วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2555

112 สยองพระเกียรติ ตอนที่ 8 : ความภูมิใจหรือน่าละอายกันแน่ Section 112 08

ฟังเสียงพร้อมเพลงประกอบ  : http://www.4shared.com/mp3/0fFgzRVC/Section_112_The_Royal_Threat_0.html 
หรือที่ :
http://www.mediafire.com/?m4mu5w7i6jz7m6b



112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่
8 : ความภูมิใจหรือน่าละอายกันแน่

สังคมลัทธิเทวราช










ในโลกมนุษย์ยุคต้นคริสตศตวรรษที่ 21  ดูเหมือนจะมีสังคมเพียงสองประเภทที่สมาชิกในสังคมสามารถถูกกฎหมายตัดสินจำคุกเป็นเวลานานนับสิบปี ด้วยข้อหาส่งข้อความสั้นจากโทรศัพท์มือถือของคนคนหนึ่งไปยังโทรศัพท์มือถือของคนอีกคนหนึ่ง ด้วยข้อหาแปลความบางบทบางตอนจากหนังสือภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งเพื่อเผยแพร่ในพื้นที่ออนไลน์ส่วนตัว และด้วยข้อหาแสดงความเห็นทางการเมืองของตนบนเวทีสาธารณะ สังคมสองประเภทที่ว่าคือ สังคมเผด็จการกับสังคมลัทธิที่คลั่งคลุ้มในความเชื่อเบ็ดเสร็จสำเร็จรูปโดยปราศจากการตั้งคำถาม และโดยมิแยแสต่อเหตุผล สิทธิมนุษยชน และความจริง
 
สังคมเผด็จการ คือสังคมที่ปกครองโดยกำลัง โดยการบังคับข่มขู่ เป็นการปกครองด้วยความกลัว โดยคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งที่เห็นคนอื่นที่เหลือเป็นเพียงฝูงสัตว์ สมาชิกในสังคมเผด็จการอาจเต็มไปด้วยความอัดอั้นตันใจ และไม่ได้รับประโยชน์ใดๆ ที่คุ้มค่ากับการต้องใช้ชีวิตอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้นำทรราชย์กับสมุนถืออาวุธ ทว่าไม่มีทางเลือก ต้องดำรงอยู่ในกรอบขังนั้นด้วยความจำทน
แต่สังคมลัทธินั้น สมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมลัทธิต่างค่อนข้างสุขีปรีดา ซึ้งซาบในความเป็นอันหนึ่งอันเดียวและความมั่นคงกลมเกลียวของความเป็นสาวก ภายใต้การปกครองของผู้นำ ซึ่งมักได้รับการยกชูอยู่สูงจนมีสถานะเหนือมนุษย์ หรือมีภาพลักษณ์เป็นวีรชนไร้ผู้เทียมทาน
และตราบใดที่สถานการณ์ในสังคมลัทธิดำเนินราบรื่นตามสูตรสำเร็จ ที่ถูกสถาปนาขึ้นด้วยการอ้างอิงความเห็นชอบของผู้นำ หรืออุปโลกน์ว่าเป็นการทำเพื่อผู้นำ สมาชิกส่วนใหญ่ต่างอิ่มเอมภาคภูมิกับการได้เกิดมารับใช้และปกป้องลัทธิของตนโดยถ้วนหน้า และด้วยเชื่อมั่นว่าคำสอนของลัทธิคือสัจธรรมแห่งชีวิต สมาชิกทั้งหลายจึงมั่นใจว่า สิ่งที่ลัทธิสอนสั่งให้ตนเป็นและปฏิบัติคือ ความถูกต้อง คือความดี คือความมีศีลธรรม กระทั่งถึงขั้นต้องการให้สืบสานข้ามรุ่นไปยังชาติภพอื่น เมื่อมีสมาชิกหัวแข็ง ริอ่านแตกแถว คิดต่าง ตั้งคำถามสงสัย และหาญกล้าแสดงทีท่าผิดแผกไปจากข้อบังคับหรือความเชื่อของลัทธิ ทั้งในทางรุนแรงและนุ่มนวล ทั้งโดยตั้งใจและโดยไร้เดียงสา สาวกข้างมากมักเกิดอาการใจสั่น หวั่นหวาดว่าฐานความเชื่อของพวกตนจะถูกลบหลู่ดูแคลน กังวลวิตกว่าสมาชิกกบฏส่วนน้อยนั้น จะสร้างรอยร้าวและส่งผลให้เสาหลักของลัทธิล้มครืนลง ข้อกล่าวหาที่ดีที่สุดเท่าที่สาวกลัทธิจะนำมาใส่ร้ายข่มขู่ผู้คิดต่าง มักมีเพียงข้อกล่าวหาที่ไร้น้ำหนักและปราศจากเหตุผล อาทิ ผู้คิดต่างเป็นคนเลวทรามเพราะตั้งคำถามกับผู้นำหรือกับความศรัทธาในตัวผู้นำผู้ประเสริฐ ผู้คิดต่างต้องการทำร้ายผู้นำหรือทำลายลัทธิ เพราะคนหวังดีที่ไหนจะเสือกคิดต่าง การคิดต่างแปลว่าผู้คิดต่างเนรคุณต่อลัทธิซึ่งเปรียบเสมือนบ้านของผู้คิด ต่าง ดังนั้นผู้คิดต่างจึงควรออกไปจากบ้านหรือปลดตัวเองออกจากลัทธิเสีย สาวกลัทธิผู้มีจิตใจเหี้ยมโหดมักมีความเห็นถึงขั้นที่ว่าผู้คิดต่างทั้งหลาย สมควรถูกฆ่าล้างโคตร นอกจากนั้นยังมีการกีดกั้นขัดขวาง ประณามความเห็นหรือความช่วยเหลือจากคนนอก โดยประกาศว่าคนนอกไม่เข้าใจในพื้นฐานวัฒนธรรมอันลึกซึ้งของลัทธิตน ทั้งหมดนั้นล้วนมิใช่เหตุผลที่เกิดจากการคิด หากแต่เป็นเหตุผลที่เกิดจากการบังคับไม่ให้คิด ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแม้แต่น้อย เนื่องเพราะกฎข้อที่หนึ่งของการเป็นสมาชิกลัทธิคือ ต้องถอดสมองส่วนที่ใช้ตรรกะและเหตุผลทิ้งไปเสียก่อน ตามด้วยกฎข้อที่สองที่ต้องเชื่อว่ากฎระเบียบและคำสอนของลัทธิย่อมถูกต้องหมดจด และแม้ว่าสาวกลัทธิจะนิยมใช้ถ้อยคำขับไล่ไสส่งผู้คิดต่างให้ออกห่างไปจากลัทธิ ทว่าในทางปฏิบัติพวกเขาพอใจกับการคุมขัง ทำร้าย หรือบังคับข่มขู่ให้ผู้คิดต่างต้องถอนคำพูด กลับใจ หรือปิดปากไว้ด้วยความกลัวเสียมากกว่า เป็นที่รู้กันดีในหมู่ผู้มีประสบการณ์เข้าร่วมลัทธิ ว่าการสมัครเข้าเป็นสมาชิกเป็นเรื่องง่ายดาย ทว่าการลาออกหรือการปลดปล่อยตนเองจากสถานะของความเป็นสาวกนั้นเป็นเรื่องที่แทบต้องเอาชีวิตทั้งของตนเองและคนใกล้ชิดเข้าแลก สังคมลัทธิทนไม่ได้ที่จะปล่อยให้ผู้คิดต่างลอยนวล สมาชิกของสังคมลัทธิมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะถูกครอบงำ

มิหนำซ้ำยังพากันเสนอตัวเป็นผู้ตรวจตราความเรียบร้อยในลัทธิอย่างบ้าคลั่งเสียเอง โดยมิต้องรับคำสั่งจากเบื้องบน ปัญหาส่วนใหญ่ของสังคมเผด็จการอยู่ที่ตัวผู้นำ ในขณะที่ปัญหาสำคัญของสังคมลัทธิอยู่ที่ตัวสมาชิกเอง ทั้งสมาชิกวงใน ที่ได้ผลประโยชน์มหาศาลจากการบริหารลัทธิ และบรรดาสาวกคลั่งจัดที่หลับหูหลับตาศรัทธาลัทธิและพร้อมจะทำการกำจัดผู้เป็นกบฏ หรือผู้ที่ถูกพวกเขากล่าวหาว่าเป็นกบฏให้ราบคาบไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม ความเกลียดชัง ความรุนแรง และความอัปรีย์ที่เกิดขึ้นในสังคมลัทธิจึงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นจากการเห็นชอบหรือจากความประสงค์โดยตรงของผู้นำ บ่อยครั้งมันเกิดจากสาวกผู้เสนอหน้าแสดงความรัก ความภักดี และใช้ข้ออ้างอันปราศจากเหตุผลทั้งหลาย สร้างความชอบธรรมให้กับพฤติกรรมล่าแม่มดและการข่มขู่ผู้คิดต่างอย่างไม่มีจริยธรรมหรือความยุติธรรมใดๆ



ในยุคสมัยนี้ สาธารณรัฐ ประ ชา  ธิปไตย ประชา ชน เกาหลีหรือเกาหลีเหนือ อาจเป็นตัวอย่างชัดเจนที่สุดของสังคมที่มีส่วนผสมของทั้งสังคมเผด็จการและสังคมลัทธิ ที่บูชาประธานาธิบดี คิม อิล ซุง ผู้มีสถานะเป็นประธานาธิบดี ตลอดกาล แม้ว่าเขาได้ตายไปแล้วตั้งแต่ปี  2537  ทว่าจากสภาวะที่ปรากฏชัดในสังคมไทยปัจจุบัน

นอกจากกรณีการกล่าวหา ใส่ร้าย ข่มเหง ฟ้องร้อง และลงโทษผู้คิดต่างอย่างเกินเลยหนักหน่วง ยังมีกรณีการเกิดรัฐประหารที่ขัดขวางการก้าวสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยแท้จริง มาหลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และยังคงมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นอยู่เสมอ จะมีก็เพียงผู้นิยมหลอกลวงตนเองอย่างล้ำลึก หรือสาวกคลั่งจัดในลัทธิเท่านั้นที่จะไม่สรุปว่าสังคมไทยก็มีคุณสมบัติที่มิเพียงละม้ายสังคมเผด็จการ มิเพียงคล้ายสังคมลัทธิ หากแต่ดูเหมือนจะมีส่วนผสมของสังคมทั้งสองประเภทอยู่อย่างกลมกลืนเช่นกัน



คงเกินเลยความจริงหากจะวางสังคมไทยไว้บนแท่นฐานเดียวกันกับเกาหลีเหนือ อย่างน้อยจากภาพภายนอก สังคมไทยยังคงเป็นสังคมเปิด ให้เสรีภาพในการใช้ชีวิตกับสมาชิกในสังคม มีการถ่ายเทและสานต่อทางปัญญากับนานาประเทศ โดยเฉพาะกับประเทศเสรีนิยมที่มีความมั่นคงทางประชาธิปไตยและสนับสนุนสิทธิพื้นฐานทางความคิดและการแสดงออกของปัจเจกชนอย่างเข้มแข็งมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ สังคมไทยยังขึ้นชื่อในสากลโลกว่าเป็นประเทศที่มีความอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่างมากที่สุดประเทศหนึ่ง จึงมิอาจกล่าวได้ว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่สมาชิกส่วนใหญ่ตกอยู่ในความหวาดกลัว ถูกปิดหูปิดตา หรือถูกกีดกันกดข่มมิให้ได้สัมผัสการคิดต่างและแนวทางเสรี สมาชิกในสังคมไทยส่วนใหญ่มีิอิสระในการเดินทางออกนอกประเทศ มีทางเลือกในการประกอบอาชีพ มีอิสระในการนับถือศาสนา มีโอกาสปรนเปรอตนเองด้วยความบันเทิงนานาชนิด ด้วยความสุขสบาย หรูหราฟุ่มเฟือย



สังคมไทยยังถือว่าห่างไกลจากการตกอยู่ภายใต้สภาวะขั้นวิกฤตของความเป็นสังคมเผด็จการและความเป็นสังคมลัทธิสุดโต่งอย่างไม่ต้องสงสัย เช่นนั้นแล้ว เหตุใดเมื่อมีการพูดถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์ เหตุใดเมื่อมีการตัดสินลงโทษผู้ถูกกล่าวหาว่าลบหลู่ดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ เหตุใดเมื่อสมาชิกบางคนมีพฤติกรรมขัดแย้งกับธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวเนื่องกับสถาบันกษัตริย์ที่สังคมเรียกร้องแกมบังคับให้ปฏิบัติ ทั้งที่บางธรรมเนียมมิได้เป็นกฎหมายหรือระเบียบกำหนดอย่างเป็นทางการ บรรยากาศและอารมณ์ของสังคมไทยจึงเคลื่อนเข้าใกล้เส้นขีดของความเป็นสังคมเผด็จการและสังคมลัทธิได้ทันทีอย่างน่าวิตก ความเป็นสังคมอดทนอดกลั้นต่อความแตกต่าง ดังที่ชาวโลกเยินยอสรรเสริญไว้ เหือดหายในพริบตา

พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง เวทีนาฏราช 6 พค.2553
ปัญญาชนผู้ชาญฉลาด ได้รับการศึกษาขั้นสูงสุดจากประเทศโลกที่หนึ่ง กลับกลายเป็นผู้สนับสนุนการโฆษณาชวนเชื่อและพิธีกรรมไร้ตรรกะโดยปราศจากยางอาย ศิลปินผู้ชื่นชมการมองมุมกลับ การแหกคอก การคิดนอกกรอบ ต่างแปรร่างเป็นนักอนุรักษ์นิยมผู้ปกป้องทัศนคติสำเร็จรูปใส่ผงชูรส นักสื่อสารมวลชนที่ดิ้นรนเรียกร้องเสรีภาพสื่อ ต่างเอาหูไปนา เอาตาไปไร่ มิกล้าเปิดพื้นที่ให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกริดรอนเสรีภาพและผู้ถูกกลั่นแกล้งรังแก ครูบาอาจารย์ นายแพทย์ พระสงฆ์ผู้พร่ำเทศนาวิถีแห่งพุทธอันเปี่ยมด้วยเมตตา กรุณา ต่างกลายเป็นกระบอกเสียงให้กับสาวกวงในของลัทธิ ทั้งในทางตรงและทางอ้อม


จรัญ ภักดีธนากุล และ วสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ แกนนำตุลาโกงรัดทำมะนวย
กระทั่งทนายและผู้พิพากษาซึ่งเป็นความหวังสุดท้ายทางกฎหมายของประชาชน ต่างตัดสินใจแทบเป็นเสียงเดียวกันว่าการปกป้องตรรกะผิดเพี้ยนสำคัญกว่าการรักษาความยุติธรรม หากความเป็นคนไทย คือการอยู่ในศีลธรรมอันดี รักสามัคคี มีความโอบอ้อมอารี ดังที่ป่าวประกาศกันอยู่ทุกเช้าค่ำ เมื่อมีการพูดถึงบทบาทของสถาบันกษัตริย์อย่างตรงไปตรงมา กลับดูเหมือนว่าประเทศนี้จะมีคนไทยอาศัยอยู่ไม่มากเท่าไรเลย


คุณฐิตินันท์ โดนรุม ฐานหมิ่นกษัตริย์
หน้าศาลรัดทำมะนวย 13 กค. 2555
เหตุใดความเป็นสังคมอารมณ์ดี เป็นสังคมใจกว้าง เป็นสังคมไม่เป็นไรของไทย จึงบอบบางและผันปรวนได้ง่ายดายเพียงนั้น หากคำตอบคือความรัก ย่อมเป็นเรื่องวิปริตพิสดารไม่น้อยที่ความรักกลับบันดาลให้แผ่นดินไทยเจิ่งนองไปด้วยอุทกภัยแห่งความเกลียดชัง หลากล้นท่วมท้นหนทางแห่งเหตุผลจนไม่มีใครเอาอยู่เช่นนี้ หากยังสามารถสันนิษฐานด้วยความหวังว่าสังคมไทยไม่สุดขั้วในความเป็นเผด็จการ และเป็นสังคมลัทธิเทียบเท่าเกาหลีเหนือ เหตุผลที่มีความเป็นไปได้ที่สุดข้อหนึ่ง คือสมาชิกในสังคมบางส่วนยังไม่เข้าใจความสำคัญและบทบาทของเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกที่แท้จริงดีพอ ยังไม่รู้ซึ้งว่าอิสรภาพในการเลือก ในการใช้ชีวิต ในการดำรงสถานะของความเป็นปัจเจกชนในสังคม เป็นอิสรภาพที่งอกเงยขึ้นจากรากแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกทั้งสิ้น คุณสมบัติที่น่ายินดีที่สุดของมนุษยชาติไม่ใช่การสามารถก้าวขึ้นสู่สถานะของ สัตว์ผู้ครองโลก แต่คือการสามารถก้าวขึ้นสู่สถานะของสัตว์ผู้รู้จักเรียนรู้จนมีเหตุผลเพียงพอที่จะหาหนทางอยู่ร่วมกันท่ามกลางความแตกต่างทางความคิดอย่างเป็นธรรมและสันติ ประเทศที่ขึ้นชื่อว่าเจริญแล้ว มิได้เจริญเพราะก้าวหน้าทางวัตถุเท่านั้น ตรงกันข้าม การใช้เหตุผล การยอมรับในตรรกะ การให้ความสำคัญกับการมองโลกอย่างเป็นวิทยาศาสตร์


รายการตอบโจทย์ เรื่องสถาบันกษัตริย์ ทางทีพีบีเอส 15 มีค. 2556 ที่ถูกสั่งปิด
การเข้าใจว่าความแตกต่างหลากหลายคือธรรมชาติของโลกและสังคมมนุษย์ คือความเจริญทางปัญญาที่เอื้อให้เกิดความเจริญทางวัตถุและการพัฒนาด้านอื่นๆตามมาอีกมากมาย ในขณะที่การปิดปาก การเซ็นเซอร์ การบังคับข่มขู่ให้อยู่ในกรอบกำหนดกักขัง คือต้นเหตุสำคัญของความหยุดนิ่ง ความล้าหลัง ความแร้นแค้น จนอาจเลยเถิดถึงการล่มสลายของสังคม แสงสว่างจากไฟฟ้าจะไม่สามารถเกิดขึ้น ไม่สามารถได้รับการแพร่กระจายแจกจ่ายความสะดวกสบายกับมนุษย์ไปทั่วทุกมุมโลก หากผู้คิดประดิษฐ์ไม่ได้รับการคุ้มครองจากแสงสว่างทางปัญญาที่มาพร้อมกับเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก แสงไฟแห่งเหตุผลจึงมีความสำคัญต่อมนุษย์ยิ่งกว่าแสงไฟฟ้า แสงไฟแห่งปัญญาจึงเป็นแสงไฟดวงสำคัญที่เราจำเป็นต้องยึดมั่นหมั่นดูแลรักษา มิให้มอดดับ หากเรายังต้องการดำรงชีวิตร่วมกันอย่างสงบและเสรี  ตราบใดที่แสงไฟแห่งเหตุผลยังคงมีช่องทางส่องสว่าง ความหวังที่สังคมจะฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนานาไปได้ย่อมยังเรืองรองอยู่เสมอ สมาชิกในสังคมผู้สามารถถือตนเป็นปัจเจกชนอยู่ได้ทุกวันนี้ ล้วนเป็นหนี้บุญคุณบรรพบุรุษที่ต่อสู้โดยเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออก นับตั้งแต่การต่อสู้กับทรราชย์ กับอำนาจปกครองของศาสนา กับสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับเผด็จการทหาร กับทรราชย์ในคราบสังคมนิยม พวกเขาคือสถาปนิก วิศวกร และช่างก่อสร้างตัวจริงของบ้านเสรี หลังที่เราใช้พำนักพักพิง สังคมมนุษย์ยุคสมัยใหม่ไม่อาจเกิดขึ้นได้หากมิใช่เพราะการเสียสละและการสังเวยตนของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษที่ว่านั้นไม่จำกัดเฉพาะบรรพบุรุษของไทยแต่โบราณ หากคือบรรพบุรุษของโลก ต่างยุคต่างสมัย ต่างภูมิประเทศ ต่างยุทธศาสตร์ในการต่อสู้

จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี รวมพลต่อต้านนิติราษฎร์ 28 มค. 2555
กาลเวลาได้ดำเนินมาถึงช่วงที่ผู้ต้องการปกป้องการเป็นปัจเจกชนจะต้องแสดงออกร่วมกันทางสังคม จึงจำเป็นต้องเสียสละร่วมกันปกปักรักษาแสงไฟแห่งปัญญา แสงไฟแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกเอาไว้ด้วยกัน หากสมาชิกส่วนใหญ่ในสังคมเชื่อมั่นว่าสังคมไทยไม่ใช่สังคมเผด็จการ ไม่ใช่สังคมลัทธิที่ิมืดบอดทางเหตุผล ทว่าเป็นสังคมเสรีที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย และหากความเป็นคนไทย จะเป็นสถานะที่น่าภาคภูมิใจในสากลโลกโดยแท้จริง ถึงเวลาแล้วที่แสงไฟแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกที่มักถูกหรี่ดับลง ต้องได้รับการกอบกู้ให้หลุดพ้นจากกำมือของกลุ่มคนผู้เป็นปรปักษ์ต่อปัญญาและความก้าวหน้าของสังคม สังคมที่ได้รับการปกครองโดยธรรมไม่มีความจำเป็นต้องหวาดกลัวความจริง ไม่ต้องกักขังผู้เห็นต่าง ไม่ต้องใช้คำว่ากบฏปรักปรำสมาชิกด้วยกัน การมอบเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกอย่างหมดจดให้กับสังคมคือบทพิสูจน์ที่จะสะท้อนภาพได้แจ่มชัดที่สุดว่า ตัวตนที่แท้ของสังคมนี้เป็นเช่นไร หากสมาชิกในสังคมกล้ายืนยันว่าสังคมไทยไม่ใช่สังคมเผด็จการ ไม่ใช่สังคมลัทธิ วิธีพิสูจน์ที่จะปราศจากข้อกังขาโดยสิ้นเชิง คือต้องปรับระดับแสงไฟแห่งเสรีภาพทางความคิดและการแสดงออกให้เจิดจำรัสถึงขีดสุด ความถูกต้องที่แท้ย่อมกล้าปรากฏตัวในที่แจ้ง ความจริงที่แท้ย่อมกล้าสบตากับแสงไฟ หากสมาชิกในสังคมร่วมแรงร่วมใจรักษาแสงไฟแห่งเหตุผลและปัญญาดวงสำคัญดวงนั้นไว้ด้วยกัน สังคมไทยก็ยังมีหวังที่จะพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง

สังคมจิ้งจก
และมนุษย์ล่องหน


จิ้งจกหรือกิ้งก่าเป็นสัตว์ที่เปลี่ยนสีของมันให้กลมกลืนกับสภาพแวดล้อมที่เป็นอยู่ได้ ขณะเดียวกันก็อาศัยการหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว เพื่อไม่ให้สัตว์ชนิดอื่นรับรู้การมีอยู่ของมัน คนไทยก็ถูกบังคับให้ทำตัวเหมือนไม่มีตัวตนเป็นมนุษย์ล่องหนที่ไม่ส่งเสียง ไม่ไหวติง ต้องนิ่งสนิทเมื่อเผชิญกับมาตรา 112 เพื่อการเอาตัวรอดจากความป่าเถื่อนรุนแรงโดยรัฐและสังคม
ปัจจุบัน คนจำนวนมากในสังคมไทยน่าจะเคยได้ยิน ได้ฟัง หรือผ่านตาเรื่องราวเกี่ยวกับมาตรา
112 หรือกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาบ้าง แต่การถกเถียงพูดถึงให้รอบด้านในประเด็นนี้ในเมืองไทยก็ยังทำได้อย่างจำกัด และต้องระแวดระวังสิ่งที่ตนเองจะพูด ขณะเดียวกันเราก็ไม่ทราบกันนักว่ามีใครบ้างที่โดนกล่าวหาในคดีนี้ ยกเว้นคนที่พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง อีกทั้งในทางสาธารณะ เราก็แทบไม่รู้ว่าข้อความหรือการแสดงออกซึ่งคนที่ถูกกล่าวหาในคดีพูดหรือทำอะไร และการนำคำพูดนั้นมาวิเคราะห์วิจารณ์ กล่าวซ้ำ หรือเผยแพร่เพื่อทำความเข้าใจอย่างมีเหตุมีผลสามารถทำได้หรือไม่  ถึงที่สุดเราแทบบอกไม่ได้เลยว่าเส้นแบ่งระหว่างการหมิ่นหรือไม่หมิ่นทางกฎหมายอยู่ตรงที่ใด เราสามารถเอ่ยถึงสถาบันในแบบใดได้บ้าง ทำให้ความเงียบล้อมรอบประเด็นเหล่านี้กลายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ราวกับว่าข้อมูลในคดีนี้และเส้นแบ่งต่างๆ กลายเป็นสิ่งล่องหนอย่างหนึ่ง


ผู้โดนจำขังหรือกล่าวหาจากมาตรา112 ก็ไม่ได้ถือว่าเป็นคดีการเมือง หรือ นักโทษการเมือง โดยอ้างว่าคดีอาญาในหมวดของความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และเป็นคดีร้ายแรงกระทบต่อความรู้สึกของประชาชน เมื่อรัฐบาลมีการย้ายเฉพาะนักโทษการเมืองไปยังเรือนจำหลักสี่เพื่อให้นักโทษมีความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่ไม่นับนักโทษคดีมาตรา 112  ทำให้พวกเขายังถูกคุมขังไว้ที่เดิม ทั้งๆที่สิ่งที่พวกเขาพูด หรือแสดงออก ล้วนเป็นปัญหาทางการเมือง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับประเด็นสถานะและบทบาทของสถาบันกษัตริย์โดยตรง การไม่ถูกยอมรับให้เป็นนักโทษทางการเมืองหรือนักโทษทางความคิด แต่กลับจัดวางในหมวดความมั่นคงและคดีอาญา ทำให้กระบวนการยุติธรรมและการพิจารณาคดีเหล่านี้ ยืนอยู่บนฐานการมองผู้ต้องหาในฐานะอาชญากรที่ทำอาชญากรรมรุนแรง ถูกมองว่ามีความผิดตั้งแต่ถูกแจ้งความ ทั้งที่ยังไม่ผ่านการพิสูจน์ความผิดในชั้นศาล กระบวนการยุติธรรมและพิจารณาคดีก็ถูกปฏิบัติแตกต่างไปจากความผิดในลักษณะอื่นๆ เช่น การพิจารณาคดีในทางลับ สิทธิในการประกันตัวที่ไม่ได้รับการพิจารณา ไม่ว่าจะยื่นประกันไปกี่ครั้ง หรือการตัดสินโทษที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ

เหตุที่กรณีมาตรา
112 จำนวนมากแทบไม่เป็นที่รู้จักเพราะ ตัวผู้ต้องคดีจำนวนมากเลือกที่จะทำตัวเองให้ล่องหนเสียเอง เพื่อไม่ให้ตนเองหรือครอบครัวต้องเผชิญกับความไม่ปลอดภัยหรือความรุนแรง การเลือกจะต่อสู้และเป็นข่าวโด่งดังกลับทำให้ยิ่งเป็นที่จับตาและเพ็งเล็งจาก อำนาจ กระบวนการยุติธรรม หรือกระบวนการทางสังคมมากยิ่งขึ้น  และส่วนมากคนเหล่านี้จะเป็นคนเล็กคนน้อยที่ไม่มีชื่อเสียง ไม่เป็นที่รู้จัก ไม่มีสถานะทางสังคม และโดยมากเป็นคนไม่มีฐานะนัก ทำให้การคุ้มครองจากสาธารณะแทบเป็นไปไม่ได้  ทนายความในคดีมาตรา 112 ของพวกเขามักย้ำหลายครั้งว่าต้องเงียบๆ อย่างเดียว ยิ่งตีมากยิ่งทำให้เขาโกรธแค้น และยิ่งสั่งลงมาแรง ยิ่งเงียบยิ่งมีโอกาสได้ประกันตัวในชั้นสืบสวน และรีบยอมรับสารภาพเพื่อให้เสร็จสิ้นกระบวนการโดยเร็ว ญาติของผู้ต้องหาคดี 112 ก็ขอเงียบๆ ไม่ส่งเสียงดัง เพราะไม่มีอะไรที่จะต่อสู้ เพราะเป็นสามัญชนไม่มีอะไรเลย ถ้าดังแล้ว เขาอาจจะหมั่นไส้  ยิ่งดิ้นเท่าไรก็ยิ่งรัดตัวผู้ต้องหาจำนวนมากจึงเลือกจะอยู่ในความเงียบ อยู่ในสถานะล่องหน และเผชิญกับกระบวนการยุติธรรมเองอย่างเงียบๆ ซึ่งต้องแลกมาด้วยการจำยอม รับสารภาพ และรอคอยการอภัยโทษหรือลดโทษในขั้นตอนต่างๆ ทำตัวนิ่งๆไม่ไหวติงและเงียบที่สุด เพื่อให้กลืนเข้ากับสิ่งแวดล้อมให้มากที่สุด จนกระทั่งล่องหนหายไป...ไม่ต้องไปโต้แย้งเด็ดขาด ให้จำไว้และท่องไว้ตลอดเวลาว่าใครละเมิดกฎหมายก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะศาลพิจารณากฎหมายอย่างโดดๆ แยกขาดออกจากสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นและเป็นอยู่ในสังคม ราวกับสิ่งอื่นๆไม่มีอยู่ มีแต่เพียงตัวกฎหมาย และผู้คนที่อยู่ดีๆ ก็ลุกขึ้นมากระทำการหมิ่นฯ หรือแม้แต่อยู่ๆ ก็จ้องล้มเจ้าอยู่เต็มไปหมด โดยไม่มีที่มาที่ไป เรื่องอื่นๆไม่ใช่สาระหรือประเด็นที่สำคัญ ศาลก็จะเลือกบันทึกเฉพาะประเด็นทางเทคนิคหรือการตีความข้อความที่ถูกกล่าวหาเท่านั้น โดยถือว่าประชาชนต้องเคารพสักการะเทิดทูนพระเจ้าอยู่หัวอย่างเดียวเท่านั้นไม่มีอย่างอื่น โดยดูแต่เฉพาะข้อความที่พวกเขาถูกกล่าวหาหรือแสดงออก โดยไม่พิจารณาเหตุผลหรือสภาพแวดล้อมที่ทำให้พวกเขาทำเช่นนั้น
หลายคนเมื่อโดนคดี
112 ก็จะถูกญาติพี่น้องตัดขาด เพราะเป็นคดีที่ร้ายแรง ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวด้วย ช่วงถูกจับถูกคุมขัง ไม่มีญาติพี่น้องกล้าไปเยี่ยมหรือให้ความช่วยเหลือ ทำเหมือนไม่เคยรู้จักไม่เคยเกี่ยวข้องกัน ไม่มีการถามไถ่การกระทำ มุมมอง ความคิด จากจำเลยคดี112 เสียด้วยซ้ำ เพียงแค่รู้ว่าใครคนหนึ่งในครอบครัวโดนกล่าวหาด้วยกฎหมายมาตรานี้ ความเป็นมนุษย์ในด้านที่ดำรงอยู่ด้วยสายสัมพันธ์ ความไว้เนื้อเชื่อใจของครอบครัวเพื่อนฝูง กลับถูกทำลายขาดสะบั้นลงอย่างง่ายดายจนน่าตระหนก




การห้ามวิจารณ์กษัตริย์ไทยคือตัวชี้วัด
ว่าไม่มีประชาธิปไตยเลย

การจัดงานเผาพระเมรุที่ท้องสนามหลวงเนื่องจากการสิ้นพระชนม์ของเจ้าฟ้าเพชรรัตน์ถือเป็นตัวดัชนีชี้วัดความเป็นประชาธิปไตยของประเทศไทยได้ จากการดูว่าประชาชนสามารถวิพากษ์วิจารณ์หรืออภิปรายเรื่องดังกล่าวในที่สาธารณะได้หรือไม่ ถ้าหากว่าวิจารณ์ไม่ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เพราะหากใช้มาตรฐานเดียวกันกับนักการเมือง เช่น หากญาติของนักการเมืองเสียชีวิต แล้วมีการใช้เงินหลายพันล้านบาท เพื่อที่จะใช้จ่ายเป็นค่าจัดงานศพแล้ว เหล่านักวิชาการหรือภาคส่วนอื่นๆ ก็จะคงจะทนไม่ได้ต้องออกมาคัดค้านอย่างเป็นแน่แท้ หากแต่เมื่อเป็นเรื่องของสถาบันกษัตริย์ กลับไม่มีคนออกมาวิพากษ์วิจารณ์ เช่นเดียวกับการนำเสนอข่าวพระราชสำนักในเวลาสองทุ่ม ไม่มีการนำเสนอข่าวสารในที่อื่นใด ที่เป็นการนำเสนอด้านเดียวเช่นนี้ และยังไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้อีก จึงแสดงให้เห็นชัดเจนแล้วว่า ในขณะนี้ประเทศไทยไม่ได้เป็นประชาธิปไตย เมื่อโยงเข้ามากับเรื่องการรณรงค์ของคณะกรรมการรณรงค์เพื่อแก้ไขมาตรา 112 (ครก. 112) ที่ เสนอให้แก้กฎหมายเพื่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันฯได้ แต่ยังมีข้อยกเว้นสำหรับสถาบันกษัตริย์เป็นพิเศษ ซึ่งเป็นเรื่องแปลก ว่าทำไมเมื่อเราคิดถึงเรื่องสถาบันกษัตริย์ จึงต้องมีบรรทัดฐานอีกแบบหนึ่ง แต่หากคิดถึงเรื่องนักการเมือง เราถึงด่าได้โดยไม่ต้องไปมีอะไรคุ้มครองเป็นพิเศษ การรณรงค์ของครก. 112 เรื่องกฎหมายหมิ่นฯ เป็นเรื่องของสิทธิเสรีภาพ ซึ่งรัฐสภาในต่างประเทศจะทำหน้าที่ต่อสู้กับสถาบันกษัตริย์เพื่อสิทธิเสรีภาพของประชาชน แต่ในประเทศไทยกลับไม่มีใครในสภาไม่ว่าจากฝ่ายใดที่จะกล้าแตะต้องเรื่องนี้ ไม่มีแม้แต่การริเริ่มที่จะช่วยนักโทษที่ยังต้องติดคุกอยู่จากคดีการเมือง การรณรงค์เพียงการแก้ไขม. 112 จึงควรเปลี่ยนเป็นการมุ่งรณรงค์เพื่อปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ในระยะยาว โดยอาจเปลี่ยนองค์กรอย่าง ครก. 112 เป็น เครือข่ายนักวิชาการเพื่อการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์  ที่มุ่งเน้นการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างรอบด้าน เนื่องจาก มาตรา 112 เป็นเรื่องที่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสถานะของสถาบันกษัตริย์เท่านั้น จะเห็นจากเมื่อเปิดการโต้เถียงเกี่ยวกับมาตรา 112 คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะอ้างว่าสถาบันมีคุณงามความดี ทำประโยชน์ให้ประเทศ ฯลฯ ซึ่งเป็นการโต้เถียงกันคนละเรื่อง  มาตรา 112 จึงเป็นเพียงตัวแสดงออกท้ายๆ ของสถานะของสถาบันกษัตริย์เท่านั้น ทำไมเราไม่ยกระดับการรณรงค์เรื่องนี้ไปสู่การปฏิรูปสถาบันกษัตริย์อย่างเต็มตัว เพราะหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเผชิญหน้ากับเรื่องนี้ โดยจำเป็นที่จะต้องพูดถึงตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันกษัตริย์ในระยะยาว เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังมีการอ้างชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และอ้างว่าสถาบันกษัตริย์เป็นศูนย์กลางของชีวิตทางสังคมการเมืองทุกอย่าง อันนี้ไม่เป็นประชาธิปไตย ตราบใดที่ชีวิตประจำวัน 24 ชั่วโมงของเราจะต้องอ้างอิงศูนย์กลางเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา อันนี้ไม่เป็นประชาธิปไตยแน่ๆ ในประเทศแบบนี้ ไม่มีแม้แต่ประชาชน มันมีแต่ฝุ่นใต้ตีน ประชาชนจริงๆ คือคนที่มีสิทธิ คนที่สามารถแสดงความคิดเห็นได้ต่อเรื่องสาธารณะ

การต่อสู้เพื่อประชา ธิปไตยในสังคมไทย ก็คือการต่อสู้เพื่อยุติสถานะสถาบันกษัตริย์อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ถ้าไม่แก้เรื่องสถานะ ของสถาบัน กษัตริย์ ตัวกฎหมายมาตรา 112 ก็จะไม่มีทางเปลี่ยน เพราะหากกฎหมายเปลี่ยนแต่อุดมการณ์ในสังคมยังไม่เปลี่ยน ก็คงจะไม่เปลี่ยนอะไรเพราะศาลก็คงตัดสินแบบเดิม ถ้าหากต้องการแก้กฎหมาย ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนอุดมการณ์ก่อน เพราะเมื่อเราพูดถึงเรื่องลัทธินิยมกษัตริย์ล้นเกิน ก็จะพบว่ามันมีองค์ประกอบ เช่น ข่าวสองทุ่ม ซึ่งความบ้าคลั่งกษัตริย์จะแก้ไม่ได้ถ้ายังคงมีข่าวสองทุ่มหรือข่าวในพระราชสำนักอยู่ แม้แต่เรื่องการแก้ผลพวงของการรัฐประหารและปฏิรูปศาล ก็เป็นแค่การจัดการที่ผลหรือปลายเหตุมากกว่า เพราะคนที่ทำรัฐประหารเอง เขาทำเพื่อรักษาสถานะสถาบันกษัตริย์จากการท้าทายของอำนาจแบบสมัยใหม่ เราจึงจำเป็นต้องแก้ที่ตัวสาเหตุ เพราะคณะรัฐประหารหากเขาจะทำอีกจริงๆ เดี๋ยวก็ฉีกรัฐธรรมนูญแล้วร่างมาตราใหม่ขึ้นมาได้

ประเด็นที่สำคัญคือ เราต้องยุติของสถานะของสถาบันกษัตริย์ ที่มักถูกเอาไปอ้างกัน เพราะในประเทศอื่นๆ ไม่ว่าในประเทศญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ หรือเบลเยี่ยม ก็ไม่อ้างกันแล้ว แต่ที่ไทยยังอ้างอยู่ได้ ก็เป็นเพราะอุดมการณ์กษัตริย์นิยม และองค์ประกอบอื่นๆ ที่ประกอบกันขึ้นมา
ต่อให้รณรงค์เรื่องแก้ไขมาตรา
112 ให้ตาย ตราบใดที่ยังมีข่าวสองทุ่ม มีโครงการหลวงอยู่ มันก็แก้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการแก้ 112 ก็ต้องแก้ทั้งชุด และต้องเสนอทั้งชุด เป็นไปไม่ได้ที่จะเสนอว่าเราต้องแก้ 112 ก่อน แล้วเราค่อยมาวิจารณ์มันไม่ได้ เพราะจริงๆ แล้ว คนที่ไม่รับเขาก็ไม่รับทั้งนั้น สำหรับคนที่รณรงค์ในเรื่องนี้อยู่ มันอาจจะดูน่าหดหู่ แต่มันก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนักวิชาการและปัญญาชนทั้งหลายที่เป็นประชาธิปไตย ต้องถือเป็นพันธะหรือภารกิจศักดิ์สิทธิ์ต้องผลักดันการเปลี่ยนประเทศไทย จากประเทศที่ต้องอาศัยสถาบันกษัตริย์ไม่ใช่ศูนย์กลางของชีวิตคนไทยอีกต่อไป  กับทุกอย่างที่เราเห็น เช่น อย่างยาเสพติดเพื่อพ่อ ขับรถดีก็เพื่อพ่อ รัฐประหารเพื่อพ่อ ราชประสงค์เพื่อพ่อ การอ้างอย่างนี้ต้องหมดไป ตราบใดที่เราปฏิบัติกับสถาบันกษัตริย์แบบเดียวกับที่เราปฏิบัติกับนักการเมืองไม่ได้ การวิจารณ์มันก็ไม่มีความหมาย เพราะจะทำให้ชีวิตทางการเมืองของสังคมไม่มีความหมาย ถ้าเราไม่ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้ใช้บรรทัดฐานเดียวกับที่ใช้กับคนทั่วไปได้ เราก็ไม่มีประชาธิปไตย


