธรณี
และวิชาทำตอแหล
เกิดขึ้นในช่วงปลายสหราชอาณาจักรคีรีรัฐระหว่างพ.ศ. 1129 - 1215 ในสมัยมหาจักรพรรดิ์หยางจ้าวหลีชุน รัชกาลที่ 37 ที่สิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ.1129 ในระหว่างสงครามกับอาณาจักรเวียตน้ำ(บอร์เนียว) พระราชวังสระทิ้งพระ (อ.สทิงพระ สงขลา) หรือกรุงพุทธทองถูกเผาทำลาย จักรพรรดิขุนหลวงใหญ่ไกลโศกแห่งแคว้นศรีโพธิ์อาณาจักรชวาทวีปขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิ์แทน ในตอนนั้นธิดา 5
นางต้องหลบหนีซ่อนตัวพร้อมขุนนางใกล้ชิดซึ่งเป็นขันทีในราชสำนักสองคน ชื่อ
ตาตอและตาแหล
พระยาเทพนิมิตรมหาราชาของอาณาจักรเทียนสน(นาคน้ำ)ได้ส่งทหารติดตามจนพบ
ต่อมาได้รักกับพระนางอุษา
แต่เมื่อมีการส่งตัวเจ้าสาวพระนางอุษาให้มหาราชาเทพนิมิตร ณ กรุงพุทธทอง
ทุกวันนี้บรรดาคนเก่าแก่ที่สงขลา ยังคงเคารพพระเจ้าชุนผู้เป็นบรรพชน
มีหลักฐานพิธีการส่งตัวพระนางอุษาไปให้แก่
ท้าวเทพนิมิตรจักรพรรดิอาณาจักรเทียนสุน
เพื่ออภิเษกสมรสเป็นมเหสีเอกที่เรียกว่าพระแม่ธรณีแห่งแผ่นดิน
คือมเหสีเอกขององค์จักรพรรดิและมหาจักรพรรดิ
และวิชาทำตอแหล







พระราชจิตรเสนเป็นตัวการหลัก ที่ชักใย เสี้ยมสอนกลอุบายวิชามารกล่าวหาใส่ความ บิดเบือนข้อเท็จจริง พูดจริงผสมเท็จ เพื่อยุแยกแตกทำลายบั่นทอนให้คู่สงครามอยู่ในภาวะระส่ำระสาย ไร้สามัคคี ทำลายกันเอง

ในช่วงนั้นพวกราชวงศ์มอญ-ขอม-ทมิฬที่มีพี่น้องสามกษัตริย์แห่งอาณาจักรอิสานปุระคือ พระเจ้าจิตรเสน พระเจ้าศรีพาระและพระเจ้าศรีภววรมันต้องการยึดครองแคว้นคามลังการจากเจ้าอ้ายไตราชวงศ์จิว แต่ในปี พ. ศ. 1129 ท้าวอุเทนได้ตั้งพระยาจันทร์โอรสองค์ที่สามของท้าวเทพนิมิตรให้เป็นอุปราชปกครองอาณาจักรคามลัง(มีศูนย์กลางอยู่ที่จันทร์บูรณ์) ทำให้พวกพี่น้องสามกษัตริย์ไม่พอใจมาก จึงหาเรื่องสร้างความปั่นป่วน





พ. ศ. 1135 พระยากงได้อภิเสกสมรสกับเจ้าหญิงแก้วหรือหม่อมแก้วงาบเมือง ธิดาของพระยาคูบัวมหาราชาแห่งอาณาจักรนาคน้ำ มีโอรสคือเจ้าชายพาน



พ. ศ. 1143 พระเจ้าจิตรเสนให้พระนางเม็งวางยาพิษท้าวลาวเงินแล้วเชิดขุนจอมชินโอรสองค์ใหญ่ขึ้นครองราชย์เปลี่ยนชื่ออาณาจักรเชียงแสนเป็นอาณาจักรเงินยางแล้วนำมารวมกันตั้งเป็นสหราชอาณาจักรอิสานปุระ
พ. ศ. 1143 พระยากงตั้งต้นเป็นมหาราชาท้าวปรารพเปลี่ยนชื่ออาณาจักรนาคฟ้าเป็นอาณาจักรทวาราวดี ประกอบด้วยแควันทวาย ราชคฤห์และหงสาวดี
พ. ศ. 1144 ท้าวปรารพ(พระยากง)ประกาศจัดตั้งสหราชอาณาจักรทวาราวดี มาจากคำว่า ทวาย-ราชคฤห์-หงสาวดี มีสภาโพธิอยู่ที่แคว้นหงสาวดี ตั้งตนเป็นมหาจักรพรรดิท้าวปรารพ มีนครหลวงอยู่ที่แคว้นราชคฤห์(ราชบุรี) มีการสร้างกฎมณเฑียรบาลขึ้นใหม่ ให้ราชวงศ์อ้ายไตที่ผสมกับเชื้อสายราชวงศ์มอญ-ทมิฬมีสิทธิ์สืบทอดราชสมบัติเป็นจักรพรรดิและมหาจักรพรรดิได้ ส่วนพระนางอุษาหมายมั่นให้โฮรสของตนคือเจ้าชายศรีธรนนท์และเจ้าชายศรีธรรมโศกได้เป็นใหญ่ในสหราชอาณาจักรคีรีรัฐโดยให้แคว้นพะโคเป็นนครหลวง จึงได้มอบพระบรมสารีริกธาตุที่พระนางนำหลบซ่อนออกมาจากแคว้นสะทิ้งพระเมื่อครั้งถูกล้อมเผาเมืองในปีพ.ศ.1129 เพื่อนำมาสร้างพระบรมธาตุเจดีย์หงสาวดีและพระบรมธาตุปฐมเจดีย์(นครปฐม)เพื่อสนองตอบความต้องการของพระอาจารย์เถระรอดและพระยาศรีจง ในปีพ.ศ. 1143 พระยาศรีจงก็ได้สร้างมหาวิทยาลัยหงสาวดีเลียนแบบนาลันทาและมีการตั้งสภาโพธิขึ้นใหม่โดยไม่ยอมรับสภาโพธิดั้งเดิมของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
มหาจักรพรรดิท้าวปรารพได้ตั้งพระอนุชาคือพระยาศรีจงที่มีพระชาชยาคนเดียวกันคือพระนางอุษา ให้เป็นจักรพรรดิหงสาวดี ครองแคว้นหงสาวดี(พะโค) ให้พระเจ้าจิตรเสนนักวางแผนใหญ่ของราชวงศ์มอญ-ทมิฬให้เป็นเป็นนายกครองเมืองนายก(นครนายก) ให้พระเจ้าศรีพาระขึ้นเป็นมหาราชาของอาณาจักรอิสานปุระ โดยมีพระเจ้าศรีอิสานโอรสของนายกจิตรเสนเป็นมหาอุปราช
พระเจ้าจิตรเสนได้ฉวยโอกาสช่วงประกาศตั้งสหราชอาณาจักรทวาราวดีเข้ายึดแคว้นยะสิ่ว ( สมุทรสาคร ) และแคว้นจันทบูรณ์ ( จันทบุรี )
พ.ศ.1144 พระเจ้าจิตรเสนยกทัพจู่โจมแคว้นคามลังกา ยึดครองแคว้นพนมรุ้ง ท้าวปรารพ(พระยากง)ตามโจมตีกำลังพลของพระยาจันทร์และพระยาสาครที่ถอยร่นมาถึงเขตแดนอาณาจักรเทียนสน ที่ได้ส่งทหารเข้าต้านทานจนพระยากงพ่ายแพ้ยับเยินที่สมรภูมิเขาพระยากง(ภูเขากง จังหวัดนราธิวาส)
พ. ศ. 1145 พระเจ้าจิตเสนวางอุบายให้มหาจักรพรรดิท้าวปรารพเข้าไปลักลอบได้สียกับพระนางเมือง(พระนางละไม) มเหสีอุปราชเจ้าผาแม้วหลงจนตั้งครรภ์

