วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตำนานๆ ตอนผู้มาก่อนกาล (Siamese Free Man)



ฟังเสียง พร้อมเพลงประกอบ :  http://www.4shared.com/mp3/W86aquAn/Siamese_Free_Man__.html
หรือที่ :  
http://www.mediafire.com/listen/73kb66us6ptt4kt/Siamese_Free_Man_.mp3


ตำนานๆ ตอนผู้มาก่อนกาล

(Siamese Free Man)

นายโหมดผู้พิมพ์ตำรากฎหมายคนแรก 2362 - 2439



หมอบรัดเลย์ Dan Beach Bradley
ปลายรัชกาลที่ 3  แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ คณะมิชชันนารีอเมริกันนำโดยหมอบรัดเลย์ Dan Beach Bradley แพทย์ชาวอเมริกันเข้ามาสยามในปี 2378 ได้สอนศาสนาคริสต์พร้อมทั้งตั้งโรงพิมพ์หนังสือไทย และทำการผ่าตัดครั้งแรกในประเทศไทย ขึ้นในกรุงเทพฯ




พระยากระสาปน์กิจโกศล (โหมด อมาตยกุล)
นายโหมด อมาตยกุล เป็นทนายว่าความกรณีฟ้องแย้งมรดกคุณน้าพระกลิ่น จึงจ้างคนคัดลอกกฎหมายที่โรงอาลักษณ์เป็นเงิน 100 บาท เมื่อเอามาอ่านดูแล้วจึงเห็นว่าคนที่ไม่รู้กฎหมายก็คงจะลำบากมาก อีกทั้งนายโหมดได้ลงทุนคัดลอกกฎหมายเป็นเงินไม่น้อย ถ้าเอามาพิมพ์ขาย จะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและตนเองก็จะได้ทุนคืนด้วย  จึงได้จ้างหมอบรัดเลย์มิชชันนารีตีพิมพ์ 200 ฉบับในราคา 500 บาท  ในปี 2392 เมื่อพิมพ์เล่มที่หนึ่งเสร็จ ก็ขายไปได้บ้าง

เชื่อว่าหมอบรัดเลย์คงได้สนับสนุนการพิมพ์ตำรากฎหมายนี้ หมอบรัดเลย์เป็นที่รู้จักดีของคนไทยนับตั้งแต่รัชกาลที่
3 รวมทั้งเจ้านายขุนนางชั้นผู้ใหญ่ทั้งหมด และชอบพอสนิทสนมกับเจ้าฟ้ามงกุฏ  พระปิ่นเกล้า หลวงนายสิทธิ์ หรือเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) รวมทั้งนายโหมด  หมอบรัดเลย์เป็นครูสอนสอนภาษาอังกฤษแก่เจ้าฟ้าทั้งสองพระองค์ สอนวิชาแพทย์แก่กรมหมื่นวงศาธิราชสนิท (โอรสรัชกาลที่ 2
ต้นตระกูลสนิทวงศ์ ) แนะนำการต่อเรือกำปั่นแบบฝรั่งแก่หลวงนายสิทธิ์ สอนวิชาแยกธาตุแก่นายโหมด นอกจากนี้ยังช่วยตรวจแปลหนังสือราชการที่สำคัญหลายครั้ง

เซอร์เจมส์ บรุก Sir James Brooke
ในช่วงนั้นเซอร์เจมส์ บรุก
(Sir James Brooke) ทูตอังกฤษเข้ามาเจรจาความเมืองกับสยามเมื่อปื 2393  แล้วแสดงตนว่ามีความรู้เรื่องเมืองสยามมาก จนรัชกาลที่ 3 ทรงระแวงว่าจะมีคนไทยนำเรื่องราวต่างๆของทางราชการไปบอกแก่เซอร์เจมส์ บรุก จึงมีรับสั่ง ให้สืบถามพวกลูกจ้างของหมอบรัดเลย์และคนอื่นๆ ว่าใครเป็นผู้นำเอาเรื่องราวไปบอกเล่าแก่เซอร์เจมส์ บรุก และทรงสงสัยว่าเจ้าฟ้ามงกุฎ จะมีส่วนเกี่ยวข้อง จมื่นราชามาตย์ ปลัดกรมพระตำรวจในซ้ายกลัวว่าเรื่องนี้จะกระทบถึงเจ้าฟ้ามงกุฎ จึงนำเอาหนังสือกฎหมายฉบับพิมพ์ที่ซื้อเชื่อไปจากนายโหมดเล่มหนึ่งกับหนังสือว่าด้วยราชการต่างๆ ของสังฆราชยอง (บาทหลวงฌัง บัปติสต์ ปาลเลกัวซ์) อีกเล่มหนึ่งเข้าไปถวาย


กรมหลวงวงศาธิราชสนิท
มีรับสั่งให้พระเจ้าน้องยาเธอกรมหมื่นวงศาสนิท กับพระอินทรเทพเจ้ากรมพระตำรวจใหญ่ซ้ายเอานายโหมดและพวกลูกจ้างของหมอบรัดเลย์ไปซักถาม พอได้เรื่องแล้ว ทรงกริ้วว่าการนำเอากฎหมายบ้านเมืองไปพิมพ์จำหน่าย ทำให้หนังสือกฎหมายตกอยู่ในมือของคนทั่วไปไม่เลือกหน้า เปิดโอกาสให้พวกเจ้าถ้อยหมอความ หรือพวกมดต่อหมอความ นำไปใช้เป็นเครื่องมือสำหรับคดโกงทำให้เกิดความยุ่งยากต่อบ้านเมือง จึงสั่งให้ริบหนังสือกฎหมายของนายโหมด ทั้งฉบับเขียนและฉบับพิมพ์ทั้งหมด และสั่งว่าเมื่อพระเจดีย์ที่วัดสระเกศสร้างแล้วเสร็จให้นำเอาหนังสือกฎหมายที่ริบนั้นฝังไว้ในพระเจดีย์ทั้งหมด ทั้งๆที่กฎหมายตราสามดวงมิได้บัญญัติว่าการพิมพ์หนังสือกฎหมายเป็นความผิดแต่อย่างใด
แต่มาในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้รับสั่งว่านายโหมดตีพิมพ์หนังสือกฎหมายเป็นคุณต่อแผ่นดิน ไม่ควรจะฝังไว้ในพระเจดีย์ ให้เอามาตีพิมพ์อีก จะเป็นคุณกับบ้านเมือง กรมหลวงวงศาทูลว่า หนังสือกฎหมายนั้นยังอยู่ครบ ไม่ได้เอาไปฝังในเจดีย์แต่อย่างใด จึงรับสั่งให้เอาไปคืนเจ้าของ และขอซื้อให้เขามีกำไร จะได้แจกทุกโรงทุกศาล นายโหมดก็ไปรับเอามาถวายหลวงบ้างวังหน้าบ้าง ที่เหลือก็ขายเล่มละ 10
บาทไปจนหมด  
หมอบรัดเลย์ได้เอาใจใส่พิมพ์หนังสือกฎหมายขึ้นใหม่ด้วยทุนของตนเองในสมัยรัชกาลที่
4
และได้พิมพ์ซ้ำอีกราวสิบครั้งในเวลาต่อมา หมอบรัดเลย์จึงได้รับเกียรติในฐานะผู้พิมพ์หนังสือเรื่องกฎหมายเมืองไทยสองเล่มที่เรียกกันติดปากว่ากฎหมายหมอบรัดเลย์

นักพงศาวดารฉบับราษฎร
-
ก.ศ.ร. กุหลาบ  2377 - 2464


ก.ศ.ร. กุหลาบ มีชื่อจริงว่า นายกุหลาบ  ตฤษณานนท์  เกิดเมื่อปี 2377 ในรัชกาลที่ 3 บิดาเป็นลูกจีนเกิดในไทยชื่อนายเส็ง  มารดาชื่อนางตรุษมีบรรพบุรุษเป็นกรมการเมืองนครราชสีมาสมัยอยุธยา   เมื่อหลานปู่ของนายกุหลาบ ผู้เป็นมหาดเล็ก ขอพระราชทานนามสกุลโดยอ้างประวัติทางฝ่ายมารดา รัชกาลที่ 6 ได้ตั้งนามสกุลว่า ตฤษณานนท์  เลียนชื่อนางตรุษ มารดานายกุหลาบ


พระองค์เจ้ากินรี ธิดารัชกาลที่ 3
เมื่ออายุ 4 ขวบ พระองค์เจ้ากินรี ธิดาของรัชกาลที่ 3 ได้ขอไปเลี้ยงเป็นลูกบุญธรรม  นายกุหลาบอยู่ในพระบรมมหาราชวังจนครบอายุโกนจุก คือ 13 ปี ต้องออกจากวังเพราะเป็นหนุ่มแล้ว พระองค์เจ้ากินรีให้นายกุหลาบเป็นมหาดเล็กเรือนนอก คือให้อยู่นอกวัง เรียนเขียนอ่านกับพระรัตนมุนี ที่วัดพระเชตุพน แล้วบวชเป็นสามเณรโดยมีกรมพระปรมานุชิตเป็นพระอุปัชฌาย์   ได้ฉายาว่า เกศโร
กลายมาเป็นตัวย่อ ว่า ก.ศ.ร. นำหน้าชื่อเดิมแบบฝรั่ง  บวชเป็นเณรอยู่หลายปีแล้วเข้ารับราชการมหาดเล็กรักษาพระองค์ เรียนภาษาละติน อังกฤษและฝรั่งเศสกับสังฆราชปาเลอกัวซ์ซึ่งเป็นครูสอนหนังสือเจ้าฟ้ามงกุฎเมื่อครั้งบวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศ
เมื่ออายุ 25  นายกุหลาบก็แต่งงานกับหญิงสาวชื่อหุ่น มีบุตรธิดาด้วยกัน 9 คน    เป็นลูกสาว 8 คน มีบุตรชายคนเดียว  ต่อมามีบุตรกับอนุภรรยาชื่อเปรม อีก 2 คน
นายกุหลาบบวชเมื่ออายุ 26 หลังมีครอบครัวแล้ว   พอสึกออกมา ก็ไปเป็นเสมียนทำงานห้างฝรั่ง ถึง 15 ปี   เปลี่ยนงานไปหลายห้าง โดยอาศัยความรู้ภาษาต่างประเทศ ความคล่องแคล่วฉลาดเฉลียว คุยสนุก  จึงเป็นที่ชื่นชอบของนายห้างฝรั่ง  ได้เลื่อนเงินเดือนสูงจาก 20 บาท จนถึง 250 บาทซึ่งถือว่าสูงมาก
นายฝรั่งได้พานายกุหลาบเดินทางไปติดต่อค้าขายในประเทศใกล้เคียง เช่น สิงคโปร์ ปีนัง สุมาตรา มนิลา ปัตตาเวีย มาเก๊า ฮ่องกง กัลกัตตาและเคยเดินทางไปอังกฤษด้วยครั้งหนึ่ง
เมื่อมีรายได้สูงมาก   นายกุหลาบจึงมีชีวิตความเป็นอยู่อย่างคนร่ำรวย  ปลูกบ้านตึกริมน้ำแบบครอบครัวทันสมัยล้ำยุค ลูกๆทุกคนมีความรู้อ่านออกเขียนได้   เข้าสังคมเป็น  พูดจาติดต่อกับชาวยุโรปได้    นายกุหลาบเองเป็นคนฉลาดปราดเปรียว หูตากว้างขวาง  มีโอกาสได้รู้เห็นมากกว่าคนทั่วไป  สนใจหาความรู้  โดยเฉพาะเรื่องประวัติศาสตร์และโบราณคดี  ซึ่งไม่ค่อยมีใครรู้




