ประวัติศาสตร์ชาติเชื้อไทย
ฉบับร้อยพ่อพันแม่
The Fact of Thai Race in Thailand
ฟังไฟล์เสียง :
https://www.youtube.com/watch?v=ABKyhptf5rM&feature=youtu.be
http://www.4shared.com/mp3/NzXd_soNba/The_Fact_of_Thai_Race_in_Thail.html
http://www.mediafire.com/listen/6c9vel38r8zdo1b/The+Fact+of+Thai+Race+in+Thailand++.mp3
ที่มาของรัฐชาติไทยหรือประเทศไทย
จอมพล ป. ได้เปลี่ยนชื่อประเทศสยามมาเป็นประเทศไทยเมื่อปี
2482 ขณะที่ประเทศไทยเริ่มก่อตัวเป็นประเทศขึ้นมาในช่วง 200
กว่าปีมานี้เอง โดยมีการปักปันเขตแดนเมื่อปี 2430-2452
ชุมชนบนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีวิวัฒนาการมาหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น เป็นภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ผู้คนตั้งรกรากเป็นกลุ่มๆตามเมืองใหญ่ มีเจ้าครอบครองเป็นความสัมพันธ์แบบนายกับบ่าว มียุคสมัยของสงครามร่วม 400 ปี จากตั้งแต่ราว พศ. 1650 ถึง 2050 ที่มีการรบพุ่งกันบ่อยครั้ง เป็นยุคที่ระบอบกษัตริย์ชายชาติทหารได้มีอำนาจยิ่งใหญ่โดยได้รับการหนุนช่วยด้วยพิธีกรรมลัทธิพราหมณ์ สร้างความมั่งคั่งจากการค้าต่างแดนและระบบเกณฑ์แรงงานเพื่อการสงคราม แต่หลังจาก พ.ศ. 2100 ทั้งภูมิภาคเริ่มสงบร่มเย็น การค้าระหว่างประเทศขยายตัวมากขึ้น
อยุธยากลายเป็นเมืองท่าใหญ่ของเอเซียแห่งหนึ่ง
โดยมีเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศที่กว้างขว้างจากเปอร์เซียถึงจีน
ระบบการเมืองและเศรษฐกิจการค้าขยายตัว ระบบเกณฑ์แรงงานเริ่มเสื่อมสลาย
ชนชั้นสูงก่อตัวแข็งแรงขึ้น
ศาสนาพุทธนิกายเถรวาทได้นำความคึกคักและพลังใหม่มาสู่ชุมชน
แผ่นดินเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือแหลมทองเป็นเขตที่อุดมสมบูรณ์และมีความหลากหลายทางชีวภาพแห่งหนึ่งของโลก
เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำขนาดใหญ่
และยังมีลมมรสุมพัดผ่านนำฝนมาตกชุกชุมปีละ 4-6
เดือน กลุ่มภาษาตระกูลไท
หรือไตมาจากผู้คนที่อาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแม่น้ำแยงซีเกียงที่ถ่อยร่นกระจายกันลงมาจากการรุกไล่ของกองทัพฮั่น
เป็นพวกที่มีความรู้เรื่องการปลูกข้าวและมีความสามารถเรื่องการรบจากการที่ต้องป้องกันตนเองจากพวกฮั่น
กลุ่มมอญ-เขมรที่ตั้งถิ่นฐานมาก่อน บางส่วนก็ถอยร่นขึ้นไปอยู่บนภูเขาสูง
กลุ่มอื่นๆก็ยอมอยู่ร่วมกับผู้มาใหม่ที่เป็นผู้นำชาวนาและนักรบ
แล้วค่อยๆหัดพูดภาษาไทหรือภาษาไตไปด้วยกัน
แม้ว่าจะได้มีกลุ่มต่างๆอพยพเข้ามาในที่ราบลุ่มเจ้าพระยาเป็นระยะๆ แต่ประชากรในย่านนี้ก็ยังเบาบาง
แม้พื้นที่ที่ถูกถากถางจะอุดมสมบูรณ์แต่มีสัตว์ร้ายชุกชม รวมทั้งไข้ป่ามาเลเลีย
ผู้คนจึงมักตั้งถิ่นฐานตามริมฝั่งแม่น้ำหรือชายฝั่งทะเล บริเวณนี้ส่วนใหญ่จึงยังคงเป็นป่าทึบจนกระทั่งเมื่อ
200-300 ปีมานี้เอง ต่อมาจึงมีผู้อพยพเข้ามาใหม่
มีชาวกะเหรี่ยงเข้ามาตั้งรกรากบนภูเขาทางตะวันตก
ชาวมอญที่ลี้ภัยการเมืองข้ามภูเขาเข้ามาทางด้านตะวันตก
ชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 19 พ่อค้าจีนเข้ามาอยู่ตามชุมชนเขตเมืองท่ารอบๆอ่าวไทย
ชาวลาวและชาวกุยหรือพวกส่วยอพยพเข้าสู่ที่ราบสูงโคราชตั้งแต่ปี 2250 จากบริเวณน้ำโขงและที่ราบสูงทางเหนือที่มีชาวลาวภูเขาหรือลาวสูงขยับย้ายลงมาหลังจากพวกจีนฮั่นรุกไล่เข้ามาสู่จีนตอนใต้
สภาวะที่มีประชากรเบาบาง ทำให้มีการแย่งชิงคน เพราะการตั้งหลักแหล่งต้องการผู้คนเพื่อสร้างเมืองและป้องกันตนเอง ผู้นำต้องการคนช่วยทำนา ทำการค้า สร้างบ้าน ผลิตของมีค่า และเป็นบริวาร ช่วงแรกๆมีการนำทาสมาจากจีนและมลายู มีการทำสงครามแย่งชิงทรัพย์สินและกวาดต้อนคนมาเป็นเชลย จนกระทั่งเมื่อ 100-150 ปีมานี้ก็ยังมีประเพณีตีข่าคือตีราคาพวกชาวเขาที่เรียกว่าข่าหรืออีก้อ เพื่อเสาะแสวงหาทาสและลักพาผู้คนจากชุมชนภูเขาหรือรัฐเพื่อนบ้านเพื่อพาไปขายตามเมืองในเขตที่ราบลุ่ม มีชุมชนกระจุกตัวกันเป็นกลุ่มๆล้อมรอบเมืองที่เป็นศูนย์กลาง เพื่อปกป้องเมืองจากศัตรู สัตว์ร้ายและโรคภัยไข้เจ็บ ผู้คนต้องส่งส่วยให้เจ้า ส่วนมากจะให้เป็นสิ่งของและบริการด้านแรงงาน แหล่งตั้งถิ่นฐานที่นิยมกันมากคือคุ้งน้ำคดเคี้ยวโดยจะมีการขุดคลองตรงส่วนที่แคบที่สุดเพื่อสร้างเป็นคูเมืองโดยรอบ
พวกคนไทยที่อยู่ตามที่อยู่ตามเชิงเขาเหนือที่ราบลุ่มเจ้าพระยาก่อตั้งกลุ่มเมืองที่สุโขทัยโดยพระร่วง ต่อมาตระกูลนี้ย้ายไปพิษณุโลกเพราะป้องกันเมืองได้ง่ายกว่าสุโขทัย ทางด้านล่างของที่ราบลุ่มเจ้าพระยามีเมืองสถาปนาขึ้นใหม่ 4 เมือง คือ เพชรบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรีและอยุธยา ผู้นำที่อยุธยาสามารถเอาชนะเมืองอื่นๆ ซึ่งต้องยอมสวามิภักดิ์ โดยส่งลูกสาวหรือน้องสาวไปรับใช้หรือส่งลูกชายไปเป็นตัวประกัน บางกรณีเมืองใหญ่ก็ยกหญิงสาวสูงศักดิ์ให้ป็นภริยาเจ้าเมืองเล็กโดยให้ทำหน้าที่สืบข่าวไปด้วย เมืองเล็กต้องส่งบรรณาการเป็นสิ่งของมีค่าหรือหายาก ต่อมาจึงได้กำหนดมาตรฐานเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เจ้าเมืองใหญ่ก็จะรับรองว่าจะปกป้องเมืองเล็กจากศัตรูโดยเมืองเล็กต้องส่งทหารไปช่วยรบ ใช้หลักพันธมิตรทางการเมืองเหมือนระบบบรรณาการของจีนที่จักรพรรดิจีนกำหนดให้รัฐเล็กส่งบรรณาการโดยขอให้จีนรับรองการแต่งตั้งเจ้าของตน จักรพรรดิจีนตอบแทนด้วยการส่งเครื่องสูงไปให้และรับที่จะปกป้องเมืองที่ส่งบรรณาการ ในทางปฏิบัติจักรพรรดิจีนแทบไม่เคยส่งกองทัพมาปราบเมืองบรรณาการที่กระด้างกระเดื่องหรือเพื่อปกป้องบ้านเมืองไหนเลย แต่บรรดารัฐเล็กก็โอนอ่อนตามความประสงค์ของจีนเนื่องจากได้ประโยชน์จากการค้าขายกับจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
ในราวพ.ศ. 1900 มีกลุ่มเมืองเกิดขึ้น 4 แห่ง ในบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยาได้แก่ ล้านนาหรือเชียงใหม่ ล้านช้างหรืออาณาจักรลาว เมืองเหนือคือพิษณุโลกและสยามคืออยุธยา ที่เริ่มแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกัน ก่อสงครามเป็นครั้งคราวเป็นเวลาร่วมร้อยปี พวกเจ้าเกณฑ์ทหารเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น ชุมชนกลายเป็นสังคมทหารที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น กองทัพขนาดใหญ่รุกไล่ทำลายเมืองและบังคับกวาดต้อนผู้คน ยึดทรัพย์สินมีค่าและพระพุทธรูปไป ทำลายพืชผลที่ปลูกไว้ ทำให้เกิดโรคระบาดกระจายไปทั่ว ลงท้ายไม่มีเมืองใดชนะอย่างชัดเจน จากนั้นสงครามก็เริ่มเบาบางลง
อยุธยาได้อาศัยทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบ เพิ่มการค้าทางทะเลพร้อมๆกับการต่อเรือที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจนมีอิทธพลครอบครองบริเวณด้ามขวานทองรวมทั้งด้านตัวขวาน เพื่อควบคุมสินค้าป่าและสินค้าแปลกที่จีนต้องการ เช่น ไม้หอม งาช้าง นอแรด ขนนกสีสดใส อยุธยาส่งบรรณาการให้จักรพรรดิจีนเป็นอย่างดี จึงเป็นเมืองคู่ค้าที่จีนพอใจ อยุธยาได้เข้าคุมเส้นทางการค้าที่ด้ามขวานทองที่เชื่อมทะเลทั้งสองด้านคืออ่าวไทยและอันดามัน ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมที่มีโจรสลัดชุกชุมบริเวณช่องแคบมะละกา อยุธยาจึงร่ำรวยขึ้นเพราะเป็นศูนย์กลางการค้าที่เชื่อมหลายแหล่งตลาดเข้าด้วยกัน ทั้งด้านตะวันออก อินเดียและอาหรับทางตะวันตก และหมู่เกาะมลายูทางใต้ กลายเป็นศูนย์กลางหนึ่งในสามมหาอำนาจของเอเชียเคียงคู่กับจีนและวิชัยนครของอินเดีย
อยุธยาแผ่ขยายอำนาจไปยังหัวเมืองทางเหนือโดยอาศัยกลไกทางสังคมและวัฒนธรรม จากความเป็นเมืองมั่งคั่งและเป็นศูนย์กลางการค้าจึงสามารถซื้อปืนจากโปรตุเกสและจ้างทหารโปรตุเกสได้ แต่เมืองเหนือมีประชากรมากจึงเกณฑ์ทหารได้มากและเชี่ยวชาญการรบจึงสามารถป้องกันตนเองได้ ในภาวะสงครามผู้คนจากเมืองเหนือถูกกวาดต้อนลงไปอยุธยาแต่บางคนก็เข้ามาเองเพราะเห็นโอกาสในเมืองที่กำลังรุ่งเรือง เจ้านายทางเหนือก็สร้างความสัมพันธ์กับอยุธยาผ่านการแต่งงาน นักรบทางเหนือก็มาเป็นแม่ทัพให้อยุธยา ขุนนางทางเหนือก็เข้ามาตั้งรกรากในอยุธยา พิษณุโลกทำหน้าที่เหมือนเมืองหลวงที่สองและพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพิษณุโลกได้ขึ้นครองราชย์แทนกษัตริย์อยุธยาเดิมในปี 2112 ในช่วงที่มีการแข่งขันกับเมืองท่าทางด้านตะวันตก คือ ที่ราบลุ่มอิรวดีมีเมืองหงสาวดีและด้านตะวันออกที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงคือกรุงละแวกของเขมรอยู่ทางเหนือของพนมเป็ญที่ย้ายจากนครวัตซึ่งถูกปล่อยทิ้งร้าง โดยกษัตริย์ทั้งสามอาณาจักรต่างแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เพราะต่างก็มั่งคั่งร่ำรวยจากการค้าและยังสามารถเกณฑ์ทหารได้จากบ้านป่าในแผ่นดินใหญ่พร้อมทั้งจ้างทหารรับจ้างชาวต่างประเทศ วัดวาอารามก็เต็มไปด้วยพระพุทธรูปและทองที่ได้มาจากการรุกรานเพื่อนบ้าน
สยามได้ยกทัพไปโจมตีละแวกเมืองหลวงของเขมรจนราบเรียบและแต่งตั้งกษัตริย์เขมรที่ยอมสยบต่ออยุธยา หงสาวดีซึ่งได้เปรียบกว่าเพราะคุมเมืองท่าตะวันตกที่เป็นแหล่งที่มาของปืนใหญ่และทหารรับจ้างจากโปรตุเกสได้เรียกร้องให้สยามยอมรับสภาพเป็นเมืองขึ้น โดยร่วมมือกับฝ่ายเหนือคือพิษณุโลกและยึดอยุธยาได้เมื่อ พ.ศ. 2112 หงสาวดีได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งช่างฝีมือ พระพุทธรูปและทรัพย์สินมากมาย ยึดเอาช้างและเครื่องบรรณาการอันมีค่าและจับสมาชิกราชวงศ์ไปเป็นคนรับใช้และตัวประกัน แต่การจะครอบครองเมืองที่อยู่ห่างไกลและมีวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นไปได้ยาก อิทธิพลของสยามต่อเขมรก็เริ่มเสื่อมถอยเมื่อญวนผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ขณะที่พระนเรศวรที่หงสาวดีจับเป็นตัวประกันได้หนีจากการควบคุมและประกาศไม่ขึ้นต่อหงสาวดี โดยใช้เวลา 15 ปี ตลอดการขึ้นครองราชย์ทำสงครามต่อต้านการรุกรานจากพม่าเพื่อสถาปนาอยุธยาให้เป็นใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอีกครั้ง
ราษฎรล้วนต้องการสันติภาพ
หลังจากรัชสมัยพระนเรศวรผู้คนก็เริ่มเบื่อหน่ายละกลัวภัยสงคราม เพราะเมืองใหญ่ๆส่วนมากจะเคยถูกปล้นสะดมอย่างราบคาบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้คนเริ่มกระด้างกระเดื่องไม่ยอมร่วมมือกับกษัตริย์ในการสนองความต้องการทางอำนาจ เช่น ติดสินบนนายที่เกณฑ์ทหาร หนีไปบวชหรือหนีไปไกลๆ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถเตรียมทัพได้ใหญ่โตเหมือนในอดีต หลายเมืองลงทุนก่อสร้างกำแพงเมืองด้วยอิฐ ขยายคูรอบเมืองให้กว้างขึ้น ติดตั้งปืนใหญ่ให้มากขึ้น ความพยายามตียึดเมืองต่างๆต้องล้มเหลวและกองทัพต้องสลายตัว
เมื่อสงครามสงบสังคมก็รุ่งเรือง อยุธยากลับมาเป็นราชธานีเป็นศูนย์อำนาจของที่ราบลุ่มเจ้าพระยา เป็นเมืองท่าเชื่อมเส้นทางการค้าระหว่างด้านตะวันออกและตะวันตก ทางตะวันออกมีโชกุนโตกุกาว่าที่ญี่ปุ่นเปิดทำการค้าด้วยแบบมีเงื่อนไข ทางตะวันตกมีจักรวรรดิซาฟาวิด ( Safavid ) ที่ครอบครองดินแดนอาหรับเปอร์เซียและจักรวรรดิโมกุล ( Mughal ) ที่ครอบครองชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย เป็นทั้งตลาดใหญ่และเป็นแหล่งสินค้ามีค่าหลายชนิด เส้นทางขนส่งสินค้าข้ามด้ามขวานทองเป็นที่นิยมของพ่อค้าแถบเอเชียมากขึ้นหลังจากที่พวกโปรตุเกสและดัตช์เข้ามาควบคุมเส้นทางสายใต้ที่ช่องแคบมะละกา อยุธยาจึงเจริญเติบโตจนอาจเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นเมืองที่มีความเป็นสากลมาก มีทั้งชุมชนจีน ญวน จาม มอญ โปรตุเกส อาหรับ อินเดีย เปอร์เซีย ญี่ปุ่นและชุมชนมาเลย์ต่างๆจากหมู่เกาะ มาตั้งถิ่นฐานอยู่รายรอบ พวกดัตช์เข้ามาเมื่อพ.ศ. 2147 เพื่อแย่งส่วนแบ่งการค้ากับญี่ปุ่นและตั้งชุมชนเพิ่มขึ้น ฝรั่งเศสและอังกฤษก็ตามเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ราชสำนักอยุธยาก็อาศัยผู้คนเหล่านี้โดยเลือกรับเอาชาวมเลย์ อินเดีย ญี่ปุ่นและโปรตุเกสเข้ามาเป็นทหารรักษาวัง จ้างจีนและเปอร์เซียเป็นข้าราชการดูแลเรื่องการค้า จ้างชาวดัตช์ต่อเรือ จ้างวิศวกรฝรั่งเศสและอิตาลีออกแบบป้อมปราการและการชลประทาน จ้างอังกฤษและอินเดียเป็นผู้ว่าราชการหัวเมือง จ้างชาวจีนและเปอร์เซียเป็นแพทย์ มีชาวญี่ปุ่นคือยามาดะ นางามาสะได้เป็นออกญาหรือพระยาเสนาภิมุขเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ชาวเปอร์เซียคือเฉกอะหมัดได้เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกดูแลกรมท่าในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าประสาททอง
และชาวกรีกคือคอนสแตนตินฟอลคอนได้เป็นเจ้าพระยาวิชาเยนทร์ในตำแหน่งสมุหนายกในสมัยพระนารายณ์มหาราช
ซึ่งได้เปิดรับความรู้ใหม่ๆ ด้วยการส่งราชทูตไปแลกเปลี่ยนกับประเทศเนเธอร์แลนด์
ฝรั่งเศสและเปอร์เซีย
ทำให้อยุธยามีความเป็นเมืองสากลโดยยอมให้มีการเผยแพร่ศานาคริสต์จนนำไปสู่วิกฤติการณ์ต่อต้านพวกฝรั่งในปี
พ.ศ. 2231 จนฟอลคอนถูกประหารชีวิต ฝรั่งเศสถูกไล่ออกไปและอังกฤษต้องหนีออกจากสยาม
กษัตริย์อยุธยาตอนปลายได้กำไรมหาศาลจากการผูกขาดการค้าระหว่างประเทศ และมีรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้นเพราะเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว ค่าใช้จ่ายด้านการสงครามก็ลดลง ทรงใช้ทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นลงทุนสร้างพระราชวังใหม่ๆที่อลังการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งอารามหลังใหม่และที่ปฏิสังขรณ์ใหม่รวมทั้งงานเทศกาลต่างๆที่เลื่องลือ มีการฟื้นฟูพิธีกรรมเขมรเพื่อทำให้กษัตริย์ดูลี้ลับและยิ่งใหญ่ สังคมแบ่งออกเป็นสองชนชั้น คือ กลุ่มขุนนางที่รับใช้กษัตริย์ประมาณสองพันคนกับครอบครัวของเขามีฐานะสูงต่ำตามศักดินาแบ่งการบริหารเป็นเวียง วัง คลัง นา กับอีกชนชั้นหนึ่งคือพวกไพร่ที่ถูกเกณฑ์ให้มารับใช้พวกคนชั้นนำ การขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าในยามที่สงครามเบาบางลง ทำให้ระบบเกณฑ์แรงงานอ่อนประสิทธิภาพลง คนจำนวนมากติดสินบนนายให้ลบชื่อพวกเขาออกจากบัญชีแรงงานเกณฑ์ บางคนก็ไปขึ้นอยู่กับนายที่ไม่เคร่งครัดมากนัก บางคนยอมขายตัวเป็นทาสเพื่อหาเงินมาทำการค้า บางคนหนีไปบวชเพื่อหนีเกณฑ์ หลายคนหนีไปอยู่ป่าลึก ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงเริ่มตั้งแต่พระเพทราชา ที่มาจากบ้านพลูหลวง สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา เกณฑ์คนมาเป็นทหารได้ไม่กี่พันคน กษัตริย์ต้องออกกฎหมายเพื่อปรับปรุงการลงบัญชี ลงโทษนายที่รับสินบน ห้ามไพร่ขายตัวลงเป็นทาส เปิดโปงพระปลอมและสืบหาผู้ที่แอบไปอยู่ภายใต้การปกป้องของขุนนาง
ส่วนพวกขุนนางที่ไม่ค่อยมีสงครามออกรบ ก็หันมาสร้างฐานะด้วยการทำงานกับพระคลังซึ่งดูแลด้านการค้า แต่กษัตริย์มักจ้างคนต่างชาติที่มีความรู้ความชำนาญและควบคุมได้ง่ายกว่า ขุนนางไทยที่รับราชการในพระคลังจึงมีจำนวนไม่มากแต่เด่นมากและร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว หนทางก้าวหน้าอีกทางหนึ่งคือการไต่เต้าจากการเมืองในราชสำนักโดยเฉพาะในช่วงของการสืบราชสมบัติที่การแก่งแย่งมักเริ่มด้วยการรบพุ่งกันที่ใจกลางเมืองหลวงแล้วจบลงด้วยการกำจัดขุนนางและสมาชิกราชวงศ์ที่เป็นชายของฝ่ายแพ้ผู้ซึ่งอาจจะแย่งชิงราชบัลลังก์อีกในกาลต่อมา ขุนนางที่ได้ช่วยให้กษัตริย์ครองราชย์ได้สำเร็จก็ได้รางวัลเป็นตำแหน่งและทรัพย์สิน ขุนนางมักจะสืบทอดตำแหน่งภายในตระกูลเดียวกัน และถวายลูกชายไปเป็นมหาดเล็กส่วนลูกสาวก็เข้าไปเป็นนางรับใช้ในวังโดยพยายามเลือกข้างที่จะได้ครองราชย์ แต่กษัตริย์ก็จะพยายามจำกัดอำนาจของขุนนางโดยเวียนตำแหน่งสำคัญไปตามตระกูลต่างๆ ไม่ยอมให้ให้ตระกูลใดสืบทอดตำแหน่งสำคัญได้นาน มีการเก็บภาษีเมื่อขุนนางตาย ควบคุมขุนนางอย่างเคร่งครัดมิให้สะสมทรัพย์ โดยกษัตริย์มักหาเหตุลงโทษขุนนางเรื่องการรับสินบน ผู้ตกเป็นจำเลยจะถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะเพื่อประจานให้ตระกูลเสียหาย หลังจากนั้นก็จะจัดสรรเมียและทาสให้กับขุนนางอื่นๆและจะเปิดเรือนให้ผู้คนเข้าไปฉกชิงสิ่งของได้ พวกขุนนางผู้ใหญ่จึงไม่ค่อยสะสมสมบัติที่เปิดเผยและยึดได้ง่าย จึงมักนิยมสะสมเครื่องเพชรเพราะสะดวกในการเก็บและซุกซ่อน
ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง หลังเกิดวิกฤติการณ์โค่นล้มพระนารายณ์มหาราชและขับไล่พวกยุโรปในพ.ศ. 2231 พ่อค้าอังกฤษและฝรั่งเศสละทิ้งอยุธยา อยุธยาหันไปค้ากับจีนและมลายู สยามเป็นแหล่งข้าวที่จีนพอใจมาก ชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในสยามจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ถึงสองหมื่นคน ชาวจีนเข้ามามีบทบาทในการค้าขายทุกอย่าง เกิดตลาดค้าขายคึกคักรอบเมืองหลวง ที่ดินมีราคา มีสินค้านำเข้าหลากหลายชนิด เกิดมีพวกไพร่ร่ำรวยและติดสินบนขุนนางเพื่อให้ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทำให้พวกขุนนางร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้น การทำสงครามสืบราชสมบัติมีน้อยลงและจำกัดอยู่ในกลุ่มพระราชวงศ์ พวกขุนนางจึงไม่เสียหายมาก พวกตระกูลใหญ่จึงมีโอกาสได้สะสมไพร่พลและทรัพย์สิน
และแล้วพม่าก็บุกโจมตีอยุธยาโดยพระเจ้าอลองพญาปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญาเริ่มยกทัพเข้ามาตั้งแต่ปี
2303 แต่สวรรคตกลางคันจึงถอยทัพกลับ ต่อมาพระเจ้ามังระที่สืบราชสมบัติต่อจากพระเจ้ามังลอกพระเชษฐาจึงได้บุกโจมตีเอาชัยชนะต่ออยุธยาได้สำเร็จ
ในปี พ.ศ. 2310 หลังจากจบศึกสงครามครั้งก่อนมาร่วม
150 ปี จากการที่ไม่มีความขัดแย้งที่รุนแรงต่อกันเพราะมีการแบ่งอำนาจและเขตอิทธิพลกันลงตัว
แต่สาเหตุสำคัญของการบุกโจมตีครั้งนี้มาจากความทะเยอทะยานของกษัตริย์พม่าพระราชวงศ์ใหม่ที่ต้องการแผ่ขยายอิทธิพลไปทุกทิศทางและในครั้งนี้ถึงกับต้องการกำจัดอยุธยาออกไปจากสารบบของการเป็นเมืองคู่แข่ง
ในช่วงปลอดสงคราม 150 ปีหลังจากการเสียกรุงครั้งแรก
ทำให้อยุธยามั่งคั่งร่ำรวย กลายเป็นสังคมเมืองที่ห่างเหินเรื่องการศึกสงคราม
เมื่อกองทัพพม่ารุกเข้ามา ชาวอยุธยาก็หลีกเลี่ยงที่จะถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารโดยติดสินบนมูลนาย
บางคนหนีไปอยู่ป่า เจ้าเมืองที่อยุธยาขอให้ช่วยก็มีไม่กี่แห่งที่ส่งทหารมา
เมืองที่พม่าเดินทัพผ่าน ต่างก็ยอมจำนนต่อพม่าเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะ
บางแห่งก็ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยร่วมไปกับทัพพม่า บางพวกก็เข้าร่วมกับพม่าเพื่อจะได้ฉกฉวยทรัพย์สิน
ขุนนางอยุธยาก็พยายามต่อรองขอร้องพม่าให้เห็นแก่ความทุกข์ยากเดือดร้อนของราษฎร
เปรียบเทียบเหมือนช้างสารชนกัน หญ้าแพรกคือประชาชนก็มีแต่แหลกราญ
พระเจ้าเอกทัศน์รู้ดีว่าไม่สามารถเกณฑ์ทหารได้เพียงพอจึงสร้างกำแพงให้สูงขึ้น
และขยายคูเมืองให้กว้าง พร้อมทั้งซื้อปืนประเภทต่างๆไว้เป็นจำนวนมาก
หวังรอฤดูน้ำหลาก แต่พม่ายกทัพมาถึงสามทัพโดยตั้งค่ายอยู่บนเนินกว่าสองปี ผู้คนจึงต้องหนีภัยความอดอยากออกมานอกเมือง
พม่าทำลายกำแพงเมืองเมื่อวันที่ 7 เมษายน 2310 โดยมุ่งทำลายทุกสิ่งเพื่อกำจัดอยุธยาให้สิ้นซากไม่ให้เป็นคู่แข่งอีกต่อไป
อะไรที่เคลื่อนย้ายได้ก็เอาไปอังวะให้หมด
พม่าจุดไฟเผาเมืองจนวอดวาย พระเจ้ามังระ กษัตริย์พม่า
มีพระบรมราชโองการให้จับพระเจ้าแผ่นดิน พระบรมวงศานุวงศ์
และรวบรวมสมบัติทั้งหมดของอยุธยาส่งกลับไปพม่า รวมทั้งกลุ่มขุนนาง ช่างฝีมือ
พระพุทธรูป ตำรา อาวุธ โดยกวาดเอาพระราชวงศ์ไปถึงสองพันคน อะไรที่เอาไปไม่ได้ก็ให้ทำลายให้สิ้น
พังกำแพงเมืองและระเบิดคลังสรรพาวุธเสียราบเรียบ
วังและวัดถูกทำลายจนเหลือเพียงเถ้าถ่าน การสู้รบดำเนินต่อไปกว่า 40 ปี บริเวณรอบๆอยุธยาแทบจะปราศจากผู้คนอย่างสิ้นเชิง
การโจมตีเริ่มมาจากทางล้านนาตั้งแต่ด้านเชียงใหม่ลงมา ระหว่างทางก็จับเชลย
เผาเอาทองและหาเสบียงกรัง การโจมตีของพม่าในปี 2315 - 2319 สร้างความหายนะแก่ล้านนามากจนเชียงใหม่ถูกทิ้งเป็นเมืองร้าง
พม่ายังได้กลับมาโจมตีอีกในปี 2328 – 2329 โดยยกทัพมากกว่าหนึ่งแสนคนแบ่งเป็นเก้าทัพ
จากทางเหนือที่ล้านนาคือเชียงใหม่ ลงมาถึงจังหวัดระนอง เมื่อเดินทัพผ่านที่ใดก็จะสร้างความหายนะเป็นบริเวณกว้าง
พิษณุโลกและหัวเมืองเหนืออื่นๆต้องถูกทิ้งร้าง ในที่สุดพม่าก็ถูกขับไล่ออกไป แต่เชียงใหม่ถูกทำลายจนเหลือสภาพเป็นเพียงหมู่บ้าน
และบริเวณภาคเหนือก็ไม่ได้มีผู้คนกลับมาอาศัยอยู่เหมือนเดิมจนถึงทศวรรษ 2410
นครศรีธรรมราชซึ่งเป็นเมืองสำคัญทางภาคใต้ก็ถูกทำลายจนแทบไม่มีทางฟื้นคืนอีกเลย
มีคนน้อยมาก การค้าและทรัพยากรต่างๆก็ไม่ค่อยมี
แม้กระทั่งเมืองสำคัญในที่ราบลุ่มเจ้าพระยา เช่น
เมืองราชบุรีที่ถูกเผาเมื่อปี 2310 ก็ยังถูกทิ้งเป็นเมืองร้างไม่ต่ำกว่า
30 ปี
จากอยุธยามาเป็นกรุงเทพ
ฉบับร้อยพ่อพันแม่
The Fact of Thai Race in Thailand
ฟังไฟล์เสียง :
https://www.youtube.com/watch?v=ABKyhptf5rM&feature=youtu.be
http://www.4shared.com/mp3/NzXd_soNba/The_Fact_of_Thai_Race_in_Thail.html
http://www.mediafire.com/listen/6c9vel38r8zdo1b/The+Fact+of+Thai+Race+in+Thailand++.mp3
ที่มาของรัฐชาติไทยหรือประเทศไทย
จอมพล ป พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี |
ชุมชนบนที่ราบลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยามีวิวัฒนาการมาหลายร้อยปีก่อนหน้านั้น เป็นภูมิประเทศเขตร้อนชื้น ผู้คนตั้งรกรากเป็นกลุ่มๆตามเมืองใหญ่ มีเจ้าครอบครองเป็นความสัมพันธ์แบบนายกับบ่าว มียุคสมัยของสงครามร่วม 400 ปี จากตั้งแต่ราว พศ. 1650 ถึง 2050 ที่มีการรบพุ่งกันบ่อยครั้ง เป็นยุคที่ระบอบกษัตริย์ชายชาติทหารได้มีอำนาจยิ่งใหญ่โดยได้รับการหนุนช่วยด้วยพิธีกรรมลัทธิพราหมณ์ สร้างความมั่งคั่งจากการค้าต่างแดนและระบบเกณฑ์แรงงานเพื่อการสงคราม แต่หลังจาก พ.ศ. 2100 ทั้งภูมิภาคเริ่มสงบร่มเย็น การค้าระหว่างประเทศขยายตัวมากขึ้น
พระเจ้าอู่ทองสถาปณาอาณาจักรอยุธยาในปีพ.ศ. 1893 |
แผนที่สยาม พ.ศ. 2229 |
สภาวะที่มีประชากรเบาบาง ทำให้มีการแย่งชิงคน เพราะการตั้งหลักแหล่งต้องการผู้คนเพื่อสร้างเมืองและป้องกันตนเอง ผู้นำต้องการคนช่วยทำนา ทำการค้า สร้างบ้าน ผลิตของมีค่า และเป็นบริวาร ช่วงแรกๆมีการนำทาสมาจากจีนและมลายู มีการทำสงครามแย่งชิงทรัพย์สินและกวาดต้อนคนมาเป็นเชลย จนกระทั่งเมื่อ 100-150 ปีมานี้ก็ยังมีประเพณีตีข่าคือตีราคาพวกชาวเขาที่เรียกว่าข่าหรืออีก้อ เพื่อเสาะแสวงหาทาสและลักพาผู้คนจากชุมชนภูเขาหรือรัฐเพื่อนบ้านเพื่อพาไปขายตามเมืองในเขตที่ราบลุ่ม มีชุมชนกระจุกตัวกันเป็นกลุ่มๆล้อมรอบเมืองที่เป็นศูนย์กลาง เพื่อปกป้องเมืองจากศัตรู สัตว์ร้ายและโรคภัยไข้เจ็บ ผู้คนต้องส่งส่วยให้เจ้า ส่วนมากจะให้เป็นสิ่งของและบริการด้านแรงงาน แหล่งตั้งถิ่นฐานที่นิยมกันมากคือคุ้งน้ำคดเคี้ยวโดยจะมีการขุดคลองตรงส่วนที่แคบที่สุดเพื่อสร้างเป็นคูเมืองโดยรอบ
พวกคนไทยที่อยู่ตามที่อยู่ตามเชิงเขาเหนือที่ราบลุ่มเจ้าพระยาก่อตั้งกลุ่มเมืองที่สุโขทัยโดยพระร่วง ต่อมาตระกูลนี้ย้ายไปพิษณุโลกเพราะป้องกันเมืองได้ง่ายกว่าสุโขทัย ทางด้านล่างของที่ราบลุ่มเจ้าพระยามีเมืองสถาปนาขึ้นใหม่ 4 เมือง คือ เพชรบุรี สุพรรณบุรี ลพบุรีและอยุธยา ผู้นำที่อยุธยาสามารถเอาชนะเมืองอื่นๆ ซึ่งต้องยอมสวามิภักดิ์ โดยส่งลูกสาวหรือน้องสาวไปรับใช้หรือส่งลูกชายไปเป็นตัวประกัน บางกรณีเมืองใหญ่ก็ยกหญิงสาวสูงศักดิ์ให้ป็นภริยาเจ้าเมืองเล็กโดยให้ทำหน้าที่สืบข่าวไปด้วย เมืองเล็กต้องส่งบรรณาการเป็นสิ่งของมีค่าหรือหายาก ต่อมาจึงได้กำหนดมาตรฐานเป็นต้นไม้เงินต้นไม้ทอง เจ้าเมืองใหญ่ก็จะรับรองว่าจะปกป้องเมืองเล็กจากศัตรูโดยเมืองเล็กต้องส่งทหารไปช่วยรบ ใช้หลักพันธมิตรทางการเมืองเหมือนระบบบรรณาการของจีนที่จักรพรรดิจีนกำหนดให้รัฐเล็กส่งบรรณาการโดยขอให้จีนรับรองการแต่งตั้งเจ้าของตน จักรพรรดิจีนตอบแทนด้วยการส่งเครื่องสูงไปให้และรับที่จะปกป้องเมืองที่ส่งบรรณาการ ในทางปฏิบัติจักรพรรดิจีนแทบไม่เคยส่งกองทัพมาปราบเมืองบรรณาการที่กระด้างกระเดื่องหรือเพื่อปกป้องบ้านเมืองไหนเลย แต่บรรดารัฐเล็กก็โอนอ่อนตามความประสงค์ของจีนเนื่องจากได้ประโยชน์จากการค้าขายกับจีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด
ในราวพ.ศ. 1900 มีกลุ่มเมืองเกิดขึ้น 4 แห่ง ในบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยาได้แก่ ล้านนาหรือเชียงใหม่ ล้านช้างหรืออาณาจักรลาว เมืองเหนือคือพิษณุโลกและสยามคืออยุธยา ที่เริ่มแข่งขันแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่างกัน ก่อสงครามเป็นครั้งคราวเป็นเวลาร่วมร้อยปี พวกเจ้าเกณฑ์ทหารเป็นจำนวนมากเพื่อสร้างกองทัพให้ใหญ่ขึ้น ชุมชนกลายเป็นสังคมทหารที่มีบทบาทสำคัญมากขึ้น กองทัพขนาดใหญ่รุกไล่ทำลายเมืองและบังคับกวาดต้อนผู้คน ยึดทรัพย์สินมีค่าและพระพุทธรูปไป ทำลายพืชผลที่ปลูกไว้ ทำให้เกิดโรคระบาดกระจายไปทั่ว ลงท้ายไม่มีเมืองใดชนะอย่างชัดเจน จากนั้นสงครามก็เริ่มเบาบางลง
อยุธยาได้อาศัยทำเลที่ตั้งที่ได้เปรียบ เพิ่มการค้าทางทะเลพร้อมๆกับการต่อเรือที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นจนมีอิทธพลครอบครองบริเวณด้ามขวานทองรวมทั้งด้านตัวขวาน เพื่อควบคุมสินค้าป่าและสินค้าแปลกที่จีนต้องการ เช่น ไม้หอม งาช้าง นอแรด ขนนกสีสดใส อยุธยาส่งบรรณาการให้จักรพรรดิจีนเป็นอย่างดี จึงเป็นเมืองคู่ค้าที่จีนพอใจ อยุธยาได้เข้าคุมเส้นทางการค้าที่ด้ามขวานทองที่เชื่อมทะเลทั้งสองด้านคืออ่าวไทยและอันดามัน ทำให้สามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางเดิมที่มีโจรสลัดชุกชุมบริเวณช่องแคบมะละกา อยุธยาจึงร่ำรวยขึ้นเพราะเป็นศูนย์กลางการค้าที่เชื่อมหลายแหล่งตลาดเข้าด้วยกัน ทั้งด้านตะวันออก อินเดียและอาหรับทางตะวันตก และหมู่เกาะมลายูทางใต้ กลายเป็นศูนย์กลางหนึ่งในสามมหาอำนาจของเอเชียเคียงคู่กับจีนและวิชัยนครของอินเดีย
อยุธยาแผ่ขยายอำนาจไปยังหัวเมืองทางเหนือโดยอาศัยกลไกทางสังคมและวัฒนธรรม จากความเป็นเมืองมั่งคั่งและเป็นศูนย์กลางการค้าจึงสามารถซื้อปืนจากโปรตุเกสและจ้างทหารโปรตุเกสได้ แต่เมืองเหนือมีประชากรมากจึงเกณฑ์ทหารได้มากและเชี่ยวชาญการรบจึงสามารถป้องกันตนเองได้ ในภาวะสงครามผู้คนจากเมืองเหนือถูกกวาดต้อนลงไปอยุธยาแต่บางคนก็เข้ามาเองเพราะเห็นโอกาสในเมืองที่กำลังรุ่งเรือง เจ้านายทางเหนือก็สร้างความสัมพันธ์กับอยุธยาผ่านการแต่งงาน นักรบทางเหนือก็มาเป็นแม่ทัพให้อยุธยา ขุนนางทางเหนือก็เข้ามาตั้งรกรากในอยุธยา พิษณุโลกทำหน้าที่เหมือนเมืองหลวงที่สองและพระมหาธรรมราชาเจ้าเมืองพิษณุโลกได้ขึ้นครองราชย์แทนกษัตริย์อยุธยาเดิมในปี 2112 ในช่วงที่มีการแข่งขันกับเมืองท่าทางด้านตะวันตก คือ ที่ราบลุ่มอิรวดีมีเมืองหงสาวดีและด้านตะวันออกที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำโขงคือกรุงละแวกของเขมรอยู่ทางเหนือของพนมเป็ญที่ย้ายจากนครวัตซึ่งถูกปล่อยทิ้งร้าง โดยกษัตริย์ทั้งสามอาณาจักรต่างแก่งแย่งกันเป็นใหญ่เพราะต่างก็มั่งคั่งร่ำรวยจากการค้าและยังสามารถเกณฑ์ทหารได้จากบ้านป่าในแผ่นดินใหญ่พร้อมทั้งจ้างทหารรับจ้างชาวต่างประเทศ วัดวาอารามก็เต็มไปด้วยพระพุทธรูปและทองที่ได้มาจากการรุกรานเพื่อนบ้าน
สยามได้ยกทัพไปโจมตีละแวกเมืองหลวงของเขมรจนราบเรียบและแต่งตั้งกษัตริย์เขมรที่ยอมสยบต่ออยุธยา หงสาวดีซึ่งได้เปรียบกว่าเพราะคุมเมืองท่าตะวันตกที่เป็นแหล่งที่มาของปืนใหญ่และทหารรับจ้างจากโปรตุเกสได้เรียกร้องให้สยามยอมรับสภาพเป็นเมืองขึ้น โดยร่วมมือกับฝ่ายเหนือคือพิษณุโลกและยึดอยุธยาได้เมื่อ พ.ศ. 2112 หงสาวดีได้กวาดต้อนผู้คนไปเป็นจำนวนมาก รวมทั้งช่างฝีมือ พระพุทธรูปและทรัพย์สินมากมาย ยึดเอาช้างและเครื่องบรรณาการอันมีค่าและจับสมาชิกราชวงศ์ไปเป็นคนรับใช้และตัวประกัน แต่การจะครอบครองเมืองที่อยู่ห่างไกลและมีวัฒนธรรมที่แตกต่างเป็นไปได้ยาก อิทธิพลของสยามต่อเขมรก็เริ่มเสื่อมถอยเมื่อญวนผงาดขึ้นมาเป็นคู่แข่ง ขณะที่พระนเรศวรที่หงสาวดีจับเป็นตัวประกันได้หนีจากการควบคุมและประกาศไม่ขึ้นต่อหงสาวดี โดยใช้เวลา 15 ปี ตลอดการขึ้นครองราชย์ทำสงครามต่อต้านการรุกรานจากพม่าเพื่อสถาปนาอยุธยาให้เป็นใหญ่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอีกครั้ง
ราษฎรล้วนต้องการสันติภาพ
หลังจากรัชสมัยพระนเรศวรผู้คนก็เริ่มเบื่อหน่ายละกลัวภัยสงคราม เพราะเมืองใหญ่ๆส่วนมากจะเคยถูกปล้นสะดมอย่างราบคาบอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ผู้คนเริ่มกระด้างกระเดื่องไม่ยอมร่วมมือกับกษัตริย์ในการสนองความต้องการทางอำนาจ เช่น ติดสินบนนายที่เกณฑ์ทหาร หนีไปบวชหรือหนีไปไกลๆ ดังนั้นพวกเจ้าจึงไม่สามารถเตรียมทัพได้ใหญ่โตเหมือนในอดีต หลายเมืองลงทุนก่อสร้างกำแพงเมืองด้วยอิฐ ขยายคูรอบเมืองให้กว้างขึ้น ติดตั้งปืนใหญ่ให้มากขึ้น ความพยายามตียึดเมืองต่างๆต้องล้มเหลวและกองทัพต้องสลายตัว
เมื่อสงครามสงบสังคมก็รุ่งเรือง อยุธยากลับมาเป็นราชธานีเป็นศูนย์อำนาจของที่ราบลุ่มเจ้าพระยา เป็นเมืองท่าเชื่อมเส้นทางการค้าระหว่างด้านตะวันออกและตะวันตก ทางตะวันออกมีโชกุนโตกุกาว่าที่ญี่ปุ่นเปิดทำการค้าด้วยแบบมีเงื่อนไข ทางตะวันตกมีจักรวรรดิซาฟาวิด ( Safavid ) ที่ครอบครองดินแดนอาหรับเปอร์เซียและจักรวรรดิโมกุล ( Mughal ) ที่ครอบครองชมพูทวีปหรือประเทศอินเดีย เป็นทั้งตลาดใหญ่และเป็นแหล่งสินค้ามีค่าหลายชนิด เส้นทางขนส่งสินค้าข้ามด้ามขวานทองเป็นที่นิยมของพ่อค้าแถบเอเชียมากขึ้นหลังจากที่พวกโปรตุเกสและดัตช์เข้ามาควบคุมเส้นทางสายใต้ที่ช่องแคบมะละกา อยุธยาจึงเจริญเติบโตจนอาจเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นเมืองที่มีความเป็นสากลมาก มีทั้งชุมชนจีน ญวน จาม มอญ โปรตุเกส อาหรับ อินเดีย เปอร์เซีย ญี่ปุ่นและชุมชนมาเลย์ต่างๆจากหมู่เกาะ มาตั้งถิ่นฐานอยู่รายรอบ พวกดัตช์เข้ามาเมื่อพ.ศ. 2147 เพื่อแย่งส่วนแบ่งการค้ากับญี่ปุ่นและตั้งชุมชนเพิ่มขึ้น ฝรั่งเศสและอังกฤษก็ตามเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ราชสำนักอยุธยาก็อาศัยผู้คนเหล่านี้โดยเลือกรับเอาชาวมเลย์ อินเดีย ญี่ปุ่นและโปรตุเกสเข้ามาเป็นทหารรักษาวัง จ้างจีนและเปอร์เซียเป็นข้าราชการดูแลเรื่องการค้า จ้างชาวดัตช์ต่อเรือ จ้างวิศวกรฝรั่งเศสและอิตาลีออกแบบป้อมปราการและการชลประทาน จ้างอังกฤษและอินเดียเป็นผู้ว่าราชการหัวเมือง จ้างชาวจีนและเปอร์เซียเป็นแพทย์ มีชาวญี่ปุ่นคือยามาดะ นางามาสะได้เป็นออกญาหรือพระยาเสนาภิมุขเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ชาวเปอร์เซียคือเฉกอะหมัดได้เป็นเจ้าพระยาบวรราชนายกดูแลกรมท่าในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและพระเจ้าประสาททอง
Constantine Phaulkon |
กษัตริย์อยุธยาตอนปลายได้กำไรมหาศาลจากการผูกขาดการค้าระหว่างประเทศ และมีรายได้จากภาษีที่เพิ่มขึ้นเพราะเศรษฐกิจในประเทศขยายตัว ค่าใช้จ่ายด้านการสงครามก็ลดลง ทรงใช้ทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นลงทุนสร้างพระราชวังใหม่ๆที่อลังการอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งอารามหลังใหม่และที่ปฏิสังขรณ์ใหม่รวมทั้งงานเทศกาลต่างๆที่เลื่องลือ มีการฟื้นฟูพิธีกรรมเขมรเพื่อทำให้กษัตริย์ดูลี้ลับและยิ่งใหญ่ สังคมแบ่งออกเป็นสองชนชั้น คือ กลุ่มขุนนางที่รับใช้กษัตริย์ประมาณสองพันคนกับครอบครัวของเขามีฐานะสูงต่ำตามศักดินาแบ่งการบริหารเป็นเวียง วัง คลัง นา กับอีกชนชั้นหนึ่งคือพวกไพร่ที่ถูกเกณฑ์ให้มารับใช้พวกคนชั้นนำ การขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าในยามที่สงครามเบาบางลง ทำให้ระบบเกณฑ์แรงงานอ่อนประสิทธิภาพลง คนจำนวนมากติดสินบนนายให้ลบชื่อพวกเขาออกจากบัญชีแรงงานเกณฑ์ บางคนก็ไปขึ้นอยู่กับนายที่ไม่เคร่งครัดมากนัก บางคนยอมขายตัวเป็นทาสเพื่อหาเงินมาทำการค้า บางคนหนีไปบวชเพื่อหนีเกณฑ์ หลายคนหนีไปอยู่ป่าลึก ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวงเริ่มตั้งแต่พระเพทราชา ที่มาจากบ้านพลูหลวง สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นราชวงศ์สุดท้ายของอยุธยา เกณฑ์คนมาเป็นทหารได้ไม่กี่พันคน กษัตริย์ต้องออกกฎหมายเพื่อปรับปรุงการลงบัญชี ลงโทษนายที่รับสินบน ห้ามไพร่ขายตัวลงเป็นทาส เปิดโปงพระปลอมและสืบหาผู้ที่แอบไปอยู่ภายใต้การปกป้องของขุนนาง
ส่วนพวกขุนนางที่ไม่ค่อยมีสงครามออกรบ ก็หันมาสร้างฐานะด้วยการทำงานกับพระคลังซึ่งดูแลด้านการค้า แต่กษัตริย์มักจ้างคนต่างชาติที่มีความรู้ความชำนาญและควบคุมได้ง่ายกว่า ขุนนางไทยที่รับราชการในพระคลังจึงมีจำนวนไม่มากแต่เด่นมากและร่ำรวยได้อย่างรวดเร็ว หนทางก้าวหน้าอีกทางหนึ่งคือการไต่เต้าจากการเมืองในราชสำนักโดยเฉพาะในช่วงของการสืบราชสมบัติที่การแก่งแย่งมักเริ่มด้วยการรบพุ่งกันที่ใจกลางเมืองหลวงแล้วจบลงด้วยการกำจัดขุนนางและสมาชิกราชวงศ์ที่เป็นชายของฝ่ายแพ้ผู้ซึ่งอาจจะแย่งชิงราชบัลลังก์อีกในกาลต่อมา ขุนนางที่ได้ช่วยให้กษัตริย์ครองราชย์ได้สำเร็จก็ได้รางวัลเป็นตำแหน่งและทรัพย์สิน ขุนนางมักจะสืบทอดตำแหน่งภายในตระกูลเดียวกัน และถวายลูกชายไปเป็นมหาดเล็กส่วนลูกสาวก็เข้าไปเป็นนางรับใช้ในวังโดยพยายามเลือกข้างที่จะได้ครองราชย์ แต่กษัตริย์ก็จะพยายามจำกัดอำนาจของขุนนางโดยเวียนตำแหน่งสำคัญไปตามตระกูลต่างๆ ไม่ยอมให้ให้ตระกูลใดสืบทอดตำแหน่งสำคัญได้นาน มีการเก็บภาษีเมื่อขุนนางตาย ควบคุมขุนนางอย่างเคร่งครัดมิให้สะสมทรัพย์ โดยกษัตริย์มักหาเหตุลงโทษขุนนางเรื่องการรับสินบน ผู้ตกเป็นจำเลยจะถูกประหารชีวิตในที่สาธารณะเพื่อประจานให้ตระกูลเสียหาย หลังจากนั้นก็จะจัดสรรเมียและทาสให้กับขุนนางอื่นๆและจะเปิดเรือนให้ผู้คนเข้าไปฉกชิงสิ่งของได้ พวกขุนนางผู้ใหญ่จึงไม่ค่อยสะสมสมบัติที่เปิดเผยและยึดได้ง่าย จึงมักนิยมสะสมเครื่องเพชรเพราะสะดวกในการเก็บและซุกซ่อน
ในสมัยราชวงศ์บ้านพลูหลวง หลังเกิดวิกฤติการณ์โค่นล้มพระนารายณ์มหาราชและขับไล่พวกยุโรปในพ.ศ. 2231 พ่อค้าอังกฤษและฝรั่งเศสละทิ้งอยุธยา อยุธยาหันไปค้ากับจีนและมลายู สยามเป็นแหล่งข้าวที่จีนพอใจมาก ชาวจีนอพยพมาตั้งถิ่นฐานในสยามจนกลายเป็นชุมชนใหญ่ถึงสองหมื่นคน ชาวจีนเข้ามามีบทบาทในการค้าขายทุกอย่าง เกิดตลาดค้าขายคึกคักรอบเมืองหลวง ที่ดินมีราคา มีสินค้านำเข้าหลากหลายชนิด เกิดมีพวกไพร่ร่ำรวยและติดสินบนขุนนางเพื่อให้ได้ยศฐาบรรดาศักดิ์ ทำให้พวกขุนนางร่ำรวยและมีอำนาจมากขึ้น การทำสงครามสืบราชสมบัติมีน้อยลงและจำกัดอยู่ในกลุ่มพระราชวงศ์ พวกขุนนางจึงไม่เสียหายมาก พวกตระกูลใหญ่จึงมีโอกาสได้สะสมไพร่พลและทรัพย์สิน
อลองพญา เจ้ากรุงอังวะ 2295-2303 |
จากอยุธยามาเป็นกรุงเทพ
พระเจ้าตากสิน ครองราชย์ 2310-2325 |
เมื่อการรบพุ่งเบาบางลง ผู้คนเริ่มกลับมาดำเนินชีวิตตามปกติ
ตระกูลขุนนางที่เหลือรอดมาได้นั้น มีเพียงไม่กี่รายที่พร้อมจะรับใช้กษัตริย์ที่ไม่ได้มาจากเชื้อสายเจ้า ขณะที่พระเจ้าตากสินก็มีแต่ส่งเสริมพวกนักเสี่ยงโชคและนักรบที่ได้ช่วยเหลือพระองค์มาตั้งแต่ต้นให้ได้ตำแหน่งสูงทั้งที่เมืองหลวงและหัวเมือง มีข้อยกเว้นอยู่บ้าง ที่สำคัญคือนายบุญมาที่มาจากตระกูลขุนนางมอญเก่าต่อมาได้นำพี่ชายคือนายทองด้วงเข้ามารับราชการด้วย พี่น้องทั้งสองได้กลายเป็นแม่ทัพเอกของพระเจ้าตากสิน พวกขุนนางเก่าจำนวนมากยอมรับนายทองด้วงหรือพระยาจักรีเป็นผู้นำของกลุ่ม
รัชกาลที่ 1 ครองราชย์ 2325-2352 |
เจ้ากาวิละ ผู้ครองเชียงใหม่ 2325-2358 |
เจ้าอนุวงศ์ ครองราชย์ 2348-2371 |
มีแต่เพียงด้านตะวันตกที่สยามไม่สามารถแผ่ขยายอิทธิพลได้สำเร็จ หลังจากส่งกองทัพไปตีทวายสองครั้งแต่ถูกพม่าตอบโต้
ยุคสมัยแห่งความวุ่นวายนี้ทำให้มีการโยกย้ายผู้คนไปทั่วบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยา กองทัพของพระเจ้าตากสินได้กวาดต้อนเชลยหลายพันคนจากยวนล้านนา ลาวเวียงจันทน์ ลาวพวน ไทยดำและเขมร รวมทั้งชาวมลายู ยังมีมอญอีกสามถึงสี่หมื่นคนก็ได้อพยพเข้ามาสวามิภักดิ์ต่อสยาม ทัพสยามและล้านนาเชียงใหม่ยังบุกขึ้นเหนือเพื่อยึดเขินลู้และไทยใหญ่หลังจากรบชนะเวียงจันทน์เมื่อปี 2370 โดยได้กวาดต้อนเชลยมากกว่า 150,000 คน โดยให้มาตั้งถิ่นฐานในที่ราบลุ่มเจ้าพระยาราว 50,000 คน ทั้งนี้กรุงเทพได้ส่งกองทัพไปลาวถึง 6 ครั้ง กวาดต้อนเชลยจากฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงจนเมืองถูกทิ้งร้าง และนำพวกลาวพวนมาจากทุ่งไหหิน นำไทยดำจากสิบสองปันนา รวมทั้งคนเขมรและเวียตนาม เชลยที่ตั้งรกรากอยู่รอบๆกรุงเทพถูกใช้เป็นแรงงานสร้างเมืองหลวงใหม่ พวกที่ตั้งรกรากอยู่แถบที่ราบลุ่มภาคกลางก็ให้ทำนาเพื่อเพิ่มผลผลิตข้าว กลุ่มอื่นๆก็ถูกกวาดต้อนให้ไปอยู่อีสานเพื่อหาของป่าที่กรุงเทพต้องการส่งไปขายให้จีน
ตระกูลขุนนางไม่กี่รายที่รอดมาหลังจากการเสียกรุงและเกี่ยวโยงกับราชวงศ์จักรีได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว บางตระกูลรุ่งเรืองและอลังการเทียบเท่าพระราชวงศ์เลยทีเดียวโดยเฉพาะตระกูลบุนนาคที่สืบเชื้อสายไปได้ถึงต้นตระกูลชาวเปอร์เซียที่เข้ามาสยามในสมัยพระนเรศวร คนสำคัญในตระกูลบุนนาคได้เป็นเป็นเสนาบดีกลาโหม มหาดไทยและกรมท่าหนึ่งหรือสองตำแหน่งเสมอตลอดชั่วสี่อายุคน กษัตริย์จึงมีอำนาจมากกว่าพวกขุนนางตระกูลใหญ่ไม่มากนัก ตระกูลขุนนางใหญ่เพิ่มสมาชิกของครอบครัวด้วยการมีภรรยาหลายคนจะได้มีลูกชายที่เก่งกาจเพื่อสืบทอดตระกูลต่อไป และต้องมีลูกสาวมากพอที่จะไปแต่งงานกับครอบครัวชนชั้นนำอื่นให้เป็นเครือข่ายสัมพันธ์กัน เจริญรอยตามกษัตริย์ที่มีโอรสธิดาจำนวนมาก ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 จนถึงรัชกาลที่ 5 ตระกูลขุนนางใหญ่เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ตั้งบ้านเรือนรอบๆวังหลวงเปรียบเหมือนเมืองขนาดเล็ก ตระกูลบุนนาคได้รับพระราชทานที่ดินผืนใหญ่สองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาที่สำเพ็งจึงได้สร้างวัด 3 แห่ง ทั้งขุดคลองและสร้างบ้านเรือนให้ลูกหลานที่มีเป็นจำนวนมาก พวกพ่อค้าและช่างฝีมือก็พากันมาตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ กษัตริย์กรุงเทพองค์ใหม่ได้รับความชื่นชอบในฐานะเป็นผู้ปกปักพุทธศาสนาจากพม่าผู้รุกราน ชัยชนะในการทำศึกเหนือดินแดนลาวและเขมรเป็นความชอบธรรมเพราะทำให้ชาวลาวและเขมรได้เข้ามาอยู่ใต้พระบรมโพธิสมภารของกษัตริย์ไทยผู้มีพุทธธรรมสูงกว่าเจ้าผู้ปกครองพวกเขาก่อนหน้านั้น เท่ากับได้ช่วยคนลาวและเขมรได้ก้าวเข้าสู่ความหลุดพ้นหรือพระนิพพานเพราะถือกันว่ากษัตริย์ไทยนั้นเป็นพระโพธิสัตว์ที่สั่งสมบารมีมาแต่ชาติปางก่อนที่จุติมาเพื่อช่วยให้มนุษย์หลุดพ้นจากทุกข์และสืบทอดพระศาสนามิให้สูญหายไปจากโลก อีกทั้งยังทรงชำระคณะสงฆ์ให้บริสุทธิ์และมีการสังคายนาพระไตรปิฎกให้มีความถูกต้องสมบูรณ์ ให้ราษฎรได้ประพฤติปฏิบัติธรรมเจริญรอยตามพระพุทธองค์ที่ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาถึง 500 ชาติ โดยเฉพาะการส่งเสริมทานบารมีโดยทรงจัดให้มีการเทศน์มหาชาติเรื่องพระเวสสันดรเป็นประจำทุกปีที่วัดพระแก้ว
รัชกาลที่ 1 มีแม่เป็นลูกสาวคนงามของตระกูลเจ้าสัวจีนที่ร่ำรวยของอยุธยาจึงได้ทรงสานต่อนโยบายของพระเจ้าตากสินได้ส่งเสริมให้ชาวจีนอพยพได้เข้ามาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจ มีจีนอพยพหลั่งไหลเข้ามาตลอดช่วงรัตนโกสินทร์ตอนต้นโดยมุ่งการค้าต่างประเทศไปทางตะวันออกโดยเฉพาะจีน แม่น้ำเจ้าพระยาเต็มไปด้วยสำเภาจีน คล้ายกับว่าชาวจีนได้กลายเป็นคนส่วนใหญ่ของกรุงเทพ เมื่อถึงปี 2378 ชุมชนจีนที่สำเพ็งได้กลายเป็นตลาดใหญ่ที่คึกคักมากตลอดเส้นทางที่ยาวถึงสามกิโลเมตรตามแนวถนนที่ปูด้วยอิฐเผา มีทั้งร้านขายสินค้าสารพัดทั้งของสดของแห้ง เหล้า ยา เครื่องมือสารพัด รวมทั้งบ่อนการพนันและซ่องโสเภณี
จีนอพยพรุ่นแรกส่วนใหญ่จะเกี่ยวพันกับการค้าข้าวระหว่างสยามกับจีนที่กำลังรุ่งเรือง ตามมาด้วยพวกที่อพยพหนีความอดอยากยากจนและความวุ่นวายทางการเมืองในจีนตอนใต้ มีชาวจีนอพยพเข้ามาประมาณปีละ 7,000 คนทุกปีช่วงทศวรรษที่ 2360 และเพิ่มขึ้นเป็น 14,000 คนในปี 2413 ชาวจีนที่หากินอยู่ในสยามได้สักสองสามปี จะมีราวครึ่งหนึ่งที่เดินทางกลับเมืองจีน แต่มีชาวจีนที่ตัดสินใจตั้งหลักปักฐานในสยามเมื่อทศวรรษ 2390 มีรวมกันถึง 300,000 คน ส่วนมากรับจ้างเป็นกุลีแบกหามของที่ท่าเรือและที่อื่นๆในกรุงเทพ บ้างก็จับจองที่ดินชายขอบที่ราบลุ่มปากแม่น้ำเจ้าพระยาเพื่อปลูกผักขายในเมือง
กรุงเทพ 2367 ต้นรัชกาลที่ 3 |
พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เล่าเตียน โชติกเสถียร) |
ความเปลี่ยนแปลงของสังคมสยาม
ในสมัยรัตนโกสินทร์
ไพร่ คือสามัญชน ที่มักอยู่ตามป่าดงพงไพร |
จับกังหรือกุลีจีนที่อพยพเข้าสยาม |
อีกสภาพหนึ่งเป็นสังคมเศรษฐกิจการตลาดที่อาศัยแรงงานและผู้ประกอบการจากชาวจีนอพยพ กำลังก่อตัวและขยายตัวควบคู่ไปกับสังคมแบบเก่า ต่อมาจึงได้ดึงเอาคนในส่วนอื่นๆเข้าร่วมวงด้วย ชาวนาในภาคกลางหันมาปลูกข้าวเพื่อส่งออก หรือขายให้พ่อค้า บางคนปลูกอ้อยส่งโรงงานหีบอ้อยของคนจีน ตัดไม้ให้อู่ต่อเรือ เป็นช่างผลิตสิ่งของส่งตลาดที่กำลังขยายตัว พวกขุนนางก็หันมาเป็นผู้ประกอบการกันมากขึ้น บ้างก็ทำกิจการเอง บางคนก็เข้าหุ้นหรือเป็นผู้อุปถัมภ์ชาวจีน ตระกูลใหญ่ๆบางตระกูล เช่น ตระกูลบุนนาคจะมีกิจการค้าหลายประเภท ทั้งนำเข้าส่งออกและทำไร่ขนาดใหญ่
เศรษฐกิจแบบเก่าที่อาศัยแรงงานเกณฑ์และเศรษฐกิจการตลาดแบบใหม่ต่างก็แก่งแย่งกันทั้งเรื่องทรัพยากรและแรงงาน ค่าตัวของทาสเพิ่มขึ้นสูงกว่าที่ทางการกำหนดในทศวรรษที่ 2360 ไพร่หนีไปทำงานทางเศรษฐกิจการตลาดมากขึ้น กษัตริย์และขุนนางต้องแย่งแรงงานเกณฑ์ที่มีจำนวนน้อยลงโดยต่างเสนอแรงจูงใจมาแข่งกัน
สมัยรัชกาลที่ 3 พวกหัวเก่าที่ต้องการควบคุมไพร่ทาสแบบดั้งเดิมเข้มแข็งมากและต้องการกันพวกฝรั่งออกไปห่างๆ ทรงเปลี่ยนจากการค้าผูกขาดในราชสำนักมาเป็นระบบเจ้าภาษีนายอากร ทรงปฏิเสธการเปิดค้าเสรีกับฝรั่ง และใช้ระบบเกณฑ์แรงแบบเดิมเพื่อทำสงครามกับเขมร แต่พวกหัวใหม่ที่นำโดยตระกูลบุนนาคต้องการขยายการค้ากับฝรั่งเพื่อให้เศรษฐกิจขยายตัวและเพิ่มความมั่งคั่ง ขณะที่อังกฤษทำสงครามฝิ่นสยบประเทศจีนส่งผลให้การค้าสำคัญระหว่างสยามกับจีนต้องหยุดชะงักอย่างสิ้นเชิง อินเดียและจีนต้องอยู่ในการครอบงำของตะวันตก ชนชั้นนำของไทยจึงต้องหันมาค้าขายกับตะวันตก
เศรษฐกิจแบบตลาดที่รุ่งเรืองและกลุ่มสังคมใหม่ๆส่งผลให้เกิดวิธีคิดแบบใหม่ๆที่มาจากโลกตะวันออกและโลกตะวันตก ทำให้ผู้คนหันมาให้คุณค่ากับการอ่านออกเขียนได้และการเรียนรู้มากขึ้น พวกฝรั่งต่างชาติ ทั้งกลุ่มทูต หมอสอนศาสนาและพ่อค้าฝรั่งก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่สยามและนำความรู้และวิทยาการใหม่เข้ามา เจ้าฟ้ามงกุฏขณะบวชหนีราชภัยก่อนขึ้นครองราชย์ก็ได้มีการติดต่อพวกฝรั่งโดยเฉพาะพวกหมอสอนศาสนา ได้เรียนรู้ภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งอื่นๆ รวมทั้งการพิมพ์หนังสือ การนำเข้าหนังสือและเครื่องมือจากต่างประเทศ เครื่องจักรไอน้ำ รวมทั้งวิชาการด้านต่างๆ
พวกฝรั่งได้กลับเข้ามาอีกพร้อมทั้งนำความคิดและวิชาการสมัยใหม่เข้ามารวมทั้งลัทธิเจ้าอาณานิคมที่เป็นตัวเร่งนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง
รัชกาลที่ 3 ครองราชย์ 2367-2394 |
ถนนเจริญกรุง ปี 2439 |
ก่อนหน้านั้นชาวจีนก็มักนุ่งกางเกงและเสื้อกุยเฮงเป็นเสื้อคอกลมผ่าอกตลอดติดกระดุมมีกระเป๋าด้านล่างข้างละกระเป๋า ขณะที่คนไทยและอื่นๆยังนุ่งโสร่งหรือผ้าถุงหรือคาดผ้าข้าวม้า โดยพวกผู้หญิงจะมีผ้าคาด อกด้วย
ชาวบ้านที่มุกดาหาร 2443 |
รถลากหรือรถเจ๊กสมัยรัชกาลที่ 5 |
ตระกูลเจ้าสัวใหญ่ดั้งเดิมจำนวนหนึ่งตัดสินใจกันก่อตั้งธนาคารและบริษัทเดินเรือ เพื่อแสวงหาธุรกิจใหม่ๆแทนธุรกิจเดิมให้เป็นแหล่งทุนของพ่อค้าจีนแข่งกับพวกพ่อค้ายุโรป จึงมีความต้องการแรงงานจำนวนมากเพื่อทำงานที่ท่าเรือ โรงสีข้าวและสาธารณูปโภคใหม่ๆ มีการจ้างจับกังหรือคนงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนจีนนับแสนคนหรือประมาณ 1 ใน 4 ของประชากรกรุงเทพ เฉพาะกิจการโรงสีข้าวอย่างเดียวก็มีแรงงานระหว่าง 1 หมื่นถึง 2 หมื่นคน โดยมีคนไทยทำงานรับจ้างมากขึ้นภายหลังการเลิกทาสและเริ่มมีรัฐวิสาหกิจ เช่น การรถไฟ
จับกังหรือแรงงานรับจ้างจีนในสยาม |
วัยรุ่นกรุงเทพ 2453 |
ชุมชนพ่อค้าจีนมักจะก่อตั้งสถาบันหรือสมาคมต่างๆเพื่อสนับสนุนการดำเนินชีวิตและธุรกิจของพวกเขา รวมไปถึงการออกหนังสือพิมพ์จีน สร้างโรงพยาบาลและมูลนิธิ รวมทั้งสมาคมต่างๆโดยมีพ่อค้าจีนระดับนำเป็นผู้สนับสนุนด้านการเงินและเป็นกรรมการ ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อค้าจีนและราชสำนักที่เคยอุปถัมภ์กันมาเริ่มห่างเหิน เพราะราชสำนักหันไปสนใจด้านตะวันตกขณะที่ชาวจีนที่กรุงเทพก็ร่ำรวยขึ้นและมีสมาคมของพวกเขาเอง
หลังการปฏิรูประบบบริหารที่รวมศูนย์อำนาจสู่ส่วนกลางสมัยรัชกาลที่ 5 มีการก่อตั้งโรงเรียนข้าราชการพลเรือนที่ต่อมาพัฒนาเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่ได้กลายเป็นช่องทางสู่การเป็นข้าราชการระดับสูงของสมาชิกพระราชวงศ์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมายโดยอาศัยเงินเดือนข้าราชการในสมัยนั้นซึ่งมากพอที่จะเลี้ยงครอบครัวได้ รัฐบาลได้ชักจูงขุนนางและผู้ปกครองตระกูลใหญ่ตามหัวเมืองส่งลูกชายเข้าโรงเรียนและวิทยาลัยที่ก่อตั้งขึ้นใหม่ ทำให้เกิดสามัญชนคนชั้นกลาง พวกข้าราชการชั้นผู้น้อย ครู นักวิชาชีพ
สยามยุคนักล่าอาณานิคม
บ้านแพริมน้ำ กรุงเทพ 2405 |
มีชาวจีนอพยพเข้ามาตั้งแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์โดยนำเมล็ดพันธุ์พืชหลากหลายชนิดเข้ามาปลูก รวมทั้งพวกไพร่ที่หลีกเลี่ยงการเข้าเวรก็เข้าไปทำไร่บุกเบิก เริ่มแรกพากันปลูกอ้อยเป็นส่วนใหญ่ แต่ตลาดอ้อยซบเซาเพราะน้ำตาลจากยุโรปและชวาหรืออินโดนีเซียราคาถูกกว่าในช่วงทศวรรษ 2410 จึงหันมาปลูกข้าวกันเป็นหลัก ขณะที่ประเทศอาณานิคมของฝรั่งรอบๆเมืองไทยมีการขยายตัวของคนที่ทำงานในเมืองหรือในไร่ที่ปลูกพืชที่ไม่ใช่อาหารทำให้มีความต้องการข้าวมากขึ้น อีกทั้งมีการใช้เรือกลไฟขนส่งสินค้าหนักทางน้ำจึงช่วยลดต้นทุนการขนส่งข้าวได้มาก ขณะที่ชาวนาเข้าบุกเบิกจับจองที่ดินบริเวณที่ราบลุ่มเจ้าพระยาและชายฝั่งคลองที่ขุดขึ้นเพื่อเป็นเส้นทางขนส่งทางเรือ กษัตริย์ก็เริ่มมีนโยบายขุดคลองนับตั้งแต่ทศวรรษที่ 2400 เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกราชวงศ์ที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็วได้เข้าจับจองที่ดิน ทรงขุดคลองใหม่หลายแห่งและโปรดให้แบ่งที่ดินสองฝั่งคลองให้กับบรรดาพระญาติ พวกขุนนางก็เจริญรอยตาม เช่น ตระกูลบุนนาคซึ่งขุดคลองไปทางตะวันตก ตระกูลสนิทวงศ์ขุดคลองที่ทุ่งรังสิตเพื่อทดน้ำออกจากบริเวณที่กว้างใหญ่ถึง 1.5 ล้านไร่ โดยกษัตริย์เข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนแบ่งที่ดินสองฝั่งคลองเป็นผืนใหญ่ราว 1,500 ถึง 3,000 ไร่ โดยมีไพร่ในสังกัดตระกูลขุนนางเป็นแรงงาน มีชาวบ้านอพยพมาจากอีสานเพื่อมาเช่าที่ดินและทำงานเป็นลูกนา รัฐบาลได้ออกกฎหมายที่ดิน มีการออกโฉนดที่ดิน ทำให้ราคาที่ดินสูงขึ้นหลายเท่าตัว สร้างผลกำไรแก่พวกราชวงศ์อย่างมากมายมหาศาล
ขบวนของเจ้านาย 2443 |
Sir John Bowring (2335-2425) |
สยามเปิดกว้างรับสิ่งต่างๆจากตะวันตกเพิ่มขึ้นหลังสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง แต่ในช่วงหนึ่งร้อยปีที่ผ่านมา มีทั้งเชลยจำนวนมากที่ถูกกวาดต้อนมาจากดินแดนรอบนอกและชาวจีนที่อพยพเข้ามา ทำให้สังคมมีความหลากหลายมาก พวกชนชั้นนำจึงต้องสร้างและปลูกฝังหลักการทางความคิดเรื่องชาติให้เป็นเอกลักษณ์เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันและใช้การบริหารราชการแบบรวมศูนย์อำนาจเพื่อตั้งรับการคุกคามของเจ้าอาณานิคมและสร้างระบอบการปกครองและควบคุมทดแทนระบอบเก่าที่เสื่อมประสิทธิภาพและไม่อาจสนองตอบความต้องการใหม่ๆของระบบเศรษฐกิจการตลาด ขณะที่มีชาวจีนเข้ามาอยู่ในสยามถึง 3 แสนคนแล้ว เริ่มแรกรัฐบาลพยายามควบคุมคนจีนโดยรับเอาหัวหน้าชุมชนจีนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของระบบราชการ แต่ชาวจีนอยู่กันแบบกระจัดกระจายเป็นหลายกลุ่มหลายพวก ทำให้การควบคุมแบบเก่าไม่ได้ผล มีความวุ่นวายในแถบไร่อ้อยภาคตะวันออกของกรุงเทพจนทางการต้องส่งทหารไปกำราบ เมืองระนองทางตอนใต้เกือบถูกยึดเมื่อคนงานเหมืองแร่ก่อการจลาจล รัฐบาลส่งเรือรบไปปราบ แต่ม็อบคนจีนตอบโต้โดยเผาเมืองภูเก็ตแล้วฉกชิงข้าวของ คนงานจีนที่กรุงเทพนัดหยุดงานทำให้ท่าเรือเป็นอัมพาต แก๊งคนจีนที่เป็นคู่อริก่อการต่อสู้ทำสงครามกันกลางกรุงเทพเป็นเวลา 3 วันในปี 2432 พวกชาวจีนได้ก่อตั้งสมาคมเพื่อช่วยเหลือและปกป้องกันเอง แต่รัฐบาลมองว่าเป็นสมาคมลับหรืออั้งยี่ ทั้งยังเกรงกลัวว่าพวกอั้งยี่จะลักลอบนำฝิ่นเข้ามา ทั้งต้มเหล้าเถื่อน ตั้งบ่อนการพนันแถมยังติดอาวุธอีกด้วยถึงกับมีการปะทะกับเจ้าหน้าที่ด้วยปืนและปืนใหญ่ ขณะที่เริ่มมีปัญหาเรื่องโจรผู้ร้าย บางแห่งตั้งขึ้นมาปกป้องตนเองเพื่อต่อสู้กับทางราชการ ในพื้นที่ห่างไกลในภาคอีสานก็มีพวกกบฏผู้มีบุญหรือกบฏผีบุญเพื่อสร้างสังคมที่เป็นธรรมและอุดมสมบูรณ์แก่ชาวสยามเชื้อสายลาว
สนธิสัญญาเบาว์ริ่งและสนธิสัญญาที่ทำกับฝรั่งชาติอื่นๆได้กระตุ้นเศรษฐกิจระบบตลาดให้ขยายตัว ให้อำนาจทางศาลแก่คนในอาณัติของฝรั่งให้ไปขึ้นศาลกงศุลของประเทศที่ตนสังกัดแทนที่จะขึ้นศาลไทย พ่อค้าจีนหลายคนทำตัวเป็นคนในอาณัติของฝรั่งหรือเป็นคู่ค้ากับคนในอาณัติของฝรั่งเพื่อที่จะหลบเลี่ยงกฎหมายและการควบคุมของรัฐบาลไทย ชาวจีนบางคนก็หันไปเข้ารีตคือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์เพื่อเป็นข้ออ้างขอความคุ้มครองจากรัฐบาลฝรั่ง หากเจ้าหน้าที่รัฐบาลพยายามปราบปรามกิจกรรมของคนเหล่านี้ก็เกรงว่าจะกลายเป็นประเด็นความขัดแย้งซึ่งเจ้าอาณานิคมอาจจะถือเป็นเหตุเข้ายึดครองสยามได้
พิธีตรียัมปวาย ปีใหม่พราหมณ์รับพระอิศวรเยือนโลกมนุษย์ |
ช่วง บุนนาค ( 2335-2415 ) |
Anna Leonowens ( 2374-2458) |
รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้งกรมพระคลังและทรงก่อตั้งศาลใหม่เพื่อพิจารณาคดีจำนวนหนึ่งเป็นการรวมศูนย์อำนาจการเก็บภาษีและอำนาจทางการศาลเป็นการลดรายได้และอำนาจของพวกขุนนาง ทรงควบคุมการปกครองไปถึงระดับท้องถิ่น โดยการส่งข้าหลวงไปกำกับหัวเมืองที่หลวงพระบาง หนองคาย โคราช อุบลและภูเก็ต มีกองทหารประจำการ เจ้าเมืองเดิมยังมีตำแหน่งอยู่แต่ไม่มีอำนาจที่แท้จริง และเมื่อเสียชีวิตก็จะมีการแต่งตั้งเจ้าเมืองใหม่จากกรุงเทพและมักเป็นสมาชิกพระราชวงศ์ ทรงแต่งตั้งกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นเสนาบดีมหาดไทยนำระบบรวมศูนย์อำนาจจากกรุงเทพมาปรับใช้ในมณฑลชั้นใน ให้กรุงเทพแต่งตั้งเจ้าเมืองแทนตระกูลเจ้าเมืองเดิมที่สืบทอดตำแหน่งกันมา พอถึงปี 2457 กระทรวงมหาดไทยก็แต่งตั้งข้าราชการถึง 3,000 นายไปประจำตามหัวเมืองต่างจังหวัดโดยกินเงินเดือนจากกรุงเทพแทนระบบการกินเมืองแบบเดิมมีการสร้างที่ว่าการมณฑลแทนจวนหรือบ้านของเจ้าเมืองเดิม
พวกหัวเมืองรอบนอกออกไปหลายแห่งได้ก่อการกบฏ ทั้งที่ขอนแก่น เชียงใหม่ กบฏผีบุญที่อุบล รัฐที่ภาคใต้ การกบฏที่ภาคเหนือเข้ายึดเมืองแพร่ การกบฏที่ล้านนา กบฏที่อีสานเข้ายึดเมืองเขมราฐในอุบลที่ฝั่งแม่น้ำโขง แต่บรรดากบฏเหล่านี้ใช้เพียงอาวุธพื้นเมืองและเชื่อว่าน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีบุญที่เป็นผู้นำหรือผีบุญจะทำให้พวกเขาอยู่ยงคงกระพัน ขณะที่รัฐบาลมีทั้งปืนใหญ่และอาวุธปืนอื่นๆ กองทหารได้สังหารฝ่ายกบฏที่อีสาน จับผู้นำกบฏที่ล้านนาประหารชีวิต จับเจ้าเมืองปัตตานีที่เป็นชาวมลายูขังคุก ทางราชสำนักได้ชะลอการปฏิรูปลงระยะหนึ่งโดยเฉพาะที่ล้านนาเพื่อลดกระแสความกระด้างกระเดื่องไม่พอใจ
อ้างชาติเชื้อไทยไว้หลอกฝรั่ง
John Bowring เข้าเฝ้าร. 4 พ.ศ.2398 |
ภาพประตูวัดโพธิ์ อธิบายลักษณะของชาวสยาม |
ระบอบนายกับบ่าวสมัยรัชกาลที่ 4 |
ราชสำนักสยามจึงต้องหันมาใช้วาทกรรมเรื่องเชื้อชาติโดยอ้างว่าเชื้อชาติหมายถึงคนที่พูดภาษาเดียวกันโดยตีความว่าคนที่พูดภาษาไทยทั้งหลายทุกกลุ่มทุกสำเนียงล้วนเป็นคนไทยทั้งสิ้น อีกด้านหนึ่งก็ให้คำจำกัดความว่าคนที่อาศัยอยู่ในราชอาณาจักรเดียวกันเป็นพสกนิกรและข้าราชบริพารของพระมหากษัตริย์องค์เดียวกันถือว่าเป็นคนไทยเหมือนกัน
รัฐบาลได้ตั้งมณฑลใหม่หลังจากปี 2442 โดยไม่ใช้ชื่อเดิมที่เป็นการแบ่งแยกเชื้อชาติเป็นลาว เขมร มลายู หรือแขก แต่ตั้งชื่อเป็นภาษาบาลี-สันสกฤติ โดยบางชื่อมีความหมายเป็นชื่อทิศที่มีกรุงเทพเป็นจุดศูนย์กลาง เช่น อุดร พายัพ บูรพา
