ฟังเสียงพร้อมดนตรี :
http://www.4shared.com/mp3/zT1-fMOS/Heritage_of_Absolute_Monarchy_.htmlhttp://www.mediafire.com/?vq0x8z4015yu4k7
รู้ทันเจ้าของคอกม้า
ตอน มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ( Absolute Monarchy )
คือ ระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง และ มีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ กษัตริย์คือกฎหมาย กล่าวคือ คำสั่ง และความต้องการต่างๆของกษัตริย์ ล้วนมีผลเป็นกฎหมาย กษัตริย์มีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและพลเมืองอย่างอิสระ โดยไม่มีกฎหมายหรือองค์กรตามกฎหมายใดๆ จะห้ามปรามหรือยับยั้งได้ ถือว่ากษัตริย์คือองค์รัฏฐาธิปัตย์ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้มอบความไว้วางใจทั้งหมดให้กับกษัตริย์ โดยคาดหวังว่ากษัตริย์ต้องทรงคุณธรรม สืบสายเลือดที่สูงส่งและได้รับการเลี้ยงดูฝึกฝนมาอย่างดีตั้งแต่เกิด
แต่เดิมไม่ปรากฏคำว่าสมบูรณา ญาสิทธิราชย์ในภาษาไทย แต่เกิดขึ้นจากการแปลคำว่า absolute monarchy โดยการสมาสศัพท์ดังต่อไปนี้
สมบูรณ คือ บริบูรณ์ครบถ้วน เด็ดขาดสิ้นเชิง
อาญา คือ อำนาจ หรือ โทษ
สิทธิ คือ อำนาจอันชอบธรรม
ราชย คือ ความเป็นกษัตริย์
http://www.4shared.com/mp3/zT1-fMOS/Heritage_of_Absolute_Monarchy_.htmlhttp://www.mediafire.com/?vq0x8z4015yu4k7
รู้ทันเจ้าของคอกม้า
ตอน มรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ ( Absolute Monarchy )
คือ ระบอบการปกครองที่มีกษัตริย์เป็นผู้ปกครอง และ มีสิทธิ์ขาดในการบริหารประเทศ กษัตริย์คือกฎหมาย กล่าวคือ คำสั่ง และความต้องการต่างๆของกษัตริย์ ล้วนมีผลเป็นกฎหมาย กษัตริย์มีอำนาจในการปกครองแผ่นดินและพลเมืองอย่างอิสระ โดยไม่มีกฎหมายหรือองค์กรตามกฎหมายใดๆ จะห้ามปรามหรือยับยั้งได้ ถือว่ากษัตริย์คือองค์รัฏฐาธิปัตย์ เพราะระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ได้มอบความไว้วางใจทั้งหมดให้กับกษัตริย์ โดยคาดหวังว่ากษัตริย์ต้องทรงคุณธรรม สืบสายเลือดที่สูงส่งและได้รับการเลี้ยงดูฝึกฝนมาอย่างดีตั้งแต่เกิด
แต่เดิมไม่ปรากฏคำว่าสมบูรณา ญาสิทธิราชย์ในภาษาไทย แต่เกิดขึ้นจากการแปลคำว่า absolute monarchy โดยการสมาสศัพท์ดังต่อไปนี้
สมบูรณ คือ บริบูรณ์ครบถ้วน เด็ดขาดสิ้นเชิง
อาญา คือ อำนาจ หรือ โทษ
สิทธิ คือ อำนาจอันชอบธรรม
ราชย คือ ความเป็นกษัตริย์
เมื่อรวมกันแล้ว จึงมีความหมายว่า
ฐานะความเป็นกษัตริย์อันทรงสิทธิอำนาจเด็ดขาดทั้งปวงหมายความถึง
การที่กษัตริย์เป็นเจ้าชีวิตเหนือไพร่ฟ้าทุกคน
พระองค์สามารถให้โทษหรืออภัยโทษแก่ผู้ใดก็ได้ในพระราชอาณาจักรของพระองค์เอง
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของไทย
ประเทศไทยเคยปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ พระมหากษัตริย์มีอำนาจสิทธิ์เด็ดขาดในการปกครองแผ่นดิน
ดังคำกล่าวที่ว่า
" พระบรม ราชานุภาพของพระเจ้า แผ่นดิน
กรุงสยามนี้ไม่ได้ปรากฏในกฎหมายอันหนึ่งอันใด ด้วยเหตุที่ถือว่าเป็นที่ล้นพ้น
ไม่มีข้อสั่งอันใดจะเป็นผู้บังคับขัดขวางได้ " โดยมีจุดเริ่มต้นของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในไทย ตั้งแต่การขึ้นครองราชย์ครั้งที่ 2 ของรัชกาลที่ 5 เมื่อทรงบรรลุนิติภาวะ อายุครบ 20 ปี ในปี 2416
โดยมีการปฏิรูประบอบกองทัพ เกิดกองทหารหน้า ต่อมาพัฒนาเป็นกระทรวงกลาโหม มีโครงสร้างกองทัพในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างการเมืองการปกครองอีก 2 ด้านหลัก คือการจัดโครงสร้างด้านการคลัง
ยกเลิกการจัดการเงินแบบเก่า ที่เคยใช้พวกเจ้าภาษีนายอากร และระบบส่วยสาอากรผ่านเจ้านายและขุนนางที่รั่วไหลมาก มาสู่การเก็บภาษีในลักษณะรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยตราพระราชบัญญัติตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ 2416 และกรมพระคลังมหาสมบัติ 2418 ทำให้กษัตริย์ไม่ต้องรับส่วยสาอากรผ่านเจ้าเมืองและขุนนางศักดินาที่มีมาแต่เดิม
ในด้านการปกครอง มีการเปลี่ยนจากระบอบเจ้าเมือง / เจ้า ประเทศ ราช
ของท้องถิ่นมาเป็นระบบ ข้าหลวงจากส่วนกลาง โดยในปี 2435 มีการตั้งกระทรวงขึ้นใหม่
12 กระทรวง และโอนการปกครองหัวเมืองทั้งหมดมาขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย
สิ้นสุดระบบจตุสดมภ์ และระบบอัครมหาเสนาบดีคือ สมุหนายกและสมุหกลาโหม
จัดระบบการบริหารราชการส่วนภูมิภาคขึ้นใหม่
เรียกว่าเทศาภิบาล แบ่งเป็นมณฑล เมือง อำเภอ เปลี่ยนผ่านอำนาจจากการแบ่งปันพื้นที่และผลประโยชน์แบบศักดินาสวามิภักดิ์
มาสู่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างบุคลากรขึ้นมารองรับระบอบการปกครองบริหารราชการแบบใหม่อย่างเร่งด่วน
เรียกว่าข้าราชการใหม่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
และเป็นศูนย์รวมของรัฐชาติสมัยใหม่นี้แทนที่ระบบความภักดีในเจ้านายเดิมแบบศักดินาที่ถูกขจัดไป
รัชกาลที่ 5 ก่อตั้งโรงเรียนฝึกหัดวิชาข้าราชการฝ่ายพลเรือน ขึ้นภายในพระบรมมหาราชวังหรือวัดพระแก้ว
เมื่อปี 2442 ณ ตึกยาว ข้างประตูพิมานชัยศรี และให้เอาพระเกี้ยว
มาเป็นเครื่องหมายประจำโรงเรียน เพื่อฝึกหัดนักเรียนสำหรับรับราชการปกครองขึ้นในกระทรวงมหาดไทย
ซึ่งนักเรียนที่จบการศึกษาจากโรงเรียนแห่งนี้จะได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรับราชการใกล้ชิด
ตามประเพณีที่ข้าราชการจะทำงานในกรมมหาดเล็กก่อน จึงให้ชื่อเป็นโรงเรียนมหาดเล็ก
ต่อมารัชกาลที่ 6 จึงสถาปนาขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบิดา คือรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2460 เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย มีเป้าหมายสำคัญในการผลิตคนมารับใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และรวบอำนาจการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ส่วนกลางในเวลานั้น
ระบอบสมบูร ณา ญาสิทธิ ราชย์ มีอายุราว 50 ปี ระหว่าง 2425 - 2475 นับจากปีที่ รัชกาลที่ 5
มีพระราชอำนาจอย่างเต็มที่แล้วเริ่มปฏิรูปครั้งใหญ่ จนถึงเปลี่ยนแปลงการปกครอง
2475 โดยข้าราชการทหารและพลเรือนกลุ่มหนึ่งได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจจากรัชกาลที่ 7 และเปลี่ยนแปลงการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยที่พระมหากษัตริย์ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ
โดย มีสาเหตุมาจากอิทธิพลของแนวความคิดประชาธิปไตยแบบตะวันตกโดยเฉพาะในหมู่ข้าราชการที่ได้รับการศึกษามาจากยุโรป
ประกอบกับวิกฤติทางการคลังทำให้รัฐบาลต้องตัดรายจ่ายในเงินเดือนของข้าราชการฝ่ายต่างๆ
รวมไปถึงความไม่พอใจเจ้านายบางพระองค์ คณะผู้ก่อการ ซึ่งเรียกตนเองว่าคณะราษฎร
ได้จัดตั้งรัฐบาลขึ้น โดยมีพระยามโนปกรณ์ นิติธาดา เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรก ได้ประกาศให้พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว
27 มิถุนายน 2475 และรัฐธรรมนูญ 10
ธันวาคม 2475 ใช้ระบบรัฐสภา
มรดกทรราชย์ทายาทอสูร
แต่ระบอบสมบูร ณาญา สิทธิราชย์ยังไม่จบสิ้นอย่างที่คิด เพราะมันได้สร้างฐานรากหลายๆด้านแก่สังคมการเมืองไทยมาจนถึงปัจจุบัน
เป็นฐานรากของปัญหาเรื้อรังหลายอย่างที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ แต่แก้ไขยากมากเพราะเรื้อรังมานาน
ทั้งๆที่คณะราษฎรได้ล้มเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างเป็นทางการไปแล้ว แต่คณะราษฎรเองกลับสืบทอดมรดกหลายอย่างของระบอบสมบูรณาญา
สิทธิราชย์ในเวลาต่อมา
จุดประสงค์ของคณะราษฎรในการเลิกล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นก็เพื่อยกเลิกรูปแบบการปกครองที่ถือว่าล้าหลังและป่าเถื่อน เพื่อให้สยามได้ปกครองแบบประชาธิปไตย
แต่ฝ่ายนิยม ระบอบ กษัตริย์กลับต้องการรักษาระบอบสมบูร ณาญา สิทธิราชย์เพื่อปกป้องสถานะอำนาจที่พวกเขาเคยมี
โดยอ้างคุโณปการของสถาบันกษัตริย์ในการปกปักษ์รักษาจารีตประเพณี อ้างว่ากษัตริย์ทรงเป็นนักพัฒนาที่มีความทันสมัย
คอยให้คำแนะนำแก่รัฐบาล ให้ความดูแลทุกข์สุขแก่พสกนิกร และเป็นศูนย์รวมใจมาช้านาน
แต่ในขณะเดียวกันพระราชอำนาจอันทรงพลานุภาพที่ถูกปกป้องไว้ด้วยเกราะกำบังของกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น
แสดงถึงพระราชอำนาจอันยิ่งใหญ่ที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย
การยกย่องสรรเสริญพระราชอำนาจของกษัตริย์เป็นการลดความสำคัญของสถาบันการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง
ฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ได้ร่วมมือกับนักประวัติศาสตร์และนักวิชาการอนุรักษ์นิยมรวมทั้งสื่อที่ทรงอิทธิพลในการสร้างภาพด้านลบต่อการเมืองของไทยว่าเกิดจากบรรดานักการเมืองที่ไร้ความรับผิดชอบและไร้จริยธรรม
โดยไม่ได้กล่าวถึงการเข้ามาแทรงแซงของสถาบันกษัตริย์ กลายเป็นวัฒนธรรมการเมืองไทยแบบใหม่ที่อ้างสิทธิโดยชอบธรรมในการเข้าแทรกแซงและครอบงำทางการเมืองของกษัตริย์อย่างต่อเนื่อง
ทั้งการอาศัยเครือข่ายที่เกาะเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์
ทั้ง ราชนิกุล องคมนตรี และผู้ปฏิบัติงานรับใช้กษัตริย์ รวมถึงฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ซึ่งได้ปวารณาตัวที่จะปกป้องสถาบันกษัตริย์ในทุกภาคส่วน
ของสังคม เช่น กองทัพ หน่วยงานราชการ พรรคการฝ่ายเมืองฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ รวมกันเป็นเครือข่ายของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นเครือข่ายอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย โดยมีกษัตริย์ภูมิพลอยู่บนส่วนยอดสุด มีฝ่ายบริหารที่นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตผู้บัญชาการกองทัพและอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี โดยอาศัยความคิดความเชื่อทางสังคมวัฒนธรรมและทางการเมือง ที่ฝังรากยึดโยงอยู่กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งสิ้น
แต่การโฆษณา ชวนเชื่อให้สถาบัน กษัตริย์เป็นแบบอย่างของวิถีชีวิตคนไทยนั้น
โดยเฉพาะการสรรเสริญเยินยอพระเกียรติให้มีความศักดิ์สิทธิ์เยี่ยงเทวราชอย่างไม่หยุดหย่อน
ตลอดรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล
ส่งผลให้เกิดสายใยที่แนบแน่นระหว่างกษัตริย์ภูมิพลกับสังคมและการเมือง
ที่กลายเป็นเหมือนเรือนจำทางความคิด
ที่กักขังไม่ให้คนไทยสามารถแสดงความคิดเห็นที่ต่างไปจากกรอบความคิดคลั่งเจ้าบ้ากษัตริย์
ความคิดที่แตกต่างกลายเป็นสิ่งต้องห้ามเนื่องจากมันอาจคุกคามต่อสถานภาพของสถาบันกษัตริย์
คนที่ละเมิดข้อห้ามจะถูกลงโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี ด้วยข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพซึ่งมีบทลงโทษรุนแรงที่สุดในโลก
จากการโฆษณาชวนเชื่อว่าประเทศไทยจำเป็นต้องเลือกรับเฉพาะแนวคิดที่เหมาะสมกับประเทศไทยเท่านั้น
ประชาธิปไตยนั้นจะต้องถูกนำมาปรับเปลี่ยนให้เข้ากับความเชื่อ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยดั้งเดิม
เพื่อรักษาเอกลักษณ์ที่เรียกว่าความเป็นไทย โดยมีองค์ประกอบหลักคือ ชาติ ศาสนาพุทธ
และพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นวาทกรรมที่ได้สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 และถูกใช้โฆษณามาตลอด
เพื่อธำรงรักษาระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ให้ยืนนานต่อไป
แม้ว่าไทยจะประกาศใช้การปกครองแบบประชา ธิปไตย
แต่ก็เป็นประชา ธิปไตยแค่เปลือกนอกเท่านั้น แก่นแท้ก็ยังคงมีอุดมการณ์แบบกษัตริย์นิยมที่ฝังรากไว้
จึงเป็นแค่เหล้าเก่าในขวดใหม่
ในชื่อของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข คือ
แม้จะมีรูปแบบที่เป็นประชาธิปไตยแต่กษัตริย์ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญทางการเมือง รวมถึงการสร้างประวัติศาสตร์ที่เชิดชูกษัตริย์ราชวงศ์จักรีว่าทรงพระปรีชาสามารถในการปกป้องผืนแผ่นดินไทย
และให้ขับไล่ผู้ไม่เห็นด้วยทางการเมืองออกจากประเทศ
ด้วยข้อหาว่าเนรคุณต่อสถาบันกษัตริย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่ตั้งคำถามถึงสถานภาพและบทบาทที่ควรจะเป็นของสถาบันกษัตริย์ไทยในระบอบประชาธิปไตย
กษัตริย์ภูมิพลมิได้เป็นแค่ประมุขของประเทศ แต่ได้ถูกยกให้เป็นเสมือนเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่ใครจะล่วงละเมิดมิได้
ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างภาพให้เป็นพ่อของแผ่นดิน จากภาพยนต์ โฆษณา การเสด็จเยือนท้องถิ่นทุรกันดารที่ออกฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก
เพื่อสร้างความผูกพันเชิงบุญคุณกับประชาชน พร้อมทั้งยกบทบาทให้กษัตริย์ภูมิพลเป็นเหมือนอัศวินม้าขาวผู้แก้วิกฤติการณ์ของชาติซึ่งพระองค์มีส่วนที่ก่อให้เกิดวิกฤตินั่นเอง
แต่กษัตริย์ภูมิพลที่ใกล้ชิดกับประชาชนหรือเป็นพ่อของประชาชนและกษัตริย์ภูมิพลที่เป็นเสมือนเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเองอย่างมาก
มีการฟื้นฟูธรรมเนียมปฏิบัติเก่าแก่ที่ดูโบราณและดักดาน
เช่น การหมอบคลาน ที่ได้ถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ปี 2416 ในสมัยรัชกาลที่
5 ซึ่งเป็นปู่ของกษัตริย์ภูมิพล เพราะทรงเห็นว่าการหมอบคลานเป็นเรื่องที่ป่าเถื่อนและล้าสมัย
การฟื้นฟูการหมอบคลานก็คือความต้องการที่จะให้มีการยกสถานะของกษัตริย์ให้เป็นเทพเจ้าในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากกว่าการเป็นกษัตริย์ผู้ทรงคุณธรรมในระบอบประชาธิปไตย
การที่ฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์และกษัตริย์ภูมิพลลงมาเล่นการเมืองเสียเอง ย่อมนำไปสู่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์
เมื่อใดก็ตามที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ก็มักถูกมองว่าเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ นับตั้งแต่นายกทักษิณ นายกสมัคร นายกสมชาย และรวมถึงนายกยิ่งลักษณ์ โดยฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ได้อาศัยการใช้มาตรา 112 ในการห้ำหั่นกำจัดคู่ต่อสู้ โดยในปี 2548 มีคดีที่เกี่ยวกับกฏหมายหมิ่นกษัตริย์ 33 คดี ในปี 2550 เพิ่มเป็น 126 คดี ปี 2552 เพิ่มเป็น 164 คดี ในปี 2553 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 478 คดี ในสมัยรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
รูปแบบของมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
รัชกาลที่ 5 ขึ้นครองราชย์ครั้งที่ 2 ในปี 2416 |
หน่วยทหารมหาดเล็ก สมัยรัชกาลที่ 5 |
โดยมีการปฏิรูประบอบกองทัพ เกิดกองทหารหน้า ต่อมาพัฒนาเป็นกระทรวงกลาโหม มีโครงสร้างกองทัพในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ รวมทั้งมีการปรับโครงสร้างการเมืองการปกครองอีก 2 ด้านหลัก คือการจัดโครงสร้างด้านการคลัง
หอรัษฎากรพิพัฒน์เดิม ในพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว |
ยกเลิกการจัดการเงินแบบเก่า ที่เคยใช้พวกเจ้าภาษีนายอากร และระบบส่วยสาอากรผ่านเจ้านายและขุนนางที่รั่วไหลมาก มาสู่การเก็บภาษีในลักษณะรวบอำนาจเข้าสู่ส่วนกลาง โดยตราพระราชบัญญัติตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ 2416 และกรมพระคลังมหาสมบัติ 2418 ทำให้กษัตริย์ไม่ต้องรับส่วยสาอากรผ่านเจ้าเมืองและขุนนางศักดินาที่มีมาแต่เดิม
กรมพระยาดำรงตรวจราชการมณฑลอุดร 2449 |
ประชุมเทศาภิบาล กระทรวงมหาดไทย 2439 |
โรงเรียนมหาดเล็กในพระบรมมหาราชวัง วัดพระแก้ว |
ต่อมารัชกาลที่ 6 จึงสถาปนาขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบิดา คือรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2460 เป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย มีเป้าหมายสำคัญในการผลิตคนมารับใช้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และรวบอำนาจการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ส่วนกลางในเวลานั้น
ทหารและพลเรือนร่วมทำการยึดอำนาจ 24 มิถุนายน 2475 |
มรดกทรราชย์ทายาทอสูร
นายสุเมธ ตันติเวชกุล ประธานสภามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ |
จุดประสงค์ของคณะราษฎรในการเลิกล้มระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นก็เพื่อยกเลิกรูปแบบการปกครองที่ถือว่าล้าหลังและป่าเถื่อน เพื่อให้สยามได้ปกครองแบบประชาธิปไตย
นายสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา นักโฆษณาสถาบันกษัตริย์ |
18 มิย. 2553 กองทัพประชาชนรวบรวมรายชื่อถวายคืนพระราชอำนาจ |
เครือข่ายผู้สนับสนุนระบอบเผด็จการดักดานแห่งชาติ |
ของสังคม เช่น กองทัพ หน่วยงานราชการ พรรคการฝ่ายเมืองฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ และกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ รวมกันเป็นเครือข่ายของสถาบันกษัตริย์ ซึ่งเป็นเครือข่ายอำนาจที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศไทย โดยมีกษัตริย์ภูมิพลอยู่บนส่วนยอดสุด มีฝ่ายบริหารที่นำโดยพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อดีตผู้บัญชาการกองทัพและอดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรี โดยอาศัยความคิดความเชื่อทางสังคมวัฒนธรรมและทางการเมือง ที่ฝังรากยึดโยงอยู่กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งสิ้น
25 เดือน 5 ปี 2555 เสด็จทุ่งมะขามหย่อง หวังเอาฤกษ์เอาชัย |
นายกทักษิณแสดงความจงรักภักดีเสมอมา แต่ไร้ผล |
เสด็จพื้นที่ทุรกันดาร กลายเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ |
แต่กษัตริย์ภูมิพลที่ใกล้ชิดกับประชาชนหรือเป็นพ่อของประชาชนและกษัตริย์ภูมิพลที่เป็นเสมือนเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงส่ง มันเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเองอย่างมาก
ทรงให้สุนัขเดินนำหน้า เพื่อให้ประชาชนหมอบกราบ |
การที่ฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์และกษัตริย์ภูมิพลลงมาเล่นการเมืองเสียเอง ย่อมนำไปสู่ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางผลประโยชน์
เมื่อใดก็ตามที่ประเทศไทยมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ก็มักถูกมองว่าเป็นภัยต่อสถาบันกษัตริย์ นับตั้งแต่นายกทักษิณ นายกสมัคร นายกสมชาย และรวมถึงนายกยิ่งลักษณ์ โดยฝ่ายนิยมระบอบกษัตริย์ได้อาศัยการใช้มาตรา 112 ในการห้ำหั่นกำจัดคู่ต่อสู้ โดยในปี 2548 มีคดีที่เกี่ยวกับกฏหมายหมิ่นกษัตริย์ 33 คดี ในปี 2550 เพิ่มเป็น 126 คดี ปี 2552 เพิ่มเป็น 164 คดี ในปี 2553 ได้เพิ่มขึ้นเป็น 478 คดี ในสมัยรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
รูปแบบของมรดกสมบูรณาญาสิทธิราชย์
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีมรดกที่ลึกซึ้งกว้างไกล เพราะมันคือ ระบอบอำนาจที่ให้กำเนิดและหล่อหลอมรัฐไทยในช่วงขณะที่ประเทศไทยเคลื่อนตัวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เป็นยุคที่มีการวางรากฐานโครงสร้างของรัฐสมัยใหม่ของไทยที่ก่อรูปขึ้นและกลายเป็นรากฐานของสังคมไทยสมัยใหม่ในเวลาต่อมา
จุดมุ่งหมายของพวกพันธมาร ก็คือระบอบเผด็จการดักดานของกษัตริย์ภูมิพล |
พุทธศาสนากับระบอบ
สมบูรณาญาสิทธิราชย์
วชิรญาณภิกขุ บวช 2367-2394 |
รัชกาลที่ 6 ต้นตำรับ คาถา ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ |
พุทธศาสนาถูกใช้เป็นเครื่องมือเพื่อความมั่นคงแห่งชาติ เพื่อประกันความสัมพันธ์ทางสังคมตามลำดับชั้นของบุญบารมี ประชาชนไทยไม่เคยได้เป็นพลเมืองที่เท่าเทียมกัน
รัชกาลที่ 6 เน้นการทำหน้าที่ แต่ไม่พูดถึงสิทธิเสรีภาพ |
พระพุทธองค์แสดงกาลามสูตรต่อชาวกาลามะ แคว้นโกศล |
ภาพวาดเหตุการณ์รุกรานของฝรั่งเศส ทำให้รัชกาลที่ 5 ต้องยอมเสียดินแดน |
พลโทผิน ชุณหะวัณ ผู้นำรัฐประหาร 2490 |
เช้า14 ต.ค. 2516 ฝ่ายเจ้าสร้างสถานการณ์หน้าสวนจิตรลดา |
ปัญหาความขัดแย้งในตัวเองเป็นดังที่รัชกาลที่ 7 มีบันทึกเมื่อปี 2469 ว่า ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เหมาะสมกับประเทศสยามตราบเท่าที่เรามีพระเจ้าแผ่นดินที่ดี … ทว่าแนวความคิดนี้เป็นแต่เพียง ทฤษฎี .... ไม่แน่นอนว่าเราจะมีพระเจ้าแผ่นดินที่ดีอยู่เสมอ ...
ปัญหาในตัวของสถาบันกษัตริย์เอง ก็คือ บทบาทสาธารณะกับสถานะศักดิ์สิทธิ์แตะต้องไม่ได้ เป็นสิ่งที่ไปด้วยกันไม่ได้ การจะบังคับให้ประชาชนเห็นแต่ด้านดีของกษัตริย์ที่ยังมีบทบาททางการเมือง ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครหรือสถาบันใดที่สามารถมีบทบาททางการเมืองโดยไม่ต้องขัดแย้งในทางสาธารณะ ถ้าจะคงสถานะศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่รักของประชาชนได้ยาวนานก็ต้องไม่มีบทบาท ทางการเมืองอย่างสิ้นเชิง การที่พวกนิยมกษัตริย์อยากให้ประเทศไทยมีกษัตริย์แบบรัชกาลที่ 5 หรือพระปิยมหาราช ให้เป็นสถาบันกษัตริย์ไปนานๆ โดยไม่ขึ้นกับตัวบุคคล ก็เป็นสิ่งที่ฝืนกับความเป็นจริงดังที่รัชกาลที่ 7 ก็ได้เคยมีบันทึกไว้ ความสำเร็จของรัชกาลที่ 5 ก็มิได้เกิดจากแบบแผนของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตามการโฆษณาชวนเชื่อแต่อย่างใด ฝ่ายเจ้าสมัยนั้นอยากให้พระเจ้าแผ่นดินทุกพระองค์มีบทบาทสถานะที่โดดเด่น เชิดชูให้รัชกาลทื่ 6 เป็นพระมหาธีรราชเจ้าหรือกษัตริย์นักปราชญ์ แต่บรรดาเจ้านายแวดล้อมพระองค์กลับละทิ้งพระองค์ก่อนประชาชนเสียอีก ซ้ำร้ายผลของการโฆษณาความสำเร็จที่ล้นเหลือเกินจริงของรัชกาลที่ 5 กลับเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระบรมโอรสาธิราชซึ่งเป็นลูกหลานล้มเหลวตั้งแต่ยังไม่ขึ้นครองราชย์ การที่ฝ่ายเจ้าประโคมแซ่ซร้องสรรเสริญรัชกาลที่ 5 ว่ายิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ไทยที่มีมาก่อน แม้แต่คณะราษฎรก็ยังต้องเทิดทูน ก็ยิ่งทำให้พระราชโอรสมีโอกาสน้อยลงทุกทีที่จะเทียบเคียงความสำเร็จ เท่ากับปิดประตูอนาคตของกษัตริย์องค์ต่อๆไปเสียเอง
รัชกาลที่ 6 และบรรดาหนุ่มๆผู้ใกล้ชิด |
พระองค์เจ้าปฤษฏางค์ ผู้เสนอการปฏิรูปรูปต่อรัชกาลที่ 5 |
จรัสพงษ์ สุรัสวดี หรือซูโม่ตู้ ดูถูกว่าคนรากหญ้าเหมือนลิงบาบู |
7 ธค. 2555 นายกยิ่งลักษณ์กราบพระเทพ สันนิบาตสโมสร ทำเนียบรัฐบาล |
กองทัพที่ยังรับใช้สมบูรณาญาสิทธิราชย์
การปกครองระบอบศักดินาจตุสดมภ์ เวียง วัง คลัง นา สมัยอยุธยาสืบเนื่องมาจนถึงยุครัตนโกสินทร์ อาศัยระบอบไพร่เป็นฐานพลังการผลิตที่สำคัญและจำเป็นต่อระบบเศรษฐกิจการเมืองของสยาม เพราะเป็นแรงงานด้านโยธาให้แก่ราชการ เป็นฐานอำนาจทางการเมืองให้มูลนายต้นสังกัด เป็นกำลังในการผลิตภาคการเกษตรกรรม และเป็นกำลังในการรบยามบ้านเมืองเกิดศึกสงคราม ครั้นเมื่อสยามมีการขยายตัวในด้านเศรษฐกิจและสังคมในสมัยรัชกาลที่ 5 จากการติดต่อสัมพันธ์ค้าขายกับชาติตะวันตก ระบบการผลิตแบบเลี้ยงตัวเองเปลี่ยนแปลงไปสู่การผลิตเพื่อขาย นำไปสู่พัฒนาการของระบบเงินตรา ระบบการเงินการคลัง ในรูปแบบทางเศรษฐกิจสมัยใหม่ ทำให้ระบอบไพร่กลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาบ้านเมือง เพราะไพร่ต้องสังกัดมูลนายจึงย้ายที่อยู่ไม่ได้ เป็นการขัดขวางการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ระบอบไพร่ยังทำให้ขุนนางและเจ้านายเชื้อพระวงศ์มีกำลังทหารส่วนตัวที่เรียกว่าไพร่สม ที่ยากแก่การควบคุม
กรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ หรือวังหน้า โอรสของพระปิ่นเกล้า |
ในสมัยรัชกาลที่ 6 ได้สร้างอุดมการณ์ชาตินิยม เพื่อตอบโต้การปกครองอื่นที่ไม่ใช่ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ โดยกล่าวหาว่าเป็นเรื่องของคนที่ไม่ใช่คนไทย เพราะเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นชาติไทย
รัชกาลที่ 6 ใช้ชื่ออัศวพาหุ เขียนบทความ |
อำนาจตุลาการ
ในมือของระบอบกษัตริย์
กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธฺ์ รพีพัฒนศักดิ์ โอรส ร. 5 พระบิดานักกฎหมายไทย |
-เป็นอิสระในทางเนื้อหา คือ พิพากษาคดีไปตามกฎหมาย ตามความรู้ในวิชาชีพ ไม่มีใบสั่งจากใคร
-เป็นอิสระจากอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือตุลาการด้วยกันเอง คือ ศาลไม่จำเป็นต้องผูกพันกับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่เคยตัดสินมาแล้ว หากไม่เห็นด้วย หรือมีเหตุผลดีกว่า และต้องเป็นอิสระจากอิทธิพลทางสังคม ไม่ตัดสินตามกระแส ไม่อ้างสถานการณ์ความวุ่นวาย ไม่อ้างกระแสพระราชดำรัสหรือพระบรมราโชวาทใดๆของกษัตริย์ภูมิพล
ในต่างประเทศถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าไม่เห็นด้วย ก็สามารถเดินขบวนประท้วงคำพิพากษาได้ เพราะเจ้าของอำนาจมีสิทธิที่จะแสดงออกได้ว่ามีความคิดเห็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าถูกกดทับ หรือปิดปากในนามของการละเมิดอำนาจศาล
ผู้พิพากษาต้องเข้าเฝ้าถวายสัตย์ปฏิญาณก่อนทำหน้าที่ |
19 กค.2549 ประธาน3ศาล นัดหารือตามบัญชากษัตริย์ภูมิพล |
แม้ว่า พรบ. ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม 2543 มาตรา 26 วรรค 3 จะระบุว่าคนสมัครสอบคัดเลือกเป็นผู้พิพากษาจะต้องเป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่กลับปรากฏตามข่าวว่า นายชาญชัย ลิขิตจิตถะประธานศาลฎีกา นายอักขราทร จุฬาลักษณ์ ประธานศาลปกครองสูงสุดและนายจรัล ภักดีธนากุลปลัดกระทรวงยุติธรรม ได้ไปร่วมประชุมล้มรัฐบาลทักษิณที่บ้านของนายปีย์ มาลากุลพระสหายของกษัตริย์ภูมิพล เมื่อเดือนพฤษภาคม 2549 โดยที่สังคมไม่เอาเรื่อง และไม่เคยมีใครออกมารับผิดชอบแถลงข้อเท็จจริงแต่อย่างใด
สารพัดเรื่องโฆษณาชวนเชื่อ
ของกษัตริย์ภูมิพล
1. คนไทยทุกคน
รักกษัตริย์ภูมิพลจริงหรือ
พวกพันธมารคลั่งเจ้า ขณะยึดสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ |
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ยังมีประชาชนจำนวนไม่น้อยที่ยังรักและภักดีต่อกษัตริย์ภูมิพลและราชวงศ์ แต่ก็คงมีประชาชนจำนวนไม่น้อยเช่นกันที่อาจจะไม่รัก หรือไม่ได้เชิดชูบูชากษัตริย์ภูมิพลโดยเฉพาะเมื่อกษัตริย์ภูมิพลได้แสดงบทบาทเป็นหัวหน้าคณะปฎิกูลการปกครองเข้ายึดอำนาจของปวงชนเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
10 เม.ย. 2554 นายจตุพรโดนข้อหาหมิ่นกษัตริย์ เพราะพูดความจริงบนเวทีปราศัย |
2. กษัตริย์ภูมิพลเป็นผู้สร้างความสงบ
และความมั่นคง ให้กับสังคมไทยจริงหรือ
รัชกาลที่ 8 ก่อนสวรรคต |
กษัตริย์ภูมิพลให้กำลังใจพวกลูกเสือชาวบ้าน ในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 |
3. กษัตริย์ภูมิพลส่งเสริมความเป็นธรรมทางสังคม
ผ่านโครงการหลวงต่างๆ
เพราะรักประชาชน ใช่หรือไม่
อ้างว่าเป็นเจ้าของทฤษฎีแก้มลิง สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมและฝนแล้ง |
เครือข่ายนิยมเผด็จการดักดานพยายามโฆษณาสร้างภาพให้เห็นว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นแบบอย่างของการใช้ชีวิตที่ประหยัดมัธย้สถ์เป็นที่สุดและยังอ้างหลักการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อกดทับให้ประชาชนมุ่งเน้นแต่การอดออมและยอมรับระบอบที่ไม่เป็นธรรม
ฟอร์บรายงานว่ากษัตริย์ภูมิพลมีทรัพย์สิน 30 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2551 ลดลงจากปีก่อน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ |
4. กษัตริย์ภูมิพลก็คือผู้มีบารมี
หรือมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญนั่นเอง
ให้พวกกบฏเข้าเฝ้าออกทีวี กลางดึก 19 ก.ย. 2549 เพื่อสยบการต่อต้าน |
กล่าวหาว่าการเลือกตั้งไม่เป็นประชาธิปไตย 25 เมย. 2549 ให้ศาลหาทางล้มรัฐบาล |
ลงนามแต่งตั้งพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์เป็นนายกรัฐมนตรี |
การก้าวขึ้นสู่อำนาจของ พตท. ทักษิณ ชินวัตร ในปี 2544 ถูกมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อระบอบราชาธิปไตย จนต้องมีการใช้สถาบันกษัตริย์เป็นเครื่องมือทำลายล้างทางการเมืองซึ่งกลับส่งผลให้สถาบันกษัตริย์เสื่อมลงอย่างมาก ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขแบบที่เป็นอยู่นี้ มีความเหมาะสมต่อประเทศไทยน้อยลงไปทุกที เพราะมรดกของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกับคุณค่าสมัยใหม่ของระบอบประชาธิปไตย และมีแต่นำไปสู่ความขัดแย้งทางด้านหลักการที่หนักหน่วงรุนแรงยิ่งขึ้นทุกที เช่น ความขัดแย้งระหว่างอำนาจของกษัตริย์ภูมิพลและอำนาจของรัฐสภาและรัฐบาลที่มาจากเสียงข้างมากของประชาชน การรัฐประหารในปี 2549 ที่แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์ภูมิพลเป็นหัวหน้าในการล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนไทยจำนวนมากได้ตระหนักและเข้าใจว่าประเทศไทยไม่เคยก้าวข้ามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างแท้จริง ในขณะที่ระบอบประชาธิปไตยของไทยเราต้องถูกสกัดขัดขวางมาโดยตลอด
9 กค. 2555 เรียกองคมนตรีมาเน้นเรื่องโครงการพระราชดำริ |
วชิราลงกรณ์มกุฏราชกุมารตลอดกาล |
………………..
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น