ท้องพระโรงสนามหลวง เมื่อปี 2455
เมื่อนายกุหลาบอายุได้ 48 ปี ในปี 2425 มีงานใหญ่ในกรุงเทพคือพระราชพิธีสมโภชพระนครครบร้อยปี ณ ท้องสนามหลวง  ในงานมีนิทรรศการแห่งชาติ หรือ National Exhibition โดยสร้างเป็นอาคารชั่วคราวขนาดใหญ่ที่ท้องสนามหลวง  
พระบรมวงศานุวงศ์ ขุนนางและคหบดีร่วมกันฉลองพระเดชพระคุณด้วยการนำของต่างๆที่เกี่ยวกับความรู้และฝีมือของคนไทยมาตั้งแสดง  แบ่งเป็นห้องๆตามประเภทสิ่งของ


กรมหมื่นบดินทรไพศาลโสภณ
นายกุหลาบนำต้นฉบับเอกสารตัวเขียนและสิ่งพิมพ์รุ่นแรกของสยามในความครอบครองจำนวน 150 เรื่อง รวมพันกว่าเล่ม  ออกแสดงนิทรรศการให้สาธารณชนได้ชม ติดกับห้องสมุดไทยฉบับเขียนจากหอหนังสือหลวง ในความดูแลของกรมหมื่นบดินทรไพศาลโสภณ  ผู้บัญชาการกรมอาลักษณ์ ผู้เก็บหนังสือเก่าหายาก   นายกุหลาบอยากรู้เรื่องประวัติศาสตร์ที่ถูกปกปิดและเป็นสมบัติหวงห้ามของแผ่นดิน จึงพยายามตีสนิทกรมหมื่นบดินทรฯ เมื่อไปเฝ้าที่วัง  ก็ทูลขอคัดสำเนาหนังสือในหอหลวงบางเรื่อง   แต่ทรงปฏิเสธ ว่าหนังสือเหล่านี้เป็นของต้องห้าม มิให้ใครคัดลอก
นายกุหลาบจึงใช้วิธีขอยืมอ่านครั้งละเล่ม โดยสัญญาว่าวันรุ่งขึ้นจะเอาไปคืน
กรมหลวงบดินทรฯไม่ทรงระแวง ก็ทรงอนุญาต
นายกุหลาบจึงไปจ้างเสมียนเตรียมไว้สองสามคน  สำหรับคัดลอกหนังสือให้ทันส่งคืนในวันรุ่งขึ้น 
พอได้หนังสือจากวังกรมหลวงบดินทรฯ  ก็ลงเรือจ้างที่ท่าเตียนข้ามฟากไปยังวัดอรุณ ปูเสื่อผืนยาวที่พระระเบียง   แล้วเอาสมุดคลี่วางบนเสื่อตลอดเล่ม  ให้คนคัดแบ่งกันคัดคนละตอน   พอเวลาบ่ายก็คัดสำเนาได้หมดทั้งเล่ม นายกุหลาบลักลอบคัดหนังสือด้วยวิธีนี้มานานกว่าปี    ได้สำเนาหนังสือไปจากหอหลวงจำนวนมาก  รวมถึงพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ทั้ง 4 รัชกาล

หมอสมิท Samuel John Smith
นายกุหลาบต้องการจะเอามาเผยแพร่และจำหน่าย จึงต้องดัดแปลงข้อความที่ตนเองลอกมา ให้ผิดไปจากของเดิม เพื่อเอาไว้อ้างว่าเป็นอีกสำนวนหนึ่งซึ่งเป็นคนละชุดกับฉบับในหอหลวงเพื่อไม่ให้เจ้านายทรงจับได้ว่าไปลอกมาจากหอหลวงเพราะจะเป็นความผิด
ในปีถัดมา  นายกุหลาบเอาหนังสือที่ตัวเองดัดแปลงเสร็จแล้วเรื่องหนึ่ง  ตั้งชื่อว่า คำให้การของขุนหลวงหาวัด  เป็นเรื่องราวคำให้การของพระเจ้าอุทุมพรกับขุนนางไทยที่พม่ากวาดต้อนไปเมื่อเสียกรุง 
2310   แล้วไปเล่าเรื่องขนบธรรมเนียมและประวัติศาสตร์ไทยให้พม่าจดลงไว้ โดยส่งไปให้หมอสมิท
Samuel John Smith ที่บางคอแหลมพิมพ์ออกเผยแพร่ให้ประชาชนได้ซื้อหามาอ่านกัน ประชาชนที่ได้อ่าน ก็พากันตื่นเต้นเพราะไม่เคยรู้เรื่องมาก่อน    ต้นฉบับเดิมในหอหลวงเก็บไว้ลี้ลับไม่เคยออกสู่สายตาใคร  แม้แต่กรมพระยาดำรงฯ ก็ยังไม่เคยเห็น  นายกุหลาบก็เลยมีชื่อเสียงขึ้นมาว่าเป็นผู้รู้ประวัติศาสตร์ มีตำรับตำราน่าทึ่งอยู่ในความครอบครอง

หอพระสมุดวชิรญาณ
ในระยะนั้นมีการตั้งหอพระสมุดวชิรญาณโดยอนุญาตให้ราษฎรสมัครเป็นสมาชิกได้   เมื่อเจ้านายทรงเห็นว่านายกุหลาบเป็นปัญญาชนคนรักหนังสือ ก็รับเข้าเป็นสมาชิกหอพระสมุดฯ เจ้าพระยานรรัตนราชมานิต ผู้บัญชาการกรมโปลิศท้องน้ำ   เห็นว่านายกุหลาบเป็นคนกว้างขวาง มีชื่อเสียงในฐานะปัญญาชนคนดังจึงรับนายกุหลาบเข้าเป็นนายเวรคนสนิทของผู้บัญชาการ  เทียบเท่าร้อยเอก ทำงานธุรการหรืองานเลขาฯ เป็นส่วนใหญ่ นายกุหลาบรับราชการอยู่จนกรมโปลิศท้องน้ำถูกยุบเลิกไปในปี 2434

ในระยะยุคตื่นตัวของปัญญาชนรุ่นใหม่สมัยรัชกาลที่ 5 มีการตั้งชมรม หรือสมาคมเพื่อเผยแพร่ความรู้โดยเจ้านายและขุนนางอื่นๆ นายกุหลาบก็ได้รับเชิญไปปาฐกถาด้วย  เป็นที่นับหน้าถือตา


หนังสือสยามประเภท
นายกุหลาบได้ทำความดีความชอบในฐานะสมาชิกหอพระสมุด  ด้วยการมอบหนังสือฉบับลายมือเขียนเรื่องต่างๆแก่หอพระสมุด  เป็นความรู้ทางด้านประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน ซึ่งก็คือเรื่องที่นายกุหลาบแอบคัดลอกไปจากหนังสือหอหลวง ที่กรมพระยาดำรงฯ และกรมพระสมมตอมรพันธุ์เองก็ไม่รู้จัก  แม้จะทรงสงสัยว่ามีสำนวนใหม่ปะปนอยู่ แต่ทรงนึกไม่ออกว่าสำนวนโบราณนั้นมาจากไหน เมื่อทรงเรียกนายกุหลาบมาสอบถาม นายกุหลาบก็อ้างว่าได้มาจากบุคคลสำคัญต่างๆ ซึ่งล่วงลับไปแล้ว  ต่อมาไม่นาน นายกุหลาบก็ลาออกจากสมาชิก และออกหนังสือชื่อ สยามประเภท เขียนบทความต่างๆด้านประวัติศาสตร์ ตีพิมพ์จำหน่าย  ในระยะแรกได้รับความสนใจจากคนอ่านมาก  มีคนสมัครเป็นสมาชิกกันมากมายกระจายออกไปถึงนอกประเทศ บางครั้งต้องพิมพ์ซ้ำหลายครั้งในฉบับเดียว เพื่อตอบสนองคนอ่านได้ทั่วถึง จึงเขยิบจากรายเดือนเป็นรายปักษ์ และเป็นรายสัปดาห์ออกทุกวันพระ  นายกุหลาบย้ายบ้านจากท่าวาสุกรี มาอยู่ที่หน้าโบสถ์วัดราชบพิธ ถนนเฟื่องนคร ตั้งโรงพิมพ์ชื่อสยามกิจพานิชเจริญ


กรมพระสมมตอมรพันธุ์ต้องการค้นหาความจริงจึงขอหนังสือที่นายกุหลาบแก้ไขดัดแปลงแล้ว หลายเรื่องรวมทั้งพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ตอนรัชกาลที่ 3 ซึ่งเจ้าพระยาทิพากรวงศ์เป็นผู้เรียบเรียงในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อกรมพระสมมตฯ นำฉบับจริงมาตรวจสอบกันดู ก็รู้ว่านายกุหลาบเอาหนังสือซึ่งเป็นของหลวง   มาแต่งแทรกใหม่ลงไปหลายตอน จึงทรงนำเรื่องขึ้นกราบทูลรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้ทรงเขียนด้วยลายมือลงในฉบับของนายกุหลาบ   เพื่อชี้ให้เห็นตรงจุดที่มีการแก้ไขดัดแปลง แล้วพระราชทานคืนให้กรมพระสมมติฯ  แต่ก็ยังปล่อยให้นายกุหลาบออกหนังสือสยามประเภทต่อไป   แต่ในหมู่เจ้านายรู้กันว่าเป็น "หนังสือกุ" คือเขียนแก้ไขดัดแปลงเอง
นายกุหลาบออกหนังสือสยามประเภทมานาน  จนหมดเรื่องที่นำมาลง จึงแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ เมื่อฝรั่งเศสส่งเรือรบมาปิดปากอ่าวไทย ในร.ศ.
112 /2437  เป็นเหตุให้ไทยต้องเสียดินแดนริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง   นายกุหลาบไม่พอใจนโยบายของรัชกาลที่ ที่ว่าจำต้องสละแขนขาเพื่อรักษาชีวิตของสยามไว้ นายกุหลาบจึงแต่งเติมพงศาวดารสุโขทัย  เล่าเรื่อยมาถึงตอนจะเสียกรุงศรีอยุธยา ว่าตอนปลายอยุธยา  พระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ทรงพระนามว่าพระปิ่นเกษ  มีพระราชโอรสพระนามว่าพระจุลปิ่นเกษ ซึ่งไม่มีความสามารถที่จะรักษาอยุธยาไว้ได้  ถึงเสียบ้านเมือง
พอรัชกาลที่
5 ได้เห็น ก็โกรธที่นายกุหลาบบังอาจเอาชื่อพระจอมเกล้ากับพระจุลจอมเกล้าไปแปลงเป็นพระปิ่นเกษ และพระจุลปิ่นเกษเพื่อล้อเลียน จึงโปรดให้เจ้าพระยาอภัยราชา เรียกตัวนายกุหลาบมา ซึ่งนายกุหลาบต้องสารภาพว่าเป็นเรื่องที่ตนคิดขึ้นมาเอง
รัชกาลที่ 5 ให้ส่งตัวนายกุหลาบไปอยู่กับผู้จัดการในโรงรักษาคนบ้า 7
วัน

