ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบได้ที่ : http://www.4shared.com/mp3/9Cd2xbAI/See_Through_Stable_Owner_08.html
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?pov5gf0a5slrugk
รู้ทันเจ้าของคอกม้า
ตอนกษัตริย์ก็คือทรราชโดยธรรมชาติ นั่นเอง
หรือที่ : http://www.mediafire.com/?pov5gf0a5slrugk
รู้ทันเจ้าของคอกม้า
ตอนกษัตริย์ก็คือทรราชโดยธรรมชาติ นั่นเอง
บทเรียนการปรับตัว
ของสถาบันกษัตริย์ทั่วโลก
ประเทศที่มีกษัตริย์เป็นประมุขของรัฐ หรือมีประมุขที่สืบทอดทางสายโลหิต ปัจจุบันเหลืออยู่ 27 ประเทศแต่ถ้ารวมทั้งประเทศเล็กๆ น้อยๆ ก็นับได้ 40 ประเทศ โดยมีจำนวนลดลงอย่างมาก ตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา
![]() |
กษัตริย์ยุโรป 8 พระองค์ที่วังวินเซอร์ในงานศพเอ็ดเวิร์ดที่ 7 เมื่อปี 2453 |
ประเทศที่รื้อฟื้นเอาสถาบันกษัตริย์กลับคืนมาก็มีสเปนและกัมพูชา ต้องยอมรับว่าโดยธรรมชาติแล้วสถาบันกษัตริย์มักเป็นอุปสรรคของประชาธิปไตย เป็นกาฝากของสังคม เหตุที่บางประเทศยังรักษาสถาบันกษัตริย์เอาไว้ได้ ก็เพราะสถาบันกษัตริย์ในประเทศนั้นๆ รู้จักปรับตัว ขณะที่ประเทศที่สถาบันกษัตริย์ปรับตัวไม่ได้ ก็มีอันต้องยกเลิกสถาบันกษัตริย์
การปรับตัวในแบบต่างๆ
ของสถาบันกษัตริย์
ในบางประเทศสถาบันกษัตริย์ต่อสู้กับรัฐสภามาตลอด ผลัดกันแพ้ชนะ สุดท้ายก็ยอมปรับตัวเป็นระบอบรัฐสภาที่มีกษัตริย์เป็นประมุขอย่างเต็มรูปแบบ เช่น อังกฤษ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก เบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์
![]() |
กษัตริย์นอรเวย์ สวีเดนและเดนมาร์ค ร่วมประชุมที่เมืองมัลโม สวีเดน ในปี 2457 |
วิธีการยินยอมของสถาบันกษัตริย์
![]() |
สส.เลนทัล (Lenthall) ยกเอกสิทธิ์ของสภา โต้แย้งกษัตริย์ชาร์ลที่ 1 ของอังกฤษปี 2185 |
บางประเทศใช้การออกเสียงประชามติ ประเทศที่ออกเสียงประชามติแล้วยืนยันให้มีกษัตริย์ต่อ เช่น นอร์เวย์ เมื่อปี 2357 เบลเยียม ปี 2373 ลักเซมเบิร์ก ปี 2458
บางประเทศสถาบันกษัตริย์ปรับตัวแล้วอยู่ต่อได้ โดยไม่ได้เต็มใจที่จะปรับ แต่ถูกบังคับให้ปรับตัว เพราะแพ้สงคราม เช่น ญี่ปุ่น บางประเทศสถาบันกษัตริย์กลับขึ้นมาใหม่ได้ และช่วยในเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยด้วย เช่น สเปน
กรณีที่ปรับตัวไม่ได้
ประเทศที่สถาบันกษัตริย์ปรับตัวไม่ได้แล้วต้องสูญหายไปจากแผ่นดินนั้นเลย เหตุผลหลักๆ เป็นเพราะสถาบันกษัตริย์ไปเหนี่ยวรั้งขัดขืนการเปลี่ยนแปลง
ฝรั่งเศสเป็นประเทศแรกที่เปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐแล้วกษัตริย์ก็กลับมาอีก เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จนสุดท้ายปี 2413 สาธารณรัฐที่ 3 ระบบกษัตริย์ก็หายไปหมดเลย เพราะฝ่ายนิยมเจ้าดื้อรั้นจะเอาระบอบกษัตริย์แบบเดิม
โปรตุเกส อิตาลี ก็เป็นเช่นเดียวกัน
![]() |
กษัตริย์คอนสแตนติน (Constantine) องค์สุดท้ายของกรีซ |
บางประเทศสถาบันกษัตริย์ล่มสลายไปเพราะสงครามโลก เช่น เยอรมนี ออสเตรีย ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง
บางประเทศสถาบันกษัตริย์หายไปเพราะได้ประกาศอิสรภาพแล้ว เช่น ฟินแลนด์ ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์
ปัจจัยสำคัญที่ชี้ขาดความอยู่รอดของสถาบันกษัตริย์ในยุคสมัยปัจจุบันคือ การปรับตัวให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตย ถ้าเลือกการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สถาบันการเมืองทั้งหมดซึ่งรวมถึงสถาบันกษัตริย์ด้วย ต้องปรับตัวให้เข้ากับระบอบประชาธิปไตย ถ้าปรับตัวไม่ได้สถาบันนั้นก็จะมีอันต้องสูญหายไปเอง ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่ประเทศที่สถาบันกษัตริย์กำลังขัดขืน เหนี่ยวรั้ง ต่อสู้กับระบอบประชาธิปไตย โดยมีประเทศที่ชาวโลกกำลังเพ่งมองอยู่ 2 แห่งเท่านั้น คือ โมรอคโค กับไทย โดยกำลังดูกันว่าประเทศไหนจะเปลี่ยนเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยได้อย่างสมบูรณ์ก่อนกัน
วิธีการทำให้สถาบันกษัตริย์
อยู่ร่วมกับระบอบประชาธิปไตย

ทั้งเบลเยียม เนเธอร์แลนด์ สเปน สวีเดนและโดยเฉพาะที่อังกฤษล้วนต้องการมุ่งเน้นการจำกัดอำนาจของสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้น แต่ของไทยกลับต้องการเพิ่มอำนาจให้กษัตริย์




การกำเนิดของระบบรัฐสภาประเทศไทยโดยคณะราษฎรก็คือการต่อสู้แย่งอำนาจการปกครองระหว่างระบอบเก่าที่กษัตริย์รวมอำนาจไว้ทั้งหมด มาเป็นระบอบที่อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรโดย สถาบันกษัตริย์เป็นเพียงประมุขของรัฐอย่างเดียว ไม่ได้มีอำนาจบริหารประเทศอีกต่อไป ฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรีรับผิดชอบโดยตรงต่อสภา โดยมาจากเสียงข้างมากในสภา บริหารประเทศโดยมีสภาทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล


2.กษัตริย์จะไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ เลยทั้งทางแพ่งและอาญา จะจับกุมคุมขังกษัตริย์ไม่ได้ ในฝรั่งเศส เมื่อปี 2335 มีการจับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ไปขังคุก แต่รัฐธรรมนูญปี 2334 บัญญัติว่าห้ามดำเนินคดีกับกษัตริย์ ในที่สุดจึงต้องปลดให้เป็นคนธรรมดาก่อน
กรณีที่กษัตริย์ปฏิบัติหน้าที่ลงพระปรมาภิไธย จะมีรัฐมนตรีที่ลงนามรับสนองฯรับผิดชอบทั้งหมด เช่น มีการประกาศสงคราม แล้วต่อมาประเทศนั้นแพ้สงคราม อาจมีการดำเนินคดีกับสมาชิกในรัฐบาลนั้นในฐานะอาชญากรสงคราม แต่กษัตริย์ไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะมีคนลงนามรับสนองฯ
ในกรณีที่กษัตริย์กระทำการในเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่เลย เช่น กู้เงินมาแล้วไม่จ่าย ก็ให้ฟ้องพระราชวัง พระคลังข้างที่ หรือหน่วยงานที่ดูแลกองทรัพย์สินนั้น ไม่ใช่ฟ้องที่ตัวกษัตริย์ แต่ถ้ากษัตริย์ทำผิดในทางอาญา เช่น กษัตริย์เอาปืนไปยิงคนตาย ขับรถชนคนตาย กลับไม่มีใครเสนอทางออกในเรื่องนี้ไว้เลย นับเป็นเรื่องที่ประหลาดมาก สมมุติว่ากษัตริย์ภูมิพลใช้ปืนยิงรัชกาลที่ 8 ก็คงไปฟ้องร้องกษัตริย์ภูมิพลไม่ได้ และคงต้องหาคนบริสุทธิ์มารับเคราะห์แทน อย่างที่ได้ปรากฏให้เห็นกันอยู่

นี่คือสาเหตุที่ทำให้ราชอาณาจักรไทยไม่ยอมให้สัตยาบรรณในสนธิสัญญาศาลอาญาระหว่าง ประเทศ เพราะศาลอาญาระหว่างประเทศไม่มีเอกสิทธิ์และความคุ้มกันให้ประมุขของรัฐ แต่ประเทศอื่นๆที่มีสถาบันกษัตริย์ก็ลงนามกันหมด เพราะเขามองว่า ไม่มีทางเลยที่กษัตริย์ของเขาจะไปกระทำผิดเข้าข่ายความผิดอาญาในนามส่วนตัว
กรณีกษัตริย์สละราชสมบัติกลายเป็นคนธรรมดาแล้วมีกษัตริย์องค์อื่นรับตำแหน่งต่อ ฝรั่งเศสถือว่ากษัตริย์องค์เดิมกลายเป็นคนธรรมดาแล้ว จึงสั่งให้ประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แต่ของเบลเยียมถือเป็นเอกสิทธิ์ความคุ้มกันตลอดชีพ จะเอาการกระทำสมัยเป็นกษัตริย์มาฟ้องไม่ได้ แต่ถ้าสละราชสมบัติเป็นคนธรรมดาแล้วทำผิดก็ถูกดำเนินคดีได้แล้ว
![]() |
พันโทโพยม จุลานนท์ |
ในช่วงนั้นหลายฝ่ายเชื่อกันว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นคนยิงในหลวงรัชกาลที่ 8 ในตอนเช้า และได้รับแต่งตั้งเป็นกษัตริย์ในตอนเย็น ในกรณีนี้ ก็น่าจะฟ้องร้องกษัตริย์ภูมิพลเป็นจำเลยข้อหาปลงพระชนม์พระมหากษัตริย์ได้ เพราะได้กระทำความผิดก่อนที่จะได้ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์
ทั้งนี้โดยหลักการแล้วเอกสิทธิ์นี้คุ้มครองเฉพาะตัวพระมหากษัตริย์ตำแหน่งเดียวเท่านั้น ไม่ได้มุ่งหมายให้รวมถึงพระราชินี องค์รัชทายาท หรือบุคคลอื่นๆในราชวงศ์
1. กษัตริย์ไม่กระทำการตามลำพัง โดยต้องมีคนลงนามรับสนองพระบรมราชโองการเสมอ
2. อำนาจบริหารต้องเป็นเอกภาพ กษัตริย์อาจมีความเห็นแตกต่างจากรัฐบาลได้ แต่ความเห็นใดๆ ของกษัตริย์ต้องเป็นความลับ มีรัฐบาลเท่านั้นที่รู้ และรัฐบาลเป็นคนตัดสินใจว่าจะคล้อยตามหรือค้านก็ได้ เพราะรัฐบาลรับผิดชอบต่อการกระทำนั้นเอง บางทีกษัตริย์อาจสู้กับรัฐบาลเวลาที่มีความเห็นไม่ตรงกัน โดยถึงขั้นขู่ว่าจะสละราชสมบัติ ซึ่งเป็นสภาวการณ์อันไม่พึงประสงค์
3. ไม่มีบุคคลใดรู้ว่ากษัตริย์คิดอะไรอยู่ กษัตริย์มีความเห็นได้ในทางการเมืองเพราะเป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ทั้งหมดต้องเป็นความลับ บุคคลใดที่มาแอบอ้างว่าได้เข้าเฝ้ามาแล้ว ล้วนผิดธรรมเนียมประเพณีในประเทศที่ปกครองระบอบประชาธิปไตยและมีกษัตริย์
4. พระราชดำรัส พระราชหัตถเลขา การกระทำอื่นใดที่เกี่ยวพันกับประเด็นทางการเมืองทั้งหมดต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐมนตรี งานในทางส่วนพระองค์ทำได้ แต่กิจการที่เกี่ยวพันกับการเมือง การบริหารราชการแผ่นดินต้องให้รัฐบาลให้ความเห็นชอบก่อนเสมอ
กรณีพระราชดำรัส รัฐบาลอาจร่างพระราชดำรัสให้กษัตริย์อ่านออกอากาศทางทีวีหรือวิทยุก็ได้ หรือกษัตริย์ร่างเองแล้วส่งให้รัฐบาลตรวจก่อนก็ได้

หลักการที่ว่ากษัตริย์ไม่อาจล่วงละเมิดได้ เนื่องจากในระบอบประชาธิปไตยถือว่ากษัตริย์จะไม่ทำผิดได้ เพราะกษัตริย์ไม่ได้ทำอะไรเลย
ดังนั้นถ้าพระมหากษัตริย์ไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไข ก็ควรต้องถูกดำเนินคดีได้ แต่ก็ขึ้นอยู่กับสถานะทางอำนาจระหว่างสถาบันกษัตริย์กับสภาผู้แทนราษฎร ถ้าฝ่ายราษฎรคุมอำนาจเหนือกว่าก็อาจจะบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าถ้ากษัตริย์ไม่กระทำการตามรัฐธรรมนูญอาจเป็นเหตุให้ถูกถอดถอนจากตำแหน่งได้ และสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้วินิจฉัย พอฝ่ายประชาธิปไตยโดยคณะราษฎรได้ชัยชนะขาดลอยกลับไม่ได้บัญญัติมาตรานี้เอาไว้ เพราะมั่นใจว่าคงไม่มีกษัตริย์องค์ใดจะกล้าละเมิดรัฐธรรมนูญ เพราะจะถูกกดดันให้สละราชสมบัติ เช่น กรณีลักเซมเบิร์ก ปี 2462 หรือกรณีเบลเยี่ยมที่กษัตริย์พาประเทศเข้าสู่สงคราม ก็ถูกปลดแล้วตั้งคนอื่นเป็นกษัตริย์แทน
ฉะนั้น พระมหากษัตริย์ที่ดีในระบอบประชาธิปไตย หาใช่พระมหากษัตริย์ที่มีพระจริยวัตรดีงามทุ่มเททำงานหนักเพื่อราษฎร หาใช่พระมหากษัตริย์ที่ฉลาดปราดเปรื่องทรงพระอัจฉริยภาพในทุกๆด้าน หาใช่พระมหากษัตริย์ที่มีจิตใจเมตตามีคุณธรรมสูงส่งหรือเป็นแบบอย่างของความประหยัดมัธยัสถ์ แต่พระมหากษัตริย์ที่ดีในระบอบประชาธิปไตยต้องเป็นพระมหากษัตริย์ที่เคารพ และปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น กษัตริย์ภูมิพลจึงไม่ใช่กษัตริย์ที่ดีในระบอบประชาธิปไตยแม้แต่น้อย แต่น่าจะเป็นแค่กษัตริย์ที่พยายามฟื้นฟูระบอบเผด็จการสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากกว่า
การเคารพสักการะ
และล่วงละเมิดมิได้

