หรือที่ : http://www.mediafire.com/?2plhtre9t7h99cm
.........
พงศาวดารรัตนโกสินทร์
ระบอบศักดินา
และชะตากรรมของพระเจ้าตากสิน



เช่น แอบอิงพระพุทธศาสนด้วยการโอ้อวด ว่า กษัตริย์คือพระโพธิสัตว์ซึ่งจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าเพื่อหลอกลวงผู้อื่น ให้เข้าใจว่า การปกครองของกษัตริย์นั้นชอบธรรมและทั้งๆที่ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกทั้ง 84,000 พระธรรมขันธ์จะรับรองว่ากษัตริย์คือพระโพธิสัตว์เลย

นอกจากแอบอิงพระพุทธศาสนาแล้วยังแอบอิงความเชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดถือกันมานาน ได้อย่างวิจิตรพิสดารนั่นก็คือ การที่พวกศักดินาถือว่ากษัตริย์เป็นเทวดาตั้งแต่ขณะที่มีชีวิตอยู่ จึงสร้างราชาศัพท์ซึ่งมีไว้ใช้เฉพาะกับกษัตริย์และราชนิกุลทั้งหลาย และมีการตั้งกฎเกณฑ์ต่างๆ อันทำให้แลดูว่า"กษัตริย์สูงส่งกว่ามนุษย์ทั่วไป เช่น ห้ามมองดูกษัตริย์ โดยอ้างว่าถ้ามนุษย์มองดูพระเจ้าก็เหมือนมองพระอาทิตย์ กษัตริย์จะไม่ยอมให้เท้าเหยียบแผ่นดินโดยไม่ใส่รองเท้า โดยอ้างว่าเท้าของเทวดาย่อมร้อน ถ้าเหยียบแผ่นดินแล้วไฟจะไหม้โลก และห้ามแตะต้องกษัตริย์ ผู้ที่มีสิทธิ์ถูกต้องตัวกษัตริย์ได้จึงมีแต่ช่างตัดผมและนางบำเรอของกษัตริย์เท่านั้น

และพระพุทธองค์ไม่เคยยอมรับเลยว่า กษัตริย์นั้นมีบุญมากกว่าผู้อื่นแต่อย่างใด ประวัติศาสตร์ไทยที่เราท่านเล่าเรียนและรับฟังกันมามิได้สะท้อนความเป็นจริงแห่งการดำรงชีพของคนไทยและความเป็นจริงของเหตุการณ์ในแผ่นดินอย่างตรงไปตรงมา เนื้อหาส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องบิดเบือนและปิดหูปิดตาไม่ให้ผู้คนรู้ความจริง ประวัติศาสตร์ไทยกลายเป็นตำนานของการสืบสันตติวงศ์ ์เป็นการยกย่องกษัตริย์ให้ผิดมนุษย์ธรรมดา

พระเจ้าตากสินมหาราช
อันตัวพ่อ ชื่อว่า พระยาตาก
ทนทุกข์ยาก กู้ชาติ พระศาสนา
ถวายแผ่นดิน ให้เป็น พุทธบูชา
แด่พระศาสนา สมณะ พระพุทธโคดม
ให้ยืนยง คงถ้วน ห้าพันปี
สมณะพราหมณ์ชี ปฏิบัติ ให้พอสม
เจริญสมถะ วิปัสสนา พ่อชื่นชม
ถวายบังคม รอยบาท พระศาสดา
คิดถึงพ่อ พ่ออยู่ คู่กับเจ้า
ชาติของเรา คงอยู่ คู่พระศาสนา
พุทธศาสนา อยู่ยง คู่องค์กษัตรา
พระศาสดา ฝากไว้ ให้คู่กัน ฯ
(จากจารึกในศาลพระเจ้าตากสินมหาราช วัดอรุณราชวราราม เดิมชื่อวัดมะกอกใหญ่ พระเจ้าตากสินเสด็จกรีฑาทัพล่องมาทางน้ำ จนถึงวัดนี้ตอนรุ่งอรุณจึงให้ชื่อว่าวัดแจ้ง หรือวัดอรุณ)

หลังกรุงศรีอยุธยาเสียกรุงแก่พม่าในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้าตากสินได้รวบรวมผู้คนและนักรบต่อสู้ขับไล่พม่าอย่างเด็ดเดี่ยวจนกอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จ จากนั้นก็ใช้เวลาอีก 15 ปี กรำศึกสงครามรวบรวมหัวเมืองต่างๆที่กระจัดกระจาย ขณะเดียวก็ต้องทำศึกใหญ่กับพม่าหลายครั้ง จนสร้างความเป็นปึกแผ่นแก่บ้านเมือง พร้อมกับทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างขนานใหญ่








กรณี หาเรื่องสั่งประหารเจ้าฟ้าเหม็น
รัชทายาทพระเจ้าตาก

คดีกบฏเจ้าฟ้าเหม็น..

"ในวันจันทร์ วันเดียวกันนั้น เจ้าจอมมารดาสำลี พระองค์ชายพงศ์อิศเรศร์ ชันษา 9 ปี พระองค์หญิงนฤมล ชันษา 6 ปี สามคนแม่ลูกนั่งเล่นกันอยู่ที่พระตำหนักในพระนิเวศนเดิม(ราชนาวิกสภา)

พงศาวดารตำนานรัตนโกสินทร์
พระยาจักรีผู้สถาปนาราชวงศ์
ด้วยชีวิตของกษัตริย์ผู้กู้ชาติ

พระองค์จึงใช้เล่ห์เพทุบายบังคับให้อาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ บิดเบือนว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับพระเจ้าตากสิน แต่ต้องถอยทัพไปเพราะกษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับบ้าน




เจ้าฟ้าฉิม
กษัตริย์นักกวี
จอมเจ้าชู้ผู้อื้อฉาว


กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
กษัตริย์ผู้ถูกกล่าวหา
ว่าฆ่าพระราชบิดา

ประจวบกับปลายรัชกาลที่ 2 พระองค์ทรงหมกมุ่นอยู่กับการกวีและกามารมณ์ จึงปล่อยให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ทำงานแทนพระเนตรพระกรรณร่วม 20 ปี จึงใกล้ชิดรัชกาลที่ 2 มากกว่าโอรสองค์อื่นๆ

กรมหลวงรักษ์รณเรศ โอรสรัชกาลที่ 1 เริ่มสะสมไพร่พลมากขึ้นๆทุกที จนรัชกาลที่ 3 ทนไม่ได้ จึงให้จับกรมฯรักษ์รณเรศ ยัดเข้าถุงแดงและให้ใช้ไม้ทุบจนตาย มีข้อน่าสังเกตว่า การที่รัชกาลที่ 3 ทรงอุปการะพระพุทธศาสนาเป็นพิเศษ อีกทั้งสร้างวัดวาอารามและเจดีย์ที่มีชื่อเสียงไว้มากมายนั้น เหตุผลสำคัญที่น่าสนใจคืออาจเป็นเพราะพระองค์ทรงมีส่วนในการสวรรคตของพระราชบิดาจึงสร้างไว้เพื่อไถ่บาป
เจ้าฟ้ามงกุฎ
อดีตสมภารผู้มากภรรยา

เผยแพร่การโฆษณาชวนเชื่อ กระพือข่าว ทำให้ประชาชนศรัทธาตนด้วยวิธีการแปลกๆ พระองค์ถึงกับลวงให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนเป็น ภิกษุยิ่งกว่าภิกษุอื่น ด้วยการบวชซ้ำบวชซากถึง 6 ครั้ง รัชกาลที่ 2 นั้นประกาศตั้งแต่ยังไม่สวรรคตว่า จะให้เจ้าฟ้ามงกุฎเป็นกษัตริย์ แต่เจ้าฟ้ามงกุฎเองก็รู้ว่า
ถ้าตนสึกเมื่อใด ก็หัวขาดเมื่อนั้น จึงทนอดเปรี้ยวไว้กินหวานเพื่อสะสม และก่อตั้งนิกายใหม่คือธรรมยุติ ทั้งๆที่ธรรมยุติและมหานิกายมีวัตรปฏิบัติต่างกันเพียงเล็กน้อย
แต่ที่ทรงตั้งธรรมยุติกะขึ้นมา ก็เพื่อการเมือง คือเอาพระพุทธศาสนามาเป็นโล่ เป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อชิงเอาราชสมบัติ และได้สมคบหากับขุนนางตระกูลบุนนาคขณะที่ยังอยู่ในสมณเพศ
เพื่อสร้างหนทางทอดไปสู่ความเป็นกษัตริย์ เมื่อจวนสิ้นรัชกาลที่ 3 นั้นพวกบุนนาคอยากให้ภิกษุเจ้าฟ้ามงกุฎเป็นกษัตริย์ จึงปฏิสังขรณ์วัดบุปผารามเป็นวัดธรรมยุติ พอถึงปลายรัชกาลที่ 3



เจ้าจอมทับทิมนั้นไม่ยอมทนอยู่กับตาเฒ่าฟันฟางหักหมดปาก จึงหนีไปกับคู่รัก แต่หนีไม่พ้น ถูกรัชกาลที่ 4จับฆ่าทั้งคู่

รัชกาลที่ 4 กับพระปิ่นเกล้าผู้เป็นน้องชายไม่ค่อยจะถูกกัน เพราะพระองค์ระแวงที่พระปิ่นเกล้ามีผู้นิยมมาก ทั้งพระปิ่นเกล้าเองก็มักจะกระทำการที่มองดูเกินเลยมาก

ข้อที่สร้างความชอกช้ำระกำใจให้กับพระองค์ที่สุดคือการที่พระปิ่นเกล้าไปไหนก็ ได้ลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองแลกรมการมาทุกที แต่พระองค์มิเป็นเช่นนั้นเลย ต่อมาพระปิ่นเกล้าก็สวรรคต แต่การสวรรคตของพระปิ่นเกล้ามีเบื้องหลังมากโดยนางแอนนาเลียวโนเวนส์เลขานุการของรัชกาลที่ 4 ได้เขียนหนังสือว่าที่พระปิ่นเกล้าทรงสวรรคตด้วยยาพิษโดยพระเจ้ากรุงสยาม (รัชกาลที่ 4) ทรงจ้างหมอให้ทำ และนางใช้คำว่า พระเจ้ากรุงสยามเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายชั่วช้ามาก และที่ร้ายแรงกว่าความชั่วช้าคือ ความผูกอาฆาต พยาบาทอย่างรุนแรง และทรงเป็นกษัตริย์ที่มีพระนิสัยอิจฉาริษยาอย่างมาก
และหลังจากที่พระปิ่นเกล้าสวรรคต รัชกาลที่ 4 ก็ได้แก้แค้นคนทั้งปวงที่นิยมพระปิ่นเกล้า ด้วยการบังคับให้พระนางสุนาถวิสมิตรา มเหสีของพระปิ่นเกล้าให้มาเป็นเจ้าจอมหรือภรรยาน้อยของตน แต่พระนางสุนาถวิสมิตราไม่ยอม จึงถูกจับกุมขังไว้ในวังหลวง แต่โชคดีที่หนีไปเมืองพม่าได้ในภายหลัง
จุฬาลงกรณ์
ผู้สถาปนาระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ขนานแท้




วชิราวุธ
ผู้หลงไหล
อยู่กับวรรณกรรมและการละคร




ในที่สุดก็มีข่าวลือตลอดรัชกาลนี้ว่าจะมีรัฐประหาร โดยพวกเจ้า เช่น เมื่อต้นปี รศ.130 มีข่าวลือว่ากรมหมื่นชุมพรเขตอุดมศักดิ์จะรัฐประหาร แล้วเชิญเจ้าฟ้ากรมหลวงนครสวรรค์วรพินิต ขึ้นเป็นกษัตริย์ โชคดีที่พระองค์ไม่ถูกพวกเจ้าถอดจากราชบัลลังก์ เพราะสวรรคตไปเสียก่อน
ประชาธิปก
กษัตริย์
ผู้ไม่อาจรั้งประชาธิปไตย


สิ่งนี้ทำให้เกิดกรณีการเปลี่ยนแปลงในปี 2475 อันเป็นฝันร้ายของพวกศักดินา พวกอนุรักษ์นิยมที่จะต้องจดจำไปตลอดชีวิต และก็เพราะเหตุการณ์นี้เองที่ทำให้รัชกาลที่ 7 ต้องสละราชสมบัติ
อานันทมหิดล กษัตริย์หนุ่ม
ผู้เป็นเหยื่อของความทะเยอทะยาน






โดยปกติวิสัยของรัชกาลที่ 8 ชอบสะสมปืนมาก และมีปืนของรัชกาลที่ 8 อยู่กระบอกหนึ่งซึ่งไกปืนอ่อนมาก และราชวงศ์บางท่านชอบเอาปืนไปจี้คนนั้นคนนี้ บางครั้งเอาปืนมาจ่อรัชกาลที่ 8 ทำท่ายิงเล่นๆ จนผู้คนในวังเห็นเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว แต่แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลที่น่าสังเกตดังนี้

แล้ว

นอกจากนี้ถ้ามีผู้ร้ายภายนอกแอบเข้าไปในห้องบรรทม ก็ต้องเข้าไปในเวลากลางคืนและยิงในเวลานั้นเลย เพราะปลอดคน ทั้งหนีสะดวก มิใช่รอจนเวลาเช้าจึงยิง อันจะทำให้ต้องแอบซ่อนตัวอยู่เป็นเวลานาน ซึ่งเป็นการเสี่ยงภัยมากกว่า และหากมีผู้ร้ายซ่อนตัวอยู่จริง ย่อมไม่อาจรอดสายตาพระชนนี และมหาดเล็กที่เข้าไปถวายน้ำมันละหุ่งให้รัชกาลที่ 8 ได้


3. คำให้การ มีพิรุธมากเพราะ-ทุกคนที่อยู่ในพระที่นั่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่พระอนุชา (รัชกาลที่9) และพระชนนีเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน
![]() |
เนื่อง จินตะดุลย์ และสังวาลย์ ตะละภัฏ |
-พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ (ภายหลังได้เป็นท้าวอินทรสุริยา) นักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับพระชนนี ให้การว่า ตนอยู่ในห้องพระอนุชา (รัชกาลที่ 9 ) 20 นาที ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบพระอนุชา(รัชกาลที่9) ในห้องนั้นเลย
-พระอนุชา(รัชกาลที่ 9)บอกให้กรมขุนชัยนาทฯ ฟังว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืนนั้น ตนเองอยู่ในห้องของตน ขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ซึ่งอยู่ในห้องของพระองค์ในขณะนั้น
- นายเวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องพระอนุชา (รัชกาลที่ 9)ให้การว่า แม้ห้องนอนของพระอนุชา มีประตูติดกับห้องเครื่องเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้าพระอนุชา ต้องการจะเข้าห้องเครื่องเล่น จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าของห้องเครื่อง มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของพระอนุชา


![]() |
ชิต สิงหเสนี |


-มีการสร้างพยานเท็จว่า ดร.ปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะฆ่ารัชกาลที่ 8 ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยมีนายตี๋ ศรีสุวรรณ เป็นผู้ล่วงรู้ความลับนี้
ในภายหลัง นายตี๋ ศรีสุวรรณ ยอมรับกับท่านปัญญานันทะ ภิกขุว่าตนให้การเท็จ นอกจากนี้ยังมีนายวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินนายปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้นายปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ทั้งๆที่นายวงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนายปรีดี พอที่นายปรีดีจะพูดความลับ อันเป็นความเป็นความตายด้วย

บนเก้าอี้โซฟาแทน

เมื่อรัฐบาลพลเรือนชุดก่อนที่จะถูกรัฐประหาร จะชันสูตรพระศพรัชกาลที่ 8 กลับถูกคัดค้านจาก กรมขุนชัยนาทและพระชนนีจนกระทำไม่ได้ แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือผู้ต้องสงสัย
และโยนความผิดให้ผู้อื่น ดังจะเห็นได้ว่า

-ศาลหลีกเลี่ยงไม่ยอมปฏิบัติตามประมวลวิธีความอาญาซึ่งกำหนดว่า การซักค้านพยาน อันจะเกิดความเสียหายต่อจำเลย ต้องกระทำต่อหน้าจำเลย ศาลกลับเดินเผชิญสืบผู้ต้องสงสัยบางรายที่สวิสเซอร์แลนด์ (พระอนุชาหรือรัชกาลที่ 9 และพระชนนี) ในวันที่ 12 และ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 โดยไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้านด้วย แม้ผู้ต้องสงสัย ให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้

- เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวผู้ต้องสงสัยบางราย ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่าง นายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งคนผู้นี้ ศาลฎีกาไม่สามารถกล่าวออกมาได้ว่า เกี่ยวข้องกับคดีสวรรคตอย่างไร นอกจากอ้างซ้ำแล้วซ้ำอีกว่า มีความใกล้ชิดกับนายปรีดี กระทั่งฆาตกรศาลก็วินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นผู้กระทำ ศาลกลับให้ฆ่านายเฉลียวเพียงเพราะนายเฉลียวใกล้ชิดกับนายปรีดี


กษัตริย์นักบุญ ?




การดำเนินชีวิตของพระองค์ในต่างประเทศเต็มไปด้วยความสนุกสนาน ทรงโปรดทั้งดนตรี งานสังคม และทรงโปรดการขับรถเร็วเป็นพิเศษ ด้วยพระองค์ทรงอยู่ในวัยหนุ่มและชอบการขับรถ มรว.สิริกิต กิติยากรธิดาของกรมหมื่นจันทบุรี ซึ่งเป็นทูตไทยในอังกฤษขณะนั้น ได้ไปช่วยรักษาพยาบาลรัชกาลที่ 9 อย่างใกล้ชิดที่สวิสเซอร์แลนด์ ภายหลังที่พระองค์ทรงเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ กระจกทิ่มเอาพระเนตรบอดสนิทไปข้างหนึ่ง ทรงประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในเวลาต่อมา และได้เข้าพิธีอภิเษกสมรสในปี 2493 ขณะทรงมีพระชนมายุ 22 พรรษา, มรว.สิริกิตมีอายุ 17 ปี

กูนี่แหละ จะเป็นประธานาธิบดีคนแรกของเมืองไทย ในวันเฉลิมพระชนมพรรษาของกษัตริย์หรือพระราชินี พบว่าไม่มีชื่อของประภาส-ไสว ณรงค์ กิติขจรและภรรยา เข้าไปถวายพระพรเลย ในช่วงนั้นฝ่ายศักดินาพยายามปล่อยข่าวว่า ประภาสส่งคนไปยิงฟ้าชายที่ออสเตรเลีย ขณะที่กลุ่มถนอม ประภาสมีอำนาจและมีกำลังทหารในมือพร้อมที่จะโค่นศักดินาใหญ่ได้ ฝ่ายศักดินาใหญ่ก็มีประชาชนจำนวนมากที่ให้การสนับสนุนด้วยความงมงายตามประเพณีนิยม
ในภาวะขณะนั้นฝ่ายศักดินาใหญ่แม้จะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่อาจสร้างกำลังใดๆได้เลย นอกจากตำรวจชายแดนจำนวนไม่มากที่ทรงให้ความสนิทสนมโดยส่วนพระองค์ของพระชนนีและกษัตริย์ กำลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่อาจทำลายล้างกันได้ในทันทีเช่นกัน ปัญหาของทั้งสองฝ่ายคือ การคอยจ้องหาโอกาสเหมาะๆที่อีกฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ เพื่อทำลายอีกฝ่ายลงไปให้ได้แล้วโอกาสก็มาถึง








สามเณรถนอมเข้ามาทั้งๆที่คณะรัฐมนตรีมีมติห้ามเข้ามา พระถนอมได้รับความคุ้มครองจากตำรวจรอบวัด รวมทั้งการอารักขาจากพล.ท.ยศ เทพหัสดินทร์แม่ทัพภาคหนึ่ง ในช่วงนี้เองที่ฝ่ายสนับสนุนกษัตริย์ได้เผยโฉมออกมาอย่างชัดเจน ทั้งกษัตริย์และราชินีได้รีบเสด็จขึ้นกรุงเทพฯในวันที่ 23 กันยายน และเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีที่ลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดอนเมือง เช่นเดียวกับฟ้าชายซึ่งกลับจากออสเตรเลียก็ตรงเสด็จเข้าเยี่ยมพระถนอมทันทีในวันที่ 3 ตุลาคม 2519 แทนที่จะเข้านมัสการพระแก้วมรกตตามปกติ


เผาทั้งเป็นอย่างสยดสยอง ผู้หญิงบางคนถูกฆ่าอย่างไร้ความปรานี บางคนถูกทรมานเอาไม้ตอกทั้งเป็น เอาไม้แทงเข้าช่องคลอด




ภาคผนวก
ความมั่งคั่ง
ร่ำรวยของกษัตริย์
การแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของกษัตริย์นั้น ส่วนใหญ่จะกระทำผ่านสำนักทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ตามพรบ.จัดทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ. 2479 แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ พ.ศ. 2491 ได้แยกทรัพย์สินของกษัตริย์ดังนี้
1. ทรัพย์สินส่วนพระองค์ คือทรัพย์สินของกษัตริย์ก่อนครองราชย์ กฎหมายระบุให้การจัดการหาผลประโยชน์ตาม พระราชอัธยาศัย
2. ทรัพย์สินสาธารณะสมบัติส่วนแผ่นดินเช่นพระราชวัง กฎหมายให้สำนักพระราชวังเป็นผู้ดูแล
3. ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นทรัพย์สินของกษัตริย์ นอกเหนือจากที่กล่าวแล้ว กฎหมายให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา

และรายได้จากสำนักงานทรัพย์สินจะนำไปใช้ทางใดทางหนึ่งได้ ก็เมื่อได้รับคำอนุญาตจากกษัตริย์แล้ว และยังชี้อีกว่ากษัตริย์เท่านั้นที่มีอำนาจนำรายได้นี้ไปใช้จ่าย ทางใดก็ได้ตามใจชอบ พวกศักดินาเองพยายามปกปิดผู้อื่นตลอดมา เพื่อไม่ให้ประชาชนรู้ว่ากษัตริย์เป็นผู้ที่มีอำนาจที่สุดในสำนักงานทรัพย์สินกระทั่งทรัพย์สินส่วนพระองค์โดยตรงก็ยังมีกฎหมายกำหนดว่า ให้มีการแต่งตั้งผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์ขึ้นมาดูแลทรัพย์สินส่วนพระองค์และเมื่อใดมีความจำเป็นที่ต้องสัมพันธ์กับผู้อื่นในเรื่องของทรัพย์สินส่วนพระองค์ห้ามมิให้ระบุชื่อกษัตริย์ หรือข้อความใดที่อนุมานได้ว่ากษัตริย์เป็นคู่ความ ให้อ้างเพียงชื่อผู้จัดการทรัพย์สินส่วนพระองค์เท่านั้น นี่แหละคือความพยายามหลบหลีกปกปิดทรัพย์ที่มีอยู่
สรุปลักษณะพิเศษของสำนักงานทรัพย์สิน ก็คือ
1. เป็นหน่วยงานที่ไม่ต้องเสียภาษี
2. ผลกำไร/รายงานผลการดำเนินงานทูลเกล้าถวายฯ พระเจ้าอยู่หัว
3. คณะกรรมการบริหารทั้งหมดโปรดเกล้าแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัว ยกเว้น 1 คน คือ รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง โดยตำแหน่ง
4. อยู่นอกเหนืออำนาจการปกครองของรัฐ
อาจกล่าวได้ว่า สำนักงานทรัพย์สินฯ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการสะสมทุนในปี 2503-2540 และนับเป็นกลุ่มทุนที่ทรงพลังและมีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง

ในหลวงของไทยครองตำแหน่ง
นักลงทุนอันดับ 1 ของประเทศ


ตามตัวเลขเดิมนั้น กษัตริย์มีที่นาที่ฉะเชิงเทรา สุพรรณบุรี นครปฐม เพชรบุรี สระบุรี นครนายก อยุธยา ปทุมธานี ตามที่รัฐบาลเปิดเผย 53,683 ไร่ โดยแจกเอกสารสิทธิการเช่าที่ดินแก่ราษฎร 43,143ไร่ ส่วนที่ดินในกรุงเทพฯนั้นกษัตริย์มีที่ดินอยู่เกือบครึ่งเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณศูนย์การค้า เช่น ท่าพระจันทร์ สองข้างถนนราชดำเนิน นางเลิ้ง หัวลำโพง ราชเทวี ประตูน้ำ สำเพ็ง ราชวงศ์ เยาวราช สีลม สี่พระยา บางรัก วงเวียนใหญ่


ในนั้นกว่า 7,500 ไร่ อยู่ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของไทย โดยพื้นที่บางแห่งมีมูลค่าตารางวาละหลายแสนบาท จากการประเมินของบริษัทซีพีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก




งบประมาณของสำนักพระราชวัง

ปี 2545 -1,136,536,600 บาท
ปี 2546 -1,209,861,700 บาท
ปี 2547-1,275,948,400 บาท
ปี 2548 -1,501,472,900 บาท
ปี 2549 -1,676,888,800 บาท
ปี 2550 -1,945,122,400 บาท
แยกรายจ่ายเฉพาะปี 2550 เฉพาะที่น่าสนใจ
1. งบบุคลากร 835,701,700 บาท
1.1 เงินเดือนและค่าจ้างประจำ 833,201,700 บาท
1.2 ค่าจ้างชั่วคราว 2,500,000 บาท
2. งบดำเนินงาน 339,869,300 บาท
2.1 ค่าตอบแทน ใช้สอยและวัสดุ156,432,500 บาท

งบประมาณทั้งสิ้น23,176,000 บาท
(2) ค่าเช่ารถยนต์ส่วนกลาง 23 คัน5,110,700 บาท
งบประมาณทั้งสิ้น25,553,500 บาท
3. งบลงทุน 9,162,200 บาท
3.1 ค่าครุภัณฑ์ ที่ดินและสิ่งก่อสร้าง9,162,200 บาท
3.1.1 ค่าครุภัณฑ์5,979,700 บาท
4. งบเงินอุดหนุน 756,889,200 บาท
4.1 เงินอุดหนุนทั่วไป756,889,200 บาท

ในพระราชฐานที่ประทับ 280,000,000 บาท
2. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระราชฐานที่ประทับ
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร 180,000,000 บาท
3. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในพระองค์ 65,625,000 บาท
4. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินปีพระบรมวงศานุวงศ์ 57,856,000 บาท

6. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินเบี้ยหวัดข้าราชการฝ่ายใน 8,908, 200 บาท
7. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นเงินพระราชกุศลตามพระราชอัธาศัย 9,000, 000 บาท
8. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 19,000, 000 บาท
9. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายประสานงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมากจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี 6,500,000 บาท
10. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระราชฐานและซ่อมเครื่องตกแต่ง 10,000,000 บาท
11. เงินอุดหนุนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงพระตำหนักจิตรลดารโหฐานพร้อมจัดหาซ่อม ทำเครื่องใช้เครื่องตกแต่ง 15,000,000 บาท
12. เงินอุดหนุนโครงการบูรณาการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต 5,000,000 บาท
ยังมีงบแยกเป็นของสำนักเลขาธิการพระราชวังอีก 400 กว่าล้านบาท

กษัตริย์ของประเทศอังกฤษและยุโรปเขาจนกว่ากษัตริย์ของเรามาก และกษัตริย์ของเขาต้องเสียภาษีแต่กษัตริย์ของไทยเรารวยกว่าเขามาก แถมยังไม่ต้องเสียภาษีและมีงบประมาณสนับสนุนอย่างเหลือเฟือ รวมทั้งได้รับเงินบริจาคที่มีจากหลายๆแหล่งตลอดทั้งปี
................