กศร.กุหลาบในวัย 67 ปี กับบุตรชาย
ภายหลังหนังสือสยามประเภทเสื่อมความนิยมลง และหมดทุนรอน นายกุหลาบออกหนังสือใหม่ชื่อ บำรุงปัญญาประชาชน   ล้มลุก ฯลฯ  มีลูกชายช่วยดำเนินงาน  แต่หนังสือขายไม่ดี นายกุหลาบจึงขายบ้างแจกบ้าง ด้วยเจตนาจะเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชนทั่วไป นายกุหลาบยังรับตอบปัญหาทางด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทยโบราณอีกมาก  
เมื่อเลิกทำหนังสือในวัยชรา  นายกุหลาบก็เลี้ยงชีพด้วยการรับจ้างพิมพ์หนังสือ  สิ่งพิมพ์ต่างๆและนามบัตรด้วยราคาถูกกว่าที่อื่น พอเลี้ยงชีพได้แม้ว่ายากจนลงกว่าเดิมมาก ในบั้นปลาย นายกุหลาบเริ่มเลอะเลือน  ขณะที่ทางการสั่งเก็บทำลายหนังสือสยามประเภท โดยอ้างว่าเพื่อไม่ให้ประชาชนเข้าใจผิด แต่ก็ยังมีจำนวนหนึ่งเหลือรอดเป็นสมบัติส่วนตัวของเอกชน  และมีการแอบเผยแพร่ต่อมา นายกุหลาบถึงแก่กรรมด้วยโรคชรา เมื่อปี 2464 ในรัชกาลที่ 6   อายุ 87
ปี
เรื่องราวของก.ศ.ร.กุหลาบ ถูกหยิบยกขึ้นมาเล่าถึงอีกครั้งโดยนักวิชาการรุ่นหลัง บางท่านก็เชิดชูว่านายกุหลาบเป็นสามัญชนที่มีคุณค่า  เป็นผู้เผยแพร่ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ทางการสั่งเก็บเป็นความลับ ไม่ให้เผยแพร่สู่ประชาชน ส่วนเรื่องการดัดแปลงเรื่องราว และข้อผิดพลาดนั้น บางท่านไม่ได้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญ เท่ากับเจตนาที่จะให้ความรู้

เรื่องโกหก อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวพระยาจักรี
เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว พวกกษัตริย์ก็ใช้การแต่งเรื่องโกหกผสมเรื่องจริงมาแต่ไหนแต่ไรอยู่แล้ว โดยไม่ถือว่าเป็นความผิด แถมยังได้ดิบได้ดี ได้รับการยกย่องสรรเสริญ แต่พอนายกุหลาบจัดการเสริมแต่งขึ้นมาบ้างเพื่อไม่ให้เป็นความผิด ก็กลับหาว่านายกุหลาบเป็นพวกชอบกุเรื่อง ที่ไม่ควรเชื่อถือ รัชกาลที่ 1 ก็เคยแต่งเรื่องโกหก เพื่อสนับสนุนการปล้นราชบัลก์จากพระเจ้าตากสิน เช่น เรื่องมีซินแสทำนายว่าตนจะได้เป็นกษัตริย์ และสุกี้พระนายกองผู้เป็นแม่ทัพใหญ่ของพม่าขอดูตัว แต่ก.ศ.ร.กุหลาบต้องกลายเป็นคนที่ ขวางหูขวางตาของรัชกาลที่ 5 และเจ้านายบางองค์  ก็เพราะดันไปเปิดเผยความจริงบางเรื่องของพวกกษัตริย์ที่ถูกปกปิดกันมานาน เลยทำให้รัชกาลที่ 5 เกิดบันดาลโทสะ เพราะการวิจารณ์อย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงถือเป็นความผิดอย่างร้ายแรงในสังคมไทย และการวิจารณ์กษัตริย์ถือว่าเป็นเรื่องอันตรายที่สุด ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องจริง ยิ่งถ้าเป็นในสมัยปัจจุบันก็ต้องโดนมาตรา 112 ติดคุกยาวอย่างแน่นอน


ราษฎรผู้ชิงสุกก่อนห่าม
เทียนวรรณ ปี
2385-2458



เทียนวรรณ
ชื่อจริงคือ เทียน วัณณาโภ เกิดปี 2385 ในปลายรัชกาลที่ 3 ที่บางขุนเทียน มาจากตระกูลใหญ่ที่มีเลือดผสมระหว่างทหารกับพลเรือน เป็นคนที่มีความจำและไหวพริบดีมาตั้งแต่เด็ก อายุ 8 ขวบได้ไปเรียนหนังสือไทยและขอมกับพระที่วัดโพธิ์ รวมทั้งวิชามวย และเวทมนตร์คาถา พออายุ 18 ปี ก็เริ่มทำงานค้าขายทางเรือถึงสวรรคโลกและกำแพงเพชร  ตอนอายุ 19 ปีได้ทำงานเรือกำปั่น ไปถึงซัวเถา ฮ่องกง เอ้หมึง และเซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา 15 เดือน กลับมาได้ทั้งความรู้และเงินที่เก็บไว้ หลังจากนั้นก็บวชที่วัดบวรนิเวศ 4 พรรษา ได้นามฉายาว่า วัณณาโภ ได้เรียนพระธรรมวินัยและภาษาอังกฤษ ในช่วงที่พระสังฆราช (สา) และรัชกาลที่ 4 ยังบวชอยู่และประทับที่วัดบวรนิเวศบ่อยครั้ง เขาสึกจากพระ เมื่ออายุได้ 25 ปี และเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้ ฟังข่าวสารการเมือง ซื้อและเช่าหนังสือใหม่ๆมาอ่านเสมอ เมื่ออายุ 26 ปี ได้ไปค้าขายถึงสิงคโปร์ หลังจากนั้นก็วิ่งค้าขายไปๆ มาๆ ตามหัวเมืองต่างๆ ของไทย เขาสนิทสนมกับเจ้านายหนุ่มๆ ที่เป็นนักเรียนนอก เช่น กรมพระสวัสดิโสภณ ซึ่งทรงจบจากมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ดและเป็นเสนาบดีกระทรวงยุติธรรมพระองค์แรก เป็นโอรสรัชกาลที่ 4 และพระอนุชาของพระนางเสาวภาผ่องศรี


บ่อนเบี้ยในสยาม สมัยทาส
เทียนวรรณเริ่มเขียนบทความแสดงความเห็น ให้ปรับปรุงราชการงานเมือง ตอนที่เขาอายุ 30 ปี โดยมีข้อเสนอที่ก้าวหน้าหลายข้อ เช่น ให้เลิกทาส ให้เลิกการพนันบ่อนเบี้ย ให้ปราบปรามการทุจริตฉ้อฉลและความไม่เป็นธรรม ให้มีสภาผู้แทน เขาโจมตีการที่พวกเจ้านายและผู้ดีมีเมียมาก ซึ่งเป็นที่มาของการทุจริต เพราะต้องจับจ่ายใช้สอยมาก บทความที่เขาเขียนบางครั้งไม่มีหนังสือพิมพ์ฉบับไหนกล้าลงให้ เขาก็จะยกให้พิมพ์เป็นหนังสือแจกงานศพ หรือพิมพ์แจกเองบ้าง ต่อมาได้ศึกษากฎหมายและทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมาย ศึกษาค้นคว้าทั้งภาษาไทยและอังกฤษ เขียนบทความ และพูดแสดงความคิดเห็นทั้งตามวังเจ้านายและตามวัด
เขาเป็นคนแรกๆที่เสนอให้รัฐบาลจัดการศึกษาแก่สตรีทัดเทียมกับชาย ทำงานเป็นทนายความช่วยคนจน ทำให้เขาถูกฟ้องร้องตอนอายุ 40  กรณีเขียนฎีกาให้กับราษฎรคนหนึ่ง ซึ่งไม่ปฏิบัติตามหนังสือตราพระราชสีห์ของกระทรวงมหาดไทย เขาโต้แย้งว่า หนังสือตราพระราชสีห์ไม่ใช่กฎหมาย นำมาใช้บังคับราษฎรไม่ได้ กรมหลวงภูธเรศธำรงศักดิ์ (ทวีถวัลยลาภต้นสกุลทวีวงศ์ โอรสรัชกาลที่
4 ) เสนาบดีกระทรวงนครบาล จึงสั่งลงโทษเทียนวรรณฐานหมิ่นตราพระราชสีห์ ซึ่งเท่ากับหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ถูกเฆี่ยน 50 ที และให้จำคุกโดยไม่มีกำหนด
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ รพีพัฒนศักดิ์
ในช่วง
2 ปีแรก เทียนวรรณถูกขังแบบใส่ขื่อคาครบห้า คือ ทั้งที่คอ มือ และเท้า สร้างความยากลำบากให้เขามาก แต่เขาก็ยังอ่านและเขียนหนังสือ เขาได้รายงานความทารุณในคุกให้กรมหลวงราชบุรีทราบ จนมีคำสั่งให้ปลดโซ่ที่คอของนักโทษทุกคน เขาได้เขียนหนังสือ ส่งไปพิมพ์นอกคุก เขาต้องโทษจำคุกอยู่เกือบ 17 ปี เมื่อกรมหลวงภูธเรศธำรงศักดิ์สิ้นพระชนม์ ขุนหลวงพระยาไกรสี (เปล่ง เวภาระ)จึงได้ช่วยให้พ้นคุก ระหว่างที่ติดคุกเขียนหนังสือไว้ 28 เรื่อง ทั้งเรื่องวิจารณ์ลัทธิเมืองขึ้นของฝรั่ง เรื่องให้เปลี่ยนขนบธรรมเนียมบ้านเมืองและอื่นๆ
หลังจากออกจากคุกเมื่อปี 2443 ตอนอายุ 58 มีผู้อุปการะให้เขายืมเงินเปิดสำนักทนายความ และร้านขายยา ย่านเสาชิงช้า เขากล้าวิพากษ์วิจารณ์ระบบสังคมทาสในสยาม ความไม่เป็นธรรมระหว่างชาย-หญิง และอยากให้ประชาชนมี "ฟรี" กับ "ปาลิเมนต์" ที่แปลว่าเสรีภาพและรัฐสภาในสมัยต่อมา เขาได้ออกหนังสือพิมพ์รายเดือนชื่อว่าตุลวิภาคพจนกิจ เพื่อเสนอข่าวสารที่ตรงไปตรงมา ทำอยู่ได้ 6 ปีก็หยุดเพราะขาดทุน และเริ่มมีอายุมาก แต่เขาก็ยังพิมพ์หนังสืออีกชุดหนึ่ง รวม 12 เล่ม ให้ชื่อว่า ศิริพจนภาค เป็นการรวมงานวรรณกรรมที่เขาเขียนตั้งแต่อายุ 33 ปีเป็นต้นมา ทั้งบทความวิจารณ์การเมือง โจมตีการทุจริตฉ้อฉลของข้าราชการ เสนอโครงการ 34 ข้อให้รัฐบาลปรับปรุงชาติ ซึ่งหลายข้อรัฐบาลก็มาทำในภายหลัง 
- ด้านนโยบายต่างประเทศ เขาแนะนำให้รัฐบาลไทยผูกมิตรไมตรีกับจีน ญี่ปุ่น อังกฤษ และเยอรมัน เพื่อต้านทานจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส
- ด้านการเมือง เขาเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบราชาธิปไตยมาเป็นประชาธิปไตย ให้เลิกทาส
- ด้านเศรษฐกิจ เขาเรียกร้องให้ยกเลิกบ่อนการพนัน ที่ทำให้พลเมืองโง่เขลา ถูกมอมเมา เกียจคร้าน และเป็นต้นเหตุแห่งความชั่วร้ายอื่นๆ ตามมา และเสนอให้เอาเงินหลวงออกให้ราษฎรกู้ไปทำทุน ส่งเสริมการตั้งโรงงาน การค้นคว้าทรัพยากรธรรมชาติ
- ด้านการศึกษา เขาเสนอให้รัฐจัดการศึกษาให้ไพร่และสตรีอย่างเท่าเทียมกับผู้ดีและบุรุษ ชักชวนให้ผู้มีเงินหันมาสร้างโรงเรียนแทนวัด ให้ตั้งโรงเรียนฝึกฝนวิชาชีพเพื่อให้ราษฎรมีงานทำ เร่งปฏิรูปโครงสร้างสังคมและระบบราชการเพื่อปราบการทุจริตฉ้อฉล การเล่นพรรคเล่นพวก และ ความไม่เป็นธรรม

เทียนวรรณได้เรียกร้องให้มีรัฐสภา ให้มีการกำกับดูแลถ่วงดุลอำนาจการออกกฎหมายของฝ่ายศาล
เทียนวรรณถูกฝ่ายอนุรักษ์โจมตีว่าเป็นพวกชอบชิงสุกก่อนห่าม ที่เพ้อฝันถึงปาลิเมนต์หรือระบอบรัฐสภาทั้งๆที่ราษฎรไทยยังขาดการศึกษาและยังยากจนอยู่
 