พ.ศ. 1147 อาณาจักรมหาจามปา (เวียตนามใต้) และอาณาจักรหลินยี่ (เวียตนามเหนือ) ประกาศตนเป็นอิสระ ไม่ขึ้นต่อสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ฮ่องเต้หวินตี้(หยางเจียน)ส่งแม่ทัพเหลียวฟังเข้ายึดแคว้นตังเกี๋ย ขณะที่พระเจ้าศัมภุวรมันของอาณาจักรจามปาเข้ายึดแคว้นลินยี่ แต่กูถูกแม่ทัพเหลียวฟังเข้ายึดอาณาจักรจามปาอีกต่อหนึ่ง
พ. ศ. 1148 พระเจ้าจิตรเสนให้พระเจ้าศรีพาระเข้ายึดครองคามลังกาและให้เข้าโจมตีแคว้นจันทบูรณ์ แต่เจ้าชายไกรสรได้สู้รบต้านทานไว้เหนียวแน่น
ในปีเดียวกันพระเจ้าจิตรเสนยกทัพใหญ่เข้าตีแคว้นดอนเมืองของพระยาศรีจง เป็นเหตุให้มหาจักรพรรดิท้าวปรารพ(พระยากง)สั่งปลดพระเจ้าจิตรเสนออกจากตำแหน่งในสหราชอาณาจักรทวาราวดี จักรพรรดิพระยาศรีจงได้แจ้งให้มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนรับทราบเรื่องที่ชนชาติมอญ-ทมิฬพยายามก่อความวุ่นวายทั่วแผ่นดิน
มหาราชาท้าวชัยฤทธิ์นำอาณาจักรอ้ายลาวไปรวมกับอาณาจักรคามลังกาเป็นสหราชอาณาจักรคามลังกา ปกครองโดยท้าวชัยฤทธิ์
พระเจ้าจิตรเสนและพระเจ้าศรีพาระโจมตีเมืองโยธิกาที่ตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำโยธิกา(ระยอง) พระยาโยธิกาต้องทิ้งเมือง อพยพไปตั้งเมืองโยธิกาขึ้นใหม่ที่เกาะริมแม่น้ำนที (แม่น้ำเจ้าพระยา) และกลายเป็นกรุงศรีอยุธยาในเวลาต่อมา
พระเจ้าจิตรเสนส่งกองทัพมอญเข้ายึดครองแคว้นสุธรรม(สะเทิม)และแคว้นทวาย(ไกลลาศ) แล้วเข้าตีแคว้นหงสาวดีของขุนศรีธรนนท์(โอรสของพระนางอุษากับพระยากง) การรบยืดเยื้อถึงสองปี ขุนศรีธรนนท์ต้องทิ้งเมืองหลบหนีสู่อาณาจักรศรีชาติตาลู มหาจักรพรรดิผาแม้วหลงส่งทัพเข้ายึดหงสาวดีแล้วส่งมอบคืนแก่ขุนศรีธรนนท์
-พระเจ้าคัมภุวรมันผู้ปกครองใหม่ของสหราชอาณาจักรมหาจามหาส่งกองทัพเข้ายึดอาณาจักรโจฬะบก(เขมร) มหาราชาคำไตสายราชวงศ์เทียนสนต้องหลบหนีไปอยู่แคว้นอินทปัตของอาณาจักรอ้ายลาว
-รัฐไทยแตกเป็น 6 มหาอาณาจักร
หรือ 6 ก๊ก
หรือ 6 ก๊ก