สนธิสัญญาระหว่างประเทศในฉบับภาษาไทยนับตั้งแต่ปี 2445 ก็ใช้คำว่าประเทศไทยแทนคำว่าสยามโดยเรียกประชาชนที่อยู่ในราชอาณาจักรไทยว่ามีสัญชาติไทย ให้ประเทศและชนชาติเป็นสิ่งเดียวกันเพื่อยืนยันให้ฝรั่งยกเลิกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตของคนในอาณัติฝรั่ง แต่รัฐบาลไทยต้องยอมยกดินแดนจำนวนมากเป็นการชดเชยให้ฝรั่ง โดยยกดินแดนในมณฑลเขมร คือ เสียมเรียบ พระตะบองและศรีโสภณให้ฝรั่งเศสในปี 2450 ยกรัฐมลายู คือ ไทรบุรี (เคดาห์) กลันตัน ตรังกานูและปะลิสให้อังกฤษในปี 2452 รัฐบาลไทยพยายามเสนอความเป็นไทยที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันต่อพวกฝรั่ง แต่ยังให้คงความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติภายในระหว่างกันเอง รัฐหรือประเทศไทยแบบใหม่ได้รวมเอาประชาชนที่มาจากหลากหลายภูมิหลังและความคิดให้มาอยู่ในกรอบวินัยเดียวกัน ใช้กองทัพประจำการที่เพิ่งสร้างขึ้นใหม่เพื่อควบคุมให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ มีการจัดตั้งตำรวจขึ้นใหม่เมื่อรัฐบาลตัดสินใจยกเลิกบ่อนการพนัน โดยเริ่มแรกเพื่อใช้ตำรวจควบคุมอั้งยี่ รัชกาลที่ 5 ได้มอบหมายให้พระโอรสคือกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์รพีพัฒณศักดิ์ที่จบจากออกซ์ฟอร์ดให้สร้างระบบตุลาการโดยให้ใช้ระบบกฎหมายแบบลายลักษณ์อักษรเพราะเชื่อว่าจะเป็นที่พอใจของพวกฝรั่งมากกว่าระบบประเพณีของอังกฤษ จึงให้มีร่างประมวลกฎหมายอาญาเมื่อปี 2451 โดยรัชกาลที่ 5 ทรงนำเอาระบบตุลาการมารวมกันกับระบบราชการเพื่อต้องการควบคุมประชาชนให้เข้มข้นขึ้นตามแบบอย่างประเทศอาณานิคม ดังนั้นรัฐชาติหรือประเทศไทยจึงได้มีเครื่องมือที่พร้อมเพรียงเพื่อควบคุมพลเมืองพร้อมทั้งได้เตรียมหล่อหลอมประชาชนให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติในอุดมคติระยะยาว โดยใช้ศาสนาพุทธมาเป็นเครื่องมือใช้สอนเพื่อสร้างวินัยแก่สังคม ทั้งรัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 ทรงแต่งตั้งสมาชิกพระราชวงศ์ให้มาเป็นพระสังฆราชอย่างต่อเนื่องควบคุมมหาเถรสมาคมและการฝึกอบรมพระสงฆ์ ให้มีระเบียบปฏิบัติและมีวินัยเป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยได้ออกพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2445 จัดลำดับการปกครองคณะสงฆ์ตั้งแต่ระดับบนสุดคือกษัตริย์และพระสังฆราชลงมา ให้พระสงฆ์ต้องเรียนจากหลักสูตรมาตรฐาน มีการจัดสอบระดับคุณวุฒิจากส่วนกลาง กำหนดการเทศนาสั่งสอนจากตำราซึ่งทางการอนุมัติแล้ว วัดใหม่ต้องสร้างตามแบบที่กำหนดเป็นมาตรฐาน กรมวชิรญาณทรงชักชวนพระสงฆ์ที่ล้านนาให้ยกเลิกประเพณีเดิมและทรงรวบรวมพระสงฆ์ที่มีชื่อจากอีสานและภาคใต้ให้เข้ามาอยู่ในธรรมยุต มีการจัดทำตำรามาตรฐานเพื่อใช้ในโรงเรียนตามพรบ.การศึกษาที่บังคับให้เด็กทุกคนต้องเรียนจบชั้นประถมศึกษาในปี 2464
มรว.เปีย มาลากุล 2410-2459 บิดาของมล.ปื่น มาลากุล |
รัชกาลที่ 5 ทรงก่อตั้งอภิรัฐมนตรี ประกอบด้วยเสนาบดี 12 คน โดยแต่งตั้งพระเชษฐาหรือพระอนุชาเป็นเสนาบดีถึง 9 ตำแหน่ง พร้อมทั้งส่งพระราชโอรสองค์โต 4 พระองค์ไปศึกษาที่ต่างประเทศและได้แต่งตั้งให้มีตำแหน่งระดับสูงหลังจบการศึกษา
ชนชั้นนำของไทยหันมานิยมชมชอบตะวันตก ขณะที่พยายามสร้างมรดกทางวัฒนธรรมของตนเองให้โดดเด่นโดยพยายามฟื้นฟูรักษาวัฒนธรรมราชสำนักสยามสมัยอยุธยาเอาไว้ทั้งการแสดงโขนรามเกียรติ์รวมทั้งการตั้งชื่อสถานที่ต่างๆเสียใหม่โดยใช้คำสันสกฤติหรือบาลีเพราะฟังดูแล้วไพเราะและมีระดับมากกว่าคำไทยหรือคำลาวของคนธรรมดาสามัญ
รัชกาลที่ 5 ทรงเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างชาติประเทศที่ต้องมีประวัติศาสตร์สืบย้อนหลังไปเป็นพันปีเหมือนนานาอารยประเทศจึงทรงจัดตั้งสมาคมโบราณคดีในปี 2450 เพื่อจัดรวบรวมประวัติศาสตร์ชาติสยาม ในปีต่อมารัชกาลที่ 6 ได้เสด็จประพาสสุโขทัยและทรงนำเนื้อหาในศิลาจารึกโดยทรงร่วมกับกรมพระยาดำรงราชานุภาพสร้างประวัติศาสตร์ชาติไทยให้คนไทยได้ภูมิใจว่าชาติไทยมีประวัติศาสตร์สืบต่อมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัยต่อเนื่องมาจนถึงอยุธยา ธนบุรีและรัตนโกสินทร์ กรมพระยาดำรงทรงนิพนธ์งานเขียนทางประวัติศาสตร์กว่า 50 เล่ม โดยเฉพาะเรื่องไทยรบพม่าที่กลายเป็นหนังสือประวัติศาสตร์ไทยที่ทำให้คนไทยได้เห็นว่าพม่าคือศัตรูของไทยตลอดกาล ให้กษัตริย์ไทยเป็นศูนย์กลางของประวัติศาสตร์โดยเฉพาะพระนเรศวรและรัชกาลที่ 1 ที่เป็นวีรบุรุษผู้ปกป้องอิสรภาพของชาติอย่างกล้าหาญ โดยบรรยายถึงการเสียกรุงทั้งสองครั้งอย่างยืดยาวในปี 2112 และ 2310 ว่าเป็นความหายนะครั้งใหญ่ของชาติไทยที่เกิดจากการขาดความสามัคคีของคนในชาติโดยยกเอาสามัญชนเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ชาติไทยคือบ้านบางระจันที่ต่อสู้กับพม่าอย่างอาจหาญในปี 2310 กรมพระยาดำรงได้ให้คำจำกัดความของความเป็นไทยว่าหมายถึงความรักในอิสระ ความรักสงบและความฉลาดในการประสานประโยชน์หล่อหลอมขึ้นเป็นชนชาติไทยที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์และใช้ภาษาไทย
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ 2405-2486 |
ขุนวิจิตรมาตรา 2440-2523 |
Dr. Sun Yat Sen 2409-2468 |
ราชสำนักเริ่มหวั่นวิตกจากการขยายตัวของชาวจีนกลุ่มใหม่ที่เข้าครอบงำการลุงทุนและเป็นส่วนใหญ่ของคนงานในเมือง คนจีนนัดหยุดงานครั้งใหญ่ทำให้กรุงเทพเป็นอัมพาตถึง 3 วันในเดือนมิถุนายน 2453 มีชาวจีนอพยพเข้ามาอีกระลอกใหญ่ในทศวรรษที่ 2460 และ 2470 อีกราว 500,000 คน รัชกาลที่ 6 ทรงเอาอย่างชนชั้นอภิสิทธิ์ชนในยุโรปซึ่งปราบชาวยิวและดูถูกคนจีน ทรงกล่าวหาว่าชาวจีนปฏิเสธที่จะปรับตัวรับวัฒนธรรมสยาม ขาดความจงรักภักดี อยากมีอภิสิทธิ์ บูชาเงินเป็นพระเจ้าและเป็นกาฝากทางเศรษฐกิจ ขณะที่รัฐบาลสยามผ่อนปรนต่อพวกเจ้าสัวขุนนางหรือพ่อค้าใหญ่ แต่ลูกจ้างชาวจีนที่นัดหยุดงานจะถูกจำคุกหรือเนรเทศ พรรคก๊กมินตั๋งมีกลุ่มนักธุรกิจชั้นนำสนับสนุนโดยมีหอการค้าจีนอยู่หน้าฉาก มีสมาชิกก๊กมินตั๋งในสยามถึง 20,000 คน เมื่อเจียงไคเช็กประกาศกำจัดฝ่ายคอมมิวนิสต์ออกไปจากก๊กมินตั๋งที่เซี่ยงไฮ้ในปี 2470 ได้มีนักเคลื่อนไหวหลายคนหนีมาอยู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมทั้งสยาม รัชกาลที่ 6 ทรงระบุชาวจีนเป็น 1 ใน 7 ปัญหาของสยามที่หลั่งไหลอพยพเข้ามาจำนวนมากมายโดยตั้งใจคงความเป็นจีนเอาไว้และยังได้นำความคิดใหม่ที่เป็นอันตรายเข้ามาเผยแพร่และยังมาแย่งการทำมาหากินของคนไทย
จอมพล ป.ต้อนรับน.ศ.จุฬาเรียกร้อง ดินแดนคืนจากฝรั่งเศส 8ตค.2483 |
ศ.ศิลป์ พีระศรี 2435-2505 |
สฤษดิ์ใช้ ม.17 จับครอง จันดาวงศ์(บน) และทองพันธุ์ สุทธิมาศ(ล่าง) |
หะยีสุหลง ประธานก.ก.อิสลามปัตตานี หายสาบสูญ 13 สค.2498 |
รัฐบาลทหารต้องการสร้างชาติไทยที่เป็นหนึ่งเดียว โดยทุกคนต้องพูดภาษาไทยกลาง จงรักภักดี นับถือศาสนาพุทธ ร่วมกันมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ นายพลไทยและสหรัฐร่วมกันฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์เพื่อให้เป็นศูนย์รวมความสามัคคี และส่งเสริมบทบาทในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนประชาชนจังหวัดต่างๆทั่วทุกภาคของประเทศ ฟื้นฟูพระราชพิธีทอดผ้าพระกฐิน สหรัฐอุดหนุนโครงการผลิตพระบรมฉายาลักษณ์เพื่อแจกจ่ายแก่พสกนิกรทั่วประเทศ แก้ไขพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ 2484 ของจอมพล ป.ที่จำกัดบทบาทของกษัตริย์ในสถาบันสงฆ์หวนกลับไปสู่ระบบการจัดองค์กรสงฆ์สมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อปี 2445 ยกสถานะของนิกายธรรมยุติขึ้นควบคุมมหาเถระสมาคม
มล.ปิ่น มาลากุล ( 2446-2538 ) |
ขณะที่จีนก็กลับมาผงาดเป็นเจ้าทางเศรษฐกิจในต้นทศวรรษที่ 2530 เศรษฐกิจของไทยไม่ได้พึ่งการเกษตรเป็นหลักอีกต่อไป เศรษฐกิจที่เฟื่องฟูโดยเฉพาะที่กรุงเทพทำให้นักธุรกิจในเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนไทยเชื้อสายจีนทายาทรุ่นที่ 3 เป็นอย่างน้อย ได้มีบทบาทนำทั้งในแวดวงธุรกิจ ข้าราชการและนักวิชาชีพ นักธุรกิจเชื้อสายจีนพวกนี้ได้กลายมาเป็นพลเมืองของชาติไทยโดยสมบูรณ์และได้หล่อหลอมให้มีวัฒนธรรมแบบใหม่ผสมผสานระหว่างไทยกับจีน
จะว่าไปแล้วคำว่าชาติเชื้อไทย ก็คงเป็นเพียงวาทกรรมหรือการโฆษณาชวนเชื่อของชนชั้นที่คุมอำนาจของรัฐไทยเพื่อไว้หลอกลวงให้ประชาชนในประเทศให้ยอมสยบอยู่ภายใต้อำนาจของพวกตนตลอดไปเท่านั้นเอง
..........
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น