ปรีดี พนมยงค์ วัย 19 ปี
เรียนกฎหมาย เริ่มว่าความ
ในบั้นปลายของชีวิตในวัยเกือบ 70 ปี เขาได้สนทนาวิสาสะกับเด็กมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยคนหนึ่ง ที่ได้รับการบอกเล่าจากครูประจำชั้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศจีน จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นการปกครองแบบสาธารณรัฐ ในปี 2454 โดยมี ดร.ซุนยัดเซ็น เป็นหัวหน้า เด็กเรียนมัธยมคนนี้มีความประทับใจในข้อเขียนของเทียนวรรณ จึงได้ไปหาเทียนวรรณ ที่บ้านอยู่แถวบริเวณวัดบวรนิเวศ
16 ปี ต่อมา ในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 เวลาย่ำรุ่ง ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงกลางพระนคร เมื่อ นายพันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา หัวหน้าคณะผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิถุนายน 2475 ได้อ่านคำประกาศของคณะราษฎร ประณามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างรุนแรง พร้อมทั้งเสนอรูปแบบการปกครองใหม่ที่ให้กษัตริย์อยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน และให้มีสภาที่จะเป็นที่ปรึกษาหารือกัน โดยผู้เขียนคำประกาศคณะราษฎร ฉบับดังกล่าว คือคนเดียวกันกับเด็กมัธยมจากโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัยคนนั้น ซึ่งก็คือ นายปรีดี พนมยงค์ นั่นเอง


นักเศรษฐศาสตร์คนแรกของสยาม
-พระยาสุริยานุวัตร
2405-2479
พระยาสุริยานุวัติ(เกิด บุนนาค)
มหาอำมาตย์เอก พระยาสุริยานุวัตร (เกิด บุนนาค) เป็นบุตรพระยามนตรีสุริยวงศ์ (ชุ่ม)  มารดาชื่อ ศิลา เกิดเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2405  
เมื่อเล็กท่านได้เรียนหนังสือไทยที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
  ต่อมาในปี  2414 เดินทางไปศึกษาวิชาที่ปีนังและกัลกัตตา  เป็นเวลา 5 ปี จึงกลับมาเข้ารับราชการในกรมมหาดเล็ก  ในปี 2419 รับราชการกระทรวงมหาดไทย เป็นผู้ช่วยข้าหลวงตะวันตก มีหน้าที่เก็บและจ่ายเงินหลวง และเป็นล่ามทำหนังสือราชการเกี่ยวกับภาษาต่างประเทศ ปี  2427 ได้เป็นหลวงสุริยานุวัตร และผู้ช่วยข้าหลวงมณฑลพายัพ ต่อมาเป็นกรมคลังเมืองเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง
ในปี 
2430 เป็นผู้ช่วยทูตประจำกรุงลอนดอน ได้เรียบเรียงหนังสือเรื่องขนบธรรมเนียมราชการต่างประเทศ ถือเป็นตำรากฎหมายและการทูตภาษาไทยเล่มแรก  เป็นอุปทูตประจำกรุงเบอร์ลิน  อัครราชทูตประจำฝรั่งเศส อิตาลี สเปนและรัสเซีย  รับมอบอำนาจลงนามสนธิสัญญากับฝรั่งเศส เมื่อ 13  กุมภาพันธ์ 2466 ให้ฝรั่งเศสถอนทหารจากจันทบุรีในปีถัดมา
ในปี 2448 เป็นสามัญชนคนแรกที่ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ เปลี่ยนระบบการเงินของไทย จากมาตราเงินเป็นมาตราทองคำ ทำสตางค์ขึ้นใช้แทนอัฐ เสนอแนวคิดให้ตั้งธนาคารชาติ และการปฏิรูประบบภาษีโดยให้รัฐบาลเป็นผู้ดำเนินการเอง  โอนกิจการจำหน่ายฝิ่นจากนายอากรมาเป็นรัฐบาลทำเอง ช่วยเพิ่มรายได้ให้รัฐอย่างมหาศาล ทำให้นายอากรและผู้เสียประโยชน์ไม่พอใจอย่างมาก เมื่อนโยบายถูกต่อต้านจนรัชกาลที่ 5 มีจดหมายแนะนำให้ท่านลาออก เพื่อระงับเหตุอันอาจจะบานปลาย ในที่สุดพระยาสุริยานุวัตรได้ขอลาออกจากราชการ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์  2450


หลังจากนั้นท่านก็ได้เขียนทรัพยศาสตร์ขึ้น 3 เล่ม เป็นตำราเศรษฐ ศาสตร์แนวตะวัน ตกที่นำมา ประยุกต์ใช้กับสังคมไทย ให้มั่งคั่ง เข้มแข็ง เป็นอิสระ และมีความเป็นธรรม
ทรัพยศาสตร์ เล่ม 1 เรื่องการสร้างทรัพย์และการแบ่งปันทรัพย์
ชี้ให้เห็นปัญหาความยากจนของชาวนาไทย อันเกิดจากการขาดทุนรอน ขาดกรรมสิทธิ์ในที่ดิน มีหนี้สินภายใต้ระบบดอกเบี้ยสูง ทั้งยังขาดความรู้ในวิทยาการสมัยใหม่ รัฐต้องให้ความสำคัญเรื่องการศึกษา และการออม ความเจริญของสยามต้องอาศัยการทำนาเป็นส่วนใหญ่ บ้านเมืองจะเจริญเร็วหรือช้าก็อยู่ที่ความเป็นอยู่ของชาวนาเป็นสำคัญ
ทรัพยศาสตร์ เล่ม
2 ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนค้าขาย กลไกตลาด และการเงิน โดยรัฐบาลมีหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าของพลเมือง ควรตั้งกำแพงภาษีเพื่อช่วยหัตถกรรมไทยในระยะแรก จนกว่าจะแข็งแรงพอ รัฐและเอกชนต้องสนับสนุนสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อการลงทุนแก่ชาวนา
ทรัพยศาสตร์ เล่ม
3
แบ่งเป็นการค้าระหว่างประเทศ และการคลัง รัฐต้องเร่งฟื้นฟูการค้าทางทะเลและกองเรือพาณิชย์ที่ถูกทุนต่างชาติครอบงำ ต้องจัดสรรงบประมาณ เพื่อการกระจายรายได้ ลดช่องว่างทางสังคม ต้องเลิกการคลังแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ที่ใช้จ่ายเงินในส่วนราชสำนักมากเกินไป เงินได้ของแผ่นดินมาจากคนยากจน จึงควรยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการ คือเงินที่เสียเพื่อยกเว้นการเป็นทหาร เพราะไม่เป็นธรรมแก่ราษฎร แต่ควรเปลี่ยนโครงสร้างภาษี โดยเก็บภาษีตามฐานรายได้และทรัพย์สินจากคนมั่งมีแทน เพื่อไปช่วยคนยากจน พิจารณาตั้งกำแพงภาษีป้องกันต่างชาติทุ่มตลาด เพราะต่างประเทศก็พยายามตั้งพิกัดอัตราภาษีสินค้าเข้าเมือง

รัชกาลที่ 6 อัศวพาหุ
หนังสือทรัพยศาสตร์เล่มแรกได้รับความนิยมเป็นอย่างดี พอหนังสือทรัพยศาสตร์เล่ม
2 ตีพิมพ์ออกมาในปี  2454 รัชกาลที่ 6 ก็มีรับสั่งให้พระยาสุริยานุวัตรยุติการเขียน หลังจากนั้นทรงเขียนบทวิจารณ์ ทรัพยศาสตร์ เล่ม 1 ในนามปากกาอัศวพาหุ ลงในวารสาร สมุทรสาร ทรงเห็นว่า ทรัพยศาสตร์ จะทำให้คนไทยแตกแยกเป็นชนชั้น เพราะในสยามประเทศนั้น เว้นแต่พระเจ้าแผ่นดินแล้ว ใคร ๆ ก็เสมอกันหมด ทรงเห็นว่าผู้เขียน ตั้งใจยุแหย่ให้คนไทยเกิดริษยาแก่กันและแตกความสามัคคีกัน เพราะเขียนเรื่องความต่างทางรายได้
ในสมัยรัชกาลที่
7 ได้มีการแก้ไขกฎหมายอาญา กำหนดความผิดของการสอนลัทธิเศรษฐกิจ โดยมีโทษสูงสุด จำคุก 10 ปี และปรับไม่เกิน 5,000 บาท ทรัพย์ศาสตร์จึงกลายเป็นหนังสือต้องห้ามไปโดยปริยาย กระทั่งเมื่อมีการสถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง ใน ปี  2477 จึงได้มีการบรรจุเป็นวิชาลัทธิเศรษฐกิจในหลักสูตรธรรมศาสตร์บัณฑิต และพระยาสุริยานุวัตรก็ได้เขียนทรัพย์ศาสตร์ เล่ม 3
ออกมาโดยใช้ชื่อว่า เศรษฐศาสตร์และการเมือง

พระยาสุริยานุวัติ วัยชรา
ในสมัยรัชกาลที่ 7 โปรดเกล้าฯ แต่งตั้งท่านเป็นองคมนตรี หนังสือเรื่องทรัพยศาสตร์ 3 เล่ม ถือเป็นตำราเศรษฐศาสตร์เล่มแรกของไทย และท่านเขียนบทความทางเศรษฐกิจในหนังสือพิมพ์ศรีกรุง ที่สำคัญคือ เรื่อง ธนาคารชาติ
ในปี  2476 ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ เป็นที่ปรึกษาอาวุโสของรัฐบาลพระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นตัวแทนรัฐบาลไปเจรจากับเจ้านายฝ่ายเหนือ เรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง  ท่านได้รับการยกย่องนับถือเป็นรัฐบุรุษผู้เฒ่า เป็นคนตรงและเฉียบขาดอย่างมิอาจหาผู้ใดเสมอเหมือนแม้จะเข้าสู่วัยชรา จนถึงแก่อนิจกรรมในรัชกาลที่ 8 เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2479 ขณะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี อายุได้ 74 ปี

นายนรินทร์ คนขวางโลก

2417-2493

นายนรินทร์ ภาษิต หรือ นรินทร์กลึง
นายนรินทร์ ภาษิต หรือ นรินทร์กลึง  มีชื่อเดิมว่า กลึง เด็กชาวสวนคลองบางขวาง จังหวัดนนทบุรี เกิดในสมัยรัชกาลที่ 5 เรียนหนังสือที่วัดพิชัยญาติ บวชเณรไม่ทันครบปีก็สึกออกมารับราชการเป็นเสมียน ต่อมาได้เป็นนายอำเภอ ที่ชลบุรี และได้เป็นพระพนมสารนรินทร์ เจ้าเมืองนครนายก แต่เป็นคนฝีปากกล้า ชอบวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใคร จึงถูกทางการดำเนินคดีด้วยข้อหากบฏเพราะเขียนข้อความเป็นปฏิปักษ์ต่อความสงบเรียบร้อยของประเทศ จึงต้องลาออกจากราชการตอนอายุ 35 ปี  
เมื่อลาออกจากราชการแล้ว นรินทร์กลึงก็ประกาศตัวเป็นอิสระ โกนผมครึ่งศีรษะเฉพาะด้านขวาด้านเดียว แต่ด้านซ้ายปล่อยยาว ไปไหนมาไหนก็นุ่งผ้าแดงแถมเอารูปพระเจ้าตากสินมาแขวนคอ