บันทึกของม้าต้วนหลินเมื่อ พ. ศ. 1150 เมื่อฮ่องเต้หยางกวงส่งคณะทูตเจริญสัมพันธไมตรีกับมหาราชาศรีอิสาน ได้บรรยายถึงอาณาจักรอิสานปุระไว้ว่า..พระเจ้าศรีอิสานประทับอยู่ในเมืองชื่ออิสาน ( เข้าใจว่าคือกาฬสินธ์ ) ประกอบด้วยครัวเรือนมากกว่า 20,000 ครอบครัว ยังมีเมืองภายใต้การปกครอง 30 แห่งแต่ละเมืองมีประชากรอยู่หลายพันครัวเรือน ทุกเมืองจะมีเจ้าเมืองปกครอง ตำแหน่งข้าราชบริพารของอาณาจักริสานปุระก็เหมือนกับอาณาจักรมหาจามปา...ท้องพระโรงของมหาราชาศรีอิสาน มีบัลลังก์ทำด้วยไม้หอม5ชนิดประดับด้วยวัตถุมีค่า 7 ประการ เหนือพระแท่นมีพลับพลา หลังคาตาดด้วยผ้าอย่างสวยงาม มีเสาทำด้วยไม้มีลายและฝาประดิษฐ์จากงาช้างประดับด้วยดอกไม้ทองคำ...ท้ายพลับพลามีจักรเป็นรัศมี มีรูปเปลวทำด้วยทองคำแขวนไว้ แบบเดียวกับพระราชวังหลวงแห่งสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ กรุงสะทิ้งพระ(เซี้ยโท้)
ดร. หวังกูหวู่นักประวัติศาสตร์จีนพบหลักฐานว่ามหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรได้ส่งคณะราชทูตแคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี)ไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฮ่องเต้หยางกวงเมื่อ พ. ศ. 1151 จากเมืองเกียโลหิตซึ่งก็คือคลองหิตหรือคันธุลี
พ. ศ. 1150 กองทัพมอญจากสะเทิมและทวายส่งทัพล้อมหงสาวดีอีก พร้อมๆกับการเกิดโรคระบาดทั่วหงสาวดี มหาจักรพรรดิท้าวปรารพ(พระยากง) แห่งสหราชอาณาจักรทวาราวดีสั่งให้ขุนศรีธรนนท์ทิ้งเมืองหงสาวดี อพยพไพร่พล 30,000 คน รอนแรมมาสามเดือนสู่เมืองคันธุลีขอลี้ภัยในอาณาจักรชวาทวีป สองพี่น้องลูกของพระนางอุษาที่ต่างบิดากันคือขุนศรีธรนนท์ได้เจอหน้าขุนศรีธรรมโศกเป็นครั้งแรกที่แคว้นคูหา(ระนอง) โดยมีล้อคเก้ตราชสกุลหยางจ้าวหลีชุนเป็นหลักฐานที่พระนางอุษาได้มอบไว้ให้ ทั้งสองพระองค์ต่างกอดกันร่ำไห้น้ำตาร่ำนอง จึงเป็นที่มาของแคว้นร่ำนองหรือระนองในเวลาต่อมา
-มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนแห่งสหราชอาณาจักรคีรีรัฐรับสั่งให้จักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรจัดกำลังเข้าทำสงครามใหญ่กับกับกองทัพมอญของพระเจ้าจิตรเสน ทัพมอญต้องถอยกลับอิสานปุระ
-มหาจักรพรรดิท้าวปรารพส่งทหารเข้ายึดครองแหล่งแร่ทองคำในแคว้นนาลองกา(ทับสะแก)ของอาณาจักรชวาทวีปและประกาศสร้างเงินเหรียญทวาราวดีแทนเงินไพของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ พร้อมทั้งส่งคณะราชทูตนำสาส์นไปมอบให้มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนขอให้สหราชอาณาจักรคีรีรัฐยอมสยบอยู่ใต้สหราชอาณาจักรทวาราวดี มิฉะนั้นจะส่งกองทัพเข้ายึดอาณาจักรชวาทวีป
ช่วงเวลาเดียวกันอาณาจักรชบาตะวันออก(ชวา)ประกาศแยกตัวเป็นอิสระนำตัวเองไปอยู่ภายใต้การคุ้มครองของมหาอาณาจักรจีน
ในปีเดียวกัน จักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรร่วมมือกับชนชาติกลิงค์ในอาณาจักรมาลัยรัฐ (เทียนสน) เข้ายึดแคว้นชบาตะวันออก (เกาะชวา) และชบาตะวันตก (สุมาตรา) ผลักดันให้ชนชาติทมิฬต้องอพยพครั้งใหญ่ เข้าไปตั้งรกราก ณ ดินแดนชายฝั่งทะเลตะวันตกของอาณาจักรชวาทวีป ต่อมาจัดตั้งเป็นอาณาจักรผัวหม่า(พม่า)หรืออาณาจักรเวียตบก
ปี 1150 เกิดสงครามท่าชนะจักรพรรดิท้าวเทพนิมืตรยกทัพจากอาณาจักรมาลัยรัฐ (เทียนสน)เข้าโจมตีแคว้นคันธุลีที่เพิ่งก่อตั้งโดยขุนศรีธรนนท์รวมทั้งเมืองคลองวัง(อำเภอท่าชนะ สุราษฎร์ธานี)ของพระนางอุษาเนื่องจากไม่พอพระทัยพฤติกรรมของพระยากงและพระนางอุษาที่คอยชักใยยุแหย่ต่างๆนานา
พ. ศ. 1151 มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนสละราชสมบัติตามสัญญา ให้ท้าวเทพนิมิตรขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิ ย้ายนครหลวงจากสะทิ้งพระมาอยู่ที่เมืองคันธุลี บางตำราว่าเปลี่ยนชื่อเป็นสหราชอาณาจักรศรีพุทธิ ส่วนท้าวอุเทนยอมลดตำแหน่งเป็นจักรพรรดิ มีท้าวธานีเป็นนายกครองแคว้นธานี(ปัตตานี)ของอาณาจักรลัยรัฐ(เทียนสน)
ช่วงระหว่างพ. ศ. 1151 เป็นต้นไป จีนก็มีปัญหาของตนเองมาก ก่อนหน้านั้นจีนแพ้สงครามเกาหลีถึง 4 ครั้งระหว่างพ.ศ. 1151-1157 จีนได้ส่งกองทัพเข้าโจมตีแคว้นโกคุรโย แต่พ่ายแพ้ย่อยยับกลับมาทุกครั้ง

พ. ศ. 1153 มหาราชาเจ้าอิสานแห่งอาณาจักรโจฬะบก (เขมร) ขับไล่กองทัพทมิฬออกจากอาณาจักรมหาจามปาแล้วขึ้นครองราชย์
พ. ศ. 1155 เจ้าชายพานอายุครบ 20 ปี สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโพธิ์นารายณ์และมหาวิทยาลัยนาลันทาของอินเดียได้รับโปรดเกล้าเป็นพระยาพานครองเมืองเกาะแก้วพิสดาร(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแคว้นเคียนชา)และเป็นแม่ทัพใหญ่ของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
พ. ศ. 1156 พระเจ้าศรีอิสานหวังเข้ายึดดินแดนของสหราชอาณาจักรทวาราวดี พระยาศรีจงร้องขอความช่วยเหลือจากมหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตร พระยาพานในฐานะแม่ทัพของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐเข้าช่วยพระยาศรีจงสกัดทัพอิสานปุระไว้ได้ มหาอุกษ์แห่งแคว้นละโว้ได้ยกธิดาคือเจ้าหญิงวงศ์จันทร์ให้พระยาพาน เป็นช่วงที่มหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรย้ายนครหลวงจากกรุงศรีพุทธิ ( คันธุลี )กลับไปยังแคว้นสะทิ้งพระของอาณาจักรมาลัยรัฐ ให้ขุนศรีธรนนท์ปกครองแคว้นศรีพุทธิของอาณาจักรชวาทวีปต่อไป
พระยากง ( ท้าวปรารพ ) ร่วมกับพระเจ้าศรีอิสานแห่งอิสานปุระและท้าวชินแห่งอาณาจักรเงินยาง ( เชียงแสน ) เคลื่อนทัพใหญ่ทางเรือเข้าโจมตีกรุงพุทธทองหรือกรุงทองของแคว้นสะทิ้งพระ
พ. ศ. 1156 มหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรวางแผนรับศึกพระยากง โดยแสร้งถอยทัพไปยังภูเขากง ( เข้าใจว่าเป็นบริเวณจังหวัดนราธิวาส ) โดยหวังจะให้ท้าวปรารพได้หวนรำลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตที่ท้าวเทพนิมิตรเคยปล่อยตัวไว้ชีวิตพระยากงมาแล้วครั้งหนึ่ง ณ สนามรบภูเขากงที่เดียวกันนี้ เพื่อหวังยุติความขัดแย้ง ให้ทุกฝ่ายหันกลับมาปรองดอง ช่วยกันฟื้นฟูสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ แต่พระยากงกลับทำการสู้รบเด็ดขาดรุนแรงทำให้มหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรสวรรคตในสนามรบ เป็นการปิดฉากรัชกาลที่ 41 แห่งสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ นายกพระยาธานีแห่งแคว้นธานี ( ปัตตานี ) ต้องส่งกองทัพโจมตีพระยากงจนล่าถอยไป
พระยากงอ้างว่าตนเป็นผู้ชนะสงคราม ทั้งยังติดต่อรวมตัวกับอาณาจักรอิสานปุระและอาณาจักรหงสาวดี(พะโค)ตั้งขึ้นเป็นสหราชอาณาจักรทวาราวดีเหมือนอย่างที่เคยทำร่วมกับพระเจ้าจิตรเสนในอดีต
สงครามพระยากง-พระยาพาน
สงครามพระยากง-พระยาพาน
พ. ศ. 1156 ภายหลังมหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรสวรรคตในสงครามต่อสู้พระยากง จักรพรรดิท้าวอุเทนขึ้นเป็นมหาจักรพรรดิของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ นครหลวงอยู่ที่กรุงธารา (บ้านนาเดิม) ในอาณาจักรชวาทวีป ท้าวธานีเป็นจักรพรรดิว่าราชการอยู่ที่แคว้นธานี (ปัตตานี) อาณาจักรมาลัยรัฐ (เทียนสน) พระยามาลาโอรสอดีตมหาจักรพรรดิท้าวเทพนิมิตรได้เป็นนายกว่าราชการที่แคว้นมาลายู(มะละกา) พระยาพานได้เป็นมหาราชาแห่งอาณาจักรชวาทวีปและได้รับมอบหมายเป็นแม่ทัพใหญ่ของมหาอาณาจักรคีรีรัฐ มีแม่ทัพไพศาลคุมกองทัพเรืออยู่ที่ท่าโรงช้าง (ท่าจูลี้) และบริเวณอ่าวศรีโพธิ์ (ไชยา สุราษฎร์ธานี) แม่ทัพหนาดูแลกองทัพบกมีกองกำลังประจำการที่เมืองคีรีรัฐ พระยายมบาคุมงานถลุงเหล็กและผลิตอาวุธที่แหลมศรีโพธิ์ (แหลมเขาถ่าน ท่าฉาง)
ตั้งแต่ พ. ศ. 1156 พระยากงยังคงไม่ลดละก่อการกำเริบเสิบสาน แม้ว่าสถานการณ์ภายในของสหราชอาณาจักรทวาราวดีเองก็ไม่ราบรื่นนัก เช่น การปฏิเสธของพ่อหงสาวดี (พระยาศรีจง)ที่ไม่ยอมรับตำแหน่งจักรพรรดิ เพราะพระยาจงมักขอความช่วยเหลือจากสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ที่ได้ส่งพระยาพานไปช่วยทั้งแคว้นละโว้ แคว้นศรีเทพ แคว้นโยธิการให้รอดพ้นจากการโจมตีของอิสานปุระ ภายหลังสงครามที่ภูเขากงพ.ศ.1156 ความแตกแยกของ6ก๊ก ได้เกาะกลุ่มใหม่เป็น3ก๊ก คือ สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ สหราชอาณาจักรทวาราวดีและสหราชอาณาจักรมหาจามปา
พ.ศ. 1157 พระยากงส่งกองทัพเข้ายึดครองแคว้นนาลองกาเป็นครั้งที่ 2 ขณะที่พระนางวงศ์จันทร์มเหสีพระยาพานให้กำเนิดเจ้าชายหะนิมิตร ณ แคว้นเวียงจันทร์
พ.ศ. 1157 พระยากงส่งกองทัพเข้ายึดครองแคว้นนาลองกาเป็นครั้งที่ 2 ขณะที่พระนางวงศ์จันทร์มเหสีพระยาพานให้กำเนิดเจ้าชายหะนิมิตร ณ แคว้นเวียงจันทร์

พระยากงหาเหตุทวงทองคำจากมหาจักรพรรดิท้าวอุเทนโดยอ้างว่าเป็นของสหราชอาณาจักรทวาราวดี ถ้าไม่คืนจะต้องเกิดสงคราม แต่มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนตอบว่าเป็นทองคำของอาณาจักรชวาทวีปที่พระยากงยกกองทัพเข้าไปยึดครองโดยมิชอบ พระยาพานยังได้ตอบพระยากงไปว่า ถ้าอยากได้ทองคำคืนก็ขอให้ส่งกองทัพเข้ามาแย่งยึดเอาเอง

พ.ศ.1160 เกิดสงครามพระยากง-พระยาพานครั้งที่ 2 แถบภูเขาพระนารายณ์ (พุนพิน สุราษฎร์ธานี) ณ ท่าโรงช้าง แต่ถูกปิดล้อมไว้ที่ภูเขาพระนารายณ์ มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนไม่ต้องการให้พ่อลูกต้องมาฆ่ากัน โดยที่ต่างฝ่ายก็ไม่ทราบความจริง พระองค์จึงเสด็จออกมาเปิดการเจรจา พระยากงจำต้องยอมรับข้อเสนอพระยาพานจึงยอมปล่อยตัวให้กลับไปกรุงราชคฤห์
พ. ศ. 1161 เกิดสงครามพระยากง-พระยาพานคั้งที่ 3 ณ สมรภูมิเมืองกงชิง เนื่องจากพระยากงไม่ปฏิบัติตามสัญญา พระยาพานได้รับชัยชนะและเตรียมอพยพไพร่พลไปตั้งหลักแหล่งที่เมืองกงชิง
แต่พอได้ทราบข่าวว่าราชวงศ์มอญทมิฬของอาณาจักรอิสานปุระและเงินยางได้เข้าร่วมเป็นพันธมิตรกับพระยากง พระยาพานจึงส่งแม่ทัพหมันเข้ายึดเมืองกงของอิสานปุระเพื่อสกัดกั้นอิสานปุระและเงินยาง เป็นการสู้รบครั้งที่ 4 เพื่อกดดันให้อิสานปุระถอนทัพจากการหนุนช่วยพระยากง

แม่ทัพไพศาลได้รับบัญชาจากพระยาพานให้ตามไล่ล่า เกิดเป็นสงครามครั้งที่ 7 แต่ได้กำชับให้จับเป็นตามคำบัญชาของมหาจักรพรรดิท้าวอุเทน ทั้งๆที่แม่ทัพไพศาลมีโอกาสสังหารพระยากงหลายต่อหลายครั้ง แต่เกรงจะขัดคำสั่งของมหาจักรพรรดิ จึงทำให้ท้าวปรารพหรือพระยากงจึงหลบหนีไปได้ โดยนำเรือรบไปขึ้นฝั่งอาณาจักรคามลังกาแล้วเดินบกหลบหนีกลับสู่กรุงราชคฤห์ กองทัพเรือของแม่ทัพไพศาลสามารถยึดเกาะเทียนไว้ได้และเปลี่ยนชื่อเป็นเกาะกงตั้งแต่ปีพ.ศ. 1162 เป็นต้นมา พระยาพานสามารถยึดเมืองสมุทรสงครามและตั้งแม่ทัพไพศาลเป็นผู้ปกครองเพื่อคุมน่านน้ำทะเลฝั่งตะวันออกคอยสกัดกั้นไม่ให้พระยากงเคลื่อนทัพจากแม่น้ำบางประกงได้อีก เท่ากับบีบให้พระยากงต้องทำสงครามทางบกเท่านั้น
พ. ศ. 1162 มหาราชาศัมภุวรมันจากสหราชอาณาจักรมหาจามปา ยกกองทัพเข้ายึดครองอาณาจักรโจฬะบก(เขมร) ที่อยู่ใต้การปกครองของราชวงศ์ทมิฬ ขณะที่มหาอาณาจักรจีนเกิดการแตกแยกอย่างหนักเป็น 12 ก๊ก

พ. ศ. 1162 พระยาพานยกทัพสู้รบกับพระเจ้าอิสานราชวงศ์มอญทมิฬที่สนับสนุนสหราชอาณาจักรทวาราวดีที่สมรภูมิแคว้นกาละศีล (กาฬสินธุ์)ในอาณาจักรอิสานปุระ เป็นสงครามพ่อลูกครั้งที่ 8 พระเจ้าศรีอิสานสวรรคตในสงคราม อุปราชพระเจ้าสักกรดำต้องขอสงบศึกยอมขึ้นต่อสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ปีเดียวกัน พระยาพานยกทัพไปตั้งมั่นที่เมืองกงแถบเทือกเขาภูพาน(เชื่อว่าเขาภูพานตั้งชื่อตามพระยาพาน) เพื่อเตรียมเข้าปราบอาณาจักรเงินยาง(เชียงแสน)ที่เป็นพันธมิตรของพระยากง เกิดการสู้รบที่สมรภูมิเมืองกง-พานเป็นครั้งที่ 9

พ. ศ. 1163 พระยาพานเตรียมยึดอาณาจักรเงินยาง โดยยกทัพไปตั้งที่เมืองพานเตรียมยึดเมืองเชียงเครือ(เชียงราย)และเชียงแสน พอมหาราชาท้าวชินทราบข่าวศึก จึงส่งราชทูตพร้อมดอกไม้เงินดอกไม้ทองมาถวายพระยาพาน ขอขึ้นต่อสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ในปีเดียวกันพระยาพานเตรียมแผนเผด็จศึก โดยระดมพลเต็มที่เข้าปิดล้อมกรุงทวาราวดี (ราชบุรี) แต่พระนางแก้วงาบเมืองขอให้พระอาจารย์ตาผ้าขาวเถระรอด (ตาผ้าขาวรอด)มาเป็นคนกลาง ทำข้อตกลงกัน 5 ประการ พระยากงยินยอม พระยาพานจึงต้องยกทัพกลับ
พ. ศ. 1164 เกิดสงครามขึ้นอีกครั้ง ณ ทุ่งลานช้าง มหาจักรพรรดิท้าวปรารพหรือพระยากงถูกมหาจักรพรรดิท้าวอุเทนฟันด้วยพระแสงของ้าวสิ้นพระชนม์บนหลังช้างคอขาดสิ้นพระชนม์ในทันที ก่อนหน้านี้มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนพยายามให้โอกาสพระยากงหลายครั้ง เพื่อจะได้รู้สึกสำนึกตน เพราะเห็นว่าเป็นเครือญาติสืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษเดียวกัน และเป็นพ่อแท้ๆของพระยาพานซึ่งเป็นบุตรบุญธรรมของมหาจักรพรรดิท้าวอุเทนเอง อีกทั้งยังเคยเป็นพระสวามีของพระนางอุษาซึ่งเป็นเชื้อสายของราชวงศ์เดียวกัน
มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนทรงสะเทือนพระทัยมากจากการที่ต้องสังหารพระยากง จึงสละราชสมบัติและออกบวชในปี พ. ศ. 1165 ท้าวธานีได้เป็นมหาจักรพรรดิปกครองสหราชอาณาจักรคีรีรัฐอยู่ที่แคว้นธานี (ปัตตานี) ของอาณาจักรมาลัยรัฐ ท้าวมาลาแห่งแคว้นมลายู (มะละกา) เป็นจักรพรรดิ พระยาพานได้เป็นนายกครอบครองแคว้นธารา (บ้านนาเดิม) ของอาณาจักรชวาทวีป ในปี พ. ศ. 1165 ได้มีการเปลี่ยนแปลงกฎมณเฑียรบาล ยอมให้เชื้อสายเจ้าอ้ายไตในราชวงศ์ต่างๆที่ไปผสมกับราชวงศ์มอญและทมิฬซึ่งได้พิสูจน์ความสามารถของตนแล้ว สามารถก้าวขึ้นครองราชสมัติเป็นมหาจักรพรรดิ จักรพรรดิและนายกได้
เมื่อพระยาพานได้ขึ้นครองราชเป็นสหราชนายกของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐและกฎมณเฑียรบาลเปิดโอกาสให้พระยาพานเข้าสู่ตำแหน่งสูงสุดได้ แต่พระนางอุษาต้อการสกัดกั้นพระยาพาน เพื่อให้พระโอรสของตนคือเจ้าชายศรีธรนนท์ที่เกิดกับพระยากงได้ครองราชย์แทน จึงปล่อยข่าวใส่ความว่าพระยาพานเป็นผู้สังหารพระยากงซึ่งเป็นพ่อแท้ๆ เป็นไปตามคำทำนายของโหราจารย์ในอดีต พระนางอุษาได้ดำเนินแผนการมานานแล้ว โดยอาศัยความมักใหญ่ใฝ่สูงของราชวงศ์มอญ-ทมิฬที่ต้องการขยายอำนาจ รวมทั้งพระยากงที่อยากเป็นมหาจักรพรรดิและตัวพระนางอุษาก็ต้องการเป็นมเหสีเอกของมหาจักรพรรดิที่เรียกกว่าพระแม่ธรณี ซึ่งเป็นสาเหตุนำไปสู่ความขัดแย้งในสหราชอาณาจักรคีรีรัฐตลอดระยะเวลากว่า 40 ปี ทั้งๆที่พระยางกง พระนางอุษาและกษัตริย์ของอาณาจักรอิสานปุระก็ล้วนสืบเชื้อสายเดียวกันจากราชวงศ์อ้ายไตนั่นเอง
พระนางอุษาใช้วิธีปล่อยข่าวว่าสหราชนายกพระยาพานสังหารพระยากงผู้เป็นพ่อแท้ๆ เป็นลูกทรพี กระทำปิตุฆาต แถมยังปล่อยข่าวต่อไปอีกว่าพระยาพานได้ทำการไต่สวนยายหอมหรือพระนางสุวรรณมาลี แต่เมื่อได้ทราบความจริงก็บันดาลโทสะสั่งประหารยายหอมที่เลี้ยงดูตนมาตั้งแต่เด็ก คือสร้างเรื่องโกหกซ้อนเข้าไปอีก และมีเรื่องเท็จขยายต่อไปอีกว่าพระยาพานสร้างพระปฐมเจดีย์เพื่อล้างบาปที่ได้สังหารบิดาของตนเอง
การปล่อยข่าวไปทั่วดินแดนสุวรรณภูมินับว่าได้ผลมาก ทำให้พระยาพานเป็นที่ดูหมิ่นเกลียดชัง ไม่สามารถเสด็จสู่แว่นแคว้นหลายๆแห่งเพราะมีประชาชนต่อต้าน
พระยาพานได้เปลี่ยนชื่อเป็นท้าวอู่ทองในปีพ. ศ. 1167 และเสด็จไปเป็นมหาราชาที่อาณาจักรทวาราวดีพร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อเป็นอาณาจักรอู่ทอง มีศูนย์กลางอยู่ที่กรุงราชคฤห์ (ราชบุรี) พระอนุชาของท้าวอู่ทองคือพระยาจักรนารายณ์ได้บุกเบิกสร้างแคว้นจักรนารายณ์ในพื้นที่นครไชยศรี โดยมีขุนทรัพย์เป็นอุปราชร่วมสร้างเมืองประถมหรือนครปฐม
โอรสของพระนางอุษาทั้งสองพระองค์คือขุนศรีธรนนท์เป็นมหาราชาครองอาณาจักรชวาทวีป ณ แคว้นศรีพุทธิ(คันธุลี) ส่วนพระยาธรรมโศกทำการรื้อฟื้นแคว้นศรีโพธิ์ขึ้นใหม่
สหราชนายกท้าวอู่ทองได้แต่งตั้งพระยาศรีจงเป็นมหาราชาของอาณาจักรอู่ทอง เป็นการสร้างแนวร่วมราชวงศ์เพื่อโดดเดี่ยวพระนางอุษาที่พยายามชักใยบุคคลต่างๆให้เกิดความขัดแย้งแตกแยกทำลายกันเอง เมื่อศูนย์กลางอำนาจมีความเป็นเอกภาพสามัคคีกัน ก็สามารถต้านทานการปล่อยข่าวโจมตีของพระนางอุษาได้ รวมทั้งกฎมณเฑยรบาลใหม่ที่เปิดโอกาสให้สายราชวงศ์อ้ายไตที่มีเชื้อสายผสมกับราชวงศ์อื่นๆสามารถก้าวสู่ตำแหน่งสูงสุดได้
จีนและมหาจามปา (Champa)

มหาจักรพรรดิท้าวศัมภุวรมันแห่งสหราชอาณาจักรจามปายกทัพใหญ่เข้าโจมตีแคว้นมาลายู(มะละกา) พร้อมกับแคว้นธานี(ปัตตานี)ของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ สามารถยึดแคว้นมาลายู จักรพรรดิท้าวมาลาต้องหลบหนีไปยังแคว้นสะทิ้งพระ(สงขลา) ทำให้มหาอาณาจักรจีนสามารถมีอิทธิพลเหนือช่องแคบมะละกาอีกครั้งหนึ่ง
กองทัพชนชาติทมิฬยังยกเข้าโจมตีแคว้นธานีอย่างหนักหน่วง มหาจักรพรรดิท้าวธานีได้รับบาดเจ็บต้องหลบหนีเข้าไปซ่อนตัวกลางป่า กองทัพอาณาจักรชบาตะวันตก(สุมาตรา)ยังคงเข้ายึดครองภูเขาพระนารายณ์ของแคว้นพังงา
นายกท้าวอู่ทอง(พระยาพาน)มีบัญชาให้แม่ทัพหมันและแม่ทัพไพศาลนำทัพบกและทัพเรือเข้าโจมตีอาณาจักรผัวหม่า(พม่า) แต่กองทัพช้างของผัวหม่าเก่งกาจมาก จนต้องให้พระยาโยธิกานำกองทัพช้างเข้าตีทัพผัวหม่าพ่ายยับเยิน ชนชาติทมิฬต้องหลบหนีไปอาณาจักรชบาตะวันตก(สุมาตรา) บางส่วนหลบหนีขึ้นขึ้นเหนือไปตั้งหลักที่หมู่เกาะแห่งหนึ่งเพื่อกันไม่ให้ทัพเรือของพระยาพานที่นำโดยแม่ทัพไพศาลได้รุกคืบไปไกลกว่านั้น เข้าใจว่าบริเวณหมู่เกาะเหล่านี้ถูกเรียกว่ากันตาพาน ทะเลฟากตะวันตกถูกเรียกเป็นทะเลกันตาพาน ต่อมาเพี้ยนเป็นอันดามัน
พ.ศ.1168 นายกพระยาพาน(ท้าวอู่ทอง)ยกทัพเข้ายึดครองแคว้นมาลายู(มะละกา)กลับคืนมา แล้วตั้งพระยามาลายูโอรสองค์โตของจักรพรรดิท้าวมาลาเป็นผู้ปกครอง จากนั้นนายกท้าวอู่ทองส่งกองทัพยึดแคว้นธานีกลับมาได้ พร้อมทั้งส่งไพร่พลออกตามหามหาจักรพรรดิท้าวธานีแต่ไม่พบ จึงตั้งพระราชโอรสของมหาจักรพรรดิท้าวธานีคือพระยาตานีให้ปกครองแคว้นธานีต่อไป
พระยาพานต้องขึ้นเป็นจักรพรรดิเพราะการสวรรคตของจักรพรรดิท้าวมาลา และเมื่อไม่พบร่องรอยของมหาจักรพรรดิท้าวธานี ทำให้มีการเชิญพระยาพานขึ้นครองราชย์เป็นมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง มีกรุงอู่ทอง (ราชบุรี) เป็นแคว้นมหาจักรพรรดิของรัชกาลที่ 44 พร้อมกับการสถาปนาราชวงศ์อู่ทอง เปลี่ยนชื่ออาณาจักรทวาราวดีเป็นอาณาจักรอู่ทองเป็นศูนย์กลางของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ โดยมีพระยาศรีจงหรือพ่อหงสาวดีเป็นนายก ว่าราชการแคว้นดอนเมือง
หลังการขึ้นครองราชย์ในปีเดียวกัน พ. ศ. 1168 มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองได้เสด็จยังแคว้นทองสิงห์คาม(กาญจนบุรี) มีการสร้างอู่เรือทองเพื่อทอดสมอเรือพระที่นั่งที่ใช้เป็นสถานที่เจรจากับพระเจ้านันทเสน ราชวงศ์มอญ ที่ยอมคืนอาณาจักรหงสาวดีแก่สหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ในปีเดียวกัน สหราชอาณาจักรศรีชาติตาลู ซึ่งประกอบด้วยอาณาจักรศรีชาติตาลู(ปยู) อาณาจักรโกสมพี(แสนหวี)และอาณาจักรพิง(ฝาง) ทั้งหมดยินยอมกลับเข้าสู่การปกครองของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
ในรัชกาลที่ 44 ของมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองจึงกลับมามีเอกภาพใกล้เคียงกับก่อนสมัยแตกแยกเป็น6ก๊ก โดยมีอาณาจักรรวมทั้งสิ้น 12 อาณาจักร คือ อาณาจักรมาลัยรัฐ (เทียนสน) อาณาจักรชวาทวีป (ภาคใต้ตอนบน) อาณาจักรอู่ทอง (ทวาราวดี) อาณาจักรเงินยาง (เชียงแสน) อาณาจักรหงสาวดี (พะโค) อาณาจักรชาติตาลู (ปยู) อาณาจักรโกสมพี (แสนหวี) อาณาจักรพิง (ฝาง) และอาณาจักรคามลังกา (จันทบูรณ์) โดยมีพระอาจารย์ตาผ้าขาวเถระรอดเป็นที่ปรึกษาคนสำคัญที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น เมื่อปีพ.ศ.1168 ตาผ้าขาวเถระรอดเป็นผู้เรียกร้องให้เชื้อสายราชวงศ์ต่างๆของลูกหลานอ้ายไตในดินแดนสุวรรณภูมิทั้งราชวงศ์ขุนหลวงใหญ่ไกลโศก ราชวงศ์เทียนสน ราชวงศ์โคตะมะราชวงศ์เชียง ราชวงศ์หยาง ราชวงศ์ขอมไต ราชวงศ์ศรีชาติตาลู(พุกาม) ราชวงศ์ศรีชาติตาไล(โกสมพี) และราชวงศ์พิง ได้ร่วมกันบริจาคทรัพย์เพื่อการสร้างพระแก้วมรกต ใช้เป็นพระพุทธรูปประจำสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ ซึ่งถือเป็นรัฐสำคัญทางพุทธศาสนาและเป็นจุดกำเนิดของพระแก้วมรกต
พ. ศ. 1172 นายกพระยาศรีจงยกทัพเข้ายึดครองทั้งอาณาจักรโจฬะบก(เขมร)และอาณาจักรจามปา(เวียตนามใต้)สำเร็จ นำกลับมาอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองได้มอบหมายให้จักรพรรดิพระยามาลีเข้ากดดันดินแดนต่างๆในเกษียรสมุทร พร้อมทั้งให้ส่งกองทัพเข้ายึดครองอาณาจักรชบาตะวันออก(เกาะชวาสุมาตราตะวันตก) เพื่อให้สหราชอาณาจักรคีรีรัฐสามารถกลับมาคุมดินแดนช่องแคบมาลัยรัฐ(มะละกา)
แต่จักรพรรดิพระยามาลาขัดคำสั่งมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง โดยส่งกองทัพเข้าทำสงครามกับอาณาจักรเวียดน้ำ (ฟิลิปปินส์) และ อาณาจักรโจฬะน้ำ (บอร์เนียว) ซึ่งเป็นของสหราชอาณาจักรมหาจามปา ทำให้สหราชอาณาจักรคีรีรัฐต้องสูญเสียอาณาจักรจามปาหลังจากที่นำกลับคืนมาได้ในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้มหาจักรพรรดิท้าวอุเทนต้องคาดโทษจักรพรรดิท้าวมาลา แต่ในปี พ. ศ. 1174 กองทัพของสหราชอาณาจักรคีรีฐก็สามารถกอบกู้เอาดินแดนอาณาจักรจามปากลับคืนมาได้อีกครั้ง ถือได้ว่ามหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองสามรถยึดคืนดินแดนสุวรรณภูมิกลับคืนมาได้ทั้งหมด
พ. ศ. 1180 มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองทรงเล็งเห็นความจำเป็นที่จะต้องกระตุ้นเตือนเชื้อสายอ้ายไตหันมาปรองดองกัน สาบานที่จะสร้างสุวรรณภูมิให้เป็นดินแดนของพุทธศาสนา กระทำการวางโทษและลงโทษผู้ที่ชอบโกหกใส่ความยุแหย่ตอแหลทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ถือว่าพฤติกรรมสร้างเรื่องให้ร้ายหรือการทำตอแหลเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจและต้องถูกต่อต้านและลงโทษอย่างเด็ดขาดจริงจังในรัชกาลของมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง
แต่สภาพของบ้านเมืองบอบช้ำมาหนัก จึงยังไม่ได้มีความสงบหรือสันติสุขเต็มที่ ตลอดสมัยของมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองจึงยังต้องทำสงครามกอบกู้อีกมากมายนัก และสถานการณ์แก่งแย่งกันภายในยังมิได้ยุติลงโดยสิ้นเชิง รัชกาลมหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองจึงยังต้องทำการกอบกู้บ้านเมืองอย่างหนักต่อเนื่องมาถึงรัชกาลอื่นๆทั้งมหาจักรพรรดิศรีธรรมโศกซึ่งขึ้นมารักษาการชั่วคราว มหาจักรพรรดิพระยาหะนิมิตรโดยยังต้องติดพันกับการแก้ปัญหาที่เป็นผลมาจากการกล่าวหาโจมตียุแหย่ทำลายล้างกัน กระทั่งเข้าสู่ยุคสหราชอาณาจักรศรีโพธิ์หรือสหราชอาณาจักรเสียม ที่มักเรียกกันผิดว่าสหราชอาณาจักรศรีวิชัย