![]() |
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา |
โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ในฐานะประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ แถลงเองว่า คำว่า เคารพสักการะ ได้ลอกมาจากญี่ปุ่นสมัยเมจิ ที่มีคำว่าเคารพ แต่ควรเติมคำว่า สักการะ เข้าไปด้วย โดยไม่มีการถกเถียงเรื่องนี้ แล้วก็ให้ผ่านสภาอย่างรวดเร็ว
พระยามโนปกรณ์อธิบายคำว่าผู้ใดจะละเมิดมิได้ ว่าหมายถึง ไปฟ้องร้องว่ากล่าวหาพระมหากษัตริย์ไม่ได้ เพราะรัฐบาลเป็นของพระเจ้าอยู่หัว ศาลก็ของพระเจ้าอยู่หัว พิจารณาตัดสินความในนามพระเจ้าอยู่หัว ถ้าไปฟ้องร้องท่านก็ดูตลก เป็นวิธีอธิบายความแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ในระบอบประชาธิปไตยต้องถือหลักว่าพระมหากษัตริย์ถูกละเมิดหรือถูกฟ้องร้องกล่าวหา ดำเนินคดีไม่ได้ เพราะพระมหากษัตริย์ไม่ได้กระทำการใดๆโดยพระองค์เอง แต่มีรัฐมนตรีที่ลงนามสนองพระราชโองการเป็นผู้รับผิดชอบและไม่ทรงแสดงความเห็นทางการเมืองต่อสาธารณะโดยเด็ดขาด
พอต่อมา เริ่มตั้งแต่ 2492 ถึงปัจจุบัน จึงมีคำว่ากล่าวหาฟ้องร้องไม่ได้ โดยนักกฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยอ้างว่าเขียนขึ้นมาเพื่อเพิ่มความชัดเจน โดยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 8 ว่าองค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ในทางใดๆ มิได้

เนื่องจากระบอบประชาธิปไตย ยึดหลักว่า ความรับผิดชอบกับการใช้อำนาจเป็นของคู่กัน เมื่อมีอำนาจก็ต้องมีความรับผิดชอบตามมา ความรับผิดแสดงออกโดยให้คนวิจารณ์ ไม่ว่าจะเห็นชอบ เห็นต่าง หรืออาจฟ้องร้องดำเนินคดี เรียกค่าเสียหาย ปลดจากตำแหน่ง
ถ้าเราไม่ต้องการให้พระมหากษัตริย์ต้องมีความรับผิดชอบเช่นนี้ ก็ต้องทำให้พระองค์ไม่มีอำนาจ เมื่อไม่มีอำนาจก็รอดพ้นจากการติฉินนินทา ฟ้องร้อง ลงโทษ หรือปลดออกจากตำแหน่ง



นายนิวัติ ศรีสุวรนันท์ ส.ส. จังหวัดร้อยเอ็ด ได้อภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ในการร่างรัฐธรรมนูญปี 2492 ไว้ว่า “ ถ้าประมุขของประเทศ โดยเฉพาะพระมหากษัตริย์มีอำนาจมากขึ้นเท่าใด ความไม่สมบูรณ์แห่งประชาธิปไตยก็มีมากขึ้นเท่านั้น ถ้าหากว่าองค์พระมหากษัตริย์หรือประมุขของประเทศได้อำนาจไปแต่น้อย ความเป็นประชาธิปไตยก็สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ”
ระบบรัฐสภา
ในระบอบประชาธิปไตย
![]() |
กษัตริย์จอร์ชที่ 6 ของอังกฤษ King George VI |
ส่วนรัฐสภาที่ฝรั่งเศส ไม่ค่อยมีเสถียรภาพเพราะส่วนใหญ่ยังเป็นรัฐบาลผสม ต่อมาจึงมีคนคิดกลไกที่ทำให้รัฐบาลเข้มแข็ง เช่น การห้ามเปิดการอภิปรายไม่ไว้วางใจบ่อยเกินไป หากจะอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกต้องเสนอชื่อผู้ชิงตำแหน่งนายก มีการแก้ไขกฎหมายการเลือกตั้งให้เป็นแบบบัญชีรายชื่อ เพื่อทำให้เป็นระบบสองพรรคมากขึ้น โดยเริ่มใช้ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น ในเยอรมนี และฝรั่งเศส
ประเทศไทยได้วางระบบสร้างรัฐบาลให้เข้มแข็งในรัฐธรรมนูญ 2540 เพื่อให้รัฐสภามีเสถียรภาพ เช่น ให้มีระบบบัญรายชื่อโดยต้องได้คะแนนเสียงไม่ต่ำกว่า 5% ในกรณีขอเปิดอภิปรายเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีต้องมีส.ส.ร่วมลงชื่อไม่น้อยกว่า 2 ใน 5 ของสภาและต้องเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ โดยพวกนักเขียนรัฐธรรมนูญเชื่อว่าจะทำให้พรรคประชาธิปัตย์ของฝ่ายกษัตริย์ได้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ


![]() |
พันเอก พระยาพหล พลพยุหเสนา |
ในช่วงแรกของการมีรัฐสภา คณะราษฎรได้ตั้งคณะกรรมาธิการที่ออกกฎหมายมาตราต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นคงให้ระบอบใหม่ มีการออกฎหมายยกเลิกองค์ประกอบของระบอบเก่า เช่น ยกเลิกองคมนตรี ยกเลิกอภิรัฐมนตรีสภา ออกพรบ. ล้างมลทินให้กับคณะรศ. 130 และยกเลิกการปรับโทษตามศักดินา นอกจากนี้ยังได้โอนกรมต่างๆ เช่น กรมตรวจเงินแผ่นดิน กรมร่างกฎหมายให้มาอยู่ใต้สังกัดคณะกรรมการราษฎรด้วย

ในช่วงแรกของการใช้ระบบรัฐสภาปี 2475 - 2476 ได้มีการพยายามยื้อยุดรักษาอำนาจโดยฝ่ายระบอบเก่า เช่น การเติมคำว่า ชั่วคราว ท้ายรัฐธรรมนูญฉบับ 27 มิ.ย. 2475 การส่งฝ่ายเจ้าเข้ามาร่วมร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวร การตั้งสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้ง การยับยั้งกฎหมายที่คุกคามต่อระบอบเก่า และเมื่อถึงจุดหนึ่ง รัชกาลที่ 7 ก็สละราชสมบัติในปี 2477
![]() |
สฤษดิ์ ธนะรัชต์ |
ความแนบเนียนแฝงเร้น
ของสถาบันกษัตริย์ไทย

คำว่าเหนือการเมืองไม่ได้หมายความว่า พ้นไปจากการเมือง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่กระทำการใดๆทางการเมืองเลย แต่ความเป็นจริงคือเหนือทุกสถาบันทางการเมืองในประเทศไทย คืออยู่สูงที่สุด คือให้อยู่เหนือรัฐธรรมนูญขึ้นไปอีก
ในขณะเดียวกันพอพูดคำว่าการเมือง ก็มุ่งเป้าการวิจารณ์โจมตีไปที่นักการเมืองในรัฐสภา และในคณะรัฐบาล ส่วนตัวสถาบันกษัตริย์ก็กลายเป็นสิ่งบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ทั้งๆที่สถาบันกษัตริย์ยังมีบทบาททางการเมือง โดยใช้วิธีแทรกแซงผ่านธรรมเนียมปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ ผ่านบารมี ผ่านจารีตประเพณี และข้อแก้ตัวสารพัด โดยอาศัยรูปแบบของระบอบรัฐสภาภายใต้จิตวิญญาณของระบอบเก่า ในชื่อของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลายเป็นสถาบันทางการเมืองที่เอาไว้อวดชาวโลกว่าประเทศไทยก็เป็นประชาธิปไตยเหมือนกัน
![]() |
ตัวแทนคณะราษฎรเยือนจังหวัดตรัง 29 มีนาคม 2477 |
แต่รัฐสภาไทยในยุคหลังๆ ไม่กล้าแตะต้องรัฐธรรมนูญหมวดพระมหากษัตริย์ในทุกกรณี เนื่องจากความคิดนิยมกษัตริย์ได้เข้าครอบงำอย่างแน่นหนาแล้ว
นักกฎหมายรัฐธรรมนูญไทยในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข พยายามอธิบายว่า
1. กษัตริย์อยู่เหนือการเมือง พ้นไปจากการเมือง
2. แต่กษัตริย์ก็มีพระราชอำนาจบางประการ และไม่ต้องรับผิดชอบ
3. 24 มิถุนายน 2475 ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่จากระบอบเก่าไปสู่ระบอบใหม่ แต่เป็นการแย่งชิงอำนาจจากกษัตริย์ แล้วนำมาใช้ในทางที่ผิดจนเกิดวงจรอุบาทว์ เกิดรัฐประหารบ่อยครั้ง
4. พระมหากษัตริย์เป็นผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชน

นักกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีบทบาทสำคัญในการผลิตตำรากฎหมายรัฐธรรมนูญแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เช่น นายวิษณุ เครืองาม นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นพวกที่เติบโตมาในช่วงปี 2510 ในสมัยที่ระบอบเผด็จการสฤษดิ์ – ถนอม - ประภาส กำลังดำเนินกลไกปลูกฝังอุดมการณ์กษัตริย์นิยม จึงไม่เกิดความรู้สึกผูกพันกับคณะราษฎร เมื่อไปศึกษาต่อต่างประเทศกลับมา ก็มาทำงานให้กับระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยมีนักกฎหมายปีกอนุรักษ์นิยมซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับคณะราษฎรอย่าง มรว.เสนีย์ ปราโมช นายธานินทร์ กรัยวิเชียร นายสมภพ โหตระกิตย์ นายอดุล วิเชียรเจริญ นายมีชัย ฤชุพันธ์ นายอมร จันทรสมบูรณ์ เป็นปรมาจารย์ผู้อาวุโส นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ยืนยันว่ากษัตริย์ของไทยไม่ได้เป็นเพียงสัญลักษณ์ของชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นศูนย์รวมของชาติ ที่มีบทบาททางสังคมอย่างแท้จริงในการแก้ปัญหาให้ราษฎรส่วนใหญ่ กษัตริย์ไทยยังมีพระราชอำนาจทางกฎหมายมากกว่ากษัตริย์อังกฤษมาก กษัตริย์ไทยคือสถาบันที่เชื่อมโยงความเป็นรัฐชาติไว้ โดยมีกำเนิดและเคียงคู่ประเทศไทยมาโดยตลอดตั้งแต่โบราณ จวบจนปัจจุบัน สถาบันกษัตริย์จึงเป็นสถาบันเดียวที่มีความต่อเนื่องมาตลอด
ทั้งยังได้สร้างทฤษฎีว่าอำนาจอธิปไตยเป็นของพระมหากษัตริย์และประชาชน ซึ่งไม่เหมือนกับประเทศอื่นที่ประชาชนเท่านั้นที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย

![]() |
พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะรักษาพระนคร |
ประกาศคณะราษฎรยังได้เขียนไว้ว่า “ ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่ประสงค์ทำการแย่งชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึ่งได้อัญเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความประสงค์นี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธ หรือไม่ตอบภายในกำหนด โดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมา ก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองแบบอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ”

ส่วนการที่คณะราษฎรต้องไปขอนิรโทษกรรมจากรัชกาลที่ 7 นั้น ก็เป็นแค่การขอขมาผู้อาวุโสกว่าต่อการที่ได้กล่าววาจาล่วงเกินกันไปตามธรรมเนียมประเพณีไทยเท่านั้นเอง
อำนาจสูงสุด
เป็นของประชาชนเสมอ

ประะกาศของคณะราษฎรยังได้ย้ำว่า “ ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศของเรานี้เป็นของราษฎร
ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้ช่วยกันกู้ให้ประเทศมีอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก
พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบ และกวาดรวบทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน
ก็เอามาจากราษฎร เพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั้นเอง ”
อำนาจอธิปไตยจึงเป็นของประชาชนเสมอ ประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตลอดกาล เพียงแต่ว่าบางช่วงบางตอน
ถูกฉกฉวยแย่งชิงขโมยไป และประชาชนก็จะเอากลับคืนมาจนได้
กษัตริย์ยุโรปก็เคยมีบทบาทสนับสนุนการรัฐประหาร มีกรณีที่น่าสนใจ คือ
![]() |
กษัตริย์วิคเตอร์ เอ็มมานูเอลที่ 3 (Vittorio Emmanuele III) |
กรณีแรก ที่อิตาลี เมื่อวันที่ 27 ถึง
29 ตุลาคม 2465 มีกลุ่มคนชุดดำเดินเท้าสู่กรุงโรมเพื่อสนับสนุนให้มุสโสลินีเป็นนายกรัฐมนตรี
ได้ก่อความวุ่นวาย รัฐบาลจะประกาศกฎอัยการศึก แต่กษัตริย์วิคเตอร์ อิมมานูเอล (Vittorio Emmanuele III ) ไม่ยอม กลับตั้งให้ เบนิโต้ มุสโสลินี เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาในการเลือกตั้ง
2467 มีการลอบสังหารจาโคโม่ มาตเตอ็อตติ ทำให้มุสโสลินีฉวยโอกาส
ปกครองแบบเผด็จการฟาสซิสต์โดยอ้างการรักษาความสงบ และนำอิตาลีเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง
หลังอิตาลีแพ้สงคราม สภาร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีการออกเสียงประชามติในวันที่ 2
มิถุนายน 2489 ผลปรากฏว่า ร้อยละ 54.3 เลือกระบอบสาธารณรัฐ ร้อยละ 45.7
เลือกระบอบกษัตริย์
![]() |
กษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 (King Alfonso XIII ) |
![]() |
ปริโมเดอริเวร่า( Primo de Rivera) |
กรณีที่สอง กษัตริย์อัลฟองโซที่ 13 ( King Alfonso XIII ) ของสเปนสนับสนุนปริโม
เดอ ริเวร่า ( Primo de Rivera )ทำรัฐประหารใน วันที่ 13 กันยายน 2466 และแต่งตั้งให้เป็นนายกรัฐมนตรี พอผ่านไป 7 ปี กษัตริย์ก็บีบบังคับให้ปริโม
เดอ ริเวร่าออกจากตำแหน่งในปี 2473 จากนั้นกระแสสาธารณรัฐนิยมก็เฟื่องฟูอย่างมาก
เพราะความนิยมในตัวกษัตริย์ตกลงไป เนื่องจากกษัตริย์เปิดหน้าเล่นการเมืองอย่างชัดเจน
จนในปี 2474 กองทัพก็ประกาศเลิกสนับสนุนกษัตริย์ กษัตริย์ต้องลี้ภัย สเปนเปลี่ยนเป็นสาธารณรัฐ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น