เปรียบเทียบกษัตริย์กับพระ
ซึ่งเป็นปูชนียบุคคลเหมือนกัน

แม้แต่พระเขียนจดหมายรักถึงสีกา แบบนี้แม้เป็นเรื่องส่วนตัวก็จริง แต่พระไม่ได้รับความคุ้มครอง คนเอาเรื่องพระเขียนจดหมายรักถึงสีกามาเปิดเผย ย่อมอ้างสถานะของพระที่อาจถูกเปิดเผยวิจารณ์เรื่องส่วนตัวได้ เพราะพระถือเป็นปูชนียบุคคลเป็นบุคคลสาธารณะที่อยู่ได้ด้วยการบริจาคทำบุญของญาติโยม กรณีนี้จะเห็นผลดีของการยอมให้พระถูกวิจารณ์ในเรื่องส่วนตัวว่า เป็นการสร้างกรอบความประพฤติของพระ ซึ่งเป็นปูชนียบุคคล หากทำอะไรผิดไปจากสถานะของพระ ก็จะถูกชาวบ้านติเตียนไม่นับถือเป็นพระ พระกลัวไม่ถูกนับถือ พระก็จะไม่ทำอะไรให้ชาวบ้านติเตียน หรืออย่างน้อยก็ไม่ทำประเจิดประเจ้อ ไม่เกรงใจชาวบ้าน แต่ถ้าไปออกกฎหมายห้ามวิจารณ์ห้ามติเตียนพระ ทั้งๆที่พระก็คือคนเหมือนกัน ย่อมมีโอกาสประพฤติผิดได้เสมอ ยิ่งพระดังๆ มีแต่คนห้อมล้อมยกยอ ท่ามกลางลาภยศสรรเสริญ มันก็เผลอกายเผลอใจได้ตามประสาคนประสาพระ  พระมหากษัตริย์ก็เป็นปุถุชนและเป็นปูชนียบุคคลที่สังคมให้ความเคารพนับถือ แต่ทำไมไม่ใช้บรรทัดฐานเดียวกันกับสถาบันกษัตริย์ เพื่อให้ประพฤติตนอยู่ในกรอบ แม้แต่นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งก็ยังถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องแจ้งรายการบัญชีทรัพย์สินและการตรวจสอบวิพากษณ์วิจารณ์ แต่ทำไมจึงยกเว้น ห้ามตรวจสอบและวิจารณ์สถาบันกษัตริย์ซึ่งเป็นสถาบันหนึ่งในระบอบประชาธิปไตยเช่นเดียวกับสถาบันอื่นๆที่ไม่ได้มีข้อยกเว้นใดๆ 

คดีหมิ่น ตาม ม.112 นั้นศาลฎีกา วางแนวบรรทัดฐานว่า เป็นคดีที่อยู่คนละหมวดกับคดีหมิ่นปกติ ไม่สามารถนำข้อต่อสู้เกี่ยวกับ คดีหมิ่นปกติมาใช้ได้ เช่น การพิสูจน์ว่าข้อเท็จจริงที่กล่าวเป็นจริงหรือมีประโยชน์ต่อสาธารณะได้
การหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์โดยแท้จริงแล้วไม่เกี่ยวกับความมั่นคง เพราะแค่ทำให้พระมหากษัตริย์เสื่อมเสียชื่อเสียงเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงของรัฐ เนื่องจากประเทศไทยปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์มีอำนาจมากที่สุด อย่างไรก็ตาม การกำหนดโทษหมิ่นพระมหากษัตริย์ให้สูงกว่าบุคคลทั่วไป เป็นสิ่งที่สามารถทำได้แต่ไม่ควรสูงมากเกินไป หรือมากเท่าปัจจุบัน ซึ่งในต่างประเทศก็มีกฎหมายในลักษณะเดียวกับมาตรา112 แต่มีโทษน้อยกว่า ที่สำคัญยังมีการยังมีการดำเนินคดีและลงโทษน้อยมาก อาจลงโทษแค่ปรับ ตัวกฎหมายนี้แม้ว่ามีอยู่แต่ก็เสมือนตายไปแล้ว ซ้ำเมื่อศาลมีคำพิพากษาก็ยังสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้
ส่วนมาตรา
8 ของรัฐธรรมนูญที่บัญญัติว่า พระมหากษัตริย์ดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้ ผู้ใดจะกล่าวหาหรือฟ้องร้องพระมหากษัตริย์ทางใดๆมิได้
คำว่าเคารพสักการะเขียนขึ้นมาเพื่อเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ใช่ไว้บังคับให้ประชาชนทำ และละเมิดมิได้หมายถึง ห้ามฟ้องร้อง ไม่ใช่ห้ามวิพากษณ์วิจารณ์ในบทบาทสาธารณะ


พลเมืองสหรัฐฟ้องบริษัทเว็บโฮสติ้ง
ฐานส่งข้อมูลบุคคลของเขา
ไปให้รัฐบาลไทย



พลเมืองสหรัฐอเมริกาฟ้องเน็ตเฟิร์มส (Netfirms) ผู้ให้บริการพื้นที่เว็บสัญชาติแคนาดาซึ่งมีกิจการอยู่ในสหรัฐฯ ฐานส่งข้อมูลส่วนตัวของเขาให้กับรัฐบาลไทย โดยยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 การเปิดเผยข้อมูลโดยเน็ตเฟิร์มสทำให้เจ้าหน้าที่ไทยสามารถชี้ตัว กักขัง และสอบสวนโจทก์ คือนายแอนโทนี ชัย (Anthony Chai) ทั้งในประเทศไทยและในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยตั้งข้อกล่าวหาว่านายชัยละเมิดกฎหมายไทย จากข้อความที่เขาโพสต์วิพากษ์วิจารณ์กฎหมายของไทยที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก
องค์กรสิทธิมนุษยชน ฮิวแมนไรท์สยูเอสเอ (
World Organization for Human Rights USA) และ สำนักกฎหมายสเนลล์และวิลเมอร์ (Law Office of Snell & Wilmer) ยื่นต่อต่อศาลแขวงประจำแคลิฟอร์เนียกลาง กล่าวหาว่าการกระทำของบริษัทเน็ตเฟิร์มสดังกล่าว ผิดกฎหมายแคลิฟอร์เนีย รวมถึงผิดรัฐธรรมนูญสหรัฐอเมริกาและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ นายชัยเป็นเจ้าของร้านคอมพิวเตอร์ในลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งตัวเขาและลูกค้าได้เข้าถึงและส่งความคิดเห็นโดยไม่เปิดเผยตัวตนลงในเว็บไซต์ภาษาไทยที่สนับสนุนประชาธิปไตย ชื่อ manusaya.com ซึ่งใช้บริการพื้นที่เว็บของบริษัทเน็ตเฟิร์มส ความคิดเห็นซึ่งไม่แสดงตัวตนจำนวนมากได้แสดงความกังวลต่อกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของประเทศไทย ซึ่งห้ามการแสดงออกในทางลบใดๆ ต่อสถาบันกษัตริย์ของไทย และมีบทลงโทษที่รุนแรง ซึ่งรวมถึงการจำคุกสูงสุด 15 ปี
สิทธิในความเป็นส่วนตัวของนายชัยถูกละเมิด เมื่อรัฐบาลไทยได้ร้องขอไปยังบริษัทเน็ตเฟิร์มสให้หยุดการให้บริการเว็บไซต์
manusaya.com และให้ส่งหมายเลขไอพีและที่อยู่อีเมลของนายชัยให้กับเจ้าหน้าที่ของไทย โดยไม่ได้ขออนุญาตหรือแจ้งให้นายชัยทราบก่อน จากการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอันเป็นความลับของนายชัยให้กับเจ้าหน้าที่ของไทยนี้ ทำให้เขาถูกกักขังที่สนามบินกรุงเทพในเวลาต่อมา และถูกนำตัวไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อสอบสวนเกี่ยวกับเว็บไซต์ดังกล่าว ในที่สุดหลังจากถูกปล่อยตัวจากการคุมตัวของตำรวจในกรุงเทพและกลับไปยังแคลิฟอร์เนียแล้ว นายชัยยังถูกเจ้าหน้าที่ของไทยสอบสวนต่อเป็นเวลาอีกสองวัน ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในฮอลลีวูด แคลิฟอร์เนีย นายชัยได้รับแจ้งในภายหลังจากเจ้าหน้าที่ของไทยว่า หากเขาเดินทางกลับมายังประเทศไทยอีก เขาจะถูกจับและฟ้องในข้อหาละเมิดกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ
พฤษภาคม
2549



แอนโทนี ชัย (Anthony Chai ) พลเมืองสหรัฐเชื้อสายไทย เดินทางกลับแผ่นดินเกิดของเขาเพื่อพบเพื่อนและญาติ เขาเยี่ยมหลานสาวและหลานชายและใช้เวลาช่วงหนึ่งที่หัวหิน ในขณะที่ชัยกำลังเดินทางกลับแคลิฟอร์เนีย ผ่านทางสนามบินที่กรุงเทพ เขาถูกเจ้าหน้าที่กรมสอบสอนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)กักตัวไว้ โดยแจ้งว่าพวกเขามีหมายจับตัวนายชัย จากการกระทำผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การกล่าวในที่สาธารณะที่จงใจละเมิดเกียรติภูมิขององค์พระประมุข เจ้าหน้าที่ดีเอสไอนำชัยไปยังกองสอบสวน ไม่ให้เขากินข้าว กินน้ำ และยังไม่ให้เขานอนจนกระทั่งตีสามครึ่ง โดยได้พูดถึงข้อกล่าวหาและข่มขู่เขาตลอดเวลาว่าผมรู้ว่าญาติคุณอาศัยอยู่ที่ไหนในกรุงเทพและแคลิฟอร์เนีย ถ้าคุณอยากให้พวกเขามีชีวิตอย่างสงบสุข คุณต้องให้ความร่วมมือ ในช่วงแรกที่เขาถูกกักขังชัยได้ร้องขอทนาย แต่ทนายแทบไม่พูดอะไรเลยในระหว่างที่เขาถูกสอบสวน นอกจากแนะนำให้เขาตอบคำถามที่ตำรวจถาม เขาต้องอดทนจนกระทั่งผ่านพ้นการถามที่ยาวนานสองช่วง โดยเขาไม่ได้รับอาหาร น้ำ หรืออนุญาตให้นอน ในระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้เอาคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปของเขาไป และบังคับให้ชัยบอกอีเมลและรหัสผ่านของเขาทั้งหมด เจ้าหน้าที่ได้แสดงเอกสารเปิดเผยที่อยู่อีเมลที่เขาและคนที่เขารู้จักใช้ในการโพสต์ความเห็นที่เว็บไซต์ manusaya.com และเจ้าหน้าที่ดีเอสไอได้ใช้กำลังบังคับเขาให้เขียนคำรับสารภาพว่าเขาได้ทำผิดกฎหมายหมิ่นพระเดชานุภาพของไทย โดยสัญญาว่าจะไม่ทำผิดอีก และจะยกย่องพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย

17:00 น. ของวันที่ 10 พฤษภาคม 2549 ชัยถูกปล่อยตัว แต่ถูกเตือนว่าเขาอาจถูกจับได้อีกหากเดินทางกลับมาประเทศไทย เขาติดต่อครอบครัวเพื่อบอกเรื่องที่เกิดขึ้น และเดินทางกลับไปยังลองบีช แคลิฟอร์เนีย ที่ซึ่งเขาเปิดร้านขายและรับซ่อมคอมพิวเตอร์





ต่อมาคนที่ดูแลการสอบสวนของเขาในตอนนั้นคือพ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน  ผู้บัญชาการสำนักคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศเป็นและรองอธิบดีดีเอสไอได้เริ่มติดต่อชัยที่สหรัฐ โดยญาณพลขอให้ชัยส่งสำเนาของเอกสารสนับสนุนประชาธิปไตยหรือต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ที่เขามีในครอบครอง ญาณพลไม่เพียงติดต่อชัยทางอีเมลเท่านั้น ในเดือน กรกฎาคม 2549 าณพลยังได้มาหาชัยที่สหรัฐ ในระหว่างที่ญาณพลเข้ารับการอบรมที่จัดโดยรัฐบาลสหรัฐอเมริกาที่กรุง วอชิงตันดีซี เนื่องจากชัยต้องการจะแสดงให้เห็นว่าเขาให้ความร่วมมือกับการสอบสวน เขาตกลงที่จะพบญาณพล ที่สนามบินนานาชาติลอสแอนเจลิส



ระหว่างการสนทนาทางโทรศัพท์ ญาณพลได้บอกชัยว่า อยากให้ชัยนำไอพอดหรือของมีค่าที่คล้ายๆกันมาเพื่อเป็นของฝากแก่ลูกของเขา ชัยได้พบญาณพลประมาณสามสิบนาที ที่ร้านอาหารแมคโดนัลด์ในสนามบิน แต่ชัยไม่ได้นำไอพอดไปด้วย เขานำหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นภาษาไทยมา ซึ่งเขาคิดว่าญาณพลจะได้อ่านระหว่างเที่ยวบินกลับประเทศไทย ญาณพลแสดงอย่างชัดเจนว่าเขาผิดหวังเป็นอย่างมากที่ชัยไม่ได้นำของขวัญมีค่าอะไรมาเลย

ชัยถามว่าจะได้เครื่องคอมพิวเตอร์คืนหรือไม่ และได้รับคำตอบว่าเครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะอยู่กับเจ้าหน้าที่ไปจนตลอดการสอบสวน หลังจากนั้น ญาณพลได้เขียนไปหาชัยบอกให้เขากลับประเทศไทยเพื่อสอบถามเพิ่มเติม ถึงเวลาสำหรับคุณแล้ว ที่จะยอมมอบตัวอย่างเป็นทางการต่อเจ้าหน้าที่สอบสวนของคดีนี้ คุณต้องมามอบตัวที่สำนักงานของเราในวันที่
24 สิงหาคม 2549 เวลา 10:00 .

โดยข้อเท็จจริง แอนโทนี ชัย ได้ใช้ที่อยู่อีเมลนิรนามของเขาโพสต์ความเห็นวิพากษ์วิจารณ์กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทยลงในเว็บไซต์ www.manusaya.com ซึ่งเจ้าหน้าที่ของไทยได้ประณามต่อสาธารณะว่าเว็บไซต์ดังกล่าวสนับสนุนให้ ผู้คนเสียศรัทธาและความรักต่อสถาบันกษัตริย์ รวมถึงเจ้าหญิงทุกพระองค์ เว็บไซต์ดังกล่าวถูกปิดในที่สุดโดยเน็ตเฟิร์ม ตามคำร้องขอของรัฐบาลไทย เน็ตเฟิร์มไม่ได้เพียงปิดเว็บไซต์แต่ยังได้มอบหมายเลขไอพีของชัยและที่อยู่อีเมลอีกสองอันซึ่งเชื่อมโยงกับหมายเลขไอพีดังกล่าวก่อนเดือนพฤษภาคม 2549 ตามคำร้องขอของรัฐบาลไทย  โดยที่ชัยไม่ได้รับรู้หรือให้การยินยอม ทั้งไม่ได้ร้องขอคำสั่งศาล หมายศาล หรือใบอนุญาตใด ๆ จากเจ้าหน้าที่ของไทย และไม่ได้ติดต่อไปยังกระทรวงต่างประเทศของสหรัฐเพื่อขอคำแนะนำ ชัยได้ฟ้องเน็ตเฟิร์มให้จ่ายค่าชดใช้และค่าเสียหายเป็นเงิน 75,000 เหรียญสหรัฐ หรือราวสองล้านสองแสนห้าหมื่นบาท ด้วยความช่วยเหลือจากองค์กรสากลเพื่อสิทธิมนุษยชน ยื่นฟ้องต่อศาลแขวงแคลิฟอร์เนียกลาง โดยกล่าวหาว่าเน็ตเฟิร์มได้ละเมิด พ.ร.บ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลและเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ของแคนาดา  มาตราที่ว่าด้วยความเป็นส่วนตัวในประมวลกฎหมายธุรกิจและวิชาชีพของแคลิฟอร์เนีย และคำประกาศสิทธิซึ่งอยู่ในรัฐธรรมนูญของแคลิฟอร์เนีย


สงครามไฮเทคเพื่อพิทักษ์
สถาบันเก่าแก่จากคำดูหมิ่น



ต้นเดือนตุลาคม 2554 โทมัส ฟูลเลอร์ (Thomas Fuller) ผู้สื่อข่าว หนังสือพิมพ์ นิวยอร์กไทมส์ พาผู้อ่านเข้าไปดูเบื้องหลังวอร์รูม ที่ใช้บัญชาการในการจัดการเว็บหมิ่น ของประเทศไทย ในห้องสุดทางเดินที่ซับซ้อนภายในศูนย์ราชการขนาดใหญ่ถนนแจ้งวัฒนะ มีผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์หลายคนกำลังนั่งไล่ล่าหารูปภาพ บทความ ข้อความในเฟซบุค และสิ่งใดก็ตามในโลกอินเตอร์เน็ตที่อาจมีเนื้อหาดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์

ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งขององค์การที่มีชื่อว่า ศูนย์ปฏิบัติการความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ( Cyber Security Operation Center: CSOC ) ซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์เรียกหน่วยงานนี้ว่าวอร์รูม คือศูนย์บัญชาการแห่งปฏิบัติการขนานใหญ่และเฉียบขาดอันมีจุดมุ่งหมายเพื่อขจัดข้อความดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ให้หมดสิ้นจากโลกอินเตอร์เน็ต

หน่วยราชการยืนยันว่าจะขยายผลการดำเนินงานของปฏิบัติการล้อมปราบทางอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ต่อไปให้เข้มข้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์จำนวน
10 นาย ภายใต้การบังคับการของนายสุรชัย นิลแสง ปัจจุบันดำรงตำแหน่งสารวัตรไซเบอร์ของกระทรวงไอซีทีเรามุ่งมั่นต่อหน้าที่ของเราตรงนี้ เพราะเรารักและเทิดทูนบูชาสถาบันพระมหากษัตริย์ นายสุรชัยกล่าวและได้พานักข่าวไปชมส่วนต่างๆในวอร์รูม รวมทั้งบริเวณสำหรับเก็บคอมพิวเตอร์ซึ่งทางหน่วยงานได้ยึดมาจากผู้ต้องสงสัย ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยไม่อนุญาตให้บันทึกภาพแสดงให้เห็นระดับความใหญ่โตของศึกออนไลน์ระหว่าง รัฐบาลไทยและบรรดาผู้คิดต่างในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็ได้แสดงถึงความคลุมเครือของมาตรฐานที่ใช้กำหนดว่า ข้อความหรือการกระทำใดบ้างที่ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นสถาบันกันแน่ ตามที่มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการดังกล่าวในประเทศไทยได้แสดงความเห็นว่า การไล่ล่าความผิดในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนี้กำลังละเมิดสิทธิของพลเมือง รัฐบาลในหลายประเทศ โดยเฉพาะในจีนและสิงคโปร์ต่างก็พยายามควบคุมข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเช่นกัน แต่ไม่มีที่ใดที่มีการควบคุมอินเตอร์เน็ตอย่างออกนอกหน้าและตะบี้ตะบันแบบในประเทศไทย ทีมผู้เชี่ยวชาญในวอร์รูมแห่งนี้ได้ปิดกั้นเว็บเพจเป็นจำนวนถึง 70,000 เพจในเวลาเพียง 4 ปี โดยส่วนใหญ่ หรือประมาณ 60,000 เพจ ถูกบล็อกด้วยข้อหาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่เปิดเผยโดยนายสุรชัย (เว็บเพจอื่นๆส่วนมากถูกบล็อกคด้วยข้อหาอนาจาร) นายสุรชัยยังได้อธิบายด้วยว่า ทุกครั้งที่จะมีการบล็อกหน้าเว็บ หน่วยงานของเขาจะต้องขอคำสั่งจากศาลก่อนเสมอ และศาลก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะออกคำสั่งในการบล็อกเว็บเหล่านี้เลยแม้แต่ครั้งเดียว เนื่องจากการอภิปรายประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยังเป็นสิ่งต้องห้ามในประเทศไทย และเป็นเรื่องที่คุยกันได้แต่ในระดับหลบๆซ่อนๆ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าจุดประสงค์ของข้อความโจมตีพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่านั้นคืออะไรกันแน่ ไม่เคยมีการประท้วงในที่สาธารณะต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลยตลอด เวลากว่า 60 ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ แม้แต่ผู้ประท้วงต่อต้านอำนาจในสังคมที่แข็งกร้าวที่สุดก็ยังไม่เรียกตนเองว่าเป็นผู้นิยมสาธารณรัฐหรือระบอบประธานาธิบดี อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต ก็ได้กลายเป็นแนวปราการที่ป้องกันการดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบัน ที่กำลังเผชิญหน้ากับการไร้ความยำเกรงและการออกนอกกรอบของคนที่เกิดมาในยุคสมัยของเฟซบุ๊ก ประชาชนไทยหลายคนอาจจะมีความเกรงกลัวมากเกินกว่าจะกบฏต่อปูชนียวาทกรรมหลักนี้ในที่สาธารณะ แต่พวกเขาสามารถเลือกที่จะแสดงข้อความจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหาพระมหากษัตริย์ อย่างไม่คณามือได้ในโลกอินเตอร์เน็ต โดยอาศัยความนิรนามของอินเตอร์เน็ตนั่นเอง สุรชัยกล่าวว่า จำนวนเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังการรัฐประหารในเดือนกันยายน  2549 การรัฐประหารดังกล่าวก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างชัดเจน และยังเป็นจุดกำเนิดของคนเสื้อแดง ที่มีจุดยืนต่อต้านการแทรกแซงของทหารในการเมือง และสนับสนุนอดีตนายก ทักษิณ ชินวัตร