ในปีเดียวกัน พ.ศ.1183 มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองรับสั่งให้ขุนศรีธรนนท์มหาราชากรุงคันธุลีแห่งอาณาจักรชวาทวีป ส่งกองทัพเข้าปราบปรามสหราชอาณาจักรศรีพุทธิที่กระด้างกระเดื่อง แต่พระนางอุษาซึ่งเป็นพระราชมารดาเข้าขวาง สั่งให้มหาราชาขุนศรีธรนนท์ถอยทัพกลับ ซ้ำยังเอาอาณาจักรชวาทวีปเข้าไปรวมกับสหราชอาณาจักรศรีพุทธิ
พ. ศ. 1184 มหาจักรพรรดิท้าวอู่ทอง ต้องส่งกองทัพใหญ่เข้าปราบปรามเจ้าพระยาตานี เกิดเป็นสงครามปัตตานี จักรพรรดิเจ้าพระยาศรีจงต้องเจรจากับมหาราชาขุนศรีธรนนท์ให้ยอมจำนน นำอาณาจักรชวาทวีปกลับมาขึ้นต่อสหราชอาณาจักรคีรีรัฐ
พ. ศ. 1185 พระยามาลายูประกาศจัดตั้งสหราชอาณาจักรศรีพุทธิขึ้นมาอีก ทุกฝ่ายต้องหาทางออกร่วมกันในปีพ.ศ.1188 โดยมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งบริหารของสหราชอาณาจักรคีรีรัฐครั้งใหญ่ ให้พระนางอุษาเข้าร่วมในการเจรจาสำคัญครั้งนี้ เจ้าพระยาศรีธรรมโศกโอรสของพระนางอุษาขึ้นเป็นจักรพรรดิ เจ้าพระยามาลายูได้ขึ้นเป็นนายก ทำให้ความขัดแย้งภายในคลายตัวลงไปด้วยดีในระดับหนึ่ง แต่ต่อมามหาจักรพรรดิท้าวอู่ทองก็จำต้องยกทัพทำสงครามโจมตี สหราชอาณาจักรศรีพุทธิ ในปีพ.ศ.1191

พ.ศ.1215 พระยาศรีธรรมโศกประสบอุบัติเหตุระหว่างเร่งงานก่อสร้างพระบรมธาตุไชยา ถูกก้อนโลหะใหญ่ที่ทำลูกนิมิตรหล่นทับถึงบาดเจ็บสาหัส ทำให้พระนางอุษาเศร้าสลดพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ตำนานเล่าว่าหลังจากเสด็จเยี่ยมพระราชโอรส พระนางได้กลับมานั่งสมาธิ ณ ถ้ำใหญ่ ทุ่งลานช้าง กระทั่งสิ้นพระชนม์ในท่านั่งสมาธิดังกล่าว




ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น