ตราองค์การสหพันธรัฐไท |
องค์การสหพันธรัฐไท
|
ติดตามรายการสด ได้ที่
FAIYEN CHANNEL :
YAMMY CHANNEL Revolution : https://www.youtube.com/channel/UChP3a3ywhrPsvGe8lmGlSDw/featured
กด ติดตาม หรือ Subscribe เพื่อรับการแจ้งเตือนเมื่อมีรายการใหม่ๆ ครับ
กรณีรับฟังไม่ได้ ให้เลื่อนหน้าช่องยูทูบลงด้านล่าง แล้วเปลี่ยนเนื้อหาเป็นประเทศอื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทย
สำหรับมือถือให้ทำดังนี้ เมื่อเข้าyou tube แล้ว ที่แถบสีแดงมุมขวาบนจะมีจุด3จุด : แนวตั้ง ให้แตะตรงจุด เลือกตั้งค่า>ทั่วไป โหมดจำกัดเนื้อหา=ให้ปิด, ตำแหน่งของเนื้อหา=ระบุประเทศอะไรก็ได้ ห้ามเลือกไทยครับ
ให้ดูผ่าน Facebook : https://www.facebook.com/search/top/?q=Trairong%20Sinseubpol
1. วัตถุประสงค์ :
เพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองของประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
โดยให้อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศ เป็นของประชาชน มาจากประชาชน โดยประชาชน
และเพื่อประชาชน
2. แนวทาง
:
ปัญหาหลัก คือ
ระบอบเผด็จการกษัตริย์ ที่มีอำนาจเด็ดขาดและผูกขาดแบบเบ็ดเสร็จ
ซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาต่างๆ ดังต่อไปนี้
2.1 ความไม่เป็นธรรมในสังคม ผ่านกระบวนการ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ และปกป้องสถาบันกษัตริย์และพวกพ้อง
2.2 ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ทำให้เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม โดยที่รายได้ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดถูกเก็บไว้ให้กับสถาบันกษัตริย์และพรรคพวก จนเกิดระบบอุปถัมภ์ ที่ผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษา และสื่อสารมวลชน เป็นผลให้ประชาชน ส่วนใหญ่ยากจน แต่ความร่ำรวยมั่งคั่งส่วนใหญ่ตกไปอยู่กับสถาบันกษัตริย์และพวกพ้องบริวาร แม้ว่าประเทศไทยจะมีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในเรื่องของทรัพยากร ธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ และ ประเพณีวัฒนธรรม
2.3 การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทำให้ประชาชนไทยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยเสรีและไม่สามารถใช้สิทธิขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้โดยเฉพาะ การใช้กฎหมาย อาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิ เสรีภาพอย่างรุนแรง และนำมาบังคับประชาชนมิให้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ที่เป็นประมุขของประเทศ ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในเชิงผู้ทรงอำนาจ โดยมีหลักการ เนื้อหา บทลงโทษ และวิธีการพิจารณาที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล อย่างชัดเจนและรุนแรง ไม่ต่างจากการล่าแม่มดในยุโรปยุคกลาง
2.4 การขาดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ให้ก้าวหน้าทันประเทศอื่นๆ จากการปิดกั้นโอกาสการเรียนรู้และรับรู้ของประชาชน เนื่องจากมีการควบคุมสื่อในทุกแขนง และการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ตั้งแต่แรกเกิดผ่านระบบการศึกษา สังคม ประเพณี วัฒนธรรม ตามอุดมการณ์ของระบอบเผด็จการกษัตริย์นิยม
2.1 ความไม่เป็นธรรมในสังคม ผ่านกระบวนการ นิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และรัฐธรรมนูญที่ไม่เป็นประชาธิปไตย โดยสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาผลประโยชน์ และปกป้องสถาบันกษัตริย์และพวกพ้อง
2.2 ความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ทำให้เกิดการกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม โดยที่รายได้ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดถูกเก็บไว้ให้กับสถาบันกษัตริย์และพรรคพวก จนเกิดระบบอุปถัมภ์ ที่ผูกขาดทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม การศึกษา และสื่อสารมวลชน เป็นผลให้ประชาชน ส่วนใหญ่ยากจน แต่ความร่ำรวยมั่งคั่งส่วนใหญ่ตกไปอยู่กับสถาบันกษัตริย์และพวกพ้องบริวาร แม้ว่าประเทศไทยจะมีความอุดมสมบูรณ์ ทั้งในเรื่องของทรัพยากร ธรรมชาติ ภูมิศาสตร์ และ ประเพณีวัฒนธรรม
2.3 การละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน ทำให้ประชาชนไทยไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้โดยเสรีและไม่สามารถใช้สิทธิขั้นพื้นฐานในด้านต่างๆ ได้โดยเฉพาะ การใช้กฎหมาย อาญามาตรา 112 ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิ เสรีภาพอย่างรุนแรง และนำมาบังคับประชาชนมิให้แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหรือวิพากษ์วิจารณ์สถาบันกษัตริย์ที่เป็นประมุขของประเทศ ทั้งในเชิงสัญลักษณ์และในเชิงผู้ทรงอำนาจ โดยมีหลักการ เนื้อหา บทลงโทษ และวิธีการพิจารณาที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนสากล อย่างชัดเจนและรุนแรง ไม่ต่างจากการล่าแม่มดในยุโรปยุคกลาง
2.4 การขาดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาของประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศ ให้ก้าวหน้าทันประเทศอื่นๆ จากการปิดกั้นโอกาสการเรียนรู้และรับรู้ของประชาชน เนื่องจากมีการควบคุมสื่อในทุกแขนง และการปลูกฝังความคิด ความเชื่อ ตั้งแต่แรกเกิดผ่านระบบการศึกษา สังคม ประเพณี วัฒนธรรม ตามอุดมการณ์ของระบอบเผด็จการกษัตริย์นิยม
3. นโยบายและเป้าหมายขององค์การสหพันธรัฐไท :
องค์การสหพันธรัฐไท
จัดตั้งขึ้นเพื่อเตรียมการและดำเนินการเปลี่ยนแปลงระบอบเผด็จการกษัตริย์นิยม
ให้มาเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบสหพันธรัฐอย่างแท้จริง โดยวิธีการ
3.1 สร้างและปลุกความคิดตามอุดมการณ์ในระบอบสหพันธรัฐ ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนไทยได้ตระหนักในสิทธิเสรีภาพ รวมถึง ความเสมอภาคเท่าเทียม และความหวงแหนในผลประโยชน์ที่ตนพึงได้รับในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง
3.1 สร้างและปลุกความคิดตามอุดมการณ์ในระบอบสหพันธรัฐ ผ่านช่องทางสื่อต่างๆ เพื่อให้ประชาชนไทยได้ตระหนักในสิทธิเสรีภาพ รวมถึง ความเสมอภาคเท่าเทียม และความหวงแหนในผลประโยชน์ที่ตนพึงได้รับในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง
3.2 ประสานงานเพื่อจัดตั้งองค์กรของประชาชน
เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็นระบอบสหพันธรัฐโดยเร็ว
4. ขั้นตอนการดำเนินงาน :
4.1 เร่งเผยแพร่แนวทางและนโยบายขององค์การสหพันธรัฐไท
และจัดตั้งองค์กรเคลื่อนไหวทั้งภายในและภายนอกประเทศ
4.2 จัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล เพื่อร่างรัฐธรรมนูญในระบอบสหพันธรัฐ
เพื่อนำไปสู่การเลือกตั้งในทุกระดับ ทั้งในระดับประเทศ ภูมิภาค และท้องถิ่น
โดยมีตัวแทนจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ เช่น สหประชาชาติ, ประชาคมยุโรป,องค์กรสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
เป็นต้น
5.
คำขวัญ : ล้มเลิกระบอบเผด็จการกษัตริย์ สถาปนาสหพันธรัฐไท
คำประกาศองค์การเพื่อสหพันธรัฐไทย (อพสท.)
เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้วที่ประชาชนไทยต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของระบอบอุปถัมภ์ที่เต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างงมงายในรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล ท่ามกลางการโหมประโคมกล่าวอ้างตนว่าเป็นราชาแห่งเทพที่ประชาชนต้องเคารพสักการะเทิดทูนและเป็นที่รักยิ่งของประชาชนไทยโดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน จากการประสานงานของเครือข่ายผู้จงรักภักดีที่มักเป็นคนชั้นสูงรวมไปถึงบรรดาข้าราชการชั้นสูงและขุนศึกขุนทหารที่ทำหน้าที่สนับสนุนค้ำยันระบอบที่ปล้นสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยตลอดจนความสมบูรณ์พูนสุขไปจากประชาชนไทยทั้งประเทศ จึงเป็นความชัดเจนที่ไม่ต้องสงสัยหรือลังเลใจอีกต่อไปแล้วว่าถึงเวลาที่ประชาชนไทยจักต้องพร้อมใจกันทวงคืนอำนาจสูงสุดของตนกลับคืนมาแล้วสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ให้สิทธิเสรีภาพ และเคารพในในสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคเท่าเทียมของมนุษยชาติด้วยกัน จะต้องไม่มีระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและอยู่เหนือความถูกต้องชอบธรรมอีกต่อไป ประชาชนไทยจักต้องร่วมกันสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงภายใต้ธงสหพันธรัฐไทที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยกระจายอำนาจการปกครองไปสู่รัฐในแต่ละภูมิภาคตามเขตพื้นที่และชาติพันธุ์ รวมไปถึงความคล้ายคลึงทางสังคมประเพณีวัฒนธรรม เพื่อการปกครองและการบริหารจัดการที่เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เกิดความเป็นอิสระและการบริหารจัดการที่คล่องตัวตามรัฐธรรมนูญและการตกลงร่วมกันแทนการรวมศูนย์อำนาจการปกครองและการบริหารจัดการที่ถูกผูกขาดโดยส่วนกลาง
จึงได้มีการก่อตั้งองค์การเพื่อสหพันธรัฐไทโดยกลุ่มคนไทยที่มีความเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมรวมทั้งมีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะร่วมกันเรียกร้องความเป็นคนของประชาชนกลับคืนมาแทนที่จะเพียงแค่ฝ่าละอองธุลีพระบาทภายใต้ระบอบเผด็จการกษัตริย์นิยม โดยจะไม่ยอมก้มหัวให้กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและไม่มีความยุติธรรมอีกต่อไป ประชาชนไทยได้ถูกกดขี่ขูดรีดและครอบงำโดยระบอบเผด็จการกษัริย์นิยมมาเป็นเวลาที่นานมากเกินไปแล้ว และถึงเวลาที่พวกเราจะได้ประกาศเปิดเผยความจริงต่อชาวไทยผู้ถูกกดขี่เหยียบย่ำจากระบอบภูมิพลและราชวงศ์จักรีมาช้านาน ทั้งนี้พวกเราขอเรียกร้องการสนับสนุนจากประชาคมโลกและบรรดาองค์กรระหว่างประเทศในการจัดตั้งและสถาปนาสหพันธรัฐไท ด้วยหลักการและเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ประเทศไทยมิได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขตามที่โฆษณาหลอกลวงกัน แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นการปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือเผด็จการกษัตริย์นิยม แม้ว่าจะมีการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยคณะราษฎรเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 แต่เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์นิยมก็ได้กลับฟื้นคืนอำนาจทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองรวมทั้งความเข้มแข็งมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์นิยมยังได้เข้าครอบงำและยึดกุมอำนาจสูงสุด ด้วยการแทรกแซงทางการเมืองและสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบเพื่อนำไสู่การรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนและรับรองโดยกษัตริย์ภูมิพลหลายครั้งหลายหน เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์นิยมของระบอบภูมิพลยังได้ใช้วิธีการที่แนบเนียนในการเข้าแทรกแซงและบ่อนทำลายองค์กรประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งยังได้สร้างมายาคติว่าสถาบันกษัตริย์ไทยคือทางเลือกของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ถูกต้องและเหมาะสมกว่าประชาธิปไตยแบบสากล
2. ความย้อนแย้งของราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกกับคนไทยที่ยังลำบากยากจน
จากการโหมโฆษณาเผยแพร่ข่าวพระราชกรณีกิจการเสด็จเยือนท้องถิ่นทุรกันดารของกษัตริย์ภูมิพลในทุกสื่อทุกช่องทางทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่ได้ขาดโดยแฝงนัยของการเอาชนะความยากจนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนจนทำให้กษัตริย์ภูมิพลได้รับสมญาว่าเป็นกษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงอุทิศพระองค์ด้วยพระอุตสาหวิริยะโดยทรงลำบากตรากตรำเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของราษฎรของพระองค์ในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทำให้กษัตริย์ภูมิพลได้รับการถวายปริญญาบัตรดุษฏีบัณฑิตย์กิตติมศักดิ์มากที่สุดในโลกรวมทั้งการได้รับสิทธิบัตรจากการประดิษฐ์คิดค้นของพระองค์รวมไปถึงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพในศาสตร์แขนงต่างๆทั้งวิทยาศาตร์ การกีฬา ศิลปศาตร์ การดนตรีและงานพระราชนิพนธ์ แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปีแต่ พระองค์ก็ยังได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ราษฎรของพระองค์มีความสุขจากความพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่และมีอยู่แม้ต้องเผชิญความลำบากขัดสนในการดำรงชีวิตมาก โดยให้ยึดถือแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่หลงใหลไปกับรายได้ที่มากขึ้นและความมั่งคั่งร่ำรวยจากนโยบายประชานิยมที่พวกนักการเมืองนำมาใช้สร้างเป็นผลงาน ในขณะที่สถาบันทางการเงินระดับโลกได้ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแตกต่างทางรายได้สูงติดอันดับโลก แต่รัฐบาลไทยก็ยังคงต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อบำรุงเลี้ยงดูและสนับสนุนพระราชวงศ์ของไทยทั้งๆที่เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกันด้วยทรัพย์สินมากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
เป็นเวลากว่า 70 ปีแล้วที่ประชาชนไทยต้องอยู่ภายใต้ร่มเงาของระบอบอุปถัมภ์ที่เต็มไปด้วยการโฆษณาชวนเชื่ออย่างงมงายในรัชสมัยของกษัตริย์ภูมิพล ท่ามกลางการโหมประโคมกล่าวอ้างตนว่าเป็นราชาแห่งเทพที่ประชาชนต้องเคารพสักการะเทิดทูนและเป็นที่รักยิ่งของประชาชนไทยโดยไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน จากการประสานงานของเครือข่ายผู้จงรักภักดีที่มักเป็นคนชั้นสูงรวมไปถึงบรรดาข้าราชการชั้นสูงและขุนศึกขุนทหารที่ทำหน้าที่สนับสนุนค้ำยันระบอบที่ปล้นสิทธิเสรีภาพและอำนาจอธิปไตยตลอดจนความสมบูรณ์พูนสุขไปจากประชาชนไทยทั้งประเทศ จึงเป็นความชัดเจนที่ไม่ต้องสงสัยหรือลังเลใจอีกต่อไปแล้วว่าถึงเวลาที่ประชาชนไทยจักต้องพร้อมใจกันทวงคืนอำนาจสูงสุดของตนกลับคืนมาแล้วสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ให้สิทธิเสรีภาพ และเคารพในในสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคเท่าเทียมของมนุษยชาติด้วยกัน จะต้องไม่มีระบอบประชาธิปไตยจอมปลอมที่มีกษัตริย์อยู่เหนือกฎหมายและอยู่เหนือความถูกต้องชอบธรรมอีกต่อไป ประชาชนไทยจักต้องร่วมกันสถาปนาระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงภายใต้ธงสหพันธรัฐไทที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง โดยกระจายอำนาจการปกครองไปสู่รัฐในแต่ละภูมิภาคตามเขตพื้นที่และชาติพันธุ์ รวมไปถึงความคล้ายคลึงทางสังคมประเพณีวัฒนธรรม เพื่อการปกครองและการบริหารจัดการที่เป็นตัวของตัวเอง ทำให้เกิดความเป็นอิสระและการบริหารจัดการที่คล่องตัวตามรัฐธรรมนูญและการตกลงร่วมกันแทนการรวมศูนย์อำนาจการปกครองและการบริหารจัดการที่ถูกผูกขาดโดยส่วนกลาง
จึงได้มีการก่อตั้งองค์การเพื่อสหพันธรัฐไทโดยกลุ่มคนไทยที่มีความเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมรวมทั้งมีเจตนารมณ์แน่วแน่ที่จะร่วมกันเรียกร้องความเป็นคนของประชาชนกลับคืนมาแทนที่จะเพียงแค่ฝ่าละอองธุลีพระบาทภายใต้ระบอบเผด็จการกษัตริย์นิยม โดยจะไม่ยอมก้มหัวให้กับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและไม่มีความยุติธรรมอีกต่อไป ประชาชนไทยได้ถูกกดขี่ขูดรีดและครอบงำโดยระบอบเผด็จการกษัริย์นิยมมาเป็นเวลาที่นานมากเกินไปแล้ว และถึงเวลาที่พวกเราจะได้ประกาศเปิดเผยความจริงต่อชาวไทยผู้ถูกกดขี่เหยียบย่ำจากระบอบภูมิพลและราชวงศ์จักรีมาช้านาน ทั้งนี้พวกเราขอเรียกร้องการสนับสนุนจากประชาคมโลกและบรรดาองค์กรระหว่างประเทศในการจัดตั้งและสถาปนาสหพันธรัฐไท ด้วยหลักการและเหตุผลดังต่อไปนี้
1. ประเทศไทยมิได้ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยที่มีกษัตริย์เป็นประมุขตามที่โฆษณาหลอกลวงกัน แต่ในทางปฏิบัติกลับเป็นการปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือเผด็จการกษัตริย์นิยม แม้ว่าจะมีการล้มล้างระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยคณะราษฎรเมื่อ 24 มิถุนายน 2475 แต่เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์นิยมก็ได้กลับฟื้นคืนอำนาจทั้งในทางเศรษฐกิจและการเมืองรวมทั้งความเข้มแข็งมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์นิยมยังได้เข้าครอบงำและยึดกุมอำนาจสูงสุด ด้วยการแทรกแซงทางการเมืองและสร้างสถานการณ์ให้เกิดความไม่สงบเพื่อนำไสู่การรัฐประหารที่ได้รับการสนับสนุนและรับรองโดยกษัตริย์ภูมิพลหลายครั้งหลายหน เครือข่ายเผด็จการกษัตริย์นิยมของระบอบภูมิพลยังได้ใช้วิธีการที่แนบเนียนในการเข้าแทรกแซงและบ่อนทำลายองค์กรประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ทั้งยังได้สร้างมายาคติว่าสถาบันกษัตริย์ไทยคือทางเลือกของระบอบประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ถูกต้องและเหมาะสมกว่าประชาธิปไตยแบบสากล
2. ความย้อนแย้งของราชวงศ์ที่รวยที่สุดในโลกกับคนไทยที่ยังลำบากยากจน
จากการโหมโฆษณาเผยแพร่ข่าวพระราชกรณีกิจการเสด็จเยือนท้องถิ่นทุรกันดารของกษัตริย์ภูมิพลในทุกสื่อทุกช่องทางทั่วประเทศอย่างต่อเนื่องยาวนานไม่ได้ขาดโดยแฝงนัยของการเอาชนะความยากจนและการพัฒนาอย่างยั่งยืนจนทำให้กษัตริย์ภูมิพลได้รับสมญาว่าเป็นกษัตริย์นักพัฒนาผู้ทรงอุทิศพระองค์ด้วยพระอุตสาหวิริยะโดยทรงลำบากตรากตรำเพื่อชีวิตที่ดีขึ้นของราษฎรของพระองค์ในท้องถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศ ทำให้กษัตริย์ภูมิพลได้รับการถวายปริญญาบัตรดุษฏีบัณฑิตย์กิตติมศักดิ์มากที่สุดในโลกรวมทั้งการได้รับสิทธิบัตรจากการประดิษฐ์คิดค้นของพระองค์รวมไปถึงพระปรีชาสามารถและพระอัจฉริยภาพในศาสตร์แขนงต่างๆทั้งวิทยาศาตร์ การกีฬา ศิลปศาตร์ การดนตรีและงานพระราชนิพนธ์ แม้ว่ากษัตริย์ภูมิพลจะได้รับการจัดอันดับให้เป็นกษัตริย์ที่รวยที่สุดในโลกติดต่อกันหลายปีแต่ พระองค์ก็ยังได้พระราชทานพระบรมราโชวาทเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงให้ราษฎรของพระองค์มีความสุขจากความพอใจในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่และมีอยู่แม้ต้องเผชิญความลำบากขัดสนในการดำรงชีวิตมาก โดยให้ยึดถือแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่ไม่หลงใหลไปกับรายได้ที่มากขึ้นและความมั่งคั่งร่ำรวยจากนโยบายประชานิยมที่พวกนักการเมืองนำมาใช้สร้างเป็นผลงาน ในขณะที่สถาบันทางการเงินระดับโลกได้ยืนยันว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความแตกต่างทางรายได้สูงติดอันดับโลก แต่รัฐบาลไทยก็ยังคงต้องจัดสรรงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อบำรุงเลี้ยงดูและสนับสนุนพระราชวงศ์ของไทยทั้งๆที่เป็นราชวงศ์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลกหลายปีติดต่อกันด้วยทรัพย์สินมากกว่า 30 ล้านเหรียญสหรัฐ
3.เรื่องต้องห้ามของการพาดพิงสถาบันกษัตริย์ที่เรียกว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพที่ถือได้ว่าเป็นกฎหมายที่ปกป้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของระบอบเผด็จกษัตริย์นิยมได้เป็นอย่างดี
ทำให้ไม่มีทางรู้เลยว่ามีใครมากน้อยแค่ไหนที่ไม่ต้องการสถาบันกษัตริย์เพราะห้ามประชาชนต้องเคารพและเทิดทูนสถาบันกษัตริย์แต่เพียงสถานเดียวเท่านั้น
ห้ามแสดงเป็นอย่างอื่นโดยเด็ดขาดแม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่ได้
การที่ได้จัดไว้ในหมวดความมั่นคงที่ผู้ใดจะทำการฟ้องร้องก็ได้
รวมไปถึงกระบวนการพิจารณาและการตีความที่กว้างขวางโดยยึดหลักการที่ต้องแสดงความจงรักภักดีแบบล้นเกิน
ทำให้กฎหมายเผด็จการที่มีอัตราโทษถึงจำคุกสูงสุด 15 ปีนี้ กลายเป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิเสรีภาพ กลั่นแกล้ง
กำจัดและกำราบปราบปรามฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองโดยเฉพาะฟากฝ่ายที่โน้มเอียงไปในแนวทางประชาธิปไตย
โดยมีแนวโน้มในการใช้กฎหมายปกป้องสถาบันกษัตริย์เผด็จการเพิ่มสูงมากเป็นประวัติการณ์
ทั้งจำนวนคดี ผู้ถูกจับกุมคุมขัง ความป่าเถื่อนรุนแรง รวมทั้งผู้ที่หลบจากภัยคุกคามและข้อกล่าวหาที่ไม่เป็นธรรมนี้ ที่มีจำนวนสูงมากขึ้นเป็นประวัติการณ์
4.การที่กษัตริย์ไทยรับรองการรัฐประหาร
ในขณะที่ประชาชนไทยเริ่มมีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน แต่สถาบันกษัตริย์ของไทยก็ยังสนับสนุนและรับรองการรัฐประหารอีกเมื่อ 19 กันยายน 2549 และยังคงแสดงออกในทางบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยเปิดเผยในที่สาธารณะรวมไปถึงการสนับสนุนและรับรองการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ประกอบไปกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ที่เป็นเสาหลักของเผด็จการ ที่โดดเด่นและชัดเจนมากที่สุดอีกอันหนึ่ง ก็คือ มาตรา 44 ที่ให้อำนาจหัวหน้าคณะรัฐประหารอย่างไม่มีขอบเขตด้วยการเห็นดีเห็นงามของกษัตริย์
5.รัชกาลใหม่ที่เต็มไปด้วยปัญหา
เจ้าชายวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นครองราชสมบัติหลังการสวรรคตของกษัตริย์ภูมิพลผู้เป็นพระราชบิดา วชิราลงกรณ์เป็นคนเจ้าสำราญที่หมกมุ่นกับกามารมณ์และผ่านการแต่งงานมาแล้วสามครั้งโดยที่พระองค์ไม่ได้แสดงความสนใจหรือความรับผิดชอบในการปฏิบัติภาระหน้าที่ที่เรียกว่าพระราชกรณียกิจเพื่อเสริมพระบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด กษัตริย์วชิราลงกรณ์กลับยังคงดำรงตนเป็นนักล่าผู้หญิง กษัตริย์เจ้าสำราญผู้ฟุ้งเฟ้อ แถมยังชอบทำตัววิปริตวิตถารและโหดเหี้ยมทารุณผิดมนุษย์ ประชาชนไทยแทบทุกคนได้รู้ถึงกิตติศัพท์ของวชิราลงกรณ์ผู้ได้กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่เกลียดชังไปทั่วประเทศ มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2510 ในขณะที่มีคนไทยจำนวนมากเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าทำไมประเทศยังจะต้องมีสถาบันกษัตริย์แบบนี้อีกต่อไป
6.รัฐบาลเผด็จการทหารที่ปฏิเสธประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศเดียวในโลกปัจจุบันที่อยู่ภายใต้เผด็จการทหารเต็มขั้นนับตั้งแต่การรัฐประหารล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ค.ส.ช.) นับเป็นคณะรัฐประหารที่เป็นเผด็จการหนักยิ่งกว่าเผด็จการทหาร รสช. ในปี 2534 และเผด็จการ คมช. ในปี 2549 โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44 ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ให้อำนาจสั่งการได้ทุกอย่างในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น และได้มีการใช้มาตรา 44 เป็นประจำอย่างพร่ำเพรื่อตามอำเภอใจโดยไม่เปิดโอกาสให้มีการตรจสอบใดๆเลย
บทสรุป
องค์การสหพันธรัฐไทได้จัดตั้งขึ้นโดยเสรีชนที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยจะต้องมีการปกครองโดยประชาชนและด้วยความยินยอมพร้อมใจของรัฐสมาชิกแห่งสหพันธรัฐ เราจึงขอประกาศสิทธิ์ในการจัดการประเทศชาติของเราตามฉันทามติของประชาชนในทุกภูมิภาค เพื่อนำมาซึ่งความเป็นธรรมในการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงตามเจตนารมณ์ร่วมกันของชาวสหพันธรัฐไท
ในขณะที่ประชาชนไทยเริ่มมีความรู้ความเข้าใจและตระหนักถึงความสำคัญในหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างกว้างขวางและลึกซึ้งมากกว่าแต่ก่อน แต่สถาบันกษัตริย์ของไทยก็ยังสนับสนุนและรับรองการรัฐประหารอีกเมื่อ 19 กันยายน 2549 และยังคงแสดงออกในทางบ่อนทำลายระบอบประชาธิปไตยโดยเปิดเผยในที่สาธารณะรวมไปถึงการสนับสนุนและรับรองการรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ประกอบไปกับการบังคับใช้กฎหมายมาตรา 112 เพื่อปกป้องสถาบันกษัตริย์ที่เป็นเสาหลักของเผด็จการ ที่โดดเด่นและชัดเจนมากที่สุดอีกอันหนึ่ง ก็คือ มาตรา 44 ที่ให้อำนาจหัวหน้าคณะรัฐประหารอย่างไม่มีขอบเขตด้วยการเห็นดีเห็นงามของกษัตริย์
5.รัชกาลใหม่ที่เต็มไปด้วยปัญหา
เจ้าชายวชิราลงกรณ์ได้ขึ้นครองราชสมบัติหลังการสวรรคตของกษัตริย์ภูมิพลผู้เป็นพระราชบิดา วชิราลงกรณ์เป็นคนเจ้าสำราญที่หมกมุ่นกับกามารมณ์และผ่านการแต่งงานมาแล้วสามครั้งโดยที่พระองค์ไม่ได้แสดงความสนใจหรือความรับผิดชอบในการปฏิบัติภาระหน้าที่ที่เรียกว่าพระราชกรณียกิจเพื่อเสริมพระบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันกษัตริย์แต่อย่างใด กษัตริย์วชิราลงกรณ์กลับยังคงดำรงตนเป็นนักล่าผู้หญิง กษัตริย์เจ้าสำราญผู้ฟุ้งเฟ้อ แถมยังชอบทำตัววิปริตวิตถารและโหดเหี้ยมทารุณผิดมนุษย์ ประชาชนไทยแทบทุกคนได้รู้ถึงกิตติศัพท์ของวชิราลงกรณ์ผู้ได้กลายเป็นบุคคลที่เป็นที่เกลียดชังไปทั่วประเทศ มาตั้งแต่ทศวรรษที่ 2510 ในขณะที่มีคนไทยจำนวนมากเริ่มตั้งข้อสงสัยว่าทำไมประเทศยังจะต้องมีสถาบันกษัตริย์แบบนี้อีกต่อไป
6.รัฐบาลเผด็จการทหารที่ปฏิเสธประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง
ประเทศไทยได้กลายเป็นประเทศเดียวในโลกปัจจุบันที่อยู่ภายใต้เผด็จการทหารเต็มขั้นนับตั้งแต่การรัฐประหารล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในนามของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (ค.ส.ช.) นับเป็นคณะรัฐประหารที่เป็นเผด็จการหนักยิ่งกว่าเผด็จการทหาร รสช. ในปี 2534 และเผด็จการ คมช. ในปี 2549 โดยเฉพาะการใช้มาตรา 44 ตามคำสั่งหัวหน้า คสช.ที่ให้อำนาจสั่งการได้ทุกอย่างในทุกกรณีโดยไม่มีข้อยกเว้น และได้มีการใช้มาตรา 44 เป็นประจำอย่างพร่ำเพรื่อตามอำเภอใจโดยไม่เปิดโอกาสให้มีการตรจสอบใดๆเลย
บทสรุป
องค์การสหพันธรัฐไทได้จัดตั้งขึ้นโดยเสรีชนที่มีความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยมในสิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคเท่าเทียมตามหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประเทศไทยจะต้องมีการปกครองโดยประชาชนและด้วยความยินยอมพร้อมใจของรัฐสมาชิกแห่งสหพันธรัฐ เราจึงขอประกาศสิทธิ์ในการจัดการประเทศชาติของเราตามฉันทามติของประชาชนในทุกภูมิภาค เพื่อนำมาซึ่งความเป็นธรรมในการกระจายอำนาจและการบริหารจัดการทรัพยากรและงบประมาณอย่างเท่าเทียมและทั่วถึงตามเจตนารมณ์ร่วมกันของชาวสหพันธรัฐไท
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช |
Organization for Thai Federation (OTF)
Goal:
To change the
royal junta regime in Thailand to a federation where powers and benefits are distributed fairly and equally to
all regions.
Short-term Objectives:
1.Expedite the process of building and organizing the revolutionary masses at all levels in preparation for wresting sovereignty from the tyrannical regime and to the people so that the executive, legislative, and judicial powers will truly and permanently belong to the people.
1.Expedite the process of building and organizing the revolutionary masses at all levels in preparation for wresting sovereignty from the tyrannical regime and to the people so that the executive, legislative, and judicial powers will truly and permanently belong to the people.
2. Establish a constitution drafting committee via elections across
the federation under the supervision and endorsement of the United Nations’ and/or European Union's assigned agency.
Declaration
of THE ORGANIZATION FOR THAI FEDERATIONS (OTF)
More than seven
decades that Thai people have been
patronized and deluded under the reign of King Bhumibol Adulyadej , who claimed himself to be the most sacred
and beloved King. With the support from the minority of elites
and groups of high society who called themselves royalists together with the military troops who support
the whole royal Chakri Dynasty
family to oppress, and deprive the majority of 68-million Thai people of their liberty and civil
rights.
It is beyond doubt that
now it is the time for Thai People to have a whole new regime that will be
governed by the people and for the people. Under a genuine democratic constitution, the people can live their
lives with freedom, with their human rights and equality upheld and respected.
There must be no more the
so called constitutional monarchy; but a true democratic rule under the Thai Federation where the absolute
power remains with the people. The country will be divided into federated states in accordance with
the people’s regional, ethnic,
social and cultural backgrounds. The development, educational, legislative, and other policies will no
longer be stipulated by and only by the capital city of Bangkok, but by the
mutual agreements of the FEDERATED STATES of the people.
The Organization for Thai
Federation (OTF), is initiated by a group of people who believe
that it is time for Thai people to be reborn as free human beings, and not any
longer mere dust underneath the feet of any Rulers.
We will not stand any
longer any unfair or unjust acts against us Thai People.
We have been misled by
the monarchical institution for far too long. Here are the points of argument that we
must address for the world to hear the open truths, as we aim for the awakening
of Thailand, which has been long oppressed beneath the feet and throne of King
Bhumibol and the Chakri Dynasty. They are to be unfolded in the following.
We plead to the
World, the United Nations,
human rights organizations, democratic countries, and all the governments and
organizations that believe in the democratic rule, and equality of the people,
to lend us their helping hands to free our people, and assist us in the
formation of Thai Federation.
1. The Reversion of the Constitutional Monarchy to the De- Facto
Absolute Monarchy.
King Bhumibol came to the
throne in 1946; just fourteen years after the absolute monarchy was overthrown
in 1932. The institution of the
monarchy had nearly been eclipsed by new political forces.
By the 1960s, pro-royalists, allied with the Thai military, succeeded in recovering the monarchy’s financial base and resurrecting the
institution.
The King, and the Palace
intervened directly in political unrest on a number of occasions, most notably
in 1973 and 1992. The King also endorsed at
least half a dozen coups between 1957 and 1991. From 1992 to 2005, the network monarchy refined
its approach, subtly undermining democratic institutions and elected prime
ministers. They have also tried to
portray the monarchy as an alternative source of legitimacy to the electoral
democracy.
2. The Contrast: The Wealthiest Royal
Family vs. the Poverty of Thai people
With the late King’s highly publicized trips into rural areas and
the myriad of royal projects throughout the country, purportedly carried out to
alleviate rural poverty, the King was perceived as a ruler who dedicated his
life to the betterment of the people. Contributing to the King’s prestige was his world-record-breaking number of
honorary degrees, patents for his inventions, and his considerable skills in
art, music, and writing. Despite him being named
the richest monarch in the world for many consecutive years, the late King
preached, through the Sufficiency Economy Ideology that his
subjects should be happy in their poverty and always opposed any redistribution
of wealth. This fact has been
confirmed by one of the World’s leading banking institutions, that Thailand is one of the most
unequal countries in terms of wealth distribution in the World.
In contrary, the opening up of the entities related to the monarchy to greater public scrutiny showing substantial amount of annual national budget spent on Thai royal family whereas Thai monarch has been continuously listed as the world’s richest monarchy with an estimated personal wealth of more than US$ 30 billion. There is no doubt that King Bhumibol was personally quite popular; but his personal popularity was mostly due to repeated daily one-sided over propaganda nationwide.
In contrary, the opening up of the entities related to the monarchy to greater public scrutiny showing substantial amount of annual national budget spent on Thai royal family whereas Thai monarch has been continuously listed as the world’s richest monarchy with an estimated personal wealth of more than US$ 30 billion. There is no doubt that King Bhumibol was personally quite popular; but his personal popularity was mostly due to repeated daily one-sided over propaganda nationwide.
3. A Taboo Subject of the Lèse-Majesté
Law – The Truth Must Not Be Told.
The unrestrained use of
the lèse-majesté law has always
limited freedom of expression. The law makes any truthful public polls impossible. On paper, the law protects the king, queen,
heir-apparent, and regent. In practice, however, it appears
to be used to protect other members of the royal family as a whole. Anyone can make an accusation against other
persons, providing a convenient weapon to use against opponents. The law is also notoriously vague, and the
courts have interpreted it broadly. As the law is issued under the national security section of the
Criminal Code, basic rights such as bail are routinely denied to those accused. Most disastrously, though, are the heavy sentences,
and the unprecedented rising number of prosecutions. The maximum sentence is 15 years for each
count, by far the highest anywhere in the world in the past century at least. The number of cases has skyrocketed from an
annual average of five between 1992 and 2004, to a high of 478 in 2010. Those suggesting amendments to the law have
been forced into exile, physically assaulted, threatened with death, or made to
disappear without traces.
4. The Monarchy's Endorsement of the Coups
Finally, there is another
factor that has transformed the political landscape where the monarchy is
situated. The most significant
change in the twilight of the reign has been the deep and pervasive development
of political consciousness amongst Thai citizens as a whole. The network monarchy approached the 2006 coup identical
to all past coups in Thai history: the coup is endorsed by the monarchy; the coup makers justify the coup
publicly by citing corruption of politicians and threats to the monarchy; an
amnesty is given; and then the coup is eventually forgotten.
Thai monarchy has consistently undermined democratically elected governments and shown shortsightedness in its public statements and actions. It has supported and endorsed the toppling of democratically elected governments from time to time including the last coup on May 22 in 2014.
Thai monarchy has consistently undermined democratically elected governments and shown shortsightedness in its public statements and actions. It has supported and endorsed the toppling of democratically elected governments from time to time including the last coup on May 22 in 2014.
5. The
Disputable New King
Thailand’s present King Vajiralongkorn, a three-time divorced playboy who succeeded the throne after the death of his father King Bhumibol. Vajiralongkorn has shown little interest in the public duties that will be expected of one of the world’s most revered monarchies. Instead, Vajiralongkorn has built up a reputation for womanizing, extravagance, bizarre self-indulgence and occasional cruelty. Almost all Thais know about the exploits of the crown prince, who has been a hated figure in Thailand since the 1970s. Many Thai citizens start wondering why Thailand needs to be under the Monarchy any longer.
Thailand’s present King Vajiralongkorn, a three-time divorced playboy who succeeded the throne after the death of his father King Bhumibol. Vajiralongkorn has shown little interest in the public duties that will be expected of one of the world’s most revered monarchies. Instead, Vajiralongkorn has built up a reputation for womanizing, extravagance, bizarre self-indulgence and occasional cruelty. Almost all Thais know about the exploits of the crown prince, who has been a hated figure in Thailand since the 1970s. Many Thai citizens start wondering why Thailand needs to be under the Monarchy any longer.
6. The Dictatorial Junta That Totally Disregards Democracy.
Thailand since May 22,
2014 has been the only country under full-fledged military rule in the world. The 2014 coup that toppled the elected
government of Yingluck Shinawatra was led by General Prayuth Chan-ocha, who heads a junta called the National
Council for Peace and Order (NCPO) and made himself prime
minister. The NCPO regime has
already outlasted each of Thailand’s two immediately preceding military regimes in 1991 and 2006 . After the military-sponsored draft constitution was passed in a
heavily controlled referendum on 7 August 2016, looks set to continue ruling
the country until late 2017 at least. The junta has detained and issued criminal charges against critics,
journalists, peaceful protesters and politicians, among others, while media
rights, civil liberties and academic freedom have been severely curtailed.
As a military government, the Prayuth administration benefits from the longstanding perception in Thailand that the military is closely associated with the monarchy. Under the junta, the use of lese majesty law to crack down on insults and disrespect toward the monarchy has grown more severe and those arrested have been put to trial in the military court instead of a civilian one.
As a military government, the Prayuth administration benefits from the longstanding perception in Thailand that the military is closely associated with the monarchy. Under the junta, the use of lese majesty law to crack down on insults and disrespect toward the monarchy has grown more severe and those arrested have been put to trial in the military court instead of a civilian one.
Where would be the light of freedom?
Conclusion
THE ORGANIZATION FOR THAI
FEDERATIONS (OTF) has been established with a firm faith in
keeping our heads high as free men and women under the true democratic rule. Thailand shall be governed by the people and
freewill of the Federated States.
We therefore declare the
rights to organize our nation to be freed from any existing institutions,
unless the majority of the people agree to let them continue their functions
with fair and honest public consensus.
This is the
true story about the plight of Thailand’s 68 million people, who have
mostly been
denied a fair share in its prosperity. The rural population, in particular, have been left far behind; whereas
large parts of the population no longer regard that as tolerable. The late King’s death marks the end of an age of deference. Thai People have no other choice but to take
back their sovereignty from the fake and lying Thai constitutional
monarchy and urgently establish federal Thailand for the sake of their liberty,
equality and fraternity. Thai constitutional
monarchy will be immediately and permanently replaced by Thai federal
constitution establishing Federal Thailand with individual states over all the
country of Thailand under Thai Nationality as whole.
Organization for Thai Federation’s Slogan :
Abolish royal dictatorship , establish Thai Federation.