ใบปลิวโกนผมข้างเดียวของนรินทร์กลึง
นรินทร์กลึงไม่ยอมคล้อยตามแนวคิดตะวันตก  แต่เขากลับหันมาศึกษาความคิดแบบตะวันออกดั้งเดิมและได้ก่อตั้งพุทธบริษัทสมาคมในปี  2455 เพื่อฟื้นฟูพุทธธรรมแท้ให้กลับมาสู่สยาม ออกหนังสือ สารธรรม และ โลกกับธรรม เผยแพร่ความคิดต่อสาธารณชน และหนังสือช่วยบำรุงชาติ ที่แสดงความคิดเห็นแบบตรงไปตรงมาต่อสังคม ทำให้ต้องเดินเข้าออกคุกอยู่บ่อยๆ
เขาโจมตีค่านิยมการมีเมียมาก ให้สตรีมีสิทธิเท่าเทียมชาย เขาวิพากษ์คณะสงฆ์อย่างรุนแรง และเสนอให้มีการสังคายนาพระศาสนาใหม่ เพราะมีพระสงฆ์ประพฤติผิดพระธรรมวินัยเป็นจำนวนมาก การเปิดโปงวงการสงฆ์อันเสื่อมทรามในทำนองสอนสังฆราช ทำให้เขาต้องติดคุก
2 ปีกว่า รวมทั้งการตั้งพรรคการเมืองชื่อพระศรีอาริย์ ซึ่งถูกมองว่าเป็นพรรคที่มีอุดมการณ์ไปในทางคอมมิวนิสต์


นรินทร์กลึงขณะต้องโทษ
นรินทร์กลึงโดนข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเพราะเขาได้เรียกร้องให้มีการคลี่คลายปมปัญหากรณีสวรรคต รัชกาลที่ 8 ให้ปรากฏชัดเจน โดยได้เลียนแบบสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรํสี แห่งวัดระฆังโฆสิตาราม ที่เคยถือตะเกียงคบเพลิงเข้าไปยังเขตพระราชฐานของรัชกาลที่ 4 กลางวันแสกๆ ในช่วงที่บ้านเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมครึม โดยนรินทร์กลึงถือตะเกียงเจ้าพายุจุดไฟออกไปเดินตามท้องถนนชุมชนต่างๆ ทั่วเมืองในเวลากลางวัน พร้อมตะโกนว่า บ้านนี้เมืองนี้มันช่างมืดมนจริงโว้ย


นรินทร์กลึง อดข้าว 21 วัน
ผลงานชิ้นสำคัญก็คือเขายอมอดข้าว 21 วันประท้วงรัฐบาลให้ยกเลิกการเก็บค่ารัชชูปการและการบังคับเกณฑ์แรงงานคนที่ไม่มีเงินให้ไปทำงานแทน อันเป็นการต่อสู้เรียกร้องมาตั้งแต่ยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้ว เมื่อเห็นว่ารัฐบาลยุคคณะราษฎรมีพื้นฐานมาจากประชาชนรากหญ้าเหมือนกัน นรินทร์กลึงจึงเรียกร้องด้วยการแจกใบปลิว ไทยไม่ใช่ทาส ขอให้ยกเลิกการบังคับเก็บเงินรัชชูปการหรือภาษี 4 บาท จากคนยากคนจน โดยเปรียบเปรยว่าการกระทำดังกล่าวนี้ "เหี้ยมโหดยิ่งกว่ามหาโจร เพราะโจรจะไม่ปล้นคนจน แต่จะปล้นเฉพาะคนมั่งมี "  ข้อความจากใบปลิวแผ่นนั้นทำให้นรินทร์กลึงถูกจับเข้าคุก  2 ปีแถมเพิ่มโทษอีก 8 เดือนฐานที่ติดคุกหลายครั้งแล้วไม่ยอมหลาบจำ  แต่นรินทร์กลึงก็เอาชีวิตเข้าแลกด้วยการอดอาหารนานถึง 21 วัน จนกระทั่งรัฐบาลยุคพระยาพหลพลพยุหเสนา ต้องยอมยกเลิกการเก็บเงินรัชชูปการ

การบวชภิกษุณี


สามเณรีสาระ วัย 18 ปี ถ่ายพร้อมสาววัยรุ่น
นรินทร์กลึงได้จัดการบวชลูกสาวทั้งสองคนเป็นสามเณรี ซึ่งขัดกับกฎมหาเถรสมาคมที่ห้ามผู้หญิงบวช  แต่เขาให้เหตุผลว่า เป็นการเรียกร้องสิทธิสตรีให้มีความเท่าเทียมชาย เพื่อให้ประพฤติตามเยี่ยงอย่างพระแม่น้าโคตรมี  ให้สมกับที่โลกยกย่องว่า ชาวไทยเป็นผู้นับถือพุทธศาสนายิ่งกว่าประเทศใดๆในโลก ให้ผู้หญิงไทยทุกคนมีสิทธิ์บวชเป็นภิกษุณี เพื่อให้มีพุทธบริษัทสี่ครบตามพุทธบัญญัติ เพื่อสืบอายุพุทธศาสนาต่อไป


สามเณรีจงดี วัย 13 ปี
บุตรสาวทั้งสองของนายนรินทร์กลึง คือ นางสาวสาระ และ นางสาวจงดี ได้บวชที่วัดนารีวงษ์ ซึ่งใช้พื้นที่ด้านหลังของสถานพุทธบริษัทของนายนรินทร์กลึง เป็นที่สร้างวัดเมื่อเดือนกันยายน 2471 ตอนนั้นลูกสาวอายุได้ 13-14 ปี พอบวชแล้วก็มีคนบวชตาม ถือวัตรปฏิบัติเช่นเดียวกับพระทั่วไป ต้องตื่นแต่เช้าเพื่อบิณฑบาตไปตามแม่น้ำ ตอนนั้นมีสามเณรีหลายองค์แล้ว ชาวบ้านก็ตักบาตรพระตามปกติ  เรื่องการบวชสามเณรีทั้งสอง ได้แพร่ขยายเกิดเป็นกระแสวิพากษ์วิจารณ์กลายเป็นหัวข้อข่าวครึกโครมพาดหัวหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ทั้งในแง่ที่เห็นด้วยสุดกู่และคัดค้านสุดเสียงเช่นเดียวกับในยุคปัจจุบันไม่มีผิด


สังฆราชกรมหลวงชินวรศิริวัฒน์
แต่หลังจากบวชได้เพียง
2 เดือน พระสังฆราชกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ วัดบวรนิเวศวิหาร  ได้มีประกาศ วันที่ 18 มิถุนายน 2471 ห้ามพระเณรไม่ให้บวชหญิงเป็นบรรพชิต โดยอ้างว่าพระพุทธองค์อนุญาตให้ภิกษุณีมีพรรษาเกิน 12 ปีเป็นผู้บวชสามเณรี  แต่ภิกษุณีขาดเชื้อสายมานานแล้ว จึงเป็นอันเสื่อมสูญไปตามกัน ผู้ใดให้บวชผู้หญิงเป็นสามเณรี ผู้นั้นได้ชื่อว่าบัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ เลิกถอนสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว เป็นเสี้ยนหนามแก่พระศาสนา เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี จึงห้ามไม่ให้พระเณรทุกนิกาย บวชหญิงเป็นภิกษุณี เป็นสิกขมานา และเป็นสามเณรี

สามเณรีสาระและจงดี
ประกาศของพระสังฆราชทำให้เกิดแรงกดดันที่บังคับให้สามเณรีทั้งสองต้องสึก
โดยกลายเป็นเรื่องใหญ่โตในสังคมไทยยุคนั้นทันที จนเมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2472 เรื่องนี้ได้ถูกนำเข้าสู่ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาครั้งที่ 12/2472 เมื่อรัชกาลที่ 7 ได้เห็นข่าวทางหนังสือพิมพ์แล้วทรงสั่งว่า เห็นทีจะต้องจัดการอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่กรณีของสามเณรีทั้ง
2 รูปนี้ รัฐไม่สามารถที่จะหาเหตุเอาผิดทางอาญาได้ แต่หลังจากเรื่องนี้เข้าไปสู่ที่ประชุมอภิรัฐมนตรีสภาอีก 3 ครั้ง ก็ได้ความเห็นออกมาว่า ถ้ารัฐบาลไม่กระทำอะไรให้จริงจังก็จะเป็นการเสียรัศมีรัฐบาล คือหมดเครดิตนั่นเอง
7 กันยายน 2472
เจ้าหน้าที่ได้เข้าจับกุมตัวสามเณรี ศาลจังหวัดนนทบุรีตัดสินจำคุกสามเณรี เจ้าหน้าที่เรือนจำให้นักโทษหญิงใช้กำลังบังคับเปลื้องผ้าเหลืองของสามเณรีเพื่อให้สวมชุดนักโทษ ใครที่ไม่ยอมเจ้าหน้าที่ก็จะเปลื้องผ้าต่อหน้าธารกำนัลที่ศาลเมืองนนท์ หลังจากนั้นก็เอาไปขังไว้ที่เรือนจำบางขวาง ในที่สุดสามเณรีทั้งสองก็ถูกจับสึกโดยมิได้เต็มใจ ตอนมาจับมีประชาชนจำนวนมากพากันมาดู เจ้าหน้าที่มากันเต็มที่เหมือนมาจับผู้ร้ายคนสำคัญ แล้วเอาตัวไปที่ศาลเมืองนนท์ ตอนนั้นศาลสั่งทำทัณฑ์บนไม่ให้บวชอีก
ภิกษุณีวรมัย กบิลสิงห์
ข่าวความพยายามที่จะสร้างพุทธบริษัทสี่ให้ครบ หรือให้ผู้หญิงได้บวชเป็นภิกษุณีได้เป็นข่าวครึกโครมอีกครั้งในเมื่อนางวรมัย กบิลสิงห์ ภริยาของนายก่อเกียรติ ษัฏเสน อดีตสส.จังหวัดตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ได้บวชเป็นภิกษุณีที่ไต้หวัน ได้รับฉายาว่า ซือต้าเต้าฝ่าซือ เมื่อปี
2514 โดยก่อนหน้านี้นายก่อเกียรติ ษัฏเสนได้บวชที่วัดท่าตำหนัก นครปฐม ในปี 2508  และมรณภาพอย่างสงบในปี 2526


ภิกษุณีฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์
ต่อมารศ. ดร. ฉัตรสุมาลย์ กบิลสิงห์ ผู้เป็นบุตรสาว ได้เจริญรอยตามมารดา โดยบวชเป็นสามเณรี จากสยามนิกายในประเทศศรีลังกา ในปี 2544 มีฉายาว่าธัมมนันทา จำพรรษาอยู่ที่วัดทรงธรรมกัลยาณี นครปฐม ที่เดียวกับมารดาของตน พอปี 2546 ได้บวชเป็นภิกษุณีที่ประเทศศรีลังกาพอปลายปี 2555 มีหญิงไทยบวชเป็นภิกษุณีเถรวาทที่ศรีลังกาไม่ต่ำกว่า 20 รูป และมีสามเณรีไม่ต่ำกว่า 30 รูป แต่ไม่ได้รับการรับรองจากมหาเถระสมาคมของไทยตามพรบ.สงฆ์มาตรา 5 ซึ่งมีผู้แย้งว่าขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 37 ที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพในการนับถือศาสนา

เจ้าหัวแข็ง
-พระองค์เจ้าปฤษฎางค์
2394 -2477


หม่อมเจ้าปฤษฎางค์เรียนอังกฤษ
เป็นโอรสองค์สุดท้ายของพระองค์เจ้าชุมสาย อธิบดีกรมช่างศิลป์หมู่และช่างศิลา ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในรัชกาลที่ 5 เป็นนักเรียนหลวงที่โรงเรียนราฟเฟิลล์ สิงคโปร์ พร้อมกับพระอนุชาอีกหลายพระองค์ จากนั้นได้เสด็จไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2414  ในสาขาวิทยาศาสตร์ประยุคและวิศวกรรมศาตร์  ทรงสอบได้ที่หนึ่งทุกวิชา และได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีอังกฤษ  เพียง 3 ปี ก็จบเป็นวิศวกรรมบัณฑิตคนแรกของสยาม ในปี 2419 ได้เป็นทูตไทยคนแรกประจำอังกฤษ  เป็นอัครราชทูตประจำกรุงปารีส เมื่อเสด็จกลับสยามได้ฝึกงานวิศวะสาขาต่างๆ 3 ปี เป็นล่ามและเลขานุการคณะทูตไทยในอังกฤษ เป็นอัครราชทูตยุโรป 12 ประเทศ  มีบทบาทมากในกระทรวงการต่างประเทศหรือกรมท่าเดิมที่สกุลบุนนาคผูกขาดมาตลอด เพราะเป็นเจ้านายและจบวิศวะจากมหาวิทยาลัยชั้นนำเป็นคนแรก รัชกาลที่ 5 ทรงวางใจมากถึงกับเอ่ยปากว่าเป็นกระดูกสันหลังของพระองค์ ท่านได้เจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาต่างๆที่ไทยเสียเปรียบ เช่น ภาษีร้อยชักสาม ภาษีสุราต่างประเทศ   และได้รับสถาปนาเป็น พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าปฤษฎางค์       


พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เต็มยศ
ในปี 2427 กองทัพอังกฤษได้ยกเข้าตีกรุงมัณฑเลย์ของพม่าได้ และจับพระเจ้าธีบอกษัตริย์พม่าไว้ได้ ทำให้พม่าต้องสูญเสียเอกราช และถูกผนวกเข้าเป็นมณฑลหนึ่งของอินเดีย ซึ่งเป็นอาณานิคมของอังกฤษ ต่อมาเวียตนามก็ถูกฝรั่งเศสยึดครอง พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ทรงรายงานเหตุการณ์ และทรงตัดข่าวหนังสือพิมพ์ส่งมาถวายรัชกาลที่ 5 เป็นระยะๆ  
รัชกาลที่ 5 มีพระดำริว่าพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นคนเก่ง ทั้งยังเป็นทูตอยู่ในต่างประเทศถึง 13 ปี น่าจะเข้าใจความคิดของชาวตะวันตกเป็นอย่างดี และให้แนะนำวิธีการแก้ไขปัญหาภัยคุกคามนี้ ครั้งแรกพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทูลถวายว่ามิกล้ากราบบังคมทูลตามตรง รัชกาลที่ 5 ได้มีจดหมายย้ำว่าไม่ต้องเกรงกลัวที่จะแสดงความคิดเห็น ให้กราบบังคมทูลทุกอย่างเต็มกำลังสติปัญญาบรรดามี เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์จึงได้นำจดหมายและคำเสนอ ไปประชุมกับพระอนุชา 3 พระองค์ คือ พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ และข้าราชการผู้ใหญ่ในสถานทูตลอนดอน และปารีสอีก 7 คน โดยได้ตกลงถวายความเห็นร่วมกัน เป็นเอกสารยาว 60 หน้า เป็นที่มาของหนังสือกราบบังคมทูลความเห็นจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ. 103 หรือ 2428 เจ้านายและข้าราชการที่ร่วมกันลงชื่อมีความเห็นพ้องต้องกัน ว่าการปกครองของไทยล้าสมัย ไม่เข้มแข็งพอที่จะรักษาบ้านเมืองให้พ้นจากอันตรายได้ จึงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองให้ทันสมัยเยี่ยงนานาอารยประเทศ หนังสือกราบบังคมทูลเริ่มด้วยการยืนยันในความรักชาติบ้านเมืองและความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์อันสูงสุด
ฝรั่งเศสยึดเกาะกง ปี 2410
โดยมีสาระสรุปได้ว่า มีภัยภายนอกจากลัทธิจักรวรรดินิยม และภัยภายในจากการปกครองที่ไม่เหมาะสม ส่งผลให้ประเทศจักรวรรดินิยมอ้างเหตุที่จะเอาเป็นเมืองขึ้น จึงต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงวิธีการปกครองเสียใหม่ให้คล้ายคลึงกับประเทศที่เจริญแล้ว ยังมีภัยอันตรายจากขุนนางข้าราชการไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่เพื่อส่วนรวม และการใช้อำนาจสิทธิ์ขาดของกษัตริย์ การใช้คนคนเดียวกลุ่มเดียวหรือใช้คนไม่ถูกกับความสามารถ ที่เป็นอุปสรรคขัดขวางความเจริญของบ้านเมือง คณะผู้ถวายหนังสือฯ ได้เสนอหนทางแก้ไขมีใจความโดยย่อดังนี้

1. นโยบายโอนอ่อนผ่อนปรนยินยอมเสียดินแดนให้ชาติมหาอำนาจ เพื่อเอาตัวรอด มิให้ถูกยึดบ้านเมืองย่อมใช้ไม่ได้ผล เพราะพวกฝรั่งคงหาเรื่องมาอ้างได้เรื่อยๆ เป็นแค่การซื้อเวลาเท่านั้น
2. สยามไม่พร้อมที่จะต่อสู้ด้วยกำลังทหาร และไม่มีทางเอาชนะมหาอำนาจตะวันตกได้ ถ้ารบก็จะแพ้และต้องสูญเสียอีกมากมายตามแต่ประเทศผู้ชนะจะเรียกร้อง
3. แม้ว่าสยามจะมีฐานะเป็นรัฐกันชนระหว่างพม่ากับอินโดจีน แต่ก็ไม่มีประโยชน์เพราะพวกฝรั่งไม่ได้ขัดแย้งกัน สยามที่อยู่ระหว่างกลางก็จะถูกมหาอำนาจทั้ง 2 ด้านเฉือนเอาเสียดินแดนไปเรื่อยๆ
4. การปรับปรุงขนบธรรมเนียมประเพณีของสยามเท่านั้นยังไม่พอ แต่ต้องเร่งสร้างระบอบการปกครองให้ทันสมัยเหมือนกับประเทศในยุโรป เพื่อป้องกันมิให้ฝรั่งยกเอาความล้าหลังเป็นข้ออ้างในการเข้ามายึดครอง การเปลี่ยนแปลงแต่ภายนอกเพียงเพื่อสร้างภาพ จึงช่วยอะไรไม่ได้เลย
5. การทำสัญญากับต่างชาติเป็นแค่การเอาตัวรอดแบบขอไปที แต่ไม่ได้เป็นหลักประกันแต่อย่างใด
6. ยังมีชาติอื่นๆที่หวังผลประโยชน์จากสยามเช่นเดียวกัน การให้ผลประโยชน์แก่ต่างชาติจึงไม่อาจรอดพ้นจากการรุกรานได้ จึงต้องอาศัยกฎหมายระหว่างประเทศที่ให้ความเคารพต่อเอกราชและอธิปไตยของแต่ละประเทศ
7. ความเชื่อที่ว่า สยามสามารถรักษาเอกราชได้เสมอมา คงใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว มีทางเดียวคือต้องเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศให้เหมาะสม ซึ่งหนังสือกราบบังคมทูลนี้ได้ชี้ให้เห็นจุดอ่อนของระบอบการปกครองแบบเก่าไว้อย่างชัดเจน
8.
ประการสุดท้าย สยามจะอ้างกฎหมายระหว่างประเทศได้ ก็ต่อเมื่อสยามได้ยกระดับตนเองเป็นประเทศประชาธิปไตยแล้วเท่านั้น เพราะมหาอำนาจไม่ยอมรับประเทศที่ด้อยพัฒนาแต่ประการใด
สื่อฝรั่งเศสโจมตีราชสำนักสยามว่าป่าเถื่อน
ข้อเสนอของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์และคณะเป็นมุมมองของคนที่อยู่ต่างประเทศมานาน และมองจากความคิดของรัฐบาลมหาอำนาจอังกฤษและฝรั่งเศสที่แตกต่างไปจากมุมมองของรัชกาลที่
5 กล่าวคือไม่ว่าเราจะพึ่งการทูต การทหาร หรือการเป็นเมืองกันชน หรือสนธิสัญญาใดๆ ก็ไม่เพียงพอที่จะป้องกันมิให้สยามตกเป็นเมืองขี้นได้  แต่สยามต้องปฏิรูปจากภายใน การปฏิรูปที่รัชกาลที่ 5 กับพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นเทวะวงศ์วโรปการเสนาบดีกระทรวงการประเทศพยายามทำอยู่ คงไม่เพียงพอ กรุงสยามไม่มีแบบแผนและกฎหมายสูงสุดที่เรียกว่า คอนสติติวชั่นหรือรัฐธรรมนูญ ซึ่งมาจากสติปัญญาและการยอมรับของราษฎร บนความเสมอภาคที่ยุติธรรมทั่วถึงกัน  จึงต้องจัดการบริหารบ้านเมือง ตามที่ทั่วโลกเขายอมรับนับถือกัน ในเชิงโครงสร้างทั้งระบบ โดยรัฐบาลต้องมาจากการเลือกตั้งของราษฎร คือต้องเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นระบอบรัฐธรรมนูญ ขจัดการฉ้อโกงโดยคนของกษัตริย์  ส่งเสริมเสรีภาพของสื่อมวลชน ออกกฏหมายรับรองสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ให้สิทธิในการเลือกตั้งแก่ประชาชน ใช้ระบบการบริหารบ้านเมืองบนความรู้ความสามารถ มิใช่ชาติกำเนิด  ให้เกิดการมีส่วนร่วมมากขึ้น โดยมีคณะรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบกิจการบ้านเมือง
หลังจากนั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ยังได้ถวายจดหมายเป็นการส่วนพระองค์  วิจารณ์พฤติกรรมการมีเมียหลายคนของรัชกาลที่ 5  ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงโกรธเป็นอย่างมาก



พระบรมราชธิบายแก้ไขการปกครองของ ร. 5
รัชกาลที่ 5 มีจดหมายตอบ หลังจากทรงทราบความแล้ว 4 เดือน เรียกสารนี้ว่า พระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครองแผ่นดิน มีใจความสำคัญว่า
ขอให้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าพระองค์จะขัดขวางการเปลี่ยนแปลง เพราะในตอนขึ้นครองราชย์พระองค์ไม่มีอำนาจเลย ตอนนั้นเสนาบดีมีอำนาจแต่งตั้งพระเจ้าแผ่นดินมารวมทั้งรัชกาลของพระองค์ในระยะแรก  เมื่อทรงมีพระราชอำนาจมากขึ้น ก็ทรงเอาใจใส่การบริหารประเทศ แต่งานนิติบัญญัติเป็นเรื่องยากมาก พระองค์ทรงถืออำนาจไว้ทั้งหมดแล้ว ได้เรียนรู้ถึงความยากลำบากทุกข์ยากของราษฎรเป็นอย่างดี ทรงมีสายตายาวไกล ไม่ได้นั่งขี้เกียจโง่เซ่อ ไม่ได้เป็นเจ้าอย่างคางคกในกะลาครอบ คนที่ไม่ได้อยู่ใกล้ก็คงจะไม่เข้าใจ และจะไม่เป็นกษัตริย์ที่ต้องถูกบีบให้ลงจากราชบัลลังก์เหมือนอย่างยุโรป พระองค์เป็นเจ้ามาถึง 18
ปี ทรงมีความรู้มีประสบการณ์มากพอสมควร ทรงรู้ทุกเรื่องทั้งเรื่องใหญ่เรื่องเล็ก ทรงคุมอำนาจทั้งการบริหารและนิติบัญญัติ ทรงทำเองสั่งเองทุกเรื่อง ไม่ค่อยได้อาศัยเสนาบดีเลย ทรงเร่งการปฏิรูประบบราชการ แต่การปฏิรูปกฎหมายทำได้ยากมาก เพราะหาผู้ที่รู้เรื่องการปฏิรูปกฎหมายไม่ได้เลย เคยคิดจะทำ แต่ไม่เคยสำเร็จแม้แต่เรื่องเดียว


โรงเรียนมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง
ก่อนมีจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
แม้ว่าหนัสือกราบบังคมทูลจาก ลอนดอน 2428 จะมีผลเร่งรัดให้มีการ ปฏิรูป ระบบราชการในปี 2435 รวมทั้งการจัดตั้งโรงเรียน มหาดเล็ก เพื่อฝึกหัดคนเข้ารับราชการในเวลาต่อมา
แต่รัชกาลที่
5 ไม่พอใจพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เป็นอย่างมาก เพราะต้องการขอคำปรึกษาเป็นการส่วนพระองค์ แต่พระองค์เจ้าปฤษฎางค์กลับนำไปเปิดเผยแก่คนทั้งสองสถานทูตแล้วช่วยกันทำข้อเสนอยาวเหยียด ลงชื่อเป็นบัญชีหางว่าว  เหมือนรวมหัวกันมายื่นข้อเสนอเพื่อบีบพระองค์
ในปีถัดมา รัชกาลที่ 5 สั่งให้ พระเจ้าน้องยาเธอทั้ง 3 พระองค์ และพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ เสด็จกลับกรุงเทพทันที พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณในวัย 19 ปี ต้องลาจากการศึกษากลับสยาม
รัชกาลที่
5 คงจะต้องการเล่นงานพระองค์เจ้าปฤษฎางค์เพียงคนเดียว เพราะคนอื่นๆ ก็ได้รับการสนับสนุนกันทุกคน กล่าวคือ
  พระองค์เจ้ากฤษดาภินิหาร กรมหมื่นนเรศร์วรฤทธิ์ได้เลื่อนกรมเป็นกรมหลวงและกรมพระ เป็นเสนาบดีกระทรวงนครบาลและโยธาธิการตามลำดับ
พระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ
ได้รับสถาปนาเป็นกรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ และเป็นเสนาบดีกระทรวง ยุติธรรมในรัชกาลต่อๆมา
พระองค์เจ้าโสณบัณฑิต ได้เป็นกรมขุนพิทยลาภพฤฒิธาดาดูแลมณฑลพายัพ
สำหรับข้าราชการ
7 คนที่ร่วมลงชื่อนั้น
ขุนปฎิภาณพิจิตร (หรุ่น) ถึงแก่กรรมในปี 
2433
นายนกแก้ว คชเสนี ได้เป็นพระยามหาโยธา
หลวงเดชนายเวร (สุ่น ศาตราภัย) ได้เป็นพระยาอภัยพิพิธ
นายบุศย์ เพ็ญกุล เป็นจมื่นไวยวรนาถ
นายร้อยตรีสอาด สิงหเสนี เป็นพลตรีพระยาประสิทธิศัลยการ
หลวงวิเศษสาลี (นาค ณ ป้อมเพชร) เป็นพระยาไชยวิชิตสิทธิสาตรา
กัปตันเปลี่ยน หัสดิเสวี เป็นพระยาชนินทรภักดี

พระองค์เจ้าปฤษฎางค์เสด็จกลับสยามพร้อมกับพระองค์เจ้าสวัสดิโสภณ ในเดือนมกราคม  2429 เนื่องจากติดราชการแก้ไขสนธิสัญญาและการนำสยามเข้าเป็นสมาชิกสหภาพไปรษณีย์และโทรเลขสากล พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ไม่ทรงเป็นที่โปรดปรานตั้งแต่นั้นมา หลังจากนั้นก็มิได้รับราชการเป็นราชทูตอีกเลย ทำให้เสียพระทัยมาก เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ อธิบดีกรมไปรษณีย์โทรเลข ให้เข้ารับราชการเป็นอธิบดีแทนพระองค์ ได้ร่วมกันผลักดันสยามเข้าเป็นสมาชิกสหภาพสากลไปรษณีย์ และบุกเบิกการโทรเลขไทยในยุคแรก  พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ร่วมก่อตั้งกรมโยธาธิการ มีผลงานมากมาย แต่ก็ไม่ได้เป็นเสนาบดีกระทรวงโยธาธิการ ซ้ำทางการยังได้ริบบ้านของท่านคืน


พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ บวขที่ลังกา
หลังจากไปญี่ปุ่นกับเจ้าฟ้าภาณุรังษี พระองค์เจ้าปฤษฎางค์คิดจะยิงตัวตาย สุดท้ายจึงได้ขอลาออกจากราชการ ในปี 2438 เมื่อเรือแวะจอดที่ฮ่องกง ท่านก็หลบหนีไปจากคณะ โดยได้ถวายหนังสือฝากพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุวงศ์ หรือสมเด็จวังบูรพา ตำหนิรัชกาลที่ 5 ว่ามิได้ทรงรักษาสัญญาที่ได้พระราชทานไว้ และลงท้ายว่า " เกิดชาติใด ฉันใด ขออย่าให้ได้เกิดมาในราชสกุลจักรี " ทำให้รัชกาลที่ 5 ทรงกริ้วเป็นอย่างยิ่ง และมีพระราชดำรัสว่า ถ้าแผ่นดินสยามนี้ยังเป็นของพระองค์อยู่ จะไม่ให้พระองค์เจ้าปฤษฎางค์กลับมาเหยียบอีกเลย หลังจากนั้น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้ขอเข้าเฝ้าเมื่อเสด็จประพาสยุโรปครั้งที่สองผ่านลังกา แต่ก็ไม่ยอมให้เข้าเฝ้า 
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ประทับอยู่ต่างประเทศถึง 38 ปี แต่ในระยะเวลาอันสั้นที่ได้อยู่ในสยาม ก็ยังได้อุทิศเวลาให้แก่กิจการหลายอย่าง เช่น ช่วยกรมพระยาดำรงราชานุภาพตั้งโรงพยาบาลศิริราช ช่วยกรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดชจัดตั้งกรมไปรษณีย์โทรเลข ทำการสำรวจแม่น้ำต่างๆ และอ่าวไทย ร่างหลักการเพื่อจัดตั้งกรมโยธา ออกแบบโรงช่างแสง รับผิดชอบการตกแต่งพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท และจัดเตรียมการสมโภชพระนครครบร้อยปี ทรงสร้างเจดีย์ใหญ่ที่ลังกาชื่อรัตนเจติยระหว่างที่ทรงผนวชอยู่ที่ศรีลังกา
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ได้เสด็จไปกวางตุ้ง  ไซ่ง่อน พนมเปญและปีนัง ทรงทำราชการกับอังกฤษ 3 ปีเศษ และเขียนบันทึกยาวเป็นภาษาอังกฤษ วิจารณ์ระบบราชการไทยอย่างดุเดือด  จากนั้นก็ไปลังกา(ซีลอน) บวชเป็นสามเณรเมื่อปี 2439  ในสำนักท่านสุภูติมหาเถรนายก ได้ฉายาพระชินวรวงศ์ ทรงสมานฉันท์สงฆ์ 5 นิกายของลังกา และเปิดโรงเรียนสอนเด็กอนาถา จนรัฐบาลอังกฤษตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดทิปทุตตะ เป็นสังฆนายกนครโคลัมโบร่วม 20 ปี
เรื่องสำคัระหว่างทรงผนวชอยู่ที่ลังกาคือ ได้เสด็จตระเวนอินเดีย พบฝรั่งขุดเจอพระบรมสารีริกธาตุ ที่เมืองกบิลพัสดุ์ และพิสูจน์ได้ว่าเป็นของพระสมณโคดมซึ่งเป็นส่วนแบ่งของศากยวงศ์ เพราะมีคำจารึกอยู่ ท่านได้เจรจากับลอร์ดคอร์สัน อุปราชอินเดีย ขอให้รัฐบาลอังกฤษถวายให้รัชกาลที่ 5 ในฐานะที่เป็นกษัตริย์เพียงพระองค์เดียวที่เป็นพุทธมามกะอยู่ในขณะนั้น  ในที่สุดได้นำมาประดิษฐานไว้บนพระบรมบรรพตหรือภูเขาทองวัดสระเกศ  เรื่องนี้ทำให้รัชกาลที่ 5 คิดจะคืนดีและพระราชทานอภัยโทษให้อยู่แล้ว แต่มีผู้ใส่ร้ายหาว่าท่านยักยอกพระบรมสารีริกธาตุไว้เองก่อนที่อังกฤษจะถวายมายังกรุงสยาม ทำให้รัชกาลที่
5 ยิ่งโกรธหนักเข้าไปใหญ่


พระองค์เจ้าปฤษฎางค์สึกที่กรุงเทพ
เมื่อรัชกาลที่ 5 สวรรคตในปี 2453 ท่านจึงได้เดินทางกลับพระนคร เพื่อมางานพระบรมศพ โดยถูกกรมพระยาดำรงบังคับให้สึก ก่อนที่จะได้เคารพพระบรมศพ  พระองค์ก็ปฏิบัติตาม  แต่กลับไม่ได้รับสถานสงฆ์กลับคืน และห้ามบวชอีก เพราะกรมพระยาวชิรญาณวโรรสวินิจฉัยว่าพระชินวรวงศ์กระทำอทินนาทานคือลักทรัพย์ ต้องอาบัติปาราชิกตั้งแต่ครั้งแอบเอาพระบรมสารีริกธาตุที่อังกฤษขุดได้ที่อินเดียไว้กับตน โดยที่เจ้าของมิได้รู้เห็น เมื่อเสด็จงานพระบรมศพแล้วจะกราบบังคมทูลลากลับลังกาก็ไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตจากรัชกาลที่ 6 แต่นั้นมาท่านจึงไว้เครายาว จนในหมู่เจ้านาย มีความหมายว่าไว้ทุกข์ เล่ากันว่าท่านได้รับรางวัลที่ 1 ในการประกวดเครายาวซึ่งงามที่สุดในโลก


พระองค์ปฤษฎางค์ในวัยชรา ไว่้เครายาว
พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ทรงสูญสิ้นจริงๆ เพราะทรัพย์สินต่างๆก็อุทิศให้วัดที่ลังกาหมดแล้ว
จึงทรงงานรับสอนภาษาอังกฤษ แต่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่ศิษย์เอกของท่านก็ได้เป็นปราชญ์ต่อมา คือพระยาอนุมานราชธน หรือเสฐียรโกเศศ
ทรงรับเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์สยามออบเซอร์เวอร์ ได้เพียงวันเดียวก็ถูกไล่ออก เพราะบทบรรณาธิการเขียนตรงไปตรงมารุนแรง ไปโจมตีการใช้เงินฟุ่มเฟือยของรัฐบาล รัชกาลที่
6 ได้สั่งปิดโรงพิมพ์ ในข้อหาตำหนิและค้านนโยบายรัฐบาลของพระองค์ โดยให้ตำรวจเอาโซ่ไปล่ามแท่นพิมพ์ไว้  ในที่สุดท่านหมดหนทางก็เข้าไปของานทำที่กระทรวงการต่างประเทศ พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์ทรงสงสารจึงหางานให้ทำ เป็นแค่เสมียนแปลภาษาอังกฤษในกระทรวง มีเงินเดือนพอเลี้ยงชีพไปวันๆ แต่ทำงานได้เพียงปีเศษก็ถูกปลดออกเพราะไม่มีงบประมาณ ในระยะนั้นกรมหลวงราชบุรี ทรงเมตตาหาบ้านให้อยู่ที่ตรอกกัปตันบุช ณที่นั้นทรงรับจ้างสอนภาษาอังกฤษไปวันๆ ป่วยไข้เรื่อยมา ด้วยความอัตคัด ต้องตะกุยตะกายเที่ยวขอทานญาติมิตรบ้าง ไปอยู่โรงพยาบาลบ้าง แต่ท่านก็ได้มีชีวิตอยู่ทันการเปลี่ยนแปลงการปกครองที่ทรงใฝ่ฝันเรียกร้องในปี 2475 และขบถบวรเดชที่นองเลือดในปีต่อมา
นับเป็นที่น่าเสียดายในพระปรีชาสามารถของบัณฑิตคนแรกแห่งสยาม ที่สามารถแก้ปัญหาทางวิศวกรรมได้ง่าย แต่ทว่าการแก้ปัญหาสังคมนั้นต่างกันมาก เพราะมนุษย์มีอารมณ์รัก โลภ โกรธ หลง มีความความเชื่อ ฯลฯ แตกต่างกันไป โดยเฉพาะเมื่อท่านบังอาจไปแนะนำสั่งสอนรัชกาลที่ 5 กษัตริย์ไทยผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ยอมให้ใครมาเก่งเกินหน้าเกินตา
จากนั้นทรงเดินทางไปอาศัยในประเทศญี่ปุ่น จนสิ้นพระชนม์ในวัย 84 ปี เมื่อวันที่ 16 มีนาคม 2477 สองปีหลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครอง และ 50 ปีหลังจากได้กราบบังคมทูลถวายร่างรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย


พระหัวดื้อ
- ครูบาศรีวิชัย
2421-2481


ครูบาศรีวิชัย สงฆ์ล้านนา เชียงใหม่
เชียงใหม่ถูกลดบทบาทลงเป็นเพียงศูนย์กลางของมณฑลพายัพในสมัยรัชกาลที่ 5  มีข้าหลวงจากส่วนกลางมาประจำ ด้านพุทธศาสนามีกรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นผู้ดำเนินการจัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์ทั่วราชอาณาจักร แต่ในขณะนั้นสงฆ์ในล้านนาได้มีรูปแบบการปกครองเฉพาะของตน ในระบบครูกับอาจารย์ แนวนิกายเชียงใหม่ผสมกับนิกายยอง กุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวกแขวนลูกปะคำ ถือไม้เท้าและพัด ตามธรรมเนียมลังกา
ครูบาศรีวิชัยซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้น อยู่ในตำแหน่งหัวหมวดพระอุปัชฌาย์ ตามระบบการปกครองสงฆ์ล้านนาเดิม แต่ขัดกับพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.
121/2446 ที่บัญญัติให้พระอุปัชฌาย์ต้องได้รับการแต่งตั้งจากส่วนกลางเท่านั้น โดยให้เจ้าคณะแขวงเป็นผู้คัดเลือก และเสนอชื่อต่อเจ้าคณะในกรุงเทพฯ พระในล้านนามีบางส่วนยอมรับอำนาจของสงฆ์กรุงเทพฯ อย่างเต็มรูป ซึ่งเป็นพระที่ได้สมณศักดิ์ได้ปกครองพระในท้องถิ่นให้ปฏิบัติตามกฎหมายของส่วนกลาง มีพระบางส่วนที่ไม่พอใจแต่ก็ไม่ต่อต้าน และมีพระกลุ่มต่อต้านที่ไม่ยอมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของกรุงเทพฯ
ครูบาศรีวิชัยไม่ยอมขึ้นกับส่วนกลาง โดยยังยึดถือการปฏิบัติแบบล้านนา ทำให้ถูกเพ่งเล็งจากส่วนกลาง เนื่องจากเป็นพระที่ชาวบ้านเลื่อมใสศรัทธามาก จึงนำไปสู่การจับกุมครูบาศรีวิชัย เป็น
3 ช่วง ในระยะเวลานานกว่า 30 ปี

การจับกุมในช่วงแรก
2451-2453

 
ครูบาศรีวิชัยและญาติโยมสานุศิษย์
เนื่องจากมีชาวบ้านและชาวเขานำบุตรหลานไปฝากฝังให้ครูบาศรีวิชัยบวชเณรและพระ เจ้าคณะแขวง และนายอำเภอลี้ ได้นำกำลังตำรวจเข้าจับกุม ไปขังไว้ที่วัดเจ้าคณะแขวงลี้
4 คืน แล้วส่งให้เจ้าคณะจังหวัดลำพูนไต่สวน แต่ไม่ปรากฏความผิด
ต่อมาเจ้าคณะแขวงลี้เรียกครูบาให้นำลูกวัดไปประชุมรับทราบระเบียบกฎหมายใหม่จากนายอำเภอและเจ้าคณะแขวงลี้ แต่ครูบาและลูกวัดไม่ได้ไปประชุม เจ้าคณะแขวง สั่งให้ตำรวจไปจับกุมส่งให้เจ้าคณะจังหวัดลำพูนไต่สวน และขังไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญไชย เมืองลำพูน  
23 วัน
ในปีเดียวกัน เจ้าคณะแขวงลี้ สั่งให้นำลูกวัดไปประชุม แต่ครูบาและลูกวัดก็ไม่ได้เข้าร่วมประชุมอีก จึงมีหนังสือฟ้องไปที่เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ครูบาจึงถูกจับขังไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญไชย
1 ปี และปลดจากหัวหมวดวัด มิให้เป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่อไป และถูกจับขังต่ออีก 1 ปี
ครูบาศรีวิชัยถูกจับกุมเนื่องจากกระด้างกระเดื่อง ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าคณะแขวง ไม่สนใจพระราชบัญญัติปกครองคณะสงฆ์ฉบับใหม่ เพราะท่านเน้นการปฏิบัติธรรม ยึดมั่นในพระธรรมวินัยที่พระอุปัชฌาย์สั่งสอนมา


การถูกจับกุมในระยะที่สอง 2454-2464

คณะศิษย์และญาติโยมผู้เลื่อมใสศรัทธา
แม้ว่าครูบาต้องโทษในช่วงแรกถึงสามครั้ง แต่ชาวบ้านกลับมีความเลื่อมใสศรัทธามากยิ่งขึ้น มีการเล่าลือถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ต่อๆกันไป เจ้าคณะแขวงลี้และนายอำเภอแขวงลี้ ได้เข้าแจ้งต่อเจ้าคณะจังหวัดลำพูน ตั้งข้อกล่าวหาว่า ท่านซ่องสุมคฤหัสถ์ นักบวช เป็นก๊กเหล่า และใช้เวทมนต์โหงพราย เจ้าคณะจังหวัดสำพูนได้ออกหนังสือถึงท่านในวันที่
12 มกราคม  2462  ให้ออกจากจังหวัดลำพูนภายใน 15 วัน แต่ท่านแย้งว่าท่านไม่ได้ทำผิดพระวินัย เมื่อเอาผิดไม่ได้ จึงเลิกราไปพักหนึ่ง
ต่อมาเจ้าจักรคำขจรศักดิ์
ผู้ครองนครลำพูน เรียกท่านพร้อมลูกวัดเข้าเมืองลำพูน ภิกษุสามเณรและคฤหัสถ์ได้จัดขบวนแห่แหนท่านอย่างเอิกเกริกใหญ่โต หม่อมเจ้าบวรเดชอุปราชมณฑลพายัพสั่งย้ายท่านไปเชียงใหม่ ให้พักที่วัดเชตวัน แต่ก็ยังมีผู้คนมาอุปัฏฐากและมานมัสการเป็นจำนวนมาก เจ้าคณะเชียงใหม่และเจ้าคณะมณฑลพายัพจึงส่งท่านไปรับการไต่สวนพิจารณาคดีที่กรุงเทพฯ คณะสงฆ์ ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่ รวม 25 รูป ร่วมกันฟ้องท่านรวม 8 ข้อ เช่น ตั้งตัวเป็นพระอุปัชฌาย์ทั้งที่ไม่มีใบอนุญาต กระด้างกระเดื่องต่อพระราชบัญญัติสงฆ์ และใช้คำกล่าวอ้างของชาวบ้านที่ว่า ท่านมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เป็นพวกผีบุญ แสดงอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์  ท่านโต้แย้งข้อกล่าวหาที่ว่าท่านบวชเณรบวชพระให้ชาวบานก็เพราะพ่อแม่เขาเอามามอบให้ แต่ถ้าคณะปกครองสงฆ์อยากให้สึกก็จับสึกได้เลย  ที่ว่าท่านเดินบนผิวน้ำก็เพราะท่านมีเรือจึงนั่งเรือไปบนน้ำได้  ที่ว่าฝนตกแล้วท่านไม่เปียกก็เพราะท่านกางร่ม จึงไม่เปียกฝน ฯลฯ


กรมหมื่นชินวรณ์ศิริวัฒน์ ว่าที่สังฆราช
กรมหมื่นชินวรสิริวัฒน์เจ้าคณะใหญ่หนกลางว่าที่พระสังฆราช ผู้ได้รับบัญชาจากกรมหลวงวชิรญาณวโรรส ให้มาเป็นประธานในการสอบ ถึงกับยกนิ้วให้ บอกว่าพระศรีวิชัยชนะแล้ว ให้ยกเลิกข้อหา และให้ความเห็นว่าท่านเป็นพระที่อ่อนโยน ไม่ใช้คนกระด้าง ไม่เจ้าเล่ห์เจ้ากล เป็นพระที่รู้ธรรมวินัย ส่วนการตั้งตัวเป็นพระอุปัชฌาย์เองนั้น ก็เพราะด้วยไม่รู้กฎหมาย สุดท้ายจึงปล่อยครูบาศรีวิชัยกลับภูมิลำเนา เป็นการลดความไม่พอใจของประชาชนที่นับถือท่านเป็นอย่างมาก ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักในสังคมเมืองมากยิ่งขึ้น โดยท่านยังดำรงรักษาเอกลักษณ์ความเป็นล้านนาแบบดั้งเดิม โดยไม่สะทกสะท้านต่ออำนาจรัฐส่วนกลาง แม้จะถูกฟ้องถูกบังคับจับกุม ท่านก็ยังยิ้มอยู่ได้ พระผู้ใหญ่บางคนจึงอิจฉาเพราะมีคนมาทำบุญกับท่านทุกวัน
การจับกุมในช่วงที่สาม 
2478-2479

นายกพระยาพหลร่วมพิธีลงจอบสร้างถนนขึ้นดอยสุเทพ
ในช่วงที่ครูบาศรีวิชัยสร้างถนนขึ้นสู่พระธาตุดอยสุเทพ
มีสาธุชนร่วมกันสร้างถนนวันละไม่ต่ำกว่า 5,000 คน แล้วเสร็จภายใน 6 เดือน โดยไม่ได้ใช้งบประมาณของรัฐ ตามสัจจะวาจาของท่าน ในปี 2478 ขณะก่อสร้างทางอยู่นั้น มีพระสงฆ์ในเชียงใหม่รวม 10 แขวง 50 วัด ขอลาออกจากการปกครองของคณะสงฆ์ส่วนกลาง เพื่อไปขึ้นอยู่ในปกครองของครูบาศรีวิชัยแทน

พิธีเปิดถนนขึ้นดอยสุเทพ
เหตุการณ์ได้ลุกลามไปทุกหัวเมือง รวมวัดต่างๆ ที่ขอแยกตัวออกไปถึง
90 วัด พระสงฆ์ในจังหวัดต่าง ๆ ก็เริ่มเคลื่อนไหวขอแยกตัว ทำให้ครูบาศรีวิชัยถูกส่งตัวไปกรุงเทพฯ เพื่อระงับเหตุบานปลาย พระสงฆ์จากวัดที่ขอแยกตัว ถูกสั่งให้ไปมอบตัว พระที่บวชโดยครูบาศรีวิชัยก็โดนคำสั่งให้สึก


รูปปั้นครูบาศรีวิชัย วัดดอยติ ลำพูน
เมื่อครูบาถูกควบคุมตัวอยู่ที่กรุงเทพฯ ก่อให้เกิดความไม่พอใจเป็นอย่างยิ่งในหมู่พระสงฆ์และฆราวาสในหมู่หัวเมืองที่รักและเคารพในตัวท่าน จนกระทั่งในวันที่ 21 เมษายน 2479 ครูบาจึงได้ให้คำรับรองต่อคณะสงฆ์ว่าจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติการปกครองสงฆ์ทุกประการ เพื่อตัดปัญหาความขัดแย้งมิให้ขยายบานปลายออกไป และได้เดินทางกลับลำพูนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม ปีเดียวกัน
ครูบาศรีวิชัย มรณภาพเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2481
ที่วัดบ้านปาง อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน อายุ 60 ปี ………



ไม่มีความคิดเห็น: