วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตำนานๆ ตอน ตรรกะแบบหมาๆว่าด้วยระบอบทักษิณ ( Stupid Logic on Thaksinocracy)



ฟังเสียง  : http://www.4shared.com/mp3/9OdQPZFd/Stupid_Logic_on_Thaksinocracy_.html
หรือที่  :
http://www.mediafire.com/listen/fupttbwuspm534f/Stupid_Logic_on_Thaksinocracy_.mp3
ตำนานๆ ตอน ตรรกะแบบหมาๆว่าด้วยระบอบทักษิณ
( Stupid Logic on Thaksinocracy )
วาทกรรม ระบอบทักษิณ

ในการเคลื่อนไหวของแนวร่วมกลุ่มนิยมเผด็จการดักดานเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ 2540 ได้มีการสร้างและประโคมวาทกรรมระบอบทักษิณตั้งแต่เริ่มต้นการก่อกระแส ไปจนถึงการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้วยังถูกใช้ต่อมาอีกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับการรัฐประหารทุกรูปแบบ โดยอิงแอบอยู่กับสถาบันกษัตริย์ที่ต่อต้านประชาธิปไตย ปฏิเสธทุนนิยมสมัยใหม่ และต่อต้านโลกาภิวัฒน์


พันธมารชูระบอบทักษิณขึ้นมาโจมตี
วาทกรรมระบอบทักษิณ หรือ Thaksino cracy เป็นการจงใจปิดบังเจตนาที่ต้องการทำลายนักการเมืองและพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ด้วยการบิดเบือนว่าเป็นการโจมตีคุณทักษิณเพียงคนเดียว โดยเรียกรวมๆว่าเป็นระบอบทักษิณ เพื่อใช้เป็นเป้าโจมตี  แต่ที่แท้ก็คือมุ่งโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยแล้วโยนความผิดทั้งหมดไปให้คุณทักษิณ โดยปกปิดความจริงที่ว่า พวกนิยมเผด็จการระบอบกษัตริย์นั่นแหละที่เป็นตัวขัดขวางและทำลายประชาธิปไตยมาทุกยุคสมัย


พันธมารเคลื่อนไหวใหญ่ล้มรัฐบาลไทยรักไทย
ผู้ประดิษฐ์และใช้วาทกรรมระบอบทักษิณอ้างว่า ภายใต้รัฐธรรมนูญ 2540 ได้มีนักการเมืองชนะการเลือกตั้งเข้ามายึดคุมระบบการเมือง แล้วใช้อำนาจไปทำลายประชาธิปไตย ละเมิดรัฐธรรมนูญและสิทธิมนุษยชน แทรกแซงองค์กรอิสระ ทำให้กลไกตรวจสอบถ่วงดุลไม่ทำงาน รวมถึงการซื้อเสียงหลอกลวงประชาชน และนโยบายเศรษฐกิจแบบเบ็ดเสร็จที่กอบโกยผลประโยชน์เพื่อพวกพ้อง ที่พวกเขาเรียกกันเองว่าเป็นการทุจริตเชิงนโยบาย แม้จะยังมีรัฐธรรมนูญและการเลือกตั้ง แต่ทั้งหมดก็ถูกนักการเมืองครอบงำอย่างเบ็ดเสร็จ กลายเป็นเผด็จการรัฐสภา ทั้งๆมาจากการเลือกตั้งของคนทั้งประเทศเหมือนในประเทศ

ประชาธิปไตยทั่วโลก

เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง กับหนังสือรู้ทันทักษิณ
วาทกรรมระบอบทักษิณ ได้แพร่กระจายถูกใช้ปลุกอารมณ์เกลียดชังคลุ้มคลั่งอย่างไร้เหตุผลเพื่อก่อการประท้วง ยั่วยุ สร้างความรุนแรงให้เป็นวิกฤติการเมือง ทั้งหมดเป็นไปตามแผนการที่วางไว้ทีละขั้นตอนโดยพวกนิยมเผด็จการโบราณ
การชูคำขวัญโค่นล้มระบอบทักษิณ จึงเป็นเพียงเรื่องโกหกที่ใช้หลอกคนทั่วไป โดยอ้างว่าระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ
2540 ได้ถูกละเมิดหรือทำลายไปก่อนแล้วโดยระบอบทักษิณที่เป็นเผด็จการทรราชย์ของนักการเมืองที่ทุจริตและขายชาติ ดังนั้นการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 จึงไม่ใช่การโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยและฉีกรัฐธรรมนูญ แต่เป็นการโค่นล้มระบอบทักษิณที่เป็นเผด็จการและทุจริตคอรัปชั่น 



สื่อไทยประโคมข่าวสนับสนุนการปล้นอำนาจ
รัฐประหาร 19 กันยายนจึงมีลักษณะพิเศษที่ไม่เหมือนรัฐประหารทั้งปวงในอดีต ไม่ใช่รัฐประหารที่เลว หากแต่เป็นรัฐประหารที่จำเป็นและเลี่ยงไม่ได้ เพื่อโค่นล้มเผด็จการของนักการเมืองและเพื่อปฏิรูปการเมือง นำมาซึ่งการเมืองที่ขาวสะอาดบริสุทธิ์และปราศจากนักการเมืองชั่วอีกต่อไป บ้างก็ทำเป็นว่าไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร แต่การรัฐประหารยังเลวน้อยกว่าระบอบทักษิณ โดยแก้ต่างให้กับเผด็จการทหารคมช. ว่าไม่ได้เป็นเผด็จการ และไม่ได้ชั่วร้ายเท่ากับระบอบทักษิณที่เป็นเผด็จการเบ็ดเสร็จ
ขาประจำบางส่วนที่ร่วมถล่มรัฐบาลทักษิณ
ทั้งๆที่ในสมัยรัฐบาลทักษิณก็มีรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระต่างๆมากมาย คนพวกนี้ไม่ได้มีความคิดและมาตรฐานทางประชาธิปไตยเลยแม้แต่น้อย  เพราะภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลไทยรักไทยเป็นเวลา 5 ปี แม้ว่าฝ่ายบริหารจะมีอำนาจมาก คุมรัฐสภาด้วยเสียงข้างมากที่เหนียวแน่น มีอิทธิพลสูงต่อองค์กรอิสระผ่านวุฒิสภา แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของพรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้น เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจสูงสุด
ม.รังสิตของอาทิตย์ อุไรรัตน์แห่งพรรคแมลงสาบ มอบปริญญาเอก
ให้พวกต่อต้านรัฐบาลทักษิณ รวม 12 คน เมื่อ 14 ธค. 2551
ขณะสถาบันทางการเมืองอื่นๆ ก็ยังคงสามารถทำการตรวจสอบถ่วงดุลได้ โดยมีพรรคฝ่ายค้าน สื่อมวลชน รวมทั้งสถาบันตุลาการที่ไม่ได้อยู่ในอำนาจของรัฐบาล ซึ่งเป็นเครือข่ายของระบอบกษัตริย์ที่คุมอำนาจติดต่อกันมาอย่างยาวนาน แม้แต่สื่อของรัฐเอง ก็ยังโจมตีรัฐบาลไทยรักไทยได้อย่างเปิดเผยและต่อเนื่องยาวนาน มีการชุมนุมประท้วงที่ล่วงละเมิดกฎหมายและสิทธิส่วนบุคคลของฝ่ายรัฐบาลอย่างมาก ทั้งยั่วยุด่าทอ และท้าทายให้เกิดความรุนแรงที่ยืดเยื้อยาวนาน โดยที่รัฐบาลไทยรักไทยตกเป็นฝ่ายรับและไม่สามารถตอบโต้อะไรได้เลย นี่ละหรือ ระบอบทักษิณที่เป็นเผด็จการทรราชเบ็ดเสร็จจากขุมนรก



การทรมานนักโทษในเรือนจำอ่าวกวนตาโนโม
ถ้าจะใช้มาตรฐานของระบอบทักษิณเป็นบรรทัดฐานเทียบการเมืองในต่างประเทศ เช่น ในสหรัฐอเมริกา ก็จะได้วาทกรรม ระบอบบุช เพราะจอร์จ ดับเบิลยู บุช  ( George W Bush ) เป็นประธานาธิบดีที่ถูกกล่าวหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุด ทั้งให้ดักฟังโทรศัพท์ชาวอเมริกันโดยศาลไม่รับรอง กักขังผู้ต้องสงสัยก่อการร้ายที่อ่าวกวนตานาโม ( Guantanamo Bay Detainee ) นานนับปีโดยไม่ตั้งข้อกล่าวหา และมีข่าวพัวพันกับนักลอบบี้ที่ทุจริต ส่วนรองประธานาธิบดิกเชนีย์ก็ถูกกล่าวหาว่า ทุจริตมาตั้งแต่ชนะเลือกตั้งสมัยแรก แม้ว่าพรรคเดโมแครตจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมากในสภา ก็ยังทำอะไรบุชไม่ได้ ฉะนั้น ทางออกที่เลี่ยงไม่ได้ ก็คงต้องให้กองทัพสหรัฐฯ ออกมาก่อรัฐประหารขับไล่บุชและฉีกรัฐธรรมนูญด้วยเช่นเดียวกัน 


โทนี่แบลร์ นำประเทศเข้าสู่สงครามอิรัคและอัฟกานิสถาน
ส่วนในอังกฤษ ก็คงจะมีระบอบแบลร์ เพราะโทนี่ แบลร์ เป็นนายกรัฐมนตรีที่ออกกฎหมายต่อต้านการก่อการร้ายที่ถูกหาว่า ละเมิดสิทธิมนุษยชนคนอังกฤษ ใช้เสียงข้างมากในสภาผู้แทน นำประเทศเข้าสู่สงครามอิรักโดยไม่ฟังเสียงประชามตินอกสภา ในขณะที่ภริยาก็เคยถูกกล่าวหาว่า รับประโยชน์ที่ไม่ชอบธรรม ส่วนพรรคฝ่ายค้านก็ไร้น้ำยาเพราะพรรคแรงงานของนายแบลร์มีเสียงข้างมาก จึงเข้าข่ายเป็นเผด็จการรัฐสภา  ฉะนั้น ทางออกก็คงต้องเรียกร้องขอนายกฯมาตรา 7 จากพระราชินีอลิซาเบ็ธ หรือให้กองทัพอังกฤษออกมาทำรัฐประหาร อย่างนั้น ใช่ไหม
 
