ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบที่ : http://www.4shared.com/mp3/nHuRiYI0/See_Through_Stable_Owner_02.html
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?qczq2ft3v53i8nn
เผด็จการไทยใกล้หมดตาเดิน
รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเข้ากุมอำนาจบริหารมาได้ปีเศษ นับว่า เกินกว่าความคาดหมายของแกนนำพรรคประชาธิปัตย์และพวกเสื้อเหลืองพันธมิตรที่เคยเชื่อว่า
รัฐบาลนี้จะอยู่ได้ไม่เกินหกเดือน เนื่องจากความเข้มแข็งของกลไกเผด็จการในรัฐธรรมนูญ
2550 และการขาดประสบการณ์ของนายกยิ่งลักษณ์
ชินวัตร ที่จะทำให้รัฐบาลบริหารงานผิดพลาด
จนเป็นเงื่อนไขให้ถูกโค่นล้มลงโดยง่ายดาย ดังเช่น รัฐบาลพรรคพลังประชาชน
แต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยก็ยืนหยัดมาได้ ภายหลังผ่านพ้นวิกฤตอุทกภัยครั้งใหญ่ปลายปี
2554 ก็สามารถสร้างเสถียรภาพและความมั่นคงได้อย่างรวดเร็ว
ยิ่งกว่านั้นคือ สามารถสร้างผลงานทางการบริหารตามนโยบายที่หาเสียงไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
ประกอบกับการวางตัวของนายกยิ่งลักษณ์ที่ตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเดียว
ไม่เล่นการเมืองรายวัน จนถูกขนานนามว่าดีแต่ทำงาน ไม่ใช่พวกดีแต่พูด ที่เล่นสำบัดสำนวนเอาแต่ตีกินทางการเมืองไปวัน
ๆ แต่ทำงานไม่เป็น อันเป็นแบบฉบับของผู้นำพรรคประชาธิปัตย์
จนถึงปัจจุบัน
นายกยิ่งลักษณ์ ได้กลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีคะแนนนิยมสูงสุดเท่าที่เคยมีมานับแต่รัฐประหาร
19 กันยายน 2549
ฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นของไทยยังคงประกอบไปด้วยระบอบกษัตริย์ที่เป็นผู้บงการใหญ่พร้อมทั้งผู้ร่วมวางแผนกลุ่มเดิม
ผู้รับคำสั่งปฏิบัติการและกลไกแขนขาที่ครบถ้วนเหมือนเดิม ประกอบด้วยสี่ขาหยั่ง
ได้แก่ ตุลาการและบรรดาองค์กรอิสระในรัฐธรรมนูญ กองทัพ พรรคประชาธิปัตย์
กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คนพวกนี้ยังคงติดกับอยู่ในโลกทัศน์
วิธีคิดและประสบการณ์เดิม ๆ ยุทธวิธีของพวกเขาจึงยังคงซ้ำซากเหมือนกับที่เคยใช้มาแล้วในการโค่นล้มรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
คือ สร้างกระแสต่อต้านรัฐบาล ใช้ข้ออ้างสามประเด็นหลักคือ ทุจริตคอรัปชั่น แก้รัดทำมะนวย
และหมิ่นกษัตริย์ ให้กลุ่มอันธพาลการเมืองรับจ้างออกมาเคลื่อนไหว ใช้ความรุนแรงก่อจลาจลบนท้องถนน
ประสานกับพรรคประชาธิปัตย์ที่คอยก่อกวนอยู่ในสภา
ให้ดูเหมือนว่ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้และกำลังถูกต่อต้านจากประชาชนจำนวนมาก
จากนั้นก็ใช้กลไกตุลาการในรัดทำมะนวยเข้ามาทำลายรัฐมนตรีรายบุคคลไปจนถึงตัวนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะ
ตามด้วยเครื่องมือสุดท้ายคือ ใช้กองทัพเข้าแทรกแซงโดยตรงด้วยการรัฐประหารทั้งอย่างเปิดเผยหรือซ่อนรูป
แต่ทว่า ผลการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554
ทำให้การเดินหมากของฝ่ายเผด็จการไทยเข้าตาจน หมดตาเดิน เพราะก่อนการเลือกตั้ง
พวกเขายังเพ้อฝันไปว่า พรรคประชาธิปัตย์จะสามารถบริหารประเทศประสบความสำเร็จ และซื้อใจประชาชน
จนสามารถชนะเลือกตั้งได้ หรืออย่างน้อยก็ทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถได้เสียงเกินครึ่งหนึ่งของสภาฯ
แต่การณ์กลับเป็นว่า พรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งถล่มทลาย ได้คะแนนเสียงเด็ดขาดเกินครึ่งหนึ่งของสภา
นี่เป็นความพ่ายแพ้ครั้งที่ห้าในระบอบการเมืองแบบเลือกตั้งของพวกเขา และในเฉพาะหน้านี้
ก็เป็นการปิดประตูตายในเวทีรัฐสภาของฝ่ายเผด็จการ การที่พรรคเพื่อไทยได้คะแนนเสียงเกินครึ่งในสภา
ย่อมหมายความว่า การทำรัฐประหารด้วยตุลาการ ที่สำเร็จมาแล้วกับรัฐบาลพรรคพลังประชาชน
คือ ใช้ศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ถอดนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลทั้งคณะ แล้วใช้กองทัพเข้าข่มขู่พร้อมยื่นผลประโยชน์เข้าล่อ
ให้พรรคแตกแยก เกิดเป็นงูเห่า มาร่วมกับพรรคประชาธิปัตย์ให้ได้จำนวนเสียงในสภาเกินครึ่งแล้วจัดตั้งรัฐบาล
สำเร็จอีกนั้น ทั้งหมดนี้ทำได้ยากเสียแล้ว เพราะถึงยุบพรรคเพื่อไทยและถอดถอนนายกรัฐมนตรีได้
แต่ถ้าดุลคะแนนเสียงในสภายังคงเดิมหรือเปลี่ยนไปไม่มากพอ พรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่สามารถตั้งรัฐบาลงูเห่า
ได้อยู่ดี และรัฐบาลใหม่ก็จะยังคงเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทย
นัยหนึ่งการที่พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างเด็ดขาดเมื่อวันที่ 3
กรกฎาคม 2554 มีเสียงเกินครึ่งในสภา ทำให้การเปลี่ยนมืออำนาจบริหารให้กลับมาเป็นของฝ่ายเผด็จการอีกครั้งภายในกรอบรัฐสภานี้ทำได้ยากยิ่ง
เพราะถึงอย่างไร ตุลาการและ องค์กรอิสระตามรัดทำมะนวยก็ไม่สามารถเปลี่ยนดุลคะแนนเสียงในสภาได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทั้งหมดนี้ทำให้พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการเอาชนะฝ่ายประชาธิปไตยด้วยวิธีการที่ไม่ใช่การเลือกตั้งและจำนวนคะแนนเสียงในสภา
รูปแบบการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งด้วยวิธีการนอกสภาที่พวกเขาเคยกระทำมานับสิบครั้งก็คือ
รัฐประหาร แต่ทว่าการรัฐประหารในวันนี้จะถูกต่อต้านจากประชาชนผู้รักประชาธิปไตยทั่วประเทศอย่างแน่นอน
และจะเป็นรัฐประหารที่นองเลือดยิ่งกว่าครั้งใดในอดีต นอกจากนั้น
ประชาคมโลกในหลายปีมานี้ ก็เหมือนกับประชาชนไทยจำนวนมากคือรู้ความจริง เข้าใจปัญหาถึงรากเง่าความขัดแย้งทางการเมืองของประเทศไทยอย่างทะลุปรุโปร่ง
รู้ชัดว่ากษัตริย์ของไทยคือปัญหาที่แท้จริงที่ขัดขวางประชาธิปไตยในไทยตลอดหลายสิบปีมานี้
รัฐประหารไม่ว่าจะเปิดเผยหรือซ่อนรูป รวมทั้งรัฐบาลเผด็จการที่คลอดออกมาจะถูกปฏิเสธจากประชาคมโลกและประชาคมอาเซียนอย่างแน่นอน
แต่ฝ่ายเผด็จการแฝงเร้นไม่เคยลดละที่จะบั่นทอนรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การรุกครั้งใหญ่ล่าสุดของพวกเขาคือ
กรณีการแก้รัดทำมะนวย ม.291 ให้ไม่สามารถจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญได้
ที่บรรลุไปถึงการพิจารณาในวาระสาม ก็ได้ถูกทั้งพรรคประชาธิปัตย์และกลุ่มพันธมิตรใช้เป็นข้ออ้างเคลื่อนไหวเพื่อโค่นล้มรัฐบาล
ไปถึงศาลรัดทำมะนวยที่กระโดดเข้ามารับคำร้องคัดค้าน ทั้งที่ไม่มีอำนาจตามบทบัญญัติของรัดทำมะนวย
จนเกิดเป็นกระแสสูงที่จะให้ยุบพรรคเพื่อไทยและดำเนินคดีอาญาต่อผู้ที่ผลักดันการแก้รัดทำมะนวย
แต่ในที่สุดการรุกครั้งใหญ่นี้ก็ฝ่อสลายไปเสียก่อน
ดูเหมือนว่าการรุกครั้งใหม่ของฝ่ายเผด็จการกำลังก่อตัวขึ้นอีก จากการเคลื่อนไหวนอกสภาอย่างคึกคักของพรรคประชาธิปัตย์ที่ดำเนินต่อเนื่องมาหลายเดือน
การก่อกระแสต่อต้านโครงการต่างๆ ของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการรับจำนำข้าว
ที่ประสานร่วมมือกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์ นักวิชาการเสื้อเหลือง
กลุ่มนายทุนพ่อค้าที่เสียประโยชน์ กลุ่มสมาชิกวุฒิสภาที่เป็นสมุนเผด็จการ
ความพยายามของคนพวกนี้เข้าขั้นจนตรอก เมื่อไม่สามารถหาเรื่องจริงมาบิดเบือนได้อีก ไม่ต่องการเรื่องชายชุดดำ
โดยกุเรื่องไซฟ่อนหรือยักย้ายเงิน 16,000 ล้านบาทที่ฮ่องกงโดยอ้างชื่อเจ๊
ด. หรือเจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวคุณทักษิณ อันเป็นการสร้างเรื่องขึ้นจากอากาศธาตุโดยแท้
กระทั่งล่าสุด ความพยายามที่จะก่อการชุมนุมของมวลชนเพื่อขับไล่รัฐบาลในวันที่ 28
ตุลาคม 2555 ในนามองค์กรพิทักษ์สยาม โดยเสธอ้าย
901
กลุ่มพันธมารเพื่อเผด็จการโดยกษัตริย์ของนายสนธิ ลิ้มทองกุลได้ออกแถลงการณ์ให้กำลังใจองค์กรพิทักษ์สยาม
และจะจัดกิจกรรมเดินสายสัญจรหลอกลวง และให้ความเท็จกับประชาชนให้มากที่สุดโดยได้มีมติเตรียมการเคลื่อนไหวมวลชนถ้า
มีการดำเนินการใดๆ ก็ตาม ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสถาบันกษัตริย์ หรือลดอำนาจของกษัตริย์
นำไปสู่การนิรโทษกรรมให้กับพตท.ทักษิณ ชินวัตร และพวก หรือเมื่อพวกพันธมารได้โอกาสจากความปั่นป่วนของเหตุการณ์บ้านเมือง
ก็จะนำไปสู่ระบอบเผด็จการที่ดักดานและเบ็ดเสร็จยิ่งขึ้นต่อไป
แต่การเคลื่อนไหวรุกในขอบเขตใหญ่โตอย่างทรงพลังและเป็นระบบทั่วด้านกระทำได้ยากขึ้น
เนื่องจากรัฐบาลพรรคเพื่อไทยยังเข้มแข็ง นายกยิ่งลักษณ์ก็เป็นที่นิยมของประชาชนอย่างสูง
และเครือข่ายอำนาจเผด็จการแฝงเร้นได้อ่อนแอและเสื่อมทรามลงไปอย่างมากในช่วงปีเศษมานี้ หนทางของพวกเผด็จการแฝงเร้นภายในกรอบรัฐสภานั้นตีบตัน ขณะที่หนทางนอกรัฐสภาก็สุ่มเสี่ยงและเต็มไปด้วยอุปสรรค
การรุกครั้งนี้จึงเป็นการกระเสือกกระสนที่สิ้นหวังและไร้อนาคต ยิ่งถ้าพวกเขาเกิดอาการวิปลาส
ดันทุรังไปจนถึงการทำรัฐประหาร ฝืนความต้องการของประชาชนไทยและประชามติโลก พวกเขาก็จะมุ่งไปสู่จุดจบที่เด็ดขาดและรวดเร็วยิ่งขึ้น







โดยมีข้อความ สรุปได้ดังนี้





อภิปรายไม่ไว้วางใจ
หนีไม่พ้นคนชื่อทักษิณอีกแล้ว


พรรคประชาธิปัตย์ได้อภิปรายกล่าวหารัฐบาลพรรคเพื่อไทยว่านายกยิ่งลักษณ์เบียดบังอำนาจและงบประมาณของประชาชน เพื่อประโยชน์ตนเองและครอบครัว ซึ่งก็คือสิ่งพรรคประชาธิปัตย์และกษัตริย์เองได้ประพฤติปฏิบัติให้เห็นมาโดยตลอด

เรื่องเงินเดือนปริญญาตรี 1.5 หมื่นบาท ก็ปรากฎว่า ไม่ใช่เงินเดือนแต่เป็นค่าครองชีพ ซึ่งที่จริงก็คือเงินรายได้เหมือนกันและรัฐบาลได้มีมติให้ปรับเงินเดือนให้ย้อนหลัง การให้บริการรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ก็เป็นเรื่องที่ต้องรอการเปิดให้บริการทั้งระบบ ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์เองก็ไม่เคยมีนโยบายด้านนี้เลย พรรคประชาธิปัตย์จึงไม่มีทั้งผลงานและนโยบายมาเทียบเคียง จึงเป็นได้แค่พรรคที่ดีแต่พูด



พรรคประชาธิปัตย์พยายามกล่าวหาว่านายกยิ่งลักษณ์ไม่ให้ความสำคัญต่อสภาที่ดีแต่พูดและหาสาระไม่ค่อยได้ ทั้งหาว่านายกยิ่งลักษณ์ลอยตัวไม่ลงมาต่อล้อต่อเถียงหรือให้ราคากับพวกนักพูดแบบพวกตน แทนที่ฝ่ายค้านจะมุ่งเน้นอภิปรายในเรื่องนโยบายของรัฐบาล แต่ฝ่ายค้านกลับลงที่พตท.ทักษิณ แสดงถึงความอับจนทางปัญญาที่มีแต่จะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ของระบอบเจ้ามีแต่จะตกต่ำลงไปมากขึ้นทุกที
ประชาชนจึงยังคงเห็นแต่ภาพเดิมๆของพรรคประชาธิปัตย์คือ การใส่ร้ายป้ายสีลูกเดียว เพื่อให้คู่แข่งกลายเป็นคนเลวร้ายในสายตาประชาชน แต่ไม่เคยเห็นแสดงความสามารถในการบริหารประเทศเลยสักครั้ง นอกจากใช้คารมเท่านั้น สิ่งที่นำมาอภิปราย นำมาแสดงก็คือการทุจริตในระดับผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นปกติและต้องหาทางป้องกันแก้ไข

สุเมธเผยในหลวง ขอนำทัพแก้จน
เชื่อปากท้องอิ่มเป็นประชาธิปไตยได้
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา เผยในหลวงยังทรงงานอยู่โดยไม่ซ้ำโครงการรัฐบาล เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อไม่มีเสถียรภาพก็เป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ชี้ถ้าไม่มีแผ่นดินจะมีประเทศได้อย่างไร ส่วนปัญหาด้านความมั่นคงเป็นปัญหาซ่อนเร้น ต้องแก้ปัญหาที่ต้นตอ เผยมูลนิธิใช้การพัฒนาเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ และพระองค์ขอนำทัพเอง ส่วนปัญหาไฟใต้ แนะต้องใช้แนวทางพิเศษ ชี้ใช้อาวุธไม่มีทางสำเร็จ

ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงงานอยู่ เพราะประชาชนยังยากจนอยู่ เมื่อยังมีความยากจนจึงไม่มีเสรีภาพ เขาจึงเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ ซึ่งปัญหาความยากจนไม่ใช่เป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่โยงไปถึงการเมืองด้วย



นายสุเมธเป็นคนที่รับใช้ใกล้ชิดและทำงานให้กษัตริย์อย่างชัดเจน เป็นเหมือนโฆษกส่วนตัวของกษัตริย์ สิ่งที่นายสุเมธพูดจึงเชื่อกันตลอดมาว่าคือความคิดของกษัตริย์นั่นเอง
ข้อสังเกตจากคำพูดของนายสุเมธ พอสรุปได้ดังนี้
ประเทศไทยคนไหนมีเงินก็ยึดไว้หมด ประชาชนเป็นแค่แรงงาน เงินค่าแรง 300 ไม่รู้ว่าตอนนี้ขึ้นค่าแรงครบหรือยัง และตอนนี้ข้าวแกงขึ้นไปเท่าไหร่ ถ้าทำให้ประชาชนมีที่ดิน เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติที่แท้จริง การฝักใฝ่ฝ่ายใดคงไม่มีและไม่มีแบ่งสีนั้นสีนี้เหมือนปัจจุบัน ซึ่งปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้นมีพื้นฐานมาจากด้านเศรษฐกิจทั้งหมด หากปากท้องอิ่ม ชีวิตไม่ต้องทนลำบาก ไม่ต้องเจอวิกฤต เมื่อนั้นจะมีประชาธิปไตยเกิดขึ้น












......................