สำหรับบุคคลภายนอกสังคมไทยแล้ว ประเทศไทยดูเป็นประเทศที่รักสนุกและไม่เข้มงวด เป็นประเทศที่นิติรัฐสามารถเอนอ่อนได้ดังต้นอ้อในสายลม แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเรียกสั้นๆโดยคนไทยว่าสถาบัน กลับเป็นเสาหินตั้งตระหง่านอยู่เหนือนิสัยใจคอแบบอะไรก็ได้ ของสังคมไทย คนไทยหลายคนกลายเป็นขึงขังขึ้นมาทันทีในเรื่องการพิทักษ์ไว้ซึ่งพระบารมี แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว



หลายคนกังวลใจต่อพระพลานามัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์จะทรงมีพระชนมายุถึง 84 พรรษาในเดือนธันวาคม 2554 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราชมาเป็นเวลาสองปีติดต่อกันแล้ว และพระองค์ก็เสด็จออกสู่โลกภายนอกให้สาธารณชนได้เห็นน้อยลง กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามารถให้โทษจำคุกได้ถึง 15 ปีต่อผู้ที่หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ซึ่งออกในปี 2550 โดยรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารอีกต่อหนึ่ง ก็คาดโทษจำคุกอีก 5 ปีสำหรับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน นายสุรชัยเผยว่าบางกรณีก็ตัดสินได้ง่ายว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแน่นอน เช่น เขาไม่เคยลังเลที่จะบล๊อกเว็บเพจใดก็ตามที่มีรูปเท้าวางอยู่เหนือพระเศียรของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันถือว่าเป็นการดูหมิ่นรุนแรงในวัฒนธรรมไทย นายสุรชัยยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การใช้สรรพนามที่ไม่เหมาะสมนำหน้าพระนามขององค์พระเจ้าอยู่หัวก็ถือเป็นความผิดที่เห็นได้ชัดเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การไล่ล่าการหมิ่นพระบรมเดชนุภาพก็ซับซ้อนได้มากกว่านั้นพวกนี้ชอบโพสต์คำเปรียบเปรยและพวกเขามีรหัสลับใช้กันเอง

รัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณวอร์รูมแห่งนี้แล้ว และในเร็วๆนี้จะมีการเพิ่มระดับผู้ปฏิบัติงานจนสามารถดำเนินการได้ตลอด
24 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญในวอร์รูมเปิดเผยว่า ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพส่วนใหญ่โพสต์กันในเวลาหลังเที่ยงคืนและช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนรุ่งสาง อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการปราบปรามข้อความหมิ่นฯเหล่านี้ได้ทำให้ประชาชนหลายคนในประเทศไทยวิตกกังวล ซึ่งพวกเขามองว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการล่าแม่มด นอกจากนี้ยังมีบรรดานักเขียน นักวิชาการ และศิลปินกลุ่มต่างๆที่ชี้ว่า กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างผิดๆได้ ในเดือนสิงหาคม 2554 คณาจารย์ทั้งไทยและต่างชาติจำนวน 112 คนได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกที่มีเนื้อหาชี้แจงว่า การกวาดล้างทางอินเตอร์เน็ตที่กำลังดำรงอยู่เป็นภัยต่ออนาคตประชาธิปไตยในประเทศไทย แก่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ใช้พื้นที่บทบรรณาธิการเมื่อเร็วๆ นี้แสดงความเห็นว่า พ.ร.บ. การกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ กำลังถูกใช้อย่างไร้การควบคุมและพิจารณา โดยวิจารณ์ไว้ว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือปิดหรือบล๊อกเว็บไซต์นับหมื่นๆเว็บโดยปราศจากหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการกระทำผิด และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เว็บไซต์เหล่านั้นทั้งหมดจะทำผิดข้อหาหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพจริง



มีกรณีหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จิรนุช เปรมชัยพร ผู้ดูแลเว็บไซต์ ประชาไท ได้ถูกดำเนินคดีเนื่องมาจากบางข้อความที่โพสต์ในเว็บไซต์แห่งนั้นมีเนื้อหา ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จีรนุช อธิบายตนเองต่อศาลว่า ในวันหนึ่งๆ นั้นเธอต้องอ่านข้อความจำนวนเป็นพันๆ ที่โพสต์ในเว็บไซต์และจัดการลบข้อความที่มีลักษณะหมิ่นฯเมื่อเธอพบเจอเข้า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายผู้ฟ้องร้องกลับบอกว่า จีรนุชลบความเห็นเหล่านั้นไม่เร็วพอ การพิจารณาคดีครั้งนี้ได้รับความสนใจจากบริษัทที่ทำธุรกิจในโลกอินเตอร์เน็ตยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง Google, Yahoo และ Ebay ล่าสุด Asia Internet Coalition อันเป็นสมาคมร่วมของอุตสาหกรรมธุรกิจในอินเตอร์เน็ตซึ่งก่อตั้งร่วมกัน โดยบริษัทเหล่านั้น ได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า การบังคับใช้กฏหมายของ พรบ. คอมพิวเตอร์ดังกล่าว อาจจะส่งผลให้บริษัทที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตปฏิเสธที่จะทำธุรกิจในประเทศไทยได้เมื่อมีการนำเอาสื่อกลางของการใช้อินเตอร์เน็ตมารับความผิดชอบแทนผู้ใช้อินเตอร์เน็ตเช่นนี้ กรณีของจีรนุช อาจถือได้ว่าเป็นตัวอย่างการดำเนินคดี ที่อันตรายและสามารถมีผลต่อเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ ผู้เชี่ยวชาญในวอร์รูม กล่าวว่าพวกเขากำลังถูกกดดันจากทุกฝ่าย สำนักงานของพวกเขาได้รับการร้องเรียนทางอีเมลล์ประมาณ 20-100 ฉบับต่อวัน อีเมลล์เหล่านั้นแบ่งฝ่ายกันดังเช่นสังคมไทย บ้างก็สนับสนุน บ้างก็ต่อต้านปฏิบัติการของวอร์รูม ผู้สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์บางกลุ่มก็มีจุดยืนที่สุดโต่ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ นางฟ้างาย คำอโศก สตรีผู้หนึ่งจากประเทศไทยภาคเหนือ ได้ล่ารายชื่อจำนวน 130,000 รายชื่อเพื่อสนับสนุนให้ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันของประเทศไทย และแทนที่ด้วยรัฐบาลอันประกอบด้วย ความดีและคุณธรรมที่พระราชทานโดยพระมหากษัตริย์แทน ฟ้างาย เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการรณรงค์ครั้งนี้ของเธอเราได้เห็นว่าในหลวงท่านทรงเสียสละเพื่อชาวเรา เรามีความรักในจิตวิญญาณของเราแด่พระองค์ท่าน พระองค์ทรงเป็นเหมือนเทพองค์หนึ่ง อย่างไรก็ตาม ในอีกฟากหนึ่งคือการขานตอบกฏหมายอันจำกัดสิทธินี้ด้วยการเสียดสี ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการกระทำผิดทางอินเตอร์เน็ต 24 ชั่วโมงที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลในปี 2552 ได้รับการโทรเข้ามาร้องเรียนหลายสิบครั้งต่อวัน แต่ปรากฏว่าการโทรเหล่านี้หลายครั้งก็ไม่ได้จริงจังแต่อย่างใด “90% ที่โทรเข้ามาคือโทรมาแกล้งเล่นณัฐ พยงค์ศรี ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์คนหนึ่งในห้องกล่าวกับผู้สื่อข่าว นายสุรชัย ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของทีมในวอร์รูม เปิดเผยว่าเขาต้องถามหาคำชี้แนะจากผู้บังคับบัญชาอีกต่อหนึ่งเสมอๆ โดยนายสุรชัยใช้โปรแกรมชื่อว่า แมงมุมที่สร้างขึ้นมาสำหรับการนี้โดยเฉพาะในการท่องไปตามโลกอินเตอร์เน็ตและแจ้ง ให้ทราบถึงเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นเบื้องสูง จากนั้น เขาจึงปรึกษากับหน่วยทหารพิเศษที่ประจำการ ณ พระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพิจารณาความร้ายแรงของแต่ละเนื้อหาเมื่อผู้บังคับบัญชาเหล่านี้พิจารณาแล้วตัดสินใจให้บล็อก เราก็ต้องทำการบล็อกตามคำสั่ง... หลายคนปฏิเสธที่จะมารับหน้าที่ตรงนี้...ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คนที่โดนว่าทั้งขึ้นทั้งล่องก็คือพวกเราอยู่ดี

วิกิลีกส์และรายงานลับของสถานทูตสหรัฐ



วิกิลีกส์ (Wikileaks) เป็นเว็บไซต์ที่เปิดเผยข้อมูลเอกสารที่รั่วไหลของรัฐบาลและบริษัทในประเทศตะวันตก ในเดือนเมษายน 2553 วิกิลีกส์ได้เผยแพร่ภาพวิดีโอที่ถูกบันทึกเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2550 แสดงภาพการโจมตีทางอากาศของกองทัพสหรัฐต่อกรุงแบกแดดที่ทำให้มีพลเรือนชาวอิรักเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก จากนั้นในเดือนกรกฎาคม 2553 ก็ได้เผยแพร่เอกสารลับที่ไม่เคยถูกเผยแพร่จำนวนมากกว่า 76,900 ฉบับ เกี่ยวกับปฏิบัติการของสหรัฐในอัฟกานิสถาน และในเดือนตุลาคมก็ได้เผยแพร่เอกสารลับกว่า 400,000 ฉบับเกี่ยวกับสงครามอิรัก ในเดือนมิถุนายน 2553 รัฐบาลไทยได้ทำการบล็อกการเข้าถึงเว็บไซต์นี้ เนื่องจากเผยแพร่เนื้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ ปลายเดือนพฤศจิกายน 2553 ทางเว็บไซต์ได้เผยแพร่โทรเลขเอกสารลับและเอกสารปกปิดทางการทูต กว่า 100,000 หน้าของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ  จนทำให้นางฮิลลารี คลินตัน รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ ได้ออกแถลงการณ์ประณาม



ต่อมาในวันที่ 1 ธันวาคม 2553 ตำรวจสากล ได้ออกหมายจับจูเลียน อาสซานจ์ (Julian Assange)  ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ ในข้อหาเกี่ยวกับการล่วงละเมิดทางเพศ  จากนั้นเว็บไซต์ได้ถูกแครกเกอร์ โจมตีจนทำให้ผู้ให้บริการเซิร์ฟเวอร์ในสหรัฐอเมริกาได้ยกเลิกการใช้ แต่ยังมีโดเมนสำรองที่จดทะเบียนในสวิตเซอร์แลนด์ใช้พนักงานหลักๆ แค่ 5 คน แต่มีเครือข่ายอาสาสมัครกว่า 1,000 คน ที่ร่วมด้วยช่วยกันคัดกรอง ตรวจสอบ แก้ไข ก่อนเผยแพร่จนกลายเป็นฐานข้อมูลเอกสารลับใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์
สำหรับงบประมาณอาศัยการบริจาคเป็นหลัก มีงบประมาณ 1.75 แสนปอนด์ต่อปี หรือราว 8 ล้านบาทเศษ และได้รับการสนับสนุนด้านกฎหมายจากสำนักข่าวชื่อดังหลายแห่ง
องค์กรแห่งนี้เรียกตัวเองว่า เป็นระบบปลอดเซ็นเซอร์สำหรับการแพร่งพรายเอกสารลับจำนวนมหาศาลแบบที่ไม่สามารถแกะรอยไปยังที่มาได้ เอกสารถูกเก็บอย่างดีในเซิร์ฟเวอร์หลักที่สวีเดน และอีกหลายประเทศที่มีกฎหมายคุ้มครองความลับสื่อ
ข้อมูลถูกเข้ารหัสป้องกันระดับเดียวกับกองทัพ เพื่อปกป้องแหล่งข่าว
และต่อต้านความพยายามบุกรุกของหน่วยงานรัฐ ตลอดจนบริษัท และเหล่าแฮ็กเกอร์ที่อยากลองดี เป้าหมายของ วิกิลีกส์ คือการสร้างสำนักข่าวกรองของประชาชน
ยึดมั่นกับสิ่งที่เรียกว่า ความโปร่งใสสุดขั้ว ด้วยความเชื่อว่ายิ่งลับน้อยเท่าไหร่ ยิ่งดีเท่านั้น
ภายในปีเดียวนับจากเปิดตัวเว็บไซต์ วิกิลีกส์คุยว่าฐานข้อมูลของตนเก็บเอกสารแนวเปิดโปง 1.2 ล้านชิ้น และมีผู้ส่งเอกสารเข้าไปนับหมื่นชิ้นในแต่ละวัน  


รายงานลับทางการทูตสหรัฐ
เกี่ยวกับไทย

รายงานลับทางการทูตที่รั่วไหลออกมาผ่านทางวิกิลีกส์เปิดโปงให้รู้ว่า สหรัฐอเมริกาเห็นชอบกับการรัฐประหารของกองทัพ ซึ่งโค่นล้มรัฐบาลนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน  2549 ถึงแม้หน้าฉากที่แสดงออกต่อสาธารณะนั้น สหรัฐฯ จะทำเหมือนวางระยะห่างจากการยึดอำนาจก็ตาม รายงานลับทางการทูตเผยให้เห็นพฤติกรรมต่อต้านประชาธิปไตยของสหรัฐฯ และประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ ที่ซ่อนอยู่ในการดำเนินการทางการทูตแบบเร้นลับหลังฉาก เอกสารเหล่านี้ชี้ให้เห็นด้วยว่าเจ้าหน้าที่สหรัฐได้ร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกองทัพไทยและลุงสมชาย โดยมีการปรึกษาหารือกันว่าจะจัดการอย่างไรกับฝ่ายที่สนับสนุนรัฐบาลทักษิณ ความจริงที่ถูกเปิดเผยนี้ได้สร้างผลเสียต่อราชวงศ์ไทยเป็นอย่างมาก รัฐบาลที่มีกองทัพหนุนหลังของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จึงต้องพยายามสกัดกั้นการเผยแพร่ของข้อมูล  บทความบทหนึ่งบนเว็บไซท์ของ บางกอกโพสต์ ถูกถอดออกหลังจากนำขึ้นเผยแพร่ได้ไม่กี่ชั่วโมง รายงานลับทางการทูตนี้ได้ทำลายเทพนิยายปรำปราที่ปลูกฝังกันมานมนานว่าลุงสมชายเป็นกลางและอยู่เหนือการเมือง  

 

รายงานลับทางการทูตจากสถานทูตสหรัฐฯ ในกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 20 กันยายน  2549 บันทึกการสนทนาระหว่างนายราล์ฟ แอล. บอยซ์ (Ralph L. Boyce) กับพลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ทั้งสองพบกันเป็นการส่วนตัว หลังจากกองทหารและรถถังเพิ่งเคลื่อนเข้ายึดเมืองหลวงและล้มรัฐบาลทักษิณใน บ่ายวันที่ 19 กันยายน 2549
บอยซ์ได้เริ่มต้นด้วยการถามสนธิเกี่ยว กับการเข้าเฝ้าลุงสมชายเมื่อคืนนี้ มีใครเข้าเฝ้าบ้าง สนธิกล่าวว่าประธานองคมนตรีเปรม ติณสูลานนท์ได้นำเขา  ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เรืองโรจน์ และผู้บัญชาการทหารเรือ สถิรพันธุ์ เข้าเฝ้า สนธิเน้นว่า พวกเขาเป็นฝ่ายถูกเรียกเข้าไปในวัง เขาไม่ได้เป็นฝ่ายพยายามขอเข้าเฝ้า เขากล่าวว่าลุงสมชายทรงผ่อนคลายและมีความสุข ทรงยิ้มตลอดเวลาการเข้าเฝ้า สนธิมีท่าทีผ่อนคลายและสงบ เห็นได้ชัดว่าการเข้าเฝ้าเป็นจุดเปลี่ยนของสถานการณ์ จากท่าทีที่ต้องการต่อสู้และโต้ตอบของนายกทักษิณมาเป็นการยอมรับสภาพหรือยอมแพ้ โดยสิ้นเชิงเมื่อทักษิณได้รู้ข่าวการเข้าเฝ้า เพราะอากัปกริยาของลุงสมชายเป็นการบ่งบอกถึงการสนับสนุนคณะรัฐประหารอย่างชัดเจน

เกิดความแตกแยกที่ร้าวลึกขึ้นในหมู่ชนชั้นปกครองไทย กลุ่มธุรกิจและการเมืองดั้งเดิมที่รายรอบสถาบันกษัตริย์ กองทัพและกลไกรัฐ ต่างหันมาเป็นปฏิปักษ์ต่อนายกทักษิณมหาเศรษฐี ผู้นำรัฐบาลที่ประสบความสำเร็จในการแก้ไขวิกฤติการณ์เศรษฐกิจ ในเอเชีย ช่วง
2540-2541 ตามเงื่อนไขของไอเอมเอฟ
กลุ่มธุรกิจสายอนุรักษ์ได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขึ้นเพื่อโค่นล้ม รัฐบาลทักษิณ กลุ่มพันธมิตรฯ แสร้งวางตัวเป็นเสียงคัดค้านการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจของทักษิณ โดยจัดระดมมวลชนเสื้อเหลือง ประท้วงในกรุงเทพฯ เพื่อช่วยสร้างเงื่อนไขให้กองทัพเข้ามารัฐประหาร


รายงานลับชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลบุช ทราบล่วงหน้าเกี่ยวกับการรัฐประหารมาตั้งแต่ช่วงเตรียมการและให้ความเห็นชอบเป็นนัยๆ ส่วนการแสดงออกต่อสาธารณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ แสดงความกังวลนั้น เป็นเรื่องที่มีการตกลงกับผู้นำรัฐประหารล่วงหน้าก่อนแล้ว

บอยซ์ เขียนว่า เมื่อกล่าวถึงปฏิกิริยาของสหรัฐฯ ผมเตือนพลเอกสนธิ ถึงการสนทนาของเราเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2549 ที่ผมบอกเขาว่า ปฏิบัติการทางทหารใดๆ ย่อมส่งผลให้มีการระงับโครงการความช่วยเหลือในทันที.....ผมบอกเขาว่า เขาต้องคาดหมายไว้ว่าเราจะประกาศมาตรการแบบนั้นออกมาโดยเร็ว เขาก็เข้าใจดี ผมเสริมต่อว่า การฟื้นฟูความช่วยเหลือต่าง ๆ จะเกิดขึ้นหลังจากรัฐบาลที่ได้รับเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยเข้ามาดำรงตำแหน่ง

ก่อนเข้าพบทูตสหรัฐฯ พลเอกสนธิได้ประกาศแล้วว่าจะมีการร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราวและแต่งตั้งรัฐบาลพลเรือนภายในสองสัปดาห์ แน่นอนว่ารัฐบาลพลเรือนที่วางไว้ เป็นแค่ฉากบังหน้าให้กองทัพ กระนั้นก็ตาม บอยซ์แสดงความคิดเห็นในเชิงชมเชยว่า นี่คือ ตัวอย่างที่ดี
ทำเนียบขาวของรัฐบาลบุชทำทีท่าระงับความช่วยเหลือทางการทหารและการซ้อมรบร่วมกับประเทศไทย เพื่อแสดงความกังวล แต่ไม่นานก็รื้อฟื้นความสัมพันธ์ตามปรกติกับกองทัพไทย รัฐบาลทหารจัดการเลือกตั้งในปลายปี
2550 ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ไม่มีความเป็นประชาธิปไตย พรรคพลังประชาชนที่สนับสนุนทักษิณก่อตั้งขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ถึงแม้วอชิงตันจะชื่นชมผลการเลือกตั้งว่าเป็นการกลับไปสู่ประชาธิปไตย แต่รัฐบาลที่มาจากพรรคพลังประชาชนย่อมไม่ใช่ผลลัพธ์ที่สหรัฐคาดหวัง

เมื่อไม่สามารถสกัดกั้นการกลับมาของรัฐบาลที่สนับสนุนทักษิณ สถาบันอำนาจเก่าจึงร่วมมือกันรณรงค์เพื่อโค่นล้มรัฐบาล การประท้วงของพันธมิตรฯกลับมาอย่างรวดเร็ว ในเดือนกันยายน 2551 ศาลรัฐธรรมนูญของไทยก็ลงมติถอดถอนนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ด้วยข้ออ้างเล็กน้อยว่า เขาละเมิดกฎหมายด้วยการออกรายการทำอาหารทางทีวี


จากรายงานทางการทูตที่รั่วไหลออกมาอีกฉบับหนึ่ง นายสมัครกล่าวแก่ เอกอัครราชทูต สหรัฐฯ นายเอริก จอห์น (Eric G. John) ในเดือนตุลาคม 2551 ว่าป้าสมจิต มีส่วนรู้เห็นกับการรัฐประหาร 2549 รวมทั้งความปั่นป่วนวุ่นวายที่เกิดจากการประท้วงของพันธมิตรฯด้วยในตอนนั้น ที่จริงคงเป็นการแก้ตัวให้ลุงสมชายว่าไม่ได้รู้เห็น หากแต่เป็นการสั่งการของป้าสมจิตคนเดียว ซึ่งเป็นเรื่องโกหก พันธมิตรฯ ยังดำเนินการประท้วงด้วยการยึดทำเนียบรัฐบาล เพื่อบีบให้นายกรัฐมนตรีสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ลงจากตำแหน่ง แต่สหรัฐไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดๆ ต่อสาธารณะในเรื่องนี้
บันทึกความจำของสหรัฐฯ อีกฉบับหนึ่ง ลงวันที่ในเดือนพฤศจิกายน  2551 ยืนยันว่า กลุ่มอำนาจได้มีการปรึกษาหารือที่จะมีการรัฐประหารอีกครั้งหนึ่ง ป้าสมจิตได้เสด็จงานเผาศพพันธมิตรเสื้อเหลืองคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากการปะทะกับตำรวจระหว่างเดินขบวนต่อต้านรัฐบาลของพวกทักษิณ แต่โทรเลขรายงานว่าลุงสมชายสั่งพลเอกอนุพงษ์อย่างชัดเจนไม่ให้ทำการรัฐประหารโดยอ้างคำพูดของที่ปรึกษาป้าสมจิต ซึ่งทางการสหรัฐก็ทราบเรื่องนี้และไม่ได้คัดค้าน

อีกเพียงหนึ่งเดือนต่อมา ในเดือนธันวาคม 
2551 กลุ่มพันธมิตรฯยึดสนามบินสองแห่งในกรุงเทพฯ เพื่อสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย พร้อมๆกับศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคพลังประชาชนด้วยข้อหาที่ปั้นแต่งขึ้นมาว่าโกงการเลือกตั้ง จากนั้นกองทัพก็เกลี้ยกล่อมพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ให้จับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ของนายอภิสิทธิ์และก่อตั้งรัฐบาลใหม่ขึ้นมารายงานทางการทูตยืนยันให้เห็นได้ชัดว่าการที่สหรัฐเพิกเฉยต่อการรัฐประหาร 2549 เป็นเรื่องของผลประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจและยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ที่มีสายสัมพันธ์ยาวนานกับกองทัพไทย ย้อนกลับไปตั้งแต่ทศวรรษ 2500 และ 2510 เมื่อวอชิงตันหนุนหลังระบอบเผด็จการทหารของไทย และใช้ประเทศไทยเป็นฐานทัพปฏิบัติการทางทหารช่วงสงครามเวียดนามสหรัฐฯจะประณามหรือจะประนีประนอมกับรัฐบาลทหาร ก็ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ทางการเมืองของตนเท่านั้น สหรัฐฯ ยังคงคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อระบอบเผด็จการทหารพม่าที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านของไทยและวางท่าเป็นผู้ปกป้องสิทธิตามระบอบประชาธิปไตยของชาวพม่า แต่สิ่งที่วอชิงตันคัดค้านจริงๆ ไม่ใช่การละเมิดสิทธิประชาธิปไตยขั้นพื้นฐาน แต่เป็นเพราะไม่พอใจต่อความสัมพันธ์แนบแน่นระหว่างรัฐบาลทหารพม่ากับจีนต่างหาก เนื่องจากจีนเป็นคู่แข่งรายใหญ่ของสหรัฐฯ ในภูมิภาคนี้

การผลักดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ที่ไม่ได้มาตามระบบการเลือกตั้งขึ้นสู่อำนาจ เป็นชนวนให้เกิดการประท้วงของมวลชนที่นำโดยแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปช.) ที่สนับสนุนทักษิณ ขบวนการเสื้อแดงนี้มีแนวโน้มที่จะขยายกลายเป็นขบวนการสังคมที่กว้างขวางมากขึ้น ทั้งนี้เพราะกลุ่มเกษตรกร กลุ่มนักธุรกิจรายย่อยและแรงงานในเมืองเริ่มส่งเสียงแสดงความไม่พอใจจากปัญหาของตนเองเช่นกัน นายกอภิสิทธิ์ตอบโต้ด้วยการกดขี่ปราบปราม จนลงเอยด้วยการที่กองทัพเข้าสลายการชุมนุมอย่างนองเลือดในวันที่
19 พฤษภาคม 2553 ซึ่งกองทหารติดอาวุธหนักยิงใส่ผู้ประท้วง มีประชาชนเสียชีวิตอย่างน้อย 91 คนจากการปะทะในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2553 เช่นเดียวกับการรัฐประหารในเดือนกันยายน 2549 ที่สหรัฐยังคงไม่ได้กล่าวประณามการกระทำของรัฐบาลอภิสิทธิ์หรือกองทัพไทยแม้แต่น้อย


อดีตนายกอานันท์ยืนยันว่าอาการและอารมณ์ของลุงสมชายยังแย่อยู่ สาเหตุหลักก็เพราะทักษิณ เนื่องจากลุงสมชายวิตกกังวลและไม่สบายใจเรื่องทักษิณมาตลอด และการกระทำที่ท้าทายของทักษิณกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ

พล.อ.อ.สิทธิ เล่าว่านายกอภิสิทธิ์ได้มาอวยพรวันเกิดอายุ 90 ของตน และบอกว่าเมื่อไทยไม่ได้เป็นประธานอาเชี่ยนแล้ว ตนก็ไม่จำเป็นต้องไปเกรงใจที่จะสงบปากสงบคำโต้ตอบนายกฮุนเซนอีกต่อไป แต่สิทธิแสดงความเป็นห่วงเพราะนอกจากกัมพูชาและบรูไนที่ยืนข้างทักษิณเพราะความสนิทส่วนตัวอย่างชัดเจนแล้ว ทั้งลาวและเวียตนามก็คงจะหนุนหลังฮุนเซนในกรณีพิพาทกับไทยเช่นกัน




อีริคจอนทูตสหรัฐได้แจ้งข่าวแก่รัฐบาลสหรัฐโดยอ้างแหล่งข่าวทางการทูตหลังจากลุงสมชายเข้ารักษาอาการป่วยในปี 2552 ว่าลุงสมชายป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ความเครียดและอาการเจ็บหลังเรื้อรัง รองนายกสุเทพได้บอกทูตสหรัฐว่าลุงสมชายมีอาการทางจิต โดยสุเทพยืนยันว่าลุงสมชายมีอาการเครียดและวิตกกังวลเป็นประจำ ทั้งเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินและวาระสุดท้ายของตนที่ใกล้เข้ามา

อีริคจอนรายงานว่าลุงสมชายมีความวิตกกังวลเรื่องเสี่ยอูซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวที่คาดเดาไม่ได้ และเสี่ยอูใช้เวลากว่าสามในสี่ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมาในยุโรปโดยส่วนใหญ่ประทับ ณ วิลล่าที่เป็นสถานบริการสปาทางการแพทย์อยู่นอกเมืองมิวนิคของเยอรมันนีไปประมาณ 20 กิโลเมตร โดยอยู่กับภรรยาน้อยแอร์โฮสเตรสที่เสี่ยอูรักมากและสุนัขพุดเดิ้ลชื่อฟูฟู ขณะที่ประชาชนไม่ค่อยจะยอมรับรัศมีจันทร์เป็นราชินีเพราะคลิ้ปวีดีโอริมสระน้ำที่รัศมีจันทร์อยู่ในชุดเปลือยอก



ที่น่าตกใจคือท่านทูตอีริคจอนยอมรับข่าวลือที่ว่าเสี่ยอูกำลังรับการรักษาพยาบาลอาการเจ็บป่วยที่มีอันตรายร้ายแรงถึงชีวิต ในปี 2552 อีริคได้รายงานโดยเชื่อว่าเสี่ยอูมีอาการป่วยจากโรคทางโลหิตอาจเป็นเอชไอวีคือเอดส์ หรือตับอักเสบชนิดซี หรือเป็นมะเร็งเม็ดเลือด หรือเป็นหลายโรคผสมกัน ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนถ่ายเลือดบ่อยๆ ส่วนป้าสมจิตก็มีบทบาททางการเมืองมากขึ้นในการสนับสนุนการเคลื่อนไหวของพวกพันธมิตรเสื้อเหลืองต่อต้านอดีตนายกทักษิณและสนับสนุนการรัฐประหารที่ขับไล่นายกทักษิณในปี 2549 ทำให้เสี่ยอูไม่ค่อยพอใจนักเพราะเสี่ยอูเคยได้เงินก้อนใหญ่จากนายกทักษิณโดยเฉพาะเงินจากรายได้ของสำนักงานสลากกินแบ่ง

......................




วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2555

112 สยองพระเกียรติ ตอนที่ 7 : คนไทยไม่ได้กินหญ้า Section 112 07




112 สยองพระเกียรติ
ตอนที่
7 : คนไทยไม่ได้กินหญ้า  
  
จดหมายเปิดผนึกเรื่องความยุติธรรม

เรียน ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์

31 มีนาคม 2554
พระองค์ได้พระราชทานสัมภาษณ์ออกทีวีในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุยตามที่มีรายงานข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ มีตอนหนึ่งว่า



ใจจริงของฉัน อยากจะขอเวลาจากรายการทีวีช่วงสั้นๆ แค่ 5 นาที 10 นาที ฉายพระราชกรณียกิจที่ท่านทำ สงสารท่านเถอะ ท่านทุ่มเทเต็มที่ เอาใจใส่ทุกรายละเอียดทุกงานที่ทำทั้ง 2 พระองค์ ซึ่งทั้ง 2 พระองค์ทรงเป็นห่วงเรื่องความสามัคคีของคนไทย อยากให้กลมเกลียว คนไทยต้องเข้มแข็ง ชาติจะได้เจริญก้าวหน้าต่อไป ฉันอยากให้ทั้ง 2 พระองค์ได้รับความยุติธรรมตามที่ท่านควรจะได้รับ
เรื่องที่ทรงเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถนี้ ได้เป็นประเด็นหลักที่หนังสือพิมพ์ที่รายงานเรื่องการพระราชทานสัมภาษณ์นี้ นำไปพาดหัว
ปัญหามีอยู่ว่าการให้สัมภาษณ์ที่ทรงเรียกร้องความยุติธรรม ให้กับ 2 พระองค์ นี้ โดยการให้สัมภาษณ์เอง เป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรม หรือพูดง่ายๆคือไม่แฟร์ ในขณะที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ไม่ได้อยู่ภายใต้การคุ้มครองของประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ที่เรียกกันว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพก็จริง แต่โดยประเพณีของการตีความกฎหมายนี้ในลักษณะครอบจักรวาลที่ผ่านๆมา และในสภาพที่ประเทศไทยอยู่ภายใต้ระบบการประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยพลเมืองตั้งแต่เด็กๆแบบด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ไม่ว่าระดับใด รวมทั้งฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ โดยที่การประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยดังกล่าว ไม่เคยเปิดโอกาสให้มีการตรวจสอบ วิพากษ์วิจารณ์ โต้แย้งได้

ผลก็คือ แม้แต่การให้สัมภาษณ์ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เช่นนี้ ก็ยากที่จะมีใครกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเมื่อเนื้อหาของการให้สัมภาษณ์นี้ เกี่ยวพันถึงในหลวงและพระราชินี ซึ่งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายอาญามาตรา 112 การจะวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งเนื้อหาการให้สัมภาษณ์ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพาดพิงถึง 2 พระองค์ด้วย เช่น ทรงไม่ได้รับความยุติธรรมหรือไม่อย่างไร เป็นต้น

ตามหลักการที่ทั่วโลกอารยะถือกันในปัจจุบันว่า การที่บุคคลสาธารณะ แสดงความเห็นต่อสาธารณะในเรื่องที่เป็นสาธารณะ เช่นที่ทรงให้สัมภาษณ์นี้ จะต้องเปิดโอกาสให้สาธารณชนได้วิพากษ์วิจารณ์ แสดงความไม่เห็นด้วย หรือกระทั่งโต้แย้งได้ มีความพร้อมให้ตรวจสอบ การไม่เปิดโอกาสเช่นนั้น ย่อมถือเป็นการไม่แฟร์ หรือไม่ยุติธรรม ในสภาพสังคมไทยทั้งทางกฎหมายและการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยดังกล่าว ทำให้การพระราชสัมภาษณ์ที่ทรงเรียกร้องความยุติธรรมนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบการประชาสัมพันธ์ด้านเดียว และการอบรมบ่มนิสัยด้านเดียว เกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระราชวงศ์ ที่ตรวจสอบไม่ได้ วิพากษ์วิจารณ์โต้แย้งไม่ได้ ซึ่งไม่ยุติธรรมไปโดยปริยาย

ผู้นิยมเจ้าจำนวนไม่น้อยมักโต้แย้งว่า การมีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และการห้ามการวิพากษ์วิจารณ์โต้แย้ง ตรวจสอบการประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยแบบด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจของพระราชวงศ์ทุกพระองค์ เป็นเพราะพระราชวงศ์ไม่อยู่ในฐานะที่จะมาโต้แย้งหรือตอบโต้การตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์ได้ โดยมักจะพูดในทำนองว่าพระองค์ท่านไม่สามารถตอบโต้ได้ จึงต้องให้รัฐทำการตอบโต้ด้วยกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่รุนแรงในระดับที่ไม่มีประเทศอารยะที่ไหนอนุญาตให้มี
ความจริงเหตุผลหรือข้อโต้แย้งนี้ เป็นการให้เหตุผลแบบกลับหัวหลับหาง โดยเอาผลมาอ้างเป็นต้นเหตุ เพราะการที่มีผู้เรียกร้องให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบเกี่ยวกับพระราชวงศ์นั้น เริ่มมาจากการที่พระราชวงศ์ได้เข้ามามีบทบาททางสาธารณะในทุกด้านอย่างมหาศาล โดยมีระบบการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวและการอบรมบ่มนิสัยด้านเดียว เป็นตัวส่งเสริมบทบาทเหล่านั้น ซึ่งตามบรรทัดฐานที่ยอมรับกันทั่วไปในโลกอารยะ รวมทั้งในประเทศไทยในกรณีอื่นๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ บทบาทสาธารณะทุกอย่างของบุคคลสาธารณะและการประชาสัมพันธ์และอบรมบ่มนิสัยที่เป็นสาธารณะในลักษณะนี้ จะต้องได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบโต้แย้งกระทั่งเสนอให้เอาผิดได้แต่แรก

ถ้าไม่มีบทบาทและระบบการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยด้านเดียว เกี่ยวกับพระราชวงศ์แต่แรก ก็ไม่มีความจำเป็นหรือการเรียกร้องให้มีการตรวจสอบวิพากษ์วิจารณ์หรือเสนอเอาผิดแต่แรก
พูดง่ายๆคือ ถ้าไม่ต้องการให้มีการเรียกร้องเรื่องความพร้อมให้ตรวจสอบของสาธารณะ ไม่ต้องการให้มีการวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบพระราชวงศ์ ก็ต้องไม่มีบทบาทอันมหาศาลและระบบการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชวงศ์ตั้งแต่แรก
การมีสิ่งเหล่านี้แต่แรก แล้วเมื่อมีคนเรียกร้องเรื่องความพร้อมให้ตรวจสอบต่อสิ่งเหล่านี้ แล้วฝ่ายนิยมเจ้ากลับมาอ้างว่าห้ามไม่ให้ทำ เพราะพระราชวงศ์ไม่สามารถออกมาตอบโต้เองได้ จึงเป็นการอ้างที่ปลายเหตุ ที่เกิดจากการทำผิดหลักการเรื่องนี้แต่แรก

การที่ประเทศ ประชา ธิปไตย ทุกประเทศที่ยังมีกษัตริย์เป็นประมุข ไม่อนุญาตให้มีบทบาทสาธารณะของพระราชวงศ์และไม่อนุญาตให้มีระบบการประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยพลเมืองด้านเดียวเกี่ยวกับพระราชวงศ์ ในลักษณะที่ประเทศไทยมีนับแต่สมัยเผด็จการสฤษดิ์ ก็เพราะถือกันว่า การมีบทบาทสาธารณะและระบบประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยพลเมืองเกี่ยวกับเรื่องใดๆก็ตามนั้น จะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมวิพากษ์วิจารณ์ตรวจสอบเอาผิดของสาธารณะได้ตั้งแต่ต้น
พวกนิยมเจ้าของไทยยอมให้มีการทำผิดหลักการเรื่องการมีบทบาทสาธารณะอย่างมหาศาลและประชาสัมพันธ์อบรมบ่มนิสัยด้านเดียวซึ่งเป็นเรื่องสาธารณะเกี่ยวกับพระราชวงศ์ โดยไม่มีความพร้อมให้ตรวจสอบแต่ต้น ซึ่งการยอมให้มีการปฏิบัติเช่นนี้ต้องถือเป็นความไม่ยุติธรรม แต่เมื่อมีคนเรียกร้องให้ปฏิบัติให้ถูกตามหลักการนี้ ให้ยุติภาวะไม่ยุติธรรมนี้ พวกเขาก็มาอ้างเรื่องพระราชวงศ์ตอบโต้ไม่ได้ ซึ่งเป็นการอ้างในลักษณะที่ต้องการรักษาความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นก่อน จึงไม่สามารถเอาเรื่องความยุติธรรมมาอ้างได้

ถามฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เรื่องเผาบ้านเผาเมือง
5 เมษายน 255


จากการให้สัมภาษณ์ของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ในรายการ วู้ดดี้ เกิดมาคุยที่เผยแพร่เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ 3 เมษายน 2554 ที่ว่า จะเล่าไป ข้าพเจ้าเป็นคนไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง ไม่อยากพูดถึงใครว่าใครดีใครเลว ไม่รู้ เพราะไม่เคยคบนักการเมือง แต่ว่า รู้แต่ว่า เหตุการณ์ปีที่แล้ว ที่มีการเผาบ้านเผาเมืองกัน อันนั้นนำความทุกข์มาสู่พระเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯเหลือเกิน พระเจ้าอยู่หัวนี่ จากที่ทรงหัดเดินได้น่ะ ตอนนั้นน่ะ ทรงทรุดเลย เป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือ นอนแบ่บเลย สมเด็จฯก็เสียพระทัยมากเหลือเกิน ท่านรับสั่งว่า 'คราวที่เราถูกเผาเมืองนั้น คือสมัยเสียกรุงต่อพม่า กรุงศรีอยุธยา แต่คราวนี้ สะเทือนใจยิ่งกว่า เพราะเป็นการที่คนไทยเผาเมืองไทยเอง'
แม้ฟ้าหญิงจะออกตัวว่าไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง แต่คำสัมภาษณ์นี้ มีลักษณะการเมืองอย่างชัดเจนและมากด้วย การที่พระราชทานสัมภาษณ์หรือมีพระดำรัสทางการเมืองแบบนี้ ในสภาพแวดล้อมทางกฎหมายและสังคมปัจจุบัน เป็นเรื่องไม่ยุติธรรมเลย  ไม่มีหนังสือพิมพ์หรือทีวีใด จะกล้าแสดงความเห็นโต้แย้งหรือเผยแพร่ความเห็นโต้แย้ง



ประการต่อมาฟ้าหญิงจุฬาภรณ์อ้างอิงถึงพระสุขภาพกายและใจของทั้งในหลวงและพระราชินี ว่าทรุดโทรมลงอย่างหนัก จากการที่มีการเผาบ้านเผาเมือง เกิดขึ้นเมื่อปีกลาย ในกรณีในหลวงนั้น เนื่องจากมีส่วนเกียวข้องกับพลานามัยในแง่ธรรมชาติของคนสูงอายุที่เป็นอยู่หลายโรค จึงยากจะประเมินว่า การที่ทรงทรุดถึงขั้นนอนหมดสภาพนั้น เกิดจากที่ทรงเห็นการ เผาบ้านเผาเมือง หรือเกิดจากโรคาพยาธิอื่น และต้องถือว่าเรื่องที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงเล่าในส่วนนี้ เป็นการตีความเชิงการเมือง หรือแสดงความเห็นทางการเมืองของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์



พูดง่ายๆคือ ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์เองทรงเห็นว่า การเผาบ้านเผาเมือง ทำให้ในหลวงทรงทรุดถึงขั้นเป็นไข้ต้องให้น้ำเกลือ นอนหมดสภาพเลย ในกรณีพระราชินีนั้น แม้คงเชื่อได้ว่า ทรงเสียพระทัย และทรงมีรับสั่งเปรียบเทียบการเผาบ้านเผาเมืองปีกลาย กับการเสียกรุงจริงดังที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงเล่า เพราะพระราชินีเคยมีพระราชหัตถเลขาสนับสนุนคุณนภัส ณ ป้อมเพ็ชร์ ที่เขียนจดหมายถึง CNN โจมตีการชุมนุมของเสื้อแดง

ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ก็เคยแสดงทัศนะต่อเหตุการณ์ เดือนพฤษภาคม 2553 ในลักษณะนี้ เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2553 ทรงมีพระราชดำรัสต่อคนไทยในนิวยอร์คว่า เรื่องการเมือง ข้าพเจ้าไม่รู้ด้วยหรอก ว่า ใครจะเกลียดใคร ใครอยากจะชิงดีชิงเด่นกับใคร แต่ว่า ทำไปนี่ อย่างน้อยน่าจะมีจรรยาบรรณซักนิดนึง สงสารประชาชนตาดำๆ ซักนิดนึงว่าจะเดือดร้อนกันแค่ไหน อันนี้ที่ผ่านมา นอกจากจะเดือดร้อนเรื่องความเจ็บ ความป่วยแล้ว ก็ยังเดือดร้อนทางด้านธุรกิจ คือว่าการที่มีประท้วงนานๆ มีความรุนแรงเกิดขึ้นทำให้ภาคธุรกิจของเราเดือดร้อน ซึ่งก็กระทบเศรษฐกิจของประเทศไทย




จะเห็นว่าเนื้อหาของพระราชดำรัสที่นิวยอร์คกับพระราชดำรัสในรายการวู้ดดี้เกิดมาคุย เป็นไปในทางเดียวกัน คือทรงวิจารณ์การชุมนุมของเสื้อแดง โดยเฉพาะในส่วนที่เกียวกับผลกระทบต่อภาคธุรกิจ แม้แต่เรื่องการเผาบ้านเผาเมือง นั้น ความจริงก็ดังที่รู้กันว่า ไม่ใช่บ้านเมืองของประชาชนธรรมดาจริงๆ แต่คือศูนย์การค้าย่านธุรกิจระดับสูง แน่นอนเป็นสิทธิของฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ที่จะหยิบยกเอาประเด็นผลกระทบต่อภาคธุรกิจ หรือการเผาศูนย์การค้าย่านธุรกิจระดับสูงขึ้นมาวิจารณ์ แต่ที่น่าจะสะดุดใจก็คือ เหตุใดในระหว่างหรือหลังการประท้วงนานๆ ในกรณีของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในปี 2551 ซึ่งรวมถึงการยึดครองสถานที่ราชการสำคัญที่สุดคือทำเนียบรัฐบาล และสถานที่ที่เป็นหัวใจสำคัญอย่างยิ่งยวดของภาคธุรกิจของประเทศ และมากยิ่งกว่าศูนย์การค้า คือสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ ทำไมฟ้าหญิงจุฬาภรณ์จึงไม่ได้มีพระราชดำรัสในลักษณะเดียวกัน

อันที่จริง เราทราบกันดีว่า ทรงโดยเสด็จพระราชินีในงานพระราชทานเพลิงศพของผู้ประท้วงชาวพันธมิตรคนหนึ่ง เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2551 ในระหว่างที่การชุมนุมของพันธมิตรยังไม่ยุติด้วย  ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ ทั้งในพระราชดำรัสที่นิวยอร์คและการสัมภาษณ์วู้ดดี้เกิดมาคุย เหตุใดจึงไม่ทรงเอ่ยถึงการที่มีผู้เสียชีวิตจากการปราบปรามของรัฐบาลถึงเกือบ 100 คน และพิการบาดเจ็บอีกเกือบ 2 พันคน ถ้าอะไรจะน่าสะเทือนใจที่สุดจากเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2553  ก็ควรจะเป็นเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ ยิ่งกว่าเรื่องที่มีการเผาย่านธุรกิจระดับสูง ซึ่งขณะนี้ก็ยังไม่ชัดเจนว่าฝีมือใคร แต่ต่อให้สมมุติว่าเป็นฝีมือของผู้ชุมนุมก็ตาม การที่ฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ทรงแสดงออกซึ่งความสะเทือนใจกับการเสียชีวิตของผู้ชุมนุมพันธมิตร 1 คนในปี 2551 ถึงกับโดยเสด็จในงานพระราชทานเพลิงศพ เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้อยู่  แต่กับผู้เสียชีวิตเกือบ 100 คน ที่ไม่ทรงเอ่ยถึงเลย แต่กลับทรงเอ่ยเฉพาะเรื่องการเผาตึกอาคารที่ไม่ใช่บ้านเรือนด้วยซ้ำ แต่เป็นศูนย์การค้าชั้นสูง ออกจะเป็นอะไรที่เข้าใจยากอยู่สักหน่อย


ปล. ในระหว่างเหตุการณ์พฤษภาคม 2535 สมเด็จพระเทพ ได้ทรงให้สัมภาษณ์ว่า การฆ่าฟันหรือทำรุนแรงเป็นเรื่องไม่ดี การเสียทรัพย์สินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคน อยากให้เลิกฆ่าฟัน เลิกรุนแรงเพราะว่าเราเป็นคนไทยด้วยกัน ในขณะที่บทบาทของสถาบันกษัตริย์ในส่วนที่เกี่ยวกับวิกฤติเดือนพฤษภาคม 2535 มีความซับซ้อนมากกว่าที่มักจะนำมาโฆษณาประชาสัมพันธ์กัน เฉพาะข้อความพระราชดำรัสของพระเทพที่ว่า การเสียทรัพย์สินไม่สำคัญเท่ากับชีวิตคน นี้ ต้องถือว่าถูกต้องและเหมาะสมกว่าการยกประเด็น เผาบ้านเผาเมือง ขึ้นมาเป็นจุดเด่น แน่นอนในระหว่างเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2553  ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายว่า สมเด็จพระเทพเองก็ไม่ได้ทรงให้สัมภาษณ์ในลักษณะเดียวกันนี้อีก


ต่อมาอ.สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ก็ได้รับหมายเรียกเนื่องจากสำนักงานพระธรรมนูญทหารบกแจ้งความ ตามความผิดมาตรา 112  โดยไปรายงานตัวเมื่อวันที่ 11พฤษภาคม 2554 จากกรณีที่ได้เขียนบทความภาษาไทยเกี่ยวกับการให้สัมภาษณ์ของเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ 2 ชิ้น ซึ่งเผยแพร่ในเว็บไซต์ต่างๆ ราวปลายเดือนมีนาคม-เมษายน 2554 โดยในชั้นนี้ยังไม่ต้องมีการประกันตัว เบื้องต้นได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาและพร้อมต่อสู้ในชั้นต่อไป

จดหมายถึงพระมหากษัตริย์
เนื่องในวันที่
5 ธันวาคม 2553

จากปรวยหัวเข็ม





วิกฤติการเมืองไทย 5 ปีมานี้ บานปลายมาจนทหารไล่ยิงประชาชนกลางกรุงเทพตายไปมากกว่า 90 คน มีนักโทษการเมืองถูกจับกุมมากกว่า 200 คน ศูนย์การค้ากลางกรุงถูกเผาทำลาย มันเริ่มต้นเมื่อปลายปี 2548 และเริ่มเข้าสู่วิกฤติเมื่อทหารเข้ายึดอำนาจเมื่อ 19 กันยายน 2549  ประเทศไทยจะไม่มีวันมาถึงจุดนี้ได้เลย ถ้าต้นเหตุส่วนหนึ่งไม่ได้เริ่มมาจากที่สถาบันกษัตริย์ลงมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง


ในประเทศไทย ความศรัทธาความจงรักภักดี ที่ประชาชน มอบให้สถาบันกษัตริย์ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ทำให้กษัตริย์ในประเทศไทยมีสถานะดั่งสมมุติเทพ สูงส่งจนไม่มีใครกล้าแตะต้อง เป็นยิ่งกว่าพระเจ้า แต่ความศรัทธา ความจงรักภักดีที่ประชาชนมอบให้สถาบันกษัตริย์นั้น ก็ไม่ได้มอบไว้เพื่อให้สถาบันกษัตริย์ลงมาสั่งการและจัดการการเมือง โดยไม่ฟังเสียงประชาชน


แต่ 4-5 ปีที่ผ่านมานี้ ตัวกษัตริย์และราชินีเองกลับลงมายุ่งกับการเมืองหลายครั้งหลายคราว รวมทั้งไม่มีการว่ากล่าวห้ามปรามคนใกล้ชิด เช่นองคมนตรีและทหารที่ลงมาจัดการทางการเมือง โดยเอาสถาบันกษัตริย์มาอ้างเพื่อบังคับให้คนทั่วไปทำตามความต้องการของตน ทำให้คนที่มีหน้าที่รับผิดชอบไม่กล้าทักท้วงคัดค้าน องค์กรที่มีหน้าที่รักษาความถูกต้องของกฏหมาย ก็พลอยเอนเอียงเข้าข้างกลุ่มคนที่อ้างสถาบันกษัตริย์ กฏระเบียบและเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศเลยถูกบิดเบือน
แต่พอมีประชาชนลุกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์สิ่งเหล่านี้ พวกท่านกลับปิดปากประชาชนฝ่ายที่เห็นตรงข้ามกับสถาบันกษัตริย์และพรรคพวก ด้วยการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเข้าจับกุม ซึ่งนั่นเท่ากับเป็นการใช้อำนาจที่มาจากความศรัทธาความจงรักภักดี ที่ประชาชนมอบให้สถาบันกษัตริย์ ย้อนกลับมาเป็นอำนาจเผด็จการเพื่อปิดปากประชาชนเสียเอง



ถ้าท่านเห็นว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นธรรม ขอให้ท่านตักเตือนห้ามปรามคนใกล้ชิด คนแวดล้อมของท่าน ไม่ให้ใช้สถาบันกษัตริย์และกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ มาริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชน เพื่อคืนความยุติธรรมและเสรีภาพในการแสดงออกให้กลับสู่ประเทศไทย เพื่อที่ประเทศไทยจะได้เดินหน้าต่อไปตามความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิไตยในสากลโลกพึงจะมี และให้สมกับที่พระมหากษัตริย์ของไทยได้เคยตรัสประโยคที่ยิ่งใหญ่ เมื่อวันที่ท่านได้สวมมงกุฏเสด็จขึ้นครองราชย์ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม หาไม่แล้ว มงกุฏที่ท่านสวมเมื่อวันขึ้นครองราชย์ คงไม่ต่างอะไรกับกรงกักขังความคิด สิทธิ และเสรีภาพของประชาชน

จดหมายถึง นิติพงษ์ ห่อนาค
เรื่อง เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัย

และงบประมาณสำหรับสถาบันกษัตริย์

1 สิงหาคม 2555
สวัสดีครับ พี่ดี้

เห็นพี่ดี้บ่นเรื่องว่า ไม่อยากจ่ายภาษีเพื่อเป็นเงินเดือนให้อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ชอบตั้งคำถามกับสถาบันกษัตริย์ จากเฟซบุ๊ค Nitipong Honark ตามนี้


ของขึ้นยามดึก ...กราบเรียนปรึกษาท่านผู้รู้นะครับ..ถ้าหากกระผมเป็นคนไทยผู้เสียภาษีถูกต้อง...และโดยหลักการเป็นผู้จ่ายค่าจ้างให้กับข้าราชการ...ถ้าหากกระผมไม่ยินดีจะจ่ายเงินเดือนให้อาจารย์หอกหักในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่มักจะกล่าวว่ามีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว...อันดูหมิ่นสถาบันอื่นโดยใช้เหตุ...เพื่อจะได้มาถามคำถามว่า”ในหลวงทำงานหนักตรงไหน”...กระผมควรจะไปร้องเรียนที่ใดครับ

ผมคิดว่าพี่ดี้ไม่ต้องกังวลเรื่องนั้นหรอกครับ ผมไม่ทราบว่านะครับปีนึงพี่ดี้จ่ายภาษีปีละเท่าไหร่แต่เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยและงบประมาณสถาบันกษัตริย์เราประชาชนธรรมดาๆไม่ได้เป็นนักวิชาการอะไร เราก็พอเสิร์ชหาได้ในอินเตอร์เนต พี่ดี้อาจจะไม่มีเวลา ผมเลยลองไปเสิร์ชช่วยหาดูครับ  เว็บไซต์ที่ชาวบ้านๆทั่วไปเข้าถึงได้ง่ายๆเลยครับ พันทิพ กดครั้งแรกก็เจอ ผมคิดว่าเป็นข้อมูลเบื้องต้นที่เชื่อถือได้ พี่ลองกวาดตาดูตัวเลขคร่าวๆก็ได้ครับถ้าไม่มีเวลา

เงินเดือนอาจารย์จบปริญญาโทบางแห่งไม่ถึง
1 หมื่นบาท สูงสุดไม่เกิน 3 หมื่นบาท
(เงินเดือนอ.ปริญญาโท ราชภัฏพระนคร
9,700 บาท สำหรับม.ธรรมศาตร์ เงินเดือนอาจารย์ปริญญาโท 13,450 บาท ปริญญาเอก 19,230 บาท)

เอาละเราพักตรงนี้ไว้ก่อนที่นี้มาดูงบประมาณสถาบันกษัตริย์ สถาบันที่พี่เทิดทูนบูชา
 ใครตั้งคำถามใครแตะต้องไม่ได้ ลองเสิร์ชจากคำว่า งบประมาณสถาบันกษัตริย์ ในกูเกิ้ลเลยนะ กดโป๊ะไปมันก็โผล่มาเลย
ไม่เกินลำดับที่
3 ที่ 4 เราก็เจอเลยพี่ดี้ ผมดูแล้วอันนี้น่าเชื่อถือสุด มีเชิงอรรถให้ค้นต่อได้ด้วยถ้ามีเวลาจากลิงค์ของวิกิลิกส์
http://www.wikileaks-forum.com/index.php?topic=9373.0
สำรวจตาม พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2555  งบประมาณสำหรับรักษาพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ มีรายการดังต่อไปนี้





ในเรื่องแผนงานเทิดทูน พิทักษ์ และรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ กระจายไปตามหน่วยงานต่างๆ คือ
สำนักราชเลขาธิการ
525,512,600 บาท
สำนักพระราชวังมาตรา 
2,794,957,000 บาท
สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
603,516,900 บาท
ค่าใช้จ่ายตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
2,300,000,000 บาท
เกี่ยวกับการเสด็จพระราชดำเนินและต้อนรับประมุขต่างประเทศ
600,000,000 บาท
สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
42,606,875 บาท
สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี
1,558,064,400 บาท
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
65,018,200 บาท
กรมราชองครักษ์
615,359,100 บาท
กองบัญชาการกองทัพไทย
260,000,000 บาท
กองทัพบก
320,000,000 บาท
กองทัพเรือ
12,246,100 บาท
กองทัพอากาศ
21,000,000 บาท
สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย
30,200,000 บาท
กรมโยธาธิการและผังเมือง
1,010,092,000 บาท
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ
450,227,800 บาท
รวมจำนวนเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี
2555 สำหรับรักษาพระเกียรติของสถาบันพระมหากษัตริย์ ทั้งสิ้น 11,208,800,975 บาท (หนึ่งหมื่นหนึ่งพันสองร้อยแปดล้านแปดแสนเก้าร้อยเจ็ดสิบห้าบาท)




พี่คิดว่ายังไงครับ เราจ่ายงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์ปีละ หมื่นกว่าล้านบาท แต่เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จบปริญญาโทคนที่ต่ำสุดอยู่ที่ไม่ถึง หนึ่งหมื่นบาท
ผมถึงบอกว่าพี่ไม่ต้องกังวลไงครับ เพราะถ้าดูจากข้อมูลนี้ เงินภาษีที่พี่จ่ายนั้นเจือจานไปถึงอาจารย์มหาวิทยาลัยต่อคนนั้นน้อยมาก เมื่อเทียบกับงบประมาณที่ประเทศนี้ทุ่มเทให้สถาบันกษัตริย์
ที่ผมบอกว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยนั้นน้อยนิด ผมไม่ได้พูดเองนะครับ เขาก็มีคนลองทำโพลในอินเตอร์เนตนี่แหละครับ ถามกันซื่อๆเลยว่าเงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยประเทศนี้น้อยไปหรือเปล่า พี่ลองเข้าไปดูที่เว็บพันทิพนี้ได้
http://topicstock.pantip.com/silom/topicstock/2012/02/B11764323/B11764323.html คนส่วนมากจากโพลบอกว่าน้อยไป ที่จริงไม่ต้องทำโพลก็น่าจะรู้ๆอยู่ว่าเงินเดือนอาจารย์ในมหาวิทยาลัยประเทศนี้น้อยไปจริงๆ ที่สำคัญพี่ว่า เราจะสามารถทำโพลเพื่อถามประชาชนบ้างได้หรือเปล่าว่า งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ในแต่ละปีมันมากไปหรือเปล่า พี่ว่าเราจะทำโพลแบบนี้ได้ไหมครับ หรือว่าเพราะเป็นสถาบันกษัตริย์เราจึงไม่ควรตั้งคำถามแบบนี้
หวังว่าพี่อ่านจดหมายฉบับนี้แล้วพี่คงสบายใจได้ว่า ภาษีที่พี่จ่ายไปๆทุกปีนั้น มันถึงมืออาจารย์มหาวิทยาลัยที่พี่ไม่ชอบน้อยมากๆ น้อยกว่าไปถึงมือสถาบันกษัตริย์อยู่แล้ว
รักษาสุขภาพด้วยนะครับพี่ดี้

จากน้องคนหนึ่ง
ปรวยหัวเข็ม
Pruay Salty Head

ปล. เอ้อลืมถามพี่ไปอีกนิด พี่ว่าประเทศที่ให้เงินเดือนอาจารย์มหาวิทยาลัยมากๆ กับประเทศที่ทุ่มเทงบประมาณให้สถาบันกษัตริย์มากๆ พี่ว่าสองประเทศนี้ ประเทศแบบไหนที่เราจะสามารถฝากอนาคตประเทศชาติและอนาคตลูกหลานของเราไว้ได้ มากกว่ากัน
หมายเหตุ นิติพงษ์ ห่อนาค (เกิด 2503 ชื่อเล่น: ดี้) นักแต่งเพลงชาวไทยที่มีชื่อเสียงของแกรมมี่ เป็นรองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจดนตรี ของจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ อยู่ 27 ปี ปัจจุบัน นิติพงษ์ก่อตั้ง บริษัท สหภาพดนตรี จำกัด ร่วมกับ อัสนี โชติกุล, ชาตรี คงสุวรรณ, จุตินันท์ ภิรมย์ภักดี และ วุฒินันท์ ภิรมย์ภักดี




สถาบันกษัตริย์และประชาธิปไตยไทย
ในแง่ความสัมพันธ์ของกษัตริย์ต่อรัฐธรรมนูญของไทย นับว่ายังมีความคลุมเครืออยู่มาก ในประเทศเนเธอร์แลนด์ มาตรา 32 ให้กษัตริย์ต้องสาบานตนต่อสาธารณะว่าจะพิทักษ์รัฐธรรมนูญ หรือประเทศนอร์เวย์ มาตรา 19 กษัตริย์ต้องสาบานต่อรัฐสภาว่าจะปฏิบัติตามธรรมนูญของ ประเทศ ในขณะที่ในประเทศไทย ยังไม่มีการกำหนดตำแหน่งแห่งที่ในเรื่องนี้อย่างชัดเจน

ในยุโรปมีการทำโพลสำรวจความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ที่ทำขึ้นอย่างแพร่หลาย และเป็นเรื่องปรกติ ในระยะสองปีเดนมาร์คได้ทำการสำรวจความคิดเห็นประชาชนต่อสถาบันกษัตริย์ของตนเองอย่างน้อยสิบครั้ง โดยมีคำถามเช่น ราชินีควรสละราชบัลลังค์หรือไม่ เมื่อไร ทรงงานดีเพียงใด ส่วนในสวีเดนก็มีการทำโพลเช่นกัน และถามคำถามที่หลากหลาย เช่น กษัตริย์ควรสละราชบัลลังค์ให้กับฟ้าชายเมื่อใด ใครในราชวงศ์ที่ชื่นชอบมากที่สุด ไปจนถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อสถาบันกษัตริย์ 