วาทกรรมระบอบทักษิณยังมีเจตนาจะบิดเบือนต้นตอปัญหาที่แท้จริงของการเมืองไทย โดยให้ผู้คนเข้าใจว่า นักการเมืองและ รัฐธรรมนูญ
2540 นี่แหละคือต้นเหตุแห่งความฉิบหายทางการเมือง ทั้งๆที่ต้นเหตุปัญหาที่แท้จริงของการเมืองไทยคือ อำนาจของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่ผูกขาดกลไกอำนาจรัฐมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปี
2500 จนถึงปัจจุบัน และเป็นอำนาจแฝงเร้นที่ขัดขวาง กัดเซาะ และบ่อนทำลายประชาธิปไตย ทำให้รัฐธรรมนูญและสถาบันการเมืองประชาธิปไตยอ่อนแอ ขี้โรค ไม่พัฒนา และถูกทำลายได้ง่ายตลอดมา

 เสรี วงศ์มณฑาเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง วันชัย สอนศิริ
รายการคลายปม สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์

ผู้ประดิษฐ์และใช้วาทกรรมระบอบทักษิณ ล้วนเป็นพวกต่อต้านประชา ธิปไตยและการเมืองแบบเลือกตั้ง โดยมองว่า การเลือกตั้งเป็นเพียงเรื่องโกหกจอมปลอม เป็นประชา ธิปไตย สามานย์ ที่ผลิตแต่นักการเมืองเลวๆ ขึ้นสู่อำนาจทั้งนั้น คนพวกนี้เชื่อในลัทธิชนชั้นผู้นำและระบอบอภิสิทธิ์ชน เชื่อว่า ต้องให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง ผู้นำต้องมีคุณธรรมจริยธรรม ซึ่งเอาเข้าจริงก็ล้วนคลุมเครือ เป็นเรื่องเพ้อฝันที่ไม่มีอยู่จริง เพราะในท้ายสุด คนดี มีคุณธรรมจริยธรรม ที่สมควรมีอำนาจปกครองในความคิดของพวกเขาก็คือพวกเขาเองนั่นแหละที่มีทั้งชาติวงศ์ตระกูล ทรัพย์สิน การศึกษา และ คุณธรรมจริยธรรมที่เพียบพร้อม และเป็นเพียงคนส่วนน้อยของสังคมเท่านั้น 
คนพวกนี้ปฏิเสธความจริงที่ว่า ผู้ปกครองไม่ว่าจะมาจากชนชั้นไหน ก็ล้วนเป็นมนุษย์ธรรมดาที่เห็นแก่ประโยชน์ตนกันทั้งนั้น ล้วนชอบใช้อำนาจ ไม่ชอบถูกตรวจสอบ ไม่ชอบข้อจำกัดทางกฎหมาย มักเล่นพรรคเล่นพวก และมีแนวโน้มทุจริตถ้ามีโอกาส
 

การเมืองในระบอบประชาธิปไตยจึงไม่ใช่เรื่องของการให้คนดีมาปกครองบ้านเมือง แต่เป็นการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ ตลอดจนสถาบันและประเพณีปฏิบัติทางประชาธิปไตยต่างๆ ตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล เพื่อเป็นกรอบจำกัดและกดดันให้ผู้ปกครองและนักการเมืองต้องใช้อำนาจไปในแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนให้มากที่สุด

มือที่ไม่มองก็เห็น

สโรชา พรอุดมศักดิ์ กับ สนธิ ลิ้ม ช่อง 9 เริ่ม 1 กค. 2546

ในเดือน กันยายน  2548 หลังจากที่ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ระงับรายการเมืองไทยรายสัปดาห์ และถูกฟ้องร้องโดยนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทั้งคดีแพ่ง และคดีอาญา เป็นจำนวนเงินรวม 2,000 ล้านบาท ด้วยข้อหาหมิ่นประมาท และดูหมิ่น

นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้จัดรายการของตนเองขึ้นมาใหม่ ในชื่อว่า เมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร ที่เวทีลีลาศ สวนลุมพินี ทุกคืนวันศุกร์ กล่าวหาโจมตีการคอรัปชันของนายกรัฐมนตรี รัฐบาล และเครือญาติมิตรของนายกทักษิณ เพียงอย่างเดียว ภายใต้คำขวัญ "เราจะสู้เพื่อในหลวง" "ถวายคืนพระราชอำนาจ" และ "ขอเป็นยามเฝ้าแผ่นดิน" ในช่วงท้ายของรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจร เมื่อวันที่ 11 พ.ย. 2548  นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้นำกล่าวคำถวายสัตย์ปฏิญาณต่อกษัตริย์ภูมิพล เพื่อถวายคืนพระราชอำนาจ และขอผู้นำการปฏิรูปการเมืองเพื่อจัดโครงสร้างทางการเมืองใหม่ ให้หลุดพ้นจากการครอบงำของนายทุนพรรคการเมือง และเกิดประโยชน์สุขต่อปวงประชากร


สนธิลิ้ม ขอนายกพระราชทาน เวทีมัฆวาน 24 มีค. 2549
นายสนธิ อ้างว่าเรากำลังตกอยู่ในหลุมพรางกับดักของการเมืองที่ใช้ทุนเป็นใหญ่ ภายใต้ระบบพรรคการเมืองที่กำหนดให้ ส.ส.มีระเบียบวินัย เห็นอะไรที่ผิดมโนธรรม ผิดศีลธรรม ไม่ยุติธรรม หรือไม่ถูกต้อง แต่ถ้าหัวหน้าพรรคไม่เห็นด้วย ก็ต้องนั่งนิ่ง ขณะที่วุฒิสภาก็มีสภาพเป็นเพียงยางอะไหล่ของรัฐบาล เพราะคนที่จะเข้ามาเป็น ส.ว.ก็ต้องอาศัยความช่วยเหลือจาก ส.ส.

สนธิลิ้มกลุ่มพันธมารกู้ชาติถวายคืนพระราชอำนาจ
องค์กรอิสระต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กกต.  ป.ป.ช. ซึ่งต้องผ่านการแต่งตั้งจากวุฒิสภา จึงกลายเป็นยางอะไหล่เสริมของรัฐบาลไปด้วย ดังนั้น แม้ประชาชนจะเข้าชื่อเพื่อขับไล่นายกฯ ก็ไม่มีความหมายอะไร ขณะที่สื่อมวลชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะโทรทัศน์ซึ่งห่วงแต่ผลประโยชน์ หรือเรตติ้ง ก็กลายเป็นเครื่องมือของรัฐบาลในการปิดหูปิดตาประชาชน  ประชาชนคนไทยก็อยู่ในสภาวะที่มืดบอด ปล่อยให้ลัทธิประชานิยม ลัทธิลดแลกแจกแถม ลัทธิที่พูดวันนี้พรุ่งนี้จำไม่ได้ให้เกิดขึ้นอย่างนี้ตลอดเวลา

สนธิลิ้มโจมตีนายกทักษิณทุกเรื่องติดต่อกันยาวนาน
การเมืองแบบนี้ไม่ใช่การเมืองที่สร้างสรรค์ เป็นการเมืองกึ่งประธา นา ธิบดี เพราะเป็นการเมืองให้พรรคเสนอชื่อนายกฯ นายกฯจะต้องเป็นคนที่อยู่ในบัญชีรายชื่อ ไม่ได้ต่างกว่าอเมริกาเลย รีพับลิกัน เดโมแครต พรรคไหนได้เสียงข้างมากหัวหน้าพรรคก็ได้เป็นประธานาธิบดี ไม่มีอะไรต่างกันเลย ต่างอยู่อย่างเดียวก็คือว่าความชั่วร้ายที่นี่มากกว่าเขาเยอะ
เมื่อการเมืองมันเป็นอย่างนี้ มันก็เลยมีการละเมิดพระราชอำนาจตลอดเวลา พระเจ้าอยู่หัวพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมากี่ปีแล้ว ไม่เคยทำ



สนธิ ลิ้มกล่าวนำถวายสัตย์ปฏิญาณ
นายสนธิได้เชิญชวนประชาชนที่มาชมรายการฯ ให้ยืนตรง ถวายความเคารพพระฉายาลักษณ์ เปิดกรวยธูป เทียน กล่าวถวายสัตย์ปฏิญาณ ความว่า  ขอเดชะ ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า ...นายสนธิ ลิ้มทองกุล... จะดำเนินการต่อสู้อย่างสุดความสามารถ เพื่อให้เกิดการถวายพระราชอำนาจคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ ในการพระราชทานผู้นำในการปฏิรูปการเมือง เพื่อดำเนินการจัดโครงสร้างองค์กรทางการเมืองใหม่ ผ่านการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ เพื่อมุ่งหวังจรรโลงระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยภายใต้พระมหากษัตริย์เป็นประมุข ให้มีเสถียรภาพ มั่นคง ก่อเกิดประโยชน์สุขต่อปวงประชากร และตัดช่องทางการแสวงหาผลประโยชน์ส่วนตัวให้กับกลุ่มการเมืองกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว
 

พันธมารต้องการฟื้นคืนระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายสัตย์ปฏิญาณว่า นับจากนี้เป็นต้นไปจะร่วมแรงร่วมใจ สองแขน สองมือ หนึ่งสมอง ผนึกกำลังเป็นหนึ่งเดียว เพื่อนำประเทศไทยถวายคืนแด่ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทฯ เพื่อทรงใช้ร่วมกับประชาชน ตามหลักราชประชาสมาสัย อันเป็นหลักนิติธรรมดั้งเดิมแห่งระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของประเทศไทยโดยเร็ววัน ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ
สนธิ ลิ้มอ่านคำถวายฎีกา
ให้ใช้พระราชอำนาจแก้ปัญหา 4 กพ. 2549
นายสนธิประกาศชัดเจนเหมือนพวกกบฏบวรเดชที่ต้องการจะฟื้นระบอบสมบูร ณาญา สิทธิราชย์โดยที่กษัตริย์ภูมิพลก็ยอมรับโดยดุษฎี ที่จริงก็คือเป็นแผนการที่ได้รับการอนุมัติเห็นชอบจากกษัตริย์ภูมิพลมาก่อนแล้วนั่นเอง มิเช่นนั้นนายสนธิคงไม่กล้าเหิมเกริมถึงขนาดนั้น เพราะมันเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่บังอาจแอบอ้างกษัตริย์ภูมิพลเพื่อโค่นล้มรัฐบาลที่มาตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ

หนังสือพระราชอำนาจ



เสนาะ เทียนทอง และประมวล รุจนเสรี
เวทีพันธมาร สนามหลวง 27 กพ. 2549
เริ่มเกิดวิกฤตการณ์การเมืองไทย ในช่วงปี 2548-2550 เมื่อนายเสนาะ เทียนทอง ประธานที่ปรึกษาพรรคไทยรักไทยเริ่มไม่ลงรอยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ นายประมวล รุจนเสรี ซึ่งเป็นคนสนิทของนายเสนาะ ได้เขียนหนังสือเรื่อง พระราชอำนาจ ซึ่งเป็นที่ฮือฮาและกล่าวขานกันอย่างมาก ในหนังสือเรื่องพระราชอำนาจนั้น ผู้เขียนได้พรรณายกย่องสรรเสริญคุณงามความดีของกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะกษัตริย์ภูมิพลเป็นอย่างมาก ผู้เขียนกล่าวไว้ในบทเริ่มต้นหรือบทอาเศียรวาทว่า
หนังสือพระราชอำนาจยกย่องกษัตริย์
กษัตริย์ภูมิพลมีรับสั่งแก่นายปีย์ มาลากุล ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทว่า"เราอ่านแล้ว เราชอบมาก เขียนได้ดี เขียนได้ถูกต้อง "
"เรา" ทรงชี้ที่อกของพระองค์ "ให้ไปบอกเขาว่า เราชอบมาก" ผู้เขียนคือนายประมวลได้รับทราบจากนายปีย์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2548 เวลา 17.00 น. ณ บ้านของนายปีย์ ด้วยความปลื้มปีติและสุขสงบเอ่อล้นท่วมหัวใจ ต่อมาได้เกิดการชุมนุมขับไล่นายกทักษิณ ในปี  2549 ที่ท้องสนามหลวง ทั้งนายประมวลและนายเสนาะได้ขึ้นเวทีปราศรัยของพันธมารที่มีนายสนธิ ลิ้มทองกุลเป็นหัวหน้าใหญ่
เนื้อหาใจความสำคัญของหนังสือเรื่องพระราชอำนาจก็คือ กษัตริย์ไทยไม่ได้อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญทุกฉบับต้องให้กษัตริย์ลงนามเห็นชอบก่อน จึงจะประกาศใช้บังคับได้ แสดงว่ากษัตริย์ไทยใหญ่กว่ารัฐธรรมนูญ นอกจากนี้กษัตริย์ไทยยังมีพระราชอำนาจตามนิติประเพณีอีกมากมาย คนไทยส่วนใหญ่ทราบดีว่า ยามที่เกิดวิกฤติการณ์ขึ้นในบ้านเมือง กษัตริย์ของคนไทยจะทรงแก้ไขวิกฤติการณ์เหล่านั้นได้เสมอ



สนธิลิ้มกับสโรชาที่บ้านพระอาทิตย์ 15 กย. 2548
เราคนไทยจึงได้ถวายความจงรักภักดีไว้เหนือหัวดุจเจ้าชีวิต ที่สืบทอดกันมาตั้งแต่โบราณกาลเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้ ถึงแม้พระมหากษัตริย์ไทยจะมีพระราชอำนาจสักเพียงใดก็ตาม แต่กษัตริย์ก็ยังมีคุณธรรมความดีหลายสิ่งที่มาถ่วงดุลอำนาจไว้ ทั้งศาสนา จารีตประเพณี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมหากรุณาธิคุณของกษัตริย์เอง ที่จะทำให้กษัตริย์กับประชาชนร่วมอยู่ในสังคมไทยได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน มีความเกื้อหนุนต่อกันตลอดมาชั่วกาลนาน สถาบันกษัตริย์จึงเป็นสิ่งสำคัญต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยอย่างที่จะขาดเสียมิได้อย่างแท้จริง ในฐานะที่เป็นศูนย์รวมจิตใจคนไทยให้มีความเหนียวแน่นที่ไม่อาจจะแบ่งแยกออกจากกันได้

ปฐมบรมราชาภิเษกอันศักดิ์สิทธิ์
หนังสือเรื่องพระราชอำนาจนี้ มีเนื้อหาที่ขัดหลักการในระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิงและสนับสนุนความคิดความเชื่อมั่นในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเป็นความคิดของกษัตริย์ภูมิพลนั่นเอง นายประมวลก็คงเขียนหนังสือเรื่องพระราชอำนาจตามคำสั่งของกษัตริย์ภูมิพลโดยมีนายปีย์เป็นคนประสานงาน

พัลลภ ปิ่นมณี แฉ ปีย์ มาลากุล คิดเก็บนายกทักษิณ
นายปีย์เป็นคนประสานงานสำคัญหลายเรื่อง ที่ชัดเจนที่สุดคือการนัดประชุมวางแผนล้มรัฐบาลทักษิณ  ตามที่พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรองผู้อำนวยการกอ.รมน. ได้เล่าไว้ว่า เมื่อเดือนพฤษภาคม  2549 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี  นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา (ต่อมาได้เป็นองคมนตรี), นายอักขราทร จุฬารัตน ประธานศาลปกครองสูงสุด, นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม (ต่อมาเป็นตุลาการศาลรัดทำมะนวย), นายปราโมทย์ นาครทรรพ (เจ้าของเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์) และนายปีย์ มาลากุล


ปีย์ มาลากุล เพื่อนสนิทของกษัตริย์ภูมิพล
ได้ร่วมปรึกษาหารือกัน ที่บ้านของนายปีย์ เลขที่ 1049 ซอยอุดมสุข 29 สุขุมวิท 103 แขวงบางจาก เขตพระโขนง เพื่อวางแผนจัดตั้งขบวนการล้มรัฐบาลทักษิณ โดยเฉพาะการลอบสังหารนายกทักษิณ และวางแผนสำรอง คือการรัฐประหาร โดยมีการประชุมกัน 3-4 ครั้ง โดยมี 2 แนวทาง คือ
        - ทางด้านรัฐธรรมนูญ หรือทางด้านกฎหมาย       
        -
ถ้าแนวทางแรกไม่สำเร็จ ก็จะทำรัฐประหาร


ปีย์ มาลากุล พระสหายสนิท
นายปีย์ ซึ่งเป็นเจ้าของนิตยสารดิฉันและคอสโมโพลิแตนรวมทั้งและสถานีวิทยุจราจร จส.
100 อ้างว่าที่ตนเชิญนายปราโมทย์มา เพราะเป็นนักกฎหมาย และโด่งดังจากบทความเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์ ที่ตนเชิญพล.อ.พัลลภเพราะโด่งดังจากเรื่องคาร์บอมบ์ แต่เมื่อเทียบวันเวลากับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแล้ว ปรากฏว่า นายปราโมทย์ไม่ได้เป็นนักกฎมาย  ทั้งเรื่องปฏิญญาตอแหลฟินแลนด์และคาร์บอมบ์ล้วนเกิดขึ้นหลังการประชุมที่บ้านนายปีย์


ปราโมทย์ นาครทรรพ บนเวทีพันธมาร
กล่าวคือเรื่องปฏิญญาฟินแลนด์เกิดถัดไปอีก 12 วัน หลังจากวันประชุม และเป็นเหตุให้นายกทักษิณฟ้องร้อง จนนายปราโมทย์ต้องแพ้ความ ศาลสั่งจำคุก 1 ปี ส่วนเรื่อง คาร์บอมบ์นั้นก็เกิดขึ้นทีหลังอีกเป็นเดือน
การคุยกันในวันนั้นที่บ้านนายปีย์จึงน่าจะเป็นการเรียกประชุมเพื่อมอบหมายงาน แต่นายปีย์เกิดจำสับสน ไปเอาเรื่องที่ยังไม่เกิดหรือแผนที่ยังไม่ได้ทำเอาขึ้นมาพูดแก้ตัว

พล.อ.พัลลภได้เปิดเผยว่า นายปีย์ ได้ถามตนว่า
ทำให้ทักษิณ หายไปได้ไหม  ซึ่งก็คือ สังหารทักษิณได้ไหม ” 
พล.อ.พัลลภได้ตอบไปว่า “ เป็นการยากทำไม่ได้ เพราะท่านมีรปภ.จำนวนมาก คงจะต้องยิงกันเละจนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก แต่สามารถทำให้ตายได้ ”


ชาญชัย ศาลฎีกา อักขราทร ศาลปกครอง และผัน จันทรปาน ศาลรัฐธรรมนูญ
ร่วมประชุมหาทางล้มรัฐบาล 16 พค. 2549
ได้มีการมีการปรึกษากันว่า จะต้องเล่นพ.ต.ท.ทักษิณ ทางกฎหมาย ถ้ากกต.ล้มการเลือกตั้งไม่สำเร็จ ก็ให้ทำการรัฐประหาร พล.อ.สุรยุทธ์ ก็พูดย้ำว่า การทำครั้งนี้เราทำเพื่อประเทศชาติและสถาบันกษัตริย์ ทั้งๆที่พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นองคมนตรีแต่ก็ยังไปไปเกลี้ยกล่อมให้ กกต.ลาออก
 
...นายปีย์และพรรคพวกจึงน่าจะมีความผิดฐานจ้างวานฆ่าผู้อื่น และร่วมกับพวกกระทำความผิดฐานล้มล้างรัฐบาลที่ชอบด้วยกฎหมาย

ข้อสังเกต ก็คือ คนอย่างนายปีย์ ในฐานะเจ้าของบ้านก็เป็นแค่นักธุรกิจ ส่วนนายปราโมทย์ก็เป็นเพียงคนที่ดีแต่ตีฝีปากพ่นไปวันๆไม่ได้มีพิษสงอะไร แม้แต่พล.อ.สุรยุทธ์ก็เป็นแค่องคมนตรี


อักขราทร จรัล ชาญชัย นัดหารือกัน 18 กค. 2549
แต่ทำไมนายอัคราทร จุฬารัตน์ ประธานศาลปกครองสูงสุด นายจรัญ ภักดีธนากุล ผู้พิพากษา โดยเฉพาะนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ประธานศาลฎีกา จึงไปร่วมประชุมวางแผนล้มรัฐบาล ที่แน่ๆคือ ทุกคนรู้ดีว่านายปีย์เป็นเพื่อนสนิทของกษัตริย์ภูมิพล และเป็นมือวางแผนให้กษัตริย์ภูมิพลมาตลอด


ชลิต พุกผาสุข เป็นผบ.ทอ.ตัดหน้าสุกำพล สุวรรณทัต
พล.อ.สุรยุทธ์ก็เป็นองคมนตรี ที่กษัตริย์ภูมิพลแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรีหลังจากการยึดอำนาจที่วางแผนไว้ ต่อมากษัตริย์ภูมิพลก็ยังได้แต่งตั้งนายชาญชัยให้เป็นองคมนตรี ยังรวมไปถึงพล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผบ.ทอ.ผู้เข้าร่วมการยึดอำนาจและมีบทบาทสำคัญในการสร้างปัญหาแก่สนามบินสุวรรณภูมิเกิดการชำรุดเสียหายและเป็นคนวิ่งเต้นการสั่งซื้อเครื่องบินกริฟเพนราคาสูงจากสวีเดน

ทหารเป็นของพระราชา

พลเอกเปรมกับบรรดาลูกๆป๋า ที่ได้ดิบได้ดี
14 กรกฏาคม 2549   พล.อ.เปรม ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ กล่าวบรรยายพิเศษ หัวข้อ ทหารอาชีพ กับทหารมืออาชีพ แก่นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ชั้นปีที่ 1-4 จำนวน 950 คน โดยมีบรรดา ลูกป๋า เช่น พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.อ อู๊ด เบื้องบน พล.อ.พงษ์เทพ เทศประทีป ร่วมอยู่ด้วย โดย พล.อ.เปรม กล่าวตรงไปตรงมาโดยสรุป ว่า



เปรม เดินสายปลุกปั่นให้ทหารเป็นกบฏต่อรัฐบาล
เราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว เปรียบเทียบกับการแข่งม้า ม้าจะมีคอก มีเจ้าของคอก เจ้าของคอกก็เป็นเจ้าของม้า เวลาจะไปแข่งเขาก็ไปเอาเด็ก ที่เรียกกว่าจ๊อกกี้ หรือเด็กขี่ม้า ไปจ้างให้มาขี่ม้า พอเสร็จจากการขี่ม้า เขาก็กลับไปทำงานอย่างอื่น เขาไม่ได้เป็นเจ้าของม้า เขาเป็นแค่คนขี่  รัฐบาลก็เหมือนกับจ๊อกกี้ คือ เข้ามาดูแลทหาร แต่ไม่ใช่เจ้าของทหาร เจ้าของทหารคือชาติ และพระเจ้าอยู่หัว รัฐบาลเข้ามาดูแลกำหนดใช้ทหารตามที่ประกาศนโยบายไว้ต่อรัฐสภา เด็กขี่ม้าบางคนก็ขี่ดีขี่เก่ง บางคนก็ไม่ดี ขี่ไม่เก่ง รัฐบาลก็เหมือนกัน รัฐบาลบางรัฐบาลก็ทำงานดี ทำงานเก่ง บางรัฐบาลก็ทำงานไม่ดี หรือไม่เก่งก็มี
 เราต้องถือว่าเราเป็นทหารของชาติ เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัว เพราะรัฐบาลมาแล้วก็ไป

พล.อ.เปรม ทหารแก่ไม่เคยเลิกวุ่นวาย
ฝรั่งพูดกันว่า
The old soldier never dies หรือทหารแก่ไม่เคยตาย แปลว่าเมื่อเป็นทหารแล้ว ก็ต้องเป็นทหารไปตลอดชีวิต ไม่ใช่เกษียณแล้วหรือลาออกแล้วก็เลิกเป็น เพราะเราต้องเป็นทหารด้วยเลือดเนื้อและจิตวิญญาณ ที่อยู่ในสายเลือดไปจนวันตาย เป็นทหารแท้ที่ไม่มีวันตาย ต้องเป็นทหารอาชีพและก็ต้องเป็นทหารมืออาชีพทั้งเลือดเนื้อจิตวิญญาณที่รักและเชิดชู สถาบันทหาร เทิดทูนและจงรักภักดี ต่อสถาบัน ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ เป็นทหารของพระเจ้าอยู่หัวโดยแท้ ไม่เกี่ยวข้องกับพรรคการเมือง นักการเมือง...

ทหารราบรักษาพระองค์ กำลังหลักที่ล้มล้างการปกครอง
เพียงหนึ่งสัปดาห์หลังการอุปมาเรื่องจ๊อกกี้ของพล.อ.เปรม ได้มีคำสั่งกองทัพบกที่ 423/2549 "เรื่องให้นายทหารรับราชการจำนวน 129 นาย" ปรับย้ายนายทหารระดับผู้บังคับกองพันแบบเร่งด่วน นอกฤดูกาล โดยให้รับเงินประจำตำแหน่งตั้งแต่เดือนกันยายน 2549 มีการเปิดเผยในภายหลังว่า เป็นการโยกย้ายเพื่อเตรียมการรัฐประหาร

กษัตริย์ภูมิพล จอมทัพไทย หรือเจ้าของคอกม้า
ทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล กล้าประกาศออกมาว่าการต่อสู้กับระบอบทักษิณได้ถึงจุดแตกหักแล้ว โดยนัดชุมนุมครั้งใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายที่ลานพระบรมรูปทรงม้า ซึ่งเป็นเขตพระราชฐาน ในวันที่ 20 กันยายน 2549 เป็นการประกาศอย่างชัดเจนว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นเจ้าของกองทัพ หรือเจ้าของคอกม้าตัวจริงนั่นเอง
เป็นการเปิดตัวมือที่มองไม่เห็น หรือที่จริงก็คือ มือที่ไม่มองก็เห็นแต่พูดถึงไม่ได้ เพราะจะเข้าข่ายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เนื่องจากไปพูดความจริงที่พาดพิงถึงกษัตริย์ภูมิพลผู้บงการตัวจริงนั่นเอง

ศาลเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จริงหรือ

สุนทรภู่ ช่วงเดินทางไปสุพรรณบุรี
คนทั่วไปถูกหลอกให้เข้าใจว่าศาลเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นความเชื่อหรือประเพณีที่สืบทอดกันมาแต่โบราณกาล แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ศาล หรือ ตุลาการ ในสมัยโบราณก่อนการปฏิรูปของรัชกาลที่
5 เป็นที่ดูถูกเหยียดหยามของคนทุกชนชั้น สุนทรภู่ได้แต่งนิราศสุพรรณ ขึ้นในราวปี 2374  ระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดสระเกศ ในการเดินทางไปสุพรรณบุรี ไว้ว่า

สุนทรภู่เปรียบตุลาการเหมือนเหยี่ยวคอยโฉบเอาของชาวบ้าน
กาเหยี่ยวเที่ยวว้าว่อน เวหา

ร่อนร่ายหมายมัจฉา โฉบได้
ขุนนางอย่างเฉี่ยวกา กินสัตว์ สูเอย
โจมจับปรับไหมใช้ เช่นข้า ด่าตีฯ
ยางเจ่าเซาจับจ้อง
  จิกปลา
กินเล่นเป็นภักษา สุขล้ำ
กระลาการท่านศรัทธา ถือสัตย์ สวัสดิ์แฮ
บนทรัพกลับกลืนกล้ำ
 
กล่าวคล้าย ฝ่ายยางฯ

ระบอบทาสไพร่ของไทยที่มีติดต่อกันมานาน
สุนทรภู่เปรียบตุลาการเหมือนเหยี่ยว บินอยู่สูงคอยจ้องหาเหยื่อและอาหารของชาวบ้าน แล้วก็ถลามาโฉบเอาไปอย่างหน้าด้านๆ
ตุลาการและผู้ปรับหรือผู้พิพากษานั้น เป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร เหมือนรัฐโบราณโดยทั่วไป คน เหล่านี้ไม่มีเงินเดือน บางคนในกลุ่มคนเหล่านี้อาจได้รับเบี้ยหวัดเป็นรายปี ซึ่งก็เป็นเงินจำนวนน้อยเกินกว่าจะเลี้ยงชีพได้จริง รายได้ของพวกเขาจึงมาจากการทำราชการ ซึ่งมีส่วนแบ่งผลประโยชน์ ทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมายหลายอย่าง นับตั้งแต่มีแรงงานไพร่ไว้ใช้ฟรี ไปจนถึงเก็บเบี้ยบ้ายรายทางกับราษฎรในเรื่องจิปาถะ งานพิจารณาพิพากษาอรรถคดีก็เป็นแหล่งรายได้อย่างหนึ่ง

การไต่สวนนักโทษสมัยรัชกาลที่ 5
รายได้ชนิดที่ถูกกฎหมายก็คือ ได้ส่วนแบ่งเงินค่าปรับและค่าพิจารณาคดีจากคู่ความ แต่รายได้หลักมาจากส่วนที่ไม่ถูกกฎหมาย คือเรียกรับสินบนจากคู่ความ
หนทางที่จะใช้บริการของกระบวนการยุติธรรมที่เหมือนเหยี่ยวนี้ ก็ไม่ได้เปิดกว้างแก่ทุกคนโดยเท่าเทียมกัน ทาสจะฟ้องร้องได้ต้องได้รับอนุญาตจากนายเงิน ไพร่จะฟ้องร้องคดีได้ก็ต้องได้รับอนุญาตจากมูลนายก่อน เพราะนายเงินและมูลนายมีอำนาจตัดสินคดีพิพาทของคนในสังกัดอยู่แล้ว จะโดยไกล่เกลี่ย หรือโบยตี กระทืบสั่งสอน หรืออนุญาตให้นำเรื่องขึ้นศาลก็ได้


กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์สอนศาลไม่ให้รับสินบน
ดังนั้นศาลในสมัยโบราณจึงไม่เคยศักดิ์สิทธิ์เป็นที่นับถือของใครเลย  แต่ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลเพิ่งถูกสร้างขึ้นในภายหลัง และยังพยายามสร้างเรื่องโกหกสืบมาจนถึงทุกวันนี้ โดยกลุ่มคนที่เป็นตุลาการ ซึ่งเป็นคนกลุ่มใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังการปฏิรูปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของรัชกาลที่
5 เช่นเดียวกันกับข้าราชการสายอื่นๆ ซึ่งพยายามสถาปนาความศักดิ์สิทธิ์ของตนขึ้นเหมือนกัน แต่ทำได้ไม่สำเร็จเท่ากับสายตุลาการ

กฎหมายตราสามดวงที่ไทยใช้มาแต่โบราณ
ตามหลักการแล้ว ทั้งตุลาการและผู้ปรับหรือผู้พิพากษาในสมัยโบราณ ล้วนเป็นคนของพระเจ้าแผ่นดิน ซึ่งก็ทรงแต่งตั้งเจ้าเมืองเอง การอุทธรณ์ฎีกาก็คือการนำเรื่องขึ้นเสนอต่อกษัตริย์โดยตรง สรุปก็คือกษัตริย์เป็นองค์ประธานสูงสุดของกระบวนการยุติธรรม แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กษัตริย์ก็มิได้แต่งตั้งคนที่ตนไว้วางใจได้ทั้งหมด เพราะต้องประนีประนอมกับอำนาจท้องถิ่น

ร. 5 และลูกๆในอังกฤษ  2450 เมีย 92 คน ลูก 77 คน
ต่อมารัชกาลที่ 5 จึงได้ทำการปฏิรูปไปสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คือการรวบอำนาจทั้งหมดในราชอาณาจักรไว้ที่พระองค์แต่เพียงผู้เดียว การปฏิรูประบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมในสมัยนั้นก็เพียงเพื่อทำให้ฝรั่งยอมรับ แต่ที่จริงก็คือการดึงอำนาจตุลาการมาเป็นของกษัตริย์  เพราะในหลักการปกครองแบบเก่า ถือว่าฝ่ายตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจบริหารที่อยู่ใต้การควบคุมของกษัตริย์แต่ผู้เดียว เพราะตุลาการก็คือคนของกษัตริย์ ที่โปรดให้มาทำหน้าที่แทนเท่านั้น การปฏิรูประบบกฎหมายและการยุติธรรมในสมัยรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงหลักการให้ตุลาการไทยเป็นข้าราชการเหมือนเดิม คือทำงานแทนพระเจ้าแผ่นดินในการบริหารความยุติธรรม ไม่ต่างจากข้าหลวงที่ไปว่าราชการตามหัวเมือง ระบบราชการทั้งระบบผูกติดอยู่กับพระราชอำนาจ เพราะอำนาจในการปฏิบัติงานของข้าราชการแต่ละคน ล้วนมาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ทั้งสิ้น  


ลูกสาวของร. 5 ทั้ง 21 คน
รัชกาลที่ 5 ทรงยืนกรานให้ฝ่ายตุลาการเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหารในรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ตุลาการไทยย่อมยืนอยู่ข้างเดียวกับรัฐเสมอ วิธีคิดเช่นนี้ได้แฝงอยู่ในการทำหน้าที่ของตุลาการไทยมาโดยตลอดนับตั้งแต่การเรียนกฎหมาย คือจะรักษาอำนาจของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์หรือรัฐประชาธิปไตย คำพิพากษาของศาลไทยจึงไม่ค่อยมีส่วนในการพัฒนาสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่มักยืนยันจะรักษาอำนาจรัฐหรือความมั่นคงของรัฐหรือของกษัตริย์ ไว้เหนือสิทธิเสรีภาพของประชาชนเสมอ ซึ่งแตกต่างจากคำพิพากษาของศาลในประเทศตะวันตกที่เน้นการปกป้องสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาค ที่แสดงถึงความก้าวหน้าด้านประชาธิปไตย ส่วนสำคัญของความก้าวหน้าในหลักการประชาธิปไตยเหล่านี้ก็มาจากคำพิพากษาของศาลสูงที่ยึดหลักสิทธิเสรีภาพของประชาชน
 


ลายเซ็นของร. 9  ภูมิพลอดุลยเดช ปร
ตรงข้ามกับตุลาการศาลไทยที่ไม่ได้มีจิตสำนึกของนิติ รัฐ ประชา ธิปไตย แต่อ้างตัวว่าเป็นสถาบันศักดิ์สิทธิ์ ที่ผูกติดไว้กับสถาบันกษัตริย์เหมือนในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งขัดแย้งกับระบอบประชาธิปไตย เพราะกษัตริย์ที่เป็นฐานของความศักดิ์สิทธิ์นั้นคือกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตย ศาลมักอ้างเสมอว่า พิจารณาพิพากษาคดี ในพระปรมาภิไธย ซึ่งมีความหมายคลุมเครือว่าศาลทำหน้าที่เป็นเพียงข้าหลวงที่กษัตริย์ให้มาทำหน้าที่แทน หรือทำหน้าที่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของอำนาจตุลาการของปวงชน

ศาลดีกวยแผนกหาเรื่องนักการเมือง
เช่นเดียวกับพระบรมฉายาลักษณ์ที่ติดไว้ในห้องพิจารณาคดีของศาลทุกแห่ง ว่าหมายถึงกษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือกษัตริย์ซึ่งเป็นแค่สัญลักษณ์ของอำนาจอธิปไตยซึ่งเป็นของปวงชนชาวไทย ความคลุมเครือที่ขัดแย้งกันของสองระบอบการปกครองเช่นนี้ได้ขยายไปถึงการแต่งกาย ท่านั่ง หรือคำพูดของผู้เข้าฟังหรือร่วมในการพิจารณาคดีด้วย เช่น ห้ามแต่งกาย ไม่เรียบร้อย ห้ามนั่งไขว่ห้าง ฯลฯ ทำให้ไม่มีความชัดเจนว่าผู้เข้าฟังหรือร่วมในการพิจารณาคดี กำลังเข้าเฝ้ากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือเพียงแต่อยู่ในห้องพิจารณาคดีของศาลในประเทศประชาธิปไตยกันแน่    
ศาลไทยเลยกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตามคติสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การหมิ่นศาล เลยกลายเป็นการหมิ่นข้าหลวงซึ่งกำลังทำหน้าที่แทนกษัตริย์ แทนที่จะหมายถึงการขัดขวางการทำหน้าที่ของศาลในกระบวนการพิจารณาคดี ที่จะให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

   
  

15 มีค. 56 วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัดทำมะนวย
ยอมรับว่าตัดสินตามสถานการณ์
ความคลุมเครือนี้ทำให้เกิดขบวนการตุลาโกงวิบัติ เพราะศาลในระบอบประชา ธิปไตยย่อมต้องยึดถือตัวบทกฎหมายโดยเคร่งครัด ไม่มากและไม่น้อยไปกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งแตกต่างโดยสิ้นเชิง จากรับสั่งของกษัตริย์ ซึ่งข้าหลวงต้องตีความเอาเองว่า ทรงมุ่งประสงค์สิ่งใดกันแน่ แล้วก็ปฏิบัติให้ต้องตามพระราชประสงค์
ความศักดิ์สิทธิ์ของศาลไทยเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อไม่นานมานี้เอง เพื่อทำให้พ้นจากการถูกตรวจสอบ จึงเอาไปผูกไว้กับสถาบันกษัตริย์ ซึ่งย่อมอยู่พ้นจากการถูกตรวจสอบอยู่แล้วเช่นกัน จึงมิใช่ศาลตามหลักนิติรัฐประชาธิปไตยแต่อย่างใด


ทำไมทหารต้องยึดอำนาจ


คณะปฏิกูลการปกครองที่มีกษัตริย์ภูมิพลเป็นหัวหน้า
นายทหารชั้นนายพล ท่านหนึ่งได้พูดไว้ว่า การรัฐประหารครั้งหนึ่ง ๆ พวกที่ร่วมยึดอำนาจจะร่ำรวยกันมหาศาล ถ้าใครเข้าร่วมการรัฐประหารแล้วได้เงินไม่ถึง 100 ล้านบาท ถือว่ามือตกมาก ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะว่าในการทำรัฐประหารครั้งหนึ่งๆ คณะรัฐประหารมีอำนาจเบ็ดเสร็จที่จะทำอะไรก็ได้โดยไม่ต้องมีใบเสร็จรับเงิน และไม่ใครกล้าตรวจสอบ  สามารถเบิกเงินงบประมาณออกมาใช้สอยได้ตามอัธยาศัย เพื่อการยึดอำนาจ และรักษาอำนาจที่ยึดมาได้ รวมทั้งเผื่อหลบหนีออกนอกประเทศหากรัฐประหารนั้นๆกลายเป็นกบฏ แต่หากสำเร็จลุล่วงไปด้วยดี ก็ได้เงินไปใช้สบายๆ โดยไม่จำเป็นต้องส่งคืนคลัง


นายทหารที่ร่วมปล้นประเทศเมื่อ 19 กย. 2549
โดยนัยนี้การรัฐประหารก็คือการทุจริตรูปแบบหนึ่ง เป็นการปล้นหรือโกงเงินของประเทศชาติและประชาชน เอาไปใช้เพื่อการยึดอำนาจให้กับพวกของตนโดยไม่ต้องส่งคืนคลังหลวง จึงไม่เคยมีรัฐประหารครั้งใดในประวัติศาสตร์ที่แสดงรายรับรายจ่ายเพราะถือเป็นความลับของชาติ แต่ในความเป็นจริงก็คือความลับในการปฏิบัติการปล้นอำนาจของประชาชนเพื่อผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
กษัตริย์ภูมิพลลงนามแต่งตั้งรัฐบาลโจรสุรยุทธ์
ที่ร้ายแรงไปกว่านั้นก็คือรัฐประหารเป็นการกระทำทุจริตที่กลับกลายเป็นเรื่องถูกต้องตามกฎหมาย เพราะคณะรัฐประหารมีอำนาจเหนืออำนาจนิติบัญญัติ อำนาจบริหาร และอำนาจตุลาการของประชาชนที่ถูกล้มล้างไป สามารถทำทุจริตได้ตามใจชอบ และยังสามารถสั่งฆ่า สั่งยึดทรัพย์ สั่งทำลายหรือให้รางวัลแก่ใครก็ได้โดยถือว่าชอบด้วยกฎหมาย และสุดท้ายคณะรัฐประหารเองรวมทั้งการกระทำทั้งปวงของคณะรัฐประหารก็มักได้รับการนิรโทษกรรมไปในที่สุด

บรรดาโจรกบฏกลายเป็นผู้มีเกียรติในสังคมไทย
ในทางกฎหมายรัฐประหารคือการกระทำของโจรกบฏเพราะเป็นการใช้กำลังอาวุธล้มล้างรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจอธิปไตยไปจากปวงชนชาวไทย คณะรัฐประหารมักจะหาข้ออ้างมากมายเพื่อสร้างความชอบธรรมในการยึดอำนาจเดิมที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่การใช้กำลังพลและกำลังอาวุธมายึดอำนาจและทำให้ฝ่ายตรงข้ามกลายเป็นฝ่ายกบฏหรือฝ่ายที่ไม่ชอบธรรม ย่อมแสดงถึงความหน้าด้านป่าเถื่อน และความไม่ชอบด้วยหลักนิติรัฐนิติธรรม


บรรดาผู้รับใช้โจรกบฏเพื่อไล่ล่าฝ่ายประชาธิปไตย
การรัฐประหารจึงกลายเป็นบ่อเกิดของการทุจริตและประพฤติมิชอบ ผู้ที่ต้องการอำนาจและผลประโยชน์ หรือช่วงชิงความได้เปรียบเหนือบุคคลอื่น จึงต้องเข้าหาคณะรัฐประหารซึ่งมีอำนาจสูงสุด การทุจริตต่างๆจึงเกิดขึ้นตามมา ผู้ที่ได้ประโยชน์จากการรัฐประหารก็คือผู้ที่ร่วมปลุกปั่นสร้างสถานการณ์ให้เกิดรัฐประหาร บุคคลเหล่านี้จะได้รับลาภยศ ได้รับแต่งตั้งให้เป็นตุลาการบ้าง เป็นกรรมการในองค์กรอิสระที่ถูกอำนาจรัฐประหารครอบงำบ้าง หรือสภานิติบัญญัติที่เอาไว้ออกกฎหมายเข้าข้างพวกเดียวกันที่แต่งตั้งกันเองโดยคณะรัฐประหารตามอำเภอใจโดยไม่ผ่านกระบวนการที่ถูกต้อง หรือไม่ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน
บรรดาคนดีที่ต้อนรับการปล้นอำนาจของประชาชน
การโฆษณาหลอกลวงว่าจะมีคณะรัฐประหารมากระทำการเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ จึงเป็นแค่เรื่องโกหกตอแหลของพวกหน้าด้านเท่านั้นเอง เพราะเนื้อแท้ของการรัฐประหารก็คือ การแย่งชิงผลประโยชน์ทางการเมือง ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบการปฏิวัติ
2475 ของคณะราษฎรแต่อย่างใดเลย
19 กย. 2549 รถถังเข้ายึดจุดยุทธศาสตร์ทั่วกรุงเทพ
ที่สำคัญการรัฐประหารยังสร้างความวิบัติซ้ำซ้อนให้กับประเทศไทย ทำให้ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยตกต่ำ กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนเหมือนประเทศด้อยพัฒนาระดับล่างๆของโลก ที่มักใช้กำลังอาวุธเข้าปล้นอำนาจรัฐ แทนที่จะรอคอยการเปลี่ยนแปลงตามกลไกทางการเมืองดังเช่นในอารยประเทศ

นายกโจรสุรยุทธ์ไปประชุมเอเปคที่ซิดนีย์ 7-9  กย. 2550
ทำให้เกียรติภูมิของประเทศตกต่ำ โอกาสการลงทุนของชาวต่างประเทศในไทยก็ลดน้อยลงไปด้วย แต่คนบางคนกลับพยายามแก้ตัวให้คณะรัฐประหารโดยอ้างว่า การทุจริตของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการรัฐประหาร และทหารต้องทำรัฐประหารเพื่อแก้ปัญหาการทุจริต ทั้งๆที่เป็นเพียงข้ออ้างของพวกที่ต้องการเข้ามาปล้นบ้านกินเมืองเท่านั้นเอง


ขบวนรถถังที่ลานพระรูป ในเขตพระราชวังดุสิต
คนมีความรู้บางคนพยายามอ้างว่าการรัฐประหารคือวิธีการหนึ่งในการแก้ปัญหาของประเทศ แต่ที่สหรัฐอเมริกาและอีกหลายประเทศ ที่เกิดปัญหาความขัดแย้งอย่างรุนแรงขึ้นมา ก็ไม่เคยมีประชาชนคนไหนเรียกร้องให้กองทัพทำการรัฐประหาร ไม่เคยมีผู้นำกองทัพคนใดคิดจะยึดอำนาจจากรัฐบาลที่มาจากประชาชน เพราะไม่เคยมีการรัฐประหารในประเทศของเขา ประชาชนไม่เคยมีความเชื่อที่ไร้สาระอย่างนั้น กระบวนการแก้ปัญหาจึงดำเนินไปตามรัฐธรรมนูญของแต่ละประเทศ
แต่ทุกครั้งที่เกิดความขัดแย้งขึ้นมาในประเทศไทย จะมีคนกลุ่มหนึ่งคิดถึงการแก้ปัญหาด้วยการรัฐประหารทั้งคนนอกเครื่องแบบและในเครื่องแบบ สาเหตุสำคัญที่ทำให้กองทัพกล้าฉีกรัฐธรรมนูญ และยึดอำนาจจากรัฐบาลประชาธิปไตย ก็เพราะสามารถนิรโทษกรรมตนเองโดยได้รับความเห็นชอบจากกษัตริย์ภูมิพลซึ่งมักเป็นผู้สนับสนุนการรัฐประหารมาตั้งแต่ต้น จึงทำให้ประเทศไทยหนีไม่พ้นวังวนของการรัฐประหาร โดยมีศาลไทยให้การรับรองประกาศและคำสั่งของคณะรัฐประหารให้เป็นกฎหมายตลอดไป


อานันท์ และสนธิลิ้ม งานศพสารวัตรจ๊าบ 7 ตค. 51
นายอานันท์ ปันยารชุน ยอมรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีหลังคณะ รสช.ยึดอำนาจจากรัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ โดยอ้างว่าจะช่วยประคับประคองประเทศให้เดินหน้าต่อไป

มีชัย ฤชุพันธุ์ วิษณุ เครืองาม บวรศักดิ์ อุวรรโณ
3 มือกฎหมายของระบอบเผด็จการดักดาน
นายวิษณุ เครืองาม ก็ให้เหตุผลคล้ายคลึงกันในการเข้าไปช่วยเขียนธรรมนวยการปกครองให้กับ คมช. พร้อมกับ นายมีชัย ฤชุพันธุ์
ส่วนพลเอกเปรมและกษัตริย์ภูมิพล ก็ทำเป็นว่าไม่รู้เรื่อง แต่แสดงออกในทำนองเห็นดีเห็นงามไปด้วย เหมือนกับว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องที่ขัดต่อระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง และเป็นเรื่องที่ผิดกฏหมายอย่างร้ายแรงไม่ว่าการยอมรับประกาศคณะรัฐประหารเป็นกฎหมาย หรือการยอมช่วยเหลือคณะรัฐประหาร เท่ากับเป็นการส่งเสริมให้การรัฐประหารเติบโต ไม่ได้เป็นการช่วยประเทศในระยะสั้น แต่เป็นการทำลายประเทศในระยะยาว


19 กย. 54 คณะนิติราษฎร์ โดย วรเจตน์ ภาคีรัตน์  ปิยะบุตร แสงกนกกุล
จันทจิรา เอี่ยมมยุรา ธีระ สุทธีวรางกูล เสนอให้ลบล้างพลพวงรัฐประหาร
การปฏิเสธและลบล้างผลพวงของการรัฐประหารต่างหากที่จะเป็นการช่วยเหลือประเทศชาติให้ดำเนินไปตามหลักการที่ถูกต้องในระยะยาวอย่างแท้จริง แทนที่จะใช้หลักคิดที่หน้าด้านและป่าเถื่อนว่าคนมีอาวุธจะทำอะไรก็ได้ ทหารและกองทัพจะต้องเป็นของประชาชนและต้องขึ้นต่อรัฐบาล มิใช่เป็นของกษัตริย์หรือขึ้นต่อกษัตริย์ อย่างที่พลเอกเปรมพยายามโฆษณา


พรบ.กลาโหม 2551 ให้ผบ.เหล่าทัพคุมการแต่งตั้งโยกย้าย
แต่กลายเป็นว่า สภานิติบัญญัติเถื่อนในสมัยรัฐบาลสุรยุทธ์ของกษัตริย์ภูมิพลได้แก้ไขพรบ.จัดระเบียบราชการกลาโหม เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2551 มาตรา 25 ให้มีคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลประกอบด้วย รัฐมนตรีว่าการกลาโหมเป็นประธาน โดยมีรัฐมนตรีช่วยว่ากลาโหม ผบ.สูงสุด ผบ.ทบ. ผบ.ทร. และผบ.ทอ.เป็นกรรมการ ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นกรรมการและเลขานุการ และให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาแต่งตั้งนายทหารชั้นนายพลของส่วนราชการ โดยอ้างว่าต้องการป้องกันนักการเมืองใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม กลายเป็นว่าให้พวกนายทหารระดับสูงแต่งตั้งโยกย้ายกันเอง โดยไม่ขึ้นต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน

พล.อ.ยุทธศักดิ์ รมต.กลาโหม นำนายกยิ่งลักษณ์ ตรวจแถว
ที่กระทรวงกลาโหมถนนสนามไชย กรุงเทพฯ
ซึ่งผิดหลักการพื้นฐานของระบอบประชา ธิปไตยที่ให้รัฐบาลพลเรือนมีอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูงเพราะเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งต้องมีอำนาจในการคัดเลือกบุคคลที่ฝ่ายการเมืองเห็นว่ามีความเหมาะสมในการปฏิบัติงาน การแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารหรือข้าราชการระดับสูงของนักการเมืองเป็นอำนาจบริหารที่ประชาชนมอบให้รัฐบาล จึงมีความรับผิดต่อประชาชนรองรับอยู่
แต่ประชาชนไม่ได้มอบอำนาจการแต่งตั้งโยกย้ายให้พวกนายทหาร และนายทหารก็ไม่ได้มีความรับผิดชอบต่อประชาชน หลักของความรับผิดชอบเป็นหลักการสำคัญของระบอบประชาธิปไตย เพราะจะทำให้การกระทำต่างๆ ต้องอยู่ภายใต้การกำกับ และตรวจสอบของประชาชน



นายกยิ่งลักษณ์และพล.อ.เปรม วันกองทัพไทย 21 มค. 56
ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่านักการเมืองจะมีสันดานที่ดีกว่านายทหาร การวัดความดีความชั่วของบุคคลเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก จึงมีการสร้างระบบขึ้นมาตรวจสอบและสร้างความรับผิดชอบในการตัดสินใจของนักการเมือง การแต่งตั้งโยกย้ายภายในกรอบของอำนาจ จึงเป็นดุลยพินิจโดยชอบของนักการเมือง และถือเป็นการตัดสินใจในทางการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย แต่อาจจะกลายเป็นสิ่งที่ผิดปกติในประเทศที่มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในระดับต่ำ

ประสาร ไตรรัตน์วรกุลผู้ว่าธ.ชาติ ขัดแย้งเรื่องลดดอกเบี้ย
เพราะเงินบาทแข็ง กับกิตติรัตน์ ณ ระนองรมต.คลัง
เช่นเดียวกับปัญหาการบริหารนโยบายการเงินที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์เกิดขัดแย้งเรื่องการลดดอกเบี้ยที่ทำให้ค่าเงินบาทแข็งเกินไป แต่รัฐบาลกลับไม่อำนาจปลดผู้ว่าการหรือกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยได้ ยกเว้นก็แต่ในกรณีมีหลักฐานว่าได้ประพฤติชั่วร้ายแรง

ศาลปกครองสั่งให้ระงับการโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี
รวมไปถึงการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เช่น นายถวิล เปลี่ยนศรี อดีตเลขาธิการความมั่นคงที่ถูกย้าย แต่ศาลปกครองก็ยังวินิจฉัยให้รัฐบาลระงับคำสั่งย้ายนายถวิล  ทั้งๆที่อำนาจบริหารเป็นของประชาชนที่มอบให้รัฐบาลเป็นผู้ใช้อำนาจแทนและต้องรับผิดชอบในการใช้อำนาจนั้น ประชาชนไม่ได้มอบอำนาจบริหารให้สภากลาโหม หรือกรรมการธนาคารแห่งประเทศ หรือศาลปกครองและศาลใดๆทั้งสิ้น

รัดทำมะนวย 2550
ได้ผ่านการลงประชามติมาแล้ว
จรัญ ภักดีธนากุลประชันความคิดร่างรัดทำมะนวย 2550

ก่อนวันลงประชามติว่าจะรับ หรือ ไม่รับ ร่างรัดทำมะนวย 2550 มีการอภิปรายระหว่างฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยเมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2550 
นายจรัญ ภักดีธนากุล อยู่ในฝ่ายเห็นด้วย เพราะขณะนั้นเป็นถึงรองประธานกรรมาธิการยกร่างรัดทำมะนวย 2550 โดยนายจรัญได้พูดชัดเจนว่า "ผมเองในฐานะได้รับมอบหมาย จากคณะผู้เสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับให้สรุป ผมก็ต้องสรุปอย่างนี้ครับว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้เรายอมรับว่าไม่ใช่รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด สมบูรณ์ที่สุด แต่เรามองว่า มันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดของการกลับคืนมาแห่งอำนาจของประชาชนอย่างราบรื่น.. ..ชัดเจน ..แน่นอน...การที่เราลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญนี้ จะให้ผลดีคือ ยุติระบบปฏิวัติรัฐประหารทันที  คมช. สิ้นสภาพทันที
ส่วนว่ารัฐธรรมนูญนี้ไม่ดี มีข้อบกพร่อง มีบางจุดหลายจุดที่ท่านนำเสนอมานี้ เราเริ่มกระบวนการแก้ไข การแก้ไขนี้ผมอยากจะให้ เราทำแบบเมื่อปี 2540 
เราเสนอแบบให้ 50,000 คนเท่านั้นครับ แล้วก็ ส.ส.ในสภา 1 ใน 4 เท่านั้นครับ 



จรัญ ภักดีธนากุลเป็นตุลาการศาลรัดทำมะนวยต่อไป

เสนอแก้ไข มาตราเดียว แบบที่เราเริ่มทำในปี 2540 แล้วให้กระบวนการนั้นจัดทำกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญของประชาชนขึ้นใหม่
ถ้าเราเดินอย่างนี้มันจะราบรื่นกว่าที่เราจะใช้วิธีการว่า เอาล่ะ เราล้มร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วคาดหวังว่า คมช. กับ ครม. จะหยิบร่างรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดในอดีต มาปรับปรุงให้ดีกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับ 2550 ที่เรากำลังทำนี้
ท่านครับ ท่านไม่มีอะไรไปบังคับเขาได้นะครับ ไม่มีเลย นี่เป็นความคาดหวังของเรา แล้วถ้าไม่เป็นไปตามที่เราคาดละครับ อะไรจะเกิดขึ้น
แต่ถ้าเรารับร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ จะดีจะเลว เราได้ระบอบประชาธิปไตยกลับคืนมาเป็นของประเทศ เราได้อำนาจอธิปไตยกลับคืนมาเป็นของประชาชน 
แล้วหลังจากนั้นครับ เราช่วยกันเถิดครับ ช่วยกันพาประเทศนี้เข้าสู่กระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นของประชาชน ที่เราทุกคนอยากได้อีกครั้งหนึ่งเถิดครับ "

ใครที่ได้ฟังในวันนั้นจะยอมรับเลยว่านายจรัญพูดด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและจริงใจมาก
ทุกคนเชื่อว่านายจรัญคิดอย่างนั้นจริงๆ
คือ 1.ให้ รับร่างไปก่อน เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยคืนมา
และ 2.รับแล้วค่อย แก้ไขใหม่ แบบปี 2540 เพราะการเสนอแก้ไขง่ายมาก


13 กค. 2555 ศาลรัดทำมะนวยให้ทำประชามติก่อนแก้ไขทั้งฉบับ
แต่ ก็คงเป็นแค่การหลอกให้รับร่างไปก่อน เพราะการแก้ไขได้ง่ายๆนั้น ไม่จริงเลย   
จะแก้ไขมาตราเดียว เพื่อทำแบบ ส.ส.ร.ปี 2540 ก็ไม่ได้ 
จะแก้ไขรายมาตราก็มีคนกล่าวหาว่าจะล้มล้างระบอบประชาธิปไตย
นายจรัญ ยังได้พูดอีกประโยคหนึ่งในวันเดียวกันว่า สิ่งที่ผมพบว่าเป็นปัญหาจริงๆ อยู่ที่ความยึดมั่น ถือมั่น ของพวกเรากันเอง
ซึ่งก็คงจะจริง เพราะมีบางกลุ่มยึดมั่น-ถือมั่น ว่ารัดทำมะนวยฉบับนี้ห้ามแก้ไข ถ้าไม่ใช่พวกเดียวกัน

เป้าหมายแรกของรัดทำมะนวย 2550 คือ รักษาและสืบทอดอำนาจ  ของกลุ่มที่สนับสนุนการรัฐประหาร ให้นานที่สุด
โดยมีลักษณะเด่น คืออำนาจการแต่งตั้งจะอยู่ที่ วุฒิสภา+ตุลาการกลุ่มหนึ่ง+ประธานองค์กรอิสระ นี่เป็นการ...ร่วมกันเขียน เวียนกันแต่งตั้ง เพื่อรั้งอำนาจไว้ตลอดไป


สว.สรรหา 73 คน เป็นพวกที่กบฏคมช.ตั้งเข้ามาเพื่อคุมอำนาจในวุฒิสภา

วุฒิสภามีสมาชิก 150 คน มาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน รวม 76 คน (เดิมมี 76 จังหวัด) มาจากการสรรหา 74 คน หมายความว่า คน 60 ล้านคน สามารถเลือกวุฒิสมาชิกได้ 76 คน และคนพิเศษ ที่เป็นผู้สรรหา 7 คน ที่ประชาชนก็ไม่ได้เลือกมา แต่สามารถเลือกวุฒิสมาชิกได้ 74 คน
โดยผู้สรรหาทั้ง 7
ประกอบด้วย

ชัช ชลวร ประธานศาลรัดทำมะนวยเป็นประธานสรรหาส.ว.
1. ประธานศาล รัดทำมะนวย  2. ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) 3. ประธานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน 4. ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน 5. ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 6. ตัวแทนผู้พิพากษาในศาลฎีกาที่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกามอบหมาย 7. ตัวแทนตุลาการศาลปกครองสูงสุดที่ที่ประชุมศาลปกครองสูงสุดมอบหมาย 
จะเห็นว่ากรรมการสรรหาทั้ง 7 คน มาจากการเลือกของศาลต่างๆ โดยประธานตุลาการในศาลต่างๆ จะมีบทบาทสูงในการเลือกผู้ที่จะมาดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ 
ลักษณะการเลือกแบบนี้จึงเป็นการที่คนกลุ่มเดียวผลัดกันเลือก ตามคำสั่งของผู้คุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร เพื่อไปดำรงตำแหน่งต่างๆ ที่มีอำนาจชี้ขาดที่สำคัญในสังคม กลายเป็นกระบวนการอยุติธรรมที่ต่อเนื่องและวุ่นวาย มาตลอดหลังการประกาศใช้รัดทำมะนวย 2550


เปิดตัวคณะผู้ร่วมก่อการรัฐประหาร 19 กย. 2549
เป้าหมายที่สองของรัดทำมะนวย 2550  คือคุ้มครองคนทำรัฐประหารและผู้อยู่เบื้องหลังไม่ให้ถูกลงโทษ  ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคตเห็นได้ชัดจากมาตรา 309 ที่ว่า บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัดทำมะนวย(ฉบับชั่วคราว)  2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายและรัดทำมะนวย รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าว ไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัดทำมะนวยนี้ ให้ถือว่าการนั้นและการกระทำนั้นชอบด้วยรัดทำมะนวยนี้

ประสงค์ สุ่นศิริ ประธานยกร่างรัดทำมะนวย 2550
ส่วนที่ซ่อนไว้ในรัดทำ มะนวย (ฉบับชั่วคราว) 2549  คือ บทนิรโทษกรรมอยู่ในมาตรา 37 ที่ว่า
" บรรดาการกระทำทั้งหลาย ซึ่งได้กระทำเนื่องในการยึดและควบคุมอำนาจการปกครองแผ่นดิน เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 ของหัวหน้าและคณะ คปค. หรือ คมช. ไม่ว่ากระทำในฐานะตัวการ ผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ให้กระทำ และไม่ว่ากระทำในวันที่กล่าวนั้นหรือก่อนหรือหลังวันที่กล่าวนั้น หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้ผู้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดย สิ้นเชิง "
บทนิรโทษกรรม ตามรัดทำมะนวยฉบับชั่วคราวที่ คปค.ประกาศใช้ก็เพื่อปกป้องตนเองและผู้อยู่เบื้องหลังไม่ให้ต้องรับโทษ จากความผิดฐานกบฏตามกฎหมายอาญามาตรา 113
การจะเขียนกฎหมายมาตราหนึ่งบอกว่า การกระทำใดๆ ของบคคลหรือคณะบุคคลในอดีตที่ทำไปแล้วในอดีตถือว่าถูก อันนี้ยังพอรับได้ แต่การไปรับรองเรื่องในอนาคตที่ยังไม่รู้ว่าเป็นอะไร  อันนี้คงรับไม่ได้เด็ดขาด

แก้รัดทำมะนวยเพื่อทักษิณคนเดียว



พรรคแมลงสาบอ้างคัดค้านแก้ไขรัดทำมะนวยเพื่อทักษิณ
เมื่อเกิดการรัฐประหารล้มรัฐ ธรรม นูญฉบับที่ร่างโดยประ ชาชน นักการเมืองพรรคแมลงสาบไม่เคยออกมาคัดค้านการล้มล้างการปกครอง แต่พอมีการเสนอขอแก้รัดทำมะนวยผ่านรัฐสภาตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย พรรคแมลงและเครือข่ายกษัตริย์ภูมิพลกลับออกมาส่งเสียงคัดค้านกันเต็มไปหมด ทั้งๆที่การแก้รัดทำมะนวยต้องผ่านการอภิปรายลงมติทั้งจากสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา ซึ่งส.ส.ฝ่ายค้านมีสิทธิแสดงความคิดเห็นได้เต็มที่
นายกอภิสิทธิ์จากค่ายทหาร เข้าคารวะสนธิลิ้ม 9 กย.53
ที่เป็นเช่นนี้เพราะพรรคแมลงสาบและเครือข่ายนิยมระบอบกษัตริย์คิดแต่เรื่องล้มระบอบทักษิณอย่างเดียว จนยอมย้ายจุดยืนไปยืนอยู่ร่วมกับฝ่ายเผด็จการอย่างชนิดกู่ไม่กลับ ไปร่วมยึดอำนาจกับทหารและไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของประชาชนส่วนใหญ่ทั่วประเทศ ไม่เคารพหลักการประชาธิปไตย ทั้งๆที่รัดทำมะนวย
2550 นั้นร่างมาเพื่อต้องการกำจัดคุณทักษิณคนเดียว เหมือนจุดไฟเผาบ้านเพื่อจะฆ่าหนูตัวเดียว แล้วตอนนี้ ก็มาอ้างอย่างหน้าด้านๆว่าการแก้รัดทำมะนวยเผด็จการเป็นการทำเพื่อคนๆเดียว ทั้งนี้เพราะรัดทำมะนวย 2550 เป็นเครื่องมือที่ฝ่ายรัฐประหารและตุลาโกงวิบัติได้สร้างไว้เพื่อใช้ทำลายฝ่ายประชาธิปไตย 

อภิสิทธิ์ และสุเทพ ผู้ชอบอ้างกฎหมู่ในนามกฎหมาย
พวกนิยมเผด็จการโบราณก็เอาแต่อ้างอย่างหน้าด้านๆว่ากฎหมายต้องเป็นกฎหมาย ทักษิณต้องมารับโทษก่อน ทั้งๆที่สิ่งที่ใช้เล่นงานคุณทักษิณและพรรคพวกนั้น มันไม่ใช่กฎหมาย แต่มันคือกฎหมู่ที่มาในนามของกฎหมายเท่านั้นเอง
เรื่องที่พรรคแมลงสาบและพันธมารเรียกร้องให้คุณทักษิณกลับมาติดคุกในคดีที่คุณหญิงพจมานประมูลซื้อที่ดินรัชดา และยังกล่าวหาว่าการแก้ไขรัดทำมะนวย
2550 หรือการออกกฎหมายปรองดองเพื่อช่วยคุณทักษิณคนเดียว ทั้งๆที่คุณทักษิณไม่มีความผิดแม้แต่น้อย

ทีดินแปลงที่คุณหญิงพจมานประมูลได้
ข้อเท็จจริงก็คือ กองทุนฟื้นฟูฯ ได้นำที่ดินที่ซื้อจากบริษัท เอราวัณ ทรัสต์ จำกัด ออกประมูลขาย เมื่อวันที่
16 ธันวาคม 2546 โดยวิธียื่นซองประกวดราคา เนื้อที่ประมาณ 33 ไร่ โดยให้ชำระเป็นเงินสดทั้งหมดภายใน 7 วัน นับจากวันเปิดซองประกวดราคาโดยคณะกรรมการจัดการกองทุนอนุมัติให้จำหน่ายที่ดินให้แก่ผู้เสนอราคาซื้อสูงสุด คือ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ในราคา 772 ล้านบาท ในเวลานั้นเป็นพื้นที่ห้ามสร้างอาคารสูง


คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.)
มี.ค. 2551  สภานิติบัญญัติเถื่อนของคมช. ได้แก้กฎหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นหน่วยงานของรัฐ แล้วสั่งให้ คตส. ทำเรื่องฟ้องว่าคุณทักษิณเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ นับเป็นการออกกฎหมายย้อนหลังเพื่อเอาผิดคุณทักษิณโดยอ้างกฎหมาย ปปช. 2542 มาตรา 100 (1) ที่ห้ามเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นคู่สัญญาหรือมีส่วนได้เสียในสัญญาที่ทำกับหน่วยงานของรัฐที่เจ้าหน้าที่ของรัฐผู้นั้นปฏิบัติหน้าที่ ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมีอำนาจกำกับ ดูแล ควบคุม ตรวจสอบหรือดำเนินคดี ... แต่ในขณะที่คุณหญิงพจมานประมูลซื้อที่ดินรัชดาเมื่อปี 2546 นั้น ธนาคารแห่งประเทศไทย และกองทุนฟื้นฟูฯ ยังเป็นหน่วยงานอิสระ ไม่ได้เป็นหน่วยงานของรัฐ


ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาฯ พิพากษาคดีที่ดินรัชดา
 21 ต.ค. 2551 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาว่าคุณทักษิณ มีความผิดตามพรบ. ปปช. 2542 มาตรา 100 ให้ลงโทษจำคุก 2 ปี ให้คุณหญิงพจมานส่งมอบที่ดินคืนให้กองทุนฟื้นฟูฯเนื่องจากเห็นว่าการทำนิติกรรมเป็นโมฆะ พร้อมทั้งให้กองทุนฯคืนเงินซื้อขายที่ดินจำนวน 772 ล้านบาทให้กับคุณหญิงพจมาน พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 นับตั้งแต่วันที่คุณหญิงพจมานฟ้องกลับกองทุนฟื้นฟูฯ เพื่อให้คืนเงินซื้อที่ดิน เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552

คุณหญิงพจมานและคุณทักษิณจำเลยคดีซื้อที่ดินที่ไม่มีมูล
7 ต.ค. 2553 ธปท. คืนเงิน 823 ล้านบาท ให้คุณหญิงพจมาน หลังได้รับคำตอบจากอัยการสูงสุด ว่าหากกองทุนยื่นอุทธรณ์แล้วแพ้คดีจะต้องจ่ายค่าปรับสูงถึงวันละ 1 แสนบาท
จะเห็นได้ว่าการซื้อขายที่ดินนี้ ได้ถูกสั่งยกเลิกให้ถือว่าเป็นโมฆะ มีการคืนเงินค่าซื้อขายพร้อมดอกเบี้ยให้คุณหญิงพจมานไปเป็นที่เรียบร้อย แต่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองได้พิพากษาหาเรื่องเอาผิดคุณทักษิณไปก่อนแล้วโดยให้จำคุกแบบห้ามอุทธรณ์หรือฎีกา  ทั้งๆที่คุณทักษิณไม่เคยมีประวัติถูกจำคุกมาก่อนและเป็นผู้มีคุณูปการต่อบ้านเมืองมาก่อน

กษิต ภิรมย์ รมต.ต่างประเทศให้ต่างประเทศส่งตัวคุณทักษิณ
คนทั้งประเทศและนานาชาติต่างทราบกันดีว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง จึงไม่ถือว่าคุณทักษิณ เป็นนักโทษร้ายแรง แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ กลับหลอกประชาชนไทยว่า ตำรวจสากลได้ออกหมายจับคุณทักษิณ ทั้งยังพยายามที่จะไล่ล่า บีบบังคับให้นานาชาติไม่ให้ออกวีซ่าให้คุณทักษิณเข้าประเทศ ขอให้ส่งคุณทักษิณกลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน จนก่อความอึดอัดรำคาญแก่นานาชาติเป็นอันมาก
เพราะวิญญูชนย่อมทราบดีว่าคุณทักษิณไม่ได้กระทำความผิดแต่อย่างใด แต่เขาคืออดีตนายกรัฐมนตรีที่ถูกปล้นอำนาจ และมันเป็นเรื่องอัปยศที่ไร้จรรยาบรรณของศาลไทยที่ไปรับใช้อำนาจเผด็จการหาเรื่องเอาผิดคุณทักษิณอย่างหน้าด้านๆ

โอวาทคนดีและไม่ดี 11 ธ.ค. 2512 ค่ายลูกเสือศรีราชา
ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครที่จะทำให้ทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด ที่สำคัญคือ คนบางคนคิดว่าตนเท่านั้นที่เป็นคนดีเป็นคนเก่ง ทำอะไรก็ดีไปหมด ถูกต้องงดงามไปหมด  ทั้งๆที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง ไม่มีวาระการดำรงตำแหน่ง ไม่ต้องแจ้งบัญชีทรัพย์สิน ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีใครกล้าวิจารณ์ การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุข เรียบร้อยจึงมิใช้การไปเที่ยวก้าวก่ายในอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชน หากแต่ต้องเคารพหลักนิติรัฐประชาธิปไตย ไม่สั่งให้ทหารทำรัฐประหาร ไม่รับรองการปล้นอำนาจ ไม่สั่งศาลให้มาขัดขวางหรือล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน ควรต้องเคารพการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ที่ถือว่าอำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน ที่เคารพในสิทธิเสรีภาพความเสมอภาคและสิทธิมนุษยชน

…………

ไม่มีความคิดเห็น: