วันพฤหัสบดีที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เดอะคิงชื่อสมชาย ตอนที่ 2: กำเนิดพูมลำพอง Xomxai 02



ฟังเสียง :    http://www.mediafire.com/?2n7ryn5rup1dmp6
เดอะคิงชื่อสมชาย
ตอนที่
2 กำเนิดพูมลำพอง


 
พูมลำพองคะนองเดช หรือทารกสงขลา เกิดในฤดูกาลที่หนาบเหน็บในวันที่ 5 ธันวาคม 2470 ที่บรูคลิน ย่านของผู้มีอันจะกินชานเมืองบอสตัน มลรัฐแมสซาจูเส็ตส์ สหรัฐอเมริกา ขณะที่ธิปกผู้เป็นอากำลังดิ้นรนต่อสู้กับกระแสการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์


ธิปกรับช่วงบัลลังก์มาได้ไม่นานหลังจาก 15 ปีที่เป็นหายนะในสมัยราวุธผู้เป็นพี่ชาย ท้องพระคลังว่างเปล่า ผู้คนไม่พอใจต่อการผูกขาดอำนาจของวงศ์จักราวี อำนาจของกษัตริย์ในยุโรปถูกลิดรอน ราชบัลลังก์ของรัสเซียและจีนถูกโค่น
จักรพงษ์ ได้มีจดหมายถึงราวุธผู้เป็นพี่ เมื่อเดือนเมษายน 2460 เพื่อเตือนสติว่าการที่พระเจ้าซาร์แห่งรัสเซียถูกล้มล้างจากราชบัลลังก์ ก็เป็นเพราะไม่ยอมปรับตัวและให้ความร่วมมือกับกลุ่มก้าวหน้าต่างๆ ซึ่งกำลังมีอำนาจมากขึ้น ในที่สุดพระเจ้าซาร์ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อฝ่ายก้าวหน้า

ธิปกยังพอมีเวลาที่จะคิดถึงทารกในบอสตันที่อยู่ห่างไกล โดยได้ตั้งชี่อให้หลานที่เพิ่งเกิด ว่า พูมลำพอง คะนองเดช แปลว่า พลังใต้ดิน อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ หรือ มือที่มองไม่เห็น และเป็นเจ้าไทยเพียงหนึ่งเดียวที่เกิดในสหรัฐอเมริกา

พ่อของพูมลำพองคือมหิดร ผู้เป็นน้องชายต่างแม่ของธิปก
มหิดร เกิดในปี 2435 แก่กว่าธิปกหนึ่งปี เป็นลูกคนที่ 69 ของจุฬากับสว่าง เมียคนที่สอง มหิดรจบการศึกษานายร้อยทหารเรือจากเยอรมันและกลับไปรับตำแหน่งสูงในกองทัพเรือ ในปี 2460 ไปศึกษาแพทย์ที่ฮาร์เวิร์ดและได้รักกับสังวอน นักศึกษาพยาบาล สามัญชนเชื้อสายจีน เกิดที่ฝั่งธนบุรี ย่านวัดอนงคารามในครอบครัวยากจนเมื่อปี 2443 เมื่อกำพร้าได้ไม่กี่ปี ก็ถูกส่งตัวเข้าวังเมื่ออายุได้เจ็ดขวบ เพื่อไปรับใช้สว่างแม่ของมหิดร ซึ่งต่อมาได้ส่งหญิงสาวสมองดีคนนี้ไปเรียนที่วิทยาลัยซิมมอนส์ บอสตัน สหรัฐอเมริกา แล้วทั้งคู่ก็รักกันที่เมืองบอสตัน ทั้งๆที่ทางวังคัดค้านการแต่งงานอย่างเป็นทางการกับคนนอกวงศ์ที่ไม่ได้เป็นญาติกัน แต่เนื่องจากสังวอนเป็นคนโปรดของสว่าง และมหิดรก็คงไม่มีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์เพราะอยู่ถึงลำดับที่หก ทั้งสองจึงได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการแล้วเธอได้รับฐานันดรที่แม้จะค่อนข้างต่ำแต่ก็เป็นที่เคารพนับถือพอสมควร โดยเรียกว่าหม่อมสังวอน

หลังจากได้แต่งงานในปี 2463 ทั้งสองเดินทางไปทั่วทั้งในสหรัฐฯ ยุโรป ตะวันออกกลาง และเอเชีย ทั้งเพื่อการศึกษา ท่องเที่ยวและเพื่อปฏิบัติภารกิจ มีลูกคนแรกเกิดที่ลอนดอนเมื่อเดือนพฤษภาคม 2466 เป็นลูกสาวชื่อว่า กัญญาวัฒนี

มหิดรมักป่วยออดๆแอดๆ เหมือนพี่น้องของตนส่วนใหญ่ อาจเป็นเพราะการแต่งงานกันเองในหมู่ญาติที่เชื้อสายใกล้ชิดกัน เมียทั้งสามของจุฬาที่เรียกว่าแม่ใหญ่ แม่กลางและแม่เล็ก ก็ล้วนเป็นน้องสาวต่างแม่ของจุฬา ลูกหลายคนต่างเสียชีวิตตั้งแต่ยังเป็นเด็กหรืออายุยังไม่มาก

ในปี 2468 ครอบครัวมหิดรย้ายไปอยู่ที่ไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน เพื่อให้มหิดรได้เข้ารับการรักษาตัว วันที่ 20 กันยายน 2468 สังวอนคลอดลูกชาย ชื่อว่า อานาน ในอีกสองเดือนต่อมา เมื่อราวุธเสียชีวิตโดยไม่มีลูกชายเป็นทายาท ช่วงห้าปีก่อนหน้านั้น พี่ชายต่างมารดาของมหิดรที่เป็นลูกเจ้าก็เสียชีวิตไปถึงสามคน
ธิปกก็ไม่มีลูกชาย มหิดรจึงขยับมาอยู่ในลำดับที่สองของการสืบบัลลังก์ หลังจากพิธีฉลองบัลลังก์ของธิปก ในปี 2469 มหิดรก็กลับไปฮาร์เวิร์ด เพื่อเรียนแพทย์ เพราะอยากนำการแพทย์สมัยใหม่มาสู่สยาม
ปลายปี 2470 ธิปกประกาศให้ลูกชายทุกคนของพี่และน้องชายของตนได้เป็นองค์เจ้าและมีโอกาสขึ้นครองบัลลังก์ ไม่ว่าจะมีแม่เป็นใคร ทั้งนี้เพื่อความอยู่รอดของวงศ์จักราวี พี่น้องทั้งหกคนของมหิดรมีลูกชายเพียงแค่สองคน ทั้งยังไม่ใช่เลือดแท้ของวงศ์จักราวี คือ จักรพงษ์ที่เสียชีวิตไปแล้วมีลูกชาย คือ จุลจักรพงษ์ ซึ่งมีแม่เป็นคนรัสเซีย



จุฑาธุชที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ก็มีลูกชายคนเดียวคือวรานนท์ ซึ่งมีแม่เป็นหญิงรับใช้ และไม่ได้แต่งงานอย่างเป็นทางการ
ธิปกจึงต้องยกฐานะของบรรดาลูกเจ้าทั้งหลายเพื่อให้มีองค์เจ้า 11 คน ซึ่งรวมถึงลูกชายทั้งสองของมหิดร

แต่มหิดรไม่อยากให้ลูกชายของตนเป็นเจ้า เมื่อมหิดรป่วยหนักในปี 2471 ได้ขอร้องให้ฟรานซิส บีแซร์ช่วยกันไม่ให้ลูกต้องขึ้นเป็นกษัตริย์ มหิดรมีชีวิตอยู่จนจบจากฮาร์เวิร์ด และกลับมากรุงเทพฯ ผู้คนมองว่ามหิดรไม่หนักแน่น มักจะป่วยอยู่บ่อยๆ แต่ยังมีผู้สนับสนุนจำนวนมาก เพราะไม่ชอบบริพัตรที่คุมกองทัพ มหิดรป่วยหนักจึงกลับกรุงเทพฯ และเสียชีวิตในวันที่ 24 กันยายน 2472 ขณะมีอายุ 37 ปี

หม่อมสังวอนผู้เป็นหม้ายได้รับฐานันดรใหม่ว่า หม่อมสังวอน มหิดร ณ อยุธยาเพื่อให้ดูว่ามีชาติสกุลอยู่บ้าง โดยมีสว่างให้ความสนับสนุนเต็มที่เพื่อให้หลานชายของตนได้เป็นผู้สืบบัลลังก์ ครอบครัวมหิดรพักอยู่ที่วังสระปทุมอันกว้างขวางของสว่าง ในคฤหาส์นริมคลองแสนแสบ มีทั้งพยาบาล คนรับใช้ และครูฝรั่ง สังวอนเลี้ยงดูลูกด้วยตนเอง ปี 2473 อานานเข้าเรียนที่โรงเรียนคาธอลิคมาแตร์เดอี และสองปีต่อมาพูมลำพองก็ไปเรียนด้วย ดูเหมือนว่าเจ้าฟ้าอานานจะสืบทอดความอ่อนแอจากพ่อและญาติผู้ใหญ่ โดยมักจะเจ็บป่วยอยู่บ่อยๆ ทำให้ต้องขาดเรียน หมอบอกว่าเป็นโรคเลือดจาง 


ชีวิตในวังสระปทุมเริ่มมีความยากลำบากในปี 2474-2475 หม่อมสังวอนไม่สามารถทนอากาศร้อนของกรุงเทพได้ การเมืองก็ทวีความตึงเครียด เศรษฐกิจตกต่ำของสหรัฐฯส่งผลให้รัฐบาลประสบปัญหาขาดเงิน รัฐบาลของเจ้าไปรีดภาษีเอากับชนชั้นกลาง แต่ปกป้องผลประโยชน์ของพวกเจ้า เมื่อธิปกแก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ ข้าราชการพลเรือนและทหารกลุ่มหนึ่งก็ทำการยึดอำนาจในนามคณะราษฎร แม้ว่าธิปกต้องยอมรับระบอบรัฐธรรมนูญ แต่พวกเจ้ายังไม่ยอมแพ้และวางแผนจะฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์กลับคืนมาอีก
เดือนเมษายน 2476 ครอบครัวมหิดรก็เก็บข้าวของ และย้ายไปอยู่เมืองโลซานสวิตเซอร์แลนด์เพื่อความปลอดภัย จนถึงปี 2488 เป็นเวลากว่าสิบปี
ธิปกได้มีจดหมายประกาศสละบัลลังก์ ลงวันที่ 2 มีนาคม 2477 แต่ธิปกไม่ได้เสนอรัชทายาทอย่างเป็นทางการ โดยให้รัฐบาลเป็นผู้เลือกเอง คณะรัฐมนตรีของพหลก็ไม่รู้จะจัดการอย่างไรเพราะไม่มีใครรู้เรื่องกฎมณเฑียรบาล แต่ปรีดีกลับเป็นคนที่รู้เรื่องกฎมณเฑียรบาลและเสนอให้บัลลังก์ตกมาเป็นของลูกแม่กลางหรือสว่างคือมหิดร แต่เสียชีวิตไปก่อน จึงเลื่อนมาสู่ลูกชาย คืออานาน ตอนนั้นยังมีวรานนท์ อายุ 12 ปี แต่แม่ของวรานนท์เป็นเพียงนางรับใช้ ที่มิได้แต่งงานกับจุฑาธุชอย่างเป็นทางการ แต่การแต่งงานของมหิดรและสังวอน ได้รับความเห็นชอบจากวัง 

หลังจากประชุมกันอยู่ 5 วัน ครม.ก็สรุปให้อานานได้นั่งบัลลังก์ ในวันที่ 7 มีนาคม 2477  เพราะยังเป็นเด็ก ควบคุมง่าย อายุเพียง 9 ปี อานานได้รับอิทธิพลจากการสละบัลลังก์ของธิปก จึงคิดที่จะสละบัลลังก์และเลิกล้มระบอบกษัตริย์ เพราะเห็นว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชน และผู้ปกครองประเทศควรมาจากการเลือกตั้ง โดยตนจะลงเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย และเห็นด้วยกับความคิดในการปรับปรุงประเทศของปรีดี ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการ ทำให้พวกเจ้าไม่สบายใจ และยังมีข่าวลือว่าสังวอนที่เป็นหม้ายสาวจะแต่งงานใหม่รวมถึงเรื่องชู้สาว

สังวอนมุ่งมั่นในการควบคุมเลี้ยงดูลูกเอง โดยให้อยู่ในสวิตเซอร์แลนด์นานที่สุดทำให้รัฐบาลและราชสำนักมีปัญหามาก เพราะรัฐบาลต้องการให้เจ้าอยู่ในประเทศเพื่อความสะดวกในการควบคุม ขณะที่ราชสำนักต้องการกันสังวอนออกไป เพราะเป็นสามัญชนต้องส่งลูกให้ทางวังเลี้ยงแทน เพื่อประกันว่าจะได้โตขึ้นมาเป็นเจ้าขนานแท้ แต่สังวอนได้รับการสนับสนุนจากผู้อาวุโสสูงสุดคือสว่าง ที่ไว้วางใจให้ลูกสะใภ้เป็นผู้ดูแลหลานทั้งสามคนของเธอ

สกุลมหิดรอยู่อย่างสบายในโลซานน์ประเทศสวิส เมื่อไปถึงในปี 2476 ทั้งสามคนเข้าโรงเรียนกินนอนพักในอพาร์ทเมนต์ ใกล้ใจกลางเมือง มีหญิงรับใช้คนไทยหนึ่งคนและผู้หญิงสวิสอีกหนึ่งคน มีผู้หญิงจากวังอีกหลายคนอาศัยอยู่ใกล้ๆ
ลูกชายทั้งสองมักจะอยู่ด้วยกัน แต่อานานมีปัญหาสุขภาพ มักจะเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆอยู่เสมอ แต่พูมลำพองหรือเล็กแทบไม่เคยป่วยเลย สังวอนต้องคอยเคี่ยวเข็ญอานานที่ไม่ใคร่เอาใจใส่การเรียน ขณะที่พูมลำพองเป็นเด็กขยันเข้าใจถึงความสำคัญของการศึกษา
สังวอนอ้างสิทธิ์ของความเป็นแม่ว่าอานานมีสุขภาพไม่แข็งแรงและไม่เหมาะกับอากาศร้อน โดยส่งลูกเข้าโรงเรียนในสวิสที่มีชื่อเสียงและก้าวหน้าทันสมัย สอนภาษาฝรั่งเศส อังกฤษ ละติน และเยอรมัน โดยแทบไม่มีเวลาเรียนภาษาไทยที่บ้าน

สังวอนยังขู่รัฐบาลว่าถ้าบังคับกันมากจะให้ลูกชายสละบัลลังก์   สว่างจึงบอกให้ทั้งรัฐบาลและวังถอยออกมา แล้วส่งลูกสาว คือวไลยอลงกรณ์และลูกเลี้ยงคือรังสิตให้ไปดูแลครอบครัวมหิดร ระหว่างนั้น ธิปกยังปักหลักอยู่นอกเมืองลอนดอน คิดวางแผนกับฝ่ายนิยมเจ้า เพื่อจะคืนกลับสู่อำนาจโดยอ้างว่าเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย

แต่รัฐบาลที่กรุงเทพมีเสถียรภาพในทางการเมืองและเศรษฐกิจมากขึ้น ฝ่ายนิยมเจ้าถูกปลดออกจากอำนาจ รัฐบาลได้ยกเลิกพิธีโกนจุกที่ยิ่งใหญ่ และพิธีแรกนาขวัญ รัฐบาลเข้าควบคุมดูแลพระสงฆ์เองและสร้างวัดเพิ่ม และนำรัฐธรรมนูญเข้าไปเป็นสิ่งที่ต้องเคารพและปกป้อง

ให้วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 10 ธันวาคม 2475 เป็นวันชาติ มีการเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่กว่าวันเกิดของเจ้า หลังการสละบัลลังก์ รัฐบาลแต่งตั้งคนที่ไม่มีพิษสงสามคนเป็นคณะผู้สำเร็จราชการเพื่อดูแลเจ้า
รัฐบาลจัดการย้ายโอนกิจราชสำนักเดิมมาไว้ในระบบราชการ กรมพระคลังข้างที่ หรือกรมพระคลังมหาสมบัติถูกโอนไปสังกัดกระทรวงการคลัง แบ่งทรัพย์สินเป็นส่วนกษัตริย์ ของรัฐ และของส่วนพระองค์
พวกเจ้าที่ฝากทรัพย์สินไว้กับกรมพระคลังข้างที่กับธนาคารไทยพาณิชย์ (แบ๊งค์สยามกัมมาจล) กลัวว่าจะถูกรัฐบาลยึด ก็รีบพากันมาถอนคืนไป

คำแถลงของธิปกขณะสละบัลลังก์อ้างว่าตนมีกรรมสิทธิในทรัพย์สิน ที่ถือครองอยู่ก่อนเป็นเจ้าในปี 2468 แต่รัฐบาลไม่รับฟังและกล่าวหาว่าธิปกยักยอกทรัพย์สินของรัฐไปไว้ยุโรป โดยได้นำทรัพย์สินออกไปเป็นจำนวนมาก ทั้งเงินสดและอัญมณีที่สะสมกันมาหลายรัชกาล เมื่อธิปกปฏิเสธที่จะให้คืนทรัพย์สินทั้งหมด รัฐบาลจึงยึดทรัพย์สินส่วนใหญ่ของราชวงศ์ที่ยังเหลืออยู่ในกรุงเทพ ทำให้ประธานผู้สำเร็จราชการ คือออสการ์จาตุรนต์ฆ่าตัวตาย ในเดือนสิงหาคม 2478 เพราะทนไม่ไหวต่อแรงกดดันจากทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายนิยมเจ้า ตำแหน่งประธานผู้สำเร็จราชการจึงตกไปอยู่กับอาทิตย์ 

เดือนพฤศจิกายน 2480 มีการเปิดโปงแผนฆ่าปรีดีและป. ของฝ่ายเจ้า ในปี 2481 มีความพยายามเอาชีวิตป.ถึงสามครั้ง ในช่วงนี้ รัฐบาลยืนกรานให้อานาน กลับจากสวิสเพื่อทำพิธีครองบัลลังก์ ในที่สุดสังวอนก็ยอมพาลูกชายทั้งสองกลับสยาม โดยลงเรือเมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2481 อานานและพูมิพองใช้เวลาเกือบหนึ่งเดือนบนเรือ เพื่อเรียนภาษาไทยและมารยาทในวัง เรือเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาจากอ่าวไทยเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2481
มีประชาชนนับแสน พากันมาต้อนรับและส่งเสียงโห่ร้องเบียดเสียดกันตามถนนและสองฝั่งแม่น้ำ

เมื่อเทียบท่าที่มหาราชวัง วัดพระแก้ว อานานได้รับการต้อนรับจากผู้นำรัฐบาลและราชสำนัก แต่ไม่มีพิธีครองบัลลังก์ที่ได้วางกำหนดไว้ เพราะอานานยังไม่รู้ภาษาไทยหรือบาลีดีพอที่จะท่องคำสวด และกล่าวคำสัตย์สาบานในพิธีกรรม ที่ต้องใช้เวลาหลายวัน ครอบครัวมหิดร ลงเรือกลับยุโรปวันที่ 13 มกราคม 2482

หนึ่งสัปดาห์ก่อนครอบครัวมหิดรจะมาถึง ป.รอดชีวิตจากการลอบสังหารอีกครั้งหนึ่ง เขาจึงบีบให้พหลลาออก แล้วป.ก็เป็นนายกเอง ไม่นานหลังจากพวกมหิดรกลับสวิสแล้ว ป.ก็จัดการกวาดล้าง จับกุมเจ้า ขุนนางและทหาร 5 คนที่อยู่ฝ่ายทรงสุรเดช คู่แข่งของตนในคณะราษฎร ด้วยข้อหาวางแผนโค่นล้มป. บางคนถูกประหารชีวิตทันที ที่เหลือถูกไต่สวนข้อหาทรยศ สมคบคิดโค่นล้มรัฐบาลของอานาน เพื่อจะนำธิปก กลับมาเป็นเจ้าอีก 

ผู้ที่ถูกจับมีเชื้อเจ้าหลายคน ที่สำคัญคือรังสิตลูกชายจุฬา ที่กำพร้าแม่ ซึ่งเป็นลูกเลี้ยงของสว่าง ที่ดูแลอานานและครอบครัวมหิดรตลอดการมาเยือนกรุงเทพ 
รังสิตถูกจับเข้าคุก ถูกถอดยศลดชั้น และถูกพิพากษาประหารชีวิต แต่ได้รับการช่วยชีวิตไว้ โดยสังวอนขู่จะให้อานานสละบัลลังก์ ปลายปี 2482 รังสิตจึงได้รับการลดโทษ ถูกส่งไปจำขังบนเกาะตะรุเตา พร้อมกับอีก 21 คน และมี 18 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชั้นผู้น้อยถูกประหารชีวิต ป. สั่งให้มีการสร้างอนุสาวรีย์ใหญ่โตเพื่อฉลองรัฐธรรมนูญ ต่อมาเรียกว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บนใจกลางถนนราชดำเนิน

. พยายามริดรอนอำนาจและบารมีของเจ้า โดยจำกัดกรอบในการเดินทาง และการทำกิจกรรมต่างๆ ยึดวังและทรัพย์สินที่กรุงเทพฯ ของธิปก ห้ามหน่วยราชการแขวนภาพธิปก ให้แขวนแต่ภาพของ ป.แทน เมื่อวไลยอลงกรณ์ ลูกสาวของสว่างเสียชีวิตในปี 2482 รัฐบาลป. ปฏิเสธที่จะจ่ายเงินค่างานศพให้ และเมื่อธิปกเสียชีวิตจากอาการหัวใจล้มเหลว ที่อังกฤษในปี 2484 ไม่มีแม้กระทั่งการนำศพกลับมาประกอบพิธี 

หนึ่งปีผ่านไป ป. หมดความยำเกรงในคำขู่ของสังวอน โดยแสดงชัดว่าพร้อมจะหนุนให้อาทิตย์ทิพอาภาผู้สำเร็จราชการ ขึ้นนั่งบัลลังก์แทน ประกาศให้ราวุธ เป็นเจ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งสยาม และสร้างอนุสาวรีย์ให้ที่สวนลุม ในปี 2482 ประกาศให้ 24 มิถุนายน เป็นวันชาติ มีการเฉลิมฉลองใหญ่โตเพื่อแสดงชัยชนะเหนือวงศ์จักราวี
ในวันเดียวกัน ป.ได้ประกาศนโยบายรัฐนิยม เสมือนโองการจากเจ้า เปลี่ยนชื่อประเทศให้ฟังดูทันสมัยขึ้นจากสยามเป็นไทยแลนด์ บ่งบอกความแตกหักกับวงศ์จักราวี
สั่งให้ประชาชนแสดงความเคารพ ต่อเพลงชาติและธงชาติ แต่ไม่ใช่ต่อกษัตริย์

.ได้ขจัดความเป็นเจ้าอย่างอื่นๆอีก โดยการยกเลิกบรรดาศักดิ์ต่างๆ เช่น หลวง พระยา เจ้าพระยา ตัดการเชื่อมโยงของวังกับสามัญชนและข้าราชการที่มีอิทธิพล สั่งปรับภาษาไทยให้ง่ายขึ้นด้วยการเลิกใช้พยัญชนะที่มักจะใช้กับชื่อและศัพท์ที่เกี่ยวกับเจ้าอย่างเลิศหรู
และขจัดการใช้ภาษาที่แสดงความเหลื่อมล้ำต่ำสูง สั่งเปลี่ยนคำที่ประชาชนเรียกจุฬา ว่า พระพุทธเจ้าหลวง เพราะจะทำให้จุฬายิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้า 
 
.สวมบทบาทแทนเจ้าในกิจการของสงฆ์ โดยต้องการสกัดกั้นนิกายธรรมยุติของฝ่ายเจ้า ในปี 2480 พระชินวรสิริวัฒน์ สังฆราชฝ่ายธรรมยุติซึ่งมีเชื้อเจ้าสิ้นชีวิต ป.ได้เสนอชื่อพระพุฒาจารย์ (แพ) ฝ่ายมหานิกาย ที่มีพื้นเพจากภาคอีสาน ซึ่งไม่นิยมเจ้าขึ้นเป็นสังฆราช
ในปี 2484 พระพุฒาจารย์ (แพ) ได้แก้ไขกฎหมายสงฆ์ปี 2445 ซึ่งให้อำนาจแก่วังในการควบคุมสงฆ์ โดยสังฆราชมีฐานะสูงสุด แต่ไม่มีอำนาจ ให้อำนาจตกอยู่แก่สังฆนายก คล้ายนายกรัฐมนตรี สังฆนายกบริหารงานโดยผ่านคณะสงฆ์และสภาสงฆ์ อำนาจในการบริหารและเลื่อนชั้นแก่พระสงฆ์ถูกโอนจากวังมาอยู่ที่กระทรวงศึกษา เจ้าสามารถเลือกสังฆราช แต่รัฐบาลเป็นผู้เลือกสังฆนายกและคณะผู้บริหาร

.หันมาทำกิจกรรมด้านพระศาสนา ในเดือนกันยายน 2483 สร้างวัดพระศรีมหาธาตุ ที่บางเขน เพื่อรำลึกถึงการปฏิวัติ 2475 และประกาศให้เป็นวัดหลวง โดยไม่มีความเกี่ยวข้องกับเจ้า วัดอยู่ในเขตบางเขนอันเป็นพื้นที่ทหาร พหลอดีตนายกบวชเป็นพระรูปแรกที่วัดนี้ 


.ตั้งใจให้วัดพระศรีมหาธาตุ เป็นศูนย์กลางของสงฆ์หลังจากมีการรวมสองนิกายเข้าด้วยกันแล้ว จึงได้แต่งตั้งพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน) พระธรรมยุติอาวุโสเป็นสังฆนายกรูปแรก และเป็นเจ้าอาวาสวัดใหม่นี้ โดยวางแผนสิบปีเพื่อรวมทั้งสองนิกาย ซึ่งจะทำให้ธรรมยุติลดอิทธิพลลง

.มองตนเองว่าเป็นนักชาตินิยมผู้สร้างชาติที่แข็งแกร่งและน่าภาคภูมิใจเหมือนอิตาลีและญี่ปุ่น เขาไม่ปฏิเสธที่จะตีตนเสมอเจ้า โดยเปรียบตนเองเป็นเหมือนราวุธ วิจิตรวาทการโฆษกส่วนตัวของ ป. ก็ยกย่อง ป.เหมือนพ่อขุนรามคำแหง ป.สั่งอาทิตย์ผู้สำเร็จราชการมอบเครื่องราชย์ชั้นสูงสุดแก่ตน และยังครอบครองคทาของราวุธ ไว้อีกด้วย

หลังจาก.ยอมให้ญี่ปุ่นยึดครองประเทศ ในปี 2484 เขาปลดปรีดีจากครม.  และแต่งตั้งปรีดีในคณะผู้สำเร็จราชการที่ไม่มีอำนาจ แต่ปรีดีได้ใช้ตำแหน่งนี้อำพรางบทบาทผู้นำขบวนการเสรีไทยซึ่งเป็นขบวนการใต้ดินที่ต่อต้านญี่ปุ่นและ ป .
ต่อมาการสนับสนุนป. จากกองทัพและสภาเริ่มอ่อนลง กลางปี 2487 . พยายามปิดฉากวงศ์จักราวีและเริ่มราชวงศ์ใหม่ของตนด้วยการเสนอย้ายเมืองหลวงไปเพชรบูรณ์ และย้ายมหาเถรสมาคมไปอยู่ที่ศูนย์พระพุทธศาสตร์แห่งชาติที่สระบุรี แต่ปรีดีได้รวบรวมกำลังในสภาล้มข้อเสนอของ ป. และป.ถูกบีบให้ลาออก

คนที่ขึ้นมาแทน คือควง อภัยวงศ์ นักการเมืองหัวเสรี หนึ่งในผู้ก่อการ 2475 อาทิตย์ ผู้สำเร็จราชการ ก็ลาออกด้วย ปรีดีที่เคยเป็นแกนนำคณะราษฎร ได้เป็นผู้สำเร็จราชการ ปรีดีสั่งปล่อยผู้ที่ถูกจำคุกจากคดีกบฏ 2482 ออกมาทั้งหมด รวมถึงรังสิต เพื่อแสดงให้ฝ่ายเจ้าเห็นว่า ตนไม่ได้เป็นศัตรูต่อเจ้าอีกแล้ว โดยทำในนามของอานาน เนื่องในวันคล้ายวันเกิดของอานานและจุฬา ในวันที่ 20 กันยายน 2487




เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองยุติ ป.และพรรคพวกถูกจับ และสมาชิกขบวนการเสรีไทยขึ้นกุมอำนาจ ปรีดีเชิญอานานกลับประเทศ แล้วขึ้นครองบัลลังก์เมื่อบรรลุนิติภาวะในเดือนกันยายน 2488  อานานพร้อมด้วยสังวอนและพูมลำพองเดินทางกลับมาถึงเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2488 วันครบรอบ 18 ปีของพูมลำพอง เพื่อเริ่มสมัยของรามา 8 อย่างเป็นทางการ โดยได้รับการต้อนรับอย่างน่าชื่นใจ ที่สนามบินดอนเมือง 

ปรีดีที่เป็นผู้สำเร็จราชการ คุกเข่าถวายการต้อนรับ พร้อมทั้งนายกคนใหม่เสนีย์ และนายทหารระดับสูง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมก่อการ 2475 ตลอดการเดินทางเข้าเมืองระยะทางยี่สิบกิโลเมตรโดยรถไฟ สองข้างทางเต็มไปด้วยประชาชนส่งเสียงโห่ร้องและแสดงความเคารพ เมื่อถึงสถานีจิตรลดา ก็มีการต้อนรับอย่างเป็นทางการเป็นครั้งที่สอง นำโดยรังสิต พร้อมพวกเจ้า ข้าราชการระดับสูง นักการทูต และปรีดีมอบตราแผ่นดิน คืนบัลลังก์ให้อานานอย่างเป็นทางการ
อานาน พูมลำพอง และสังวอนนั่งรถเปิดประทุนไปยังมหาราชวัง วัดพระแก้ว อันเป็นที่พำนัก โดยมีประชาชนนับหมื่นขนาบสองฟากถนน ส่งเสียงไชโย แสดงความภักดี แม้ว่าประเทศจะเสมือนว่าไม่มีเจ้ามาถึง 13 ปีแล้วก็ตาม

สถานการณ์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ช่วยเสริมความสำคัญให้กับพวกเจ้า เพราะประเทศกำลังต้องการศูนย์รวมทางจิตใจ. เสื่อมอำนาจลงเพราะญี่ปุ่นแพ้สงคราม จึงถูกแทนที่โดยขบวนการเสรีไทยที่แบ่งเป็นหลายพวก กลุ่มนิยมเจ้านำโดยธานี รังสิต และภานุพันธ์ รวมถึงศรีวิศาล เป็นแกนสำคัญในการฟื้นฟูอำนาจและวัฒนธรรมเจ้าโดยเน้นย้ำว่า พิธีกรรมคือทุกสิ่งทุกอย่าง ต่อการดำรงอยู่ของเจ้า โดยต้องทำให้สังคมเชื่อในพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ ถึงแม้จะต้องซื้อหามาในราคาที่แพง และจะต้องคงรักษาไว้ให้ได้ 

อานานและพูมลำพอง เมื่อมาถึงราชวัง ในวันที่ 5 ธันวาคม 2488 ก็ไปไหว้พระแก้วมรกต และสยามเทวาธิราช และไหว้กระดูกบรรพบุรุษ วันถัดมาอานานได้สวมมงกุฎและนั่งบนบัลลังก์ท่ามกลางพราหมณ์ พระเถระชั้นผู้ใหญ่ และพวกเชื้อสายเจ้าในพิธีฉลองบัลลังก์ขนาดเล็ก
7 ธันวาคม อานานต้อนรับนายก ครม. และผบ.เหล่าทัพ ซึ่งคุกเข่ามอบยศและเครื่องแบบจอมพล และประกาศให้อานานเป็นจอมทัพไทย

สองวันถัดมา อานานและพูมลำพองทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว พร้อมทั้งถวายภัตตาหารแก่พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่ และตักบาตร

มกราคม 2489 อานานเป็นประธานการสรุปสนธิสัญญาสันติภาพกับอังกฤษ และเดินตรวจพลกองกำลังของอังกฤษที่ยึดครองไทยหลังสงครามพร้อมกับเมาท์แบทเทน ผู้แทนราชินีอังกฤษ
การเมืองในสภาหลังสงครามโลกมีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกันมาก อานานต้องเปิดประชุมสภาสองครั้ง แต่งตั้งนายกสามครั้งและประกาศรัฐธรรมนูญใหม่ในเวลาเพียงหกเดือน 

อานานกับพูมลำพอง ได้ร่วมการพิจารณาคดีของศาลที่ฉะเชิงเทรา ทบทวนคดีให้รอลงอาญาหญิงแม่ลูกอ่อนสารภาพว่าลักขโมย เพราะยากจนและหิวโหย และให้เงินส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูลูกเพื่อแสดงถึงปรีชาญาณ ความกรุณาเป็นล้นพ้น ของเจ้าวงศ์จักราวีที่มีอายุเพียง 20 ปี 

อานาน ประทานปริญญาบัตรแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยสองครั้ง ซึ่งเป็นงานที่ริเริ่มโดยธิปก เพื่อเชื่อมโยงสถาบันเจ้าเข้ากับปัญญาชน มีการเยือนจังหวัดใกล้เคียงเพื่อแสดงความห่วงใยต่อเกษตรกร ไปเยือนวัดท้องถิ่นทำพิธีปล่อยนกปล่อยปลา

ทางวังพยายามเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มทุนต่างๆ มีการพบปะผู้นำมุสลิมไทย และชุมชนชาวจีนที่ถูกราวุธ และจอมพล ป. ตราหน้าว่าไม่รักชาติและเอาเปรียบเห็นแก่ได้ ได้เกิดจลาจลที่สำเพ็ง ก่อนหน้าไม่นาน วันที่ 3 มิถุนายน 2489 อานานและพูมลำพองจึงไปเยือนสำเพ็งเป็นเวลาครึ่งวัน เพื่อสร้างความประทับใจแก่ชาวไทยเชื้อสายจีน

หลังสงครามโลกยุติลง ควงลาออกจากนายก ปรีดีเปิดทางให้เสนีย์ขึ้นเป็นนายก ในวันที่ 17 กันยายน 2488 เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความขัดแย้ง แต่คนของปรีดียังคุมทั้งสภาและครม. ภายในไม่กี่สัปดาห์ เสนีย์จึงต้องยุบสภา และกำหนดการเลือกตั้งเป็นวันที่ 6 มกราคม 2489

ควงก่อตั้งพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นมาเพื่อสู้กับฝ่ายปรีดี โดยได้รับการสนับสนุนจากฝ่ายนิยมเจ้า เสนีย์และคึกฤทธิ์ตั้งพรรคก้าวหน้ารวมพวกที่เคยถูกป. จับขัง ซึ่งต้องการแก้แค้นคณะราษฎร และฟื้นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ 
ผลการเลือกตั้ง ฝ่ายปรีดีได้เสียงข้างมากในสภา พรรคประชาธิปัตย์ของควงมาเป็นที่สอง พรรคก้าวหน้าของพี่น้องปราโมชได้ไม่กี่ที่นั่ง ปรีดีปฏิเสธการเป็นนายก เพราะเป็นรัฐบุรุษอยู่แล้ว แต่เมื่อปรีดีเสนอชื่อคนของฝ่ายตน สภากลับหันไปสนับสนุนควงเป็นนายก นับเป็นชัยชนะครั้งสำคัญของฝ่ายเจ้า ควงได้แต่งตั้งพวกนิยมเจ้าหลายคนในตำแหน่งสำคัญๆ 

ปรีดีได้เป็นประธานยกร่างรัฐธรรมนูญ
2489 ที่อำนาจกษัตริย์ค่อนข้างจำกัดเช่นเดิม
ควงลาออกจากนายกในเดือนมีนาคม 2489 หลังจากพ่ายแพ้การลงมติในร่างพรบ.คุ้มครองค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะคับขัน หรือพรบ.ปักป้ายข้าวเหนียว

ปรีดีจำต้องยอมรับตำแหน่งนายก ฝ่ายนิยมเจ้าก็ยิ่งโจมตีปรีดีอย่างดุเดือด โดยปล่อยข่าวว่าปรีดีเป็นผู้นิยมสาธารณรัฐหรือระบอบประธานาธิบดี เป็นคอมมิวนิสต์ และฉ้อฉลคอรัปชั่น ปลายเดือนมีนาคม ศาลฎีกาได้ตัดสินให้ ป.พ้นผิดจากข้อหาอาชญากรสงคราม เพราะได้กระทำการก่อนประกาศใช้พรบ.อาชญากรสงคราม หลังจากที่ ป. ต้องติดคุกอยู่ 159 วัน ในระหว่างติดคุกได้เขียนจดหมายขอให้ปรีดีและเพื่อนคณะราษฎรช่วยเหลือทางคดี โดยบอกว่าตนจะไม่ยุ่งเรื่องการเมืองอีกแล้ว และจะไปทำไร่ทำนา ฝ่ายนิยมเจ้าก็เดือดดาล เพราะพวกเขาต้องการให้ ป. ได้รับโทษประหารชีวิต

ฝ่ายนิยมเจ้ายังคงบ่อนทำลายอิทธิพลของปรีดีในราชสำนัก แม้ว่าปรีดีเคยเป็นผู้สำเร็จราชการ ที่ได้รับใช้ใกล้ชิดอานานและพูมลำพอง คนของปรีดีหลายคนทำงานในวัง เช่น ราชเลขาธิการ เฉลียวและวัชรชัยราชองครักษ์คนสำคัญ
แต่รังสิตผู้มีบทบาทสูงในราชสำนัก ร่วมกับเสนีย์และคึกฤทธิ์พยายามลดอิทธิพลของปรีดี และยุแหย่ให้เจ้าหันมาต่อต้านปรีดี ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างปรีดีและสังวอนย่ำแย่ลง 

รังสิตยุอานานและสังวอนให้เปลี่ยนตัวเฉลียว ราชเลขาธิการและวัชรชัย ราชองครักษ์ ในเดือนพฤษภาคม 2489
สังวอนยืนกรานให้ลูกทั้งสองคนได้จบการศึกษามหาวิทยาลัยที่โลซานน์ ก่อนที่จะกลับมาปฏิบัติหน้าที่อย่างจริงจัง สิบห้าวันหลังจากอานานประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ สมาชิกสภาทำการเลือกตั้งพฤฒิสภา ซึ่งคาดว่าจะมีแต่คนของปรีดี 

อานานเปิดสภาในวันที่ 1 มิถุนายน 2489 ปรีดีลาออกจากนายก หกวันให้หลังอานานก็แต่งตั้งปรีดีกลับมาเป็นนายกอีก เมื่อแต่งตั้งรัฐบาลและประกาศใช้รัฐธรรมนูญแล้ว อานานก็มีกำหนดกลับสวิตเซอร์แลนด์ในวันที่ 13 มิถุนายน 2489

ในคืนวันที่ 7 มิถุนายน อานานให้ปรีดีเข้าพบเพื่อปรึกษาเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการ ระหว่างที่ตนไม่อยู่ประเทศไทย โดยเสนอชื่อรังสิตและธานีตามคำแนะนำของสังวอน
แต่ปรีดีไม่เห็นด้วย เพราะรังสิตเป็นศัตรูคู่อาฆาตสำคัญของคณะราษฏร ฝ่ายเจ้ากล่าวหาว่าปรีดีปฏิเสธอย่างไม่มีความเคารพและจากไปด้วยโทสะ

แต่อานานก็ไม่ได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการอีกต่อไปแล้ว เพราะในวันที่ 9 มิถุนายน เวลาเก้าโมงเช้าเศษ อันเป็นเวลากินอาหารเช้า ก็เกิดเสียงปืนนัดหนึ่งบนชั้นสองวังบรมพิมาน มหาดเล็ก พูมลำพองและสังวอน ต่างรีบตรงไปยังห้องนอนของอานาน แล้วก็พบร่างของอานานนอนหงายอยู่บนเตียง ในชุดนอนผ้าไหมแบบจีนสีน้ำเงิน หัววางอยู่บนหมอนราวกับกำลังหลับ สิ้นใจแล้ว จากกระสุนนัดเดียวตรงหน้าผาก ยิงในระยะเผาขน ด้วยปืนโคลท์ .45 ของกองทัพสหรัฐ วางอยู่บนเตียงข้างกาย ห่างจากมือของอานานไม่กี่นิ้ว มีบาดแผลกลางหน้าผาก บริเวณระหว่างคิ้วทะลุท้ายทอย แพทย์สรุปตรงกันว่า เกิดฆาตกรรม 

หลังจากมีการประชุมสภาในวาระฉุกเฉินในค่ำวันเดียวกันนั้น ก็มีการจัดฉลองบัลลังก์อย่างเร่งรีบพร้อมด้วยพระและพราหมณ์ รังสิตได้มอบมงกุฎแก่พูมลำพอง
การเสียชีวิตของอานานมีข้อมูลที่น่าสังเกตหลายอย่าง

คนที่น่าสงสัยมากที่สุด น่าจะเป็นพูมลำพองผู้เป็นน้องชาย ตามหลักการสืบสวนทั่วไปเพราะเป็นผู้รับประโชน์จากการเสียชีวิตของอานานโดยตรง เพราะบัลลังก์มีแค่ตัวเดียว การที่เป็นกษัตริย์กับน้องของกษัตริย์มันต่างกันมาก เพราะขณะที่อานานไปตามที่ต่างๆแต่พูมลำพองเป็นได้แค่คนถือกล้องตามถ่ายรูปเท่านั้น แม้จะมีหลักฐานพยานแวดล้อมมากมายแต่ก็ไม่มีความหมาย เพราะพูมลำพองได้นั่งบัลลังก์ไปแล้วในคืนวันที่อานานถูกยิงเสียชีวิต โดยมีบุคคลที่ไม่ได้ถูกแตะต้อง ไม่ได้ถูกสอบถามมีเพียง 2 คน เท่านั้น คือ น้องชาย กับ แม่ โดยหลักฐานทั้งหมดถูกทำลายตั้งแต่ในที่เกิดเหตุ

อานานถูกยิงเวลา 09.20 .ในช่วงเช้าตอนที่หมอนิตย์ อธิบดีกรมการแพทย์ถึงห้องนอน เมื่อตอน 10.00 . ปรากฏว่าศพถูกล้างทำความสะอาดหมดแล้ว ท่าทางถูกจัดใหม่ ปืนถูกเก็บเข้าลิ้นชัก ห้องนอนถูกเช็ด กระบวนการทั้งหมดนี้ทำโดยสังวอน ซึ่งเป็นพยาบาลและมีความรู้ทางพยาบาล ทั้งๆที่รู้ดีว่า ในกรณีเช่นนี้ต้องคงหลักฐานไว้ให้มากที่สุด เพื่อการชันสูตร แต่สังวอนกลับทำตรงกันข้าม



เมื่ออธิบดีกรมการแพทย์ไปถึงนั้น ปรากฏว่า ทุกอย่างสะอาดเอี่ยม ผ้าปูที่นอนเปลี่ยนใหม่หมด ผ้าปูที่นอนชุดเดิมถูกเอาไปฝังที่สนามกอล์ฟ ซึ่งสังวอนอ้างว่าสงสารลูกเพราะภาพมันอุจาดนัก  และในวันนั้นไม่มีการชันสูตรศพเลย หมอได้แต่ยืนดู จะทำมากกว่านั้นไม่ได้เพราะรังสิตบอกว่าเป็นการลบหลู่เกียรติยศ จึงได้ดูแต่คร่าวๆ เช่น จับชีพจร จึงไม่มีหลักฐานเหลืออยู่ แต่มีการกล่าวร้ายว่าปรีดีฆ่าอานานเพื่อเป็นการป้ายความผิดให้กับศัตรูเก่าที่ได้โค่นล้มระบอบเจ้า

พวกเจ้าพยายามทำให้การสังหารอานานเป็นคดีที่ลึกลับ เพราะหลักฐานถูกทำลายตั้งแต่ต้น พยานที่เห็นเหตุการณ์ก็ถูกยิงเป้าหมดทั้งสองคน คือ นายชิต และนายบุศย์ คนที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ก็คือ มหาดเล็ก สังวอนและพูมลำพอง ไม่น่ามีคนร้ายที่ไหนลอยนวล เดินเข้าไปยิงอานาน แล้วเดินออกมาโดยที่ไม่มีใครรู้ ซึ่งเป็นเรื่องที่อธิบายได้ไม่ยาก เพราะมันเป็นเรื่องการแย่งชิงบัลลังก์ที่เคยเกิดขึ้นมาหลายยุคหลายสมัยและในหลายๆประเทศ และมีข้อพิรุธหลายอย่างคือ 

1. ฆาตกรคงเป็นคนในวังบรมพิมาน เพราะมีการจัดทหาร ตำรวจ ล้อมรอบวังอย่างเข้มงวด คนภายนอกไม่อาจเล็ดลอดยามจำนวนมากขึ้นไปชั้นบนและไม่สามารถหนีไปได้

สุด แสงวิเชียร ตรวจสอบบาดแผลพบรอยกดของกระบอกปืนเป็นวงกลม แสดงว่าผู้ยิงต้องเอาปืนกระชับยิงลงที่หน้าผาก ไม่ปรากฏว่ามุ้งมีรอยทะลุ แสดงว่าคนร้ายต้องเลิกมุ้งออก แล้วจึงเอาปืนจ่อยิง โดยผู้ยิงต้องเป็นคนรูปร่างสูง แขนยาว เพราะจากขอบเตียงถึงบาดแผลห่างกันถึง 66 ซม.หรือสองฟุต ถ้ารูปร่างเล็กแขนสั้นจะทำไม่ได้ (พวกเจ้ากล่าวหาว่าวัชรชัย ซึ่งรูปร่างเล็กเป็นคนยิง) ผู้ร้ายต้องสนิทกับอานานมาก เพราะอานานตื่นขึ้นมาและเข้านอนถึงสองครั้งย่อมหลับไม่สนิท จึงรู้ตัวก่อนแล้ว

2. คำให้การ มีพิรุธมาก คือ
-ทุกคนที่อยู่ในวังบรมพิมานได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่พูมลำพองและสังวอนเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน
-พี่เลี้ยงเนื่องให้การว่า ตนอยู่ในห้องพูมลำพอง 20 นาที กำลังเข้าไปเก็บที่นอน ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบพูมลำพองในห้องนั้นเลย
-พูมลำพองบอกรังสิต ว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืน ตนเองอยู่ในห้องของตน ขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง ซึ่งอยู่ในห้องของพูมลำพองในขณะนั้น

- เวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องพูมลำพอง ให้การว่า แม้ห้องนอนของพูมลำพอง มีประตูติดกับห้องของเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้าพูมลำพองจะเข้าห้องของเล่น จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าเท่านั้น มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของพูมลำพอง การที่พูมลำพองให้การว่า ตนเข้าๆ ออกๆระหว่างห้องของเล่นกับห้องนอนน่าจะเป็นเรื่องโกหก 

โดยปกติเมื่อกินข้าวเช้าอิ่ม พูมลำพองจะเดินเข้าไปห้องนอนของอานาน ก่อนเสียงปืนไม่นานนัก โดยที่ชิตและบุศย์มิได้ห้ามปราม เพราะปกติพี่น้องคู่นี้ ถ้าใครตื่นก่อน มักจะเข้าไปยั่วอีกคนให้ตื่น ฉะนั้นชิตและบุศย์ จึงไม่สงสัยถ้าพูมลำพองเดินเข้าไปในห้องของอานานและไม่น่าเป็นอุบัติเหตุ ถ้าล้อเล่น ก็ไม่น่าจะถึงกับเอาปืนจ่อกระชับที่หน้าผาก และน่าจะรู้ว่าปืนกระบอกนั้นไกอ่อน




คำให้การของฉลาด เทียมงามสัจ ที่เฝ้าโต๊ะกินข้าวอยู่มุขหน้า ว่าไม่เห็นผู้ร้ายวิ่งออกจากห้องนอน น่าจะเป็นการโกหก เพราะเมื่อยิงอานานแล้ว ผู้ร้ายจะต้องวิ่งหนีออกจากห้องนอน ฉลาดยอมรับในศาลว่า ตั้งแต่ถูกเรียกตัวไปสอบสวนก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากตำรวจสันติบาลวันละ 3 บาท ซึ่งเป็นเงินไม่น้อยในสมัยนั้น  หลังจากที่ถูกปลดจากสำนักราชวัง ก็ยังได้รับเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของตำรวจที่สอบสวนคดี

ส่วนชิตกับบุศย์ก็พูดมากไม่ได้ เพราะการฟ้องร้องคดีสวรรคตนี้ เกิดขึ้นหลังจากที่พวกทหารก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง เสนีย์ในฐานะรัฐมนตรียุติธรรมได้แต่งตั้งพินิจชนคดีพี่เขยของตน เป็นอธิบดีกรมตำรวจดูแลคดีสวรรคต ชิตถูกฉีดยาให้เคลิบเคลิ้ม ถูกขู่เข็ญสารพัด ทั้งคู่รู้ดีว่า พวกเจ้าและพินิจ จะต้องเล่นงานพวกปรีดีให้ได้ โดยใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นถึงตนพูดความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำจะเป็นอันตรายถึงครอบครัว เพราะทั้งคู่รู้ดีว่า มีการใช้อำนาจเผด็จการอย่างป่าเถื่อน เช่น ยิงทิ้ง จับกุมคุมขังและทรมานผู้บริสุทธิ์ จึงยอมปิดปาก หวังที่จะได้รับความเมตตาของศาล และอย่างน้อยน่าจะได้รับคำความกรุณาจากพูมลำพอง ถ้าศาลตัดสินประหารชีวิต น่าจะได้รับอภัยโทษ ไม่ต้องถูกประหารชีวิตและครอบครัวจะได้รับการเลี้ยงดู 

แต่หลังจากที่ทั้งคู่ถูกตัดสินประหารชีวิต แม้จะถวายฎีกา ก็ไม่ได้รับการพิจารณา ป. ได้ขออภัยโทษถึง 3 ครั้ง แต่พูมลำพองก็ไม่ยอมให้ ขณะพวกเจ้าก็ส่งเงินอุดหนุนจุนเจือ ครอบครัวผู้ถูกประหารชีวิตเสมอมา เพื่อป้องกันมิให้โวยวาย

4.เมื่อหลักฐานพยานแวดล้อมผูกมัดตัวผู้ต้องสงสัยคือพูมลำพอง แต่ศาลก็ไม่สอบสวนอย่างจริงจังโดยมีการยกเว้น มีอำนาจมืดจากการรัฐประหารที่ปกป้องพวกเดียวกัน และโยนบาปไปให้พวกของปรีดี เช่น

-มีการสร้างพยานเท็จว่าปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะสังหารอานาน ที่บ้านศรยุทธเสนี โดยมีตี๋ ศรีสุวรรณ รู้ความลับนี้ ในภายหลัง ตี๋ ยอมรับว่าตนให้การเท็จโดยพินิจชนคดีเป็นคนว่าจ้างตน 

ยังมีวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้ปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ทั้งที่วงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทกับปรีดี


พูมลำพองให้การต่อศาลเป็นเวลาสองวันในวังจิตรลดา เหมือนครั้งก่อนๆ โดยไม่ตอบคำถามอย่างชัดเจนแต่ให้การปรักปรำว่าปรีดีได้มีปากเสียงกับอานาน และถือสิทธิใช้รถยนต์ของอานาน แต่ขณะนั้นปรีดีก็เป็นผู้สำเร็จการ  และเฉลียว คนของปรีดีต้องถูกออกจากราชเลขาธิการ   
คำให้การของพูมลำพองไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวโยงกับการฆาตกรรมแม้แต่น้อย เป็นแค่การพยายามให้ร้ายปรีดี 


-มีการทำลายหลักฐานต่างๆ เช่น การสั่งให้พี่เลี้ยงเนื่องทำความสะอาดศพ ให้หมอนิตย์ เย็บบาดแผล มีการผลัดเสื้อผ้าศพ หมอนถูกนำไปฝัง มีการย้ายศพ และยกเอาไปไว้บนเก้าอี้โซฟา ได้มีเจ้านายผู้ใหญ่ร่วมอยู่ด้วย
เมื่อรัฐบาลพลเรือนจะชันสูตรศพกลับถูกคัดค้านจากรังสิตและสังวอนที่ยืนกรานว่าคนธรรมดาจะเแตะต้องตัวเจ้าไม่ได้ และจะรายงานต่อสาธารณะว่าเป็นการฆ่าตัวตายไม่ได้เด็ดขาด เพราะเป็นเรื่องเสื่อมเสียเกียรติยศ ปรีดีจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากแถลงอย่างอ้ำอึ้งว่าเป็นอุบัติเหตุ ทำให้ปรีดีไม่สามารถคุมสถานการณ์ได้

แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือพูมลำพองที่เป็นผู้ต้องสงสัยตัวจริง และโยนความผิดให้ผู้อื่น เช่น
-มีเพียงสองคนเท่านั้น ที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ คือ พูมลำพองและสังวอน เมื่อนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้ทำการพิสูจน์ด้วย กลับถูกสั่งปลดออกจากราชการ

-ศาลไม่ซักค้านพยานต่อหน้าจำเลย แต่กลับสอบปากคำพูมลำพองและสังวอนซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่สวิสเซอร์แลนด์ ในวันที่ 12 และ 15 พฤษภาคม พ.. 2493 โดยไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้าน แม้ผู้ต้องสงสัยให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้ เพราะเข้าข่ายหมิ่นเดชานุภาพ

ผู้ที่น่าสงสัยที่สุดที่ได้รับประโยชน์จากการเสียชีวิตของอานานคือพูมลำพอง แต่อัยการกลับซักถามเพียงไม่กี่คำ และเลี่ยงที่จะไต่ถามในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ คดีสวรรคตเป็นคดีสำคัญ แต่มีผู้พิพากษา 5 คนเท่านั้น ที่เป็นผู้ตัดสินคดี โดยที่คณะศาลฎีกาไม่ยอมเอาคดีนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา เพราะไม่อยากให้เป็นคดีใหญ่เนื่องจากจะคุมคดียาก อาจมีผู้จับได้ไล่ทัน และทำการคัดค้านได้

เฉลียว บุศย์ และชิต เรียงตามลำดับ
- เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวของพูมลำพองซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยที่สุด ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ อย่างเฉลียว ปทุมรส ทั้งๆศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า เกี่ยวข้องกับการสวรรคตอย่างไร ศาลวินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง แต่กลับพิพากษาให้ประหารชีวิตเฉลียวเพียงเพราะเฉลียวใกล้ชิดกับปรีดี ทั้งๆที่ขณะเกิดเหตุ เฉลียวอยู่ไกลจากจุดเกิดเหตุนับสิบกิโลเมตร และได้ออกจากราชการไปแล้ว

การกำจัดอานานนั้น นับว่าได้ผลสองต่อ คือ นอกจากจัดการกับอานานแล้ว ยังได้กำจัดปรีดี ซึ่งเป็นศัตรูของพวกเจ้า อีกทั้งปรีดีรู้มากเกินไป สมควรที่จะถูกกำจัด ปรีดีต้องลี้ภัยการเมืองตั้งแต่ปี 2491 และถึงแก่กรรมในต่างประเทศ 
ส่วนชิตและบุศย์นั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องนอน ถ้ามีผู้เข้าไปสังหารก็จะต้องเห็นอย่างแน่นอน ฟัก ณ สงขลา ทนายความของสามจำเลย เคยสอบถามชิตและบุศย์ว่า ใครเข้าไปฆาตกรรมอานาน แต่ชิตและบุศย์ ไม่ยอมพูด

เผ่า รัฐมนตรีมหาดไทยและอธิบดีตำรวจ เป็นประธานควบคุมการประหารจำเลยทั้งสาม ได้มีโอกาสพูดคุยตามลำพัง ได้ทำบันทึกคำสนทนากับผู้ต้องโทษประหารทั้งสามคนในเช้าวันนั้น แล้วเสนอ ป.นายก เมื่ออ่านแล้วได้สั่งให้เก็บไว้ในแฟ้มลับสุดยอด
ต่อมาป. เตรียมออกกฎหมายให้รื้อฟื้นคดีสังหารอานานที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกประหารทั้งสามคนและปรีดี ทางวังจึงได้ผลักดันสฤษดิ์ทำการโค่นล้ม ป.และเผ่า เพื่อมิให้มีการฟื้นคดีสังหารอานานขึ้นมาอีก 

ใครฆ่าอานานจึงยังคงเป็นปริศนา ที่วงศ์จักราวีและพูมลำพองไม่อยากจะพูดถึงหรือทำให้เกิดความชัดเจนตรงไปตรงมา

ขณะที่พวกเจ้าและสองพี่น้องปราโมชได้สร้างเรื่องใส่ร้ายปรีดีว่าเป็นผู้วางแผนสังหารอานาน และจ้างคนปล่อยข่าวไปทั่วกรงเทพ บรรดาทูตและชาวต่างชาติส่วนใหญ่สรุปว่า อานานยิงตัวเอง หรือไม่ก็ถูกพูมลำพองยิงโดยอุบัติเหตุ แต่ข้อสันนิษฐานที่ว่าพูมลำพองยิงอานานหรือน้องฆ่าพี่นั้นไม่เคยได้รับการพิจารณาอย่างจริงจัง หากจะมีการสอบสวนในประเด็นนี้ ก็จะเป็นการระคายเคืองต่อความสูงส่งที่ไม่มีวันทำอะไรผิดของพูมลำพอง ทำให้เจ้าต้องเสื่อมเสีย หรืออาจล้มครืนไปเลย

ในเวลานั้น ที่ทั้งฝ่ายนิยมเจ้าและฝ่ายของป. ต้องการทำลายปรีดี ขณะที่ครอบครัวมหิดรก็ต้องการเอาตัวรอดโดยการหาแพะมารับบาป เพื่อไม่ให้ประเด็นมุ่งไปสู่พูมลำพอง จึงต้องมีการขุดเอาผู้ต้องสงสัยรายอื่นขึ้นมาลงโทษให้ได้



ตลอดช่วงหกปีต่อมา พวกเจ้าและพรรคการเมืองของควงและเสนีย์ที่ควบรวมกันเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ต่างพากันใช้กรณีเสียชีวิตของอานาน ให้เป็นประโยชน์ในการแพร่ขยายอำนาจของพวกตน โดยนำการเสียชีวิตไปเป็นประเด็นหาเสียงในการเลือกตั้ง แต่พรรคที่สนับสนุนปรีดียังคงได้เสียงข้างมาก พอเปิดสภาเสนีย์กับควงก็โจมตีรัฐบาลด้วยเรื่องกรณีเสียชีวิต จนปรีดีต้องลาออก และหลบไปต่างประเทศหลายสัปดาห์และหลวงธำรงหนึ่งในคณะราษฎร ก็ได้เป็นนายก ขณะที่พูมลำพองยังคงอยู่นอกความขัดแย้งเพราะเป็นเหนือหัวที่ไม่มีใครกล้าล่วงละเมิด 

ภรรยาของเสนีย์บอกอุปทูตสหรัฐ ว่าปรีดีบงการฆ่าอานาน พวกเจ้าคนอื่นๆ ก็บอกเอกอัครราชทูตอังกฤษอย่างเดียวกัน ส.. คนหนึ่งของประชาธิปัตย์ตะโกนในโรงหนังว่าปรีดีฆ่าอานาน

วันที่ 8 พฤศจิกายน 2490 ทหารทำรัฐประหารโค่นรัฐบาลหลวงธำรง ปรีดีต้องหนีไปต่างประเทศ คณะรัฐประหาร ที่นำโดยผิน กับหลวงกาจ พันธมิตรของป.ได้กล่าวหาว่ารัฐบาลปรีดี-หลวงธำรงไม่ให้ความเคารพชาติ ศาสนาและกษัตริย์ ดังนั้นทหารจึงจำต้องเข้ามาแทรกแซง เพื่อรักษาประเทศชาติและปกป้องกษัตริย์และอ้างว่ามีหลักฐานชัดเจนว่าปรีดีมีส่วนเกี่ยวข้องกรณีสวรรคตและยังวางแผนที่จะสังหารพูมลำพอง เพื่อกำจัดสถาบันกษัตริย์ให้หมดสิ้นไป และเปลี่ยนประเทศเป็นคอมมิวนิสต์ 



พวกเขาจับกุมมหาดเล็กสองคน คือชิตและบุศย์ และอดีตราชเลขาธิการ เฉลียว ปทุมรส ด้วยข้อกล่าวหาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับปรีดี รวมทั้งอดีตราชองครักษ์วัชรชัย ที่หนีไปต่างประเทศเช่นเดียวกับปรีดี โดยอ้างแรงจูงใจ คือ การโต้เถียงระหว่างปรีดีและอานานเรื่องการแต่งตั้งคณะผู้สำเร็จราชการฯ ซึ่งทนายจำเลยสามารถต่อสู้ข้อกล่าวหานี้ได้

แต่อธิบดีตำรวจเผ่า ลงมือตอบโต้อย่างเหี้ยมโหด ในต้นปี 2492 ลูกน้องของเผ่า สังหารทนายจำเลยไปสองคนและพยานจำเลยอีกหลายคน โดยอำพรางว่าเป็นการปราบปรามคอมมิวนิสต์
ศาลชั้นต้นตัดสินครั้งแรกในวันที่ 27 กันยายน 2494 โดยยกฟ้องเฉลียวและบุศย์ ทำให้รัฐบาลและฝ่ายเจ้าต่างไม่พอใจ รัฐบาลจึงสั่งให้มีการไต่สวนใหม่

ในปี 2498 เผ่าได้สร้างความดีความชอบแก่วังครั้งสำคัญที่สุด คือการปิดฉากคดีฆาตรกรรมอานาน แม้ว่าไม่แนบเนียนนักแต่ก็ต้องหาทางให้จบสิ้นให้ได้เพราะคดีนี้ได้ค้างคาศาลมานานแล้ว และเป็นหนามยอกอกของวงศ์จักราวีเรื่อยมา จนกระทั่งในเดือนตุลาคม 2497 ศาลฎีกาก็ตัดสินว่าชิต สิงหเสนี บุศย์ ปัทมศรินทร์และเฉลียว ปทุมรสมีความผิดและให้ลงโทษประหารชีวิต โดยพูมลำพองไม่ยอมรับฎีกาขออภัยโทษ ที่ป.ได้ขอไปถึงสามครั้งตลอดระยะเวลาสี่เดือน 

พอวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498 เผ่าก็จัดการประหารชีวิตทั้งสามคนอย่างเงียบๆ ด้วยการยิงเป้า
สรุปได้ว่า การเสียชีวิตของอานานได้ทำให้เจ้ากลับฟื้นคืนชีพและมีความสำคัญมากกว่าเดิม
 
วิทยุบีบีซีเคยไปถามพูมลำพองว่าเกิดอะไรขึ้นในกรณีฆาตกรรมอานาน เหตุการณ์เป็นอย่างไร  พูมลำพองตอบว่า ในสมัยนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น ทุกเรื่องก็เป็นการเมือง และ คดีนี้หมดอายุความแล้ว ไม่ต้องมาถามแล้ว สรุปว่าพูมลำพองไม่ยอมตอบอะไรเลย

เรื่องที่มีคนเชื่อกันน่าจะเป็นการทำปืนลั่นโดนพี่ตายโดยอุบัติเหตุ คงเป็นไปได้ยาก เพราะใครจะเล่นเอาปืนจี้หัวกัน และวันนั้นอานานไม่สบายนอนป่วยอยู่ คงไม่น่าจะลุกขึ้นมาเล่นปืนกับน้อง มีบางคนสงสัยว่าแม่เป็นคนยิง ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะตอนที่เกิดเหตุก็มีคนเห็นแม่อยู่ที่อื่น แต่แม่อาจจะร่วมในการทำลายหลักฐาน เพื่อให้คดีนี้มันสอบสวนไม่ได้ เพราะเหตุการณ์มันเกิดขึ้นแล้ว คงต้องเอาลูกไว้คนหนึ่ง ดีกว่าเสียทั้งคู่ 
ตอนนั้น อานาน อายุ 21 ส่วนพูมลำพองอายุ 19 โดยที่คนน้องสนิทกับแม่มากกว่า เพราะคนพี่นั้นเอาแต่ใจตนเอง และทะเลาะกับแม่ เพราะแม่เป็นม่ายตั้งแต่ยังสาว จึงมีความสัมพันธ์กับชายอื่น ซึ่งอานานรับไม่ได้ จึงมีปัญหากันเสมอ แต่พูมลำพองไม่ขัดขวางความสุขของแม่ 


มีผู้ชายหลายคนก็มีข่าวว่ามีความสัมพันธ์กับแม่สังวอน เช่น เฉลียวที่ถูกประหาร อาจมาจากสาเหตุนี้เหมือนกัน เพราะเฉลียวเมื่อมีความสัมพันธ์กับสังวอนและพอกินเหล้าก็ชอบเอาไปพูดกับคนอื่นๆ ส่วนชิตกับบุศย์ ก็ต้องถูกประหารเพื่อปิดปากเพราะเป็นคนเห็นพูมลำพองอยู่ในห้องนอนของอานานตอนที่มีเสียงปืนดัง 
คดีฆาตกรรมอานานเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ไม่ยาก พยานหลักฐานต่างๆค่อนข้างชี้ชัด คนในสมัยนั้นเชื่อว่าพูมลำพองคงไม่รอดแน่ ถึงกับมีข่าวว่าฝ่ายเจ้าเตรียมให้จุมภฏขึ้นนั่งบัลลังก์แทน  พูมลำพองกับสังวอนจึงจำต้องออกไปต่างประเทศเพื่อหลบเรื่องคดี จนกระทั่งเครือข่ายเจ้าได้ชำระสะสางปิดคดีด้วยการพิพากษาประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์สามคน จึงได้มีการเดินทางกลับกรุงเทพในอีกสี่ปีต่อมา

ช่วงเวลาสี่ปีที่พูมลำพองอาศัยอยู่กับสังวอน ณ วิลลาวัฒนาเมืองโลซานน์เพื่อหลบคดีฆาตกรรมอานาน ในระหว่างปี 2489-2493 เป็นเหมือนการรอเวลาเพื่อเตรียมตัวขึ้นครองบัลลังก์ พูมลำพองได้ใช้เวลาเรียนรู้วัฒนธรรมไทยและราชสำนัก ต้องเลิกเรียนมหาวิทยาลัยเพื่อหันมาศึกษาหลักสูตรวิชาการเมือง การปกครองและกฎหมายที่จัดมาให้โดยเฉพาะ ได้กลายเป็นเจ้าเต็มขั้น มีมหาดเล็กคุกเข่าคอยปลุกทุกเช้า กินครัวซองต์และกาแฟบนเตียง ทุกคนยกเว้นสังวอนจะต้องเรียกพูมลำพองว่าพระองค์ และต้องระมัดระวังไม่ให้ถูกตัวพูมลำพอง

พูมลำพองได้รับการรายงานจากผู้สำเร็จราชการที่กรุงเทพเป็นประจำถึงการปฏิบัติราชการในนามของตน โดยมีเลขาธิการคอยดูแล มีผู้มาเข้าพบอยู่บ่อยๆ ทำให้พูมลำพองได้รับรู้ความเป็นไปทางการเมืองที่กรุงเทพ 
หลังการรัฐประหารโดยผิน ในเดือนพฤศจิกายน 2490 พวกขุนศึกกดดันให้ครอบครัวมหิดรกลับมาทำพิธีเผาศพอานาน และทำพิธีฉลองบัลลังก์อย่างเป็นทางการ แต่สังวอนปฏิเสธ ขณะที่ทั่วโลกมีกระแสข่าวการจบสิ้นของสถาบันกษัตริย์ยุคหลังสงครามโลกในหลายประเทศ รวมทั้งกระแสชาตินิยมและคอมมิวนิสต์ที่ได้เกิดความรุนแรงในเอเชียหลายประเทศ ทั้งการขับไล่เจ้าอาณานิคมและพวกเจ้าออกไปพร้อมๆกัน พลพรรคคอมมิวนิสต์ของเหมาเจ๋อตงกำลังได้ชัยชนะในจีน และเชื่อว่าให้การสนับสนุนขบวนการคอมมิวนิสต์สายจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ส่วนทางฝั่งตะวันตกของไทย แนวร่วมพม่าที่นำโดยนายพล อองซาน พ่อของอองซานซูจี ได้ขับไล่อังกฤษออกไปได้ในเดือนมกราคม 2491 และปฏิเสธที่จะฟื้นฟูสถาบันกษัตริย์พม่า
ทางฝั่งตะวันออก เกิดความปั่นป่วนในลาวและกัมพูชาเป็นภัยคุกคามสถาบันกษัตริย์ ฝ่ายชาตินิยมของโฮจิมินห์ในเวียตนามกำลังต่อสู้กับจักรวรรดินิยมฝรั่งเศสที่พยายามนำจักรพรรดิเบ๋าได๋กลับคืนมา บางกอกโพสต์รายงานข่าวจักรพรรดิเบ๋าได๋ ในเดือนกรกฎาคม 2492 ด้วยการพาดหัวว่า เมื่ออินโดจีนไป ไทยก็ไปด้วย
 
สวิตเซอร์แลนด์กลายเป็นที่หลบภัยของครอบครัวมหิดร ช่วยให้พูมลำพองมีเวลาว่างที่จะเดินทาง เล่นดนตรีและพบปะสังสรรค์สมาคม ได้ขับรถไปปารีสบ่อยๆ เพื่อช้อปปิ้งจับจ่ายและท่องราตรีในคลับเเจ๊ซ ช่วยเป็นลูกมือให้พีระผู้เป็นอานักแข่งรถ รวมทั้งการถ่ายรูปและเล่นดนตรี ความใฝ่ฝันจะเป็นนักดนตรีเเจ๊ซ ชอบสะสมเครื่องดนตรี และมีวงดนตรีที่ประกอบด้วยคนไทยเป็นส่วนใหญ่ มีพันเอกอร่าม สามีคนใหม่ของกัญญาวัฒนีร่วมเล่นดนตรีด้วยกันตลอดทั้งคืน ราชสำนักประกาศข่าวความสำเร็จในเพลงนิพนธ์ ในเดือนกันยายน 2491 โลซานน์กลายเป็นสถานที่เพื่อการหาคู่ให้พูมลำพอง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับวงศ์จักราวีที่มีทายาทเหลืออยู่ไม่กี่คน

หลังจากไปถึงโลซานน์ไม่นาน รังสิตก็จัดเตรียมรายชื่อหญิงสาวที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ขณะที่พูมลำพองดูจะเต็มใจในภาระกิจหาคู่ คนแรกที่อยู่ในความสนใจคือ สุพิชชา ลูกสาวของธานี ที่ได้พบกันในปี 2489 และอีกครั้งตอนต้นปี 2491 เมื่อเธอและพ่อแวะมาโลซานน์ระหว่างทางไปอังกฤษ แต่ธานีต้องการให้สุพิชชาเรียนจบมหาวิทยาลัยก่อน

ระหว่างนั้นพูมลำพองได้พบลูกสาวของนักขัตรมงคล ทูตไทยประจำปารีส ที่มีความคุ้นเคยกับครอบครัวมหิดร เพราะเคยเป็นทูตประจำลอนดอน เป็นที่รู้กันดีว่าได้พยายามเข้าไปเป็นสมาชิกครอบครัวมหิดร
พ่อของนักขัตรคือกิติยากร เป็นลูกนางสนมของจุฬา กิตติยากร มีลูก 25 คนจากภรรยา 5 คน ตระกูลกิติยากรค่อนข้างมีอิทธิพล เพราะมีการวางแผนให้ลูกๆได้แต่งงานกับสกุลใหญ่ๆ นักขัตรมีเป้าหมายที่สูงขึ้นไปอีกสำหรับลูกสาวที่ชื่อสิริเกียรติ (เกิด 2475) และบุษบง (เกิด 2477) เขาพาลูกสาวทั้งสองไปยุโรปเพื่อชุบตัวให้เป็นสาวทันสมัยแบบยุโรป และได้ใกล้ชิดพูมลำพอง ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเลยเพราะพูมลำพองมักไปเที่ยวปารีสบ่อยๆ

สิริเกียรติ ในวัยแรกรุ่น 15 ปีที่ทั้งสวยและฉลาดเกินวัยก็เป็นที่ต้องตาของพูมลำพอง ในปี 2490 แต่นักขัตรถูกย้ายไปลอนดอนเมื่อกลางปี 2491 และพูมลำพอง จะกลับกรุงเทพในต้นปี 2492 เพื่อเผาศพอานานและเข้าพิธีฉลองบัลลังก์ ซึ่งเป็นโอกาสจะได้พบหญิงสาวอื่นๆ แต่ได้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้นักขัตรรีบฉวยโอกาสรวบหัวรวบหางจนสำเร็จ

คือเมื่อเวลาสี่ทุ่มของวันที่ 4 ตุลาคม 2491 พูมลำพองขับรถเฟียตสปอร์ตชนท้ายรถบรรทุกบนทางด่วนเจนีวา-โลซานน์ ร่วมกับพันเอกอร่าม ผู้เป็นพี่เขย พูมลำพองได้รับบาดเจ็บสาหัส บริเวณหลังและมีบาดแผลที่หน้า ทำให้ตาข้างขวาบอดสนิทต้องใส่ตาปลอม ครอบครัวกิติยากรได้ส่งทั้งสิริเกียรติและบุษบง รีบมาจากลอนดอนเพื่อช่วยสังวอนดูแลพูมลำพอง ให้สิริเกียรติอยู่ดูแลพูมลำพองต่อไป โดยหาเรื่องสมัครเข้าเรียนที่โลซานน์ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งประกอบกับต้องใช้เวลาในการรักษาพยาบาลพอสมควร จึงต้องเลื่อนกำหนดการกลับกรุงเทพออกไปอีก จากความใกล้ชิดระหว่างการดูแลรักษาพยาบาลทำให้ทั้งสองหมั้นกันอย่างเงียบๆ ที่โรงแรมวินด์เซอร์ในเมืองโลซานน์ เมื่อวันที่ 19 กรกฎาคม 2492

สามสัปดาห์หลังจากนั้น มีการประกาศการหมั้นอย่างเป็นทางการในงานเลี้ยงวันเกิดครบ 17 ปีของสิริเกียรติที่ลอนดอน สร้างความตื่นเต้นให้แก่ประชาชนไทยมาก มีกำหนดกลับกรุงเทพ ต้นปี 2493 โดยจะมีการพิธีเผาศพอานาน พิธีสมรส และพิธีครองบัลลังก์ตามลำดับอย่างต่อเนื่อง ยิ่งใหญ่มโหฬารยาวนานถึงสองเดือนเพื่อฉลองสถาบันเจ้าและชัยชนะที่มีเหนือคณะราษฎร
 
หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญ 2492 .และพรรคพวกก็ทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะการเลือกตั้ง โดยอธิบดีตำรวจเผ่า จัดการสังหารและข่มขู่นักการเมืองคู่แข่ง มีการซื้อตัวสส.ที่ไม่สังกัดพรรค กลุ่มของป.จึงได้เสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร แต่พรรคประชาธิปัตย์และฝ่ายเจ้ายังคุมวุฒิสภาอยู่ รังสิตผู้สำเร็จการยังคงปฏิเสธคำขอของ ป. ที่จะเป็นองคมนตรี

สหรัฐอเมริกามีนโยบายให้ไทยเป็นพันธมิตรแนวหน้าในสงครามเย็น ในปี 2491 โดยหน่วยข่าวกรองของสหรัฐ หรือซีไอเอ เริ่มติดอาวุธและฝึกฝนตชด.ของเผ่า โดยเฉพาะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์จีนยึดอำนาจได้ในปี 2492 ทำให้นายพลของไทยต้องช่วยกันต่อต้านและปราบปรามคอมมิวนิสต์ตามนโยบายโฆษณาชวนเชื่อของสหรัฐ
กลางปี 2492 ทีมงานซีไอเอมาถึงกรุงเทพเพื่อฝึกตชด.สนับสนุนพรรคก๊กมินตั๋งสู้คอมมิวนิสต์จีนตามแนวชายแดนพม่า-จีน สหรัฐเร่งสนับสนุนอาวุธและการฝึกทางทหารแก่กองทัพไทย รวมทั้งให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ โดยสหรัฐให้พูมลำพองเป็นสัญลักษณ์อันทรงพลังในสงครามเย็นต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยมีสหรัฐเป็นผู้ค้ำจุนบัลลังก์


ระหว่างที่พูมลำพองกลับมากรุงเทพทางเรือพร้อมสิริเกียรติ ในต้นปี 2493 ขณะมีอายุ 22 ปี ได้มาอยู่ประเทศไทยราวสิบสัปดาห์นับเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของวงศ์จักราวี โดยได้รับการต้อนรับแห่แหน สมกับเป็นเจ้าที่ห่างหายไปนาน ในวันที่เจ้ามาถึงก็ได้ประกาศให้เป็นวันหยุด มีการจัดฝูงเครื่องบินเจ็ทจากเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯ ให้บินมาเหนือท้องฟ้ากรุงเทพ เพื่อเทิดเกียรติ มีการมอบกระบี่ทองคำอันเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นประมุข ทุกเหล่าทัพต่างได้มอบยศพลเอก โรงกษาปน์ผลิตเหรียญรุ่นใหม่ที่มีรูปพูมลำพอง เครื่องบินโปรยข้าวตอกดอกไม้ไปทั่วกรุง พูมลำพองไปราชวังวัดพระแก้ว เพื่อจุดเทียนไหว้พระแก้วมรกตและสยามเทวาธิราช จากนั้นก็ไปไหว้กระดูกบรรพบุรุษและโลงทองคำบรรจุศพอานาน
27 มีนาคม 2493 เริ่มพิธียกฉัตรเก้าชั้นเหนือเมรุเผาศพอานาน ที่สนามหลวง มีคำสั่งให้รังสิตออกจากตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ มาเป็นประธานองคมนตรี โดยมีธานีเป็นรองประธาน

วันที่ 30 มีนาคม 2493 พูมลำพองเชิญโกศบรรจุศพอานานไปยังเมรุสนามหลวงท่ามกลางประชาชนสองข้างทางนับแสนคนและได้กลับมาอีกครั้งในตอนบ่ายเพื่อทำพิธีจุดไฟ ในตอนดึกจึงมาจุดไฟเผาศพจริง โดยนำร่างของอานานออกจากโกศและวางอยู่ในโลงไม้จันทน์ วันถัดมาจึงมาเก็บกระดูกเพื่อเอาไปไว้วัดหลวง 
6 เมษายน 2493 เป็นวันจักรี สิริเกียรติและพูมลำพองไปเปิดงานกาชาด ไปร่วมงานสงกรานต์ 

เช้าวันที่ 28 เมษายน 2493 ก็ไปวังสระปทุม เพื่อรับน้ำสังข์ ที่ปลุกเสกมาแต่สมัยทองด้วง จากสว่าง ในตอนบ่ายเป็นงานเปิดจัดขึ้นที่มหาราชวัง พูมลำพองให้เครื่องราชย์แก่สิริเกียรติ ยกฐานะเป็นราชินี ตามประเพณีคู่บ่าวสาวจะต้องพำนักอยู่ในมหาราชวังเป็นเวลาสามคืน แต่พูมลำพองไม่อยากฟื้นความหลังเรื่องการเสียชีวิตของอานาน จึงนอนอยู่เพียงคืนเดียว แล้วทั้งคู่ก็ไปพักที่วังไกลกังวลหัวหินสี่วัน


พิธีฉลองบัลลังก์วันที่ 4-5 พฤษภาคม 2493 ส่วนใหญ่เป็นพิธีกรรมฮินดูภายในราชสำนักตามธรรมเนียมลัทธิเทวราช ประกอบด้วยพิธีอาบน้ำ ด้วยน้ำที่นำมาจากสถานที่สำคัญหลายแห่ง
ตามด้วยการเจิมโดยรังสิตในฐานะตัวแทนฝ่ายเจ้า และสังฆราชวชิรญาณ จากนั้นพูมลำพองก็สวมชุดเจ้าและขึ้นนั่งบนบัลลังก์แปดด้านยกสูง พราหมณ์ให้พรแล้วหลั่งน้ำมนต์จากสถูปศักดิ์สิทธิ์ 18 แห่ง 

ประธานวุฒิสภาในฐานะตัวแทนประชาชนกล่าวแสดงความภักดี
ต่อมาพูมลำพองก็ย้ายไปนั่งบัลลังก์ใต้ฉัตรเก้าชั้น พราหมณ์มอบเครื่องใช้ของเจ้า มี มงกุฎทองคำรูปกรวย ดาบและคทา แส้ทำจากขนหางช้างเผือก พัด รองเท้าแตะทองคำ และแหวนสองวง พราหมณ์คุกเข่า สวดมนต์ภาษาสันสกฤต เชิญเทพเทวดาฮินดูให้ลงมาเข้าร่างของพูมลำพอง พูมลำพองหลั่งน้ำมนต์จากคนโทเล็ก สวมมงกุฎ และกล่าวปฏิญาณที่จะครองแผ่นดินโดยธรรม พร้อมกับโปรยดอกไม้เงินดอกไม้ทองลงบนพื้น เป็นสัญลักษณ์ของการแผ่ความดีงามไปทั่วอาณาจักร มีพิธีอ่านคำพยากรณ์และนอนบนเตียงเป็นเวลาสองชั่วโมงเพื่อชุบตัวให้เป็นเทวราชาโดยสมบูรณ์ 

หลังจากนั้นสองวัน พูมลำพองเปิดวังให้ประชาชนร่วมชมบารมี วงมโหรีปี่พาทย์และปืนใหญ่ยิงสลุต พูมลำพองประกาศเป็นพิธีว่าจะยึดมั่นต่อประชาชนชาวสยาม และจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม จากนั้นไปเดินสายแจกปริญญาแก่ผู้จบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยและมหาวิทยาลัย รวม 7 แห่ง ติดยศและเครื่องราชย์แก่ตำรวจและทหารระดับสูง แต่งตั้งให้หลายคนเป็นองครักษ์กิตติมศักดิ์ เป็นประธานในพิธีสำคัญทางศาสนา และให้อภัยโทษแก่นักโทษ 2,000 คนเนื่องในโอกาสขึ้นครองบัลลังก์
ไปเปิดอนุสาวรีย์มหิดรที่โรงพยาบาลศิริราชในฐานะบิดาการแพทย์สมัยใหม่ 

งานพิธีสุดท้ายก่อนพูมลำพองกลับสวิส คือเปิดสภาในวันที่ 1 มิถุนายน 2493 ฝ่ายเจ้าให้พูมลำพองกลับไปสวิสเพื่อความปลอดภัย โดยโหรเลือกวันที่ 6 มิถุนายนและรังสิตได้เป็นผู้สำเร็จราชการอีกครั้งหนึ่ง

พูมลำพองใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินตลอด 18 เดือนสุดท้ายในต่างประเทศเหมือนเศรษฐีหนุ่มที่เพิ่งแต่งงาน หลังกลับถึงโลซานน์ได้ไม่นาน สิริเกียรติก็ท้อง ระหว่างนั้นทั้งคู่ก็เดินทางไปทั่วยุโรป ร่วมงานปาร์ตี้ ชมคอนเสิร์ต ดูภาพยนตร์และการแสดงต่างๆ โดยเลิกเรียนมหาวิทยาลัย และคอยดูเอกสารราชสำนักภายใต้การชี้แนะของรังสิตและองคมนตรี 

5 เมษายน 2494 ก่อนวันจักราวีหนึ่งวัน พูมลำพองได้ลูกคนแรก เป็นหญิงชื่อ อุบารัตนนนับว่าเป็นความผิดหวังอยู่ไม่น้อย
ทวีวงศ์ ผู้จัดการการเงินของวัง เริ่มโครงการพัฒนาที่ดินใหม่ๆ เช่น โรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล บนที่ดินของของวังสระปทุม
สำนักงานทรัพย์สินของพูมลำพอง ได้ตั้งบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับตระกูลล่ำซำ และยังได้ยึดเอาวังอนันตสมาคมคืนจากรัฐสภา
ขณะเดียวกัน ผิน  เผ่า และ สฤษดิ์ ต่างแข่งกันกอบโกยความมั่งคั่ง และสร้างอำนาจโดยอาศัยสหรัฐอเมริกาที่มีอิทธิพลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในเดือนมิถุนายน 2493 รัฐบาลไทยจัดส่งทหารไทย 4,000 นาย และข้าว 40,000 ตันไปช่วยสหรัฐในสงครามเกาหลี คณะที่ปรึกษาทางทหารจากสหรัฐ เดินทางมาไทยพร้อมเงินสนับสนุนและอาวุธยุทโธปกรณ์ พร้อมทำการฝึกให้กองทัพไทย โดยเฉพาะตชด.ของเผ่า เป็นจุดเริ่มต้นของกำลังทหารอเมริกันในไทยอย่างเปิดเผย 

ขุนศึกและวังก็ยังคุมเชิงกันไม่เลิก ขัดแย้งกันเรื่องเงินเดือนของครอบครัวเจ้า และการที่พูมลำพองและสิริเกียรติไม่ยอมกลับมาคลอดลูกที่ไทย ฝ่ายเจ้าเสนอให้รื้อฟื้นพิธีถือน้ำสาบานสำหรับข้าราชการ และการฟื้นคืนบรรดาศักดิ์แก่ผู้สนับสนุนวัง ที่ได้ถูกป. สั่งยกเลิกไป ขณะที่รังสิตก็ไม่ยอมให้ ป. เข้ามามีอิทธิพลในราชสำนัก 
ที่จริงป. ยอมปฏิบัติตามระเบียบประเพณีของวัง เป็นผู้นำการถวายความเคารพต่อเจ้าในวาระสำคัญต่างๆไม่ได้ขาด ทั้งได้ประกาศให้วันเกิดของพูมลำพองเป็นวันหยุดราชการสามวันในเดือนธันวาคมปี 2493 และในวันรัฐธรรมนูญก็ได้ยอมยกความดีความชอบเรื่องประชาธิปไตยให้กับธิปก 

.ต้องการวังมาเป็นพวก  เพื่อคานอำนาจระหว่างเผ่า ผิน และสฤษดิ์ ที่มีอำนาจมากขึ้นทุกที ตอนที่ทหารเรือจับกุมป. เพื่อก่อการรัฐประหารในเดือนมิถุนายน 2494 นั้น ทหารได้ทิ้งระเบิดโจมตีเรือที่ป.ถูกจับเป็นตัวประกัน โดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของ ป. แต่โชคดีที่ ป.หนีรอดด้วยการโดดลงน้ำและว่ายเข้าฝั่งได้อย่างหวุดหวิด ทำให้ ป. เริ่มไม่ไว้ใจลูกน้อง

.น่าจะมีโอกาสมากขึ้นในต้นปี 2494 เมื่อศัตรูตัวสำคัญ คือ รังสิตเสียชีวิต ในวันที่ 6 มีนาคม 2494 ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของครอบครัวมหิดร เพราะรังสิตเป็นลูกคนสุดท้ายของจุฬาที่ยังเหลืออยู่ ทั้งฉลาดและกล้าแข็งที่สุดในหมู่เจ้าเป็นเสมือนพ่อของอานานและพูมลำพอง โดยรับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จราชการ

ผู้ที่รับช่วงต่อจากรังสิตคือธานี ที่น่าเกรงขาม และได้พิสูจน์ตัวเองว่าเข้มแข็งเกือบเท่ารังสิต 
ราวกลางปี 2494 พวกขุนศึกต้องการเพิ่มอำนาจของตนให้เข้มแข็ง จึงส่งเผ่าไปสวิสสองครั้ง เพื่อให้พูมลำพองยอมแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้อำนาจรัฐบาลในภาวะฉุกเฉิน ในคราวแรกพูมลำพองยังไม่ยอม เผ่าได้เดินทางไปสวิสเป็นครั้งที่สองในเดือนตุลาคม คราวนี้ได้รับการปฏิเสธตรงๆ จนทำให้พวกขุนศึกเริ่มหมดความอดทน 

บรรยากาศในกรุงเทพก็ย่ำแย่ลงไปอีก เพราะคดีฆาตกรรมอานาน หักมุมไปมา ศาลตัดสินครั้งแรกในวันที่ 27 กันยายน 2494 ให้ยกฟ้องเฉลียว และบุศย์  แต่พิพากษาชิตว่ามีความผิด เท่ากับว่าลบล้างข้อกล่าวหาต่อปรีดี ทั้งรัฐบาล และฝ่ายเจ้าต่างไม่พอใจคำพิพากษาของศาลชั้นต้น รัฐบาลจึงสั่งให้มีการไต่สวนใหม่ ทำให้สถานการณ์ยังไม่เหมาะที่พูมลำพองจะกลับประเทศมาอยู่อย่างถาวรตามที่ได้วางแผนไว้แล้วในต้นเดือนธันวาคม 2494 ประกอบกับสถานการณ์โลกที่มีการล่มสลายของกษัตริย์หลายประเทศ 

ในวันที่ 29 พฤศจิกายน 2494 ทันทีที่เรือที่นั่งแล่นเข้าน่านน้ำไทย ผิน เผ่า และสฤษดิ์ ก็ก่อการรัฐประหารล้มรัฐบาลของตนเอง และยึดอำนาจที่วังได้มาจากรัฐธรรมนูญ 2492 สร้างความสั่นสะเทือนแก่ฝ่ายเจ้าไม่น้อยไปกว่าการปฏิวัติของคณะราษฎร ปี 2475 เป็นปฏิบัติการที่เฉียบขาด และมีการข่มขู่พูมลำพองและพวกเจ้าอย่างไม่ไว้หน้า ในช่วงเวลาที่ราชสำนักกำลังเตรียมเฉลิมฉลองการฟื้นอำนาจของฝ่ายเจ้าอยู่พอดี ตั้งแต่พิธีส่งเสด็จที่เมืองโลซานน์สวิส ที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ และท่าเทียบเรือเมืองเจนัว อิตาลี วิทยุและหนังสือพิมพ์รายงานความคืบหน้าของการเดินทางอย่างต่อเนื่องทุกวัน มีการกระจายเสียงสาส์นจากพูมลำพองระหว่างเดินทาง เพื่อสร้างกระแสในกรุงเทพ พิธีการต้อนรับถูกจัดวางเหมือนเป็นพิธีฉลองบัลลังก์ครั้งที่สอง มีการยิงปืนใหญ่สลุตบนฝั่งแม่น้ำ ตามด้วยพิธีการทางศาสนาหลายครั้งในมหาราชวัง จากนั้นก็เป็นวันเฉลิมวันเกิดครบสองรอบ หรือ 24 ปี ต่อด้วยวันฉลองรัฐธรรมนูญ

สามวันก่อนพูมลำพองกลับถึงกรุงเทพ ขุนศึกหลายนายไปที่บ้านของธานีผู้สำเร็จราชการ เพื่อให้ประกาศยุบสภา ปลดครม. ยกเลิกรัฐธรรมนูญ และประกาศตั้งรัฐบาลใหม่ที่ประกอบด้วยพวกของขุนศึกเอง เมื่อธานีแย้งว่าน่าจะรอปรึกษาพูมลำพองก่อน แต่พวกขุนศึกก็จัดการยึดอำนาจเอง ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 2492 และยึดอำนาจจากพูมลำพอง โดยปิดกั้นการสื่อสารกับเรือที่นั่ง เพื่อไม่ให้หันกลับลำไปยุโรป ป.ได้ทำการหยามเกียรติพูมลำพองหนักขึ้นไปอีก ด้วยการตั้งตนเป็นผู้สำเร็จราชการแทนธานี โดยสร้างภาพว่ายังมีความภักดีต่อหน้าสาธารณชน เมื่อพูมลำพอง สิริเกียรติและอุบารัตนนที่ยังเป็นทารกเดินขึ้นฝั่งเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2494 โดยมีจุมภฏพงษ์ และ ป. รอรับ ขณะเดียวกันก็สั่งห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว และปลดฝ่ายเจ้าที่ครอบงำสภาและรัฐบาลมาเป็นเวลาสี่ปีออกไป

คณะรัฐประหารได้นำรัฐธรรมนูญ 2475 กลับมาประกาศใช้ และป.ก็แต่งตั้งสมาชิกสภาแห่งชาติ 123 คน ซึ่ง 103 คนมาจากตำรวจและทหาร วันที่ 4 ธันวาคม 2494 . ขึ้นเป็นนายก ผิน เป็นรอง สฤษดิ์ ดูแลกองทัพและเผ่าดูแลตำรวจ โดยที่พูมลำพองไม่มีส่วนร่วมในการแต่งตั้ง
พวกขุนศึกถือว่าพูมลำพองอยู่นอกประเทศขณะเกิดการรัฐประหาร และผู้สำเร็จราชการ ซึ่งก็คือ ป.ได้ให้ความเห็นชอบ ส่วนข้ออ้างในการทำรัฐประหารก็คือ รัฐสภาทุจริตคอรัปชั่นและหย่อนยาน ประเทศชาติเผชิญภัยจากคอมมิวนิสต์ ซึ่ง ป. อธิบายว่าเป็นการคุกคามชาติ ศาสนา และกษัตริย์ของไทย สงครามเย็นต่อต้านคอมมิวนิสต์ของโลกเสรีทำให้สหรัฐและอังกฤษต้องรีบให้การยอมรับรัฐบาลใหม่ โดยอ้างว่าเนื่องจากยังคงเป็นเจ้าองค์เดิม

วันที่ 6 ธันวาคม 2494 ผินมอบกระบี่จอมทัพแก่พูมลำพอง พูมลำพองและสิริเกียรติได้ร่วมงานพิธีต้อนรับอย่างแกนๆ วังประกาศฉลองวันเกิดพูมลำพองเป็นเวลาสี่วัน
ขณะที่ธานีและภานุพันธ์ให้คำแนะนำให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่เนิ่นๆ แต่หลังจากที่ป. และเหล่าขุนศึกได้เข้าวังในวันที่ 6 - 7 ธันวาคมแล้ว พูมลำพองก็ยอมลงนามโดยไม่มีการแก้ไข ดูเหมือนว่าจะโดนขู่ว่าจะหลุดจากบัลลังก์หากไม่ให้ความร่วมมือ จากนั้นพูมลำพองก็แสดงความไม่พอใจอย่างเปิดเผยด้วยการไม่ไปเปิดงานรัฐธรรมนูญที่สวนดุสิต และยกเลิกงานเลี้ยงวันรัฐธรรมนูญที่วังเป็นเจ้าภาพ 


ในวันที่ 10 ธันวาคม 2494 พูมลำพองเป็นประธานพิธีโดยเน้นย้ำเรื่องราวที่ธิปกได้ให้รัฐธรรมนูญแก่ประเทศ แล้วพูมลำพองก็เริ่มภารกิจพบปะบุคคลสำคัญๆ เป็นประธานในงานพิธีต่างๆ และการออกงานสังคม  เริ่มมีการพูดผ่านวิทยุกระจายเสียง เรียกร้องให้ประชาชนยึดมั่นในศีลธรรมเพื่อต่อสู้กับความชั่วร้าย และนึกถึงประเทศชาติก่อนตนเอง  ธานีบอกบรรดานักการทูตว่าหากรัฐธรรมนูญไม่เป็นที่พอใจ พูมลำพองจะกลับสวิตเซอร์แลนด์ หรือกระทั่งอาจจะสละบัลลังก์ แต่คณะยึดอำนาจไม่สนใจคำขู่ของธานี
วันที่ 3 มกราคม 2495 คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่นำโดยผิน เริ่มส่งร่างแก้ไขไปให้วัง โดยที่วังแทบไม่กล้าโต้แย้งอะไรเลย ฝ่ายนิยมเจ้าตอบโต้อย่างเปิดเผยบนหน้าหนังสือพิมพ์ว่า กองทัพได้ควบคุมจำกัดการเคลื่อนไหวของพูมลำพองอย่างแน่นหนา ประชาธิปัตย์ประกาศคว่ำบาตรการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในเดือนมีนาคม 2495

เมื่อพวกขุนศึกจัดสรรงบ 5 ล้านบาท เพื่อสร้างวังแห่งใหม่ให้ทั้งพูมลำพองและสิริเกียรติ ที่ท่าวาสุกรี แต่พูมลำพองตำหนิว่าเป็นการฟุ่มเฟือยโดยใช่เหตุ รัฐบาลควรจะใช้เงินสำหรับสิ่งจำเป็นเท่านั้น โดยย้ำว่าการสร้างวังแห่งใหม่จะต้องขับไล่ประชาชนหลายสิบครอบครัวที่ยังไม่มีที่อยู่ใหม่ บางกอกโพสต์ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์นิยมเจ้ารายงานว่า การตอบโต้ที่เฉียบแหลมของพูมลำพองนี้เป็นบทเรียนให้รัฐบาลตระหนักถึงความมัธยัสถ์ที่พอเหมาะพอควร 

แต่พวกขุนศึกไม่มีอาการสะดุ้งสะเทือน คณะกรรมการของผินยังได้ส่งร่างรัฐธรรมนูญที่หนักข้อกว่าเดิมและปฏิเสธการแก้ไขของวัง วันที่ 17 มกราคม 2495 พูมลำพองเสนอให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งหมด แต่ก็ถูกพวกขุนศึกปฏิเสธอีกเช่นเคย

วันที่ 24 มกราคม 2495 สภาที่คุมโดยกองทัพ ให้ความเห็นชอบรัฐธรรมนูญ 2475 ฉบับแก้ไขอย่างเป็นเอกฉันท์ในวาระแรก หนึ่งเดือนจากนั้นรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายก็ผ่านสภา โดยยังคงรักษาสถานะอันล่วงละเมิดมิได้ของเจ้าอยู่เช่นเดิม เจ้ามีอำนาจเต็มในเรื่องข้าราชบริพารและคณะองคมนตรี 9 คน ที่เหลือนอกนั้นก็เหมือนกับฉบับ 2475 ที่ล้มเลิกระบอบเจ้า รัฐสภามาจากการเลือกตั้งและเป็นผู้แต่งตั้งนายก อำนาจยับยั้งของเจ้าถูกตีตกไปด้วยเสียงส่วนใหญ่ในสภา พูมลำพองก็ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามปกติ โดยไปผักผ่อนที่วังไกลกังวลหัวหิน และกลับมากรุงเทพ ช่วงสั้นๆ

พวกเจ้ายังคงใช้วิธีขู่ว่าพูมลำพองจะกลับสวิสและจะสละบัลลังก์ แต่ป. และพวกขุนศึกก็ตอบโต้อย่างไม่แยแส ว่าพวกเขาสามารถหาเจ้าองค์ใหม่ได้ โดยเอ่ยถึงจุมภฏพงษ์
พูมิลำพองไม่ยอมตอบรัฐบาลว่าจะประกาศใช้รัฐธรรมนูญเมื่อใด ในขณะที่พูมลำพองกลับหัวหิน ครม.ได้กำหนดให้ประกาศใช้รัฐธรรมนูญในเช้าวันที่ 8 มีนาคม พอถึงวันที่ 7 มีนาคม 2495 เป็นที่แน่ชัดว่าพูมลำพองจะไม่กลับกรุงเทพ พิธีการก็คงต้องถูกยกเลิก วิทยุของรัฐประกาศแต่เพียงว่า พูมลำพองไม่อยากให้รีบร้อนประกาศใช้รัฐธรรมนูญ

แต่พอบ่ายวันนั้นเผ่าได้นำกำลังเจ้าหน้าที่จำนวนหนึ่งไปหัวหิน เพื่อเข้าพบพูมลำพอง หลายชั่วโมงหลังจากนั้น พวกเขาก็กลับกรุงเทพ โดยนำตัวพูมลำพองกลับมาด้วย และในเวลา 11นาฬิกาของเช้าวันถัดมา ณ วังอนันตสมาคม ท่ามกลางเสียงมโหรีปี่พาทย์ พูมลำพองก็ประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ที่แทบจะเป็นฉบับเดียวกับที่ธิปก ได้ลงนามเมื่อสามสิบปีก่อน โดยมี ป. เป็นผู้ลงนามในฐานะนายก
มันเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ธรรมดา ที่พูมลำพองได้ประลองกำลังทางการเมืองเป็นครั้งแรก แต่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า จอมโหดอย่างเผ่าจะไปข่มขู่พูมลำพองว่าอย่างไรนั้นยังคงเป็นความลับ แต่เชื่อกันว่า เผ่าคงข่มขู่เอาชีวิตของพูมลำพอง หรือไม่ก็คงข่มขู่ที่จะเปิดโปงว่าพูมลำพองเป็นผู้สังหารอานาน และจะบีบให้พูมลำพองต้องหลุดจากบัลลังก์

พูมลำพองได้ไปประกอบพิธีประกาศใช้รัฐธรรมนูญอย่างสง่าผ่าเผย สีหน้าไร้รอยยิ้มตามแบบฉบับของเขา มีการพูดอย่างสั้นๆ แล้วก็กลับไปหัวหินอย่างรวดเร็ว โดยมิได้กลับกรุงเทพ และให้ผู้แทนของตน ไปทำพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงตามฤดูของพระแก้วมรกตในวันที่ 12 มีนาคม 2495


ทหารประสบความสำเร็จไม่มากนักในการเลือกตั้งปลายเดือนมีนาคม 2495 แต่สมาชิกสภาแต่งตั้งก็เป็นคนของพวกทหารทั้งหมด พิธีสำคัญถัดไป คือการเปิดสภา เมื่อทางวังยังไม่ให้ความร่วมมืออีก ป.ก็จัดการเปิดสภาโดยไม่มีเจ้า และทำการจัดตั้งรัฐบาล ในวันที่ 25 มีนาคม 2495 พูมลำพองก็ต้องยอมรับความพ่ายแพ้ โดยยอมลงนามให้ ป.เป็นนายก โดยไม่กล้าแตกหักกับพวกขุนศึก เพราะช่วงนั้นกษัตริย์หลายประเทศต้องล่มสลายเมื่อไปปะทะกองทัพ 

ซีไอเอเร่งฝึกตำรวจและทหารในการทำสงครามและควบคุมสังคม
การสนับสนุนจากซีไอเอ ทำให้เผ่า และตชด.ของเขามีอำนาจมาก เผ่าใช้วิธีการต่อต้านคอมมิวนิสต์แบบอเมริกัน และมีแนวโน้มจะเป็นทายาทของ ป. โดยฉวยโอกาสผูกขาดธุรกิจการค้าและการเงินที่สำคัญจำนวนมาก รวมถึงการส่งออกฝิ่นจากพม่า และยักยอกเงินช่วยเหลือจากสหรัฐไว้เป็นจำนวนมหาศาล  

ตำรวจและทหารไทย สถาปนาอำนาจของพวกตน ด้วยการออกกฎหมายการกระทำอันไม่เป็นไทยหรือกฎหมายต่อต้านคอมมิวนิสต์ ในเดือนพฤศจิกายน 2495 กฎหมายฉบับนี้ได้สนับสนุนความโหดร้ายและความฉ้อฉลในอีกสี่สิบปีถัดมา โดยถูกเข็นผ่านสภาสามวาระรวดในวันเดียว อเมริกาแสดงความชื่นชมกฎหมายฉบับนี้ เท่ากับว่าการเป็นคอมมิวนิสต์ หมายถึงการบ่อนทำลายชาติ ศาสนาและกษัตริย์ ศัตรูทางการเมืองถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์และมีโทษจำคุกสิบปี ถ้าหากไม่โดนเผ่าจัดการสังหารเสียก่อน

ทางวังได้ปรับกระบวนใหม่ โดยค่อยๆถอยจากการต่อสู้แบบเผชิญหน้า และหันกลับไปสร้างฐานอำนาจทางประเพณีแทน เน้นการสร้างภาพของเจ้าในฐานะพ่อปกครองลูก ที่สูงส่งใกล้เคียงพระโพธิสัตว์ ผู้ดูแลทุกข์สุขของอาณาประชาราษฎร และเป็นศูนย์รวมวัฒนธรรมและประเพณีของชาติ โดยไม่ถูกมองว่าเป็นการแย่งอำนาจกับพวกทหาร โดยมีทีมงานเจ้าที่มีประสบการณ์ ตัวหลักๆ ก็คือ องคมนตรี ข้าราชบริพารใกล้ชิดและเจ้าอาวาสอีกจำนวนหนึ่ง เป็นทีมงานที่เข้มแข็ง ยังมีนิกรเทวัญต่อมาเป็นเลขาส่วนตัวของพูมลำพอง ทวีวงศ์ ผู้เชี่ยวชาญการเงินดูแลกิจการของวัง และภานุพันธ์ นักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลและเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์เชิดชูเจ้าที่ได้รับความนิยม

หลังจากพ่ายแพ้เรื่องรัฐธรรมนูญ ทีมเจ้าก็หันมาเน้นให้พูมลำพองเร่งเดินสายทั่วประเทศ เพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมบารมี แต่. ปฏิเสธแผนสร้างบารมีของเจ้า โดยอ้างเหตุผลของความปลอดภัย พร้อมทั้งตัดงบประมาณของวัง ในขณะที่ป.กลับออกเดินสายชนบทเอง ราชสำนักต้องหันกลับมาทำกิจกรรมทางสังคมและพิธีกรรมอย่างเดิม เพียงแค่หกเดือนแรกของกิจกรรมในกรุงเทพก็เห็นผลไม่น้อย 

รวมทั้งการสร้างภาพของเจ้าผู้ผดุงความยุติธรรมด้วยการจัดฉากให้พูมลำพองไปนั่งตัดสินคดีที่ชายคนหนึ่งขโมยเครื่องโม่แป้งเล็กๆ และรับโทษจำคุกสามเดือน แต่พูมลำพองผู้ลึกซึ้งและมีเมตตาได้เสนอให้รอลงอาญา เพราะชายคนนั้นสำนึกผิดแล้ว
ในอีกคดีหนึ่งที่ทหารเรือหลายคนฟ้องเรียกค่าเสียหายจากเชื้อเจ้ารายหนึ่งในอุบัติเหตุรถยนต์ แต่พูมลำพองสามารถแนะนำสั่งสอนให้เชื้อพระวงศ์รายนั้นยอมรับผิด ขณะที่ทหารเรือก็แสดงความใจบุญโดยบริจาคเงินค่าเสียหายที่ได้รับให้แก่โรงพยาบาลกองทัพเรือ
พูมลำพองยังแสดงความเป็นประธานสูงสุดจากงานพิธีต่างๆ ครม.ชุดใหม่ของป. ต้องเข้าพบ และแสดงความเคารพสูงสุดด้วยการหมอบกราบ เดือนเมษายนและพฤษภาคม 2495 มีพิธีฉลองวันจักราวี วันครบรอบวันการสมรส และวันฉัตรมงคล  ซึ่งพูมลำพองเป็นประธานในพิธีแต่งตั้งองคมนตรีและมอบเครื่องราชย์ สองวันจากนั้น ก็ประกอบพิธีพืชมงคลในมหาราชวัง 




ภาพยนตร์ส่วนตัว
ของพูมลำพองออกฉายเป็นภาพยนต์ข่าวตามโรงหนัง ปลายปี
2495 หนังความยาว 90 นาทีที่ตัดต่อจากภาพยนต์ส่วนตัวของพูมลำพอง ถูกนำออกฉายทั่วประเทศ


วันที่ 28 กรกฎาคม 2495 สิริเกียรติคลอดลูกชาย ชื่อวชิราพองหรือเสี่ยอู เป็นเจ้าชายสายตรงคนแรก วงดุริยางค์กองทัพบรรเลงเพลงสรรเสริญบารมี ปืนใหญ่ยิงสลุต ประชาชนพากันส่งเสียงไชโยโห่ร้อง หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ต่างตีพิมพ์รูปทายาทวงศ์จักราวี ที่พูมลำพองถ่ายเอง

รัฐบาลของทหารประกาศให้วันเกิดของทั้งพูมลำพองและสิริเกียรติเป็นวันหยุด กองทัพได้เชิญไปเป็นประธานในงานพิธีต่างๆ รวมทั้งการจบการศึกษาของนักเรียนนายร้อยและการเลื่อนยศของทหารตำรวจระดับสูง ปลายปี 2495 รัฐบาลยอมให้ราชสำนักควบคุมองครักษ์ของวัง มีการไปประดับยศให้ทหารและตำรวจหลายครั้ง เป็นภารกิจที่ผูกโยงกองทัพกับบัลลังก์

ปี 2497 คึกฤทธิ์ เปิดตัวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ มุ่งที่คนมีการศึกษา รายงานข่าวและบทความล้วนสอดแทรกด้วยความคิดของปัญญาชนนิยมเจ้า และโจมตีคู่แข่งของเจ้า โดยเฉพาะ ป.

ในปี 2496 พวกขุนศึกได้รับเครื่องราชย์ ทำให้ดูเหมือนว่าเป็นที่โปรดปราน มีสายสัมพันธ์ทางธุรกิจที่ทวีวงศ์นำเงินของวังมาร่วมลงทุนกับพวกขุนศึกที่ผูกขาดธุรกิจหลายอย่าง ทั้งที่ถูกกฎหมายและผิดกฎหมาย ทางวังพยายามผูกมิตรกับเผ่ามากเป็นพิเศษ เพราะเผ่าได้สร้างรัฐตำรวจที่มีเครื่องมือทันสมัยรวมทั้งรถถังและใช้วิธีการที่เหี้ยมโหดโดยพูมลำพองไปเป็นประธานในพิธีสำคัญๆ ของตำรวจ ประทานยศพิเศษและเครื่องราชย์แก่เผ่า กับนายพลตำรวจอื่นๆ รวมทั้งเลื่อนยศนายตำรวจระดับสูง และยังไปเป็นประธานในพิธีที่เผ่า มอบแหวนอัศวินแก่ลูกน้องซึ่งเป็นพวกมาเฟียที่ดูแลการค้ายาเสพติด และเรียกค่าคุ้มครองให้เผ่านั่นเอง

พูมลำพองพยายามเข้าคุมตชด. ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากซีไอเอ เพื่อต่อต้านคอมมิวนิสต์ ศูนย์ฝึกหรือค่ายนเรศวร อยู่ใกล้วังไกลกังวลที่หัวหิน ที่พูมลำพองใช้สนามบินของ ตชด. และให้ตชด. ก็ทำหน้าที่อารักขาระหว่างพักอยู่หัวหิน วังกับตชด.จึงมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่น เป็นการเข้าไปยึดกุมอำนาจของตชด.โดยตรง 


ขณะที่ทหารก็ใช้พูมลำพองเป็นเครื่องมือต่อต้านคอมมิวนิสต์ หน่วยข่าวของสหรัฐได้จ่ายแจกใบปลิวว่า คอมมิวนิสต์เป็นภัยต่อชาติ ศาสนา และกษัตริย์ ทำเอกสารโจมตีกษัตริย์ขึ้นมาเองแล้วอ้างว่าเป็นของคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯเร่งผลิตทั้งภาพ หนังสือและภาพยนตร์ โดยในปี 2499 สำนักข่าวสารอเมริกัน (USIS) มีหน่วยเคลื่อนที่ 8 ชุดตระเวนฉายหนังและแสดงดนตรี เปรียบเทียบกษัตริย์และราชินีกับปีศาจคอมมิวนิสต์ 

ทางวังก็พยายามผูกมิตรทอดไมตรีกับเผ่า ผิน และสฤษดิ์ และต้องการใช้ประโยชน์จากการขับเคี่ยวกันเองในหมู่ขุนศึก พวกขุนศึกได้รับเชิญเข้าร่วมงานพิธีในราชสำนัก และบางครั้งได้มีโอกาสร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกเจ้า จนกระทั่งเผ่า ได้สร้างความดีความชอบตอบแทนวังที่สำคัญที่สุด คือช่วยปิดฉากคดีฆาตกรรมอานาน ด้วยการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์สามคนอย่างเงียบๆ ด้วยการยิงเป้าพอวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2498

.มองเห็นถึงการสร้างอิทธิพลบารมีของเจ้า จึงขยับจะทำลายฐานกำลังทางเศรษฐกิจของพวกเจ้าโดยการออกกฎหมายในปี 2495 จำกัดการถือครองที่ดินในหมู่พวกเจ้า ที่แผ่ขยายการถือครองเรือกสวนไร่นา โดยเฉพาะที่ราบภาคกลางที่อุดมสมบูรณ์และมีระบบชลประทานของรัฐตั้งแต่สมัยจุฬา โดยเฉพาะตระกูลสนิทวงศ์ มีรายได้จากการเก็บค่าเช่านาและสวน และไม่ยอมให้หักภาษีจากค่าเช่าที่ดิน 

ชาวนาส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง พวกเจ้าปฏิเสธคำขอของป.ที่จะเป็นองคมนตรีอีกครั้งหนึ่ง ป.ได้ตอบโต้พวกเจ้าด้วยการเสนอกฎหมายปฏิรูปที่ดิน เพื่อจำกัดการถือครองที่ดิน รายละไม่เกิน 50 ไร่สำหรับทำการเกษตร และ 10 ไร่สำหรับอุตสาหกรรม โดยให้เวลาเจ้าที่ดินรายใหญ่เจ็ดปีในการผ่องถ่ายที่ดินส่วนเกินออกไป 

ชาวนาที่ทำกินมานานจะได้รับความช่วยเหลือในการออกโฉนดสำหรับไร่นาที่ตัวเองทำกิน ข้อเสนอนี้ต้องสู้กันถึงสองปี ทางวังยืนยันว่าไม่จำเป็นต้องการกระจายการถือครองที่ดินเพราะที่ดินมีอยู่มากมายเหลือเฟือทั่วประเทศ แต่ที่ดินที่พวกเจ้าอ้างถึงนั้นส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ป่าสงวนของรัฐ ซึ่งชาวนาไม่สามารถถือครองได้ตามกฎหมาย ในปี 2497 กฎหมายก็ผ่านสภา แต่พูมลำพองไม่ยอมลงชื่อถึงสองครั้ง ในเดือนธันวาคม 2497 สภาก็ส่งร่างกฎหมายให้พูมลำพองอีกเป็นครั้งที่สาม และสภาสามารถลงมติผ่านเป็นกฎหมายได้เลย พูมลำพองจึงต้องยอมลงชื่อไปก่อน เพราะยังมีเวลาแก้ไขถึงเจ็ดปีก่อนที่กฎหมายจะบังคับใช้

แม้ว่าป. จะทุ่มเทพยายามอย่างเต็มที่ แต่ก็เจอปัญหาการทุจริตและแย่งชิงอำนาจกันเองภายในคณะรัฐประหาร เมื่อขาดการสนับสนุนจากกองทัพและวัง เขาก็พยายามปรับตัวเองมาเป็นผู้เชิดชูระบอบรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย 
ต้นปี 2498 . ใช้เวลาสองเดือนเดินทางตระเวนไป 17 ประเทศในกลุ่มต่อต้านคอมมิวนิสต์ ได้เข้าเฝ้าองค์สันตปะปาที่โรม ได้พบนายพลฟรังโกที่สเปน และร่วมโต๊ะเสวยกับราชินีเอลิซาเบธของอังกฤษ และเยือนสหรัฐฯเป็นเวลาสามสัปดาห์ โดยทางการวอชิงตัน ได้สรุปให้ป. ฟังเรื่องระบอบประชาธิปไตยของอเมริกัน และการดำเนินนโยบายขับเคลื่อนของสงครามเย็น

พอกลับมา ป.จัดแถลงข่าวรายสัปดาห์ สนับสนุนให้มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล ยกเลิกการห้ามพรรคการเมืองเคลื่อนไหว และประกาศว่าจะมีการเลือกตั้งในเวลาไม่นาน และการรัฐประหารเท่ากับเป็นการทำลายกษัตริย์ ป.ได้ประนีประนอมกับวังโดยยอมให้พูมลำพองเดินสายสร้างบารมีในต่างจังหวัด เพียงแค่การทดลองเดินสายสองครั้งๆ ละหนึ่งวัน ในปลายเดือนกันยายน 2498 ในจังหวัดภาคกลางได้แสดงให้เห็นว่า ชาวบ้านตื่นเต้นดีใจกันมากที่ได้เห็นพูมลำพอง

วันที่ 11 พฤศจิกายน 2498 เป็นจุดเริ่มศักราชการเดินสายเยี่ยมราษฎรอย่างจริงจัง โดยไปตระเวนอีสานเป็นเวลา 20 วัน เป็นภาคที่มีพื้นที่และประชากรมากที่สุด และยากจนที่สุดด้วย เนื่องจากดินขาดความอุดมสมบูรณ์ และมีความแห้งแล้ง การไม่รู้หนังสือ และภาวะขาดอาหารประชาชนส่วนใหญ่พูดภาษาลาวและเขมร 

การเดินสายของพูมลำพองครั้งนี้ เหมือนการเยือนหัวเมืองของกษัตริย์ในอดีต คณะผู้ติดตามมีจำนวนมากประกอบด้วยนายทหารตำรวจ และคนในรัฐบาล เดินทางโดยรถยนต์และรถไฟ แต่ละวันจะเปลี่ยนสถานที่ไปเรื่อยๆ จัดงานพิธีในอาคารสถานที่ของหน่วยราชการและค่ายทหาร บางครั้งก็แวะไปยังสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัดที่สำคัญๆ

ภาพยนตร์ที่บันทึกไว้ แสดงให้เห็นประชาชนเรียงรายสองฟากถนน ขณะรถไฟหรือขบวนรถที่นั่งแล่นผ่านทุ่งนา หรือไม่ก็ออกันแน่นขนัดในเมืองและวัด เพื่อหมอบกราบพูมลำพอง ผู้คนหลั่งไหลมาส่งพูมลำพองขึ้นรถไฟออกจากกรุงเทพฯ และสถานีต่างๆ ตามรายทาง แต่เวลาเกือบทั้งหมดของการเดินสาย ก็หมดไปกับพิธีกรรมของรัฐ ในจุดแวะเยือนแต่ละที่ จะมีข้าราชการท้องถิ่นทยอยให้การต้อนรับ พูมลำพองนั่งฟังผู้ว่าราชการจังหวัดกล่าวรายงานสถิติต่างๆ ของจังหวัด หลังจากฟังรายงาน ก็จะรับของขวัญ และเดินเยี่ยมประชาชนที่ก้มกราบ บางครั้งก็เอามือแตะศีรษะของประชาชนผู้เข้าพบ เป็นการแสดงถึงบุญญาธิการอันหาที่สุดมิได้ 
 
ความสำเร็จอย่างมโหฬารของการเดินสายเยือนชนบทครั้งนี้ทำให้ป.ตื่นตระหนก จึงรีบระงับแผนการเดินสายแบบนี้ สำหรับภาคใต้และภาคเหนือ
ขณะเดียวกัน ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มหันมาแย่งชิงกันสร้างภาพในด้านศาสนา ป.เข้ายึดคุมมหาเถรสมาคม แต่งตั้งพรรคพวกที่เป็นพระมหานิกายในตำแหน่งต่างๆ

หลังจากป. ถูกโค่นลงจากอำนาจในปี 2483 ทางวังรีบเข้ากุมอำนาจสงฆ์ ด้วยการแต่งตั้งพระธรรมยุติเป็นสังฆราช และสังฆนายก เมื่อตำแหน่งสังฆนายกว่างลงในปี 2494 วังก็ยังให้พระจวน อุฎฐายี วัดมกุฏ ผู้นำฝ่ายธรรมยุติเป็นสังฆนายก และต่ออายุไปอีก ทำให้วงการสงฆ์ปั่นป่วน
พระมหานิกายที่ได้รับการสนับสนุนจาก ป. กล่าวหาว่าวังทำลายประชาธิปไตย ทำให้การต่ออายุของจวน อุฎฐายีถูกยกเลิก และ พระปลด  วัดเบญจ ของมหานิกายได้เป็นสังฆนายก
พวกเจ้ายังเชิดชูบุญบารมีของพูมลำพองโดยอาศัยพิธีกรรมที่ยิ่งใหญ่ ในปี 2495 มีพิธีกฐินหลวงอย่างเต็มรูปแบบตามวัดหลวง ซึ่งป. ไม่สามารถทำได้เพราะไม่ใช่เจ้า โดยได้ถือปฏิบัติทุกปีหลังจากนั้น แต่จะละเว้นไว้สองวัดคือ วัดมหาธาตุ ศูนย์กลางมหานิกายและวัดพระศรีมหาธาตุที่ ป. เป็นคนสร้าง

.พยายามแย่งชิงพื้นที่ด้วยโครงการบูรณะวัดทั่วประเทศ โดยใช้งบประมาณของรัฐ จากจำนวนวัดไม่กี่ร้อยแห่งในปี 2493 เพิ่มเป็นกว่าถึง 1,239 แห่งในปี 2499 .ยังพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับพม่าซึ่งเป็นคู่ปรับเก่าของเจ้าไทยโบราณ และมีศาสนาพุทธเถรวาทเหมือนกัน เริ่มด้วยการแลกเปลี่ยนทางศาสนา ที่ดูแลโดยป.และอูนุนายกพม่า ทำให้วังไม่พอใจเนื่องจากป.มาแย่งบทบาทของเจ้า
ในเดือนธันวาคม 2498 พม่าเชิญ ป.และพูมลำพองไปร่วมงานฉลองครบรอบ 2500 ปีของพุทธศาสนา ที่จะจัดขึ้นในปี 2499 

. ตอบตกลง แต่พูมลำพองตอบปฏิเสธ โดยธานีอ้างว่าพูมลำพองไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขของพม่า ที่จะต้องถอดรองเท้าก่อนเดินเข้าวัดพม่า ป. จึงเดินทางไปคนเดียว และอูนุตอบแทนด้วยการมาเยือนไทยและปลูกต้นไม้ที่วัดพระศรีมหาธาตุ และบริจาคเงินจำนวนมากเพื่อบูรณะวัดในอยุธยา ทั้งหมดนี้ช่วยเสริมภาพลักษณ์ของ ป.โดยอาศัยงบประมาณรัฐบาลที่มีมหาศาลและการทูตระหว่างประเทศ 

ทวีวงศ์องคมนตรี  จึงต้องรับหน้าที่จัดหาเงินทุนให้เจ้านำมาใช้สร้างบารมีอย่างเต็มที่ รวมทั้งเริ่มระดมเงินบริจาคจากชนชั้นนำตามงานลีลาศและงานการกุศลต่างๆ โดยอาศัยการแจกเครื่องราชย์ให้ผู้ที่บริจาคเงินก้อนใหญ่ พร้อมกับเส้นสายทางธุรกิจ โดยต้องทำอย่างสม่ำเสมอเป็นประจำไปเรื่อยๆ เพื่อให้บุญญาธิการยิ่งใหญ่ไม่มีผู้ใดเทียบ จึงได้คิดค้นวิธีการเพื่อระดมเงินโดยเจ้าไม่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ที่เรียกว่าโดยเสด็จพระราชกุศล หรือร่วมทำบุญกับเจ้า ทำให้พูมลำพองเป็นเจ้าแห่งการช่วยเหลือสังคม และเป็นสุดยอดแห่งการเสียสละโดยไม่ต้องใช้เงินของตนเอง 

อีกทั้งคนไทยส่วนมากหลงเชื่อว่าการบริจาคเงินหรือร่วมทำบุญให้พูมลำพองจะยิ่งเพิ่มพูนบุญกุศลให้แก่ตนหลายชั้นหลายต่อ เพราะพูมลำพองเป็นผู้ที่มีบุญบารมีสูงส่งที่สุดในแผ่นดิน กระทั่งชาวบ้านทั่วไปก็ยังต้องร่วมบริจาคเงินเล็กๆน้อยๆ ที่พวกเขามี เพื่อร่วมการทำบุญกับพูมลำพอง 

วงจรมหัศจรรย์แห่งการทำบุญแบบจับเสือมือเปล่าเช่นนี้ ได้หยั่งรากและขยายตัวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นเจ้าที่เสียสละบริจาคเงินมหาศาลโดยไม่เห็นแก่ตัวไม่เหมือนพวกเศรษฐีและนักการเมืองที่เอาเปรียบและเอาแต่ได้ทั้งหลาย

เพื่อให้การสร้างบุญญาธิการและบารมีมีความหนักแน่นน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น จึงจัดให้พูมลำพองได้บวชตามประเพณีในเดือนตุลาคม 2499 ในช่วงเข้าพรรษาเป็นเวลาสองสัปดาห์หรือ 15 วัน เนื่องจากอานานไม่ทันได้บวชก่อนเสียชีวิต ถือว่ายังไม่ได้เป็นธรรมราชาที่สมบูรณ์และยังไม่ได้บวชทดแทนคุณพ่อแม่ วังได้เตรียมการโฆษณาอย่างยิ่งใหญ่

หนังสือพิมพ์ตีพิมพ์รูปถ่ายแสดงภาพพูมลำพองโกนหัวโล้น นุ่งจีวร สวมแว่นตาดำ อุ้มบาตรรับบิณบาตจากประชาชน ที่ทำบุญตักบาตรชนิดที่มีโอกาสแค่เพียงครั้งเดียวในชีวิต ที่จริงแล้วพูมลำพองภิกขุใช้เวลากับการศึกษาพระธรรมและออกบิณฑบาตน้อยมาก เพราะเวลาสองสัปดาห์หรือเพียง 15 วันของการบวชนั้นเต็มไปด้วยงานพิธีและการรับแขก ที่มีทั้งพวกเจ้า นักการเมืองและพระชั้นผู้ใหญ่ ทำนองเดียวกับการเดินสายเยือนอีสาน ล้วนเป็นกิจกรรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อการโฆษณาเท่านั้น 

ตลอดช่วงเวลาของการบวช 15 วันได้ถูกวางตารางเวลาไว้โดยละเอียดโดยคณะกรรมการของธานี  งานหลักคือการซ่อมแซมวัดบวร ที่พูมลำพองใช้เป็นกุฏิจำวัด พูมลำพองเปิดการซ่อมแซมวัดอย่างเป็นทางการ โดยให้บรรดาข้าราชการระดับสูงของรัฐบาลและวังเข้าพบเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม และประกาศการจาริก ให้เจ้าหน้าที่เดินตามเป็นวงกลมรอบวิหารในมหาราชวัง 

เช้าวันที่ 22 ตุลาคม 2499 พูมลำพองแต่งตั้งสิริเกียรติเป็นผู้สำเร็จราชการ ต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม ให้ยกฐานะเป็นมหาราชินี
จากนั้น ก็เป็นพิธีโกนผม โดยสังวอน  พิธีบวชเริ่มต้นในเวลาอันเป็นฤกษ์ยามคือ บ่าย 4:23 ที่วัดพระแก้ว พูมลำพองสวดมนต์ท่ามกลางเจ้าอาวาสและพระระดับสูง 30 รูปจากวัดหลวง แล้วรับผ้าไตร ได้รับการขนานนามว่า พูมิลำพองภิกขุ จากนั้นสิริเกียรติและสังวอนก็ถวายเครื่องอัฐบริขาร

แล้วย้ายมาอยู่ที่วัดบวรโดยขบวนแห่นำโดยคึกฤทธิ์ ในช่วงเวลาสองสัปดาห์ถัดไป ผู้คนจะมากันแน่นวัดบวรส่วนมากเป็นพวกสาวๆ เพื่อเฝ้ารอพูมลำพองออกจากการนั่งสมาธิ ซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับที่วชิรญาณวโรรสเคยอยู่มาก่อน สองสามวันแรกมีแต่การการสวดมนต์และศึกษาธรรม หลังฉันอาหารเช้า โดยไม่มีการเดินบิณฑบาตตอนเช้ามืด พูมลำพองภิกขุฟังบรรยาย และในตอนค่ำก็ซักจีวรเอง เพื่อให้เป็นข่าว 

ญาณสังวร ขณะนั้นอายุ 43 ปี ทำหน้าที่เป็นพระพี่เลี้ยงในแต่ละวัน จนกลายมาเป็นเครือข่ายที่ทำหน้าที่เชิดชูสถาบันเจ้า จนได้เป็นสังฆราชในปี 2532
หลังบวชได้สองวัน ก็ไปเยือนวัดหลวงอื่นๆ เข้านมัสการเจ้าอาวาส และเปิดโอกาสให้ผู้มีจิตศรัทธา ซึ่งโดยมากเป็นชนชั้นนำของไทย ได้ทำบุญถวายร่วมกับพระพูมลำพอง 

พวกเขาเข้าแถวรอตักบาตรพูมิลำพองภิกขุ นำโดยสิริเกียรติและเจ้าระดับสูง มีภาพวชิราพองตอนอายุ 5 ปีก้มกราบพ่อที่สร้างความซาบซึ้งแก่ผู้พบเห็น
ในสัปดาห์ที่สอง พูมิลำพองภิกขุได้ร่วมพิธีบวชพระรูปอื่นๆ และไปร่วมประกอบพิธีที่วัดหลวงในจังหวัดนครปฐม  สิริเกียรติทอดกฐินหลวงที่วัดบวร ถวายผ้าไตรแก่พูมิลำพองภิกขุ  
 

ในช่วงนั้นพูมิลำพองภิกขุได้เดินออกรับบิณฑบาตนอกวัดเป็นระยะทางสั้นๆ สองหรือสามครั้ง มีลักษณะเป็นการจัดฉาก เนื่องจากเป็นการบิณฑบาตในตอนเที่ยงซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดปกติมาก มันเป็นที่มาของรูปภาพที่จะถูกใช้เป็นภาพโฆษณาการบวช 15 วันของพูมลำพอง

การบวชสิ้นสุดลงพร้อมกับการต้องรีบหาโอกาสทำบุญกับพูมิลำพองภิกขุ ทั้งของเจ้าหน้าที่ระดับสูง เอกอัครราชทูตของพม่าใส่บาตรแทนนายกพม่า ชุมชนชาวอินเดียในไทยถวายของขวัญ ในที่สุด ป.และภริยาก็ยังต้องก้มกราบนมัสการพูมิลำพองภิกขุ

ในวันสุดท้าย พูมิลำพองภิกขุได้ปลูกต้นไม้เป็นที่ระลึกภายในบริเวณวัดบวร จากนั้นเข้าพิธีสึกอย่างเป็นทางการ มีพิธีที่เข้ารับการมอบมงกุฎคืนจากสิริเกียรติและกล่าวรายงานการจาริกของพูมลำพอง การให้การต้อนรับด้วยการสวมกอดอย่างภาคภูมิใจจากสังวอนและกัญญาวัฒนี โดยได้ถ่ายรูปร่วมกัน 



มีภาพหนึ่งเป็นภาพที่ไม่ค่อยมีให้เห็นนัก นั่นคือรูปที่พูมลำพองยิ้มและหัวเราะ ที่จริงแล้วพูมลำพองก็แทบจะไม่ได้ห่างหายไปไหนจากชีวิตปกติประจำวันเลย แต่ก็ทำเหมือนว่าเป็นเวลาถึง 15 วันแห่งการตัดขาดจากโลกียวิสัยจริงๆ


ถึงต้นปี 2499 พูมลำพองเริ่มเชื่อมั่นในบารมีของตน  จึงพูดผ่านวิทยุในวันกองทัพไทย 25 มกราคม 2499 เรียกร้องทหารให้ทำตามหน้าที่ ไม่เล่นการเมืองและใช้อำนาจในทางที่ไม่ชอบ เพราะทหารมีไว้เพื่อประเทศชาติและไม่ได้เป็นของบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง คำพูดนี้ถือเป็นการท้าทายพวกขุนศึก


ดร.หยุด นักกฎหมายที่เป็นสมาชิกสภาระดับอาวุโส ได้ปกป้องรัฐบาลผ่านวิทยุโดยวิจารณ์ว่า พูมลำพองล้ำเส้นเกินบทบาทที่ควรเป็นในระบอบประชาธิปไตย ฝ่ายเจ้าแสดงอาการโกรธโดย สยามนิกรของวังได้โจมตีหยุด ว่าเจ้าจะให้คำแนะนำและตักเตือนใครก็ได้  คึกฤทธิ์เขียนในสยามรัฐว่าคำพูดของหยุดเป็นการระคายเคืองพระบาท เพราะในฐานะจอมทัพไทย เจ้าไม่จำเป็นต้องปรึกษาใครก่อนพูด แล้วก็หันมาโจมตีรัฐบาลที่อนุญาตให้นายกเป็นทหารประจำการ และปล่อยให้ข้าราชการวิจารณ์เจ้าโดยใช้วิทยุของรัฐบาล  
หลังจากนั้นไม่กี่วัน สมาชิกสภาสายเจ้ารายหนึ่งฟ้องหยุด ในข้อหาหมิ่นเดชานุภาพ เเต่อธิบดีตำรวจเผ่าพิจารณาแล้ว ว่าหยุดไม่มีความผิด
 
.ยังคงเดินหน้าโฆษณาหลักการประชาธิปไตยของตนต่อไป สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในต้นปี 2500 .เชื่อว่าพูมลำพองคงจะไม่เข้ามาแทรกแซงผู้ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน แต่ ป.เข้าใจผิดถนัด เพราะพูมลำพองไม่สนใจประชาธิปไตยแบบตะวันตกอีกแล้ว
ในปี 2500 กระแสโฆษณาชวนเชื่อส่งเสริมระบอบเจ้าเริ่มมาแรง มีการโจมตีรัฐบาลอย่างหนัก 

หลังการเลือกตั้ง 26 กุมภาพันธ์ 2500 การหาเสียงเต็มไปด้วยการโจมตีรัฐบาล โดยเฉพาะตัวของป.และเผ่า จากฝ่ายเจ้า ฝ่ายเสรีนิยมก้าวหน้า และจากสฤษดิ์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากวัง พูมลำพองได้กล่าวในวันขึ้นปีใหม่ว่า รัฐบาลควรจะยกเลิกสภาที่มาจากการแต่งตั้งซึ่งเป็นฐานอำนาจของ ป.

หลังการเลือกตั้ง 26 กุมภาพันธ์ 2500 .ยังคงได้รับชัยชนะ แต่สฤษดิ์ประกาศต่อนักศึกษาว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดเท่าที่เคยเห็นมา มีการโกงทุกรูปแบบ โดยเฉพาะการใช้อันธพาล ทำให้พรรคเสรีมนังคศิลาของจอมพล ป.ได้เสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล ท่ามกลางความวุ่นวาย การเดินขบวนประท้วงของนักเรียนนักศึกษาและประชาชนนับหมื่นนับแสนคนเรียกร้องให้ ป. และเผ่า อธิบดีตำรวจลาออกจากตำแหน่ง

ในช่วงสถานการณ์ลุกลามวุ่นวายอย่างหนัก ป. แต่งตั้งสฤษดิ์เป็นผู้บัญชาการ 3 เหล่าทัพ เพื่อควบคุมสถานการณ์ สฤษดิ์ได้สั่งการไม่ให้ทหารทำอันตรายประชาชนที่เดินขบวน รัฐบาล ป. ขาดความชอบธรรมที่จะปกครองบ้านเมือง สฤษดิ์ ประกาศลาออกจากรัฐมนตรีกลาโหม แต่ยังเป็น ผบ.ทบ.
นายทหารและส.ส.ร่วมมือกับสฤษดิ์ เพื่อให้ ป. และเผ่า ต้องลงจากอำนาจ
สถานการณ์เลวร้ายลงสำหรับรัฐบาลของ ป. ภาคอีสานเกิดภัยแล้งรุนแรง ทำให้มีผู้อพยพเข้าเมืองหลวง 

จุดจบของ ป.มาจากความขัดแย้งในโครงการสร้างพุทธมณฑลฉลองกึ่งพุทธกาล 2500 ปี และทำพิธีเปิดงานใหญ่เดือนพฤษภาคม
.แต่งตั้งตนเองเป็นประธานพิธีจัดงาน ระหว่าง 12-18 พฤษภาคม 2500 ใช้งบกว่า 70 ล้านบาทโดยเชิญนายกรัฐมนตรีพม่าเป็นแขกพิเศษ เชิญพูมลำพองเป็นประธานเปิดและปิดงาน แต่พูมลำพองไม่พอใจ จึงเก็บตัวอยู่ที่หัวหิน โดยอ้างว่าเป็นหวัด ไม่ยอมไปเปิดงาน รวมทั้งพิธีเห่เรือ พิธีที่พุทธมณฑล และพิธีที่อยุธยา  โดยให้ธานีมาแทน   

.แก้ลำโดยมีคำสั่งให้เผยแพร่บันทึกเรื่องการป่วยของพูมลำพอง ทำให้วังไม่พอใจมากและไม่มาร่วมงานเลย พวกเจ้าโหมโจมตีงานฉลองกึ่งพุทธกาลว่าเท่ากับเป็นการช่วงชิงบัลลังก์ของ ป. ที่เมาอำนาจ อยากเป็นเจ้าองค์ที่สอง หรือต้องการแย่งชิงบัลลังก์ จนรัฐบาลป.ต้องออกมาชี้แจงว่ามิได้มีความขัดแย้งกับเจ้าและประกาศว่ารัฐบาลเคารพพูมลำพองอย่างเต็มที่ แต่หลายคนเชื่อว่า ป.เหิมเกริมและคิดจะแย่งชิงบัลลังก์จริงๆ

ในเดือนต่อมาป. ได้เสนอเพิ่มจำนวนสมาชิกสภาที่มาจากการแต่งตั้ง แต่พูมลำพองแสดงการคัดค้านอย่างเปิดเผย และยังตั้งคำถามถึงความชอบธรรมของข้อเสนอนี้ ทั้งที่เมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ วังก็เคยพยายามเอาการแต่งตั้งสมาชิกสภาส่วนนี้มาเป็นฐานอำนาจของตน

ระหว่างนั้น พรรคการเมืองฝ่ายสฤษดิ์ได้โจมตีรัฐบาลจนนำไปสู่การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในกลางเดือนสิงหาคม
2500 กล่าวหารัฐบาลป.ว่าสนับสนุนการวิจารณ์เจ้า เท่ากับเป็นการหมิ่นเดชานุภาพ ทำให้ป.ต้องรีบจับมือกับเผ่า ซึ่งกลับทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลงไปอีก เพราะหนังสือพิมพ์ของเผ่าได้โจมตีเจ้าอย่างตรงๆ โดยพาดหัวว่า พวกเจ้าดูหมิ่นศาสนาและจะต้องตายโหงตายห่า  โดยอ้างเรื่องงานฉลองกึ่งพุทธกาล ว่าวังพยายามโค่นล้มรัฐบาลและดูหมิ่นพระศาสนา

เผ่ากล่าวหาว่าพูมลำพองให้เงิน 700,000 บาทแก่ประชาธิปัตย์ ฝ่ายเจ้าก็ปล่อยข่าวลือว่า เผ่ากำลังวางแผนจับตัวพูมลำพอง สฤษดิ์เรียกร้องให้ป. ปลดเผ่า ผู้ซึ่งมีภาพไม่ดีอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นจะถูกรัฐประหาร

13 กันยายน 2500 สฤษดิ์ และคณะทหารยื่นคำขาดต่อ ป. ให้ลาออก   ป.จะให้รัฐมนตรีลาออก แต่ตนขอเป็นนายกต่อไป ทำให้ประชาชนไม่พอใจมาก 

15 กันยายน 2500 ผู้คนนับแสนพากันลุกฮือเดินขบวนบุกเข้าไปในทำเนียบรัฐบาล เมื่อไม่พบ ป. จึงพากันไปบ้านสฤษดิ์ ขณะที่ ป. ก็กำลังจะเตรียมจับกุมสฤษดิ์ข้อหากบฏสนับสนุนให้ผู้ชุมนุมประท้วงรัฐบาล แต่ไม่ทันดำเนินการใดๆ 

ในวันที่ 16 กันยายน 2500 .ต้องบากหน้าเข้าพบพูมลำพอง เพื่อขอให้สนับสนุนรัฐบาลของเขา แต่พูมลำพองที่มีอายุ 30 ปี ได้บอก ป. ที่มีอายุ 60 ปี ให้ลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงการรัฐประหาร เพราะวังอยากเห็นการเปลี่ยนผ่านอำนาจให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ

แต่ป.ปฏิเสธ และในคืนนั้นสฤษดิ์ก็ยึดอำนาจ โดยได้รับการรับรองจากวังอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าวังรู้เห็นเป็นใจมาตั้งแต่แรก ทั้งสฤษดิ์และถนอมรีบเข้าวัง และแค่สองชั่วโมงหลังการประกาศรัฐประหาร พูมลำพองก็ประกาศกฎอัยการศึก และมีโองการแต่งตั้งสฤษดิ์เป็นผู้รักษาพระนคร ทั้งๆที่ไม่มีผู้รับสนองโองการ  พูมลำพองมอบอำนาจให้สฤษดิ์ควบคุมประเทศและลงนามสนองคำสั่งเจ้า ป.และเผ่าจึงต้องหนีออกจากประเทศไทย
 
 ประกาศพระบรมราชโองการ ตั้งผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร
พูมลำพอง คะนองเดช ก..
เนื่องด้วยปรากฏว่ารัฐบาลอันมีจอมพลป.พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรี ได้บริหารราชการแผ่นดินไม่เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน ทั้งไม่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองได้ คณะทหารซึ่งมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหัวหน้าได้เข้ายึดอำนาจการปกครองไว้ได้ ข้าพเจ้าจึงขอตั้งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นผู้รักษาพระนครฝ่ายทหาร ขอให้ประชาชนทั้งหลายอยู่ในความสงบ และขอให้ข้าราชการทุกฝ่ายฟังคำสั่งจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ประกาศณ วันที่ 16 กันยายน 2500

ไม่มีผู้รับสนองโองการ คือ พูมลำพองแต่งตั้งเองด้วยความยินดี เหมือนในสมัยระบอบเจ้า เพราะท่านถือว่าท่านคือเจ้าของประเทศ
วันถัดมา สฤษดิ์ประกาศว่าตนทำไปเพื่อปกป้องชาติ ศาสน์ กษัตริย์ 
โดยทางวังได้ตอบสนองเป็นอย่างดี ตามแถลงการณ์ของวังว่าพูมลำพองได้เล็งเห็นว่า คณะปฏิวัติมีความประสงค์จะคุ้มครองประชาชน ดูแลสวัสดิภาพและผลประโยชน์ของชาติ และสนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองของประเทศนั้น เป็นสิ่งที่น่าเคารพและน่าสนับสนุน ธานีและองคมนตรีคนอื่นๆ ก็ช่วยกันกระจายข่าวว่าสฤษดิ์เป็นผู้จงรักภักดี และต่อต้านคอมมิวนิสต์ และวังให้การสนับสนุนการรัฐประหารของสฤษดิ์อย่างเต็มที่ 

เอกอัครราชทูตสหรัฐกับสฤษดิ์ได้เข้าพบพูมลำพอง เพื่อขอคำยืนยันว่าวังยังสนับสนุนสหรัฐ และต่อต้านคอมมิวนิสต์อย่างเต็มที่ เป็นอันว่าพูมลำพองสามารถโค่นป.ลงได้ทั้งๆที่ตนไม่มีกองทัพในมือ นับว่าเป็นความปรีชาสามารถโดยแท้ และได้เปิดศักราชของรัฐบาลและทหารของเจ้าที่มีสฤษดิ์เป็นขุนพลคู่บารมี

..........................


ไม่มีความคิดเห็น: