ไฟล์เสียง : http://www.4shared.com/mp3/D6CcISfcba/Stubborn_Monarchy__.html
http://www.mediafire.com/listen/na54p6c233chgff/Stubborn+Monarchy++.mp3
https://www.youtube.com/watch?v=-CY5gkCXdHs&feature=youtu.be
เจ้าของคอกม้า
ตอน ขอฝันใฝ่ในฝันอันแสนชุ่ย
( Stubborn Monarchy )
รัชกาลที่ 7 นักต่อต้านประชาธิปไตยตัวสำคัญ
รัชกาลที่ 7 ได้มีบันทึกหรือพระราชหัตถเลขาถึงนายฟรานซิสบีแซร์ ( Francis B. Sayre )ที่ปรึกษาชาวอเมริกันเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2469 ว่า
Is this country ready to have some sort of representative government ?....
My personally opinion is an emphatic NO.
แปลเป็นภาษาไทยว่า... ประเทศนี้พร้อมหรือยังที่จะมีการปกครองแบบมีผู้แทน.. ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าขอย้ำว่าไม่...
ดังนั้นจึงไม่น่าประหลาดใจที่รัชกาลที่ 7 ไม่พอใจเป็นอย่างมากต่อการปฏิวัติของคณะราษฎรซึ่งทำให้อำนาจหลุดจากมือของพระองค์แทนที่จะรวมศูนย์กลับมาตามพระราชประสงค์
พระองค์ได้เคยให้ความหมายของการปฏิวัติว่าหมายถึงการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองสมัยรัชกาลที่
5 ที่รวบอำนาจจากขุนนางและจัดตั้งระบบราชการเพื่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มั่นคง
โดยพระองค์ได้เรียกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่หลวง
หรือพลิกแผ่นดินที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Revolution ที่แปลว่าการปฏิวัติ
ดังนั้นการปฏิวัติของรัชกาลที่ 7 ที่ทรงเตรียมไว้ก่อนการปฏิวัติของคณะราษฎรก็คือการรวมศูนย์อำนาจจากขุนนางให้กลับมาอยู่ที่พระองค์อีกครั้งด้วยการใช้กฎหมาย แต่พวกนิยมกษัตริย์มักอ้างว่าคณะราษฎรเป็นพวกชิงสุกก่อนห่ามเพราะรัชกาลที่ 7 กำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนอยู่แล้ว แต่ที่จริงมันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งได้เตรียมไว้ 2 ฉบับโดยในปี 2469 ได้โปรดเกล้าฯให้พระยากัลยาณไมตรีหรือนายฟรานซิส บีแซร์ ( Francis B. Sayre ) ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนรูปการปกครอง โดยให้มีอภิรัฐมนตรีสภาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่กษัตริย์ ให้มีนายกรัฐมนตรีที่กษัตริย์สามารถแต่งตั้งและถอดถอนได้ตลอดเวลา ไม่มีสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีแต่เพียงองคมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์
ในระบอบสมบูรณา ญาสิทธิราชย์ก็จะอ้างว่ากษัตริย์เป็นสถาบันทางการเมืองที่มีความชอบธรรมที่สุด
เพราะมีความเป็นมายาวนานและเป็นแหล่งสะสมความรู้ทางวัฒนธรรม
ในสมัยโบราณก็อ้างว่าเป็นสมมติเทพ
พอต่อมาก็อ้างว่าได้รับความเห็นชอบโดยพร้อมใจกันจากปวงชนชาวไทยที่เรียกว่าอเนกชนนิกรสโมสรสมมติเป็นธรรมราชาหรือกษัตริย์ผู้ทรงธรรม
ก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ราษฎรทั้งหลายไม่มีส่วนในการปกครองประเทศเลย
เพราะอำนาจสูงสุดเป็นของกษัตริย์แต่เพียงคนเดียวเท่านั้น จึงต้องมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงเพื่อจำกัดอำนาจของกษัตริย์ซึ่งมีมากมายจนสร้างความเสียหายแก่ราษฎร
จนเมื่อมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองโดยคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จึงได้มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกสุดของประเทศที่ประกาศใช้เมื่อ 27 มิถุนายน 2475 โดยมีบทบัญญัติที่สำคัญและชัดเจนหลายมาตรา คือ
มาตรา 1 อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย
มาตร 4 ผู้เป็นกษัตริย์ของประเทศคือพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การสืบทอดราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเทียรบาล 2467 และด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร
มาตรา 5 ถ้ากษัตริย์มีเหตุจำเป็นชั่วคราวที่จะทำหน้าที่ไม่ได้ หรือไม่อยู่ในพระนคร ให้คณะกรรมการราษฎรเป็นผู้ใช้สิทธิ์แทน
มาตรา 6 กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย
มาตรา 7 การกระทำใดๆของกษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วยโดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
http://www.mediafire.com/listen/na54p6c233chgff/Stubborn+Monarchy++.mp3
https://www.youtube.com/watch?v=-CY5gkCXdHs&feature=youtu.be
เจ้าของคอกม้า
ตอน ขอฝันใฝ่ในฝันอันแสนชุ่ย
( Stubborn Monarchy )
รัชกาลที่ 7 นักต่อต้านประชาธิปไตยตัวสำคัญ
ฟรานซิส บี แซร์ Francis B Sayre |
Is this country ready to have some sort of representative government ?....
My personally opinion is an emphatic NO.
แปลเป็นภาษาไทยว่า... ประเทศนี้พร้อมหรือยังที่จะมีการปกครองแบบมีผู้แทน.. ตามความเห็นส่วนตัวของข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าขอย้ำว่าไม่...
