..........
ตำนานๆ 009004 : กำเนิดจักรีและคดีสวรรคต
กรณี พระเจ้าตากสิน
ถูกสั่งประหารคาผ้าเหลือง
หลังเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2  พระเจ้าตากสิน ได้นำทัพกอบกู้เอกราชให้แก่ไทย แล้วสถาปนากรุงธนบุรี เป็นราชธานีใหม่ ทรงรวบรวมไทยให้เป็นปึกแผ่นแล้วปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2311 แม้จะมีเรื่องเล่าว่า พระเจ้าตากสินทรงกู้เงินจากจีนมาทำสงครามกู้เอกราชและคิดจะไม่จ่ายหนี้ จึงคิดอุบายหลบหนี้โดยให้พระยาจักรียึดอำนาจ และบางตำนานก็ว่าเพชฌฆาตใจอ่อนปล่อยพระเจ้าตากหนีไปบวชอยู่ที่วัดเขาขุนพนมนครศรีธรรมราช แต่หลักฐานทางประวัติศาสตร์ชี้ชัดว่าพระองค์ถูกพระยาจักรี สั่งประหารชีวิตเพื่อปราบดาภิเษกราชวงศ์ใหม่ และมีการกำจัดขุดรากถอนโคนเชื้อสายพระเจ้าตากสินอีกหลายครั้ง
 ชนวนมาจากความวุ่นวายทางการเมืองในเวียตนามที่องค์เชียงชุนและองค์เชียงสือพ่ายหนีพวกกบฏไตเซิน (หรือราชวงศ์เล้)ต้องถอยร่นลงมาทางใต้ หวังจะได้กำลังจากเขมร จึงเข้าไปคุมการเมืองในเขมร ซึ่งเป็นประเทศราชของไทย  พระเจ้าตากสินได้ทรงแต่งตั้งนักองค์นนเป็นกษัตริย์กัมพูชา แต่ถูกเจ้าฟ้าทะละหะ (มู) จับประหารในพ.ศ. 2322แล้วถวายราชสมบัติให้นักองค์เองพระชนม์ 7 พรรษาโดยตนเป็นมหาอุปราช 
ฝ่ายกรุงธนบุรีไม่ไว้ใจ จึงสั่งให้พระยาจักรี (ด้วง) เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) กรมขุนอินทรพิทักษ์  พระราชโอรสเป็นทัพหลวงยกทัพไป เมื่อรบชนะแล้วให้ตั้งกรมขุนอินทรพิทักษ์ครองกรุงกัมพูชาต่อไป  ทัพหลวงพยายามจะรุดหน้าไป แต่ทัพรองชลอฟังเหตุการณ์ทางกรุงธนบุรี ฝ่ายญวนได้ลอบแต่งทูตมาแอบเจรจากับแม่ทัพรองฝ่ายไทย แม่ทัพรองฝ่ายไทยก็ให้ญวนล้อมกองทัพสมเด็จพระมหาอุปราช เจ้าฟ้ากรมขุนอินทรพิทักษ์ และทัพพระเจ้าหลานเธอ กรมขุนรามภูเบศอย่างแน่นหนา มิให้เคลื่อนที่ได้ ส่วนพวกตนรีบเดินทัพย้อนกลับมากรุงธนบุรีโดยด่วน ทางด้านกรุงธนบุรี มีผู้ปลุกปั่นยุยง และชักชวนทำการกบฏ รวบรวมคนตั้งเป็นกองรบเข้าทำร้ายผู้รักษากรุงเก่า แล้วเดินทางมายังกรุงธนบุรี ยิงเข้าพระนครโดยมีพวกกบฏในกรุงธนบุรี ก่อการจลาจลรับกับพวกกบฏที่ยกมาจากกรุงเก่า
ในตอนแรก พวกกบฏให้พระสงฆ์ไปทูลขอพระเจ้าตากสินผนวชเพื่อสะเดาะเคราะห์เมือง 3 เดือน สมเด็จพระเจ้าตากสินฯทรงรับคำทูล เพราะเห็นว่ากำลังจากภาคตะวันออกกลับมาไม่ทันและราษฎรก็ถูกปลุกปั่นให้เข้าใจผิดว่าพระเจ้าตากสินทรงมีสติวิปลาส  จึงต้องยอมบวชไปก่อนที่วัดแจ้ง ในพระบรมมหาราชวัง   เมื่อทรงผนวช 12 วัน พระยาสุริยอภัย (ทองอิน) หลานเจ้าพระยาจักรี   ยกทัพมาจากนครราชสีมา ร่วมกับพวกกบฏ 
พอเช้าวันที่ 6 เมษายน 2325 เจ้าพระยาจักรี รีบเดินทัพใหญ่มาถึงพระนคร มีการสอบถามความเห็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ซึ่งส่วนมากเป็นพวกของพระยาจักรี ว่าควรทำอย่างไรต่อไป ข้าราชการที่ยังจงรักภักดีในพระเจ้าตากสิน และเชื่อในพระปรีชาสามารถของพระองค์ ก็ยืนยันว่าควรไปกราบทูลให้ลาผนวชออกมาครองราชสมบัติบริหารราชการแผ่นดินโดยด่วน หรือไม่ก็ควรยกราชสมบัติให้รัชทายาทของพระองค์แทน พวกข้าราชการพวกที่กล้าพูดเช่นนั้น ก็ถูกคุมตัวไปประหารชีวิตทั้งหมด
สมเด็จพระเจ้าตากสินถูกปลงพระชนม์ในวันนั้น ณ พระวิหารที่ประทับในวัดแจ้ง (วัดอรุณราชวราราม) หลังจากทรงผนวช 28 วัน โหรจดไว้ว่าดับขันธ์ เพื่อยืนยันว่าพระเจ้าตากสินถูกปลงพระชนม์ขณะที่ทรงเพศเป็นพระภิกษุ เมื่อมีพระชนม์ 48 พรรษาศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ กล่าวถึงวาระสุดท้ายของพระเจ้าตากสินมหาราชไว้ในหนังสือ”การเมืองไทยสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี” หน้า 575 ว่า " ( พระพุทธยอดฟ้าฯ) จึงมีรับสั่งให้เอาไปประหารชีวิตสำเร็จโทษเสีย เพชฌฆาตกับผู้คุม ก็ลากเอาตัวขึ้นแคร่หามไปกับทั้งสังขลิกพันธนาการ เจ้าตากสินจึงว่าแก่ผู้คุมเพชฌฆาตว่า ตัวเราก็สิ้นบุญจะถึงที่ตายแล้ว ช่วยพาเราแวะเข้าไปหาท่านผู้สำเร็จราชการ จะขอเจรจาด้วยสักสองสามคำ ผู้คุมก็ให้หามเข้ามา ครั้น ( พระพุทธยอดฟ้าฯ)ได้ทอดพระเนตร จึ่งโบกพระหัตถ์มิให้นำมาเฝ้า ผู้คุมแลเพชฌฆาตก็ให้หามออกไปนอกพระราชวัง ถึงหน้าป้อมวิชัยประสิทธิ์ (ริมแม่น้ำเจ้าพระยาปากคลองบางกอกใหญ่ที่ตั้งกองทัพเรือติดวัดอรุณหรือพระราชวังสมัยกรุงธนบุรี) ก็ประหารชีวิตตัดศีรษะเสีย ถึงแก่พิราลัย จึ่งรับสั่งให้เอาศพไปฝัง ณ วัดบางยี่เรือใต้"
แล้วเชิญพระศพไปฝังไว้ที่วัดอินทาราม บางยี่เรือ ใกล้ตลาดพลู (เวลานั้นเรียกวัดบางยี่เรือ) บรรดาศพข้าราชการที่จงรักภักดีในพระองค์ เช่น เจ้าพระยานครราชสีมา (บุญคง ต้นสกุลกาญจนาคม) พระยาสรรค์ (สกุลแพ่งสภา) พระยารามัญวงศ์ (สกุลศรีเพ็ญ) พระยาพิชัยดาบหัก (ทองดี ต้นสกุลวิชัยขัทคะ และพิชัยกุล) กว่า 50 นาย ถูกฝังเรียงรายใกล้พระศพพระเจ้าตากสินฝ่ายพระราชวงศ์ของพระเจ้าตากสินที่ยังเหลือ ถ้าเป็นเจ้าชายที่โตแล้วก็ถูกจับปลงพระชนม์หมด เอาไว้แต่ที่ยังเป็นเด็ก ส่วนเจ้าหญิงก็ถูกถอดพระยศออกแล้วเรียกว่าหม่อม แม้แต่สมเด็จพระราชินี และสมเด็จพระน้านาง อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ฝ่ายเจ้าพระยาอินทวงศาเสนาบดีฝ่ายกลาโหม ขณะบัญชาการทัพใกล้เมืองถลาง ก็ฆ่าตัวตายตามพระเจ้าตากสิน และไทยต้องช่วยองค์เชียงสือรบกับพวกราชวงศ์เล้หรือกบฎไตเซิน 2 ครั้ง ต้องช่วยอาวุธยุทธภัณฑ์อีกนับไม่ถ้วน ตามข้อตกลงลับที่ได้ช่วยกันล้มราชบัลลังก์ของพระเจ้าตากสิน รวมทั้งต้องเสียเมืองพุทไธมาศแก่ญวนเมื่อญวนตั้งราชวงศ์องเชียงสือสำเร็จมีอำนาจมากขึ้น
การสืบราชสมบัติของราชวงศ์จักรี
พระยาจักรีผู้สถาปนาราชวงศ์
ด้วยชีวิตของกษัตริย์ผู้กู้ชาติ
เมื่อรัชกาลที่ 1 ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงเทพแล้ว ก็พยายามทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าพระองค์เป็นเอกบุรุษที่สมบูรณ์ไปด้วยบุญญาบารมีและบริสุทธิ์กว่าผู้อื่นทั้งแผ่นดิน  จดหมายเหตุของกรมหลวงนรินทรเทวี น้องสาวรัชกาลที่ 1 บันทึกว่า อะแซหวุ่นกี้รบชนะเมืองพิษณุโลกที่มีพระยาจักรี เป็นแม่ทัพฝ่ายไทย แต่ก็ถูกกองทัพของพระเจ้าตากสินโจมตีจนแตกพ่ายยับเยิน ฝ่ายไทยสามารถจับแม่ทัพใหญ่ ได้พม่าหลายหมื่น พม่าแตกเลิกทัพหนีไป  อะแซหวุ่นกี้ถูกกษัตริย์พม่าถอดยศ  และเนรเทศไปอยู่ที่เมืองจักกาย ทั้งที่เคยได้รับการยกย่องในฐานะวีรบุรุษที่รบชนะกองทัพจีนมาแล้ว
รัชกาลที่ 1 จึงรู้สึกอับอายที่ต้องถอยทัพหนีพม่า และริษยาพระเจ้าตากสิน ที่สามารถปราบกองทัพพม่าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในสมัยกรุงธนบุรี และปราบอะแซหวุ่นกี้ที่เอาชนะทั้งกองทัพจีนและพระยาจักรีมาแล้ว จึงบังคับอาลักษณ์แก้ไขประวัติศาสตร์ทุกฉบับ ว่าอะแซหวุ่นกี้มิได้รบกับพระเจ้าตากสิน แต่ต้องถอยทัพไป เพราะกษัตริย์พม่ามีหมายเรียกตัวกลับ และได้รับรางวัลจากกษัตริย์พม่าในฐานะที่ปราบหัวเมืองเหนือของไทยได้สำเร็จ พงศาวดารฉบับพระนพรัตน์บันทึกเรื่องโกหกอย่างน่าขบขัน ว่าพระยาจักรีได้แต่งอุบายให้เอาพิณพาทย์ขึ้นตีบนกำแพงเมือง เพื่อลวงพม่าเหมือนขงเบ้ง ตีขิมลวงสุมาอี้ในเรื่องสามก๊ก แล้วรัชกาลที่ 1 ก็ชิงโอกาสตีฝ่าวงล้อมทัพพม่าที่ล้อมเมืองพิษณุโลกหนีออกมาได้ และเรื่องโกหกที่ อะแซหวุ่นกี้ขอดูตัวเจ้าพระยาจักรี เพราะจะไม่เคยมีแม่ทัพชาติไหนที่จะขอดูตัวแม่ทัพอีกฝ่ายหนึ่งเพื่อสรรเสริญว่า เก่งกาจสามารถเป็นเยี่ยม เนื่องจากเป็นการทำลายขวัญสู้รบของทหารฝ่ายตน และจะมีความผิดเป็นขบถตามกฎมณเฑียรบาลที่ว่าผู้ใดไปคบหาฝ่ายอริราชศัตรูหรือราชทูตของคู่สงครามเพื่อแอบเจรจาจะมีโทษถึงตาย 
รัชกาลที่ 1 ยังเล่าเรื่องโกหกให้เจ้าเวียงจันทร์กับพระยานครศรีธรรมราชฟังในวัดพระแก้ว ให้คนได้ยินกันหลายคนว่าเคยมีซินแส หรือหมอดูจีนหัวร่อ ทำนายว่า พระยาจักรีกับพระยาตากสินจะได้เป็นกษัตริย์ทั้งคู่ เพื่อทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่า พระองค์มีพระปรีชาสามารถเป็นเลิศ มีบุญญาอภินิหารกว่าใครในแผ่นดินรวมทั้งพระเจ้าตากสินด้วย และหาเหตุผลมาสนับสนุนการล้มราชบัลลังก์ของพระเจ้าตากสินกรมพระราชวังบวรฯ ( บุญมา ) น้องชายรัชกาลที่ 1 เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง 60 ที เพราะคลานเข้าถึงตัวพระเจ้าตากสินขณะที่พระองค์ทรงนั่งกรรมฐานอยู่ที่ตำหนักแพ ส่วนพระยาจักรี ก็เคยถูกพระเจ้าตากสินโบยถึง 2 ครั้ง เพราะพระยาจักรี รบกับเจ้าพระฝางด้วยความย่อหย่อนจึงถูกโบย 30 ที และถูกโบยอีก 50 ที เพราะบกพร่องในการทำเมรุเผาพระชนนี(แม่)
พระยาจักรี ได้ถวายบุตรสาวเป็นสนมของพระเจ้าตากสิน ซึ่งสนมพระเจ้าตากสินผู้หนึ่งที่ถูกประหารชีวิตเพราะมีชู้ น่าจะเป็นบุตรสาวของรัชกาลที่ 1 ทำให้รัชกาลที่ 1 เคียดแค้นพระเจ้าตากสินมาก และหาเรื่องประณามพระเจ้าตากว่าเต็มไปด้วย โมหะ โลภะ ทั้งๆที่ พระเจ้าตากสินเป็นผู้นำในการรวบรวมผู้คน ในภาวะสงคราม จนปราบพวกพม่าและชิงกรุงศรีอยุธยากลับคืนมาได้ จึงทรงเป็นผู้นำ ที่รักชาติ กล้าหาญเด็ดเดี่ยว เป็นศูนย์รวมของชาวไทย กอบกู้บ้านเมืองได้สำเร็จในช่วงเวลาเพียงปีเดียว 
พระเจ้าตากมีความเป็นอยู่อย่างง่ายๆ ไม่มีแม้แต่ปราสาทราชวังหลังเดียวในสมัยกรุงธนบุรี มีแต่เพียงท้องพระโรงพระราชวังเดิมที่คล้ายโบสถ์หลังหนึ่งเท่านั้นสมัยพระเจ้าตากสินได้มีการฟื้นฟูพุทธศาสนาหลังภาวะสงครามครั้งใหญ่ ทรงส่งเสริมการปฏิบัติธรรมอย่างกว้างขวาง ทรงเจริญวิปัสสนากรรมฐาน พระสงฆ์จึงอยู่ในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด แต่รัชกาลที่ 1 ต้องการควบคุมพุทธศาสนา โดยกล่าวหาคณะสงฆ์ไทยว่าไม่รักษาศีล ไม่ปฏิบัติตามพระธรรมวินัย เพื่อหาเรื่องเข้าไปควบคุมศาสนจักร ให้รับใช้ราชวงศ์ใหม่ ถึงกับให้ตำรวจวังไปเอาสมเด็จพระวันรัต (ทองอยู่) วัดบางหว้าใหญ่ พระอาจารย์วิปัสสนาของพระเจ้าตากสินให้สึกออกแล้วลงพระราชอาญาเฆี่ยน 100 ที และให้ประหารชีวิต เพราะแค้นที่พระเคยทูลให้พระเจ้าตากสินลงโทษพระองค์ แต่ฟ้าฉิมทรงทูลขอให้ไว้ชีวิตอาจารย์ของตนไว้ รัชกาลที่1 ให้กรมสังฆการีปกครองสงฆ์และแต่งตั้งสมณะศักดิ์ และตัดสินปัญหาที่พระสงฆ์ต้องอธิกรณ์(ถูกลงโทษ) มีการตั้งกรมหลวงรักษ์รณเรศ โอรสของรัชกาลที่ 1 ซึ่งเป็นพวกลักเพศ ชอบมั่วสุมกับเด็กหนุ่มๆ ให้บังคับบัญชากรมสังฆการี
มีความขัดแย้งรุนแรงระหว่างระหว่างกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ( บุญมา ) หรือวังหน้าซึ่งเป็นน้องกับรัชกาลที่ 1 หรือวังหลวง คราวหนึ่งวังหน้าจะสร้างปราสาทมียอดทั้งที่รู้ว่าเป็นของหวงห้ามสำหรับกษัตริย์ได้มีผู้ร้ายเป็นคนของวังหลวงแอบเข้าไปจะฆ่าวังหน้าขณะทรงบาตร จึงต้องเลิกการสร้างปราสาทนั้น    วังหน้าขอให้วังหลวงเพิ่มรายได้แก่ตน แต่วังหลวงไม่ยินยอม จึงโกรธไม่เข้าเฝ้ารัชกาลที่ 1 พวกวังหน้าเห็นขุนนางวังหลวงขนปืนใหญ่ขึ้นป้อม จึงตั้งปืนใหญ่หันไปทางวังหลวงบ้าง พี่สาวรัชกาลที่ 1 ต้องเกลี้ยกล่อมวังหน้าให้เข้าเฝ้า เหตุการณ์จึงสงบลง แต่พวกวังหน้ามักดูหมิ่นพวกวังหลวงว่าสู้พวกตนไม่ได้
ถึงปี 2344 วังหน้าป่วยหนักด้วยโรคนิ่ว ให้คนหามเสลี่ยงเดินรอบวังหน้า แล้วสาปแช่งว่า ใครไม่ใช่ลูกของตน ถ้ามาครอบครองราชสมบัติที่ตนสร้าง ขออย่าให้มีความสุข  เพราะรู้ว่าราชสมบัติจะเป็นของลูกรัชกาลที่ 1 พอมาถึงวัดมหาธาตุ ให้เอาเทียนมาจุดที่ดาบ จะแทงตนเอง พระโอรสต้องเข้าแย่งชิงพระแสงไว้ได้ วังหน้าทรงกันแสงและฝากฝังให้ลูกๆหาทางยึดราชสมบัติกลับคืนมาให้ได้ พอวังหน้าสวรรคต พวกวังหน้าตั้งกองฝึกอาวุธเตรียมการกบฏ โดยมีพระองค์เจ้าลำดวนและอินทปัตพระโอรสใหญ่เป็นหัวหน้า แต่รัชกาลที่ 1 ทรงทราบจึงให้จับประหารทั้งหมด 
รัชกาลที่ 1 ทรงพระประชวรอยู่ 3 ปี สวรรคตปีพ.ศ. 2352  มีพระราชโอสรสและพระราชธิดารวม 42 พระองค์เมื่อเสด็จสวรรคตได้เพียง 3 วันยังไม่ทันราชาภิเษกรัชกาลที่ 2 ก็เกิดคดีเจ้าฟ้าเหม็นเป็นกบฏ หรือสมเด็จพระเจ้าหลานเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิต เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระมารดาคือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงฉิมใหญ่ พระราชธิดาองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ 1 ทรงเป็นหลานตาองค์โตของรัชกาลที่ 1 พอประสูติได้12 วัน พระมารดาสิ้นพระชนม์ ต่อมาอีก 3 ปี คือ 6 เมษายน 2325 พระราชบิดา คือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงถูกเจ้าคุณตา สั่งประหาร พร้อมกับพระญาติอีกหลายพระองค์จนเกือบสิ้นพระราชวงศ์ เจ้าฟ้าเหม็นทรงพ้นชะตากรรมนี้มาได้ก็เพราะยังเล็ก และทรงเป็นหลานคนโต ของเจ้าพระยาจักรี 
เมื่อเจริญวัยขึ้น จึงโปรดพระราชทานวังถนนหน้าพระลาน  ติดกับท่าช้างวังหลวง  เหตุเกิดจากมีบัตรสนเท่ห์กล่าวโทษพระองค์คบคิดกับขุนนางจำนวนหนึ่งคิดแย่งชิงราชสมบัติ เป็นเรื่องแปลกพิสดาร ว่ามีพยานเห็น อีกา คาบกระดาษหนังสือมาทิ้งลงริมพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท (ในวัดพระแก้ว) รัชกาลที่ 2 ให้จับกุมเจ้าฟ้าเหม็นมาสอบสวน ส่วนเจ้าจอมมารดาสำลี จำเลยอีกคนหนึ่งเป็นพระราชธิดาในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีพระนามว่าพระองค์เจ้าหญิงสำลีวรรณ เป็นเจ้าจอมในกรมหลวงเสนานุรักษ์ (พระอนุชาของรัชกาลที่ 2 ต่อมาคือวังหน้าในรัชกาลที่ 2 ) พระโอรสของพระเจ้าตากสินที่ถูกกล่าวหาอีกพระองค์หนึ่งคือนายหนูดำ หรือพระองค์เจ้าชายอรนิภา 
รัชกาลที่ 2 โปรดให้พระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ ( หรือพระองค์เจ้าชายทับต่อมา คือกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ ) ชำระความ ได้ว่า มีขุนนางผู้ใหญ่เข้าร่วมด้วยคือ เจ้าพระยาพลเทพ (บุนนาค บ้านแม่ลา)  พระยาเพ็ชรปาณี (กล่อม) พระยาราม (ทอง)   พระอินทรเดช (กระต่าย) นอกนั้นเป็นชั้นผู้น้อย รวมผู้ต้องหาในคดีนี้ 40 คน กับพระราชวงศ์อีก 3 พระองค์ เจ้าพระยาพลเทพ เมื่อครั้งยังเป็นนายบุนนาค อยู่บ้านแม่ลา แขวงกรุงเก่า เป็นต้นคิดโค่นราชบัลลังก์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี เพื่อถวายราชสมบัติแก่พระยาจักรี จึงได้เป็นเจ้าพระยาไชยวิชิต รักษากรุงเก่า และต่อมาได้เป็นเจ้าพระยาพลเทพ สังกัดกรมนา และเป็นแม่ทัพไปปราบกบฏที่เมืองยิริง หัวเมืองฝ่ายใต้ พอปีรุ่งขึ้นรัชกาลที่ 1 ก็เสด็จสวรรคต จงรักภักดีต่อรัชกาลที่ 1มาตลอด แต่อาจเป็นการฆ่าปิดปากผู้ร่วมก่อการกบฏโค่นล้มพระเจ้าตาก เจ้าชายทับ ชี้มูลผู้ร่วมก่อการกบฏรวมกับข้าในกรมเจ้าฟ้าเหม็นอีก 30 คน ถูกสั่งประหารทั้งหมด ใช้เวลาสอบสวนทั้งสิ้น 4 วัน เป็นอันสิ้นสุดการฆ่าล้างโคตรเพื่อกำจัดเชื้อสายของพระเจ้าตากสิน ชนิดขุดรากถอนโคน ที่เรียกว่า ตัดหวายอย่าไว้หน่อ ฆ่าพ่ออย่าไว้ลูก
รัชกาลที่ 2 ทรงแต่งตั้งเจ้าฟ้าบุญรอดเป็นพระมเหสี ต่อมาโปรดให้เจ้าฟ้ากุณฑล น้องสาวคนละแม่ของตน อายุ 18-19 ปี ขึ้นเป็นมเหสีข้างซ้าย อายุอ่อนกว่าเจ้าฟ้าบุญรอดถึง 30 ปี เจ้าฟ้าบุญรอดทนไม่ได้ จึงหนีออกจากวังหลวงไปอยู่ที่พระราชวังเดิมธนบุรีไม่ยอมเข้าเฝ้ารัชกาลที่ 2 อีกเลยกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์
ผู้ถูกกล่าวหา
ว่าฆ่าพระราชบิดา
กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์เป็นโอรสเจ้าจอมมารดาเรียม และประสูตินอกเศวตฉัตร ตอนปลายรัชกาลที่ 2 ทรงหมกมุ่นกับการกวีและกามารมณ์ ปล่อยให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ คุมทั้งกรมท่าและกรมพระคลังมหาสมบัติ ทำงานแทนร่วม 20 ปี ความจริงรัชกาลที่ 2 ไม่ได้ประชวรมากนัก แต่เพราะเสวยพระโอสถที่จัดถวายโดยเจ้าจอมมารดาเรียม พระอาการจึงทรุดหนักและสวรรคตโดยปัจจุบันทันด่วน โดยกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์สั่งให้ทหารล้อมวัง ห้ามเข้าออก
รัชกาลที่ 2 จึงหมดโอกาสมอบบัลลังก์ให้เจ้าฟ้ามงกุฎ  ซึ่งมีพระชนม์ 20 ปี ขณะอุปสมบทตามราชประเพณี ฉายาว่า " วชิรญาโณ "ผนวชได้ 15 วัน รัชกาลที่ 2 สวรรคต จึงต้องผนวชต่อเพื่อไม่ให้ขัดขวางการครองราชย์ของรัชกาลที่ 3 ซึ่งคุมทั้งการปกครองและการเศรษฐกิจ มีพระชนม์มากกว่าเจ้าฟ้ามงกุฏ 17 ปี         แต่พระองค์เจ้าไกรสรกรมหลวงรักษ์รณเรศ กำกับกรมวัง โอรสรัชกาลที่ 1 เริ่มสะสมไพร่พลมากขึ้น จนรัชกาลที่ 3 ทนไม่ได้ จึงด่ากรมหลวงรณเรศ แล้วจึงให้จับยัดเข้าถุงแดงใช้ไม้ทุบจนตาย
เจ้าฟ้ามงกุฎ
อดีตสมภารผู้มากภรรยา
รัชกาลที่ 4 ทวดของรัชกาลที่ 9  มีประวัติโลดโผนมาก เคยบวชมานานและมีสาวกมาก เป็นผู้ริเริ่มการเทศน์แบบปาฐกถาเร้าอารมณ์ หาเสียงด้วยวิธีที่แหวกแนว มีสาวกคอยช่วยโฆษณาชวนเชื่อ เช่น กระพือข่าวว่า ขณะที่บวชมีพระบรมธาตุพระปฐมเจดีย์แสดงปาฏิหาริย์ตามเสด็จถึงกรุงเทพฯ  มีจระเข้ใหญ่ลอยขึ้นชมบารมี พบเสือร้ายตัวใหญ่เท่าโค นอนชื่นชมบารมี  มีปลาตะเพียนใหญ่กระโดดขึ้นตลิ่ง ไปสุโขทัยมีฝนตกใหญ่ 2 วันซ้อนในฤดูแล้ง มีแต่ปาฏิหาริย์ต่างๆมากมาย  ภิกษุวชิรญาณหาวิธีทำให้ประชาชนศรัทธาหลอกให้คนเข้าใจว่าตนเป็นพระวิเศษและบวชถึง 6 ครั้ง ทั้งๆที่พระองค์อยากเป็นกษัตริย์มากกว่าเป็นพระ แต่ทรงรู้ดีว่าถ้าสึกเมื่อใด ก็หัวขาดเมื่อนั้น จึงต้องทนสะสมกำลัง พอบวชอยู่ที่วัดมหาธาตุได้ไม่ถึงปี ก็วิจารณ์พระสงฆ์ไทยว่าไม่น่าเลื่อมใส ตอบปัญหาไม่ได้ อธิบายไม่ชัดเจน พระองค์ต้องไปศึกษาพระธรรมวินัยกับพระมอญ  หลังจากนั้น 5 ปี ก็กล่าวหาว่าสงฆ์หลายร้อยรูปในวัดมหาธาตุที่สถิตย์ของพระสังฆราช อุปัชฌาย์ของพระองค์เอง ว่าเต็มไปด้วยภิกษุลามกอลัชชี  พระองค์จึงหนีไปตั้งธรรมยุตินิกายที่วัดสมอราย
การที่ภิกษุวชิรญาณคุยโม้โอ้อวดถึงเพียงนี้ นับเป็นเรื่องที่แปลกมาก เพราะพระองค์บวชไม่ถึง 12 เดือน ยังเป็นพระบวชใหม่ แปลบาลีก็ไม่ได้ กลับอ้างว่าพระมอญรู้วินัยดีกว่าพระไทย และตนยังมีสติปัญญาแก่กล้าถึงขนาดถามปัญหาธรรม ไล่ต้อนจนพระอุปัชฌาย์ คือสมเด็จพระสังฆราช (ด่อน)แห่งวัดมหาธาตุ ต้องจนแต้มศิษย์ที่บวชไม่ถึงปี จึงเป็นเพียงการยกตนข่มครูเพื่อการโฆษณาสร้างบารมีและความนิยมในหมู่สาวก เพื่อเตรียมเป็นกษัตริย์ในวันหน้า การตั้งนิกายธรรมยุติก็ไม่มีเหตุผลเพียงพอเพราะมีการปฏิบัติต่างกันเพียงเล็กน้อย เช่น วิธีการครองผ้า วิธีสวดมนต์ และวิธีลงอุโบสถสังฆกรรม แถมตั้งข้อรังเกียจไม่ให้คณะมหานิกายซึ่งเป็นสงฆ์ส่วนใหญ่ของประเทศร่วมสังฆกรรมกับตน โดยไม่ยอมรับว่าการอุปสมบทของฝ่ายมหานิกายบริสุทธิ์พอ ทั้งๆที่ไม่มีหลักฐานว่ามหานิกายต่ำกว่าธรรมยุติ แต่เพื่อสร้างฐานอำนาจของตนเท่านั้น
ในที่สุดภิกษุวชิรญาณก็เล่นการเมืองเต็มที่ ด้วยการคบหากับขุนนางตระกูลบุนนาค ( เจ้าพระยามหาประยูรวงศ์ - ดิศ บุนนาค ) ขณะที่ยังอยู่ในสมณเพศ เมื่อจวนสิ้นรัชกาลที่ 3 พวกบุนนาคอยากให้ภิกษุวชิรญาณเป็นกษัตริย์ จึงปฏิสังขรณ์วัดบุปผารามเป็นวัดธรรมยุติ เมื่อรัชกาลที่ 3 มีอาการทรุด พวกบุนนาคจึงเชิญภิกษุวชิรญาณเจ้าฟ้ามงกุฎขึ้นเป็นกษัตริย์ ซึ่งทรงตกลงทันทีด้วยความยินดี โดยไม่ได้อาลัยอาวรณ์ผ้ากาสาวพัสตร์และตำแหน่งประมุขแห่งธรรมยุตินิกายแม้แต่น้อย ขณะพระชนมายุ 47 พรรษา
พอเป็นพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ก็หลงใหลปลาบปลื้มหมกมุ่นอยู่กับกามารมณ์ พวกขุนนางที่รู้ว่ากษัตริย์พอใจในเรื่องพรรค์นี้ ได้กวาดต้อนเอาผู้หญิงมาบำรุงบำเรอพระองค์เต็มที่ บางคนถึงกับฉุดคร่าเด็กสาวมากราบหรือถวายตัวกษัตริย์อดีตสมภารนักการเมือง เช่น  เจ้าเมืองตราด ฉุดลูกสาวชาวบ้าน 3 คนไป “ ถวายตัวให้กษัตริย์ ” เมื่อพ่อแม่เด็กยื่นถวายฎีกา รัชกาลที่ 4 กลับว่าเจ้าเมืองตราดไม่ผิด ผู้ที่ผิดคือพ่อแม่เด็กที่เป็นคนบ้านนอกที่ไม่รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร แถมยกย่องว่าเจ้าเมืองตราดเอาผู้หญิงมาถวายให้พระเจ้าอยู่หัว เป็นเรื่องดีไม่ควรจะเอาโทษ  
รัชกาลที่ 4 ทรงสะสมสนมในวังมากมาย ทำให้ข้าราชการฝ่ายในมีจำนวนมาก จนแน่นวัง พระองค์เองก็หลงๆลืมๆจำชื่อพระสนมไม่ได้หมด  แม้พระองค์จะแก่ชราเต็มทีแต่ในเวลาสิบกว่าปี ทรงมีลูกถึง 82 คน ซึ่งมากที่สุดกว่าทุกรัชกาล นางสนมทั้งหมดเพิ่งจะพ้นจากวัยเด็ก แต่ต้องไปอยู่ในมือของกษัตริย์ผู้ชรา เช่น เจ้าจอมทับทิม อายุเพียง 15 ปี ถูกพ่อถวายเป็นนางบำเรอรัชกาลที่ 4 อายุ 60 ปี ฟันฟางหักหมดปากตั้งแต่ขณะที่เป็นพระสงฆ์ จึงหนีไปกับคู่รัก แต่หนีไม่พ้น ถูกรัชกาลที่ 4 จับฆ่าทั้งคู่  พระองค์เจ้าหญิงเยาวลักษณ์ธิดาองค์โตของพระองค์ ไปรักใคร่กับสามเณรวัดราชประดิษฐ์  ทำให้ฝ่ายชายต้องถูกประหารชีวิต และฝ่ายหญิงถูกเผาทั้งเป็น 
 ส่วนเจ้าจอมที่มีอายุมากก็ถูกมองเป็นของเก่าแก่ ถูกทอดทิ้งให้อยู่ตามลำพัง เช่น เจ้าจอมมารดาน้อย (หลานปู่ของพระเจ้าตากสิน)ที่อยู่กินกับรัชกาลที่ 4 ตั้งแต่ขณะที่มิได้บวชเป็นพระ เมื่อเห็นรัชกาลที่ 4 หมกมุ่นอยู่กับพระสนมสาวๆ จึงลงเรือเก๋งสั่งให้นายท้ายเรือ พายเรือไปเทียบกับเรือพระที่นั่ง ให้ข้าหลวงหัวเราะเย้ยหยัน ทำให้รัชกาลที่ 4 โกรธให้จับเอาตัวไปขังไว้ในวังหลวง ต้องติดคุกสนมจนตาย ศพเผาที่วัดตรีทศเทพ ทั้งๆที่เจ้าจอมมารดาน้อยเป็นผู้อุปัฏฐากส่งสำรับเช้าเพลด้วยความซื่อสัตย์ขณะที่รัชกาลที่ 4 ยังบวชอยู่ แม้ว่าตัวเองและลูกๆถูกกลั่นแกล้งโดยพวกเจ้าที่เป็นศัตรูของรัชกาลที่ 4 ก็ยอมทน  แต่พระองค์กลับไม่คิดถึงคุณงามความดีเลย สมเด็จพระพุฒาจารย์(โต) แห่งวัดระฆังยอดสงฆ์ฝ่ายมหานิกายผู้สมถะเคยเดินถือไต้ดวงใหญ่ เข้าวังหลวงในเวลาเที่ยงวัน ปากก็บ่นว่า “มืดนัก ในนี้มืดนัก มืดนัก”
รัชกาลที่ 4 กับพระปิ่นเกล้าพระอนุชา ก็ไม่ค่อยจะถูกกันนัก เพราะทรงระแวงที่พระปิ่นเกล้ามีผู้นิยมมาก และไม่ค่อยยำเกรงรัชกาลที่ 4 โดยมักจะล้อ ว่า “ พี่ทิต พี่เถร หรือ แก่วัด ” รัชกาลที่ 4 ต้องยกพระปิ่นเกล้าเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์ที่สอง เพราะมีผู้ยำเกรงพระปิ่นเกล้ากันมากว่าเป็นผู้มีวิชา และยังมีทหารในมือมาก รัชกาลที่ 4 ไม่พอใจที่มีคนว่าพระองค์“ชรา คร่ำเคร่ง ผอมโซ ทำงานไม่เก่ง ไม่แข็งแรง โง่เขลา” จึงออกกฎหมาย ห้ามประชาชนวิพากษ์วิจารณ์พระกายของกษัตริย์ว่า ในขณะที่มีคนพูดยกย่องพระปิ่นเกล้า ว่าเป็นหนุ่มแข็งแรง เก่งการทหารมาก มีวิทยาอาคมดี และเวลาไปไหนก็ “ได้ลูกสาวเจ้าบ้านผ่านเมืองมาทุกที” แต่พระองค์ไม่ได้บ้างเลย จึงริษยา และบ่นว่าตนไปไหนมันก็ว่า ชรา ไม่มีใครให้ลูกสาวเลย
ต่อมาพระปิ่นเกล้าสวรรคตด้วยยาพิษโดยรัชกาลที่ 4 จ้างหมอให้ทำ ตามบันทึกที่เขียนโดยนางแอนนาเลียวโนเวนส์ (Anna Leonowens) เลขานุการของรัชกาลที่ 4 ว่า เป็นที่รู้เห็นกันทั่วไป พระเจ้ากรุงสยามเป็นกษัตริย์ที่โหดร้ายชั่วช้ามาก และมีความอาฆาต พยาบาทอย่างรุนแรง มีพระนิสัยอิจฉาริษยาอย่างมาก และหลังจากที่พระปิ่นเกล้าสวรรคต ทรงแก้แค้น โดยบังคับให้พระนางสุนาถวิสมิตรา มเหสีของพระปิ่นเกล้า ให้มาเป็นเจ้าจอมหรือภรรยาน้อยของตน แต่พระนางไม่ยอม จึงถูกจับกุมขังไว้ในวังหลวง แต่โชคดีที่หนีไปเมืองพม่าได้ รัชกาลที่ 4 ประชวรด้วยโรคไข้ป่า จากการเสด็จทอดพระเนตรสุริยุปราคา และได้พระราชทานพระประคำทองคำให้กับเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ นำไปถวายเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์  ก่อนสวรรคตในวันที่ 1 ตุลาคม 2411เมื่อ ร.4 สวรรคต ถึงยุค
ขุนนางตั้งกษัตริย์กันเอง
 สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ได้ใช้สิทธิ์พิเศษ แต่งตั้งเจ้านาย 2 พระองค์ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พร้อมๆ กัน คือทั้งเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์รัชกาลที่ 5 และ พระองค์เจ้ายอดยิ่งยศ กรมหมื่นบวรวิไชยชาญ โอรสของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้าโดยให้คงพระอิสริยยศต่างๆ เท่ากับพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีฐานะเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่สอง แต่อำนาจการสั่งราชการทั้งปวงตกอยู่แก่เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์เพียงผู้เดียวในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ เป็นระยะเวลานาน 5 ปี โดยมิได้รับการขัดขวางใดๆ 
เมื่อรัชกาลที่ 5 มีพระชนมพรรษา ใกล้ 20 พรรษา ในขณะที่ผู้สำเร็จราชการแผ่นดินใกล้ที่จะหมดวาระ พระองค์จึงพยายามรวมศูนย์ ดึงเอาอำนาจในการเก็บภาษีอากร มาไว้ที่หอรัษฎากรพิพัฒน์ซึ่งพระองค์ทรงควบคุม ทรงสร้างทางรถไฟ เพื่อส่งกองทัพไปควบคุมขุนนางตามหัวเมืองทำให้มีภาษีอากรหลั่งไหลเข้าท้องพระคลังมากกว่าเดิม
การเลิกทาสในปี 2417 และยกเลิกการเกณฑ์แรงงานไพร่ในปี 2421 เพื่อลดการซ่องสุมไพร่พลของขุนนางใหญ่ในกรุงและหัวเมือง โดยเฉพาะขุนนางตระกูลบุนนาค ประกอบกับไทยเริ่มผลิตข้าวส่งออก จึงต้องการแรงงานอิสระเพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพ  ทรงรวมอำนาจไว้ที่ศูนย์กลาง เปลี่ยนเเปลงรูปแบบรัฐ ไปสู่รัฐสมัยใหม่ หรือรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั้งพระราชวงศ์และขุนนางไม่พอใจพระองค์เป็นอย่างมาก 
จนกระทั่งวังหน้าได้ยินข่าวลือว่าวังหลวงจะทำร้ายตน จึงหนีไปอยู่ในความคุ้มครองของอังกฤษ รัชกาลที่ 5 ต้องการรวบอำนาจจึงวางแผนที่จะจับวังหน้า โดยแสร้งก่อไฟไหม้วังหลวงแล้วให้วังหน้าคุมทหารมาช่วยดับไฟจะได้กล่าวหาว่าวังหน้าเป็นกบถ แล้วจับตัวไว้และให้สละตำแหน่ง ถ้าไม่ยอมจะสำเร็จโทษ พอจุดไฟไหม้ในวังหลวง บังเอิญวังหน้าไม่ยอมไปช่วยดับไฟ เพราะเป็นโรคไขข้ออักเสบ ทรงถือโอกาสกล่าวหาวังหน้ามีแผนการจะยึดวังหลวงและให้เอาปืนใหญ่หันไปทางวังหน้า โดยล้อมวังหน้าไว้ทุกด้าน ทางแม่น้ำก็มีเรือปืนเฝ้าไว้ แต่วังหน้าลงเรือหนีไปขอให้ข้าหลวงอังกฤษที่สิงคโปร์ไกล่เกลี่ย ฝรั่งเศสและอังกฤษส่งเรือรบของตนเข้ามาที่กรุงเทพ อ้างว่าเพื่อรักษาผลประโยชน์ของพวกตน มีการพูดกันว่า ควรแบ่งไทยเป็นสามส่วน ให้รัชกาลที่ห้า , วังหน้าและสมเด็จเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ปกครองกันคนละส่วน แต่ผู้สำเร็จราชการอังกฤษที่สิงคโปร์ไม่เห็นด้วย เพราะฝรั่งเศสจะได้ภาคตะวันออกของไทย ส่วนอังกฤษได้เพียงฝั่งตะวันตก ซึ่งทำเลค้าขายไม่ดี จึงตัดสินใจเข้าข้างวังหลวงบีบบังคับให้วังหน้าต้องออกจากกงสุลอังกฤษ กลับวังด้วยความคับแค้นใจ
การรวมศูนย์อำนาจ ทำให้กษัตริย์ได้ภาษีอากรมากกว่าเดิมมากมาย แต่ถูกนำไปใช้อย่างฟุ่มเฟือย พวกเจ้ามีชีวิตที่เหลวไหล มีการสร้างปราสาทราชวัง เพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์มากที่สุด พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทแบบวิกตอเรียขนาดใหญ่ พระที่นั่งอนันตสมาคมซึ่งเป็นหินอ่อนอิตาลีทั้งหลัง   มีการนำเอาภาษีอากรของประชาชนมาบำรุงบำเรอความสุขของพวกเจ้า พระมเหสีใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย สะสมเครื่องเพชร จับจ่ายซื้อหาอัญมณีชั้นยอดมากกว่าพระราชินีและกษัตริย์ทุกพระองค์ในย่านเอเซีย
 รัชกาลที่ 5 มีพระมเหสี 9 พระองค์ คือ 1.สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์ (หรือพระนางเรือล่มที่สวรรคตพร้อมพระธิดาเล็กและพระโอรสในพระครรภ์)พระมเหสีองค์แรก 2. สมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา บรมราชเทวี หรือสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี (สมเด็จย่าของในหลวงรัชกาลที่ 8 และ  9) เป็นน้องสาวคนกลาง 3. สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี บรมราชินีนาถ หรือสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ (พระราชชนนีในรัชกาลที่ 6 และ 7) เป็นน้องสาวคนเล็ก ทั้งสามคนมีพ่อคือรัชกาลที่ 4 และมีแม่คือเจ้าจอมมารดาเปี่ยม 4. สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี (ต้นสกุล บริพัตร)  5.พระองค์เจ้าทักษิณชา นราธิราชบุตรี 6.พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าเสาวภาคนารีรัตน์ 7. พระอัครชายาเธอ พระองค์เจ้าอุบลรัตน์นารีนาค 8.พระวิมาดาเธอ พระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์ 9.พระราชชายา เจ้าดารารัศมี ( รับการสถาปนาก่อนเสด็จกลับเชียงใหม่ หลังจากที่ล้านนารวมเข้ากับสยามประเทศ ) หลังปี 2475 ได้มีผู้พยายามนำเอาเครื่องเพชรเหล่านี้มาเก็บไว้เป็นของแผ่นดิน แต่ถูกพวกเจ้าคัดค้าน และพวกทายาทก็ได้รับการจัดแบ่งทรัพย์สมบัติเหล่านี้ไปจนหมดในสมัยรัชกาลที่ 9 
 ขณะที่กษัตริย์ และเหล่าราชนิกุลเสพย์สุขอยู่ในวัง และทะเลาะเบาะแว้งเรื่องไร้สาระ ประชาชนส่วนใหญ่กลับมีสภาพยากจน พระสุริยานุวัติ เล่าในหนังสือทรัพย์ศาสตร์ ชี้ให้เห็นถึงชีวิตของชาวไร่ชาวนา ซึ่งเป็นคนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของประเทศในเวลานั้นว่า ยากจนขัดสนต้องซื้อของราคาแพง ถ้ากู้ก็ต้องเสียดอกเบี้ยแพง จำเป็นต้องรีบขายข้าวในราคาต่ำ แต่กษัตริย์กลับมิได้เหลียวแล พระเจ้าแผ่นดินไม่ต้องทำอะไร เพราะไม่มีความกังวลในศึกสงคราม มีแต่แสวงหาความสุข เอาเงินของแผ่นดินไปใช้ส่วนพระองค์ ทำให้ขาดงบประมาณที่ใช้พัฒนาบ้านเมือง  ทั้งการศึกษา อนามัย การส่งเสริมเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พานิชยกรรม ราชสำนักได้รับงบประมาณถึง 1/7 หรือ 14% ของงบประมาณ ขณะที่ประชาชนหลายล้านที่ต้องเสียภาษี กลับได้รับงบประมาณเพียง 1/6หรือ 17%  พอๆกับรายจ่ายสำหรับกษัตริย์เพียงคนเดียว ชาวนาภาคกลางต้องเสียภาษี ดอกเบี้ยและค่าเช่า รวมถึง 3/5 หรือ 60% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนชาวนาในภาคอื่นนั้น ที่ดินไม่อุดมสมบูรณ์ ชาวอิสานต้องเร่ร่อนไปยังที่ต่างๆเพื่อหาอาหาร ในปี 2433 และ 2452 ชาวนาที่ขัดสนรวมตัวกันยื่นฎีกา ขอกู้เงินหลวงเพื่อนำไปซื้ออาหาร แต่รัชกาลที่ 5 ปฏิเสธ ทั้งๆที่พระองค์ยอมปล่อยเงินกู้ให้พ่อค้าจีน เพราะได้ดอกเบี้ยงาม เศรษฐกิจแย่ลงข้าวราคาตก ราษฎรคับแค้น อับจน ไม่มีทางออก
วชิราวุธ กษัตริย์ผู้หลงไหล
อยู่กับวรรณกรรมและการละคร
รัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ขึ้นเป็นสยามมกุฎราชกุมาร พระราชมารดาให้เป็นพระมเหสีเอก คือสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนาพระบรมราชเทวี แต่อยู่ได้เพียง 8 ปี เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศสวรรคต ในปี 2437  พระชันษา 16 ปีเศษพระราชโอรสองค์ถัดมาของพระมเหสีเอก พระนางเจ้าสว่างวัฒนา (หรือแม่กลาง) น่าจะได้รับตำแหน่งต่อซึ่งมีอยู่ 2 พระองค์ คือ เจ้าฟ้าสมมติวงศ์วโรทัย (2425-2442) และเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช (2434-2472) แต่รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำรัสว่าลูกแม่กลางกับลูกแม่เล็ก (คือเสาวภาผ่องศรี) ให้เหมือนแม่เดียวกัน เรียงตามอายุในการสืบสันตติวงศ์ จึงสถาปนาสยามมกุฎราชกุมารพระองค์ใหม่ คือเจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ และยกให้พระราชมารดาขึ้นเป็นพระมเหสีเอก คือสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรียกขึ้นเป็นสมเด็จพระศรีพัชรินทร พระพันปีหลวง มีเจ้าฟ้าขึ้นเป็นกษัตริย์ 2 พระองค์ต่อกัน คือรัชกาลที่ 6 และที่ 7
23 ตุลาคม  2453  รัชกาลที่ 5 สวรรคต เจ้าฟ้าวชิราวุธได้ครองราชย์  เศรษฐกิจยิ่งแย่ลง พระองค์กลับใช้จ่ายฟุ่มเฟือยมากขึ้นในเรื่องโขนละคร ไม่ยอมแบ่งเงินไปพัฒนาประเทศ ประชาชนได้รับงบประมาณเพียงเล็กน้อยไม่ผิดกับสมัยรัชกาลที่ 5  พระองค์ใช้จ่ายเงินมากกว่างบสร้างเขื่อนไม่รู้กี่เท่าตัว จนมีหนี้ส่วนพระองค์หลายล้านบาท ส่วนหนึ่งเกิดจากการซื้อเพชรพลอย แจกข้าราชบริพารคนโปรด ทรงสั่งกระทรวงพระคลังมหาสมบัติจ่ายเงินแผ่นดินใช้หนี้ของพระองค์เพิ่มอีก 3 ล้านบาท มหาดเล็กคนโปรด คือ พระยารามราฆพคนพี่ได้บ้านไทยคู่ฟ้า คือทำเนียบรัฐบาลเป็นของขวัญ ส่วนเจ้าคุณอนิรุทธิ์เทวาได้บ้านพิษณุโลก อีกคนหนึ่งได้บ้านมนังคศิลา พระราชสำนักของพระองค์เป็นที่เกลียดชังอย่างรุนแรง ประชาธิปก กษัตริย์
ผู้ไม่อาจรั้งประชาธิปไตย
รัชกาลที่ 6 ไม่มีพระราชโอรส ราชบัลลังก์จึงสืบทอดไปสู่พระอนุชาที่ร่วมพระชนนีเดียวกัน เริ่มจากเจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ แต่ทิวงคตปี  2463  ถัดมา คือเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ แต่ก็ทิวงคตปี  2467 ส่วนเจ้าฟ้าจุฑาธุชธราดิลก ก็สิ้นพระชนม์ไปก่อนในปี 2466 
จึงเหลือ เจ้าฟ้าประชาธิปกศักดิเดชน์ พระองค์เดียวขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 7  โดยมีความทันสมัยกว่าพี่ชายและพ่อ (คือรัชกาลที่หกและรัชกาลที่ห้า) คือเห็นว่า “...ฐานะของพระเจ้าอยู่หัวกำลังตกอยู่ในสภาวะลำบาก ความเคลื่อนไหวทางความคิดในประเทศ ระบบอำนาจของคนๆเดียวเหลือเวลาน้อยเต็มที....”  แต่พระองค์ก็มิได้ทรงผลักดันให้มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ จนสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ การเมืองเลวร้ายลง จนเกิดกรณีการเปลี่ยนแปลงในปี 2475
อานันทมหิดลกษัตริย์หนุ่ม
ผู้เป็นเหยื่อของความทะเยอทะยาน
รัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ โดยมีพระราชหัตถเลขาลงวันที่ 2 มีนาคม  2477  การสืบสันตติวงศ์มาตกอยู่กับเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช แต่สิ้นพระชนม์ไปก่อน จึงเลื่อนมาสู่พระโอรส คือพระองค์เจ้าอานันทมหิดล สภาผู้แทนราษฎร ลงมติอัญเชิญขึ้นครองราชย์ในวันที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2477 มีพระชนม์เพียง 9 พรรษาทรงได้รับอิทธิพลจากการสละราชบัลลังก์ของรัชกาลที่ 7 จึงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติและเลิกล้มระบบกษัตริย์ เพราะเห็นว่าเป็นการเอาเปรียบประชาชน และผู้ปกครองประเทศควรมาจากการเลือกตั้ง โดยพระองค์จะลงเล่นการเมืองในระบอบประชาธิปไตย ทำให้ราชวงศ์ไม่สบายพระทัย และทรงเห็นด้วยกับความคิดในการปรับปรุงประเทศของ ดร.ปรีดี พนมยงค์ ซึ่งเคยเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ และยังมีข่าวลือความขัดแย้งเรื่องการจะแต่งงานใหม่ของราชวงศ์ชั้นสูงที่เป็นหม้ายเมื่อยังสาวรวมถึงข่าวลือเรื่องชู้สาว  
แล้วสิ่งที่ไม่มีใครคาดฝันก็ได้เกิดขึ้น เมื่อเวลา 9.30 น. ของวันที่ 9 มิถุนายน 2489....มีเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด
จากห้องบรรทม
ชั้นบนของพระที่นั่งบรมพิมาน
แพทย์สรุปตรงกันว่า....
เกิดการลอบปลงพระชนม์
และยังมีข้อมูลที่น่าสังเกต ดังนี้
1. ผู้ที่ฆ่า คงมิใช่บุคคลอื่นที่อยู่นอกพระที่นั่งบรมพิมาน เพราะว่าได้มีการจัดทหาร ตำรวจวัง ล้อมรอบพระที่นั่งอย่างเข้มงวด ถ้าไม่ใช่คนในพระที่นั่งบรมพิมานจะปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8 ไม่ได้เลย เพราะไม่อาจเล็ดลอดยามจำนวนมากขึ้นไปบนพระที่นั่งและไม่สามารถหนีไปได้พ้นเมื่อยิงในหลวงแล้ว นายแพทย์สุด แสงวิเชียร ตรวจสอบบาดแผลพบว่า ตรงที่ถูกยิงมีรอยกดของกระบอกปืนเป็นวงกลม แสดงว่าผู้ยิงต้องเอาปืนกระชับยิงลงที่หน้าผาก  ไม่ปรากฏว่ามุ้งมีรอยทะลุ แสดงว่าคนร้ายต้องเลิกมุ้งออก แล้วจึงเอาปืนจ่อยิงในหลวง โดยผู้ยิงต้องเป็นคนรูปร่างสูง แขนยาว เพราะจากขอบเตียงถึงบาดแผลห่างกันถึง 66 ซม. ถ้ารูปร่างเล็กแขนสั้นจะทำไม่ได้ (พวกเจ้ากล่าวหาว่า เรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช รูปร่างเล็กเป็นคนยิง) ถ้าผู้ร้ายเป็นบุคคลอื่น ซึ่งไม่สนิทสนมกับรัชกาลที่ 8 มาก จะทำไม่ได้ เพราะพระองค์ตื่นขึ้นมาและเข้านอนถึงสองครั้งย่อมหลับไม่สนิท ทรงรู้ตัวก่อนที่คนร้ายจะทำการได้  
2. คำให้การ มีพิรุธมาก คือ-ทุกคนที่อยู่ในพระที่นั่งได้ยินเสียงปืนดังสนั่น ทั้งชั้นล่างและชั้นบน มีแต่พระอนุชาและพระชนนีเท่านั้นที่ไม่ได้ยินเสียงปืน
-พระพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ นักเรียนพยาบาลรุ่นเดียวกับพระชนนี ให้การว่า ตนอยู่ในห้องพระอนุชา 20 นาที ก่อนมีเสียงปืน และไม่พบพระอนุชาในห้องนั้นเลย
-พระอนุชา บอกให้พระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์ ฟังว่า ขณะที่ผู้ร้ายยิงปืนนั้น ตนเองอยู่ในห้องของตน ขัดแย้งกับคำให้การของพี่เลี้ยงเนื่อง จินตะดุลย์ ซึ่งอยู่ในห้องของพระองค์ในขณะนั้น
- นายเวศน์ สุนทรวัฒน์ มหาดเล็กหน้าห้องพระอนุชา ให้การว่า แม้ห้องนอนของพระอนุชา มีประตูติดกับห้องเครื่องเล่น แต่ประตูนี้ปิดตายตลอดเวลา ถ้าพระอนุชา ต้องการจะเข้าห้องเครื่องเล่น จะต้องเข้าทางประตูด้านหน้าของห้องเครื่องเล่น มิใช่เข้าทางประตูด้านหลังซึ่งติดต่อกับห้องของพระอนุชา
การที่พระอนุชาให้การว่าตนเข้าๆ ออกๆระหว่างห้องเครื่องเล่นกับห้องนอน น่าจะเป็นเรื่องโกหก โดยปกติเมื่อ กินข้าวเช้าอิ่ม ท่านจะเดินเข้าไปห้องบรรทมของในหลวงรัชกาลที่ 8 ก่อนเสียงปืนไม่นานนัก โดยที่นายชิตและบุศย์มิได้ห้ามปราม เพราะปกติพี่น้องคู่นี้นั้น ถ้าใครตื่นก่อน มักจะเข้าไปยั่วอีกคนให้ตื่น ฉะนั้นนายชิตและบุศย์ จึงไม่สงสัยถ้าพระอนุชาเดินเข้าไปในห้องในหลวง
และไม่น่าเป็นอุบัติเหตุ ถ้าล้อเล่นก็ไม่น่าจะถึงกับเอาปืนจ่อกระชับที่หน้าผาก และน่าจะรู้ว่าปืนนั้นไกอ่อน
คำให้การของนายฉลาด เทียมงามสัจที่เฝ้าเครื่องเสวยอยู่มุขหน้า ว่าไม่เห็นผู้ร้ายวิ่งออกจากห้องบรรทมเป็นการโกหกชัดๆ เพราะเมื่อปลงพระชนม์แล้ว ผู้ร้ายจะต้องวิ่งหนีออกจากห้องพระบรรทม นายฉลาดยอมรับในศาลว่า ตั้งแต่ถูกเรียกตัวไปสอบสวนก็ได้เบี้ยเลี้ยงจากสันติบาลวันละ 3 บาท หลังจากที่ถูกปลดจากสำนักราชวัง ก็ยังได้รับการบรรจุเข้าทำงานที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ด้วยความสนับสนุนของพนักงานสอบสวน
ส่วนนายชิตกับนายบุศย์ก็พูดมากไม่ได้ เพราะการฟ้องร้องคดีสวรรคตนี้เกิดขึ้นหลังจากที่พวกทหารก่อรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลเลือกตั้ง ให้พระพินิจชนคดี ซึ่งเป็นพวกของฝ่ายเจ้าได้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และดำเนินการสอบสวน นายชิตเองถูกฉีดยาให้เคลิบเคลิ้ม ถูกขู่เข็ญสารพัด ทั้งคู่รู้ดีว่า พวกเจ้าและพระพินิจฯ จะต้องเล่นงานพวกนายปรีดี พนมยงค์ให้ได้ โดยใช้กรณีสวรรคตเป็นเครื่องมือ ฉะนั้นถึงตนพูดความจริง ก็ไม่มีประโยชน์ ซ้ำจะเป็นอันตรายถึงครอบครัว เพราะทั้งคู่รู้ดีว่า มีการใช้อำนาจเผด็จการอย่างป่าเถื่อน เช่น ยิงทิ้ง จับกุมคุมขังและทรมานผู้บริสุทธิ์ จึงยอมปิดปาก หวังที่จะได้รับความเมตตาของศาล และอย่างน้อยน่าจะได้รับคำความกรุณาจากในหลวง ถ้าศาลตัดสินประหารชีวิต น่าจะได้รับพระราชทานอภัยโทษ ไม่ต้องถูกประหารชีวิตและครอบครัวจะได้รับการเลี้ยงดู แต่หลังจากที่ทั้งคู่ถูกตัดสินประหารชีวิต แม้จะถวายฎีกา ก็ไม่ได้รับการพิจารณา จอมพล ป.ได้ขอพระราชทานอภัยโทษถึง 3 ครั้ง  แต่รัชกาลที่ 9 ไม่ทรงโปรด แต่พวกเจ้าก็ส่งเงินอุดหนุนจุนเจือ ครอบครัวผู้ถูกประหารชีวิตเสมอมา เพื่อป้องกันมิให้โวยวาย 4.เมื่อหลักฐานพยานแวดล้อมผูกมัดตัวผู้ต้องสงสัย ศาลควรต้องสอบสวนอย่างจริงจังโดยไม่มีการยกเว้น แต่มีอำนาจมืดจากการรัฐประหารที่ปกป้องพวกเดียวกัน และโยนบาปไปให้พวกของนายปรีดี เช่น
-มีการสร้างพยานเท็จว่านายปรีดีและพวก ปรึกษากันว่าจะฆ่ารัชกาลที่ 8 ที่บ้านพระยาศรยุทธเสนี โดยมีนายตี๋ ศรีสุวรรณ รู้ความลับนี้ ในภายหลัง นายตี๋ ยอมรับว่าตนให้การเท็จ
ยังมีนายวงศ์ เชาวนะกวี ให้การว่าได้ยินนายปรีดีพูดกับตนว่า ต่อไปนี้นายปรีดีจะไม่ป้องกันราชบัลลังก์ ทั้งที่นายวงศ์มิใช่ผู้ที่สนิทชิดเชื้อกับนายปรีดี
-มีการทำลายหลักฐานต่างๆ เช่น การสั่งให้พระพี่เลี้ยงเนื่องทำความสะอาดพระศพ ให้หมอนิตย์เย็บบาดแผล มีการผลัดเสื้อผ้าพระศพ หมอนถูกนำไปฝัง มีการย้ายพระศพและยกเอาไปไว้บนเก้าอี้โซฟา การแตะต้องพระบรมศพนั้น มิใช่ว่าจะกระทำได้ง่ายๆ ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้านายผู้ใหญ่ก่อนเท่านั้น
เมื่อรัฐบาลพลเรือนจะชันสูตรพระศพกลับถูกคัดค้านจากพระองค์เจ้ารังสิตประยูรศักดิ์และพระชนนี    แม้แต่ศาลฎีกา ก็พยายามช่วยเหลือผู้ต้องสงสัยตัวจริง และโยนความผิดให้ผู้อื่น เช่น-มีเพียงสองคนเท่านั้น ที่ไม่ได้รับการตรวจพิสูจน์เขม่าปืนที่มือ คือ พระอนุชาและพระชนนี เมื่อนายตำรวจคนหนึ่งเสนอให้ทำการพิสูจน์ด้วย กลับถูกสั่งปลดออกจากราชการ
-ศาลไม่ซักค้านพยาน ต่อหน้าจำเลย แต่กลับสืบผู้ต้องสงสัยบางราย ที่สวิสเซอร์แลนด์ คือพระอนุชาและพระชนนี ในวันที่ 12 และ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 โดย ไม่ยอมให้จำเลยและทนายไปซักค้าน แม้ผู้ต้องสงสัย ให้การสับสน ทนายจำเลยก็ซักค้านไม่ได้
มีผู้ที่น่าสงสัยที่สุดที่ได้รับประโยชน์จากการสวรรคตของรัชกาลที่ 8 แต่อัยการกลับซักถามเพียงไม่กี่คำ และเลี่ยงที่จะไต่ถามในสิ่งที่เป็นสาระสำคัญ คดีสวรรคตเป็นคดีสำคัญ แต่มีผู้พิพากษา 5 คนเท่านั้น ที่เป็นผู้ตัดสินคดี โดยที่คณะศาลฎีกาไม่ยอมเอาคดีนำขึ้นสู่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ก็เพราะไม่อยากให้มีผู้ที่จับได้ไล่ทัน และทำการคัดค้าน
- เพื่อให้ความผิดพ้นจากตัวผู้ต้องสงสัยบางราย ศาลฎีกาถึงกับประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์อย่าง นายเฉลียว ปทุมรส ซึ่งศาลฎีกาไม่สามารถวินิจฉัยได้ว่า เกี่ยวข้องกับการสวรรคตอย่างไร ศาลวินิจฉัยไม่ได้ว่าใครเป็นฆาตรกรตัวจริง แต่กลับพิพากษาให้ประหารชีวิตนายเฉลียวเพียงเพราะนายเฉลียวใกล้ชิดกับนายปรีดี
 การกำจัดรัชกาลที่ 8 นั้น นับว่าได้ผลสองต่อ คือ นอกจากจัดการกับรัชกาลที่ 8 แล้ว ยังได้กำจัดนายปรีดี ซึ่งเป็นศัตรูของพวกเจ้า อีกทั้งนายปรีดีรู้มากไปหน่อย สมควรที่จะถูกกำจัด นายปรีดีต้องลี้ภัยการเมืองตั้งแต่ปี 2491 และถึงแก่กรรมในต่างประเทศขณะเกิดเหตุปลงพระชนม์ คุณเฉลียว ปทุมรสอยู่ไกลจุดเกิดเหตุนับสิบกิโลเมตร และได้ออกจากราชการไปแล้ว ส่วนคุณชิต-คุณบุศย์นั่งอยู่หน้าประตูทางเข้าห้องพระบรรทม ถ้ามีผู้เข้าไปปลงพระชนม์ก็จะต้องเห็นอย่างแน่นอน คุณฟัก ณ สงขลา ทนายความของสามจำเลย เคยสอบถามคุณชิต-คุณบุศย์ว่า ใครเข้าไปปลงพระชนม์ในหลวง คุณชิต-คุณบุศย์ ไม่ยอมพูด แต่ พล.ต.อ.เผ่า ศรียานนท์ รัฐมนตรีมหาดไทยและอธิบดีกรมตำรวจเป็นประธานควบคุมการประหารชีวิตผู้บริสุทธิ์ทั้งสามได้มีโอกาสพูดคุยตามลำพังได้ทำบันทึกคำสนทนากับผู้ต้องโทษประหารชีวิตทั้งสามคนในเช้าวันนั้น แล้วเสนอจอมพล ป. นายกรัฐมนตรี เมื่ออ่านแล้วได้สั่งให้เก็บไว้ในแฟ้มลับสุดยอด
ต่อมาจอมพล ป. พิบูลสงคราม เตรียมออกกฎหมายให้อำนาจรื้อฟื้นคดีสวรรคตที่ศาลฎีกาตัดสินไปแล้ว เพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกประหารชีวิตทั้งสามคนและนายปรีดี ทางวังจึงได้ผลักดันจอมพลสฤษดิ์ทำการโค่นล้มจอมพลป.และพล.ต.อ.เผ่าเพื่อมิให้มีการฟื้นคดีสวรรคตขึ้นมาอีก กำเนิดของราชวงศ์จักรีก็มาจากการสมคบกัน ก่อการกบฏโค่นราชบัลลังก์ของพระเจ้าตากสินยอดวีรกษัตริย์ผู้กอบกู้เอกราชของชาติ ในขณะที่มีข้อบ่งชี้ที่ค่อนข้างชัดเจนว่าใครคือฆาตกรปลงพระชนม์รัชกาลที่ 8  แต่ราชวงศ์จักรีก็พยายามแต่งเรื่องโกหกเพื่ออวดอ้างว่าพวกตนคือธรรมราชาที่เป็นเหมือนพ่อของประชาชน
แม้แต่ศิลาจารึกหลักที่ 1ที่ค้นพบสมัยรัชกาลที่สี่ ก็เป็นของที่ทำกันขึ้นมาเองเพราะตัวอักษรเป็นแบบสมัยใหม่ คือดึงสระเข้าบรรทัด และใช้วรรณยุกต์เหมือนสมัยรัตนโกสินทร์ซึ่งต่างจากศิลาจารึกสมัยสุโขทัยหลักอื่น ๆ ที่ชาวสุโขทัยโบราณมีการออกเสียงต่างออกไปและเรื่องที่จารึกมิได้เป็นเอกสารประวัติศาสตร์ ที่บันทึกเหตุการณ์ในอดีต หากเป็นเรื่องแต่งที่เอาไว้สั่งสอนคน  และอวดอ้างถึงความอุดมสมบูรณ์  มีเสรีภาพในการทำอาชีพและหลวงท่านไม่เบียดเบียน "เพื่อนจูงวัวไปค้าขี่ม้าไปขายฯ" และ "เจ้าเมืองบ่เอาจกอบในไพร่ฯ" มีกฎหมายที่เป็นยุติธรรม "(ใคร) ล้มตาย...เหย้าเรือน..ป่าหมาก ป่าพลู..ไว้แก่ลูกมันสิ้น" และพ่อเมืองย่อมฟังเสียงประชาชน"ผิแลผิดแผกแสกว้างกัน.จึงแล่งความแก่ขาด้วยซื่อ ๆ" และ "ปากประตูมีกระดิ่งอันณื่งฯ""พ่อขุนรามคำแหง...ปลูกไม้ตาลนี้ ได้สิบสี่เข้าจึงให้ช่างฟันขดานหิน ตั้งกลางไม้ตาลนี้...พ่อขุนรามคำแหง...ขึ้นนั่งเหนือขดานหินให้ฝูงท่วยลูกเจ้าลูกขุน ฝูงท่วยถือบ้านถือเมือง...ขดานหินนี้ชื่อมนังศิลาบาตรสถาบกไว้นี่ จึ่งทั้งหลายเห็น"
ซึ่งเรื่องทั้งหมดเป็นเรื่องที่ไม่มีจริง เพราะเป็นสมัยของไพร่และทาส แต่รัชกาลที่ 4 ต้องการโฆษณาชวนเชื่อว่าราชวงศ์จักรีสืบเชื้อสายมาจากพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัย ที่สงบสันติ เป็นกษัตริย์ผู้ทรงธรรมมิใช่มีแต่การแย่งชิงราชสมบัติรบราฆ่าฟันกันเลือดท่วมราชบัลลังก์แบบสมัยอยุธยา แต่การก่อตั้งราชวงศ์จักรีจาการสมคบกันก่อกบฏ รวมทั้งกรณีสวรรคตของรัชกาลที่ 8 ก็พอจะชี้ให้เห็นว่าข้อเท็จจริงนั้นเป็นเช่นใด ราชวงศ์จักรีนั้นมีแต่ความสูงส่งน่าเทิดทูนจริงหรือไม่.......
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น