โดยในครั้งนั้นแบบสำรวจพบว่ามีชาวสวีเดนแสดงความไม่เชื่อมันในสถาบันกษัตริย์ถึงร้อยละ
35 ในขณะที่มีผู้เชื่อมันร้อยละ 39 ประเทศในยุโรปที่มีสถาบันกษัตริย์ล้วนเคยทำโพลสำรวจความนิยมของประชาชนต่อสถาบันกษัตริย์ทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นเบลเยี่ยม สเปน เดนมาร์ค เนเธอร์แลนด์ นอรเวย์ สวีเดน อังกฤษ รวมทั้งญี่ปุ่น การทำแบบสำรวจเช่นนี้ ช่วยให้สถาบันกษัตริย์ได้ทราบว่าตนเองอยู่ตรงไหนในสังคม และทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับความเปลี่ยนแปลงได้ ส่วนในประเทศไทย การทำสำรวจเช่นนี้ ยังคงเป็นไปไม่ได้ เนื่องจากมีกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์



ในเรื่องความโปร่งใสด้านงบประมาณในระยะที่ผ่านมา สถาบันกษัตริย์ในยุโรปก็มีแนวโน้มเปิดเผยมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเร็วๆ นี้ โฆษกของพระราชวังบักกิงแฮมก็ได้ออกมากล่าวว่า ราชวงศ์ของอังกฤษนั้นนับว่ามีราคาถูก โดยมีภาระด้านการเงินต่อประชาชนคิดเป็นหัวละ 66 เพนซ์หรือราว 30 บาทเท่านั้น จักรพรรดิญี่ปุ่นมีค่าใช้จ่ายที่ 60 บาทต่อประชากรหนึ่งคน ในขณะที่ไทย จะมีค่าเลี้ยงดูกษัตริย์ในปี 2555 ราว 11,208 ล้านบาท หรือต่อประชากรหัวละราว 170 บาทและยังมีงบประมาณเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ไทยส่วนมากที่ยังไม่ถูกเปิดเผย และอยู่กระจัดกระจายในหลายกระทรวงและหน่วยงาน อีกทั้งสถานะของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ของในหลวงก็ยังมีความคลุมเครือในตัวเองด้วย


สำหรับการใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ บางประเทศในยุโรป ได้บรรจุกฎหมายนี้อยู่ในส่วนของความมั่นคงของรัฐ เช่น ในรัฐธรรมนูญของนอร์เวย์ ระบุว่า พระมหากษัตริย์เป็นที่เคารพสักการะ จะถูกฟ้องร้องมิได้ อย่างไรก็ตาม บรรยากาศ การวิพากษ์วิจารณ์สามารถเป็นไปได้อย่างอิสระ เช่น ประเทศนอร์เวย์ สเปน เนเธอร์แลนด์ และเบลเยี่ยม ซึ่งมีบทลงโทษระหว่าง 2-5 ปี ในขณะที่ประเทศเดนมาร์คและสวีเดน ให้เป็นกฎหมายหมิ่นประมาทธรรมดา และมีการยกเว้นความผิดหากพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ หรือหากการวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ทั้งนี้ กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ในยุโรปก็ไม่ค่อยได้ถูกใช้แล้ว โดยในเดนมาร์คไม่ได้ใช้แล้วตั้งแต่ปี 2477 หรือหากว่ามีการใช้ ก็เป็นแค่การปรับหรือจำคุกเป็นระยะเวลาสั้นๆเท่านั้น เมื่อเทียบกับการใช้กฎหมายหมิ่นกษัตริย์ของประเทศไทย จะเห็นว่านอกจากสถิติการใช้จะเพิ่มขึ้นสูงขึ้นมากตั้งแต่การรัฐประหารปี 2549 เป็นต้นมา ยังมีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกด้วย ปี 2554 มีคดีหมิ่นฯ 85 คดี  ปี 2553 มี 478 คดี แต่ก่อนปี 2549 ที่มีเพียง 2-3 คดีต่อปี


การใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพของไทย กับกฎหมายหมิ่นศาสนา ไม่ต่างกันนัก เนื่องจากเป็นเรื่องของการดูหมิ่นศรัทธา หรือความเชื่อ โดยไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและ พิสูจน์ข้อเท็จจริง โดยอ้างเรื่องศรัทธา หรือ ความรู้สึกของประชาชน เปรียบได้กับการหมิ่นศาสนาเพราะคุณไม่สามารถพิสูจน์ข้อเท็จจริงได้ ซึ่งขัดแย้งกับหลักสากลที่คุ้มครองเรื่องสิทธิการแสดงออกของพลเมืองตามกฎบัตรของสหประชาชาติ และเป็นการโจมตีคนที่ไม่ยอมรับคนที่เห็นต่างจากอุดมการณ์ของรัฐ
ในประเทศสวีเดน รัฐมองว่า การที่ประชาชนนิยมการปกครองในระบอบสาธารณรัฐ เป็นการส่งเสริมประชาธิปไตยและเป็นความใฝ่ฝันทางการเมืองมากกว่า รัฐบาลจะเปิดโอกาสให้มีการพูดคุยถึงเรื่องนี้ได้
ข้อสังเกตที่แสดงให้เห็นว่าสถาบันกษัตริย์จะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคง ยาวนาน ก็คือ การไม่ทำอะไรที่ผิดเกินไป ควรทำให้สถาบันโปร่งใส ตรวจสอบได้ และเอื้อให้เกิดเสรีภาพในการแสดงออก ดังจะเห็นจากหลายประเทศในยุโรปที่ประเทศที่มีสถาบันกษัตริย์ ติดลำดับประเทศที่มีเสรีภาพสื่อสูงมากที่สุดในโลก เช่น ในประเทศนอร์เวย์ สวีเดน และเนเธอร์แลนด์


ความยุติธรรมอยู่ที่อื่น
ไม่ใช่ที่นี่
รัฐธรรมนูญไทยน่าจะใส่บทบัญญัติตามที่หลวงวิจิตรวาทการเคยเสนอไว้ว่า สยามจะต้องมีพระมหากษัตริย์ทรงราชย์และปกครองชั่วนิรันดร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการรักษาจารีตประเพณีของเราที่บังคับว่าเราจะเป็นสาธารณรัฐไม่ได้ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาถามว่าเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า


แต่ถึงไม่มีบทบัญญัติ เราก็ได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาตั้งแต่เกิดว่า ความเชื่อมั่นจงรักภักดีเป็นทั้งคุณธรรมและคู่มือการเอาชีวิตรอดในสังคมที่ยึดมั่นในระบอบที่ให้ประมุขของรัฐสืบทอดทางสายโลหิต ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องเตรียมตัวไปอยู่ในนรกที่สงวนไว้สำหรับคนที่พร้อมจะตายแบบไร้เมรุและไม่ขอเกิดใหม่ในประเทศไทยอีกแล้วเท่านั้น คำถามที่น่าถกเถียงมากกว่าเรื่องเอาเจ้าหรือไม่เอาเจ้า ก็คือ ระบอบกษัตริย์แบบไทยๆเป็นความน่าภาคภูมิใจหรือน่าอายกันแน่ พวกนิยมกษัตริย์ล้นเกินแบบไทยเป็นเอกลักษณ์ไทยที่ควรอนุรักษ์หรือเป็นที่หัวเราะเยาะของคนทั่วโลก เราจะต้องเป็นพสกนิกรกันทุกคนเลยหรือไม่ การขอเป็นรองพระบาททุกชาติไปเป็นสิ่งที่คนไทยปรารถนาจริงหรือเป็นแค่อุปาทานหมู่ที่ห้ามโต้แย้ง เราจะเป็นคนไทยและเป็นคนมีเหตุผลพร้อมกันไปได้อย่างไร กฎหมายห้ามหมิ่นกษัตริย์มาตรา 112 มีหลักคิดเดียวกับพวกคลั่งลัทธิทางศาสนาหรือไม่ เราจะพูดถึงสถาบันกษัตริย์โดยไม่ต้องราชาศัพท์และมีชีวิตร่วมกับระบอบที่มีกษัตริย์โดยไม่ต้องใช้วัฒนธรรมหมอบคลานได้หรือไม่ ระหว่างคำว่าแม่งกับคำว่าทรง คำไหนที่มันลดทอนความเป็นมนุษย์ของคนเรามากกว่ากัน




สำหรับประเทศที่มีระดับความเจริญทั้งทางวัตถุและจิตใจสูงกว่าไทย โดยไม่ได้ต้องสมาทานพุทธศาสนา พวกเขาทั้งหลายต่างตะลึงพรึงเพริดกันว่า ประเทศที่ลงทัณฑ์คนคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาว่าส่งข้อความส่วนตัวไปถึงคนอีกคนหนึ่ง ด้วยการจำคุกยี่สิบปีนั้นมันเป็นประเทศชนิดใดกัน ประเทศเยี่ยงนี้ไม่ใช่ประเทศเสรีประชาธิปไตย ประเทศเยี่ยงนี้เป็นประเทศป่าเถื่อนไม่ศิวิไลซ์ ประเทศเยี่ยงนี้ไม่ใช่ประเทศที่มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามแล้วมันเป็นประเทศเอี้ยอะไรวะ มันเป็นความเหลืออดต่อความอยุติธรรม สุดทนกับความต่ำช้าสามานย์ ความตลบแตลง ความงี่เง่าปัญญาอ่อน และมันเป็นความจริงที่เห็นกันตำตากันในประเทศนี้ได้ทุกวัน ทุกชั่วโมง จะเจ็ดแปดโมงเช้าที ห้าหกโมงเย็นที ทุ่มสองทุ่มก็อีกที มีถ่ายทอดฟรีทีวีทุกช่อง

ผลสะเทือนของความเคลื่อนไหวเรื่องมาตรา 112 ทำให้พวกนิยมกษัตริย์ที่เป็นชนชั้นนำที่ไม่ใช่กลุ่มล่าแม่มดกระหายเลือดหรือสื่ออัปรีย์พอได้สติบ้าง ไม่ได้สติบ้างต่อไป สติที่ได้ก็อยู่ภายใต้เพดานของความเป็นพวกคลั่งเจ้าแบบไทย คือเป็นสติที่ไม่สมประกอบ ไม่ว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง เสแสร้งตบตา หรือหลอกตัวเอง สติที่ไม่สมประกอบนั้นก็คือการยอมรับเฉพาะประเด็นว่าสถาบันกษัตริย์ถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อสร้างความไขว้เขวแก่สาธารณชนว่านี่เป็นจุดเดียว ของประเด็นปัญหาสถาบันกษัตริย์ รวมทั้งเป็นการดึงปัญหาออกนอกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์

ปัญหาใหญ่ที่ถูกกลบเกลื่อนคือความจริงที่ว่าสถาบันกษัตริย์ไม่ได้ถูกใช้ทางการเมืองฝ่ายเดียว และการดำรงอยู่ของสถาบันกษัตริย์และอุตสาหกรรมวัฒนธรรมโฆษณาชวนเชื่อดังที่เป็นอยู่มีความไม่ถูกต้องตามหลักการของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญและหลักเสรีประชาธิปไตยอยู่อย่างมากล้น ไม่น่าแปลกใจที่ฝ่ายนิยมเจ้าระดับหัวแถวจะยอมรับว่า 112 มีปัญหา แม้จะสร้างความหวังถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นและดูน่าเลื่อมใสกว่าพวกนักเทศน์ที่ไม่ลืมหูลืมตาและพวกอันธพาลที่เชื่อว่าการไล่คนออกนอกประเทศเป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ แต่การยอมรับนี้ก็เป็นยุทธศาสตร์ช่วงชิงการกำหนดเนื้อหาและทิศทางเพื่อการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้น้อยที่สุดและรักษาอุดมการณ์ สถานะ อำนาจ บารมีเดิมไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วจึงยกเป็นข้ออ้างว่าได้ ปรับปรุง ให้เหมาะสมดีงามทุกประการแล้ว พวกเรียกร้องเสรีภาพจงหุบปากแล้วกลับบ้านไปสำนึกในบุญคุณที่ได้รับเสรีภาพ ปริมาณเท่าเดิมแต่ติดคุกน้อยลง
แต่ถ้าฝ่ายนิยมกษัตริย์จะมีความซื่อสัตย์ต่อความเชื่อตนเอง ก็ควรยอมรับอย่างตรงไปตรงมาและไม่กะล่อนว่า พวกเขาต้องการให้สถาบันกษัตริย์มีอำนาจล้นเกิน แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ถูกตรวจสอบ ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ไม่ต้องรับผิด และไม่ถูกจำกัดอำนาจด้วยกฎเกณฑ์ข้อบังคับของระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ตามครรลองประชาธิปไตย การยอมรับง่ายๆ เช่นนี้เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยสะดวกและปลอดภัย เพราะจะไม่ถูกกระบวนการยุติธรรมมาตอแยเพื่อจัดสรรปันส่วนความอยุติธรรมให้

ในบรรดาข้อโต้แย้งต่างๆ ของฝ่ายนิยมเจ้าที่ต้องการจะบอกเพียงแค่ว่าทุกอย่างที่เป็นอยู่นั้น ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว พวกที่ไม่เข้าใจประเพณีวัฒนธรรมไทยอย่างลึกซึ้งอย่ามาสะเออะ ไม่มีอะไรจะน่าทึ่งไปกว่าการอ้างหลักนิติรัฐ หลักนิติธรรม หลักความยุติธรรม สิทธิมนุษยชน ศีลธรรม คุณธรรม มนุษยธรรม ผสมปนเปกับความเป็นไทยอันมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร ประวัติศาสตร์ไทยอันเก่าแก่โบราณ ขนบธรรมเนียมประเพณีวัฒนธรรมไทยอันล้ำเลิศประเสริฐศรี เมื่อฟังหรืออ่านจนหายเคลิ้มแล้ว อรรถาธิบายอันไพเราะเพราะพริ้งเหล่านี้กลับทำให้อีกฝ่ายหมดกำลังใจจะโต้ เถียง อับจนถ้อยคำจะชี้แจง และได้แต่แจ้งให้ทราบเพื่อพิจารณาว่า ความวิกลจริตเชิงตรรกะหรือการงดเว้นการใช้หลักเหตุผลในเรื่องที่เกี่ยวกับกษัตริย์ในฐานะบุคคลและสถาบันเป็น ลักษณะเด่นของวัฒนธรรมการเมืองของฝ่ายกษัตริย์นิยมไทยในปัจจุบันโดยแท้



กฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ได้มีสถานะเป็นเพียงกฎหมายอาญามาตราหนึ่ง แต่กำลังยึดครองสถานะเป็นป้อมปราการแห่งชาติและศาสตราวุธแห่งจารีตประเพณี ที่ต้องปกปักรักษายิ่งชีพ เมื่อโต้แย้งหักล้างกันด้วยเหตุผลไม่ได้ ฝ่ายนิยมเจ้าจะยกข้ออ้างจารีตประเพณี มาเป็นไม้ตายเพื่อยุติการถกเถียง ทั้งๆที่การเลิกกฎหมายหมิ่น ที่มีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลกก็คล้ายการเลิกทาส เลิกประเพณีหมอบคลาน เลิกการทรมานนักโทษ เลิกวิธีการลงโทษแบบโหดร้ายทารุณ และเลิกจารีตประเพณีที่ไม่ดีงามต่างๆในอดีตนั่นเอง

ต้องยกเลิกกฎหมาย
ที่หมิ่นมนุษยชาติและความจริง


ประกาศคณะราษฎรที่ประกาศเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้โดยสิ้นเชิงกับประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112  รัฐธรรมนูญมาตรา 8 และวัฒนธรรมหรืออุดมการณ์กษัตริย์นิยม แต่เมื่อมีมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ความจริงย่อมไม่อาจปรากฏ หากต้องการให้ความจริงปรากฏ ก็ต้องไม่มีมาตรา 112 และรัฐธรรมนูญมาตรา 8 เพราะการดำรงอยู่ของมาตรา 112 และมาตรา 8 ซึ่งหมายถึงตัวบทกฎหมายและวัฒนธรรมการตีความ-บังคับใช้ ก็ยังคงเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพและการปิดกั้นความจริงที่ไม่ยอมให้เปิดเผย ขุดคุ้ยและ อภิปรายต่อสาธารณะ มาตรา 112 คือเพชรฆาตด่านแรกในการปกปิดความจริง หรือรักษาความลับและความลวงต่างๆไว้ตลอดไป ความจริงรวมทั้งข้อเท็จจริงและการวิพากษณ์วิจารณ์ หลายต่อหลายเรื่องมิใช่ความลับส่วนตัวของใคร ในสังคมอารยะถือได้ว่าเป็นความจริงที่สาธารณะชนต้องมีสิทธิรับรู้ เป็นความจริงที่เกี่ยวพันกับความเป็นไปของบ้านเมือง เป็นความจริงที่ให้คุณให้โทษกับสังคม และเป็นความจริงที่จำเป็นต้องปรากฏเพื่อขับไล่ความหลอกลวงและไถ่โทษผลอันเกิดจากการปกปิดความจริง กฎหมายเป็นเครื่องมือที่ทรงอานุภาพ  แถมมีจารีตประเพณีที่ถูกฝังอยู่ในหัวคนไทย ที่ต้องเปลี่ยนไปพร้อมๆกับกฎหมาย ในสภาวการณ์เช่นที่เป็นอยู่นี้ แม้ว่าการสร้างความตื่นรู้และตื่นตัวในระดับกว้างจะมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด ความคาดหวังที่เป็นไปได้จริงในการรณรงค์เรื่องมาตรา 112 คือการบรรเทาความบ้าคลั่งหรือลดจำนวนคดีเท่านั้น หรืออย่างมากที่สุดก็ขยับเพดานขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มิใช่การได้มาซึ่งสิทธิเสรีภาพในความเป็นมนุษย์ ในการแสดงความคิดเห็น ยังเป็นสิ่งที่ไกลเกินหวัง



บางทีโอกาสเดียวที่ความจริงอย่างถึงที่สุด จะถูกประกาศออกมาได้ คือโอกาสแบบประกาศของคณะราษฎร ราษฎรทั้งหลาย เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชย์สมบัติสืบจากพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรบางคนได้หวังกันว่า กษัตริย์องค์ใหม่นี้คงจะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การก็หาได้เป็นไปตามที่คิดหวังไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจเหนือกฎหมายอยู่ตามเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้าง ซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน ผลาญเงินของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร กดขี่ข่มเหงราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชชา... ...รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่า ไพร่ บ้าง ข้า บ้าง) เป็นสัตว์เดรฉานไม่นึกว่าเป็นมนุษย์...ถึงคราวเสียภาษีราชการหรือภาษีส่วน ตัว ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ใช้ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นราชบัลลังก์เสียแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่า หลอกว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไปหาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวคำหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่า ราษฎรยังมีเสียงการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรยังโง่ คำพูดของพวกรัฐบาลเช่นนี้ใช้ไม่ได้ ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่ เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้เท่าไม่ถึงเจ้านั้นไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าเมื่อราษฎรได้มีการศึกษาก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้ และคงจะไม่ยอมให้ทำนาบนหลังคน ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง...น่าสนใจอย่างยิ่งว่า คณะราษฎรตระหนักอย่างแม่นมั่นในหลักการว่า การให้ดำรงค์ตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้นอกจากด้วยความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร นั้นอันที่จริงแล้วยังไม่ใช่ประชาธิปไตย ดังปรากฏในเนื้อความว่าถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจ ลงมา ก็จะได้ชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตยเพราะการปกครองอย่างประชาธิปไตย โดยแท้จริงนั้น ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้เลือกตั้งขึ้นอยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา 
ความผิดพลาดบกพร่องของคณะราษฎร จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่มรดกของคณะราษฎรได้ถูกกลบเกลื่อน ลบเลือน และกำจัดเรื่อยมา ในขณะที่มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับอยู่ยงคงกะพันในจิตวิญญาณและวัฒนธรรมการเมืองไทย ในความรู้สึกนึกคิดและภูมิปัญญาไทยร่วมสมัยที่สอนให้เชื่อกันว่า คณะราษฎรไม่ใช่ผู้หาญกล้านำความเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่และประกาศความจริงอัน ยิ่งใหญ่กลุ่มแรกของสยาม แต่เป็นกลุ่มบุคคลที่เอาเยี่ยงอย่างวัฒนธรรมตะวันตกจนเลยเถิด ชิงสุกก่อนห่าม และหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยไม่สามารถเอาผิดย้อนหลังได้



มาบัดนี้คณะข้ารองพระบาทในประเทศสุกๆ ดิบๆ ที่เต็มไปด้วยพยาธิหลากชนิด เป็นพสกนิกรกลุ่มมหึมากลุ่มเดียวที่สามารถประกาศซ้ำแล้วซ้ำอีกได้อยู่ทุกเวลานาทีว่า ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า ประเทศเรานี้เป็นของกษัตริย์ ไม่ใช่ของราษฎรตามที่เขาหลอกลวง  บนดาวเคราะห์ดวงหนึ่งที่โคจรตามแรงโน้มถ่วงในระบบสุริยะซึ่งอยู่ภายในดาราจักรทางช้างเผือก ท่ามกลางความเวิ้งว้างของจักรวาลที่ประกอบไปด้วยดวงดาวนับล้านกับมวลสาร ระหว่างดาวที่นับไม่ได้ ทว่าไม่ปรากฏมีเขาพระสุเมรุสถิตย์อยู่ ณ แห่งหนตำบลใด ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกนี้ที่พึงรอดพ้นจากการวิจารณ์ โดยเฉพาะหากการวิจารณ์นั้นมีข้อเท็จจริงหรือหลักการรองรับอย่างหนักแน่น ในสังคมที่คนคนหนึ่งถูกลงทัณฑ์สถานหนักเพียงเพราะคำพูดหรือการกระทำในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ หรือกระทั่งไม่ได้ทำอะไรผิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์กำลังถูกหมิ่น และความป่าเถื่อนกำลังถูกอาเศียรวาทสดุดี ตราบใดที่สังคมไทยยังไม่สามารถพัฒนาจิตสำนึกทางวัฒนธรรมไปสู่ความเป็นมนุษยนิยมที่เคารพคุณค่าพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ ซากวัฒนธรรม อำนาจศักดิ์สิทธิ์นิยม แบบด้อยพัฒนาที่ถูกปลุกเสกจนแผ่อิทธิฤทธิ์แห่งมนต์ดำร่วมสมัยได้วิปลาสยิ่งกว่าในอดีตกาล จะนำไปสู่ความอุบาทว์และเสื่อมทรามอย่างไม่รู้จบ แม้ในภาวะร่มเย็นสงบสุขสามัคคีสมานฉันท์ ความจริงและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ก็ไม่เคยได้รับการเคารพ



ความสำเร็จสูงสุดของระบอบโฆษณาชวนเชื่อ คือการทำให้ทุกคนอิ่มเอิบใจว่า บนผืนแผ่นดินไทย ความจริงไม่สำคัญ และอย่าว่าแต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนอื่น แม้แต่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองก็หามีความสำคัญไม่ สิ่งที่สำคัญกว่าความจริงคือความเชื่อ และสิ่งที่สำคัญกว่าศักด์ศรีความเป็นมนุษย์คือความเป็นข้ารองพระบาท สังคมไทยไม่มีวันจะถกเถียง ไต่สวน และเปิดเผยข้อเท็จจริง/ความจริงจนถึงที่สุดทั้งเพื่อจรรโลงเสรีภาพ เพื่อธำรงความยุติธรรม และเพื่อยกระดับสติปัญญาของสังคมเองได้
เพราะความรู้ ความเชื่อ ความศรัทธาในสังคมไทยทั้งมวลล้วนตั้งอยู่บนความเท็จ การโกหกหลอกลวง และการปิดบังอำพราง โดยมีจารีตและกฎหมายเป็นเครื่องมือแห่งการทารุณกรรม กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ หรือประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่เพียงเป็นกฎหมายของรัฐเจ้าขุนมูลนายเผด็จการภายใต้หน้ากากประชาธิปไตยที่วางอยู่บนอุดมการณ์ที่ย่ำยีบีฑาหลักการสมัยใหม่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างร้ายแรง แต่ยังมีความคล้ายคลึงกับอุดมการณ์ทางลัทธิแบบดักดาน หวนคืนสู่จารีตดั้งเดิม ที่ต่อต้านความคิดสมัยใหม่และการวิพากษ์วิจารณ์ที่คุกคามความเชื่อ การดำรงอยู่และการปฏิบัติของเหล่าสาวกลัทธิดักดาน ที่อ้างความเคร่งครัดสูงสุดต่อจารีตดั้งเดิม
ซึ่งในความจริงแล้วอาจเป็น ประเพณีประดิษฐ์ หรือจารีตใหม่ ที่สร้างขึ้นเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งของขบวนการลัทธิดักดาน ที่เห็นว่าหลักการเสรีภาพ - ความเสมอภาค - ประชาธิปไตย - สิทธิมนุษยชนแบบตะวันตกถือเป็นภัยคุกคามที่ต้องต้านทานมิให้รุกล้ำเข้ามาถอดถอนหรือลดทอนความศักดิ์สิทธิ์และสภาวะเทพ เป็นสิ่งที่สั่นคลอนลัทธิดักดานที่เทิดทูนและทรนงในความพิเศษไม่เหมือนใครในโลก ที่อนุญาตให้มีได้ คือการเคารพสักการะเทิดทูนบูชาโดยศิโรราบ ที่ทรงพลานุภาพสูงสุดอันล่วงละเมิดมิได้ โดยมีแนวโน้มใช้ความรุนแรงทั้งทางรูปธรรมและทางสัญลักษณ์ เช่น การฟ้องข้อหาหมิ่นฯ, การขับไล่ออกนอกประเทศ, การล่าแม่มด - เสียบประจานทางอินเตอร์เน็ท, การแสดงความอาฆาตมาดร้าย กฎหมายหมิ่นฯและผู้สนับสนุนกฎหมายหมิ่นฯ ก็มีความเชื่อความงมงายที่ดักดาน

มีสาวก คือพวกรักในหลวง ทำดีเพื่อพ่อ พวกนักรบศักดิ์สิทธิ์ ที่ถือว่าศีรษะนี้มอบแด่พระเจ้าแผ่นดิน, มีบทบัญญัติศักดิ์สิทธิ์ คือรัฐธรรมนูญมาตรา 8 กฎหมายอาญามาตรา 112 มีพงศาวดาร คือพระราชกรณียกิจ พระมหากรุณาธิคุณ พระอัจฉริยภาพ และหน่วยงานเผยแพร่คำสอน-เฝ้าระวังความจงรักภักดี - ลงทัณฑ์พวกนอกรีต คือ กระทรวงทบวงกรม กองทัพ ศาล สื่อฯลฯ โดยมีความเชื่อเป็นพื้นฐานในลัทธิเทวราชและกฤษฎาภินิหารฉบับราชการว่าจริงแท้แน่นอนทุกถ้อยกระทงความอย่างมิอาจปฏิเสธและหักล้างด้วยเหตุผลและข้อเท็จจริงใดๆ เป็นความเชื่อตามตำนานศักดิ์สิทธิ์ จึงเป็นความจริงที่อยู่เหนือการพิสูจน์และตรวจสอบ โดยมีการประชาสัมพันธ์ด้านเดียวซึ่งเปี่ยมล้นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ดุจกัน
ลักษณะสำคัญของพวกคลั่งเจ้าคือ การไม่ยอมรับฟังหรือปรับเปลี่ยนความคิด ต่อให้มีหลักฐานข้อเท็จจริงมาหักล้างก็ตาม แม้ว่าในเวลาปกติพวกคลั่งเจ้ามีความโน้มเอียงจะถือตนเป็นชาวพุทธที่คิดดี - ทำดี แต่ยามใดที่รู้สึกถูกท้าทายหรือยั่วแหย่แม้เพียงแผ่วเบาในเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ พวกเขาจะละทิ้งหลักธรรมของพระพุทธองค์จนหมดสิ้น และหันไปใช้ความรุนแรงเป็นคบไฟนำทางแทน ใช้บทลงโทษที่โหดเหี้ยมเพื่อขจัดผู้ไม่สวามิภักดิ์ด้วยอัตราโทษสูงซึ่งเป็นปฏิกิริยาโต้ตอบความเป็นสมัยใหม่และการวิพากษ์วิจารณ์ที่คุกคามอุดมการณ์ความเชื่อของตน ทั้งยังต้องการเพิ่มโทษให้สาหัสยิ่งขึ้น ตามความปรารถนาเร้นลึกของฝ่ายจารีตอำนาจนิยม ด้วยกระบวนการดำเนินคดีแบบไร้ขื่อ แป ไร้มนุษยธรรมและไร้ยางอาย เช่น ตั้งข้อหากับการกระทำที่ไม่เข้าข่ายผิดมาตรา 112 , ตีความและบังคับใช้มาตรา 112 ตามอำเภอใจไร้ขอบเขต, เอื้อประโยชน์และให้ท้ายการใส่ร้ายป้ายสี, ออกหมายจับทันทีโดยไม่ออกหมายเรียก, จู่โจมจับกุมแบบไม่ให้รู้ตัว, จับขังโดยยังไม่มีการตั้งข้อหา, จับผิดตัวแต่ไม่ปล่อย, ขังลืม-ขังเลว, ไม่ให้สิทธิประกันตัว, ไม่ให้การรักษาพยาบาล, สืบพยานพิสูจน์หลักฐานแบบมาเฟีย, พิจารณาคดีแบบปิดลับ เป็นต้น จริงๆ แล้วสิ่งที่ควรจะต้องถูกลงทัณฑ์สถานหนักก็คือกระบวนการยุติธรรมอันเหลวแหลกของไทยเอง
แต่การอ้างการปกป้องสถาบันฯ และกุคำอธิบายใส่ร้ายผู้ตกเป็นจำเลยเสียเองเป็นเสาค้ำจุนการใช้อำนาจโดยมิชอบเหล่านั้นให้ลอยนวลต่อไป ถ้ายึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตยและสิทธิเสรีภาพ การวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์หรือแม้แต่กษัตริย์ - ราชินี ก็ไม่ถือเป็นความผิดในประเทศที่เจริญแล้ว แต่ในประเทศด้อยพัฒนาที่อุดมการณ์ศักดินาอยู่เหนือทุกสิ่ง ศาลจะตัดสินจำคุกหลายปี
การล้อเลียน - เสียดสีบุคคลลำดับสูงในสถาบันกษัตริย์ที่สร้างความเสื่อมเสียเกินขอบเขต ศาลในประเทศพัฒนาแล้วอาจลงโทษสถานเบาให้ปรับเงินจำนวนเล็กๆ น้อยๆ แต่ในประเทศที่ไม่ยอมพัฒนา ศาลยังคงตัดสินให้จำคุกหลายปี โดยเปิดช่องให้กับการแสดงพระราชอำนาจและพระราชบารมีในการพระราชทานอภัยโทษ


 
ใครจะปฏิเสธอย่างมีเหตุผลได้ว่า วิทยาศาสตร์อธิบายจักรวาลได้ดีกว่าศาสนา หากพระเจ้าไม่ได้สร้างโลก พระราชาย่อมไม่ได้ถูกพระเจ้าส่งมาปกครองหมู่มวลมนุษย์ ต้นกำเนิดความศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวงคือสิ่งที่มนุษยชาติสร้างขึ้นเพื่อครอบงำ และควบคุมตัวเอง คติเกี่ยวกับกษัตริย์ในทุกวัฒนธรรมเป็นนิทานปรัมปราของชนชั้นปกครอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าชนชั้นปกครองย่อมเป็นผู้สร้างและอ้างความศักดิ์สิทธิ์ ทั้งเพื่อกำราบและล่อลวงชนชั้นใต้ปกครองในสังคมโบราณ แทบทุกเรื่องราวล้วนมีมิติทางศาสนาและไม่ได้แบ่งแยกปริมณฑลเป็นเอกเทศแบบสังคมสมัยใหม่ ถึงกระนั้นในประเทศที่ตกอยู่ใต้มนต์ดำคำสาป ศาสตร์สมัยใหม่ทั้งหลายต่างพ่ายแพ้ไสยศาสตร์และการโฆษณาชวนเชื่อ นี่คือราคาที่ต้องจ่ายด้วยความสูญเสียอันไม่อาจประเมินค่าได้ของสังคมที่ยังไม่มีการแตกหักอย่างเด็ดขาดจากอุดมการณ์ของระบอบเก่า มิหนำซ้ำอุดมการณ์ของระบอบใหม่ยังถูกป้ายสีใส่ไคร้และบิดเบือนแก่นสารที่แท้จริง ในสภาวะหัวเลี้ยวหัวต่อที่เกิดการปะทะทางอุดมการณ์ระดับทั้งแผ่นดินเป็น ครั้งแรก อำนาจเก่าที่ไม่ยอมเสียอะไรเลยในที่สุดแล้วจะเสียมากกว่าที่คิด



ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีปรีดาและน่าอิจฉาหรอกหรือที่จักรพรรดิ์ฮิโรฮิโต (Hirohito) จำเป็น ต้องออกมาบอกความจริงกับประชาชนชาวญี่ปุ่นว่า เขาไม่ได้สืบสายมาจากเทพแห่งดวงอาทิตย์ จักรพรรดิ์ไม่ใช่เทพเจ้า ในศตวรรษนี้ไม่มีกษัตริย์ ราชินี และพระราชวงศ์คนใดในราชสำนักยุโรปกล้าคิดหรือหลงเชื่อว่าตัวเองรับโองการสวรรค์มาจากพระผู้เป็นเจ้า เหล่าคิง ควีน ปริ๊นซ์ ปริ๊นเซส ดยุค และดัชเชสล้วนตระหนักดีว่า ในฐานะมรดกทางวัฒนธรรมชนิดหนึ่ง พวกเขาเป็นเพียงชนชั้นอภิสิทธิ์ชนจากอดีตที่ประชาชนในปัจจุบันอนุญาตให้ดำรงอยู่ได้ในกฎเกณฑ์และขอบเขตอันเหมาะสม จะมีหรือไม่มีสถาบันกษัตริย์ แต่ละประเทศในยุโรปตะวันตก รวมทั้งสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น ต่างออกแบบระบอบการปกครองที่เอาประชาธิปไตยและหลักสิทธิเสรีภาพเป็นตัวตั้ง เอาอย่างอื่นที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยและหลักสิทธิเสรีภาพเป็นตัวรอง เพราะประชาธิปไตยแม้จะไม่สมบูรณ์แบบ มีข้อบกพร่องมาก มีความไม่น่าไว้วางใจไม่น้อย แต่ก็เป็นอุดมการณ์ที่เปิดกว้างมากกว่ากดขี่ ส่งเสริมความเป็นมนุษย์มากกว่าเหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมาย ประชาธิปไตย หลักแห่งเสรีภาพ และความเสมอภาคย่อมเป็นที่ชิงชังรังเกียจและถูกสร้างให้เป็นสิ่งชั่วร้ายในสังคมที่มรดกทางวัฒนธรรมศักดินาและเผด็จการหยั่งรากลึก


สถาบันกษัตริย์ไม่เป็นประเด็นในประเทศที่ศิวิไลซ์แล้ว ก็เพราะประเทศเหล่านั้นมีสถาบันกษัตริย์ภายใต้วัฒนธรรมประชาธิปไตย ส่วนที่เป็นประเด็นในประเทศที่ยังไม่ศิวิไลซ์ ก็เพราะประเทศไทยมีสถาบันกษัตริย์ภายใต้วัฒนธรรมศักดินา - สมบูรณาญาสิทธิราชย์  เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า กฎหมายหมิ่นฯ รวมทั้งอุดมการณ์ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และกฎหมายอื่นๆ ที่แวดล้อมนั้น ไม่ได้อิงกับหลักเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนมาตั้งแต่ต้น ความคิดเบื้องหลังบทลงโทษและวัฒนธรรมการบังคับใช้มาตรา 112 จึงไม่ได้อยู่ในครรลองของหลักการตรากฎหมายสมัยใหม่ที่วางอยู่บนดุลยพินิจอันมีอารยะ แต่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของกฎหมายโบราณภายใต้อุดมการณ์วัฒนธรรมโบราณที่ไม่อารยะ โดยยังไม่ต้องพูดในแง่หลักการอุดมการณ์อะไรเลยด้วยซ้ำ


ในนามของการปกป้องสถาบันฯ กฎหมายหมิ่นฯ กำลังถูกใช้อย่างสะเปะสะปะ โฉดเขลา และวิปริตขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสนับสนุนจากพวกล้าหลังคลั่งเจ้าที่ต่อให้เห็นความหน้ามืดตามัวและ ความไม่เป็นธรรมของการใช้มาตรา 112 ในกรณีนับไม่ถ้วน ก็ยินดีเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ หรือมิฉะนั้นก็ยินยอมสนับสนุนความฉ้อฉลของเครือข่ายอำนาจดังกล่าวอย่างออกหน้าออกตา แต่เอาเข้าจริงแล้ว แม้แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมที่พอมีสติเอง ก็รู้ซึ้งอยู่แก่ใจดีว่าไม่อาจควานหาข้ออ้างใดมาปกป้องหรือแก้ต่างความอัปยศของภาพยนตร์สารคดีเรื่อง 112: ปรากฏการณ์ผีบ้าอาละวาดเขย่าโลกันต์ได้ กฎหมายอย่าง 112 เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นเพื่อผดุงความอยุติธรรมให้คงสถานะเป็นธรรมชาติ ปัญหาขั้นมูลฐานของตัวมาตรา 112 คือ -ลักษณะการกระทำที่ถือเป็นความผิด ซึ่งไม่ควรผิด หรือควรมีเหตุยกเว้นความผิด -ขอบเขตการครอบคลุมซึ่งไม่ควรครอบคลุม อัตราโทษซึ่งไม่ควรมีโทษขั้นต่ำ และโทษขั้นสูงก็ต้องต่ำ -และที่สำคัญที่สุดคือ อุดมการณ์ที่ให้กำเนิดและจรรโลงตัวบทกฎหมายนี้ ซึ่งไม่ควรมี  ความดักดานบ้าคลั่งของเมืองไทยนั้นตกอยู่ในอาการโคม่าในระดับที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์อนุรักษ์นิยมยังต้องกระเถิบห่างแม้จะเคยแอบให้ท้ายเพื่อใช้ประโยชน์มาก่อน


แม้ว่าการจะฝ่าด่านพลังกษัตริย์นิยมสุดขั้วก็นับว่ายากเข็ญปางตายแล้ว แต่ความซับซ้อนยอกย้อนสถิตย์อยู่ในทุกเรื่องราว การปฏิรูปหรือแก้ไขเพียงผิวเผิน เช่น การลดอัตราโทษลงเล็กๆ น้อยๆ ดังที่ฝ่ายนิยมกษัตริย์บางคนเสนอเอง อาจกลายเป็นการให้ความชอบธรรมกับกฎหมายละเมิดสิทธิมนุษยชน-หมิ่นมนุษยชาติฉบับนี้ให้ดำรงอยู่ต่อไป ด้วยข้ออ้างจากฝ่ายนิยมกษัตริย์ ที่ฉลาดพอที่จะไม่ไปเกลือกกลั้วกับพวกคลั่งเจ้าในขณะนี้ ว่าได้ทำการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นแล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องยกเลิกมาตรา 112  ไม่ต้องปล่อยตัวจำเลยคดีหมิ่นฯทั้งหมด ไม่จำเป็นต้องถอนหมายจับคดีหมิ่นฯทั้งหมด ไม่ต้องเรียกร้องความรับผิดชอบจากสื่อมวลชน ถ้อยคำอันสละสลวยสำหรับผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้อาวุโส และผู้มีอำนาจบารมีในบ้านเมืองนี้อาจเป็นบุคคลที่จำเป็นในสังคมชนเผ่า แต่ไม่จำเป็นและอาจถึงกระทั่งเป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญก้าวหน้าในสังคมปัจจุบัน สิ่งที่เราต้องการจากพวกเขาไม่ใช่คำเทศนาสั่งสอนโฆษณาชวนเชื่อ แต่คือความรู้จักละอายแก่ใจ มิใช่แค่เพียงปัญหาการบังคับใช้กฎหมาย ดังเช่นที่มักถูกกล่าวอ้างเพื่อทำให้กฎหมายนี้ถูกปรับเปลี่ยนน้อยที่สุด
แต่มาตรา 112 โดยตัวมันเองคือ หัวใจของปัญหา ทั้งปัญหาในแง่เนื้อหาและปัญหาที่ตัวบทมาตรานี้ถูกทำให้แตะต้องไม่ได้และ กลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียเอง การยกเลิกทั้งมาตราอันเป็นเพียงก้าวแรกของการปฏิรูปสถาบันกษัตริย์และวัฒนธรรมอุดมการณ์กษัตริย์นิยม จึงเป็นเรื่องสมควรแก่เหตุ เนื่องจากเหตุอันเร่งด่วนคือการหยุดมิให้มีการใช้มาตรา 112 เป็นอาชญากรรมต่อมนุษยชาติอีกต่อไป ทั้งนี้แน่นอนที่สุดว่า การยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112 จะดำเนินไปได้อย่างถูกต้องเหมาะสมอย่างแท้จริง ก็ต้องยกเลิกรัฐธรรมนูญมาตรา 8 ไปด้วยพร้อมกัน และนั่นเป็นแค่เพียงรุ่งอรุณแห่งอารยธรรมเท่านั้น

........................