สี่ทหารเสือที่เข้ายึดอำนาจการปกครอง 24 มิย.2475 |
ดังนั้นการปฏิวัติของรัชกาลที่ 7 ที่ทรงเตรียมไว้ก่อนการปฏิวัติของคณะราษฎรก็คือการรวมศูนย์อำนาจจากขุนนางให้กลับมาอยู่ที่พระองค์อีกครั้งด้วยการใช้กฎหมาย แต่พวกนิยมกษัตริย์มักอ้างว่าคณะราษฎรเป็นพวกชิงสุกก่อนห่ามเพราะรัชกาลที่ 7 กำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้ประชาชนอยู่แล้ว แต่ที่จริงมันเป็นรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ซึ่งได้เตรียมไว้ 2 ฉบับโดยในปี 2469 ได้โปรดเกล้าฯให้พระยากัลยาณไมตรีหรือนายฟรานซิส บีแซร์ ( Francis B. Sayre ) ร่างกฎหมายเกี่ยวกับการเปลี่ยนรูปการปกครอง โดยให้มีอภิรัฐมนตรีสภาทำหน้าที่ให้คำปรึกษาแก่กษัตริย์ ให้มีนายกรัฐมนตรีที่กษัตริย์สามารถแต่งตั้งและถอดถอนได้ตลอดเวลา ไม่มีสภานิติบัญญัติที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน มีแต่เพียงองคมนตรีที่มาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์
Raymond Bartlett Stevens |
ส่วนกฎหมายอีกฉบับหนึ่งนั้นได้โปรดเกล้าฯให้นายเรย์มอนด์
บี. สตีเวนส์ ( Raymond B. Stevens )
ที่ปรึกษากระทรวงต่างประเทศชาวอเมริกันและพระยาศรีวิสารวาจาปลัดทูลฉลองหรือปลัดกระทรวงการต่างประเทศ
ร่างขึ้นในปี 2474 เป็นเค้าโครงร่างการเปลี่ยนรูปแบบรัฐบาลให้กษัตริย์มีอำนาจสูงสุดในการแต่งตั้งและถอดถอนฝ่ายบริหาร
สภานิติบัญญัติและสภาอภิรัฐมนตรี หลักฐานเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่ารัชกาลที่ 7
ได้เตรียมพระราชทานกฎหมายเกี่ยวกับการปกครองแก่ราษฎรจริง
แต่เป็นกฎหมายในระบอบสมบูรณา ญาสิทธิราชย์อันมีรัฐธรรมนูญรับรองความชอบธรรมของพระราชอำนาจ
แต่พวกนิยมระบอบกษัตริย์กลับบิดเบือนประวัติศาสตร์ด้วยการทำให้รัชกาลที่ 7
กษัตริย์ผู้ต่อต้านการปฏิวัติมากที่สุดพระองค์หนึ่งกลายเป็นบิดาประชาธิปไตยไทย ผู้มีพระราชประสงค์มุ่งสร้างประชาธิปไตยแท้จริงมากยิ่งกว่าการปฏิวัติของคณะราษฎรเสียอีก
โดยเนื้อแท้แล้ว รัฐธรรมนูญเป็นข้อเสนอหรือผลรวมของผลประโยชน์ทางการเมืองที่ถูกผลักดันออกมาจากองค์กร
กลุ่มการเมืองหรือแม้แต่ปัจเจกบุคคล รัฐธรรมนูญและกฎหมายจึงมิใช่สิ่งที่ปลอดจากการเมืองหรือมีความเป็นกลาง
แต่มันขึ้นอยู่กับการเมืองและการต่อสู้ทางสังคมพระราชพิธีสถลมารคของรัชกาลที่ 6 |
จนเมื่อมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองโดยคณะราษฎรเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 จึงได้มีรัฐธรรมนูญฉบับแรกสุดของประเทศที่ประกาศใช้เมื่อ 27 มิถุนายน 2475 โดยมีบทบัญญัติที่สำคัญและชัดเจนหลายมาตรา คือ
มาตรา 1 อำนาจสูงสุดเป็นของราษฎรทั้งหลาย
มาตร 4 ผู้เป็นกษัตริย์ของประเทศคือพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว การสืบทอดราชสมบัติให้เป็นไปตามกฎมณเทียรบาล 2467 และด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร
มาตรา 5 ถ้ากษัตริย์มีเหตุจำเป็นชั่วคราวที่จะทำหน้าที่ไม่ได้ หรือไม่อยู่ในพระนคร ให้คณะกรรมการราษฎรเป็นผู้ใช้สิทธิ์แทน
มาตรา 6 กษัตริย์จะถูกฟ้องร้องคดีอาญายังโรงศาลไม่ได้ เป็นหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรจะวินิจฉัย
มาตรา 7 การกระทำใดๆของกษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วยโดยได้รับความยินยอมของคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ
ขบวนรถแจกใบปลิวประกาศคณะราษฎร |
คณะราษฎรได้มุ่งสถาปนารัฐชาติที่หมายถึงประชาชนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกันประกอบกันขึ้นมาเป็นรัฐ และให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจที่จำกัดให้เป็นเพียงประมุขของประเทศในเชิงสัญลักษณ์เท่านั้น
รัชกาลที่ 7 เสด็จจากวังไกลกังวลหลังถูกปฏิวัติ |
แต่รัชกาลที่ 7 ไม่ยอมสูญเสียอำนาจโดยทรงเติมคำว่าชั่วคราวลงไป
รัชกาลที่ 7 พระราชทานรัฐธรรมนูญ 10 ธค. 2475 |
ม.จ.จิรศักดิ์สุประภาต |
ความดื้อด้านดิ้นรนของรัชกาลที่ 7
สภาวะหวาดระแวงระหว่างรัชกาลที่ 7 กับคณะราษฎรได้ดำรงอยู่ตลอดมา มีการจัดตั้งสมาคมการเมืองของคณะราษฎรโดยเปิดรับสมาชิกและคัดเลือกคนส่วนหนึ่งทำหน้าที่เป็นกองนักสืบคอยสอดส่องความเคลื่อนไหวของคนสำคัญในระบอบเก่า ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกไปเมื่อมีการปรับปรุงกรมตำรวจโดยมีกองสันติบาลทำหน้าที่สืบข่าวการเมืองแทน
เจ้าพระยาวรพงศ์พิพัฒน์ (มรว.เย็น อิศรเสนา) เจ้าของบ้านพระอาทิตย์ที่ขายให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล |
ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร |
ตามมาด้วยการดิ้นรนต่อสู้ของพวกต่อต้านการเปลี่ยนแปลง หรือพวกปฏิปักษ์ปฏิวัติ ในปี 2476 จากพระบรมราชวินิจฉัยคัดค้านเค้าโครงการณ์เศรษฐกิจของนายปรีดีที่ต้องการสร้างความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ
แผนเค้าโครงการเศรษฐกิจของนายปรีดี |
นายปรีดีได้เสนอการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจที่มุ่งเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการถือครองที่ดินและกำหนดให้รัฐเข้าประกอบการทางเศรษฐกิจ โดยประชาชนมีฐานะเป็นข้าราชการและรัฐมีหน้าที่สร้างสวัสดิการให้แก่ประชาชนตามแนวทางสหกรณ์ครบรูป
พระยามโนปกรณ์นิติธาดา ( ก้อน หุตะสิงห์ ) |
พ.อ.พระยาทรงสุรเดช หนึ่งสี่ทหารเสือ |
อนุสาวรีย์กรรมกร-ชาวนา มอสโคว์ |
สี่ปรมาจารย์นักลัทธิมาร์กซ |
วันรุ่งขึ้นหลังจากนายปรีดีออกนอกประเทศไปแล้ว พระยามโนปกรณ์ได้เรียกบรรณาธิการหนังสือพิมพ์เข้าพบ โดยตำหนิหนังสือพิมพ์บางฉบับว่าพูดจาว่าร้ายตนเอง เสียดสีรัฐบาลและสนับสนุนนายปรีดี พร้อมทั้งประกาศห้ามสนับสนุนโครงการเศรษฐกิจอีก มิฉะนั้นจะจัดการอย่างเด็ดขาด
พ.อ.พระยาพหลฯประกาศใชัรัฐธรรมนูญ 10 ธค. 2475 ณ ลานพระรูปทรงม้า |
ขบวนเชิญรัฐธรรมนูญ 9 ธค. 2477 |
พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) |
แต่การเคลื่อนไหวต่อต้านปฏิวัติก็ยังคงดำเนินต่อไปถึงขั้นมีการยกทัพเข้ามาจากเมืองโคราช ราชบุรีและเพชรบุรี ภายใต้การนำของพระองค์เจ้าบวรเดช หมายจะปราบปรามคณะราษฎรในวันที่ 11 ตุลาคมปีเดียวกัน
ม.จ.หญิง พูนพิศมัย ดิศกุล |
แกนนำของกองทัพสีน้ำเงินคนสำคัญได้แก่พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ม.จ.วงศ์นิรชร และ พระองค์เจ้าบวรเดชได้เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 7 เป็นการส่วนพระองค์ที่หัวหิน โดยขอพระบรมราชานุญาตเพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงใหม่ มีการเซ็นเช็คจ่ายเงินสองแสนบาทจากพระคลังข้างที่ให้พระองค์เจ้าบวรเดชซึ่งต่อมาไม่นานได้นำกองทัพจากทางเหนือลงมา โดยเรียกตนเองว่าคณะกู้บ้านกู้เมือง เพื่อฟื้นฟูเกียรติยศของกษัตริย์และปราบคณะราษฎรที่พวกเขาเห็นว่าเป็นกบฎและทำการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเมื่อครั้งปฏิวัติ 2475 และอ้างว่าต้องการสร้างประชาธิปไตยและแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เหมาะสมและถวายอำนาจคืนให้แก่กษัตริย์
พิธีอัญเชิญรัฐธรรมนูญ 10 ธ.ค. 2475 |
รัฐบาลขนทหารจากบางซื่อปราบกบฏบวรเดช |
รัชกาลที่ 7 หรือพระปกเกล้าฯ |
คณะกู้บ้านกู้เมืองได้เตรียมปราบปรามคณะราษฎรทั้งจากภายภายนอกและภายในพระนคร สายลับของรัชกาลที่ 7 ที่ใช้รหัส พ. 27 หรือพโยม โรจนวิภาตได้เขียนบันทึกไว้ว่า คณะผู้ก่อการภายในพระนครได้ส่งพระยาศรีสิทธิสงคราม หรือ ดิ่น ท่าราบ อดีตเสนาธิการกองทัพที่ 1 ก่อนการปฏิวัติ 2475 เป็นตัวแทนนำทัพจากโคราช มาถึงสถานีจิตรลดา
วังปารุสกวันของเจ้าฟ้าจักรพงศ์โอรสรัชกาลที่ 5 |
รัฐบาลลำเลียงป.ต.อ.ถล่มทีมั่นกบฏบวรเดช ในวัดเทวสุนทร หลักสี่ จนแตกพ่าย |
สอ เสถบุตร-หลวงมหาสิทธิโวหาร นักโทษตลอดชีวิตชาวสีน้ำเงินแท้ |
แม้ว่ารัฐบาลจะได้ออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษและพ.ร.ก.นิรโทษกรรมให้นักโทษแล้วก็ตามแต่พวกนิยมระบอบกษัตริย์ก็ยังคงมีความเชื่อมั่นในอุดมการณ์ของพวกตนไม่เปลี่ยนแปลง
พระยาศราภัยพิพัฒน์ |
พล.ต.อ.อดุล อดุลเดชจรัส |
การพยายามวางยาพิษพระยาพหลฯผู้นำคณะราษฎรและนายกรัฐมนตรีในปี 2477 และการพยายามลอบสังหารหมู่คณะรัฐมนตรีที่สถานีรถไฟหัวลำโพงขณะเดินทางไปส่งผู้แทนของรัฐบาลเพื่อเชิญรัชกาลที่ 7 ให้เสด็จกลับจากยุโรป
ขุนปลดปรปักษ์ผบ.พล 1 ร.อ. |
จุดจบของรัชกาลที่ 7
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ |
ร. 7 พบฮิตเลอร์ 2479 |
ในคำพิพากษาศาลพิเศษ 2482 ได้สรุปบทบาทของรัชกาลที่ 7 ที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการปฏิวัติที่ผ่านมาหลายครั้งว่า รัชกาลที่ 7 ได้ร่วมมือกับนายกรัฐมนตรีมโนปกรณ์ที่เป็นพวกนิยมกษัตริย์ ขัดขวางการปกครองตามรัฐธรรมนูญเพื่อฟื้นฟูให้กษัตริย์กลับมามีอำนาจตามเดิม แม้ว่าคณะราษฎรจะได้ขับไล่นายกรัฐมนตรีที่สมคบคิดกับกษัตริย์ออกไปได้ ซึ่งเป็นการทำลายแผนการณ์ที่จะถอยหลังเข้าคลอง แต่รัชกาลที่ 7 ก็ยังคงไม่หมดความพยายามโดยยังคงเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วยการสนับสนุนกบฏบวรเดช โดยการร่วมมือหรือรู้เห็นเป็นใจและให้เงินสนับสนุนการกบฏ
จอมพล ป. ปราศรัยผ่านทางวิทยุ 11 กย. 2484 |
การเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้น ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงแต่ระบอบแล้วย่อมเป็นการเพียงพอ... ยังต้องคอยควบคุมดูแลมิให้ถอยหลังกลับเข้าสู่ที่เดิมอีก.. ผู้เปลี่ยนการปกครองและประชาชนส่วนมากได้คอยควบคุมดูแลระบอบการปกครองใหม่ไว้อย่างดีแล้วก็ตาม ก็ยังไม่วายมีบุคคุลหรือคณะบุคคลคอยพลิกแพลงให้กลับเข้าสู่ระบอบเดิม
พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ |
อาทิตย์ทิพย์อาภา, อนุวัตรจาตุรนต์( ประธาน), เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) |
ความสัมพันธ์ระหว่างสถาบันกษัตริย์ในสมัยรัชกาลที่ 8 โดยผ่านทางคณะผู้สำเร็จราชการได้ดำเนินไปด้วยดี คือ กษัตริย์ยอมอยู่ใตรัฐธรรมนูญ แม้ว่ารัฐบาลได้ออกพ.ร.บ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ 2479 คณะผู้สำเร็จราชการก็ยอมลงนามด้วยดี อย่างไรก็ตามกรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ประธานคณะผู้สำเร็จราชการได้รับความกดดันจากเจ้านายชั้นสูงจากการที่รัชกาลทื่ 7 ถูกฟ้องร้องดำเนินคดี ทำให้กรมหมื่นอนุวัตรจาตุรนต์ฆ่าตัวตาย สภาผู้แทนได้ลงมติแต่งตั้งเจ้าพระยาพิชเยนทรโยธิน ( อุ่ม อินทรโยธิน ) ขึ้นแทน และให้พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาเป็นประธานคณะผู้สำเร็จราชการ ซึ่งได้ทำหน้าที่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาลด้วยดี
นายพลโตโจและผู้แทนไทยในโตเกียว 2485 |
แกนนำเสรีไทย ปรีดี, เสนีย์, ศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท, อดุลเดชจรัส ป๋วย,ควง, ทวี บุณยเกต, ดิเรก ชัยนาม |
นายปรีดีได้ก่อตั้งขบวนการเสรีไทยเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น
เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามและจอมพล ป. ตกเป็นจำเลยข้อหาอาชญากรสงคราม นายปรีดีพยายามปรองดองกับฝ่ายเจ้าโดยได้เสนอให้นายควงเป็นนายกรัฐมนตรี
ในช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง ได้เกิดความร่วมมือระหว่างขบวนการของนายปรีดีกับพวกนิยมระบอบกษัตริย์
เพื่อต่อต้านรัฐบาลจอมพล ป.และญี่ปุ่น
โดยได้ก่อตัวเป็นขบวนการเสรีไทยที่มีนายปรีดีเป็นแกนนำ
และต่อมาสามารถล้มรัฐบาล จอมพล ป.
และทำให้ไทยรอดพ้นจากการเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม
โดยได้มีข้อตกลงที่เสนอโดยหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ว่าหากต่อต้านญี่ปุ่นได้สำเร็จรัฐบาลจะต้องนิรโทษกรรมความผิดให้แก่นักโทษการเมืองหลังการปฏิวัติ 2475 ซึ่งเป็นพวกนิยมระบอบกษัตริย์ รัฐบาลหลังสงครามที่นายปรีดีสนับสนุนได้ทำตามสัญญา ด้วยการปล่อยตัวนักโทษการเมืองฝ่ายเจ้าและคืนฐานันดรศักดิ์ให้ ผู้ที่เคยเข้าร่วมการเคลื่อนไหวต่อต้านการปฏิวัติ 2475 และคณะราษฎรในหลายกรณีได้ทยอยกลับจากต่างประเทศ พวกนิยมระบอบกษัตริย์และนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามคณะราษฎรได้เข้าสู่วงการเมืองและวงการนักเขียนนักหนังสือพิมพ์อีกครั้ง
ปรีดี พนมยงค์ รัฐบุรุษอาวุโส |
หลวงธำรง หลวงกาจ พระยาพหลและนายปรีดี |
พล.อ.ผิน ชุณหะวันหัวหน้าคณะรัฐประหาร 2490 รับคทายศจอมพล 4 เม.ย.2496 |
โปรดเกล้าฯให้สฤษดิ์เป็นผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร โดยไม่มีผู้รับสนอง เมื่อ 16 ก.ย. 2500 |
คึกฤทธิ์นั่งหน้า พระองค์เจ้าคำรบ-หม่อมแดง |
ร. 5 ตรา พ.ร.บ.เลิกทาส รศ. 124 หรือ 2449 |
ร.6 สร้างดุสิตธานี หรือเมืองจำลองประชาธิปไตย บนเนื้อที่ 2 ไร่ครึ่งในพระราชวังดุสิต |
ร.อ.ขุนทวยหาญพิทักษฺ์ (เหล็ง ศรีจันทร์) หัวหน้ากบฏ รศ.130 หรือ 2455 |
นักศึกษาชูรูปกษัตริย์ต่อต้านเผด็จการทหารเมื่อ 14 ตค.2516 |
หมุด 24 มิถุนา บนพื้นถนนลานพระรูปทรงม้า |
อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ปราบกบฏบวรเดช |
อนุสาวรีย์ พิทักษ์ รัฐธรรมนูญที่หลักสี่เมื่อครั้งปราบกบฏบวรเดชก็ไม่ได้มีการเหลียวแล รวมทั้งการพยายามสร้างวาทกรรมหลอกลวงว่ารัชกาลที่ 7 เป็นพระบิดาแห่งประชาธิปไตย
อนุสาวรีย์ ร.7 หน้าอาคารรัฐสภา |
รัฐธรรมนูญ 2492 ที่รัฐบาลนายควงจากการรัฐประหาร 2490 ร่างขึ้น ทำให้เกิดความขัดแย้งอย่างมากระหว่างรัฐบาลชุดต่อมาของจอมพล ป.กับวุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเชื้อพระวงศ์ อดีตขุนนางในระบอบเก่าและอดีตนักโทษการเมืองที่นิยมกษัตริย์ จอมพล ป. จึงต้องทำการรัฐประหารเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 เพื่อยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับกษัตริย์นิยมก่อนที่รัชกาลที่ 9 จะเสด็จนิวัติถึงพระนครไม่กี่วัน โดยจอมพล ป. ได้นำเอารัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กลับมาใช้อีกเป็นช่วงเวลาสั้นๆเพื่อลดอำนาจของกษัตริย์ทำให้รัชกาลที่ 9 โกรธมากถึงกับพูดว่าฉันไม่พอใจมากที่คุณหลวงทำเช่นนี้
เมื่อจอมพล ป.และคณะรัฐประหารได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ภูมิพล พระองค์ได้ต่อรองให้มีการร่างรัฐธรรมนูญใหม่โดยให้มีวุฒิสภาจากการแต่งตั้งของกษัตริย์อีกครั้งเพื่อเป็นหลักประกันให้พระองค์ แต่ในรัฐธรรมนูญฉบับ 2495 รัฐบาลยอมให้มีแค่องคมนตรี แต่ไม่มีการให้แต่งตั้งวุฒิสมาชิกโดยกษัตริย์ พระองค์เจ้าธานีนิวัติในฐานะผู้สำเร็จราชการถึงกับบันทึกไว้ว่าจอมพล ป.มีพิษร้ายกว่านายปรีดีมาก
รัชกาลที่ 9
ใต้เงามหานกอินทรี
ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง
สหรัฐเคยช่วยเหลือกลุ่มของนายปรีดีและเสรีไทยในการต่อต้านกลุ่มจอมพล ป. และญี่ปุ่น
อีกทั้งได้ช่วยเหลือมิให้ไทยตกเป็นผู้แพ้สงคราม แต่สหรัฐที่เคยสนับสนุนขบวนการสู้เพื่อเอกราชในอินโดจีนในสมัยประธานาธิบดีรูสเวลท์ในช่วงปลายสงครามโลกได้เปลี่ยนไป
เพราะประธานาธิบดีทรูแมนสนับสนุนให้ฝรั่งเศสกลับมาครองอินโดจีนอีกครั้ง
ทำให้ไทยต้องส่งคืนดินแดนบางส่วนในอินโดจีนที่ได้มาในช่วงสงครามกลับไปให้ฝรั่งเศส
ในเวลาเดียวกันนายปรีดีได้สนับสนุนอาวุธของเสรีไทยให้แก่กองทัพเวียตมินห์อย่างลับๆเพื่อใช้ในการต่อสู้ปลดแอก
และเมื่อเกิดข้อพิพาทเรื่องดินแดนระหว่างไทยกับฝรั่งเศส
นายปรีดีจึงเห็นด้วยกับแนวคิดเรื่องการจัดตั้งสันนิบาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ตามข้อเสนอของเวียดมินห์
โดยรัฐบาลของกลุ่มนายปรีดีรับอาสาเป็นแกนนำในการจัดตั้งองค์กรนี้ขึ้นในประเทศไทย
เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองกับมหาอำนาจในภูมิภาคโดยมีไทยเป็นแกนนำโดยที่สหรัฐไม่เห็นด้วย
แต่รัฐบาลของพวกนายปรีดีก็ยังดำเนินการจัดตั้งสันนิบาตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อไปจนจัดตั้งได้สำเร็จในเดือนกันยายน
2490
ท่ามกลางความไม่พอใจของสหรัฐ
ต่อมาในต้นเดือนพฤศจิกายน 2490 ก่อนการรัฐประหารไม่กี่วัน
ซีไอเอได้รายงานไปยังวอชิงตันวิจารณ์ว่ากลุ่มนายปรีดีเห็นว่าโฮจิมินห์เป็นพวกรักชาติบ้านเมืองและหวังว่าโฮจิมินห์ ( Ho Chi Minh ) จะนำการปลดแอกอินโดจีนได้สำเร็จ
โดยมองไม่เห็นว่าว่าโฮจิมินห์คือคอมมิวนิสต์ที่สหรัฐกลัวมาก สหรัฐจึงหันไปสนับสนุนกลุ่มของจอมพล
ป. แทน ทำให้กลุ่มจอม ป. มีความแข็งแกร่งมากขึ้นในเวลาต่อมา
สหรัฐจึงนิ่งเฉยไม่ให้ความช่วยเหลือเมื่อรัฐบาลกลุ่มของนายปรีดีถูกรัฐประหารเพราะการดำเนินนโยบายต่างประเทศของกลุ่มนายปรีดีไม่สอดคล้องกับความต้องการของสหรัฐอีกต่อไปแล้ว
รัฐบาลจอมพล ป.ก็ต้องพยายามผูกมิตรกับมหาอำนาจทั้งอังกฤษและสหรัฐเพื่อมิให้ถูกมองว่าเป็นศัตรูอีก ขณะที่กลุ่มพวกของนายปรีดีก็ยังมีอาวุธทันสมัยที่เคยได้รับในสมัยเป็นเสรีไทยที่ใช้ต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลจอมพล ป. ต้องตัดสินใจสร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสหรัฐมากขึ้น รวมถึงขอความช่วยเหลือทางทหารในปี 2493 เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้นสหรัฐก็เข้ามามีบทบาททั้งในทางการเมือง การทหาร เศรษฐกิจและสงครามจิตวิทยาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์
ในช่วงต้นทศวรรษที่ 2490 เมื่อกองทัพจีนคณะชาติหรือก๊กมินตั๋งต้องล่าถอยจากการรุกรบของกองทัพปลดแอกประชาชนจีน
สหรัฐในสมัยประธานาธิบดีทรูแมนวิตกต่อการขยายตัวของคอมมิวนิสต์เป็นอย่างมากจึงได้เริ่มแผนปฏิบัติการลับเริ่มต้นโครงการค้นคว้าการควบคุมจิตใจมนุษย์โดยหน่วยข่าวกรองกลางหรือซีไอเอ
ใช้เงินทุนหลายพันล้านดอลลาร์ในการระดมนักจิตวิทยาทำการวิจัยลับเพื่อควบคุมจิตสำนึกของคน
เป็นที่มาของสังคมศาสตร์เชิงพฤติกรรมศาสตร์ ทั้งซีไอเอ
กระทรวงกลาโหมและสำนักข่าวสารอเมริกันหรือยูซิส ได้ร่วมกันทำสงครามจิตวิทยา เช่น
ให้ทุนสนับสนุนการผลิตวรรณกรรมโฆษณาชวนเชื่อทางอุดมการณ์นิยมกษัตริย์
เมื่อกองทัพแดงเข้ายึด ครองประเทศ จีนในวันที่ 1 ตุลา คม 2492
ประธานา ธิบดี ทรูแมนได้ตัดสินใจทำสงครามต่อต้าน คอม มิวนิสต์ในรูปแบบใหม่ด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการยุทธศาสตร์ด้านจิตวิทยาขึ้นในปี
2494 ภายใต้การดูแลของผู้อำนวยการซีไอเอเพื่อวางแผนงานโฆษณาชวนเชื่อให้แก่รัฐบาล
โดยได้จัดอบรมนักจิตวิทยา 200 คนและส่งออกไปปฏิบัติการในประเทศต่างๆทั่วโลก
เพื่อสร้างความหวาดกลัวต่อภัยคอมมิวนิสต์ โดยอาศัยสื่อทุกชนิด รวมทั้งหนังสือ
ภาพยนต์ แผ่นพับ ใบปลิว
สหรัฐเริ่มการเคลื่อนไหวต่อต้านคอมมิวนิสต์ในไทยอย่างเงียบๆในปี 2491 โดยส่งผู้ช่วยทูตทหารชื่อบูลล์วิท ( Bullwit ) สวมรอยเป็นคอมมิวนิสต์นำหนังสือภาษาอังกฤษบางเล่มเข้ามาในประเทศไทย
พอปลายปี 2492 ซีไอเอก็รายงานความเคลื่อนไหวในทางลับของพวกคอมมิวนิสต์ในไทย
ต่อมาได้รายงานรายชื่อคนไทยที่เกี่ยวข้องกับพรรคคอมมิวนิสต์จำนวนมากกลับไปยังวอชิงตัน
รัฐบาลจอมพล ป. ดำเนินการต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามนโยบายของสหรัฐในแบบชาตินิยม
แต่ก็มีความขัดแย้งในการช่วงชิงอำนาจในประเทศไทยจนจอมพล ป.ต้องทำรัฐประหารในปี 2494 ซึ่งทำให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งเหนือกษัตริย์และพวกนิยมเจ้า รัฐบาลจอมพล ป.ได้หันมาใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์มากขึ้นเพื่อเอาใจสหรัฐ
เมื่อสงครามเกาหลียุติลงในปี 2496 ประธานา ธิบดี ไอ เซนฮาวร์ (
Eisenhower ) ได้จัดตั้งคณะกรรมการประสานการปฏิบัติการเพื่อดำเนินงานโฆษณาชวนเชื่อ
โดยอนุมัติแผนทำลายความน่าเชื่อถือของคอมมิวนิสต์กว่า 50 แผนทั้งในยุโรปและประเทศโลกที่สามเพื่อควบคุมความคิดของมนุษย์
สถานการณ์ที่กองทัพเวียดมินห์เข้าประชิดชายแดนไทยในปี 2496 ทำให้สหรัฐวิตกมากเพราะเห็นว่าไทยเป็นป้อมปราการฐานที่มั่นสำคัญในการสกัดกั้นการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
จึงทุ่มเทให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่ไทย
นายวิลเลียม โดโนแวน ( William J. Donovan ) ได้เสนอต่อประธานาธิบดีสหรัฐให้ทุ่มงบประมาณ
150 ล้านเหรียญสหรัฐ
ชูประเด็นคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามสถาบันกษัตริย์
จารีตประเพณีและเอกราชที่ไทยเคยมีมาอย่างยาวนาน เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างองค์ความรู้แบบจักรวรรดินิยมอเมริกา
จัดการอบรมเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย เพื่อดำเนินการอบรมข้าราชการและประชาชนทั่วประเทศ
ตามวัด มหาวิทยาลัย กลุ่มเยาวชน กลุ่มวัฒนธรรม ข้าราชการ และกองทัพ
รวมทั้งการกระจายเสียงทางวิทยุ สิ่งพิมพ์ และภาพยนต์ที่แสดงความโหดร้ายของคอมมิวนิสต์
เพื่อทำสงครามล้างสมองข้าราชการและครูทั่วประเทศ
สถาบันกษัตริย์และพวกนิยมเจ้าได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองและมีส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับ
2490 และ 2492 แต่ก็ถูกกลุ่มจอมพล ป.
ไล่ลงจากอำนาจ พวกนิยมเจ้าพยายามยึดอำนาจด้วยการก่อกบฏแมนฮัตตันในเดือนมิถุนายน 2494
แต่ล้มเหลวและถูกจอมพล ป.โต้กลับด้วยการทำรัฐประหารในปลายปี 2494
และนำรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 กลับมาใช้เพื่อลดอำนาจของกษัตริย์
ทำให้พวกเจ้าต้องหันมาใช้วิธีการต่อสู้แบบใหม่
หลังจากกษัตริย์ภูมิพลเสด็จนิวัติพระนครในปลายปี 2494 ก็ได้แสดงบทบาทเป็นแกนนำในการต่อสู้กับรัฐบาล
เช่น ไม่รับรองการประกาศใช้รัฐธรรมนูญหลังการรัฐประหาร 2494 ไม่เสด็จเข้าร่วมการเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญฉบับ
2495 ในเดือนมีนาคม
ไม่ยอมลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ พรบ. ปฏิรูปที่ดิน 2496 เพราะพวกเจ้าถือครองที่ดินจำนวนมาก
พวกเจ้าได้หันมาสร้างความสัมพันธ์กับสหรัฐ โดโนแวนอดีตหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐที่ได้รับแต่งตั้งเป็นทูตได้มีโอกาสเข้าพบกษัตริย์ภูมิพลถึง
5 ครั้งในช่วงเวลาที่เขาดำรงตำแหน่งเพียงปีเดียวระหว่างเดือนสิงหาคม
2496 - สิงหาคม 2497
โดยกษัตริย์ภูมิพลได้แสดงความกระตือรือร้นที่จะมีบทบาททางการเมืองและการต่อต้านคอมมิวนิสต์
โดยได้เสนอให้สหรัฐชูประเด็นว่าพวกคอมมิวนิสต์เป็นภัยคุกคามสถาบันกษัตริย์
สร้างอุดมการณ์เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ให้ตำรวจตระเวณชายแดนและตำรวจพลร่มที่สหรัฐสนับสนุนโดยให้ตั้งกองบัญชาการที่หัวหินใกล้วังไกลกังวลเพื่อให้ใกล้ชิดกษัตริย์
กษัตริย์ภูมิพลยังได้ส่งองค มนตรีคือ พระยา ศรีวิสาร วาจาไปพบประธานาธิบดีไอเซ็นฮาวร์ในกลางเดือนพฤษภาคม
2497 โดยที่รัฐบาลจอมพล ป. ไม่ได้รับรู้
เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อพวกเวียตมินห์ในยุทธการเดียนเบียนฟู ในเดือนพฤษภาคม 2497 นำไปสู่การเจรจาที่เจนีวาโดยแบ่งเวียตนามออกเป็นสองส่วน ทำให้สหรัฐต้องหันมาเร่งสนับสนุนกษัตริย์ไทยเพราะกษัตริย์ไทยมีความกระตือรือร้นมาก
สหรัฐจึงต้องอาศัยความเชื่อของประชาชน เพื่อชักนำให้ช่วยกันต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้เห็นว่าคอมมิวนิสต์เป็นปีศาจที่น่ากลัว โดโนแวนสั่งปรับปรุงยูซิสในกรุงเทพทำสงครามจิตวิทยาเชิงรุก ขยายเครือข่ายออกสู่ส่วนภูมิภาค พร้อมกับมีหน่วยโฆษณาชวนเชื่อย่อยๆเข้าไปในเขตชนบทโดยเฉพาะทางภาคอีสานและภาคเหนือ โดยรัฐบาลจอมพล ป.เสนอตั้งหน่วยงานของกรมประชาสัมพันธ์และให้ยูซิสเข้าร่วม
มีคณะผู้เชี่ยวชาญด้านสงครามจิตวิทยาของยูซิสออกเดินทางไปทั่วเขตชนบทของไทยด้วยกองคาราวานรถจิ๊ปเพื่อปฏิบัติการล้างสมองคนไทย
โดยการแจกโปสเตอร์และคู่มือต่อต้านคอมมิวนิสต์แก่กำนัน
ผู้ใหญ่บ้านและประชาชนในเวลากลางวัน
และฉายภาพยนต์ล้างสองให้ประชาชนชมในเวลากลางคืน ทั้งยังทำงานโฆษณาชวนเชื่อผ่านการกระจายเสียงทางวิทยุในส่วนภูมิภาคซึ่งประสบความสำเร็จมาก
ต่อมารัฐบาลได้อนุมัติให้นำวิชาสงครามจิตวิทยาเข้าสอนในระดับมหาวิทยาลัยโดยมีกรมประมวลราชการแผ่นดินเป็นผู้รับผิดชอบ
กลุ่มนิยมกษัตริย์มีแผนจะสร้างความนิยมในตัวกษัตริย์ด้วยโครงการเสด็จเยี่ยมประชาชนแต่รัฐบาลจอมพล
ป. ไม่สนับสนุน พอปีต่อมาในช่วงกลางปี 2498 รัฐบาลจอมพล ป.
ก็ยอมให้เสด็จเยี่ยมราษฎรซึ่งเป็นแผนการโฆษณาที่ได้ผลมาก การเสด็จครั้งสำคัญคือ
การเสด็จภาคอีสานในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2498 กษัตริย์ภูมิพลก็เริ่มกลายเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นชาติ
และมีแผนจะเสด็จเยี่ยมประชาชนทุกภาคเพื่อสนับสนุนการต่อต้านคอมมิวนิสต์ตามความต้องการของสหรัฐ
ในขณะที่สหรัฐกำลังให้ความสำคัญต่อบทบาทของกษัตริย์ในการร่วมต่อต้านคอมมิวนิสต์
แต่รัฐบาลจอมพล ป.
กลับเริ่มถอยห่างจากสหรัฐด้วยการเริ่มนโยบายต่างประเทศที่เป็นกลางนับตั้งแต่ปี 2498
และการสร้างกระบวนการประชาธิปไตยเพื่อสร้างฐานการเมืองมวลชนที่มีการแข่งขันทางการเมืองที่นำไปสู่การวิจารณ์บทบาทของสหรัฐและรัฐบาลจอมพล
ป. อย่างหนัก
นอกจากนี้รัฐบาลจอมพล ป. ยังได้หันไปประนีประนอมกับกลุ่มการเมืองต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มของนายปรีดีและกลุ่มฝ่ายซ้ายในไทยเพื่อให้ชนะเลือกตั้ง ทำให้สหรัฐไม่พอใจบทบาทของรัฐบาลจอมพล ป. ที่เคยเป็นพันธมิตรในการต่อต้านคอมมิวนิสต์
นอกจากนี้รัฐบาลจอมพล ป.
ยังพยายามสร้างไมตรีและทำการค้ากับจีนและยังนำเข้าวัฒนธรรมจากจีนโดยให้ภาพยนต์จากจีนหลายเรื่องเข้ามาฉายในกรุงเทพ
ทำให้สหรัฐเกิดความวิตกว่ารัฐบาลจอมพล ป. กำลังจะหันไปคบกับจีน
สถานทูตสหรัฐได้แจ้งเรื่องประท้วงรัฐบาลจอมพล ป.หลายครั้ง
ขณะที่จอมพล ป.ได้บอกเจ้าหน้าที่ทูตสหรัฐหลายครั้งว่าเขาไม่พอใจกลุ่มนิยมกษัตริย์เป็นอย่างมากและตั้งใจจะแก้เผ็ดด้วยการอนุญาตให้นายปรีดีกลับมาไทยเพื่อฟื้นฟูคดีสวรรคตขึ้นมาพิจารณาใหม่อีกครั้ง
จากการที่จอมพล ป. เริ่มรู้สึกว่ารัฐบาลของตนกำลังไปไม่รอดเพราะกลุ่มทหารของจอมพลสฤษดิ์มีแนวโน้มที่จะร่วมมือกับกษัตริย์และพวกนิยมกษัตริย์
แต่สถานทูตสหรัฐเห็นว่าหากแผนแก้เผ็ดนี้สำเร็จจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสาธารณรัฐโดยมีจอมพล ป. เป็นประธานาธิบดี ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่สถานทูตสหรัฐเห็นว่าแผนดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของไทยและจะทำให้คอมมิวนิสต์เข้าแทรกแซงได้ง่ายขึ้น การกลับประเทศไทยของนายปรีดีย่อมไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐ
แต่รัฐบาลจอมพล ป. ก็ยังเดินหน้าจะนำนายปรีดีกลับไทย
ทั้งๆที่สหรัฐเห็นว่านายปรีดีเป็นตัวแทนของจีนที่จะส่งเสริมกิจกรรมของคอมมิวนิสต์ในไทยในจังหวะที่รัฐบาลจอมพล
ป. เริ่มย่อหย่อนในการต่อต้านคอมมิวนิสต์และไม่ได้รับความนิยมจากประชาชนในการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์
2500
เครือข่ายนิยมกษัตริย์และกองทัพได้เคลื่อนไหวเตรียมแผนรัฐประหารตั้งแต่กลางเดือนเมษายน
2500 แกนนำสำคัญของฝ่ายกษัตริย์ เช่นพระองค์เจ้าธานีนิวัติ
มรว.เสนีย์และคึกฤทธิ์ ได้เข้าร่วมประชุมวางแผนกับกองทัพ
เริ่มการโจมตีรัฐบาลผ่านทางหนังสือพิมพ์และพรรคฝ่ายค้าน มีการอภิปรายเปิดเผยในสภาว่ากษัตริย์ภูมิพลได้พระราชทานเงินสนับสนุนจำนวน
7
แสนบาทแก่ม.ร.ว.เสนีย์และพรรคประชาธิปัตย์เพื่อใช้เคลื่อนไหวทางการเมือง
รายงานข่าวกรองของสหรัฐระบุว่ากษัตริย์ภูมิพลเสด็จไปพบม.ร.ว.เสีนย์ในยามค่ำคืนเป็นการลับเสมอๆด้วย
เกิดเป็นการเมืองสองขั้ว คือ ขั้วรัฐบาลของจอมพล ป.กับตำรวจของเผ่า
และขั้วของกองทัพที่มีจอมพลสฤษดิ์เป็นผู้นำกับกลุ่มนิยมกษัตริย์ โดยในตอนเย็นวันที่
16 กันยายน 2500 ก่อนการรัฐประหารไม่กี่ชั่วโมงจอมพล
ป.ได้เข้าเฝ้ากษัตริย์ภูมิพลที่วังจิตรลดาเพื่อขอปลดจอมพลสฤษดิ์ แต่กษัตริย์ภูมิพลไม่เห็นด้วย
จนในที่สุดจอมพลสฤษดิ์ก็ทำรัฐประหารในคืนวันนั้น กลายเป็นจุดเริ่มต้นโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่สำคัญระหว่างสหรัฐ
สถาบันกษัตริย์และกองทัพที่ดำรงอยู่อย่างยาวนานกว่า 20 ปีในเวลาต่อมาท่ามกลางกระแสสงครามเย็นที่ขึ้นสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยสหรัฐเห็นว่าการรัฐประหารของสฤษดิ์จะทำให้สถาบันกษัตริย์มีบทบาททางการเมืองเป็นอย่างมากเพราะทรงเป็นผู้ริเริ่มแผนรัฐประหารดังกล่าว
จะช่วยสร้างเอกภาพและเสถียรทางการเมืองที่เป็นประโยชน์ต่อสหรัฐ
ในท้ายที่สุดแล้วความร่วมมือระหว่างสหรัฐ สถาบันก ษัตริย์ และกองทัพ
ได้นำไปสู่ระบอบเผด็จการทหารเต็มรูปแบบในยุคสฤษดิ์-ถนอม
และเปิดโอกาสให้สหรัฐใช้ไทยเป็นฐานทัพที่สำคัญในปฏิบัติการรุกรานประเทศในอินโดจีน
ทำให้ไทยเข้าไปเกี่ยวข้องในสงครามอินโดจีนอย่างลึกซึ้ง
สร้างทั้งปัญหาให้แก่ประเทศเพื่อนบ้านและสร้างปัญหาทางการเมืองในประเทศไทยพร้อมกันไป
ฝ่ายอนุรักษ์มองว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้ไทยไม่ต้องเป็นคอมมิวนิสต์
แต่มันก็ทำให้ไทยกลายเป็นกึ่งเมืองขึ้นหรือประเทศบริวารของสหรัฐรวมทั้งได้ทิ้งมรดกตกค้างทางวัฒนธรรมที่ยังดำรงอยู่เรื่อยมา.......
ใต้เงามหานกอินทรี
ประธานาธบดีรูสเวลท์ Roosevelt |
โฮจีมินห์และโวเหวียนเกี๊ยบวางแผนตีเดียนเบียนฟู 2497 |
โฮจีมินห์ ปี2464 ในวัย 31 ปี |
รัฐบาลจอมพล ป.ก็ต้องพยายามผูกมิตรกับมหาอำนาจทั้งอังกฤษและสหรัฐเพื่อมิให้ถูกมองว่าเป็นศัตรูอีก ขณะที่กลุ่มพวกของนายปรีดีก็ยังมีอาวุธทันสมัยที่เคยได้รับในสมัยเป็นเสรีไทยที่ใช้ต่อต้านญี่ปุ่น ทำให้รัฐบาลจอมพล ป. ต้องตัดสินใจสร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับสหรัฐมากขึ้น รวมถึงขอความช่วยเหลือทางทหารในปี 2493 เพื่อต่อสู้กับคอมมิวนิสต์ หลังจากนั้นสหรัฐก็เข้ามามีบทบาททั้งในทางการเมือง การทหาร เศรษฐกิจและสงครามจิตวิทยาเพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์
ประธานาธิบดีทรูแมน Truman |
เหมาเจ๋อตงแถลงปลดแอกที่เทียนอันเหมิน 1 ตค. 2492 |
จิตร ภูมิศักดิ์และผู้ต้องหาคอมมิวนิสต์ในคุกลาดยาว |
แต่ก็มีความขัดแย้งในการช่วงชิงอำนาจในประเทศไทยจนจอมพล ป.ต้องทำรัฐประหารในปี 2494 ซึ่งทำให้รัฐบาลมีความเข้มแข็งเหนือกษัตริย์และพวกนิยมเจ้า รัฐบาลจอมพล ป.ได้หันมาใช้นโยบายต่อต้านคอมมิวนิสต์มากขึ้นเพื่อเอาใจสหรัฐ
ไอเซนฮาวรับเสด็จที่วอชิงตัน 2503 |
วิลเลียม โดโนแวนหัวหน้า หน่วยสืบราชการลับOSS หรือ CIA |
น.ต.มนัส จารุภา จี้จอมพล ป.จากเรือแมนฮัตตัน 29 มิย. 2494 |
เสด็จเยี่ยมร.พ.Mount Auburn แมสสาจูเสตส์ สถานที่ประสูติ 7 กค.2503 |
พ.อ.พระยาศรีวิสารวาจา ( เทียนเลี้ยง ฮุนตระกูล ) |
โปสเตอร์โฆษณาชวนเชื่อต่อต้านคอมมิวนิสม์ |
เมื่อฝรั่งเศสพ่ายแพ้ต่อพวกเวียตมินห์ในยุทธการเดียนเบียนฟู ในเดือนพฤษภาคม 2497 นำไปสู่การเจรจาที่เจนีวาโดยแบ่งเวียตนามออกเป็นสองส่วน ทำให้สหรัฐต้องหันมาเร่งสนับสนุนกษัตริย์ไทยเพราะกษัตริย์ไทยมีความกระตือรือร้นมาก
สหรัฐจึงต้องอาศัยความเชื่อของประชาชน เพื่อชักนำให้ช่วยกันต่อต้านคอมมิวนิสต์ให้เห็นว่าคอมมิวนิสต์เป็นปีศาจที่น่ากลัว โดโนแวนสั่งปรับปรุงยูซิสในกรุงเทพทำสงครามจิตวิทยาเชิงรุก ขยายเครือข่ายออกสู่ส่วนภูมิภาค พร้อมกับมีหน่วยโฆษณาชวนเชื่อย่อยๆเข้าไปในเขตชนบทโดยเฉพาะทางภาคอีสานและภาคเหนือ โดยรัฐบาลจอมพล ป.เสนอตั้งหน่วยงานของกรมประชาสัมพันธ์และให้ยูซิสเข้าร่วม
เอกสารและภาพยนต์เรื่องไฟเย็น ต่อต้านคอมมิวนิสต์ |
เสด็จอิสาน พฤศจิกายน 2498 |
จอมพล ป.เข้าพบประธานาธิบดีไอเซนฮาวร์ |
นอกจากนี้รัฐบาลจอมพล ป. ยังได้หันไปประนีประนอมกับกลุ่มการเมืองต่างๆโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกลุ่มของนายปรีดีและกลุ่มฝ่ายซ้ายในไทยเพื่อให้ชนะเลือกตั้ง ทำให้สหรัฐไม่พอใจบทบาทของรัฐบาลจอมพล ป. ที่เคยเป็นพันธมิตรในการต่อต้านคอมมิวนิสต์
สังข์ พัธโนทัยที่ปรึกษาจอมพล ป. ผู้ดำเนินความสัมพันธ์กับจีนในทางลับ |
ปรีดีร่วมงานสถาปนาสาธราณรัฐประชาชนจีน1ตค.2492 |
แต่สถานทูตสหรัฐเห็นว่าหากแผนแก้เผ็ดนี้สำเร็จจะทำให้ประเทศไทยกลายเป็นสาธารณรัฐโดยมีจอมพล ป. เป็นประธานาธิบดี ส่วนตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะมาจากการเลือกตั้งโดยตรง แต่สถานทูตสหรัฐเห็นว่าแผนดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของไทยและจะทำให้คอมมิวนิสต์เข้าแทรกแซงได้ง่ายขึ้น การกลับประเทศไทยของนายปรีดีย่อมไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐ
นักศึกษาประท้วงเลือกตั้งสกปรกปี 2500 สะพานผ่าฟ้า |
ธานีนิวัต พิทยลาภพฤฒิยากร |
พล.ต.อ.เผ่าเตรียมลี้ภัยไปสวิส |
จอมพล ป.ขณะลี้ภัยไปญี่ปุ่นผ่านเกาะกง กัมพูชา |
กษัตริย์ภูมิพลปราศรัยต่อคองเกรส 29 มิย.2503 |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น